คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : B L U E : : 15 (END)
“พี่ซ่งเชี่ยนครับ! ผมมีข่าวด่วนจะบอก” ลู่หานวิ่งเข้ามาในห้องทำงานของคุณหมอรุ่นพี่ ท่าทางดีอกดีใจมากจนลืมเคาะประตูคุณหมอสาวตกใจที่จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกดังปังเธอหันขวับไปตามเสียงเห็นลู่หานยืนหอบแฮ่กๆ อยู่ตรงนั้น ปกติลู่หานไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา ถึงจะมีธุระด่วนแค่ไหนก็ไม่โผงผางแบบนี้
“วิ่งหน้าตาตื่นจนไม่เหลือคราบหมอเชียว มีอะไรเหรอลู่หาน”ซ่งเชี่ยนถาม
“เมื่อกี้อี้ฝาน เอ้อ! คริสโทรมาครับ” ลู่หานพูดไม่ทันจบแต่เว้นจังหวะหายใจหอบเสียก่อน
“อะไรนะ! คุณคริสโทรมาทำไม เกิดอะไรขึ้นกับอี้ชิง อาการของอี้ชิง...” ซ่งเชี่ยนมีสีหน้าตกใจเธอผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ก่อนหน้านี้กำลังนั่งอ่านข้อมูลคนไข้อยู่ นึกกลัวในใจถึงสิ่งที่ลู่หานกำลังจะพูด
“...คือว่าคริสกับอี้ชิงจะแต่งงานกันครับ เอ๊ะ! เมื่อกี้อาการอี้ชิงทำไมเหรอครับ”ลู่หานปรับน้ำเสียงเมื่อจับได้ถึงความผิดปกติจากคำพูดของหญิงสาว
“ปะ เปล้าจ้ะ” ซ่งเชี่ยนฉีกยิ้มแหย ใจหายวาบเมื่อตัวเองเกือบพูดอะไรออกไป “เมื่อกี้ลู่หานบอกว่าอะไรนะพี่ฟังไม่ทัน”
“คริสกับอี้ชิงจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ครับ แล้วยังย้ำว่าพวกเราต้องไปร่วมงานให้ได้ อีกไม่กี่วันจะส่งตั๋วเครื่องบินมา”ซ่งเชี่ยนถอนหายใจยาวเมื่อข่าวที่ลู่หานว่าไม่ใช่สิ่งที่เธอคิด เธอยิ้มกว้างก่อนจะตอบลู่หานไป
“งั้นเราคงต้องรีบเคลียร์งานใช่ไหม”
“คงต้องอย่างงั้นแหละครับ” ลู่หานยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงสองคนนั้น นานเกือบเดือนแล้วที่ไปฝรั่งเศส ป่านนี้อี้ชิงคงปรับตัวได้แล้วล่ะมั้งคริสคงพาเที่ยวกันจนลืมเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นแล้วนั่นนับว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว
“แล้วคู่ของเราล่ะไปถึงไหนแล้ว” ซ่งเชี่ยนถามแทรกพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเอาคุณหมอหนุ่มแทบจะสำลักอากาศ
“เอ๊ะ...ไหงวกมาเรื่องนี้ล่ะ” ลู่หานเกาท้ายทอยแก้เขินไม่รู้จะบอกว่ายังไงดี ความจริงเขากับจงอินก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรพิเศษกว่าเมื่อก่อน แค่อยู่ในระยะที่คุยกันมากกว่าเดิมเท่านั้นเองอีกอย่างจงอินก็ไม่ได้ชอบหน้าเขามาตั้งแต่ต้นไหนจะฝังใจกับอี้ชิงอีก เพราะฉะนั้นลู่หานคิดว่าทางที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาสองคนที่สุดคือการเป็นเพื่อนกันไปก่อน
“ว่าไงล่ะ ไม่ชวนจงอินไปด้วยเหรอ” ซ่งเชี่ยนพูดแหย่
“อะไรกันครับพี่ งานแต่งงานของคริสกับอี้ชิงนะครับไม่ใช่งานแต่งงานของผมสักหน่อย” ลู่หานโวยวายเสียงดัง
“ก็เผื่อวันหนึ่งอยากแต่งกับเขาบ้างไง” ซ่งเชี่ยนว่าขำแซวไม่ยอมหยุด นึกสนุกเมื่อได้แกล้งเจ้าหมอตัวจ้อยคนนี้
“พี่ก็ ว่าแต่พี่เถอะเมื่อไหร่จะเจอคนนั้นสักที” หมอรุ่นน้องย้อนถามบ้าง ซ่งเชี่ยนส่ายหน้ารัว
“เฮ้อ คงไม่มีแล้วล่ะ” ว่าแล้วหัวเราะเสียงดังลั่นห้อง ลู่หานได้ยินดังนั้นก็หลุดขำในความอารมณ์ดีของรุ่นพี่ เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครมากำหนดได้จริงๆ สินะ
ถึงแม้จะอยู่ในช่วงกลางฤดูฝนแต่วันนี้ท้องฟ้ากลับดูปลอดโปร่งกว่าปกติ อี้ชิงทอดสายตาจากหลังกรอบหน้าต่างไปยังทิวทัศน์ริมทะเลยามสายดวงตาหันไปจับจ้องยังกลุ่มผีเสื้อแสนสวยที่บินวนอยู่เหนือดอกไม้สีขาวริมรั้วปีกสวยหลากเฉดสีทำให้คนแอบมองแย้มยิ้มหวานชื่นชมที่นี่เป็นบ้านเช่าริมทะเลแห่งหนึ่งในเมืองนีซที่ทั้งคู่ใช้ค้างคืนเพื่อเตรียมงานมงคลที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
งานแต่งเล็กๆ ที่จะจัดคงเชิญแค่คนสนิทเท่านั้น งานแบบนี้สำหรับคนเพศเดียวกันมันคงจะแปลกอยู่สักหน่อยต่อให้สังคมเปิดกว้างมากขึ้นก็ตาม ที่จริงคำพูดของคริสที่บอกว่าจะรักและดูแลที่เอ่ยบอกกันก่อนจะมาอยู่ฝรั่งเศสก็มากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดงานอะไรแบบนี้เลย อี้ชิงคิด แต่ในเมื่ออีกคนเห็นว่ามันเป็นความสุขก็ไม่อยากขัดเพราะร่างสูงเองก็ไม่เคยขัดใจเขาเช่นกันนัยน์ตาหวานว่างเปล่าไปตามความคิดเหม่อลอย ภาพตรงหน้าดูพร่ามัวไปหมด แรกทีเดียวคิดว่าคงจะเป็นเพราะดวงตาไม่ได้ปรับโฟกัสจับจ้องไปที่สิ่งใด แต่เมื่อมีเสียงตะกุกตะกักที่บานประตูดังขึ้นบอกเขาว่ามีคนกำลังเดินเข้ามา อี้ชิงก็หันไปมองตามเสียงก่อนจะพบว่าฝ้ามัวนั้นยังคงอยู่ หัวใจเต้นถี่ด้วยความตกใจ ร่างบางหันหน้ากลับไปทางหน้าต่างแล้วหยีตาสองสามครั้งทันทีที่กะพริบตาไล่ม่านมัวที่บังตาได้ฝูงผีเสื้อเหล่านั้นก็ได้บินหายไปเสียแล้ว อี้ชิงถอนหายใจทั้งนึกเสียดายแล้วก็โล่งอกอยู่ในทียกมือขึ้นขยี้ตาแล้วหันไปถามคนเข้ามา
“ตื่นนานแล้วเหรอ” อี้ชิงเอ่ยถามด้วยเสียงแหบนิดหน่อย
“สักพักแล้วแหละ...คนขี้เซา” มือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มจัดให้เป็นทรง ตาคมจ้องมองใบหน้าเล็กที่ดูซีดกว่าปกติ
“แล้วทำไมไม่ปลุก”อีกคนทำทีเป็นงอแง เหมือนจะโวยวายที่คนรักตื่นก่อน
“ปล่อยให้ผมตื่นเร็วกว่าวันหนึ่งไม่ได้หรือไง”คริสว่าแล้วก้มหน้าลงมองถุงเท้าสีอ่อน สองมือดันไหล่เล็กให้ถอยหลังนั่งลงที่ปลายเตียง ร่างสูงคุกเข่าลงตรงหน้าคนเพิ่งตื่นแล้วบรรจงถอดถุงเท้าสีม่วงที่เขาเป็นคนสวมให้เมื่อคืน
“ขอบคุณนะคริส” เสียงแหบถูกเปล่งออกมาอีกครั้ง คริสเงยหน้าขึ้นรับแล้วยิ้มให้
“ไปอาบน้ำได้แล้วคนขี้เซา วันนี้เราจะไปจองโรงแรมให้พวกที่จีนกัน”
“อือ”
ร่างสูงลุกไปเตรียมเสื้อผ้าในกระเป๋าไว้ให้ นึกชอบที่กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำยาปรับผ้านุ่มที่อี้ชิงเป็นคนเลือกรวมถึงกลิ่นน้ำหอมที่เขาเป็นคนเลือกให้คนตัวเล็กเองกับมือ
ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็เดินทางออกจากที่พักคริสพาแวะกินอาหารเช้าก่อนจะออกตระเวนหาโรงแรมที่ใกล้โบสถ์และคิดว่าเหมาะสมที่สุดเขาใช้เวลาเลือกโรงแรมอยู่นานกว่าจะถูกใจเวลาก็ปาไปเกือบบ่ายสอง จนอี้ชิงไม่รู้ว่าคริสน่ะเรื่องมากหรือพิถีพิถันกันแน่ หลังจากนั้นจึงแวะพักผ่อนที่ร้านอาหารริมทะเลแห่งหนึ่ง ระหว่างมื้ออาหาร คริสเล่าประสบการณ์การการเดินทางของตัวเองให้อี้ชิงฟังจนไม่ทันสังเกตความผิดปกติใดๆคนตัวเล็กสูดหายใจลึกหลายครั้งเหมือนแพ้อากาศแต่ก็ตั้งใจฟัง มีความสุขที่เห็นคริสหัวเราะร่าตอนเล่าเรื่องที่ตัวเองไปทำวีรกรรมแสบๆ ไว้เมื่อตอนอยู่หอพักประจำครั้งเรียนอยู่ฝรั่งเศส ถึงจะรู้สึกลัวแต่ก็ฟังทุกๆ อย่างที่อีกคนอยากเล่าเพราะเขาอาจจะไม่ได้ฟังมันอีกก็เป็นได้
“หลังจากแต่งงานแล้วอยากคุณทำอะไร” จู่ๆ คริสก็ถามขึ้นอี้ชิงลังเลใจอยู่สักพักหนึ่งแล้วก้มลงมองอาหารบนโต๊ะ
“ก็คงจะเรียนทำอาหารต่อไปล่ะมั้ง”
“อยากเปิดร้านอาหารไหมหรือจะเป็นเชฟที่โรงแรม”คริสเสนอตัวเลือกให้
“โห ผมไม่เก่งขนาดนั้น” อี้ชิงหัวเราะเพราะไม่คิดว่าคริสจะประเมินงานของเขาสูงขนาดนั้น แต่ถึงแม้จะผิดคาดก็แอบดีใจอยู่ไม่น้อยคริสขมวดคิ้วแล้วถามย้ำอีกครั้ง
“งั้นอยากทำอะไรล่ะ”คนถูกถามเว้นจังหวะสนทนา ไม่อยากตอบตามตรงแม้จะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วก็ตาม
“ผมอยากทำหลายอย่างเลยล่ะ...แต่นั่นมันเมื่อก่อน” อี้ชิงว่าอ้อมๆ ดวงตาหลุบต่ำแล้วตักซุปเข้าปากก่อนจะว่าต่อ “...แค่นั่งอยู่ตรงนี้เวลานี้กับคุณผมก็มีความสุขมากแล้วคริส”
“อย่าพูดอย่างงั้นสิเรากำลังจะแต่งงานกันนะ เรากำลังจะเริ่มชีวิตด้วยกันที่นี่”สีหน้ากังวลใจปรากฏให้เห็น คิ้วหนาของคนตัวสูงขมวดมุ่น
“ผมก็แค่คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดีแค่นั้นเอง อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ไม่หล่อเลย” อี้ชิงแกล้งหัวเราะเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกังวลใจ ยกเมื่อเอื้อมไปแตะระหว่างคิ้วของอีกคนให้คลายปม ตั้งแต่ตกลงมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่คริสจะทำให้ไม่มีความสุข ทุกๆ คำพูด ทุกๆ การกระทำมันบอกอย่างนั้น ฉะนั้นเขาเองก็อยากให้อีกฝ่ายมีความสุขเช่นเดียวกันเพราะหากวันหนึ่งเขาจำต้องจากคนข้างๆ ไปจะได้ไม่มีอะไรต้องห่วง ในช่วงเวลาสั้นๆ กลับมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นเหมือนโชคชะตาได้นำพาทั้งคู่มาเจอกัน แม้จะเริ่มต้นไม่สวยนักแต่มันก็ดำเนินมาด้วยความรัก ตัวเขาเองก็ไม่อาจคาดเดาตอนจบได้ โลกของเขาก็เหมือนฟ้าหลังฝน...ในขณะที่โลกของคริสมันอาจเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้นเอง
คริสกับอี้ชิงกลับมาถึงบ้านพักตอนห้าโมงเย็น เท้าเปล่าสองคู่ย่ำเสมอกันไปบนพื้นทรายละเอียดเงี่ยหูฟังเสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งยามหัวค่ำแบบนี้ก็ฟังเพลินไปอีกแบบ กลิ่นเค็มอ่อนๆ โชยมาเมื่อยามคลื่นซัดเข้าฝั่ง มันเป็นช่วงที่บรรยากาศดีที่สุดเพราะแดดไม่จ้าแล้ว
“ไม่เหนื่อยบ้างเหรออี้ชิง” คริสถามหลังจากที่อีกคนชวนออกมาเดินเล่น
“ไม่นี่” ตอบปฏิเสธสั้นๆ แล้วยกมือข้างที่อยู่ติดกันประสานระหว่างง่ามนิ้วของอีกฝ่ายหลวมๆ“จับมือกันอย่างนี้ไม่เห็นจะเหนื่อยตรงไหนเลย”
“ถามจริงๆ นะเรื่องเหนื่อยน่ะ ถ้ารู้สึกไม่ดีรีบบอกนะ” คริสตีหน้าเข้ม
“อย่าปล่อยมันนะคริส” ร่างเล็กแหงนมองใบหน้าคมด้านข้าง ไม่สนใจประโยคเมื่อครู่ของคนรักแววตาแฝงความจริงจัง
“จะปล่อยได้ยังไงก็คุณเป็นคนจับมือผมไว้นี่” คริสว่ายิ้มๆ เมื่อรู้สึกเหมือนอีกคนกำลังเรียกร้องความสนใจอี้ชิงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วปล่อยมือของอีกคน แต่ทันทีที่มือเล็กผละออกมือของอีกคนก็ดึงมันกลับมาแล้วกุมไว้แน่น“คุณต่างหากที่เป็นคนปล่อย...แต่ยังไงผมก็จะจับไว้เหมือนเดิม ไม่ต้องกลัวหรอก”แล้วร่างสูงบีบมือแน่นราวกับต้องการย้ำในสิ่งที่ตัวเองพูด
“ขอบคุณนะคริส” อี้ชิงเสียงแหบสั่นจนทำให้ร่างสูงสังเกตทัน หัวใจของร่างเล็กกระตุกวูบ ไม่รู้ทำไมประโยคสั้นๆ ถึงทำให้ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาได้ อี้ชิงกะพริบตาถี่ๆ ไล่ให้หยดน้ำใสหายไป
“อย่าร้องไห้ อยู่กับผมอี้ชิงต้องยิ้มและหัวเราะ ต่อไปนี้จะไม่มีน้ำตาอีก สัญญาได้ไหม” คริสเอื้อมมือมาปาดหยดน้ำตาให้หายไป นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มไปมาอย่างเบามือ
“อื้อ สัญญา” เสียงอู้อี้ติดจะแหบอยู่เล็กน้อย
“สัญญาแล้วห้ามลืมล่ะ” คริสยิ้มแล้วยกมือข้างที่จับกันอยู่ขึ้นจูบหลังมืออีกคนเบาๆ
“อื้อ ไม่ลืม” อี้ชิงส่ายหน้ารัว
“เราไปตรงโน้นกัน มีหินสวยๆ เยอะเลย” คริสเปลี่ยนเรื่องคุยกันแล้วจูงมืออีกคนเดินต่อไปก้าวเท้ายาวๆ ไปตรงอีกฟากหนึ่งมีหินอย่างที่คริสว่าจริงๆ คนตัวสูงนั่งลงแล้วหยิบหินสีอ่อนก้อนหนึ่งยื่นมันให้อี้ชิงแล้วเอ่ยเล่า “ชายหาดที่นี่เป็นหินก้อนมนเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนีซเลยก็ว่าได้ธรรมชาติได้สร้างสรรค์สิ่งแปลกๆ ขึ้นมาแต่เลอค่านะคุณว่าไหม”
อี้ชิงรับมันมาแล้วพินิจดู รอยยิ้มบางๆ ระบายทั่วใบหน้านั่นทำให้คนกำลังอธิบายยิ้มตาม
“บางคนนำมันไปวาดภาพลงสีแล้วขายได้ราคาดี บ้างก็เอาไปใส่ตู้ปลาแต่สำหรับผมแล้วจะไม่ทำแบบนั้น” ว่าแล้วหยิบอีกก้อนขึ้นมา อี้ชิงจดจ่อกับสิ่งที่อีกคนกำลังจะทำต่อจากนี้คริสเลือกก้อนที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก มือหนาลูบหินก้อนดังกล่าวให้เกลี้ยง ตามด้วยหยิบปากกาเคมีสีดำจากกระเป๋าเสื้อบรรจงเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนหินก้อนนั้นข้อความสั้นๆ ที่เขาได้เขียนลงไปทำให้เจ้าของชื่ออีกชื่อหนึ่งยิ้มกว้าง
‘Kris’s heart is Yixing’
“ถ้ามันจะหายไปก็คงเป็นเพราะน้ำทะเลกัดเซาะ แต่แท้จริงแล้วหัวใจของผมมันอยู่ตรงนี้ความรักทั้งหมดมันรวมกันอยู่ที่นี่ ดูแลมันให้ดีนะอี้ชิง” คริสชี้นิ้วตรงอกข้างซ้ายของอีกคนเหมือนจะเป็นคำสั่งแต่ฟังดูเป็นคำขอร้องเสียมากกว่า“เพราะผม...ก็จะดูแลความรักของคุณเท่ากับชีวิตของผมเช่นกัน” อี้ชิงยิ้ม นัยน์ตาสั่นระริกกับประโยคแทนใจของคนตัวสูง มือเล็กเลื่อนมากุมหลังมืออีกคนไว้ นิ้วก้อยทั้งสองเกี่ยวกันแน่น
“ขอบคุณนะคริส แม้วันหนึ่งผมต้องจากไป ผมสัญญาว่ามันก็ยังคงอยู่ตรงนี้ ที่ตรงนี้เป็นของคุณ...เพียงคนเดียว”ทั้งสองต่างเห็นรอยยิ้มของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย และพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงลมหายใจที่ใกล้ชิดกันจนกระทั่งมองไม่เห็นอะไรเลย ท่ามกลางเสียงซัดสาดของคลื่นทะเลและแสงหักเหของดวงอาทิตย์ยามพลบค่ำมีเพียงลมทะเลและดาวประจำเมืองเท่านั้นที่เห็นการกระทำของพวกเขาสองคน
ระเบียงไม้หน้าบ้านลมโกรกพอดิบพอดี อี้ชิงออกมานั่งรับลมหลังจากที่อาบน้ำเสร็จก่อนออกมาคริสบอกว่าวันนี้ดาวสวยมาก อี้ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดทำไมไม่เห็นมีดาวสักดวงอย่างที่อีกคนบอกเลยกะพริบตาปริบเมื่อพบว่าแท้จริงแล้วดวงดาวยังคงพร่างพราวเต็มท้องฟ้า หน้าเรียวสะบัดรัวคิดว่าตัวเองคงง่วงมากจนตาพร่าไปแต่นั่นไม่ใช่เลยอี้ชิงพยายามปัดป่ายมือหาที่เกาะพยุงตัวแล้วค่อยๆ นั่งลงเมื่อรู้สึกว่าระเบียงที่ยืนอยู่คล้ายจะพลิกคว่ำ ร่างเล็กหายใจถี่เหงื่อเม็ดใสผุดขึ้นมาตามใบหน้า มืออีกข้างยกขึ้นกุมหน้าอกไว้แน่น รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก เขานั่งอยู่อย่างงั้นสักพัก ตั้งสติกับสัญญาณบางอย่างที่มันเริ่มแผลงฤทธิ์แสดงให้เห็นอีกครั้ง หลังจากสะสมกันมายาวนานโดยที่คริสไม่เคยรู้
บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้ว...
เสียงหอบค่อยๆ ผ่อนลงเมื่อสายลมอ่อนพัดมากับเสียงเรียกของใครบางคน อี้ชิงไม่ตอบกลับเพราะลำบากเกินกว่าจะร้องบอกคริสคงอาบน้ำเสร็จแล้วเรียกให้เขาเข้านอน ร่างเล็กพยายามตั้งสติอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินเข้าห้องไป
“ไปนั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น” เสียงทุ้มถามขณะที่ร่างเล็กแง้มประตูเข้ามาภายในห้องนอน
“ดูดาวไง”อี้ชิงตอบ เดินก้มหน้าก้มตาเข้าห้อง
“นอนเถอะถึงเวลานอนแล้วนะ”
“ยังไม่ง่วงเลย นอนคุยกันได้ไหม” ว่าแล้วนั่งลงบนฟูกหนา มือเรียวดึงผ้าห่มที่คริสกำลังจะเอาคลุมร่างตัวเอง ร่างสูงหัวเราะถูกใจที่วันนี้อี้ชิงดูอ้อนเป็นพิเศษ
“อยากคุยกันหรือทำอะไรอย่างอื่น หืม”คริสว่าหยอกพลางหรี่ตามอง อี้ชิงกะพริบตาปริบเมื่อเขามองเห็นคริสยิ้มเป็นเพียงภาพเลือนรางเท่านั้น อี้ชิงสูดหายใจลึกแล้วขยับตัวขึ้นไปเอนลงข้างกายร่างสูง วางหัวกลมลงบนหมอนนุ่ม สบตากับคนรักที่เอาแขนเท้าศีรษะไว้กับหมอน ถึงจะไม่ชัดเจนนักแต่รอยยิ้มที่ถูกส่งมาก็มากพอให้อี้ชิงรู้สึกอุ่นใจคนตัวเล็กขยับเข้าไปใกล้กับอกกว้าง มุดอยู่อย่างนั้นไม่อยากหนีไปไหน คริสใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ลูบผมนุ่มอย่างอ่อนโยน เขาชอบเวลาที่อี้ชิงเข้าหาแบบนี้ มันทำให้รู้สึกเหมือนเราต่างขาดกันไม่ได้ แล้วเขาก็ไม่อยากปล่อยร่างเล็กไปไหน อยากกอดไว้อย่างนี้ทั้งวัน
“แค่คุยกัน...นะคริส คุยกับผมหน่อย” คริสหัวเราะเบาๆ กับคำพูดเหล่านั้น ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายถึงอยากคุยจ้อขึ้นมาเขายิ้มบางให้อีกคน เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้อี้ชิง
“งั้นนอนคุยกันก่อนก็ได้ แต่คุณต้องรีบนอนนะ”
อี้ชิงยิ้มให้กับคำตอบตกลงหากแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาโอบรอบตัว หลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นรางๆ ว่าคริสกำลังเลิกคิ้ว ใบหน้าหล่อฉายแววสงสัยเมื่อคนชวนคุยกลับเงียบเสียงไปเสียอย่างนั้น
“คุณคิดไว้หรือเปล่าว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะทำอะไร” หลังจากปล่อยให้เวลาล่วงเลย อี้ชิงก็เอ่ยคำถามออกมา คริสตอบแทบจะในทันทีโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
“อยู่กับคุณไง”
“ไม่ ผมหมายถึงคุณจะทำอะไร ที่ไม่เกี่ยวกับผมน่ะ” ดวงตาใสกะพริบปริบ สำหรับคริส มันช่างน่ามองจนยากจะละสายตา เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ
“อืม...เลี้ยงลูกล่ะมั้ง”
“เลี้ยงลูก ลูกที่ไหน” อี้ชิงขมวดคิ้ว นี่คริสคงไม่ได้ไปมีสาวที่ไหนซ่อนอยู่หรอกนะ
“นี่ ผมคิดไว้นานแล้ว เรารับเด็กมาเป็นลูกบุญธรรมดีไหม” คริสเริ่มอธิบายด้วยแววตาสดใส เขาเปลี่ยนท่านอนเป็นนอนหงาย ดวงตาจับจ้องไปบนเพดาน วาดฝันถึงอนาคตที่วางไว้ “ผมอยากรับเด็กคนจีนสักคนมาเลี้ยง คุณคิดว่ายังไง”
“จะดีเหรอ” อี้ชิงถามเสียงแผ่ว ถึงจะไม่แปลกใจที่คริสพูดเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าถ้ารับมาแล้วเขาจะสามารถเลี้ยงเด็กไปจนโต เมื่ออะไรๆ มันก็ไม่แน่นอน ถ้ามีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น อาจจะเพิ่มภาระให้กับคริสเปล่าๆ
“ถามแบบนี้คุณไม่อยากมีเหรอ ดีออก มีเด็กเล็กๆ ในบ้าน สดชื่นดี”
“อยากมีสิ อยากมีตอนนี้เลย...” อี้ชิงสูดหายใจลึก รู้สึกแน่นหน้าอก ท่านอนตะแคงหันเข้าหาคริสทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่อยากนอนหงายละสายตาจากผู้ชายคนนี้ “...แต่พรุ่งนี้คุณอาจจะไม่อยากมีแล้วก็ได้”
“จะเป็นไปได้ยังไง นี่ไม่ได้พูดเล่นนะอี้ชิง คุณอยากได้ลูกชายหรือลูกสาวล่ะ ผมยังไงก็ได้นะแล้วแต่คุณ” คริสหันกลับมายิ้มกว้างให้คนรัก “หรือเราจะรับเลี้ยงสองคนเลย ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เด็กๆ จะได้มีเพื่อนเล่น”
“คนเดียวก็พอแล้ว...คุณจะได้ไม่เหนื่อย”
“เหนื่อยอะไร ยังไงคุณต้องช่วยผมเลี้ยงอยู่แล้ว ใช่ไหม” ว่าแล้วเลื่อนมือไปกุมมือของอีกคน บีบเบาๆ คล้ายจะแบ่งปันความอบอุ่น จับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายใบหน้าซีดเซียวมากกว่าปกติเลยอดเป็นห่วงไม่ได้ “นอนเถอะอี้ชิง เดี๋ยวผมจะปิดไฟแล้ว”
“อย่าปิดนะ” อี้ชิงคว้ามือของอีกคนไว้ “ผมกลัวเห็นหน้าคุณไม่ชัด”
คริสขมวดคิ้วแต่ก็ยอมโอนอ่อนตามอี้ชิง ร่างสูงล้มตัวลงนอนเช่นเดิม ผายแขนออกเพื่อรับเอาร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะรู้สึกได้ว่าอี้ชิงหายใจเสียงดังกว่าเดิมมาก
“นอนนะอี้ชิง” บอกแล้วลูบแขนบางเบาๆ ราวจะกล่อมให้อีกคนเข้าสู่นิทราแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มกลับส่ายไปมาปฏิเสธคำสั่ง
“เรายังไม่ได้ตั้งชื่อลูกเลยนะ” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นติดจะแหบพร่า “อี้เชี่ยนดีไหม”
“อือ...อี้เชี่ยน เพราะดี ผมชอบ” คริสตอบรับก่อนจะอ้าปากหาว ด้วยความล้าสะสมทำให้เขาง่วงเร็วกว่าปกติ แต่ก็ยังฝืนตัวเองเอาไว้ ยังไงเขาก็ต้องให้อี้ชิงหลับก่อน มันเป็นเรื่องเปราะบางในจิตใจที่ตกค้างมากจากเรื่องราวที่ผ่านมา ถ้าไม่เห็นว่าอีกคนหายใจสม่ำเสมอขณะหลับเขาเองก็คงปล่อยให้ตัวเองหลับก่อนไม่ได้ แต่ทำไมวันนี้อี้ชิงดื้อจังนะ เขาคิด ยังคงเอามือลูบแขนของคนรักอยู่อย่างนั้นแต่ดวงตาใสก็จ้องเขาไม่วางตา
“คริส...”
“หืม”
“ถ้าหากวันหนึ่งจำเป็นต้องปล่อย ก็ขอให้ปล่อยเถอะนะคริส” อี้ชิงเอ่ย เหลือบตาขึ้นมองคนตัวโตกว่าที่ครางตอบงึมงำอยู่ในคอ เปลือกตาปิดลงไปแล้ว ร่างเล็กขยับตัวออกจากอ้อมแขนที่โอบกอดตนไว้ พลิกตัวเพื่อก้าวลงจากเตียง เซถลาเล็กน้อยเพราะความไม่สมดุลในร่างกาย สูดหายใจลึกขณะก้าวขาไปยังโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล อี้ชิงหยิบโทรศัพท์ของคริสแล้วต่อสายถึงคนที่จีนโดยไม่สนใจว่าตอนนี้ที่นั่นจะเป็นเวลาเท่าไหร่
“พี่เฮนรี่ครับ...” อี้ชิงเอ่ยชื่อคนปลายสาย อีกฝั่งตอบกลับมาด้วยเสียงดีอกดีใจ “...ผมมีเรื่องให้พี่ช่วยหน่อย”
อี้ชิงใช้เวลาอยู่กับสายนั้นพอสมควร ความรู้สึกแน่นหน้าอกเสียดแทงขึ้นมาจนแทบจะพูดคุยต่อไม่ไหว เงียบไปก็หลายคราจนเฮนรี่ต้องร้องเรียก เขาแน่ใจว่าเฮนรี่น่าจะจับสังเกตอะไรบางอย่างได้จากเสียงพูดคุย เพราะครั้งหนึ่งทางนั้นถามมาด้วยความเป็นห่วงว่าไม่สบายหรือเปล่า อี้ชิงเอ่ยปฏิเสธทั้งที่ความจริงแทบล้มทั้งยืน หากแต่ข้อความที่ต้องการจะถ่ายทอดนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
“ฝากด้วยนะครับ” เอ่ยเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะตัดสายไป
แม้ทั้งห้องจะสว่างจ้าด้วยแสงไฟที่ยังไม่ได้ปิดแต่หนทางที่ก้าวเดินช่างดูมืดมนเหลือเกิน อี้ชิงก้าวเท้าออกไปตามสัญชาตญาณ รู้สึกโล่งใจเมื่อเดินกลับมาที่เตียงได้โดยไม่ล้มพับไปเสียก่อน ร่างบางเคลื่อนตัวไปนอนบนเตียงข้างๆ คริสอีกครั้งและยังคงนอนตะแคงเพื่อซึมซับใบหน้าของคนรักแม้จะรู้สึกเจ็บปวดจนทรมาน
“คริส...”
“...” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา มีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอเท่านั้น ป่านนี้เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคงเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว อี้ชิงยิ้มแม้รู้สึกได้ว่าขอบตาที่ร้อนผ่าวของตนนั้นรื้นด้วยหยาดน้ำตาอุ่น
“ขอโทษนะ...ผมคงมาได้แค่นี้แล้วจริงๆ” ปากบางเม้มแน่นกลั้นเสียงสะอื้น ทั้งมีความสุขและเจ็บปวดในคราวเดียว ภาพความทรงจำมากมายไหลย้อนวนกลับมาในห้วงคำนึง เสียงคลื่นทะเลดังแว่วเข้ามาเหมือนร้องเรียก อี้ชิงกะพริบตาปริบในความมืด...ความมืดที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่เห็น แขนเล็กยันตัวเองขึ้นเพื่อกดริมฝีปากลงบนหน้าผากกว้าง ประทับความรักลงบนนั้นอยู่เนิ่นนานเพราะคงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ทำแบบนี้ ยังมีอะไรในใจหลายอย่างที่อยากจะบอกอีกคน แต่บางครั้งมันก็คงดีกว่าที่จะเก็บมันไปด้วย
อี้ชิงล้มตัวลงนอน ซุกใบหน้าเข้ากับอกกว้างแล้วเอ่ยราตรีสวัสดิ์แม้ตัวเองจะยังลืมตาอยู่
“ฝันดีนะคริส...”
เพราะอีกไม่ช้าเขาเองก็คงต้องอยู่ในห้วงของความฝันไปตลอดกาล...
แสงแดดช่วงสายของวันส่องทะลุผ้าม่านสีอ่อนเข้ามา แม้ไอร้อนจะไม่ได้สาดเข้ามาจนถึงเตียงแต่ความอบอุ่นก็มากพอที่จะทำให้คนที่หลับอยู่รู้สึกตัว เปลือกตาหนาปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า คริสยันตัวเองขึ้นนั่งก่อนจะบิดขี้เกียจรับวันใหม่ เหลือบมองคนข้างๆ แล้วเผลอยิ้มออกมา อี้ชิงยังนอนหลับตาพริ้มอยู่ ร่างสูงขยับตัวลุกออกจากเตียงช้าๆ ไม่อยากให้อีกคนตื่น
ม่านฝั่งที่ไม่มีแดดส่องถูกเปิดออก วิวด้านนอกเป็นทะเลสวยยามสาย คริสแง้มกระจกออกเพื่อรับลมทะเล กลิ่นเกลืออ่อนๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินกลับไปที่เตียงแล้วนั่งลงข้างร่างของอี้ชิง
ไม่บ่อยนักที่คริสจะมีโอกาสตื่นก่อน อันที่จริงเขาชอบมองเวลาที่อี้ชิงหลับ คนตัวเล็กดูเหมือนลูกแมวที่กำลังขดตัวอยู่ในฟูกหนา ลูกแมวที่บางครั้งก็ขี้อ้อนซะจนต้องยอมทุกอย่าง คริสยิ้มเมื่อนึกเรื่องบางอย่างขึ้นในหัว เรื่องที่ตั้งใจจะเล่าหลังจากแต่งงาน...ปอยผมที่ปรกบนใบหน้าใสถูกมือหนาปัดออกอย่างอ่อนโยน คริสเกลี่ยนิ้วบนพวงแก้มนั้นไปมาก่อนจะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
เขาไม่ได้ยินเสียงหายใจ
คิ้วหนาขมวดมุ่น เขายืดตัวขึ้นแล้วจับไล่ไปตามแขนของอีกคน ลองเขย่าร่างนั้นเบาๆ แต่ก็ไม่มีการตอบรับหรือเขยื้อนกายใดๆ
“อี้ชิง...ตื่นได้แล้วนะ” เขาจับใบหน้าของคนรักที่ยังหลับสนิท เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ร่างสูงแนบหูลงบนแผ่นอกบางก่อนจะยืดตัวขึ้นมองร่างแน่นิ่งด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาเสียงเต้นของหัวใจหายไป นาทีนั้นเองที่ความกลัวพุ่งขึ้นมา คริสรู้สึกชาไปทั้งตัว นัยน์ตาคมเบิกกว้างขณะมือที่ค้างอยู่บนท่อนแขนเล็กนั้นสั่นระริก
ในห้องที่เงียบสงัดกลับมีเสียงอื้ออึงดังขึ้นในหู คริสนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง เบื้องหน้าคือร่างของอี้ชิงที่นิ่งสนิท...มือใหญ่ทาบไปบนแผ่นอกบาง แทบคิดไม่ออกแล้วว่าควรจะทำอะไรก่อน รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ที่คอริมฝีปากของเขาขยับไปมาหากแต่ยากเหลือเกินที่จะเปล่งเสียงออกมายามนี้ เขาพยายามเอ่ยเรียกชื่อของอีกคน แต่เสียงที่หลุดออกมากลับฟังดูไม่ได้ศัพท์เลยแม้แต่น้อย
คริสยืดตัวขึ้น ประสานมือวางลงบนช่วงปลายหน้าอกของอี้ชิงแล้วออกแรงกด พร้อมกับเรียกชื่อคนรักไปด้วย
“อี้ชิง...อี้ชิง” คริสร้องเรียกอยู่อย่างนั้นขณะพยายามปั๊มหัวใจ หัวสมองของเขาว่างเปล่าไปหมด มีเพียงเสียงของตัวเองที่ดังก้องอยู่ในนั้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองปั๊มหัวใจให้อี้ชิงนานแค่ไหน ความรู้สึกล้าไล่ลามไปทั่วแขนแต่คนที่นอนอยู่ก็ยังไม่ลืมตา
“อี้ชิง อย่าหลอกกันเล่นแบบนี้สิ” เสียงทุ้มนั้นแตกพร่า น้ำใสหยดลงบนมือที่ลงแรงไปบนแผ่นอกที่นิ่งสนิท เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นมาตอนนั้นแต่เจ้าของเครื่องยังคงออกแรงปั๊มหัวใจให้คนรักอยู่ ปากหยักร้องเรียกชื่ออี้ชิงไม่หยุด
แต่ดูเหมือนเสียงเรียกของเขาจะส่งไปไม่ถึง
เปลือกตาของอี้ชิงยังคงปิดสนิท เหมือนคนที่นอนหลับฝังตัวเองอยู่ในความฝันไม่ยอมออกมา ร่างสูงหยุดแรงของตัวเองแล้วพุ่งไปคว้าโทรศัพท์ หน้าจอโชว์ชื่อของซันนี่ชัดเจน คริสไม่ปล่อยให้เลขาของตัวเองได้พูดอะไร เขารีบออกคำสั่งในทันทีด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ซันนี่ ตามหมอมาให้ผมเดี๋ยวนี้เลย! เดี๋ยวนี้!”
‘คะ...ค่ะ ได้ค่ะบอส’ ถึงแม้จะไม่เข้าใจนักแต่ซันนี่ก็ตอบรับคำสั่งนั้นทันทีโดยไม่ถามอะไรต่อ
คริสกดตัดสายแล้วกลับไปหาร่างที่อยู่บนเตียง เริ่มต้นปั๊มหัวใจอีกครั้ง...อี้ชิงยังไม่ไปไหนหรอก เขาเชื่ออย่างนั้น ก็แค่หลับลึกเกินไป เขาปั๊มหัวใจสลับกับการผายปอดอยู่อย่างนั้น แม้ทุกอย่างจะชัดเจนดีแล้วแต่ในใจเขาก็ยังหวังว่ามันจะเป็นแค่เรื่องล้อเล่น หวังว่าอี้ชิงจะลืมตาขึ้นมายิ้มให้เขาแล้วบอกว่ามันเป็นเรื่องอำขำๆ
แต่มันไม่ขำเลยสักนิด
น้ำตาของเขาแห้งเหือดไปได้สักพักแล้ว แขนที่ล้ายังคงออกแรงอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด คริสปั๊มหัวใจต่อไปเรื่อยๆ ถึงจะรู้ว่าอีกไม่นานคงจะหมดแรงแต่เขาก็หยุดไม่ได้ จนกว่าใครสักคนจะมาถึง เขาจะปล่อยให้อี้ชิงนอนนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้
อย่าทิ้งผมไปนะ...คริสพูดคำนั้นอยู่ในใจ ถ้าเมื่อคืนนี้เขาเอะใจสักนิด ถ้าใส่ใจอี้ชิงมากกว่านี้ ช่วงเวลานี้มันไม่สำคัญเลยว่าจะมีงานแต่งงานบ้าบออะไรนั่น ทำไมเขาต้องลากอี้ชิงมาเดินตะลอนๆ เหนื่อยทั้งวัน ภาพใบหน้าซีดเซียวของอี้ชิงลอยวาบขึ้นมาในหัวให้รู้สึกผิดอีกหน
แต่ไม่มีใครบนโลกนี้ย้อนเวลากลับไปได้ คำว่า ‘ถ้า’ มีไว้สำหรับปลอบใจคนเท่านั้น
“จาง อี้ชิง ตื่นสักทีสิ” คริสหันมองใบหน้าสงบนิ่งนั่นเป็นระยะพร้อมกับออกแรงกดหน้าอก “คุณจะไปเฉยๆ อย่างนี้ไม่ได้นะ อี้ชิง ขอร้องล่ะ ลืมตาสิ”
เสียงรถที่จอดอยู่หน้าบ้านพักดังมาจนถึงในห้องนอนนี้ มีเสียงดังเอะอะอะไรสักอย่างก่อนที่ซันนี่จะเข้ามาในห้องเป็นคนแรก หญิงสาวไม่ได้เอ่ยถามหรือร้องโวยวายกับภาพตรงหน้า เธอเข้ามาคว้าตัวคริสออกจากร่างที่แน่นิ่งบนเตียงเพื่อให้แพทย์ที่เธอพามาด้วยเข้าตรวจดูอย่างละเอียด คริสเซล้มลงนั่งกับพื้นห้อง รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อซันนี่มาถึงที่นี่ เลขาสาวย่อตัวลงแตะที่ไหล่ของร่างสูงคล้ายกับจะปลอบโยน
แพทย์ใช้เวลาตรวจไม่นานนักก็หันมาหาคริสด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยภาษาฝรั่งเศสที่คริสไม่อยากได้ยินเลยแม้แต่น้อย
“เขาเสียชีวิตแล้วครับ”
“หมอ...ตัวอี้ชิงยังอุ่นอยู่เลยนะ เขาจะตายได้ยังไง ตัวเขายังอุ่นอยู่เลย!” คริสลุกขึ้น รู้สึกโกรธจนแทบกระโดดพุ่งใส่หมอตาสีน้ำข้าว
“บอสคะ!” หญิงสาวตัวเล็กพยายามยื้อเจ้านายไว้แต่ก็ยากเหลือเกินเพราะร่างของคริสสูงใหญ่เกินกว่าที่เธอจะปรามไหว
“หมอยังไม่ได้ปั๊มหัวใจเขาด้วยซ้ำ! เขาจะตายได้ยังไง เมื่อคืนเขายังอยู่กับผมอยู่เลย! เรายังคุยกัน ยังมองตากัน ยัง...” เสียงทุ้มที่ตะเบ็งด้วยความเกรี้ยวกราดแผ่วเบาลง ก่อนที่น้ำตาใสจะไหลออกมาอีกครั้ง นาทีนั้นไหล่กว้างที่เคยดูภูมิฐานกลับลู่ลงจนน่าสงสาร คริสขยับขาเชื่องช้าไปที่เตียงอีกครั้ง มองร่างที่นอนนิ่งด้วยความเจ็บปวด “...อย่าปล่อยมือจากผมแล้วหนีไปในที่ที่ผมไปไม่ถึงสิอี้ชิง”
คำว่าโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ดูจะน้อยไปสำหรับความรู้สึกของคริสตอนนี้ น้ำตาของเขามันยังคงไหลอยู่อย่างนั้น ขณะที่มือเลื่อนไปกุมมือของอี้ชิงไว้...มือที่กำลังเย็นเฉียบเปรียบเสมือนความจริงที่ยากจะยอมรับ
ภาพความทรงจำไหลย้อนวนกลับมาเหมือนฟิล์มม้วนเก่าที่ถูกรื้อ ภาพอดีตมากมายที่คริสอยากจะแก้ไขมันซะ แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่ความทรงจำ...เรื่องของจาง อี้ชิงกำลังจะเป็นแค่ความทรงจำ แต่จะให้ทำยังไง เขายังทำใจไม่ได้ที่ต้องตื่นมาเพื่อพบกับความจริงที่ว่าอี้ชิงจากไปแล้ว
โดยไม่บอกลาสักคำ
“ผมยังไม่ได้สวมแหวนให้คุณเลยนะอี้ชิง...เรายังไม่ได้เจออี้เชี่ยนของเราเลยนะ”
มีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบให้กับคริส...อี้ชิงคนเห็นแก่ตัว เขานึกโกรธอยู่อย่างนั้น เลิกหลับตาพริ้มแล้วลุกขึ้นมาดูผมสิลุกมาล้อผมที่ร้องไห้เหมือนเด็กไม่รู้จักโตก็ได้
แต่ความตาย ไม่เคยมีเสียงตอบกลับให้ใคร...
ร่างไร้วิญญาณของอี้ชิงถูกพากลับมาที่แผ่นดินบ้านเกิดเพราะยังไงเขาก็เกิดและโตที่จีน คนทุกคนที่เกิดมาจากพื้นดินก็ต้องกลับสู่พื้นแผ่นดินเดิม และคริสก็อยากจะฝากอี้ชิงไว้ที่นี่...ที่ที่พวกเขาทั้งสองคนเคยมีช่วงเวลาที่ดีด้วยกันในอดีต
ลู่หาน ดาน่าและแม่ของคริสรู้ความจริงในวันนั้นจากซันนี่ คริสแทบจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนที่เขารักที่สุดด่วนจากไปไม่ทันตั้งตัว ราวกับว่าหัวใจทั้งดวงถูกผ่าเหลือเพียงซีกเดียว โชคดีที่มีซันนี่เป็นเลขาเพราะนอกจากเธอจะช่วยจัดการเรื่องงานแล้วยังช่วงเรื่องส่วนตัวด้วยตอนนั้นซันนี่ทั้งเก่งและเข้มแข็งมากกว่าเจ้านายของเธอด้วยซ้ำ อีกทั้งทางครอบครัวของสเตฟานี่ก็ได้ช่วยจัดการงานให้จนเป็นที่เรียบร้อยจนกระทั่งนำศพของอี้ชิงมาถึงจีน
ซ่งเชี่ยนบอกว่าเมื่อสามวันก่อนได้ติดต่อกับทีมแพทย์ฝรั่งเศสอาการล่าสุดของอี้ชิงไม่ดีนักเพราะก่อนหน้านี้เคยสูบบุหรี่จัดและดื่มแอลกอฮอล์หนักจึงเรื้อรังเรื่อยมา แต่ก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์มันจะปุบปับแบบนี้ เธอกล่าวด้วยน้ำสีหน้าเศร้า เฮนรี่บอกว่าก่อนหน้าที่อี้ชิงจะเสีย อี้ชิงได้โทรศัพท์มาหาเขา เฮนรี่จับสังเกตน้ำเสียงของอีกฝ่ายมันดูผิดปกติมากจนได้ถามถึงอาการป่วยแต่อี้ชิงก็ตอบปฏิเสธแล้วรีบวางสายไป
“ฉันน่าจะได้คุยกับน้องบ้างสักนิดก็ยังดี”ดาน่ากล่าวเสียงสั่นเครือ มือข้างหนึ่งยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด เป็นครั้งที่สองที่คริสเห็นผู้หญิงคนนี้ร้องไห้หนักเพราะอี้ชิง “ฉันเองก็เสียใจไม่ต่างกับคุณหรอกค่ะ แต่ยังไงซะพวกเราก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปบนโลกใบนี้ คุณเองต้องเข้มแข็งไว้นะคะ”ดาน่าฝืนยืมทั้งน้ำตา เฮนรี่จึงเดินเข้ามาโอบไหล่เป็นการปลอบประโลมเธอ คริสฟังแล้วทำได้เพียงพยักหน้าเป็นการตอบรับ แม้ดวงตาทั้งสองจะบวมเต่งแต่ร่างสูงไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น
“ถึงแม้อี้ชิงจะจากไปแล้ว แต่ช่วงเวลาก่อนนั้นเขาก็มีความสุขกับคนที่เขารักที่สุดไม่ใช่เหรอ อี้ชิงรักคุณมากนะ ช่วงเวลาสุดท้ายเขาก็ยังทำเพื่อคุณ อย่าเสียใจไปเลยเพราะวันหนึ่งพวกเราก็ต้องไปอยู่กับเขา ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นที่รอคอยพวกเราอยู่เสมอ” เฮนรี่ว่าจบพร้อมยิ้มบางๆ ให้เพื่อคลายความเศร้าของทุกคน
“ขอบคุณนะครับ” คริสตอบสั้นๆ และส่งยิ้มบางให้กับคนทั้งสอง ก่อนที่เฮนรี่จะพาดาน่าไปนั่งอีกฝั่งเพื่อรอพิธีไว้อาลัยเขาตั้งใจจะเดินตามไปแต่สายตาก็สะดุดกับหญิงชราคนหนึ่งเสียก่อนคริสจำได้ในทันทีว่าเธอคือคุณหลิว ผู้ซึ่งเคยเห็นเขามาตั้งแต่เด็กและผู้หญิงคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา อิ๋งชุนนั่นเอง
ร่างสูงรีบเดินไปหาแล้วทำความเคารพผู้สูงวัย แขนยาวประคองคุณหลิวช่วยอิ๋งชุน นัยน์ตาสีขุ่นเหลียวมองหน้าคมแล้วยิ้มให้ทั้งที่ความจริงแล้วภาพนั้นเลือนรางนัก
“มันเร็วเหลือเกิน ดิฉันเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน เสียใจจริงๆ ค่ะ” เจ้าของดวงตาสีขุ่นนั้นกำลังจะร้องไห้ แต่ถูกร่างสูงก้มลงกอดไว้แน่นเสียก่อน
“อี้ชิงมีความสุขมากนะครับ” เสียงทุ้มของคริสสั่นเครือ ราวกับกำลังสะอื้นไห้แต่น้ำตาของเขาไม่ควรไหลออกมาในยามนี้ เขาคิดอย่างนั้น คุณหลิวยกมือขึ้นลูบหัวคริสอย่างอ่อนโยน คนที่ผ่านโลกนี้มานานอย่างเธอรู้ว่าอีกคนกำลังรู้สึกอย่างไร
“อี้ชิงแค่นอนหลับ เขาไม่ได้จากพวกเราไปไหนหรอกพวกเราเองก็รู้ดี”
“เชื่อในคำสัญญาของพระองค์นะคะอี้ฝาน” อิ๋งชุนพูดเสริม คริสผละออกจากอ้อมกอดพยักหน้าให้คนทั้งสองเป็นการขอบคุณแล้วพาไปนั่งยังที่รับรองแขก
เสียงร้องเพลงสรรเสริญดังกังวาลทั่วโบสถ์ทุกคนล้วนอธิษฐานการทรงนำของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อสร้างความอบอุ่นใจเล็กๆ ให้กับญาติผู้ล่วงหลับ แม้จะมีเพียงคนรู้จักไม่กี่คนที่มาร่วมงานแต่คริสก็รู้สึกถึงแรงกำลังใจของทุกคนที่ส่งมายังเขา แม้วันนี้จะเสียใจมากแค่ไหนแต่น้ำตาของเขาจะไม่ไหลออกมาอีกแล้ว
แรงบีบหนักๆ ที่หัวไหล่ทำให้ร่างสูงที่ก้มหน้าอยู่เงยขึ้นมอง เบื้องหน้าเป็นชายร่างเล็กหน้าตาคุ้นเคยกับผู้ชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ถัดกัน...ลู่หานกับจงอินในชุดสุภาพสีดำ บรรยากาศที่นี่เงียบสงบและดูเย็นยะเยือกไปหมด วันนี้เป็นวันฝังศพ จงอินไม่ยิ้มให้อย่างลู่หานแต่แววตาฉายความเป็นมิตรมาให้มากกว่าครั้งก่อนๆ เขาก็คงรู้สึกเสียใจไม่ต่างกันมากนัก คริสคิดอย่างนั้น ลู่หานลดตัวลงนั่งที่ม้านั่งข้างๆ สังเกตใบหน้าคมของเพื่อนดูดีขึ้นมานิดหน่อยจากเมื่อวานแต่แววตาก็ยังคงเต็มไปด้วยความเศร้าเหมือนเคย
“ฉันขอนั่งด้วยคนนะ” จงอินว่าจบแล้วนั่งลงข้างๆ ลู่หาน
“แล้วเรื่องเด็กที่ติดต่อขอรับมาเลี้ยงจะทำยังไงต่อ” ลู่หานเอ่ยถาม
“ฉันจะเลี้ยงเขาเอง” คริสตอบในทันทีเพราะเขาตัดสินใจดีแล้วอีกอย่างอี้ชิงเองก็ได้รับรู้การมีตัวตนของเขาก่อนจะจากไป การรับเด็กมาเลี้ยงไม่ใช่ความตั้งใจของเขาเพียงคนเดียวเป็นความตั้งใจของอี้ชิงด้วย
“นายคงไม่มีเวลาว่างมากขนาดเอาเวลาทั้งวันไปเลี้ยงเขาหรอก ฉันว่านายควรจ้างพี่เลี้ยงสักคนมาไว้ที่บ้านหรือบางทีถ้าฉันว่างก็อาจจะแวะไปเลี้ยงช่วยนายก็ได้” ลู่หานว่าคริสยิ้มบางๆ เมื่อได้ยิน เพื่อนรักคนนี้ใจดีกับเขาเสมอ
“หมออย่างนายเอาเวลาว่างไปพักผ่อนเถอะ ไม่เป็นไรหรอกฉันเลี้ยงของฉันได้ อีกอย่างฉันมีแม่แล้วนะ เพราะอี้ชิงฉันกับแม่เลยได้กลับมาคุยกันอย่างไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”ลู่หานสังเกตเห็นนัยน์ตาของคริสขณะที่พูดถึงอี้ชิงกับแม่ฉายแววสุขออกมาท่ามกลางความโศกเศร้า นั่นทำให้เขายิ้มออกมา คริสจะต้องเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ล่วงไป ลู่หานหวังอย่างนั้น
“อ่า สำหรับเรื่องแม่ฉันดีใจกับนายด้วย งั้นเรื่องเด็กก็ตามใจแล้วกัน”ว่าจบแล้วคริสหมุนตัวมาคว้ามือลู่หานด้วยความรวดเร็ว ดึงร่างเล็กเข้าไปกอดแน่นจนอีกคนตั้งตัวไม่ทัน
“ขอบคุณมากนะเพื่อน” จนลู่หานหลุดหัวเราะแล้วยกมือขึ้นตบหลังคริสแรงๆ สองสามทีแล้วรีบขืนตัวออก
“เฮ้ย ไม่เป็นไร ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่”
“...”
“อืม...ถึงเวลาส่งอี้ชิงแล้วล่ะ” ลู่หานลุกขึ้นแล้วดึงมือคริสอยู่ให้ลุกขึ้นตามเพราะถึงเวลาของพิธีฝังศพแล้ว
หลังจากลำเลียงโลงศพมาที่สุสานแล้วเสียงร้องเพลงสรรเสริญจากแขกทั้งหลายได้ดังรอบๆ หลุมศพ แม้ว่าทุกอย่างรอบกายจะเป็นสีดำก็ตามแต่เสียงเพลงนั้นกลับทำให้ผู้ที่กำลังเป็นทุกข์ได้วางใจถึงการจากไปของผู้ล่วงหลับ
“พระเจ้าได้ทรงประทานชีวิตให้และเมื่อถึงเวลาอันควรเพราะเจ้าได้ทรงเรียกกลับคืนไป เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลก เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้เช่นกัน อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์อย่ากลัวเลย เราได้มาชุมนุมเพื่อนำเอาร่างกายของคนอันเป็นที่รักผู้นี้มาฝังไว้กับดิน ส่งวิญาณจิตของเขาได้ไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ณ ที่หลุมฝังศพนี้ เราไม่ได้ผิดหวังอย่างคนที่ไม่มีพระเจ้า เราเชื่อว่าคนที่หมดลมได้ไปเฝ้าพระเจ้าเพื่อจะได้พักผ่อน หายเหนื่อยและเป็นสุข ขอให้เราระลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่เป็นนิจจงให้ชีวิตของท่านดำรงอยู่ด้วยความเชื่อซึ่งมั่นคงยิ่งกว่าความตาย เราจึงมอบร่างกายคนที่เรารักนี้ไว้กับดิน เมื่อเราทั้งหลายมีลักษณะสมกับดินแล้วเราก็จะมีลักษณะสมกับสวรรค์เหมือนกัน...ซึ่งเป็นดินจะกลับเป็นดิน...ซึ่งเป็นเถ้าจะกลับเป็นเถ้า...ซึ่งเป็นธุลีจะกลับเป็นธุลี...”
สิ้นเสียงกล่าวธรรมโอวาทแล้วทุกคนก็ได้วางดอกไม้ไว้ที่หลุมศพ เพลงสรรเสริญได้ดังขึ้นอีกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่คริสจะได้ร้องเพลงอธิษฐานต่อหน้าคนที่เขารัก ต่อจากนี้จะไม่มีความเศร้าโศกหรือความทุกข์ใจอีกต่อไป
แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้งจาง อี้ชิง...
สี่เดือนต่อมา...
“ปะ ปะ” เสียงเด็กเล็กพูดไม่เป็นคำ เป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังขึ้นในห้องทำงานที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องนอนเด็กชั่วคราวภายในตัว เด็กหญิงตัวเล็กวัยขวบเศษยันตัวขึ้นพยายามเกาะรั้วยืนเรียกร้องความสนใจจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดเพราะงานที่แบกกลับมาทำที่บ้าน
“ว่าไงคนสวยของพ่อ” คริสเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มหนา ฉีกยิ้มให้ลูกสาวขณะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินมาอุ้มเด็กน้อยที่มีดวงตาส่องประกายสดใส ‘อี้เชี่ยน’ หัวเราะคิกคักเมื่อถูกคนเป็นพ่อหอมเข้าที่แก้มนิ่ม ร่างสูงในชุดลำลองสบายๆ อุ้มลูกสาวเดินร่อนไปรอบห้อง ลืมงานที่ตัวเองรับผิดชอบไปชั่วขณะ
ตั้งแต่รับอี้เชี่ยนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ตารางเวลาหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปตามกิจวัตรของลูกสาวตัวน้อย จากที่ต้องออกจากบ้านไปทำงานก็กลายเป็นว่าย้ายห้องทำงานมาไว้ที่บ้าน แถมยังต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็ก ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ช่วยเยียวยาได้...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่คริสกำลังหยอกล้อลูกสาว เขาพูดล้อสำเนียงของอี้เชี่ยนขณะเดินไปรับสาย เด็กน้อยหัวเราะชอบใจจนเห็นฟันกระต่ายข้างหน้าสองซี่ดูจิ้มลิ้มน่ารัก ชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าโทรศัพท์มือถือทำร่างสูงยิ้มแก้มแทบปริ และเอ่ยแซวทันทีที่กดรับสาย
“นายเพิ่งโทรมาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วนะลู่หาน”
‘ก็ตอนนั้นอี้เชี่ยนยังไม่ตื่นนี่นา ตอนนี้อี้เชี่ยนตื่นหรือยัง ขอคุยด้วยหน่อยสิ’ เสียงลู่หานที่ดังมาตามสายนั้นฟังดูน่าขำ ตอนนี้ลูกสาวเขากลายเป็นขวัญใจของคนรอบข้างไปแล้ว ใครเห็นก็บอกว่าหน้าคล้ายอี้ชิง เขาเองก็คิดอย่างนั้น...วันที่เจออี้เชี่ยนครั้งแรก เด็กน้อยนั่งเล่นอยู่กับเจ้าหน้าที่รอเขาในห้อง ตอนที่ดวงตาใสไร้เดียงสาหันมาสบกับเขา ทำให้คิดถึงอี้ชิงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรก็ตามแต่เด็กคนนี้เหมือนอี้ชิงเหลือเกิน
“อี้เชี่ยนหลับอยู่” ปดออกไปเพราะตั้งใจจะแกล้งเพื่อนเล่น ลู่หานบ่นออดแอดมาทางปลายสาย
‘งั้นอีกครึ่งชั่วโมงฉันจะโทรไปใหม่ แค่นี้นะต้องทำงานแล้ว’
“อ้าว ไม่ได้อยู่กับจงอินหรอกเหรอ”
‘อี้ฝาน! อย่าแซว’
ร่างสูงหัวเราะร่าเมื่อตัดสายจากเพื่อนสนิท หันมาสูดกลิ่นหอมจากแก้มเด็กหญิงอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว ใจจริงเขาอยากจะเล่นกับอี้เชี่ยนมากกว่านี้ แต่งานที่ต้องเร่งเคลียร์ให้เสร็จทำให้ไม่อาจตามใจตัวเองได้ คริสวางเด็กน้อยลงในคอกกั้นตามเดิมแล้วหยิบเอาของเล่นสีสันสดใสให้เจ้าตัวเล็กเล่นไปก่อน เสียงออดประตูเรียกความสนใจจากคนที่กำลังจะกลับไปทำงานตามเดิม คริสชะงักขาที่กำลังก้าวกลับโต๊ะ หมุนตัวเดินไปดูจากจอของที่ปลดล็อคประตู เมื่อเห็นว่าเป็นเฮนรี่จึงเปิดให้เข้ามา
“สวัสดีครับ มีอะไรหรือเปล่าถึงได้มาถึงที่นี่” ร่างสูงเอ่ยด้วยท่าทีเป็นมิตร ซึ่งสำหรับเฮนรี่ที่ไม่ได้เจอคริสมานานคิดว่าเขาเปลี่ยนไปค่อนข้างมากจากเมื่อตอนงานศพของอี้ชิง แต่นั่นถือเป็นเรื่องดี เฮนรี่ยิ้มให้เจ้าบ้านแล้วยื่นกล่องอะไรบางอย่างให้
“เอาของมาส่งครับ คนสั่งให้ส่งวันนี้...วันเกิดคุณ”
“วันเกิด...อ่า วันเกิดผม ลืมสนิทเลย” คริสรับมางงๆ เขาลืมวันเกิดตัวเอง อันที่จริงก็ไม่เคยจำอยู่แล้ว เดาว่าคนที่ฝากมาคงจะเป็นลู่หานไม่ก็สเตฟานี่ หากแต่เมื่อหยิบการ์ดสีม่วงอ่อนที่เสียบอยู่ใต้ริบบิ้นขึ้นดูคริสก็แทบหยุดหายใจ...โลกหยุดหมุนเป็นครั้งที่สอง “อี้ชิง...”
“คืนก่อนที่อี้ชิงจะเสีย จริงๆ เขาไม่ได้โทรมาคุยถามสารทุกข์สุขดิบอะไรหรอกครับ แต่เขาให้ผมสัญญาว่าจะไม่บอกคุณจนกว่าจะถึงวันนี้” เฮนรี่พูดในสิ่งที่เตรียมมา รู้สึกเศร้าและตื้นตันใจในเวลาเดียวกัน “อี้ชิงเขาคิดถึงคุณเสมอแม้ตอนที่กำลังจะจากไป หน้าที่ของผมมีแค่ต้องส่งความห่วงใยนั้นมาถึงคุณ หมดหน้าที่ผมแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
เฮนรี่เอ่ยลา คิดว่าคงจะดีกว่าถ้าจะให้คริสใช้เวลาอยู่กับสิ่งของที่เป็นตัวแทนความรักของอี้ชิงอย่างสุดท้าย แม้จะผ่านมาสี่เดือนแล้ว แต่เขายังจำทุกคำพูดที่อี้ชิงฝากถึงคริสได้ครบถ้วน หลังจากนับวันรอ เขาก็ได้ทำสิ่งที่ผู้ล่วงลับต้องการเป็นสิ่งสุดท้ายได้เสียที
ประตูห้องถูกปิดลง พร้อมกับหัวใจของคริสที่ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งช้าๆ
ร่างสูงเดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน ที่ซึ่งอี้เชี่ยนกำลังสนุกสนานอยู่กับของเล่น เขาวางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะ แล้วหันไปให้ความสนใจกับกระดาษการ์ดที่ถูกเขียนด้วยลายมือของเฮนรี่ หากแต่ข้อความในนั้นชัดเจนว่าเป็นของอี้ชิง
แก่หนีกันไปอีกปีแล้วนะ...สุขสันต์วันเกิดคริส คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ฉลองกัน ไม่รู้ว่าคุณลืมเรื่องสัญญาบราวนี่ของเราแล้วหรือยังแต่ผมยังไม่ลืมนะ ขอโทษที่ทำบราวนี่ให้ได้ไม่ครบแล้วก็ขอโทษที่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆ ในวันเกิด ถ้าคิดถึงกันก็มองมาบนท้องฟ้านะ คิดว่าผมคงอยู่ที่ไหนสักที่บนนั้นแหละ
ผมคงคิดถึงคุณ
รัก...อี้ชิง
คริสเปิดกล่องของขวัญออกช้าๆ ข้างในมีบราวนี่หลายสิบชิ้นวางเรียงกันอยู่ในนั้น ช่างเป็นของขวัญที่ไม่เลิศหรูเอาซะเลยนะ จาง อี้ชิง เขายิ้มขณะที่ความคิดถึงถูกระบายออกมาด้วยน้ำตาหยดเล็ก รู้สึกได้ถึงความรักของอี้ชิงที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในหัวใจของเขา
ท้องฟ้าอะไรล่ะอี้ชิงคนโง่...หากแหงนมองจากตรงนี้มันไม่ไกลกันไปหน่อยเหรอ สำหรับคริส อี้ชิงนั้นอยู่ใกล้ๆ เขานี่ไง คริสยกมือขึ้นแนบอกซ้าย ตั้งใจฟังเสียงจังหวะหัวใจที่เต้นเพื่อใครสักคน
ความรักของคุณมันอยู่ตรงนี้ไง ทุกๆ จังหวะของมันมีแต่คุณเพียงคนเดียว…
THE END
ทะ ทะ ทอล์ค คึ อึ อึ (?)
Windy Boy :: กราบสวัสดียามดึกค่ะพ่อแม่พี่น้องผู้อ่านและผู้ติดตามฟิค Blue Romance เกือบ 10 เดือนที่เราอยู่ด้วยกันมาจนกระทั่งวันนี้เราเดินทางมาถึงตอนจบกันแล้ว ใจหายอยู่ไม่น้อย วดบ.คงไม่ได้มาทอล์คอะไรแบบนี้อีกแล้วจึงขอทอล์คยาวๆ หน่อยค่ะ ทนอ่านกันหน่อยละกัน ๕๕๕๕๕๕ เพราะว่าในเล่มทอล์คยาวไม่ได้แม่นางคนข้างล่างบอกว่ามันเปลือง ‘ขายฟิคนะยะไม่ได้ขายทอล์ค’ #จ้ะๆ ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกันมาถึงแม้จะอัพช้าตลอดๆ เพราะว่าอะไรก็ได้บอกไปแล้ว และยิ่งช่วงนี้เรียนหนักมากค่ะ ทั้งสองคนเลยหาเวลาคุยกันแบบจริงๆ จัง ยากมาก แต่สัญญาไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องแต่งให้จบ ก็จบนะแม้จะช้าก็เถอะ จะส่งให้ช่วงเดือนสิงหาคมนะคะ ไม่โกงแน่นอนกลัวคนซื้อกังวลว่าเราจะโกง ไม่ค่ะๆ เราสวยมากไม่ทำอย่างนั้นแน่ แล้วก็ขอบคุณปกจ.ที่ชวนมาแต่งฟิคตอนแรกมันมาจากบทอะไรก็ไม่รู้ที่แต่งกันเล่นๆ เออ สุดท้ายมันก็จบเป็นเรื่องเป็นราวได้เนาะ แล้วก็ขอโทษที่เราแต่งให้เธอแก้เรื่องบ่อยๆ นะจ๊ะๆ สำหรับตอนจบนี้ ก่อนที่จะเขียนเรากังวลมากเลยค่ะว่าทุกคนจะเฟลไหมที่จบแบบนี้ แต่ได้วางพล็อตไว้แบบนี้แล้วตั้งแต่แรกจึงไม่อยากให้มันผิดจุดประสงค์ไป ฉากงานศพนี่หนักสำหรับเราพอควรเพราะส่องเยอะมาก บิ๊วตัวเองสุดๆ อยู่กับฉากนี้มาสามวันค่ะ ไม่ได้เว่อนะตัว ๕๕๕๕๕๕ และก็สุดท้ายขอบคุณจากใจจริงค่ะ รัก <3
Pyckajae :: ในที่สุดมันก็จบ...ลงแบบนี้แหละค่ะ หลายคนอาจรู้สึกเฟลกับมัน แต่มันคือความตั้งใจของเราตั้งแต่ต้น ฟิคเรื่องนี้เริ่มแต่งวันที่ 1 พ.ย. 55 และจบลงในวันที่ 20 ก.ค. 56 (เอาเลขไปแทงหวยตามสบายค่ะ 5555555) เป็นฟิคที่ได้มาด้วยความยากลำบาก เพราะงั้นขอทอล์คยาวๆ เพื่อจะได้ไม่เปลืองหน้ากระดาษในเล่มค่ะ ฮิฮิ จุดเริ่มต้นของฟิคเรื่องนี้มาจากการต่อประโยคเสี่ยวๆ ของคนสองคน สักพักก็ เออเฮ้ย มาแต่งฟิคเวียนกันมั้ยแก นั่นคือวิธีการหาเหาใส่หัวของเราค่ะ 555 แรกๆ ก็สนุกดี แต่งแบบโยนขี้กันไปมา ฉันลงท้ายแบบนี้ แกต่อให้ได้นะ แต่ยิ่งเดินมาไกลความจริงจังก็เริ่มมีมากขึ้นค่ะ ประชุมงานกันทีหัวฟูเลยกว่าจะได้มาแต่ละตอน T T โดยเฉพาะตอนจบนี่ความเครียดพุ่งทะลุปรอทเลยบอกตรง แต่ก็...เอาให้จบจนได้แหละ
ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนทั้งขาประจำและขาจร ทั้งเป็นตัวเป็นตนและมาเป็นเงา ถ้าไม่มีคนอ่านฟิคก็คงไม่มาไกลจนจบเนอะ -3- ตอนนี้ไรท์เตอร์ทั้งสองคนกำลังเร่งปั่นต้นฉบับกันอยู่นะคะ จะพยายามให้เสร็จเร็วๆ เพราะส่วนตัวก็มีสอบมิดเทอมด้วย แต่เค้าไม่โกงนะ สัญญาใจเบย ฮรึกๆ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ อยากบอกว่ารักทุกคนเลย #กอด
ความคิดเห็น