คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : B L U E : : 12
ตึก ตึก ตึก
เสียงวัตถุแข็งบางอย่างดังกระทบกันราวกับตกกระแทกพื้นจากที่สูง เด็กน้อยที่กำลังระบายสีให้กับตัวการ์ตูนในสมุดวาดเขียนสะดุ้งตกใจจนทำให้สีที่มือเล็กระบายเลยออกนอกเส้น ตาเล็กเบิกโพลงแสดงความตกใจพลางชะเง้อมองหาต้นเสียงนั้น ไม่มีสิ่งใดไหวติงนอกจากกำลังเห็นหญิงที่ตนเรียกว่าแม่กำลังยื้อยุดฉุดกระเป๋าของพ่อตรงหัวบันได เมื่อมองลงไปยังหัวบันไดด้านล่างก็เห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางอยู่ซึ่งดูยังไงก็เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะวางแบบนั้น ประกอบกับภาพที่เห็นตรงหน้าก็พอจะเข้าใจแล้วว่ามันเป็นเสียงเมื่อครู่นั้นเอง
“คุณจะทิ้งภาระทั้งหมดไว้ที่นี่แล้วหนีไปเสวยสุขคนเดียวงั้นเหรอ หึ มันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอคะ”
“ปล่อย!” คนเป็นพ่อตวาดลั่นพลางกระชากกระเป๋ากลับอย่างแรง เด็กน้อยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีด้วยตอนนั้นตัวเขาเองก็ยังเด็กอยู่มาก สิ่งที่เห็นพาลทำให้น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้มอย่างอัตโนมัติพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นขณะที่อี้ชิงหลบดูท่านทั้งสองอยู่หลังเสา “บอกให้ปล่อยไงเล่า”
พ่อตวาดเสียงดังลั่นบ้านอีกครั้งจนอี้ชิงสะดุ้ง แรงที่กระชากครั้งนี้ทวีคูณขึ้นพร้อมกับอารมณ์ร้อนรุ่มภายในจิตใจทำให้ผู้เป็นภรรยาหลุดจากการยื้อยุดสตรีในชุดเดรสสั้นเหนือเข่าเซไม่เป็นทิศทางจนกระทั่งเท้าข้างหนึ่งตกไปยังบันไดขั้นแรกไม่สามารถประคองร่างของตนเองได้จึงต้องปลิวไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก เสียงแม่กรีดร้องลากยาวจนทำให้พ่อที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ผู้เป็นภรรยาของตนตกลงไปตกใจจนแทบหยุดหายใจ
“แม่! ...” อี้ชิงสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทราอันแสนโหดร้าย แสงแดดอ่อน ๆ จากภายนอกส่องเข้ามากระทบใบหน้าอี้ชิงพยายามกระพริบตาถี่ ๆ ปรับสายตาเพื่อย้ำว่าภาพที่เห็นเมื่อสักครู่นั้นไม่ใช่ความจริง ตาเรียวกระพริบถี่ไล่ความพร่ามัวสักพักพบภาพเบื้องบนเป็นแผ่นฝ้าสีขาวโพลนอยู่ใกล้แค่มือเอื้อมถึงมือข้างขวาจึงยกขึ้นหมายจะสัมผัสให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นไม่ผิดเพี้ยนแต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเมื่อเอื้อมมือจนสุดก็ยังไม่สามารถแตะมันได้และสายตาก็สะดุดกับบางอย่างมือข้างที่ยกขึ้นนั้นถูกเจาะด้วยเข็มน้ำเกลือสายพลาสติกถูกเทปกาวแปะติดมาเรื่อยตามแขนเพื่อลดแรงเสียบจากเข็มแหลม
อี้ชิงกวาดตามองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวพบว่าตัวเองนอนราบอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หัวสมองที่ไม่ได้ใช้งานมานานกำลังนึกสงสัยว่าตนเองนอนอยู่แบบนี้นานเท่าไหร่แล้วสมองที่ไม่ได้ประมวลผลมาหลายชั่วโมงกำลังเริ่มทำงานหนักอีกครั้ง อาการเจ็บแปลบบริเวณหน้าอกขณะหายใจเข้าออกทำให้ต้องเปิดเสื้อดูให้แน่ใจพบผ้าก๊อซสีขาวปิดแผลไว้เกิดอะไรขึ้น? มือซ้ายยกขึ้นตบหน้าตัวเองเบา ๆ ให้แน่ใจ ความเจ็บบอกเขาว่ายังไม่ตายและวินาทีที่เขาพบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่แม้จะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าดีใจมากแค่ไหน
พญามัจจุราชเมตตาเขาอยู่มากหลายครั้งที่ชีวิตเฉียดขุมนรกและทุกครั้งท่านก็ผลักไสให้เขากลับมาอีกครั้ง ในเมื่อนายยังไม่อยากตายมันก็มันเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่หรอจางอี้ชิง มันเกิดอะไรขึ้น? ได้แต่ตั้งคำถามในใจเพียงคนเดียว หัวสมองกำลังทำงานอย่างหนักอย่างกับเครื่องกล ภาพสุดท้ายที่พอจะนึกได้คือภาพใบหน้าของใครบางคนที่เขาเองพยายามผลักไสให้ไกลออกไปหลังจากนั้นก็เสียงกรีดร้องของพี่ดาน่า เสียงสุดท้ายที่ระบบประสาทอันเหนื่อยล้ารับรู้
คริส...ต้นเหตุทั้งหมดก็คือเขา คนที่ทำให้ต้องมานอนซมอยู่แบบนี้ก็คือเขาคนเดียวอี้ชิงพยายามลุกจากเตียงนอนอย่างทุลักทุเลใช้เวลาชั่วครู่เพื่อยันตัวเองขึ้นนั่ง เท้าเล็กก้าวลงจากเตียงหวังจะเข้าห้องน้ำแต่ก่อนที่มันจะแตะพื้นก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อเท้าของตนเองนั้นถูกถุงเท้าสวมไว้ ที่แปลกใจก็เพราะสีมันต่างกับชุดเครื่องนอนของโรงพยาบาลนั่นแหละ ถุงเท้าสีม่วง สีที่เขาเองชอบนักหนา...
ระบบขับถ่ายทำงานตอนเช้าได้ปกติเหมือนที่เคยเป็นจึงต้องรีบเดินเข้าห้องน้ำโดยมีสายน้ำเกลือยาวโยงตามไปด้วยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป ทำธุระส่วนตัวเสร็จจึงเดินช้า ๆ พร้อมกับจูงสายน้ำเกลือออกมาจากห้องน้ำ สายตาสะดุดกับดอกไม้สีขาวในแจกันข้างเตียง พิจารณาแล้วมันยังดูสดเหมือนเพิ่งถูกจัดไว้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังสะกิดให้อี้ชิงหลุดจากความแคลงใจ
“อ้าวฟื้นแล้วหรอคะ” ประโยคแรกที่ได้ยินในรอบหลายวัน ผู้มาใหม่เป็นผู้หญิงสาวแปลกหน้า รูปร่างค่อนข้างท้วมใส่ชุดพยาบาลดูสะอาดตา คาดการณ์จากสายตาคงอายุมากกว่าอี้ชิงเพียงไม่กี่ปี เธอยิ้มเป็นการทักทายกันครั้งแรกก่อนจะแนะนำตัวกับอี้ชิง “สวัสดีค่ะคุณอี้ชิง ฉันชื่อลี่เจียวเป็นนางพยาบาลพิเศษที่ทำหน้าที่ดูแลคุณค่ะ”
“...” อี้ชิงเงียบให้เป็นคำตอบในใจยังคงสงสัยหลายสิ่งอย่างหลังจากฟื้น พยาบาลสาวเลื่อนตัวมาประคองอี้ชิงให้นั่งบนเตียงหลังจากจัดให้หมอนหนุนเป็นที่รองหลังเสร็จ
“คุณอี้ชิงหลับไปตั้งสามวันคงจะเพลียน่าดูนะคะ”
“สามวันเลยหรอครับ” อี้ชิงถามซ้ำในสิ่งที่ตนได้ยินไม่อยากจะเชื่อว่าได้หลับไปนานขนาดนั้น
“ใช่ค่ะ และเพราะว่าคุณไม่มีญาติที่ไหนฉันจึงได้ประจำอยู่ดูแลคุณอยู่เฉพาะห้องนี้แต่เฉพาะตอนกลางวันเท่านั้นค่ะ มีอะไรจะเรียกใช้ได้ตามใจเลยนะคะ” พยาบาลสาวยิ้มให้อี้ชิงอย่างใจดี
“ขอบคุณนะครับ”
“ยินดีค่ะ แต่คนที่คุณขอบคุณน่าจะเป็น...”
“ใครหรอครับ” อี้ชิงถามสวนขึ้นทันควันด้วยอารมณ์อยากรู้ก็เพราะว่าไม่มีญาติที่ไหนเลยและไม่มีเงินมากพอที่จะได้อยู่ห้องพิเศษดิบดีขนาดนี้
“เอ่อ คะ คุณหมอซ่งเชี่ยนค่ะ คุณหมอเจ้าของไข้คุณไง” เกือบไปแล้วที่คุณลี่เจียวพยาบาลสาวจะเผลอหลุดปากออกไป“คุณหมอซ่งเชี่ยนเป็นคนผ่านตัดหัวใจให้คุณค่ะ หลังจากที่คุณหมดสติไปสามวันก่อน ส่วนเรื่องพวกค่ายาค่ารักษาคุณไม่ต้องกังวลหรอกนะคะมีคนรับผิดชอบแล้วค่ะ” ลี่เจียวร่ายยาวราวกับท่องบทมาพูดไม่เปิดโอกาสให้คนป่วยได้ถามคำถามที่ตนสงสัยเลยสักนิด
“เมื่อวานคุณจงอินมาเฝ้าคุณทั้งวันถ้าคุณหมอลู่หานไม่มาคงอยู่ถึงดึกเลย” ประโยคถัดมาคงตอบคำถามที่อี้ชิงสงสัยทั้งหมดแล้ว จงอินน่ะแม้จะใจร้อนขวานผ่าซากแต่ก็ยังห่วงใยเขาเสมอ อี้ชิงเสียใจที่รักจงอินไม่ได้ถึงแม้ว่าจะดีกับเขามากก็ตามซ้ำยังเป็นหนี้บุญคุณด้วย ต่างกับอีกคนที่ทำให้เขาหลงรักจนสุดหัวใจกลับไม่ใยดี
“ผมอยากออกไปสูดอากาศข้างนอก”
“ฉันช่วยนะคะ”
“ไม่เป็นไร”
ตัดสินใจออกไปเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมามันน่าอับอายถ้าจะร้องไห้ให้ลี่เจียวเห็นจงอินรู้เรื่องนี้แล้วคงนึกสมเพชเขาพอสมควร คงดูเป็นไอ้โง่มากสินะ คิดแล้วก็ขำตัวเอง ความรักทำให้ดูโง่มากขนาดนี้ได้เชียวหรือ อี้ชิงเรียกมันว่าความรักเพราะมั่นใจกับความรู้สึกของตัวเอง กลับกันเขาเองก็มั่นใจว่าคริสไม่ได้รักเขาเลยแล้วจะต้องคิดถึงเขาทำไมล่ะอี้ชิง ความคิดถึงของนายมันไม่มีค่าเลยสักนิดนายมันโง่จริง ๆ โง่งี่เง่าที่สุด
“โอ๊ย!” เผลอร้องออกไป เมื่อรู้สึกเจ็บแผลภายใต้ผ้าก๊อซนั่นสองมือเกาะราวระเบียงแน่นรออยู่ครู่ใหญ่กว่าอาการเจ็บแปลบนั่นจะหายไปสายตามองลงไปยังชั้นล่างสุดห้องของเขาน่าจะอยู่ประมาณชั้นหกถ้าเป็นเมื่อก่อนคงอยากปลิดชีวิตด้วยการกระโดดลงจากตรงนี้แต่วันนี้เขากลับกลัวที่จะทำอย่างนั้น...
เสียงนกจากทิศหนึ่งเรียกความสนใจจากอี้ชิงได้มาก ร่างเล็กเอียงหูฟังสักครู่แล้วก้มลงดูเห็นนกสองตัวกำลังช่วยกันสร้างรังบนต้นไม้ที่มีความสูงอยู่ประมาณชั้นสี่อี้ชิงงี่เง่าขนาดนึกอิจฉาเจ้านกน้อย พวกมันช่างดูน่ารักเหลือเกิน เขาแอบดูมันคุยกันเงียบ ๆ ท่าทางมีความสุขจนต้องเผลอยิ้มให้
“คุณอี้ชิงคะ!” เสียงร้องปนความตกใจดังจากด้านหลังจนอี้ชิงหุบยิ้มแทบไม่ทัน คุณพยาบาลสีหน้าตกใจอยู่ไม่น้อยอี้ชิงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น “เข้าห้องเถอะค่ะ ใกล้จะถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว” ร่างท้วมตรงปรี่มาประคองเขาโดยเร็วทำให้คนป่วยไม่อาจขัดใจได้
จงอินใช้เวลาในตอนบ่ายอยู่ที่ร้านของตนเองกับลูกน้องภายในร้านราว ๆ ห้าหกคนจัดเตรียมร้านต้อนรับแขกสำหรับค่ำคืนนี้เนื่องจากมีลูกค้าเหมาร้านตลอดคืนจึงไม่อยากให้ผู้ใช้บริการต้องผิดหวังเมื่อวานนี้เขาปล่อยร้านไว้ตอนกลางวันเนื่องจากใช้เวลาทั้งหมดไปเฝ้าไข้อี้ชิงให้ลูกน้องจัดการหน้าที่แทนจึงมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ร่างสูงนั่งทบทวนบัญชีร่ายรับรายจ่ายแต่ความคิดในหัวยังคงไม่หนีจากเรื่องที่โรงพยาบาลป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอี้ชิงจะฟื้นหรือยัง ตั้งใจว่าจะเฝ้าแต่ในเมื่ออี้ชิงยังไม่ฟื้นก็เหมือนกับว่าจะได้คุยแต่กับคนที่ไม่อยากจะเจอหน้าสักเท่าไหร่...ลู่หานนั่นเอง
‘อี้ฝานเป็นคนปากหนักแต่ใจอ่อน นายไม่สังเกตนัยน์ตาเขาบ้างหรอบางทีเขาอยากจะอธิบายอะไรมากกว่านี้แต่ไม่มีโอกาส’
‘แม้จะใจอ่อนแต่อี้ฝานไม่ใช่คนยอมใครง่าย ๆ นะ ที่เขาไม่ต่อยนายกลับวันนั้นน่ะโชคดีเท่าไหร่แล้ว’
‘คงอยากจะเจ็บ...ให้ได้สักครึ่งหนึ่งที่อี้ชิงเจ็บ’
หลายคำพูดของคนที่ไม่อยากเจอหน้าลอยเข้ามาในห้วงคำนึงทั้งที่ไม่อยากจะนึกถึงคำพูดเหล่านั้นด้วยซ้ำหากแต่ความจริงแล้วจงอินใช้เวลาทบทวนมันทั้งคืน เสียงครืดคราดของโทรศัพท์มือถือสั่นสะเทือนกับพื้นโต๊ะก่อนจะส่งเสียงดังปลุกให้เจ้าของตื่นจากความคิดของตัวเอง มือขวาหยิบมันขึ้นมาด้วยความเร็วขณะที่จอสี่เหลี่ยมก็แสดงชื่อของคนที่เพิ่งจะนึกถึง
“ตายยากจริง” ชายผิวเข้มพึมพำกับโทรศัพท์มือถือ จงอินขี้เกียจฟังเจ้าหมอรักษาคนบ้านั่นบ่นพร่ำเพรื่อให้ฟังจึงวางมันไว้ที่เดิม ตั้งแต่รู้จักกับเจ้าหมอนี่ชีวิตก็ดูจะถูกเกาะติดไปทุกที่ ไม่นานโทรศัพท์นั่นก็แผดเสียงร้องขึ้นอีกจนต้องกดตัดสายไปอย่างไร้มารยาทแล้วร่างสูงก็ตัดสินใจเดินออกไปดูงานหลังร้าน“ตรงนั้นยังไม่ได้ทำความสะอาด หลังจากเสร็จตรงนี้ช่วยไปเช็ดด้วยล่ะ” ว่าพลางชี้นิ้วจัดแจงงานลูกน้อง
“คุณจงอินครับ คุณจงอิน” ลูกน้องอีกคนวิ่งกระหืดกระกอบมาทางด้านหลัง
“มีอะไรเหรอ” จงอินถาม
“เมื่อตะกี๊มีคนโทรมาบอกว่าคนที่คุณไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเมื่อวานน่ะฟื้นแล้ว” จงอินหันขวับทันทีเมื่อรู้ว่าอี้ชิงฟื้นแล้ว เข้าใจกลาย ๆ ว่าสองสายของลู่หานเมื่อสักครู่ที่เอาแต่ปฏิเสธคงจะโทรมาแจ้งเรื่องนี้
ร่างสูงใช้เวลาหมุนพวงมาลัยรถยนต์ส่วนตัวเพียงไม่กี่นาทีก็มาถึงโรงพยาบาล ขายาวก้าวฉับไวตรงดิ่งมายังห้องพิเศษชั้นหกเขาหยุดยืนอยู่หน้าห้องยกมือหนาเคาะประตูสองสามทีก่อนจะแง้มประตูอย่างเบามือเกรงว่าคนข้างในจะตกใจถ้าหากพรวดพราดเข้าไป อี้ชิงสีหน้าดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับสองสามวันก่อนจงอินเห็นอย่างนั้นรู้สึกโล่งใจไม่น้อยคนป่วยบนเตียงหันมามองยังผู้มาเยือนแล้วยกยิ้มบาง ๆ ให้เท่านั้น จงอินจ้องมองนัยน์ตาของอี้ชิงราวกับต้องการค้นหาความจริงในนั้น แม้อาการทางร่างกายจะดีขึ้นมากบวกกับร้อยยิ้มที่ส่งมาให้เห็นนั้นแต่ไฉนแววตากลับดูเหม่อลอยเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นยังไงบ้าง ฉันได้ข่าวว่านายฟื้นก็รีบมาเลยนะ” คนตัวสูงเอ่ยทักทายทำลายความเงียบของห้องกว้างพลางหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ เตียงของอี้ชิง
“ฉันดีขึ้นมากไม่ต้องเป็นห่วง ขอบคุณมากนะ”อี้ชิงยกยิ้มบางให้กับจงอินอีกครั้ง
“อืม” จงอินขานรับในลำคอ “แล้วเขา...” จงอินลากเสียงแผ่วกำลังชั่งใจว่าควรจะถามคำถามนั้นกับอี้ชิงหรือไม่ “เขา...มาเยี่ยมนายบ้างหรือเปล่า” สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจถามในสิ่งที่อยากรู้
รอยยิ้มบาง ๆ ที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าคนป่วยเมื่อครู่นั้นดูจะค่อย ๆ หายไปเมื่อได้ยินชายผิวเข้มถาม หน้าเรียวหันออกไปนอกหน้าต่างแววตาสั่นระริกเมื่อนึกถึงบุคคลที่สามเขาเองไม่รู้ว่าตอนนี้คริสอยู่ที่ไหน แต่ถึงแม้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนชื่อของเขาก็ตามอี้ชิงไปทุกที่ มันไม่ใช่ความเจ็บปวดเพราะชื่อของคริสเสียดแทงหัวใจของเขา หัวใจดวงนี้คงด้านชาเกินกว่าจะอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ไปเสียแล้ว คำถามหลายคำถามกำลังถกเถียงกันอย่างไม่มีจุดจบ อยากจะสรุปเอาจากที่เข้าใจก็เหมือนจะมองเรื่องพวกนี้ง่ายเกินไป เป็นอี้ชิงเองที่ขับไล่คริสไปอย่างนั้นแล้วตอนนี้ก็เป็นตัวเขาเองที่เอาแต่คิดถึงเขาอยู่อย่างนั้น งี่เง่าที่สุดถ้าหากไม่ตายไปจริง ๆ ก็คงไม่มีวันหยุดงี่เง่าได้หรอกร่างเล็กเหม่อมองนอกหน้าต่างครู่ใหญ่จนจงอินถอนหายใจพรูเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองถามคำถามที่ไม่สมควรจะถามในเวลานี้
“ช่างเขาเถอะ” อี้ชิงเอ่ยตัดบทแล้วส่งยิ้มเสแสร้งให้
“หลังจากออกจากโรงพยาบาล นายจะทำยังไงต่อไป”
“ฉัน...ก็คงทำงานหาเงินใช้หนี้ค่ารักษาพยาบาลที่นายออกให้ล่ะมั้ง”อี้ชิงแกล้งพูดติดตลกเพื่อไม่ให้จงอินรู้สึกแย่กับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ร่างสูงสีหน้าเปลี่ยนทันทีหลังจากได้ยินดังนั้น คาดเดาเอาเองว่าคงยังไม่มีใครบอกอี้ชิงเรื่องที่คริสดูแลเรื่องนี้ทั้งหมดหรือไม่ก็เป็นคริสเองที่อยากจะปิดมันไว้งั้นเหรอ ถ้าเป็นจริงตามข้อสันนิษฐานหลังคริสจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร อี้ชิงไม่ได้สังเกตว่าจงอินมีสีหน้าอย่างไรเพราะกำลังนับนิ้วคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ จนต้องร้องออกมา
“โห...นี่ฉันต้องทำงานใช้หนี้นายตลอดชีวิตแน่ ๆ ค่าผ่าตัด ค่าพักค้างคืน ไหนจะค่ายา ค่าพยาบาลพิเศษอีก” จงอินส่ายหน้าเบา ๆ เอื้อมมือไปจับมืออี้ชิงมากุมไว้
“งั้นนายก็รีบหายสิ” มือหนายกมือที่กำลังกอบกุมไว้ขึ้นแนบข้างแก้ม “ฉันรักนายนะ” จงอินพูดออกไปอย่างที่ใจต้องการจะบอก
“ขอบคุณนะจงอิน...แต่...ฉันรักนายไม่ได้ เก็บหัวใจรักอันบริสุทธิ์ของนายไว้ให้กับคนที่ควรค่าแก่มันจะดีกว่า อย่าเอาหัวใจมาจมปรักกับฉันอีกเลย”ว่าแล้วมือเล็กก็ถอนออกจากการกอบกุม
“เพราะอะไรเหรอ เพราะนายรักเขา...รักโดยที่ไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะถูกทำร้ายให้เจ็บช้ำมากแค่ไหนถูกหลอกลวงมาเท่าไหร่ทำให้ต้องมานอนอยู่แบบนี้ ถึงอย่างนั้นนายก็ยังรักเขา อย่างนั้นใช่ไหม เขาทำกับนายขนาดนั้นนายยังรักเขาอยู่เหรอ”อี้ชิงฟังประโยคยาวนั้นจนจบ เว้นจังหวะให้ตนเองคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยออกไปบ้าง
“ถ้านายหาเหตุผลว่าทำไมนายถึงรักฉันได้...ฉันก็คงตอบนายได้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงรักเขา” จงอินพยักหน้าเบา ๆ แล้วก้มลงขณะที่มือข้างที่กุมมืออี้ชิงอยู่เมื่อสักครู่กลายเป็นมือที่ถูกอี้ชิงกุมไว้แทน อี้ชิงออกแรงบีบมือหนาแรงขึ้น“เรายังเป็นเพื่อนกันได้นะ” อี้ชิงว่า
จงอินถอนหายใจยาวผ่อนคลายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในจิตใจเมื่อสุดท้ายแล้วแม้ตนพยายามยื้อคนที่ตนรักไว้แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขานั่นควรจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดดอกไม้จะสวยงามอวดสายตาคนได้นานก็ต่อเมื่อปล่อยให้มันเติบโตอยู่ในต้น ไม่ใช่ถูกจัดไว้ในแจกัน...
เวลาบ่ายสี่โมงเย็นเป็นเวลาที่คุณหมอซ่งเชี่ยนต้องเข้ามาตรวจร่างกายอี้ชิงอีกครั้งลู่หานออกเวรพอดีจึงขอตามมาเยี่ยมคนป่วยด้วย เป็นจังหวะที่จงอินกำลังจะกลับไปเฝ้าร้าน ทันทีที่หมอทั้งสองเดินเข้ามาจงอินก็เอาตัวขวางทางลู่หานไว้
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ” ว่าแล้วก็ฉุดข้อมือเล็กของคุณหมอตามไป ลู่หานที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวต้องปลิวตามแรงดึง ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ที่ทางเดินห่างออกจากประตูห้องพักของอี้ชิงพอสมควร
“ทำไมจู่ ๆ อยากคุยกับฉันล่ะ แปลก”
“งั้นเหรอ” จงอินว่าพลางเหล่ตามองคนข้าง ๆ
“ก็ปกตินายเหม็นหน้าฉันจะตาย” ลู่หานว่าด้วยน้ำเสียงเชิงติดจะน้อยใจอยู่สักหน่อย
“ขอโทษที่วันนี้ไม่รับสาย” จงอินสวนขึ้นก่อนที่คุณหมอจะจบประโยคด้วยซ้ำ
“อือฮึ” ลู่หานเบ้ปากพร้อมกับโยกหัวสองสามที แม้จะนึกพิศวงในใจที่คนอย่าง คิม จงอิน เอ่ยขอโทษตนก่อน
“เข้าเรื่องล่ะนะคริสหายไปไหน” จงอินยิงคำถามใส่ลู่หานทันที
“ไม่รู้สิ” ลู่หานตอบห้วน แกล้งกวนประสาท
“คริสไปไหน ทำไมอี้ชิงไม่รู้ว่าคริสรับผิดชอบเรื่องค่ารักษา” สีหน้าจริงจังบวกกับน้ำเสียงเข้มต้องการเค้นเอาความจริงจากปากลู่หานให้ได้ ร่างสูงยกแขนขึ้นกอดอกแสดงท่าทีจริงจังหากแต่จิตแพทย์กลับไม่รู้สึกเกรงแต่อย่างใด ยังคงปั้นหน้ากวนประสาทจงอินได้อยู่ดี
“เดี๋ยวก็คงรู้เองล่ะน่า”
“แล้วตกลงคริสไปไหน” ยังคงยิงคำถามเดิมที่อยากจะรู้
“ไม่ได้ไปไหนหรอก ว่าแต่นายเซ้าซี้ฉันทำไมกัน หรือเกิดอยากสอยปากเพื่อนฉันขึ้นมาอีก” คุณหมอถามพลางเลิกคิ้วเฉไฉต้องการเปลี่ยนประเด็นสนทนา
“ต่อยไปก็เท่านั้น เอ๊ะนี่หมอเห็นฉันเป็นอันธพาลไปแล้วหรือไง”
“เปล่า” ลู่หานว่าเสียงสูงยักไหล่แล้วเดินหนีกลับเข้าห้องไปหาซ่งเชี่ยนกับคนไข้ ทิ้งคู่สนทนาไปดื้อ ๆ ปล่อยให้จงอินยืนงงอยู่อย่างนั้น
“หมอครับผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่” อี้ชิงถามหมอซ่งเชี่ยนด้วยความร้อนใจไม่อยากอยู่นานเพราะนั่นหมายความว่าหนี้ที่เขามีต่อจงอินจะยิ่งเพิ่มขึ้น
“อี้ชิงสลบไปสามวันแต่หลังจากฟื้นแล้วท่าทางดีขึ้นมากรอให้ดีขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อยน่าจะกลับบ้านได้แล้วค่ะ อย่าลืมกินยาหลังอาหารนะ กินข้าวเยอะ ๆ ด้วยคุณลี่เจียวรายงานว่าเมื่อเช้าอี้ชิงกินไปนิดเดียวเอง”
“ครับ”
“หมอดีใจที่เห็นนายไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ไม่ต้องรีบออกไปก็ได้นะ” ลู่หานว่าหลังจากนั้นแล้วยกยิ้มอย่างมีนัยขึ้น
“...”
“ฉันหมายถึงให้หายดีค่อยออกก็ได้น่ะ”
“ไม่ล่ะอยู่แค่วันเดียวก็เบื่อจะแย่” อี้ชิงทำหน้าซังกะตายกับประโยคน่าเบื่อนั่น ลู่หานหรี่ตามองอี้ชิง
“คิดถึงเขาก็บอกมา”
“...”
“เราไม่มีความลับต่อกันนะอี้ชิง เราเป็นเพื่อนกันแล้วไง”
“หมออย่าทำเป็นรู้หน่อยเลย”
“ก็ถูกอย่างที่ว่าใช่ไหมล่ะ” อี้ชิงจำต้องพยักหน้ารับความจริงที่ว่านั่น ลู่หานสงสารอี้ชิงแต่ก็อดนับถือความอดทนที่มีอยู่ไม่น้อยในใจภาวนาให้อี้ฝานกล้าที่จะเผชิญหน้าแล้วบอกความจริงทุกอย่างให้อี้ชิงรู้ในเร็ววัน
มันเป็นค่ำคืนที่ท้องฟ้าโปร่งจนสามารถมองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าพวกมันส่องแสงระยิบระยับสวยงามสะดุดตาอยากจะสัมผัสด้วยมือหากแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิด ม่านหลังเป็นความมืดทึบที่ไม่อาจคาดเดาว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ตรงไหน พวกมันยังโชคดีนักที่แม้จะสิ้นอายุก็ยังสามารถลอยอยู่ในฉากม่านมืด...ถูกโอบกอดด้วยอ้อมแขนแห่งจักรวาล
กลับกันกับชีวิตนี้หากตายไปแล้วความน่ากลัวไม่ใช่ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนหากแต่มันคือความเงียบเหงาต่างหากล่ะมันมักจะวิ่งหนีขณะที่บางคนวิ่งไล่ตามมันและมันกำลังจะมาหาตอนที่อยากจะวิ่งหนีให้สุดชีวิต อี้ชิงตระหนักถึงคำพูดของจงอินในวันนั้น ตอนนี้เขากำลังวิ่งหนีมันสุดชีวิต พระผู้เป็นเจ้าครับโปรดอนุญาตให้ผมใช้ชีวิตอันด้อยค่าอย่างคุ้มค่าที่สุดในช่วงลมหายใจสุดท้าย หากเป็นอย่างนั้นผมจะไม่ฝืนชะตาและยินยอมให้พญามัจจุราชเอื้อมมือมารับแต่โดยดีวิงวอนพระเจ้ากับชะตากรรมของตัวเอง
อี้ชิงอยู่กับความคิดของตนเองนานเท่าไหร่ไม่รู้จนกระทั่งน้ำตาเพียงหยดเดียวหยดลงสู่พื้นปลุกเขาจากห้วงคำนึง แหงนหน้ามองนาฬิกาเป็นเวลาเกือบตีสามคืนนี้เขานอนไม่หลับอีกแล้วความเงียบน่ากลัวกว่าที่คิดมีเพียงหลอดไฟในห้องเปิดไว้เป็นเพื่อนในยามเหงาอี้ชิงกำลังตกอยู่ในค่ำคืนที่ทรมานอยู่เนิ่นนานเพียงลำพัง นั่งปล่อยความคิดให้หลุดลอยจากตรงนี้ไปที่ไหนสักแห่งอีกคนจะรู้ไหมว่าชื่อของเขานั้นติดอยู่ในทุกช่วงลมหายใจเข้าออกนั่งเหม่ออย่างกับคนบ้าถ้าเขารู้จะทำหน้ายังไงนะ คงหัวเราะขันความรักโง่งมที่มีให้ในค่ำคืนอันแสนเงียบสงัดดอกไม้สีขาวในแจกันกำลังแห้งเหี่ยวตามกาลเวลาแต่นั่นยังน้อยไปเมื่อเทียบกับหัวใจดวงนี้
ตื่นขึ้นมาในตอนสายของอีกวันเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับก็นอนพลิกตัวไปมาอยู่นาน แจกันที่โต๊ะถูกจัดดอกไม้ไว้เหมือนเดิมต่างกันที่คนละสีจากเมื่อวานอี้ชิงสงสัยเพราะนอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอยู่ในห้อง มือเรียวรีบถกผ้าห่มผืนบางที่คลุมอยู่ระดับอกขึ้นดูก็พบว่าเท้าทั้งสองข้างมีถุงเท้าสีม่วงอ่อนเหมือนเมื่อวานแต่เขามั่นใจว่าไม่ใช่คู่เดิมแน่นอนเพราะก่อนนอนเขาได้ถอดมันออกแล้ว ร่างเล็กผุดลุกจากเตียงแล้วลากเสาน้ำเกลือตามอย่างรวดเร็ว มือซ้ายจับลูกบิดประตูเปิดอย่างเร็วสายตากวาดมองไปมา นอกห้องว่างเปล่าไม่มีผู้คน อี้ชิงรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยจึงหมุนตัวกลับเข้าห้องตามเดิม
“คุณอี้ชิงจะไปไหนหรอคะ” อี้ชิงตกใจเมื่อเห็นลี่เจียวเอ่ยทักทายท่ามกลางความเงียบ
“เอ่อ คุณ คุณลี่เจียวเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เธอส่งยิ้มให้อี้ชิงก่อนจะเข้ามาพยุงร่างคนป่วยกลับเข้าห้อง
“ก็ก่อนที่คุณจะตื่นสักพักแล้วล่ะค่ะ คุณคงตื่นตอนฉันเข้าห้องน้ำ”
“เหรอครับ”
“ว่าแต่คุณจะออกไปไหนคะ บอกแล้วไงว่าต้องการอะไรให้เรียกใช้ฉันไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ”
“ปะ เปล่าครับ” อี้ชิงปฏิเสธอึกอัก“คุณลี่เจียวจัดดอกไม้สวยดีนะ” ว่าพลางชี้นิ้วไปที่แจกันใบนั้น
“เอ่อ...คะ...ค่ะ” ลี่เจียวแกล้งพยักหน้ารับคำชม “เมื่อคืนดิฉันจัดยาไว้ให้ทำไมไม่กินล่ะคะ”
“โอ้ ผมลืมน่ะ” อี้ชิงเพิ่งนึกได้เมื่อเห็นเม็ดยาในแก้วยังคงวางอยู่ที่โต๊ะข้างแจกันดอกไม้
“เห็นทีวันนี้ฉันต้องให้คุณกินยาก่อนแล้วล่ะค่ะถึงกลับบ้านเพราะไม่งั้นฉันคงโดนคุณ...เอ่อคุณหมอซ่งเชี่ยนเอ็ดเอา”
“อี้ชิง...” เสียงหวานแสนคุ้นเคยดังขึ้นเมื่อหญิงสาวนายจ้างมาเยี่ยม พี่ดาน่าท่าทางดีใจมากเมื่อรู้ว่าอี้ชิงฟื้นแล้ว
“พี่ดาน่า” เธอโผกอดอี้ชิงพลางลูบหัวอย่างเอ็นดู
“เมื่อวานพี่ได้ข่าวจากคุณคริสว่าอี้ชิงฟื้นแล้วแต่ติดธุระเลยมาไม่ได้วันนี้เลยมาแต่เช้า คิดถึงเราจะแย่พี่เป็นห่วงมากเลยนะรู้ไหม”
“คริส คริสหรอครับ” หูสะดุดกับชื่อของใครสักคนนั่นเป็นสิ่งที่อยากได้ยินมาตลอดไม่ใช่หรืออี้ชิง
“ใช่จ้ะ”หน้าเรียวชะเง้อไปทางประตูนัยน์ตาเศร้าหมองลงจากเดิมเล็กน้อยเมื่อพยายามหาบุคคลดังกล่าวเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววดาน่าเห็นดังนั้นก็ลอบถอนหายใจ “ผลักไสเขาไปแต่ก็ยังอยากเห็นหน้าเขาอยู่ อย่างนั้นใช่หรือเปล่า”
“...”
“เขาไม่ได้หายไปไหนหรอก ว่าแต่เราท่าทางดีขึ้นมากแล้วนี่” เธอยิ้มสวยให้อี้ชิง
“ครับ แล้วพี่เฮนรี่ไม่มาด้วยหรอครับพี่ดาน่า”
“มาสิแต่...เอ่อ อยู่ข้างนอกกับสเตฟานี่น่ะ พี่ห้ามแล้วแต่...” อี้ชิงส่ายหน้าเบา ๆ
“ผมไม่เป็นไรแล้วครับไม่ต้องห่วง ผมมีเรื่องจะคุย ผมขอคุยกับเธอได้หรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรแน่นะ” ดาน่าถามย้ำอีกครั้ง
“แน่สิครับ ขอคุยส่วนตัวนะครับพี่ดาน่า”ดาน่าใช้เวลาคุยกับอี้ชิงอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะอนุญาตให้สเตฟานี่เข้ามา
หญิงสาวที่มักจะสวมเดรสบ่อย ๆ เข้ามาแทนที่คนที่เพิ่งออกไป ใบหน้าสวยที่ถูกฉาบด้วยเครื่องประทินโฉมนานายี่ห้อมีสีหน้าเรียบเฉย อาจจะเพราะทำตัวไม่ถูกที่ต้องกลับมาเผชิญหน้าคนที่เธอเพิ่งเอ่ยวาจาเย้ยหยันไปเมื่อหลายวันที่แล้ว ที่เธอขอดาน่าติดตามมาด้วยจุดประสงค์ก็แค่อยากมาดูอาการของอี้ชิงก็เท่านั้นไม่คิดว่าอีกคนจะอยากคุยกับเธอเสียด้วยซ้ำ
“มีอะไรเหรอ” เธอเอ่ยขึ้นก่อน “ถ้าจะด่าว่าฉันก็ด่าเลยเถอะ ฉันยอมรับว่าฉันเป็นคนผิด” หญิงสาวเสตามองไปทิศทางอื่นไม่กล้าสบตากับอี้ชิงเพราะเธอเองรู้สึกผิดที่เรื่องทั้งหมดจบลงเช่นนี้
“ผมก็พอจะรู้เรื่องของพวกคุณบ้างเมื่อตะกี๊...จากพี่ดาน่าน่ะ”
“...”
“คุณคงรักเขามากสินะ”
“แต่เขาไม่ได้รักฉัน เขารักนาย” สเตฟานี่สวนกลับด้วยประโยคที่ทำให้อี้ชิงเบือนหน้าหนีไปทางอื่นหัวสมองพยายามกลั่นกรองคำพูดที่แสดงว่าเขาไม่เป็นเลยแม้แต่น้อย
“เขาไม่เคยพูดมันเลยสักครั้ง...เขาคงหนีไปให้ไกลที่สุดหลังจากที่ผมไล่เขาวันนั้น” น้ำเสียงติดอารมณ์ตัดพ้ออยู่ในที
“นี่นายยังไม่เจอหน้าพี่คริสเลยงั้นหรอ”
“...”
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ก็ไหนสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะดูแลนายนี่” เธอเผลอสบถออกมาด้วยภาษาที่ไม่ใคร่จะสุภาพเท่าไรนักก่อนจะตัดสินใจอธิบายทุกอย่างให้อี้ชิงได้รับรู้ “เอ่อ...วันนั้นน่ะพี่คริสเป็นคนพานายมาที่โรงพยาบาลเองแหละแล้วหมอนั่นน่ะก็เป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเกี่ยวกับการผ่าตัดของนาย”
“อะไรนะครับ วะ ว่าไงนะ” อี้ชิงถามทวนประโยคที่ตนได้ยินเมื่อสักครู่ให้แน่ใจ
“นายได้ยินไม่ผิดหรอก” อี้ชิงเว้นจังหวะการสนทนาสักครู่ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีใจมากแค่ไหนแต่นั่นก็ยังอดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี “เขาคงไม่อยากเจอหน้าผมอีกแล้วล่ะมั้ง ที่รับผิดชอบค่ารักษาคงไม่อยากให้ใครตราหน้าด่าว่าเอาได้” อี้ชิงต่อว่าด้วยน้ำเสียงประชดประชันเขาคนนั้นทำให้สเตฟานี่ต้องย้ำอีกครั้ง
“ก็บอกแล้วไงว่าพี่คริสน่ะรักนาย”
“...” อี้ชิงไม่พูดอะไรอีกแล้วหลุบตาต่ำลง
“...และเพราะว่าฉันไม่ควรรักเขา...นายก็ควรรักพี่ชายฉันให้มากกว่าที่ฉันรัก”
คืนนี้ท้องฟ้าไม่สวยงามเหมือนคืนที่ผ่านมาเหล่ามวลเมฆคงบดบังบรรดาแสงดาวระยิบพวกนั้นให้ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ดูหมองลงไปมากคริสหายไปไหนยังเป็นคำถามที่ค้างคาอยู่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ อี้ชิงนั่งมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้นราวกับต้องการคำตอบ ต้นไม้ข้างนอกลู่ไปมาเมื่อยามต้องลมส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่าอีกไม่นานหยดน้ำนับแสนล้านจากท้องฟ้ากำลังจะหล่นลงมาสู่พื้นพสุธากระนั้นก็ดีเจ้าตัวยังคงนั่งมองความเป็นไปของธรรมชาติอยู่อย่างนั้นสมองกำลังประมวลภาพต่าง ๆ ในอดีต
การพบกันด้วยความเข้าใจว่าเป็นความบังเอิญ เรื่องราวบนปากขวดน้ำใบเดียวกันบราวนี่ชิ้นหวานจำนวนหกร้อยยี่สิบห้าชิ้นที่อีกฝ่ายขอให้ส่งใช้หนี้ สัมผัสอบอุ่นยามเมื่อลมหนาวพัดจนตัวสั่น ความร้อนที่แผ่ซ่านทั่วร่างกายเมื่อยามผิวหนังสัมผัสกันบนพยานรักราคาถูก เรารับรู้ในสิ่งเดียวกันหากแต่ตีความในมุมมองที่ต่างกัน ตัวเขาในวันนั้นไม่ต่างกับเด็กอายุสิบสี่ที่ไม่ประสากับความรัก หากว่าสิ่งที่สเตฟานี่พูดเมื่อเช้าไม่มีอะไรผิดเพี้ยนก็ขอให้มันประจักษ์กับตาของตัวเองสักทีเถิด พระเจ้าครับท่านจะเมตตาผมอีกเมื่อไหร่ อี้ชิงวิงวอนพรอันประเสริฐจากพระองค์อีกครั้งแม้รู้ว่านี่เป็นคำขอที่มากเกินไปก็ตาม
“ถ้าคุณหนีไปเพราะคำพูดเหล่านั้นล่ะก็...คุณมันโง่จริง ๆ เลย” ปากสวยขยับพร่ำรำพันถึงใครสักคนเงียบ ๆ ทว่าเสียงฟ้าร้องที่ว่าดังแล้วเสียงความคิดของตัวเองกลับดังมากกว่าหลายเท่า ความเหงาย่างกรายเข้ามาโดยไม่รู้ตัวมันแฝงตัวอยู่ในอากาศชื้นอี้ชิงลูบแขนตัวเองเบา ๆ เมื่อผิวหนังสัมผัสถึงความเย็นจากผลกระทบของลมพายุข้างนอกนาทีนี้ไม่มีอ้อมแขนแกร่งคอยให้ความอบอุ่นการกอดตัวเองไม่ช่วยให้อุ่นขึ้นเลย คริสอยู่ไหน เป็นยังไงบ้างถ้าหากเลือกจะเดินจากไปขอให้บอกลากันสักคำก็ยังดีบ่นถามและตัดพ้อกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างกับคนบ้า ลมพัดพาอากาศรุนแรงพอกับเสียงครางฮือขณะที่ไหล่เล็กสั่นไหวด้วยแรงสะอื้นจากภายในแต่ใบหน้ากลับไร้น้ำตา อี้ชิงคงเสียมันไปหลายครั้งหลายคราวจนไม่มีให้ไหลออกมาได้อีกแล้ว...น้ำตาของเขาเหือดแห้งไปหมดแล้ว
เปรี้ยง!
เสียงท้องฟ้าคำรามดังมากจนน่ากลัวร่างเล็กสะดุ้งเมื่อเห็นแสงสว่างวาบลงสู่ต้นไม้ที่เมื่อครู่มันยังไหวตามลมอยู่เลย อี้ชิงรีบพาตัวเองหนีจากบริเวณหน้าต่างมายังเตียงนอนโดยเร็วแม้จะค่อนข้างลำบาก
เปรี้ยง!
เสียงแหวกของก้อนเมฆดังขึ้นต่อเนื่องสองมือยกขึ้นปิดหูไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น สองตาพยายามหลับตาปี๋ ข้างนอกฝนตกหนักมาก ตอนนี้ได้ยินเพียงเสียงกระทบกันของหยดน้ำกับวัตถุบนพื้นโลกเท่านั้น ปิดหูเพื่อตัดการรับรู้แต่กลับได้ยินเสียงครางฮือของตนเองไม่ได้หยุดหย่อน เสียงฟ้าร้องน่ากลัวมากแต่อี้ชิงกลับกลัวเสียงของตัวเองเสียมากกว่า เนิ่นนานที่ร่างเล็กนอนขดอยู่แบบนั้นจนกระทั่งสายฝนได้ผ่อนซาลงเหลือเพียงสายฝนปรอย ๆ
เวลากว่าสี่ทุ่มชายแปลกหน้าในชุดกันฝนตรงปรี่เข้ามาในห้องพิเศษชั้นหก ร่างสูงวิ่งหลบห่าฝนไม่ทันแต่แม้จะสวมเสื้อกันฝนที่พกมาด้วยก็ยังเปียกปอนอยู่บ้างคริสปัดน้ำฝนจากตัวก่อนที่เขาจะค่อย ๆ แง้มประตูเข้ามาอย่างเบามือ สองเท้าก้าวอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนที่หลับอยู่รู้ตัว ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงแสงไฟจากห้องที่จำเป็นต้องเปิดไฟไว้เท่านั้นส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สายตาคมมองดูร่างเล็กนอนคุดคู้อยู่บนเตียงสองมือปิดหูเอาไว้คืนนี้อี้ชิงหลับเร็วคาดว่านอกจากฤทธิ์ยาคงเป็นเพราะกลัวเสียงฟ้าร้องด้วยอีกสาเหตุหนึ่ง
“ฝันดีนะอี้ชิง” คริสก้มลงพูดกับร่างเล็กที่หลับไม่ได้สติ สองมือบรรจงหยิบมือเล็กนั้นเหยียดออกในท่าที่สบายกว่าเดิม เคลื่อนตัวเองมายังปลายเตียงสัมผัสเท้าเล็กอย่างเบามือแล้วค่อย ๆ สวมถุงเท้าให้เหมือนทุกคืนที่ผ่านมาก่อนจะดึงผ้าห่มผืนบางคลุมตัวในระดับอกเพิ่มความอบอุ่นให้คนที่นอนหลับอยู่คริสเคลื่อนตัวมายังหัวเตียงอีกครั้งมือหนาเขี่ยปอยผมที่ปิดเปลือกตาอี้ชิงออกอย่างเบามือที่สุดแล้วพรมจูบบนหน้าผากมนอย่างรักใคร่
“มันก็แค่เสียงฟ้าร้องไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้วไง”
TBC
Windy Boy :: ผ่านตอนนี้ไปก็โล่งใจแล้ว เฮอ เฮอ เฮอ เราเดินข้ามขุนเขากันมาหลายลูกตอนนี้มันใกล้จะถึงจุดหมายแล้วค่ะ ใจหายอยู่เหมือนกันนา TT^TT ใกล้จะเปิดเทอมแล้วอยากรีบจบ เทอมนี้จะตั้งใจเรียน(?) เหรอ เหรอ เหรอ
Pyckajae :: ตอนนี้ วดบ ฉายเดี่ยวอะเกนจ้า ทางนี้จัดหน้าอย่างเดียว 555555555555 ฝากตอนนี้ไว้ในอ้อมออกอ้อมใจด้วยนะแจ๊ะ -3-
ความคิดเห็น