คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : B L U E : : 10
“อ๊ะ...อ่า” ผมร้องให้กับตัวเองเมื่อดันซุ่มซ่ามทำน้ำร้อนหกโดนมือ บ้าชะมัด ช่วงนี้เหมือนไม่ค่อยมีสมาธิอยู่กับตัวเลยแฮะ ผมเช็ดน้ำที่หกพลางบ่นตัวเองอย่างหัวเสียไปด้วย ทำไมเป็นคนทำอะไรไม่ระวังเอาซะเลยนะ จาง อี้ชิง ผมเริ่มชงกาแฟแก้วใหม่ให้ลูกค้าอีกครั้งแต่ก็ทำแก้วหล่นลงบนเคาน์เตอร์อีกหน มือสองข้างนี้มันอะไรกันนะ น่ารำคาญจริงๆ
"พี่อี้ชิง เดี๋ยวหนูทำให้เองค่ะ พี่ไปทายาเถอะ" น้องที่ยืนประจำเคาน์เตอร์ด้วยกันบอก ผมพยักหน้าพร้อม
ยิ้มให้น้อยๆ เป็นการขอบคุณ
โชคดีอย่างหนึ่งที่ช่วงเวลานี้ลูกค่ายังไม่เยอะเท่าไหร่ทำให้ยังพอหลบมาพยาบาลตัวเองได้ ผมถอนหายใจขณะชโลมยาลงบนมือข้างที่โดนน้ำร้อนลวก ปวดแสบปวดร้อนจนอยากจะร้องออกมา แต่ก็นั่นแหละ ที่เจ็บกว่านี้ผมก็เคยมาแล้ว ผมลากนิ้ววนบนหลังมือพลางคิดถึงใครคนหนึ่งตลอดเวลา...ผมคิดถึงคริส
ช่วงเวลาที่ไปอยู่ที่โบสถ์ ผมพยายามลบเอาผู้ชายคนนี้ออกจากหัว แต่ยิ่งทำเท่าไหร่หัวใจผมมันก็ยิ่งทรมาน แม้แต่เวลาที่ย่างเท้าเดินผมก็ยังนึกสงสัยว่า ณ ห้วงเวลานั้น คริสจะก้าวเท้าขวาเดินเหมือนผมอยู่รึเปล่า หรือในเวลาที่ผมกำลังร้องไห้จะเป็นจะตายกับความรักแสนน่าสมเพชนี้ เขาจะคิดถึงผมบ้างมั้ย ตอนที่เรากอดเกี่ยวกันบนฟูกตัวเดิม ช่วงเวลาที่ผมพร่ำบอกรักเขาระหว่างช่วงเวลานั้น เขาเคยคิดที่จะพูดโกหกคำโตที่ผมอยากได้ยินรึเปล่า...
มานึกๆ ดูแล้วคริสไม่เคยพูดว่ารักผมเลยสักครั้ง มีแต่ไอ้โง่อย่างผมเท่านั้นแหละที่คิดไปเองคนเดียว แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ บางครั้ง ความรักที่แสนทรมานอาจจะจบลงเร็วๆ นี้ก็ได้ ผมรู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าว เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ ผมเชิดหน้าขึ้นมองเพดาน ไม่อยากให้น้ำตาไหลออกมา นิสัยแย่ๆ ของผมก็คงจะเป็นการร้องไห้นี่แหละมั้ง
"เหม่ออะไรอยู่เหรออี้ชิง" เสียงของพี่ดาน่าดึงผมให้กลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริง ผมลืมตัวยกมือขึ้นเช็ดตานึกได้อีกทีก็ตอนรู้สึกแสบตาเพราะยาทานั่นแหละ
"โอ๊ย! บ้าจริง" ผมร้องโวยวายจนพี่ดาน่าหัวเราะดังลั่น
"ตายแล้วอี้ชิง เป็นบ้าอะไรเอายาทาแผลน้ำร้อนลวกไปทาตาน่ะหา? มา ๆ ไปล้างตาเร็ว" พี่ดาน่าคว้าข้อมือผมที่ตอนนี้ลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว แต่จากหูได้ยินเสียงเปิดก๊อกน้ำ คาดว่าพี่เค้าคงเอาน้ำใส่ถ้วยมาให้ผม "เอ้า ลืมตาในน้ำซะ" ผมทำตามที่พี่ดาน่าบอกแทบจะในทันที หลังจากเงยหน้าขึ้นจากน้ำพี่ดาน่าก็เอาผ้าขนหนูมาซับหน้าให้ผม
"ขอบคุณครับพี่ดาน่า" ผมพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงเพราะอีกฝ่ายแทบจะเอาผ้าขนหนูขยี้หน้าผมอยู่แล้ว
"คราวหน้าคราวหลังก็มีสติหน่อยล่ะ นี่ถ้าตาบอดขึ้นมาจะทำยังไง" รูปประโยคฟังดูเหมือนกำลังดุแต่น้ำเสียงออกไปในเชิงล้อ ๆ มากกว่า ผมยิ้มเขิน ๆ ให้ก่อนจะแปลกใจกับเสียงถอนหายใจของหญิงสาวตรงหน้า "ทั้งพี่แล้วก็เฮนรี่เป็นห่วงนายนะ พี่ไม่รู้หรอกว่านายมีปัญหาอะไรมาช่วงที่หายไป แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ตลอดนะอี้ชิง"
ผมยิ้มน้อย ๆ ให้กับคำพูดนั้น...ผมรู้ตัวว่าความรู้สึกผิดหวังที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจใครเลย มนุษย์เรามันก็
เกิดมาพร้อมกับความเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอ ใบหน้าของคนที่กำลังยิ้มให้เราอย่างเป็นมิตรเบื้องหลังเค้าอาจจะรอเวลาแทงเราจากข้างหลังก็ได้ หรือบางทีผมอาจจะมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป ทำไงได้ในเมื่อสังคมหล่อหลอมผมขึ้นมาแบบนี้
ผมบอกขอบคุณพี่ดาน่าอีกหนแล้วเดินกลับออกไปทำงานต่อ คราวนี้ผมไปวุ่นอยู่ตรงส่วนของแคชเชียร์เพราะมือที่ยังเจ็บอยู่ ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาคิดเงิน เสียงของใครบางคนที่แม้จะเคยได้ยินไม่กี่ครั้งหากแต่จำได้ขึ้นใจก็ดังขึ้น
"ขอบราวนี่ใส่กล่องด้วยค่ะ" ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเธอ ชื่อของเธอลอยเข้ามาในหัว...สเตฟานี่ ผมไม่รู้ตัวว่าเหม่อค้างมองอีกฝ่ายนานแค่ไหน แต่เธอก็เอ่ยย้ำอีกครั้งราวกับต้องการให้ผมได้สติ "บราวนี่ด้วยค่ะ"
น้ำเสียงของเธอติดจะฉุนเฉียวเล็กน้อย ผมกล่าวขอโทษก่อนจะไปจัดการทำให้เธอ ระหว่างนั้นบทสนทนาระหว่างสเตฟานีและคริสก็หวนกลับเข้ามาในห้วงคำนึงของผมอีกครั้ง
'ในเมื่อนายหลอกเด็กที่ชื่อจางอี้ชิงได้สำเร็จ ฉันก็จะถือว่าฉันแพ้นายแล้วกัน'
ระหว่างที่จัดบราวนี่ใส่กล่องมือของผมมันก็สั่นจนสังเกตได้ ผมสูดหายใจลึกพลางเตือนสติตัวเองว่าผมไม่ควรเอาเรื่องอื่นมาทำให้งานพังแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงเลือกซื้อบราวนี่ เบเกอรี่ที่ราคาถูกที่สุดในร้าน
"นี่ครับ" ผมยื่นกล่องเค้กที่ใส่ถุงเรียบร้อยให้เธอ สเตฟานี่ไม่ละสายตาจากใบหน้าของผมแม้จะรับของไปแล้ว เธอคงยังไม่รู้ว่าผมรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เธอคงจะกำลังนึกสมเพชผมในใจ ทำไงได้ก็ผมมันโง่จริงๆ นี่นา หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วเอ่ยกับผม
"ใกล้เที่ยงแล้ว...พอมีเวลาว่างจะคุยกับฉันมั้ย?" ผมมองเธออย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอจะอยากคุยอะไรกับผมกันล่ะ
"เอ่อ...คุณเป็นเพื่อนพี่ดาน่าไม่ใช่เหรอครับ"
"ก็ใช่ แต่เจ้านายเธอคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้งถ้าฉันจะคุยกับพนักงานที่ฉันออกจะ...เอ็นดูเป็นพิเศษ" สเตฟานี่เหยียดยิ้ม ผมเอี้ยวตัวกลับไปมองหาพี่ดาน่าที่อยู่ทางหลังร้าน พี่ดาน่ายืนมองเราสองคนด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์นัก ผมหันกลับ
มาหาลูกค้าและพบว่าเธอเองก็กำลังมองพี่ดาน่าอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนว่าเจ้านายของผมจะไม่ชอบใจอะไรสเตฟานี่สักอย่างหากแต่พี่ดาน่าก็ไม่ได้เดินมาว่าอะไร กลับกันเธอเดินหายเข้าไปในห้องครัวแทน
"ถ้าอย่างนั้นก็รอสักครู่แล้วกันนะครับ" สเตฟานี่สั่งกาแฟดำไปดื่มนั่งรอผมเงียบ ๆ ที่โต๊ะเล็กติดหน้าต่าง
ในหัวผมตอนนี้มีคำถามมากมาย เธอต้องการอะไรจากผมเหรอ? น่าแปลกที่รอบนี้เธอเข้ามาคุยกับผมเป็นภาษาจีน ไม่รัวภาษาอังกฤษใส่เหมือนคราวนั้น แม้จะวุ่นวายอยู่กับลูกค้าคนอื่นแต่ผมก็พอจะรู้ตัวว่าโดนสเตฟานี่จับจ้องอยู่ มันน่าอึดอัดชะมัด ต่างกับตอนที่คริสมานั่งเฝ้าผมเป็นไหนๆ ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ฝากงานไว้กับน้องพนักงานอีกคนแล้วปลีกตัวเดินไปยังคนที่ผมเข้าใจว่าเป็นน้องสาวของคริส
"มีเวลาคุยไม่นานนะครับ" ผมหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ สเตฟานี่วางแก้วกาแฟที่เพิ่งยกขึ้นจิบลง ใบหน้าสวยได้รูปจ้องมองมาที่ผมเหมือนกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง ผมไม่ชอบเลย
"ไม่เป็นไร ฉันก็แค่อยากจะมาทำความรู้จักกับคู่ขาคนใหม่ของพี่ชายน่ะ"
"คู่ขา?" ผมทวนเสียงสูงก่อนจะยิ้มเจื่อน ช่วยไม่ได้มันก็อาจจะจริงอย่างที่เธอว่า "แค่คู่ขา น้องสาวคริสถึงขั้นต้องลดตัวมาทำความรู้จักเลยเหรอครับ" สเตฟานี่ชะงักไปนิดหน่อย ก่อนที่ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีสดนั้นจะแย้มยิ้ม
"ฉันชื่อสเตฟานี่ ส่วนนายก็คงจะเป็นจาง อี้ชิง นายคงจะเด็กกว่าพี่ชายฉันหลายปีสินะ"
"ครับ" ผมสังเกตได้ว่าเธอไม่พูดถึงชื่อคริสเลย ใช้เพียงสรรพนามแทนตัวว่า 'พี่ชาย' เท่านั้น "ใช่ครับ แต่คริสไม่เห็นเล่าให้ผมฟังเลยว่ามีน้องสาวด้วย"
"พี่ชายฉันไม่ค่อยพูดเรื่องครอบครัวกับคนไม่สนิทน่ะ อ่า ตายจริง โทษทีนะ นายคงไม่ชอบที่ฉันพูดแบบนี้" รอยยิ้มเสแสร้งนั้นทำให้ผมรู้สึกอยากอ้วกแต่ก็ทำได้แค่ข่มความรู้สึกนั้นไว้ในเมื่อเธอคิดว่าอยู่เหนือผมก็ตามใจเธอเถอะ มีบางเรื่องที่เราก็สมควรจะแกล้งโง่ไว้บ้างเหมือนกัน ผมยิ้มบางๆ ให้เธอ ทำให้เธอเห็นว่าผมไม่เป็นไร คำพูดพวกนั้นทำอะไรผมไม่ได้
"ผมก็คิดอย่างนั้นแหละครับ ผมยังไม่รู้จักคริสดีพอหรอก" แต่ผมก็ไม่คิดว่าสเตฟานี่จะรู้จักคริสดีกว่าผมตรงไหน ที่แน่ๆ คริสคงไม่คิดว่าเธอเป็นน้องสาวเขาหรอก ก็จากที่ผมได้ยินตอนนั้น พวกเขาอาจไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแม้แต่นิดเดียว
"นายดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่ฉันคิดนะ"
"ขอบคุณครับ"
"แต่ก็ยังไม่ค่อยทันคนเท่าไหร่"
"ครับ?"
"ฉันรู้สึกถูกชะตากับนายนะก็เลยไม่อยากให้มาเสียใจทีหลัง พี่ชายฉันค่อนข้างจะ...รักคนยากน่ะ"
"งั้นเหรอครับ" ผมยิ้มขัน สงสารผู้หญิงคนนี้ที่ต้องปั้นหน้าทำตัวเป็นน้องสาวแสนดีกับผม ทำเหมือนผมไม่รู้อะไรเลย "แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี คุณมาเตือนผมเรื่องคริส ทั้งที่คุณเป็นคนบอกให้คริสเข้าหาผมเองไม่ใช่เหรอครับ" คราวนี้สเตฟานี่ชะงักไปเล็กน้อยเธอแค่นยิ้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสับสน
"นายรู้อะไรมา"
"ก็รู้ว่าเรื่องบางเรื่องแกล้งโง่ไว้บ้างก็ดี เวลาเห็นคนอื่นดิ้นแล้วจะได้ดูสนุก"
"ว้าว ไม่ธรรมดานี่ งั้นก็กลายเป็นว่าต่างคนต่างแกล้งโง่ใส่กันสินะ"
"เปล่าหรอกครับ คนที่โง่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นแหละ" ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้เลยตัดสินใจลุกขึ้น ผมควรจะจบบทสนทนาแสนงี่เง่านี้เสียที "ขอบคุณความหวังดีจอมปลอมนะครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ผมคงอยู่ให้พี่ชายคุณหลอกต่อไปได้อีกไม่นานเท่าไหร่ โชคดีนะครับ" ผมเอ่ยลา สบตากับเธอก่อนจะหมุนตัวกลับ ขาที่กำลังจะก้าวเดินของผมหยุดชะงักเมื่อผมเห็นบุคคลที่สามในบทสนทนาเมื่อครู่ยืนอยู่ตรงนี้...ดวงตาคมเข้มแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา...
ใช่แล้ว ผมกำลังสบตากับคริสอยู่
แสงอาทิตย์ยามสายสาดมายังบุคคลที่เพิ่งลงจากรถยนต์ส่วนตัวอย่างเร่งรีบ วันนี้คริสในชุดลำลองขับรถดิ่งมาถึงโรงพยาบาลด้วยตังเอง ท่าทางร้อนใจของเขานั้นทำให้ต้องผุดลุกผุดนั่งเดินไปเดินมาอยู่หน้าแผนกจิตเวชอยู่นานกว่าลู่หานจะมา ซ้ำยังต้องนั่งรอคุณหมอตรวจคนไข้อยู่กว่าสองชั่วโมงเศษพอถึงเวลาพักเที่ยงจึงได้โอกาสเข้าไปคุยเสียที คริสซักไซ้ลู่หานอยู่นานกว่าจะยอมบอกอาการป่วยของจางอี้ชิง เพราะตามจรรยาบรรณแพทย์แล้วลู่หานไม่ควรทำอย่างนั้น แต่วันนั้นที่เขาตัดสินใจบอกคริสก็เพียงเพื่อต้องการให้คริสหยุดทุกอย่างที่เกี่ยวกับอี้ชิงเท่านั้น
ลู่หานบอกว่าอี้ชิงป่วยออดๆ แอด ๆ มาตั้งแต่เด็กซึ่งเป็นความจริงเกี่ยวกับอี้ชิงที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน น่าตกใจมากจนคนได้ฟังอย่างนั้นรู้สึกใจหายไม่น้อย ลู่หานเริ่มเล่าเรื่องราวของอี้ชิงอีกครั้งด้วยความหวังว่าเพื่อนของตนจะหยุดทำอะไรบ้า ๆ นั่น คุณหมอบอกว่าอี้ชิงนั้นมีหลายโรครุมเร้า โรคฮีโมฟีเลียที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเหมือนเงาตามตัว อี้ชิงพยายามรักษามาโดยตลอด ควบคุมระดับเฟ็กเตอร์ได้ ระวังอุบัติเหตุเสียเลือดได้ผลก็ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่นั่นก็เป็นเรื่องทางกาย การที่ต้องเป็นเด็กป่วยทำให้ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยกว่าโรงเรียนเป็นเรื่องที่น่าเศร้า อี้ชิงกลายเป็นเด็กอารมณ์ฉุนเฉียวและอาละวาดทุกครั้งที่มาโรงพยาบาล เขาเกลียดโรงพยาบาล เกลียดหมอ เกลียดพยาบาล เกลียดยา เกลียดเข็มฉีดยา เกลียดเตียงรวมทั้งอะไรเทือก ๆ นั้น ความรู้สึกหดหู่ทางจิตใจมันเรื้องรังสะสมมานานจนหาจุดแก้ไขได้ยาก
ชีวิตคน ๆ หนึ่งที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดมาตั้งแต่เด็ก ทั้งเครียด อารมณ์เสียอาละวาด ชอบหลบไปร้องไห้อยู่คนเดียวจนกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน สุขภาพจิตย่ำแย่ แย่ขนาดที่ว่าเป็นโรคอีกหลายโรคที่แทรกเข้ามาทีหลัง โรคหัวใจพริ้วที่พร้อมจะพรากชีวิตได้ทุกเมื่อ ทุกครั้งที่หลับตาไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีโอกาสตื่นขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ หลายครั้งที่อี้ชิงหมดกำลังใจเขาก็อยากปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น แต่บางครั้งกลับรักตัวเองจนน่าแปลกใจ
คริสใจหายวูบเมื่อรู้เช่นนั้น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ควงของตนนั้นป่วยหนักมากจนบางครั้งคิดอยากจะจากโลกนี้ไปเพราะความทรมานที่ต้องอดทนมาโดยตลอด น่าสงสาร รู้สึกผิด เขารู้สึกผิดต่ออี้ชิงที่การรู้จักของพวกเขาทั้งสองนั้นไม่ได้เริ่มต้นจากความรู้สึกสวยหรูเหมือนคู่รักคนอื่น ๆ อีกทั้งรู้สึกผิดและสับสนในคราวเดียวกัน
“อี้ชิงน่าสงสาร อ่อนแอแต่ก็อดทน” ลู่หานพูดด้วยเสียงและแววตาแฝงไปด้วยความเศร้า “ฉันคิดว่าในโลกนี้คงจะมีแต่เพียงนิยายขายฝันเท่านั้นที่เขียนให้ชีวิตตัวเอกต้องรันทด สู้ชีวิตต่อลมหายใจของตัวเองเพื่อคนอื่น แต่ว่า...กับอี้ชิงแล้วมันคือความจริง นายหยุดเล่นกับลมหายใจที่ไม่รู้ว่าเฮือกสุดท้ายจะจบลงเช่นไรเถอะนะ”
“อี้ชิงนอนไม่หลับติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว ฉันกลัว...” ลู่หานพูดเสียงสั่นเครือ ไม่มีใครรู้ว่าประโยคหลังจากนั้นคืออะไร คริสก้มหน้าชาไปทั้งตัวเมื่อรู้ความจริงจากปากเพื่อน
คำพูดของลู่หานดังวกไปวนมาในหัวสมองที่กำลังใช้ความคิดและความรู้สึกสับสนนานาที่พร้อมใจกันถาโถมและกัดเซาะหัวใจของชายคนนี้ เขาเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยมีความรักให้กับใครแต่กลับเป็นคนที่เล่นกับความรู้สึกของอีกคนได้อย่างน่าเวทนา คริสรู้สึกว่าตัวเองหน้าชาเหมือนกับถูกแรงกระแทกเข้าอย่างจัง เขาชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจไปหาอี้ชิงที่ร้านของดาน่า ตลอดทางเอาแต่คิดถึงสิ่งที่ตนเองทำลงไปตอนแรก ขาดความยั้งคิดที่สุด ถ้าอี้ชิงรู้เรื่องนี้คงเสียใจไม่น้อย แต่เขารู้ดีว่านับวันความคิดแย่ ๆ ที่เขาทำตั้งแต่แรกไม่ได้ทรมานความรู้สึกของอี้ชิงเพียงคนเดียว เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกของตนเองนั้นถลำลึกไปมากเท่าไหร่ในขณะที่เวลานั้นหมุนไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด...
ร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่มีใครสังเกต ตาคมที่จ้องมองมายังคนทั้งคู่ยากจะคาดเดา อี้ชิงกำลังลุกออกมาจากบทสนาทนาอันแสนน่าอึดอัดมองมายังเขาด้วยความรู้สึกผิดหวัง หยดน้ำชื้นที่เอ่ออยู่ขอบตาไหลลงมาช้า ๆ ราวกับจะตอกย้ำความงี่เง่าของตัวเขาเอง แม้แต่น้ำตาก็ไม่สามารถห้ามมันไหลได้ เขาอ่อนแออีกแล้ว
“อ้าว พี่ชายกำลังพูดถึงอยู่พอดีเลย” เสียงละมุนเคลือบพิษร้ายของสเตฟานี่เอ่ยทักคนมาใหม่ สะกิดให้อี้ชิงที่กำลังยืนแข็งทื่อพยายามดึงสติของตัวเองกลับมา มือข้างที่ไม่ถูกน้ำร้อนลวกรีบยกขึ้นปาดน้ำตาลวก ๆ ก่อนจะยกยิ้มน้อย ๆ ให้กับคริส กลบเกลื่อนหยาดน้ำที่พยายามเผยความอ่อนแอของตัวเอง
“คุณมาถึงนี่เลยหรอ บอกแล้วไงเย็นนี้จะไปหา” พยายามกดเสียงที่กำลังสั่นเครือให้ดูเป็นปกตินั้นยากยิ่งนัก เหมือนกำลังถูกบีบจมูกให้เคี้ยวยาเม็ดขมแล้วกลืนลงลำคอ ขมมากแต่ถ้าเทียบกับความรู้สึกตอนนี้กลับน้อยเหลือเกิน
“มานี่จะสั่งอะไรดีคะ บราวนี่หรือว่า...” เธอปรายตามาทางอี้ชิงที่ตอนนี้กำลังยืนแกล้งยิ้มให้กับคนที่เธอเรียกว่าพี่ชาย ว่าแล้วสาวบนส้นสูงเจ็ดนิ้วก็เดินมากระซิบข้างหูของอิ้ชิง “ฉันเตือนเธอแล้วนะจ๊ะ” กระซิบน้ำเสียงเยาะเย้ยส่งเข้ามาภายในโพรงหูของคนโง่ที่ยังคงทนยืนฟังเหตุการณ์บ้าบอเหมือนกับไร้ความรู้สึก
“เธอมาที่นี่ทำไม” แล้วคริสก็ยิงคำถามโดยที่ไม่ยอมเอ่ยชื่อของเธอ
“ฉันก็แค่...หวังดีกับอี้ชิงน่ะพี่ชาย” ว่าแล้วก็แกล้งส่งยิ้มให้กับอี้ชิง
“สเตฟานี่!” คริสตะคอกเธอเสียงดังลั่นร้าน
“คริส...” อี้ชิงเอ่ยขึ้นขัดจังหวะการมีปากเสียงของสองพี่น้อง “คุณอย่าโกหกผมอีกเลย”
“อี้ชิง...” ทำได้แค่เรียกชื่อของอีกคนไว้ในขณะที่สิ่งที่กำลังคิดในหัวนั้นตีกันปนเปไปหมด เขาไม่รู้จะควรจะเริ่มจากตรงไหนดี “เธอกลับไปซะ” ออกคำสั่งไล่สเตฟานี่ด้วยคำพูดห้วน ๆ หญิงสาวได้ยินคำพูดไร้เยื่อใยของฝ่ายที่ตนเรียกพี่ชายถึงกับหลุดขำสมเพชเมื่อสิ่งที่เธอวางแผนไว้ทั้งหมดนั้นเข้าทางเธอแล้ว ปากเคลือบลิปสติกสีสดกระตุกยิ้มมุมปากเยาะคนเป็นพี่ชาย
“นายรักมันจริง ๆ แล้วสินะ โอเค เมื่อมันจบอย่างงี้ฉันยอมแพ้นายก็ได้” น้ำเสียงของหญิงสาวเยาะเย้ยเสียดแทงคริสที่ยังคงจ้องมองเธอด้วยสายตาแข็งกร้าว สเตฟานี่กระแทรกส้นเข็มเชื่องช้ารอบ ๆ สองคนที่ยังยืนประชันหน้ากันอยู่พร้อมกับปรบมือเรียกความสนใจจากลูกค้าทั้งร้าน อี้ชิงไม่รู้ว่าลูกค้าภายในร้านนั้นมีปฏิกิริยาอย่างไรเพราะทัศนียภาพของเขาตอนนี้ช่างพร่ามัวเหลือเกิน ดาน่าได้ยินเสียงดังนั้นจึงออกมาดูเหตุการณ์ที่พอจะคาดเดาได้ว่าเพื่อนของตนเป็นคนก่อขึ้นมา แม้ไม่รู้เรื่องทั้งหมดแต่ก็พอจะเดาออกว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอจ้องสเตฟานี่อย่างไปสบอารมณ์นัก
“คุณคริสคุยกับอี้ชิงให้รู้เรื่องเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง” ว่าแล้วเธอก็ฉุดสเตฟานี่เข้าไปคุยในครัว
“นี่ ดาน่าปล่อยฉันนะ”
“เธอน่ะมานี่ หยุดก่อเรื่องได้แล้ว” ว่าพลางดึงแขนเพื่อนออกจากตรงนี้
“ปล่อยฉัน” เธอสะบัดแขนจากจากดาน่าจนหลุดแล้วหันมาเยาะเย้ยคริสอีกครั้ง “พี่ชาย...พี่แพ้ฉันแล้วนะ” ว่าแล้วก็หัวเราะเสียงแหลมดังลั่น ก่อนที่เสียงส้นเข็มและเสียงหัวเราะแหลมน่าเกลียดนั่นจะเบาลงเรื่อย ๆ ตามระยะทางของครัวจากตรงนี้ที่มีเพียงแค่คนสองคนยืนอยู่ ไร้คำพูดใด ๆ ออกมาและสุดท้ายก็เป็นอี้ชิงที่ตัดสินใจพูดอีกครั้งเพื่อให้เรื่องนี้กระจ่างขึ้น
“เกมของพวกคุณมันจบลงแล้ว ถึงคุณจะแพ้เธอ แต่รู้ไว้ว่าคุณชนะผมทุกอย่าง” ตาคู่ที่กำลังจ้องมองคนที่สูงกว่าหลุบต่ำลงเพราะต้านแรงสายธารนั้นไม่ไหวแล้ว ยามที่น้ำตาทำงานหนักกว่าหยาดฝนบนท้องฟ้าช่างน่ากลัวเหลือเกิน “ความจริงผมรู้เรื่องนี้มาได้สักพักแล้วแต่ก็ยังแกล้งโง่ตามเกมของพวกคุณ”
“อี้ชิง ผม...”
“ผมพยายามหนีจากตรงนี้ ทุกที่ที่มีคุณก็จะมีแต่ความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าจะหนีไปยังไงคุณก็ยังตามผมไปทุกที่ นั่นทำให้ผมกลับมาเผชิญมันอีกครั้ง...เพื่ออะไรน่ะหรอ คุณคงไม่รู้จักมันหรอก แต่รู้อีกอย่างนะคริสว่าความรู้สึกของคนมันไม่ใช่ของเล่น” อี้ชิงพยายามพูดประโยคยาวที่ต้องการจะพูด แต่อีกคนกลับส่งความเงียบเป็นคำตอบ เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี คนเราไม่ได้เก่งกาจเสมอไป ตอนนี้คริสกำลังจมกับความโง่งมและความขี้ขลาดของตัวเอง น้ำตาของคนตัวเล็กไหลลงมาไม่หยุดพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร
“อี้ชิง...ผมขอโทษผมไม่รู้ว่า...” คริสพยายามเรียบเรียงสิ่งที่ตนเองต้องการจะอธิบาย แต่ก็สุดท้ายก็กลืนมันลงไป
“พอเถอะคริส คุณไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว” อี้ชิงกำลังหมุนตัวกลับเข้าไปยังหลังร้านแต่ก็ถูกมือหนาฉุดข้อมือไว้ รั้งการก้าวเดินพร้อมกับดึงเข้าไปกอดไว้หลวม ๆ
“ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนอกจากคำว่าขอโทษ ผมยอมรับว่าจุดเริ่มต้นของเรามันมาจากเกมโง่ ๆ และผมโง่กว่าที่ยอมเดินตาม ถึงแม้ว่ามันไม่ได้เกิดจากความรู้สึก แต่ว่า...” ประโยคสุดท้ายที่กลืนลงไปในลำคอ ทิ้งช่วงให้ความเงียบเบียดบังเอาพื้นที่ระหว่างคนสองไปครอบครอง คริสพยายามเรียบเรียงสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารให้อีกคนรับรู้แต่ก็ยากเหลือเกิน “แต่ว่า...อย่าร้องไห้เลยนะ”
สุดท้ายแล้วก็กลืนความขี้ขลาดของตนเองอีกครั้ง มือขวาของคนสูงกว่ายกขึ้นกวาดหยดน้ำใสจากผิวแก้มขาวละเอียด
“สำหรับผม...การร้องไห้คงเป็นเครื่องเตือนการดำรงอยู่ของไปของชีวิตไปแล้ว ผมแค่ร้องไห้...แต่...ไม่ได้เป็นอะไร”
“โกหก คุณอย่าพยายามเข้มแข็งอีกเลยอี้ชิง”
“ผมไม่ได้พยายามสักหน่อย ผมไม่ได้เป็นอะไร ถึงแม้คุณไม่ได้กอดไว้ ผมก็ยังคงยืนอยู่ได้ ยังหายใจได้”
“ถ้าการร้องไห้เป็นเครื่องเตือนการดำรงอยู่ของชีวิตแล้วการโกหกคงเป็นยารักษายามเจ็บป่วย เมื่อไหร่ที่คุณป่วยคุณก็จะโกหก”
“…” อี้ชิงไม่เข้าใจกับสิ่งที่คริสพูดสักเท่าไหร่จึงปล่อยให้ความเงียบไหลนำพาน้ำตาแทนความในใจ
“คุณป่วยกำลังอยู่ใช่ไหม...จาง อี้ ชิง” คริสเน้นชื่อจริงของเขาราวกับต้องการเค้นความจริงของอีกฝ่าย
“ผะ...ผม...” อี้ชิงตะกุกตะกักตกใจที่ความลับที่ปกปิดมาโดยตลอดนั้นไม่ใช่ความลับอีกต่อไป มือข้างที่เกลี่ยน้ำตาจากแก้มคนตัวเล็กยกขึ้นผลักหัวทุยให้ซบกับอกแกร่งแล้วลูบหัวเบา ๆ ราวกับจะส่งกำลังใจให้ อีกครั้งที่อี้ชิงไม่สามารถห้ามน้ำตาให้ไหลได้อีกต่อไป ความรู้สึกต่าง ๆ มันตีกันวุ่นในหัวสมองอันแสนเหนื่อยล้า เสียงสะอึกสะอื้นดังออกมาจากช่องว่างระหว่างกันและกัน
“ผมขอโทษ...” คริสได้แต่พูดว่าขอโทษซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
“ถ้าหากคำขอโทษมันมาจากความรู้สึกสงสาร ได้โปรดอย่าพูดมันออกมาเลยคริส” อี้ชิงที่กำลังสะอื้นพยายามพูดเสียงอู้อี้ในอ้อมกอดของอีกคน ทุกพยางค์ที่ถูกเปล่งออกมาสัมผัสได้ถึงความแผ่วเบาและเย็นชาจนน่ากลัว
“...”
“คุณกลับไปเถอะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอให้ครั้งนี้เป็นความสุขที่คุณให้ผมเป็นครั้งสุดท้าย ขอบคุณนะคริส” พยายามพูดประโยคยาวนั้นก่อนที่เสียงสะอื้นตอนนี้กำลังแหบพร่าลงทุกที น้ำตาที่ไหลเป็นสายพรั่งพรูไม่ยอมหยุด
อี้ชิงฝืนดันตัวเองออกจากอกกว้างนั้น อกกว้างที่คอยให้ความอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยกับตนเสมอ บางทีนี่อาจจะหมดเวลาแล้ว อ้อมกอดนั้นอาจกำลังร้องบอกว่าหมดเวลาของเขา เท้าเล็กก้าวถอยหลังแม้จะสั่นและไร้เรี่ยวแรง อี้ชิงอยากจะเอ่ยปากให้คริสออกไปจากที่นี่แต่ที่ทำได้ก็เพียงแค่พูดโดยไม่มีเสียง แม้น้ำตาจะทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัวแต่คริสที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ยังดูเด่นชัดเสมอ
เป็นเหมือนภาพที่ฝังลึกลงในสมองของอี้ชิงไปแล้ว
อี้ชิงพยายามคว้าเอาเก้าอี้แถวนั้นยึดร่างตัวเองไว้ แต่ก็ยากเหลือเกินเมื่อแขนทั้งสองข้างเหมือนกับถูกตัดขาดจากการควบคุม ขาสองข้างที่พยายามฝืนยืนอยู่นานอ่อนกำลังเต็มที ก้อนเนื้อภายใต้อกข้างซ้ายเต้นไม่เป็นจังหวะปกติ ร่างบางอ้าปากสูดเอาอากาศรอบตัวเข้าไปเมื่อรู้สึกว่าแค่หายใจก็ไม่เพียงพอ เสียงหอบที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นดังน่ากลัว ดวงตาที่ถูกกั้นด้วยม่านน้ำตากำลังปิดลงช้า ๆ
ภาพความทรงจำมากมายย้อนวนกลับมาให้คิดถึง ตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งช่วงเวลาที่อี้ชิงคิดว่ามันมีค่าที่สุดสำหรับเขา...วินาทีที่เขากับคริสสบตากันครั้งแรก เรื่องราวของขวดน้ำเปล่าธรรมดาที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เสียงฟูกที่ยุบยวบยามร่างสองคนขยับพร้อมกัน ลมหายใจร้อนที่เคยรดรินที่ต้นคอ...
ร่างของอี้ชิงทรุดลงกับพื้นกระเบื้อง เขาได้ยินเสียงร้องโวยวาย ภาพตรงหน้าดับมืดลง การมองเห็นสุดท้ายคือใบหน้าของคนที่ตนขอร้องให้กลับไปยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ ทุกส่วนในร่างกายอ่อนกำลังลงทุกที อี้ชิงรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“อี้ชิง!” เสียงกรีดร้องของดาน่าดังลั่นร้านก่อนที่เสียงหายใจหอบของตัวเองจะดังกว่าเสียงร่ำไห้
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่อี้ชิงรับรู้ก่อนที่ทุกโสตประสาทจะดับวูบ และดำดิ่งสู่ความมืดที่ไม่มีจุดจบ
TBC…
Talk
Windy Boy :: #พิมพ์ไปน้ำตาไหลไป #อินเนอร์จัด #เปล่าหรอก #โจทย์ตอนนี้ยากมาก #ดีใจที่ผ่านมาได้ #กรี๊ด #เครียด #วิตก #กังวล #ลังเล #ไม่แน่ใจ #แต่สุดท้ายก็ลงจนได้ #พยายามที่สุดแล้วถ้าไม่อินก็ขอโทษนักอ่านทุกคนด้วยค่ะ
Pyckajae :: ดราม่ากันซะให้พอ ห้าห้าห้าห้า
ความคิดเห็น