คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : B L U E : : 01
01
ผมเกลียดโลกที่กำลังยืนอยู่...
โลกที่เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยเว้นที่ว่างไว้ให้ผม โดดเดี่ยว อ้างว้าง คุณดูสิแม้แต่ตู้กดน้ำยังไม่มีน้ำที่ผมอยากจะกินเลย ทั้งที่คนก่อนหน้านี้ยังกดได้ด้วยซ้ำ ผมกำเหรียญในมือแน่นก่อนจะเริ่มเตะตู้กดน้ำไร้ชีวิตอย่างช้าๆ แล้วเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ นิ้วเท้าที่อยู่ให้ผืนรองเท้าผ้าใบกำลังโอดครวญว่าพวกมันเจ็บและความเจ็บนั้นเตือนว่าผมจะต้องเจ็บแบบนี้ไปอีกนานถ้ายังไม่ยอมหยุด โอเค ผมหยุดก็ได้
ผมยืนนิ่งอยู่ข้างตู้กดน้ำเจ้าปัญหานั่นอยู่พักใหญ่ ในยามค่ำคืนเด็กดื่นเช่นนี้มีเพียงแสงไฟสีเหลืองจากเสาไฟเก่าๆ เหนือหัวเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่ส่องสว่าง รถที่ขับผ่านไปมาบนถนนเส้นนี้แทบจะนับคันได้ อีกฟากถนนมีผับแห่งหนึ่งเปิดอยู่ เป็นร้านประจำของผมเองแหละแต่วันนี้ผมยังไม่อยากเข้าไป ข้างในนั้นไม่มีน้ำเปล่าให้ดื่มหรอก ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
ผมหันกลับไปที่ตู้กดน้ำตัวเดิม มันกำลังหัวเราะเยาะชีวิตเส็งเคร็งของผมอยู่รึเปล่านะ แล้วตอนนั้นเองก็มีรถหรูคันหนึ่งจอดเทียบที่ข้างฟุตบาทด้วยความเร็ว เสียงดังเอี๊ยดของล้อทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง ผู้ชายคนหนึ่งผลุนผลันลงจากรถฝั่งคนขับแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่ง กระชากแขนของผู้หญิงคนหนึ่งลงจากรถ
ผู้หญิงคนนั้นดูสวยเฉี่ยว ผมเป็นลอนหนาเงางาม แถมยังใส่ชุดรัดรูปอวดหุ่นสวยของตัวเองเสียด้วย ส่วนผู้ชายก็รูปร่างสูง ใส่สูทดูราคาแพงแม้จะมืดไปสักหน่อยแต่ก็พอมองออกว่าหล่อเหลาเอาการ ทั้งสองคนมีปากเสียงกันเป็นภาษาที่ผมฟังไม่ออก อาจจะเป็นภาษาอังกฤษล่ะมั้ง ช่างเถอะผมไม่อยากสนใจ
ผมเบือนหน้าหนีให้กับภาพตรงหน้า แต่เสียงฝ่ามือที่กระทบหน้าดังฉาดทำให้ผมต้องหันกลับไปอีกครั้ง คุณคงคิดว่าผู้ชายคนนั้นโดนแม่สาวเช้งกระเด๊ะฟาดหน้าเอาสินะ แต่ผิดแล้วล่ะ เป็นผู้ชายคนนั้นต่างหากที่ลงมือ ผมกระตุกยิ้มอย่างสมเพช โลกเรามันก็เป็นอย่างนี้แหละนะหล่อสวยมาจากไหนก็มีด้านมืดของตัวเองกันทั้งนั้น...
ผู้หญิงในชุดรัดรูปพูดอะไรบางอย่างแล้วเดินไปเรียกแท็กซี ผู้ชายตัวสูงคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิมขณะที่ผู้หญิงจากไป ผมยังคงมองดูพวกเขาอย่างลืมตัว แล้วชายคนนั้นก็หันมามองหน้าผม มันเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจ เมื่อได้พินิจใบหน้านั้นดูดีๆ แล้ว คำว่า 'หล่อเหลาเอาการ' ดูจะยังน้อยไป เรียกว่าแบบนี้น่าจะเป็นเทพบุตรเดินดินเสียดีกว่า คนหน้าตาแบบนี้ยังอยู่บนโลกอีกเหรอ?
ความหล่อของเขามันหาคำอธิบายยาก แต่ก็นั่นแหละจากที่เขาทำกับผู้หญิงคนนั้นมันไม่ได้ทำให้ผมเกิดฮาโลเอฟเฟ็คกับเขาหรอก เขายังมองผมอยู่อย่างนั้นจนผมหลุดปากถามออกไป
"มองอะไรครับ?" อาจเพราะไม่ได้คุยกับใครมาทั้งวันเสียงของผมมันเลยดูอ่อนแรงและเบาหวิว ผมกระแอมไอเล็กน้อยแก้เก้อ
"มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นหรอกนะ" ตลกนะที่เขาพยายามแก้ตัวกับผม ทั้งที่เราไม่รู้จักกันเลย เสียงของเขาฟังดูรื่นหูดี ทุ้มต่ำดูสุขุม
"มันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่ครับ" ผมว่า เขาดูจะอึ้งๆ สักหน่อยก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปาก
"นั่นสินะ" เขาตอบแล้วทำท่าจะเดินกลับขึ้นรถ ผมเบนสายตาไปทางอื่น เพราะคิดว่าจะเสียมารยาทไปหน่อยถ้ามองตามเขาไปตลอด แต่หางตาผมเห็นว่าแทนที่เขาจะเดินกลับขึ้นรถ ขายาวๆ นั้นก็กลับกระฉับกระเฉงมาทางผมแทน
"คุณชื่ออะไรครับ?" เสียงทุ้มนั้นเอ่ยถาม ผมหันกลับมามองเขาอย่างชั่งใจ ช่างปะไร ผู้ชายคนไหนๆ ก็เหมือนกันหมดทั้งนั้น
"อี้ชิง...จาง อี้ชิง"
“จาง อี้ ชิง” เขาเน้นชื่อของผมทุกพยางค์อย่างชัดเจน แต่ผมไม่สงสัยหรอกว่าทำไม มันคงเป็นวิธีหนึ่งของผู้ชายที่ใช้ดึงดูดความสนใจเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เคยเข้ามาติดพัน เขาละสายตาจากผมชั่วครู่สักพักน้ำขวดหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผม
“รับไปเถอะครับ” ผมยังไม่ทันจะตอบรับน้ำขวดนั้นก็อยู่ในมือผมเรียบร้อยแล้ว เออ อย่างน้อยการพบกันระหว่างคนแปลกหน้าทั้งสองก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่
“ขอบคุณนะ” ผมพูดห้วน ๆ ก่อนจะดื่มมันลงไป ดื่มเสร็จผมมองหาถังขยะบริเวณนั้นกะว่าจะทิ้งมันไป
“เดี๋ยวสิ” เขาคว้าขวดน้ำมือในผมไว้ทันก่อนจะยกขึ้นดื่มต่อผมอย่างไม่รังเกียจ
... คนเจอกันครั้งแรกเขาทำแบบนี้กันหรอ ผมชักแน่ใจการเข้ามาหาของเขาแล้วล่ะ
“คุณอยู่แถวนี้หรอครับ” เขาเริ่มบทสนทนาระหว่างเราสองคน
“เปล่าหรอกผมมาที่นี่บ่อย ๆ น่ะ" ผมชายตาไปถนนฝั่งตรงข้าม "ว่าแต่คุณ...”
“ผมคริสครับ” เขายิ้มหลังจากแนะนำตัวเสร็จ รอยยิ้มกับหน้าคมนั่นหล่อเหลาอย่างกับรูปสลัก ใครเห็นก็คงตกอยู่ในมนต์สะกดยอมตกเป็นทาสรักเหมือนกับแม่สาวชุดแดงคนเมื่อกี๊
“อ่า คุณคริส”
ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวหนาดังขึ้นขัดบทสนทนาระหว่างเรา หน้าจอใสโชว์ชื่อของคนคุ้นเคย ‘จงอิน’
“ผมต้องรีบไปแล้ว ยังไงก็ขอบคุณสำหรับน้ำขวดนั้น” ผมไม่รอฟังเขาพูดตอบ สองเท้าก้าวฉับ ๆ ไปยังถนนฝั่งตรงข้ามก่อนที่คนในสายจะออกมาตามตัวเขาเอง
'จงอิน' คนรัก ไม่สิ จะเรียกว่าคนรักหรือคู่รักอะไรทำนองนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เป็นคู่นอนแก้เหงาก็คงจะไม่ผิด ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่รู้จักกัน ผมกับเขาคบกันในฐานะอะไรเราสองคนรู้ดี ไม่ผูกมัดและไม่มั่นคงถาวร ผมไม่เคยเสียดายที่ผมใช้ชีวิตแบบนี้ เพราะผมรู้ดีว่าในไม่ช้าสักวันผมก็ต้องตาย
ผมกดตัดสายจงอินเพราะยังไงเสียเราก็ต้องเจอกันข้างในอยู่แล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่คิด จงอินกำลังนั่งหงุดหงิดอยู่ที่เคาน์เตอร์ท่ามกลางเพลงที่ดึงกระหึ่ม
"ไปไหนมา ฉันรอตั้งนาน" นั่นคือประโยคแรกที่จงอินเอ่ยทักผม
"ซื้อน้ำ" ผมตอบห้วนสั้น จงอินมองผมอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
จงอินเป็นลูกชายนักการเมืองท้องถิ่น เป็นคนใจร้อนวู่วาม ถ้าถามถึงข้อดีก็คงจะเป็นหน้าตาของเขานั่นแหละ เขาเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพของผม...แต่ก็บิดเบี้ยว
ไม่นานนัก ร่างสูงโปร่งของใครบางคนก็ก้าวเข้ามาในสถานที่อันเต็มไปด้วยคนบาปแห่งนี้ แต่ก็ไม่เกินความคาดหมายของผมเท่าไหร่ คริสเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ส่วนด้านหน้าของผับ ผมสังเกตเห็นเขาได้ง่ายดายแม้จะมีคนที่เต้นกระจายอยู่กลางฟลอร์บังอยู่บ้าง ไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่ผู้ชายอย่างนั้นไม่น่าจะเข้ามาในที่แบบนี้เว้นเสียแต่ว่า...จะตามผมเข้ามา ผมเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ลืมไปสนิทว่ายังมีจงอินนั่งอยู่ด้วย นึกขึ้นได้ก็ตอนที่จงอินตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงดังภายในผับนี้
"คืนนี้ไปต่อกันที่คอนโดฉันนะ" แน่ล่ะ เราสองคนมีความสัมพันธ์ต่อกันแค่บนเตียงนี่นา แต่คืนนี้ผมไม่อยากไปไหนทั้งนั้น
"ไม่เอาอ่ะ" ผมปฏิเสธแล้วดึงเอาบุหรี่ที่เพิ่งจุดในมือของจงอินมาสูบเสียเอง
"นายนี่มันบ้าจริงๆ ชอบทำให้ตัวเองอายุสั้นลงอยู่เรื่อย"
"แล้วที่นายทำมันต่างกันตรงไหน" ผมเถียงกลับทันควันก่อนจะดูดเอาสารพิษเข้าปอดอีกสองสามครั้งแล้วส่งมวนบุหรี่คืนให้เจ้าของ ผมหันกลับไปมองหาคริสอีกครั้งแต่เขากำลังจะกลับออกไป
ตลกดีที่นาทีนั้นผมอยากจะคุยกับเขาขึ้นมา ผมลุกจากที่นั่งแล้วเดินตามคริสไป ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของจงอิน เอาเถอะ คืนนี้ผมอาจจะได้คู่ขาคนใหม่ ส่วนจงอินเดี๋ยวผมค่อยจ่ายดอกให้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน...คริสยืนอยู่หน้าผับ ยังไม่ได้ขึ้นรถขับไปไหน เขาหันกลับมามองผมเหมือนรู้ว่าผมจะตามเขาออกมา
"ไม่ชอบที่แบบนี้เหรอครับ" ผมชวนคุยขณะที่เขาจ้องผมไม่วางตาเหมือนกำลังพินิจอะไรสักอย่าง
"เปล่าหรอก" เขาตอบก่อนจะยิ้มบางๆ
น่าแปลกที่หัวใจผมมันกระตุกแรงจนน่ากลัว รอยยิ้มของคริสมันดู...ไม่รู้สิ ผมเองก็บอกไม่ถูก อบอุ่นเหรอ? นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เคยได้รับรอยยิ้มแบบนี้ แม้แต่จงอินเองก็ไม่เคยมีให้ แต่ก็นั่นแหละ ผมเองก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับจากใครอยู่แล้ว โลกที่ผมอยู่มันเป็นโลกที่มีแต่สีดำ โสมมและน่ารังเกียจ...อา ใช่แล้ว ผมรู้แล้วว่ารอยยิ้มคริสมันเป็นยังไง มันเป็นเหมือนแสงสว่างสีขาว
แสงสีขาวที่ผมลาจากมันมานานเหลือเกิน
"ผมแค่ไม่มีเพื่อนนั่ง" คริสขยายความคำตอบของตัวเอง
"ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนไหมครับ? ถือซะว่าตอบแทนเรื่องน้ำดื่มนั่น" ผมเสนอตัวเป็นเพื่อนนั่งดริงค์ให้กับคริส ดูเขาจะลังเลใจอยู่สักครู่ใหญ่ๆ
"แค่ดูเหมือนคุณจะมากับเพื่อนนะ" คริสคงหมายถึงจงอิน ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ช่างเขาเถอะครับ...ในเมื่อคุณสนใจผม คุณจะไปใส่ใจคนอื่นทำไม" จบประโยค คริสก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก
"คนอื่นนี่เค้าแบ่งบุหรี่กันสูบได้ง่ายๆ เลยเหรอ?" ผมยิ้มให้กับคำพูดของเขา น่าขันจริงๆ
"ก็เหมือนกับคนอื่น ที่เค้ากินน้ำขวดเดียวกันได้ง่ายๆ นั่นแหละครับ"
คริสดูลังเลอยู่พักนึงแต่แล้วเขาก็ยอมก้าวเท้าเข้ามาภายในผับกับผม สายตาคมนั้นกวาดมองผู้คนรอบ ๆ ข้าง ที่ต่างก็จับคู่เต้นโยกย้ายกันอย่างสวีตไปกับเสียงเพลงดังกระหึ่มไม่ยอมหลับใหลไม่มีใครอายใครบ้าง นั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหล่านั้นกันราวกับว่ามันรสชาติน่าภิรมย์นัก เขามองรอบ ๆ ผับเหมือนต้องการจะหาความจริงอะไรสักอย่าง ท่าทางเขาไม่เคยมาที่นี่จริง ๆ ผมหันไปกระซิบข้างหูเขา
“คุณไม่เคยมาเที่ยวที่แบบนี้หรอครับ”
เขาแค่หันมายิ้มให้กับผมคงเพราะยังไงเราก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องละมั้ง
ผมสั่งเตกีล่าอาเนโค่มาสำหรับโต๊ะของเรา พนักงานเสิร์ฟบรรจงรินน้ำเมาในขวดหรูที่เดินทางมาจากต่างแดนให้กับเราทั้งคู่ก่อนที่ผมจะเริ่มกระดกน้ำเมานั่นลงคออย่างคุ้นชินกับมันมานาน คริสหรี่ตามองผม สายตาคมนั่นมองราวกับจะสดกดให้ผมกลายเป็นหินแข็งหรือเป็นน้ำแข็งอะไรประมาณนั้น ตรงกันข้ามความรู้สึกจากข้างในมันร้อนรุ่มเหลือเกินอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของเจ้าแอลกอฮอล์รสชาติหรูนั่นรึเปล่าผมก็ไม่สามารถฟันธงได้เหมือนกัน
คริสยิ้มให้ผมหนึ่งทีก่อนจะยกแก้วใสกรอกเจ้าแอลกอฮอล์นั่นลงคอเหมือนกัน
“แล้วเพื่อนคุณล่ะ” เขาถามขึ้น
“ช่างปะไร เขากลับไปแล้วล่ะ” ผมตอบติดอารมณ์หงุดหงิดอยู่นิดหน่อย
“เตกีล่าอาเนโค่...มันเยี่ยมมาก” ผมได้ยินเขาพูดต่อความหงุดหงิดเมื่อครู่ก็หายไปแล้ว
“ฮ่า ๆ คุณติดใจมันเข้าแล้วสิ”
“ก็คงงั้นมั้งครับ” การพบกันกับคริสเป็นการพบกันที่ดูตื่นเต้นน่าค้นหามากเขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ผมเจอครั้งแรกก็เกิดความประทับใจบางอย่าง อืม...ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน รู้สึกแต่เพียงว่าฤทธิ์ของเจ้าเตกีล่าอะไรนั่นทำให้หัวใจผมทำงานหนักชะมัด
"มันอยู่ไหน!" เพล้งงงงงงง เสียงเอะอะโวยวายดังมากจากที่ไหนซักแห่ง “อี้ชิง!!”
สะ เสียงนั่น ผมจำมันได้ดี...
จงอินเดินตรงมาที่โต๊ะของเรา เศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้นเป็นฝีมือของผู้ชายคนนี้ไม่ต้องสงสัย เหล่ามนุษย์กลางคืนที่อารมณ์สะดุดต่างสบถด่าจงอินกันเป็นแถว ผมขบริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัว คริสมองผมสลับกับจงอินที่กำลังเดินมา ผมเกลียดสถานการณ์แบบนี้จริงๆ
"ที่แท้ก็มาอี๋อ๋อกับไอ้นี่เอง" จงอินมองคริสอย่างเหยียดหยัน "สนุกมากไหม นั่งดริงค์คนเมียชาวบ้านเค้าน่ะ"
"จงอิน!" ผมลุกขึ้นผลักหน้าอกจงอินทันที ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องตกใจขนาดนั้น ทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมไปแวะเวียนหาความสุขกับหนุ่มอื่นและไม่ใช่ครั้งแรกที่จงอินทำแบบนี้ จงอินแสยะยิ้มแล้วเข้าไปกระชากคอเสื้อคริสที่นั่งมองแก้วบนโต๊ะอยู่ ทั้งที่ความจริงจงอินเป็นผู้ชายที่ตัวสูงมากอยู่แล้ว แต่เมื่อคริสถูกอีกฝ่ายดึงให้ลุกขึ้นเต็มความสูง จงอินก็ดูเตี้ยลงไปถนัดตา
"ขอโทษที ไม่รู้ว่าเป็นคนของนาย" น้ำเสียงของคริสเรียบเฉย
ผมกอดอกอย่างหงุดหงิด รำคาญจงอินเต็มทน ผมดึงคริสออกจากจงอิน ผมไม่ได้อยากจะปกป้องใครหรอกนะเพราะชีวิตใครก็ชีวิตมัน...
"ก็บอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่ไปด้วย อยากมากนักก็โทรตามอีหนูในสต็อกมาสักคนสองคนสิ"
"จาง อี้ชิง!" จงอินตะเบ็งเสียงใส่หน้าผม คริสมองผมเงียบๆ ไม่มีปากเสียงอะไร
"น่ารำคาญ" ผมพูดคำนั้นอย่างเชื่องช้าราวกับจะให้มันซึมลึกเข้าไปในสมองของจงอิน ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความโกรธนั้นบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม จงอินพุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อผมเงื้อมือขึ้นจะต่อยแต่ก็ชะงักไป
จงอินน้ำตาซึมเหรอ? หึ น่าสมเพชจัง เขาจะเสียใจอะไรมากมายกับคำพูดของผม ผมเชิดหน้าอย่างไม่กลัวเกรง ผมไม่กลัวความเจ็บ ถ้าเขาปล่อยกำปั้นใส่หน้าผม ผมก็คงไม่ว่าอะไร สายตาของเราสองคนประสานกันอยู่อย่างนั้น ผมรู้ว่าต่อให้อยากจะต่อยผมมากแค่ไหน จงอินก็ไม่ทำ และนั่นทำให้ผมหงุดหงิด
"เอาสิ หรือจะวิ่งโร่ไปฟ้องพ่อว่าโดนคนอย่างฉันด่าว่าน่ารำคาญล่ะ" จุดอ่อนของจงอินอยู่ตรงนี้แหละ
"อย่าพูดถึงมันให้ฉันได้ยิน" จงอินเกลียดครอบครัวเส็งเคร็งเหมือนที่ผมเกลียด...แต่เราต่างกัน
คริสคว้าแขนผมพร้อมกับผลักจงอินออก เขาคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำให้จงอินโกรธ คิม จงอินน่ะ ไม่ชอบเวลามีใครมาหยุดสิ่งที่กำลังทำหรือคิดจะทำ อย่างเช่นการได้ต่อยเข้าที่ปากของผม แน่นอนว่าเป้าหมายของจงอินเปลี่ยนไปทันที ร่างของคริสล้มลงไปกองบนพื้นในเสี้ยววินาที เลือดที่ไหลซิบจากมุมปากของคริสทำหัวใจผมวูบไหวไปในช่วงเวลาหนึ่ง
"พอใจรึยัง" ผมตะคอกใส่หน้าจงอิน แต่เขาพุ่งมาบีบต้นแขนผมอย่างแรงจนผมอดไม่ได้ที่จะนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ มันเจ็บ...แต่ผมอยากจะเจ็บให้มากกว่านี้ ทำไมจงอินไม่ชกผมนะ ทำไมเขาไม่โกรธจนเอาปากฉลามมาแทงผมให้ตายไปซะให้สิ้นซาก
"ฉันรู้ว่านายคิดอะไร แต่ฉันจะไม่ทำมัน" จงอินกระซิบต่ำกับผมแล้วชายตามองไปยังคริสที่พยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล "สิ่งที่นายอยากได้มันจะมาหานายแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก...มันจะมาหา ตอนที่นายอยากจะวิ่งหนีมันยังไงล่ะ"
ผมนิ่งงันกับประโยคที่จงอินพูดกับผมเมื่อครู่ ‘ตอนที่ฉันอยากจะวิ่งหนี’ งั้นเหรอ สายตาหลุบต่ำลงไม่อยากสบตากับจงอินขึ้นมาดื้อ ๆ ...คริสลุกขึ้นมือแตะมุมปากเลือดไหลซิบก่อนจะพูดขึ้น
“คุณควรหัดใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ผมกับอี้ชิงไม่ได้ทำอะไรเสียหายอย่างที่คุณคิด” คริสหันกลับมาหาผม “หวังว่าเราจะเจอกันอีกนะครับอี้ชิง”
ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากผับหน้าตาเรียบเฉยแต่คริสท่าทางหัวเสียนิดหน่อย ผมรู้สึกผิดจริงๆ ที่จู่ๆ เขาต้องมาเจ็บตัวเพราะความงี่เง่าของจงอิน ปกตินายนี่ไม่ใช่คนอารมณ์เสียง่ายๆ หรือวู่วามทำร้ายใครมาก่อน วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับจงอินกันแน่
ผมยังคงนั่งนิ่งไม่พูดอะไรที่นั่งข้างๆ คนขับในรถสปอร์ตคันหรูของจงอินที่มุ่งตรงไปยังคอนโดของเขา ไร้บทสนทนาระหว่างเราสองคน ใครหลายคนบอกว่าความเงียบมันน่าอึดอัดแต่ตอนนี้ผมคิดว่าความเงียบเป็นทางที่ดีที่สุด ปล่อยให้ผมกับจงอินได้ใช้เวลาทบทวนอะไรหลายๆ อย่างน่าจะดีที่สุด ผมกับจงอินคบกันมาประมาณหนึ่งปีแล้วเราไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงเพราะคนอื่นเลย เราต่างก็รู้ว่าตนเองอยู่ในฐานะไร ไม่เคยผูกมัดซึ่งกันและกัน
รถคันหรูเดินทางมาถึงคอนโดจงอินเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ผมที่นั่งนิ่งเป็นหินราวครึ่งชั่วโมง ปกติเขาไม่เคยทำแบบนี้ หากเขาต้องการขอโทษกิริยารุนแรงที่ทำกับผมตอนอยู่ผับละก็ไม่จำเป็นหรอก ผมไม่ได้โกรธเขาเลยสักนิดเพียงแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำไป เขาทำเพื่ออะไร
“นายเจ็บรึเปล่า” เขาพูดพร้อมกับยื่นมามาแตะต้นแขนที่เขาบีบมัน
“...”
“ฉันขอโทษ” เขาพูดเสียงแผ่วแล้วดึงตัวผมไปกอดไว้แน่น ผมไม่เข้าใจที่เขาทำ ความคิดในหัวผมกำลังตีกันวุ่นวาย
มันคืออะไรกัน เขาทำเพื่ออะไร...
ความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันทำให้ผมหลับเหมือนตาย ตื่นขึ้นมามองนาฬิกาบนหัวเตียงก็ปาไปบ่ายโมงแล้ว รู้สึกหนัก ๆ ที่หัว ตอนนี้เหมือนข้าวของในห้องกำลังจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาทันใด ผมรีบลุกจากที่นอนไปยังห้องน้ำทันทีเมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ผมไม่ได้เมานะแล้วนี่จงอินหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ ผมมองตัวเองในกระจกแล้วหัวเราะสมเพช จะบอกว่าตัวเองเป็นซากศพเดินได้ก็คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก ริมฝีผากและลำคอผมแห้งผาก...หิวน้ำจัง ผมเดินโซเซออกจากห้องน้ำ ตั้งใจจะหาอะไรกินรองท้องสักหน่อยแล้วก็เอามาแทนที่เพิ่งเอาออกไปเมื่อกี้ด้วย แต่ขาที่กำลังก้าวเดินก็หยุดชะงักเมื่อเห็นเจ้าของห้องกำลังวุ่นวายทำอะไรสักอย่างในครัว
"ตื่นแล้วเหรอ" จงอินเอ่ยทักผมสดใส ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ...อือ เอางั้นก็ได้
"เดินละเมอล่ะมั้ง"
"กวนประสาทกันตั้งแต่ตื่นยังไม่เต็มตาเลยรึไง" จงอินว่าแล้วยกชามข้ามต้มมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร "กินข้าวนะจะได้กินยา" ผมที่เพิ่งหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ชะงักมือที่เอื้อมไปหยิบช้อน...ทำไมต้องวุ่นวายกับเรื่องของผมอยู่เรื่อย ผมมองตามมือสีน้ำผึ้งที่วางชุดยาลงข้างชามก่อนตวัดสายตาขึ้นมองหน้าจงอิน จงอินจ้องผมกลับอย่างไม่กลัวเกรง เราต่างรู้กันดีว่าผมไม่พอใจอะไร แต่ก็ทั้งที่รู้เขาก็ยังทำ
"เลิกยุ่งเรื่องพวกนี้สักที ฉันไม่กิน"
ผมปัดยาร่วงลงพื้นแล้วเริ่มกินข้าวต้มที่จงอินทำให้ ผู้ชายข้างๆ ผมไม่พูดพร่ำอะไรแต่จัดยามาให้ผมอีกชุด แน่นอนว่าผมก็ทำเหมือนเดิมอีกโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด แต่จงอินก็ยังทำเหมือนเดิมอีกเหมือนกัน
"พอสักทีเถอะ จะทำไปให้มันได้อะไร สุดท้ายก็ตายอยู่แล้ว กินไม่กินก็ต้องตายจะมารั้งทำไมให้มันทรมาน!" ผมหันไปตะคอกใส่ในที่สุด "วุ่นวายๆๆๆๆ วุ่นวายอยู่นั่นแหละ!! เลิกสนใจฉันสักที อยู่อย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้รึไง! เราเจอกันได้ยังไง เรามาอยู่ด้วยได้ยังไง เรามีความสัมพันธ์กันแบบไหนยังจะต้องให้พูดให้บอกอีกกี่ที นายเป็นเจ้าชีวิตฉันเหรอ เป็นพระเจ้ารึไง!? โรคแบบนี้ กินยาเป็นแสนเป็นล้านมันก็ไม่หายหรอก"
ผมระเบิดอารมณ์ใส่จงอิน ความหิวหายไปหมดแล้ว ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังร้องไห้ น้ำตาพวกนี้เหมือนกำลังเรียกร้องอะไรสักอย่าง จงอินชะงักงัน เขาขบริมฝีปากของตัวเองก่อนจะย่อตัวลงจนศีรษะอยู่แค่ระดับหน้าอกผม จงอินวางมือลงบนตักผมแผ่วเบา
"ฉันมีนายคนเดียว...กินยาซะ" เขาพูดกับผมแค่นั้น
ผมเกลียด...เกลียดเวลาที่เขาไม่พยายามทำร้ายผม เกลียดที่เขาอยากให้ผมมีชีวิตอยู่ ทำไมเขาจะต้องมาสนใจ ขนาดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นแม่ผม เค้ายังอยากให้ผมหายไปจากโลกใบนี้เลย ผมกวาดชามบนโต๊ะให้พ้นจากสายตาแล้วหวีดร้องเสียงดัง หูของผมอื้ออึงไปหมด ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกเสียงร้องไห้ของตัวเอง มันทรมานที่เราทำอะไรไม่ได้ ทรมานกับโรคบ้าๆ ที่เกาะติดตัวผมมาตั้งแต่เกิด ผมทำอะไรผิดกันล่ะ ทำไมโรคบ้านี่ต้องเลือกผมแล้วก็พรากทุกอย่างไป
ชีวิต...มีเพียงชีวิตเท่านั้นแหละที่มันกำลังนึกสนุก พระเจ้ารออะไรกันเหรอ อยากเล่นตลกอะไร ทำไมถึงให้ความตายเดินทางมาเชื่องช้าอย่างนี้ ผมไม่ไปโรงพยาบาล ไม่เข้ารับการรักษา ไม่กินยา ทำตัวเหลวแหลก กินเหล้า สูบบุหรี่...
ผมร้องไห้หนักหน่วงจนรู้สึกแน่นหน้าอก เหมือนหายใจไม่ทัน ผมทรงตัวไม่อยู่ได้แต่ปล่อยร่างของตัวเองให้ล้มลงไปกองกับพื้น ถ้วยกระเบื้องที่หล่นแตกกระจายส่องแสงแวววับ เหมือนผมต้องมนสะกดมัน นี่ไงล่ะ ความตายอยู่ใกล้ผมเพียงแค่นี้เอง ผมกุมหน้าอกตัวเองที่แสดงอาการเจ็บปวดเหมือนจะรั้งมืออีกข้างของผมไว้ขณะที่มันเอื้อมไปข้างหน้า หมายจะไขว่คว้าเศษกระเบื้องคม...
"อี้ชิง!" จงอินวิ่งเข้ามารวบมือผมไว้ เขาลากผมออกหากจากโต๊ะอาหารขณะที่ผมพยายามดิ้นหนี ทำไมล่ะ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง อีกนิดเดียวผมก็จะได้ลาจากโลกอันแสนโหดร้ายนี้แล้ว
"ปล่อยนะ" เสียงผมฟังดูเหมือนเด็กงอแง หมดแรงแต่ก็พยายามกระเสือกกระสน "ปล่อยสิ ฮือ...ฮึก...ฮึก...ฮือ"
จงอินรวบตัวผมเขาไปไว้ในอ้อมกอด เขากอดผมแน่นจนแทบหายใจไม่ออก โยกตัวไปมาเหมือนกำลังกล่อมเด็กให้หลับในอ้อมอก ความตายช่างยากเย็นเหลือเกิน...
"นิ่งซะนะคนดี" จงอินลูบหัวผม...
ทำไมกันนะ ทำไมเสียงของเขาถึงสั่นเครือขนาดนั้น
TBC....
talk to you...
Pickajae :: ฟิคร่วมทุนสร้างเรื่องแรกในชีวิต ในที่สุดก็คลอดตอนแรกออกมาได้อย่างลำบากยากเย็น T T ...ง่วง ตาจะปิด ไปนอนละฮับ = =
Windy Boy :: น้ำตาจะไหล Blue Romance เป็นฟิคเรื่องแรกในชีวิต มันอาจไม่ใช่ฟิคที่ดีมาก รีดเดอร์ติได้ด่าได้ ยินดีรับฟังทุกคอมเม้น ขอบคุณทุกคนที่สนใจและขอบคุณหลายคนที่ยอมเป็นผู้ถูกยัดเยียดให้อ่านมัน
ความคิดเห็น