ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมโสโปเตเมีย อารยธรรม 5000ปี

    ลำดับตอนที่ #5 : มหากาพย์กิลกาเมช ผู้มองเห็นเบื้องลึก

    • อัปเดตล่าสุด 30 ต.ค. 52


     
            (Gilgamesh) เป็นตำนานน้ำท่วมโลกที่เก่าแก่ของเมโสโปเตเมียโบราณ เป็นหนึ่งในงานวรรณกรรมประเภทนิยายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นักวิชาการเชื่อว่ามหากาพย์เรื่องนี้มีกำเนิดมาจากตำนานกษัตริย์สุเมเรียนและบทกวีเกี่ยวกับวีรบุรุษในตำนานที่ชื่อว่า กิลกาเมช ซึ่งถูกรวบรวมเอาไว้กับบรรดาบทกวีอัคคาเดียนในยุคต่อมา มหากาพย์ชุดที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันปรากฏในแผ่นดินเหนียว 12 แท่งซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอเก็บจารึกของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย เมื่อราวศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล มีชื่อดั้งเดิมว่า ผู้มองเห็นเบื้องลึก (He who Saw the Deep; Sha naqba īmuru) หรือ ผู้ยิ่งใหญ่กว่าราชันทั้งปวง (Surpassing All Other Kings; Shūtur eli sharrī) กิลกาเมชเป็นผู้ปกครองที่มีตัวตนจริงในอดีตระหว่างราชวงศ์ที่ 2 ของยุคต้นของสุเมเรีย (ประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล)กิลกาเมชเป็นบุตรของเทพองค์หนึ่ง(ผมจำไม่ได้แล้วอ่า โทดที) และพระมารดาของพระองค์นั้นเป็นผู้ปราดเปรื่อง

           นิเนเวห์ ใกล้เมืองโมซุล ประเทศอิรัก ปี ค.ศ.1849 กลุ่มนักโบราณคดีกำลังมาขุดคุ้ยหาสิ่งของโบราณสิ่งหนึ่ง
     พวกเขาเดินวนกันไปๆมาๆ มีเสียงหนึ่งร้องขึ้น "มาดูนี่สิๆ เจออะไรเข้าแล้ว"  นักโบราณคดีคนอื่นๆต่างกรูกันเข้า
    ไปมุงที่ที่ชายคนนั้นชี้ให้ดู มันเป็นแผ่นจารึก 12แผ่นด้วยกัน บนจารึกนั้นสลักด้วยอักษรคูนิฟอร์ม ยั้วเยี้ย

    ย้อนเวลาไป 4พันกว่าปีก่อน
           2700ปีก่อนคริสตกาล ณ เมืองอูรุค ดินแดนซูเมอร์ 
         ชายสองคนนั่งอยู่ในเพิง ที่ตลาด เขามารอคอยดูพระราชาซึ่งมักจะมาฉุดผู้หญิงสาวๆไปเข้าวัง  พระราชาองค์นั้นคือ กิลกาเมช และในที่สุด เวลาที่พวกเขารอคอยก็มาถึง  พระราชานั่งรถม้ามา และเดินลงมา มองหันซ้ายหันขวาไปทั่ว และก็รี่เข้ามาหา หญิงสาวโชคร้ายนางหนึ่ง นางกำลังสัปหงกพิงกำแพงบ้านอยู่ พระราชาเข้ามาแล้วอุ้มนางขึ้นรถม้าและก็ควบจากไปโดยที่พ่อแม่เด็กสาวนั้นไม่ทันได้พูดซักคำ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเกือบทุกวันจนชาวเมืองเริ่มชิน แต่ก็ระอา แต่ไม่มีใครกล้าต่อว่า เนื่องจากพระองค์เป็นคนที่อารมณ์ร้ายเกรี้ยวกราดรุนแรง


             และการที่ประชาชนไม่มีความสุข เหล่าไพร่ฟ้าต่างพากันร้องทุกข์ต่อเทพีอารูรู ว่าพระองค์เกรี้ยวกราดรุนแรง และ ใช้อำนาจในทางที่ผิดมากเกินไป  ดังนั้นอุรูรุเทพีแห่งการสร้างสรรค์ จึงเนรมิตเอนคิดู(Enkidu)ชายป่าเถื่อนขึ้นมา เอนคิดูเริ่มก่อปัญหาให้คนเลี้ยงแกะ เมื่อคนเลี้ยงแกะคนใดคนหนึ่งมาร้องทุกข์ กิลกาเมชก็ทรงส่งชามาห์ท (ในภาษากรีก เรียกว่า นาดิตู) นักบวชสตรีโสเภณีไปจัดการให้ตามความประสงค์ทางศาสนา การได้สัมผัสทางกายกับชามาห์ท ทำให้เอนคิดุมีความศิวิไลซ์ และหลายราตรีผ่านไป เอนคิดุก็ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานผู้มีชีวิตอยู่กับสัตว์ต่างๆ อีกต่อไป ในระหว่างนั้นเอง กิลกาเมชทรงสุบินประหลาด พระราชมารดาของพระองค์ ทรงทำนายสุบินนั้นว่า พระสหายผู้ทรงพลังคนหนึ่งจักเดินทางมาพบพระองค์

         เอนคิดุ และ ชามาห์ท พากันออกจากป่าเดินทางไปยังอูรุคเพื่อเข้าร่วมพิธีแต่งงาน เมื่อกิลกาเมชเสด็จพระราชดำเนินยังงานเลี้ยงแต่งเพื่อบรรทมกับเจ้าสาว(ชอบฉกชิงก่อนผัวเขาน้อ) พระองค์ทรงเห็นเอนคิดู ขวางทางพระราชดำเนินอยู่และไม่ยอมให้เข้าไปยุ่งกับเจ้าสาวของตน ดังนั้นด้วยความคึกคะนอง กิลกาเมชจึงปล่อยหมัดเข้าไปจังๆหน้าเอนคิดู แต่เขาไม่ยอมดังนั้น เอนคิดู และ กิลกาเมจึงได้แลกหมัดแลกเท้ากันนานถึงสี่ชั่วโมง พสกนิกรชาวอูรุคต่างพากันมามุงดู หลังจากการประจัญบานด้วยมหิทธิฤทธิผ่านไป กิลกาเมชทรงผละมือจากเอนคิดูแล้วเริ่มปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา เอนคิดูก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ความโกรธของทั้งสองหายไปสิ้นและมิตรภาพที่จะเกิดขึ้นในตลอดชีวิตของเขาทั้งสองก็เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด  จากเหตุการณ์ในคืนนั้น ทำให้กิลกาเมชและเอนคิดูเป็นเพื่อนซี้ที่แยกกันไม่ได้ 


    เอนคิดูได้นังบัลลังก์ข้างๆกษัตริย์หนุ่มกิลกาเมช และทั้งสองได้ช่วยกันรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ประชาชนชาวอูรุคต่างพากันดีใจในมิตรภาพใหม่ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเอนคิดูเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อพระราชามาก และจะคอยห้ามปรามพฤติกรรมแย่ๆของกิลกาเมชไว้เสมอ ซึ่งทำให้ประชาชนยอมรับกิลกาเมชมากขึ้น  และนครอูรุคก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
    เมื่อเมืองอูรุคได้เจริญขึ้นแล้ว ทั้งสองก็ไม่มีอะไรทำไปมากกว่าการล่าสัตว์ แต่กิลกาเมชก็ทรงมีแผนการผจญภัย

                ต่อมา กิลกาเมช ทรงมีพระประสงค์เสด็จพระราชดำเนินยังป่าสนซีดาร์ (คาดว่าน่าจะอยู่ในเลบานอนกับอิสราเอลตอนเหนือ เป็นป่าทึบที่แสงแดดไม่อาจส่องถึง และมีหมอกหนาในเวลากลางคืน และมีต้นไม้รูปร่างแปลกประหลาด บรื๋วส์)  เพื่อตัดต้นไม้ใหญ่ และฆ่าฮุมบาบาสัตว์ประหลาดเพื่อชื่อเสียงของพวกเขา เอนคิดูคัดค้าน แต่ไม่สามารถโน้มน้าวกิลกาเมชซึ่งกลายเป็นเพื่อนกันได้  เอนคิดุจึงยินยอมด้วย และทั้งคู่เตรียมเดินทางไปยังป่าซีดาร์  กิลกาเมช และ เอนคิดุ เดินทางไปยังป่าซีดาร์ ระหว่างทาง กิลกาเมชทรงสุบินนิมิตร้ายห้าครั้ง แต่เนื่องจากแผ่นจารึกตรงนี้ชำรุดมาก จึงปะติดปะต่อใหม่ได้ยาก แต่ละครั้ง เอนคิดุ ทำนายความฝันว่าเป็นลางบอกเหตุที่ดี เมื่อเดินทางถึงป่าสนซีดาร์ เอนคิดุกลับเกิดกลัวขึ้นมาอีก และกิลกาเมช ต้องทรงปลุกปลอบเอนคิดุ

    ในที่สุด เมื่อวีรบุรุษทั้งคู่วิ่งเข้าไปในป่า ฮุมบาบา สัตว์ประหลาดที่เป็นยักษ์ปิศาจผู้พิทักษ์ต้นไม้ก็ปรากฎตัวขึ้นและทำให้ทั้งสองโกรธ คราวนี้ กิลกาเมชกลับเป็นฝ่ายกลัวขึ้นมาบ้าง หลังจากเอนคิดุปลุกปลอบกิลกาเมชให้เกิดความกล้าหาญแล้ว ก็เกิดการต่อสู้กันขึ้น ความเดือดดาลของคู่ต่อสู้ทั้งสอง ถึงกับทำให้เทือกเขาซีเรียแยกออกจากเลบานอน ในที่สุดเทพชามาชจึงส่งลมพัดมาสิบสามหน เพื่อช่วยวีรบุรุษทั้งคู่ และฮุมบาบาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงอ้อนวอนขอชีวิตต่อกิลกาเมช กิลกาเมชทรงสงสาร อย่างไรก็ตาม 
    เอนคิดูโกรธกิลกาเมชมาก และขอให้กิลกาเมชฆ่าเจ้าปิศาจร้ายนั้นเสีย ฮุมบาบาจึงหันไปทางเอนคิดุ และวิงวอนให้เอนคิดุโน้มน้าวกิลกาเมชให้ไว้ชีวิตของตนด้วย แต่ไม่เป็นผล  ก่อนกิลกาเมชสำเร็จโทษมัน ฮุมบาบากลับสาบแช่งด่าทอทั้งคู่ เมื่อวีรบุรุษทั้งคู่ตัดต้นไม้ใหญ่มาได้ต้นหนึ่งแล้ว เอนคิดุจึงสร้างประตูบานใหญ่จากไม้ต้นนั้นเพื่อถวายพลีแด่ทวยเทพทั้งหลาย แล้วลอยประตูนั้นไปตามน้ำ 

          กิลกาเมช ไม่ยอมมีความสัมพันธ์ทางเพศต่อไปกับลูกสาวของอานุ ธิดาแห่งเทพีอิชตาร์ เนื่องจากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนรักเก่าๆ ของนาง เป็นเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับดูมุซี อิชตาร์จึงขอให้บิดาของนางส่ง “โคหนุ่มแห่งสวรรค์” ลงมาแก้แค้นที่กิลกาเมชปฏิเสธความสัมพันธ์ทางเพศกับนาง เมื่ออานุปฏิเสธคำอ้อนวอนของนาง อิชตาร์จึงคุกคามขู่ว่าจะเสกให้พวกที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา อานุตกใจกลัวจึงยินยอม โคหนุ่มแห่งสวรรค์นั้นนำกาฬโรคมาสู่ดินแดนต่างๆ เห็นได้ชัดเจนว่าโคตัวนี้เป็นเหตุให้เกิดความแห้งแล้ง เพราะว่าตามมหากาพย์แล้ว น้ำท่าเหือดหาย และพืชผักเฉาน้ำตายเพราะความแห้งแล้ง ไม่ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ตาม กิลกาเมชและเอนคิดุก็ร่วมมือกันสังหารโหดเจ้าโคดิรัจฉานตนนี้เสีย และควักหัวใจของมันเอาไปให้ชามาช แต่คราวนี้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์ เมื่อทั้งคู่ได้ยินอิชตาร์คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดร้าวราน เอนคิดุจึงกระชากส่วนหลังของโคหนุ่มตัวนั้นออก แล้วโยนใส่หน้าอิชตาร์พร้อมกับข่มขู่ ชาวเมืองจึงอูรุคเฉลิมฉลองที่เขาสามารถฆ่าวัวนั้นได้ แต่เอนคิดุฝันร้าย       ในความฝันของเอนคิดุ ทวยเทพลงมติว่าต้องลงโทษคนที่ฆ่าโคหนุ่มแห่งสวรรค์และยักษ์ฮุมบาบา ในที่สุดทวยเทพมีมติให้ลงโทษเอนคิดุ ทั้งหมดนี้ขัดแย้งกับความประสงค์ของชามาอย่างยิ่ง เอนคิดุปรารภความฝันทั้งหมดกับกิลกาเมช แล้วสาบแช่งประตูที่เขาสร้างถวายพลีแด่ปวงทวยเทพ กิลกาเมชตกพระทัยสุดขีด และเสด็จไปยังวัดเพื่ออธิษฐานต่อชามาชให้เอนคิดุพระสหายมีสุขภาพดี จากนั้นเอนคิดูก็เริ่มสาบแช่งผู้สร้างกับดักขึ้นมาและชามาช เนื่องจากตอนนี้เอนคิดุเสียใจเมื่อคิดถึงวันที่เขากลายเป็นมนุษย์ ชามาชตรัสลงมาจากสวรรค์ และทรงชี้ให้เห็นว่าเอนคิดุไม่ยุติธรรมอย่างไรบ้าง และทรงตรัสกับกิลกาเมชอีกด้วยว่ากิลกาเมชจะกลายเป็นพระฉายาของบรรพบุรุษของตน เนื่องมาจากมรณกรรมของตน เอนคิดุเสียใจต่อคำสาบแช่งนั้นและอำนวยพรแก่ชามฮาท แล้วอาการเจ็บป่วยก็ทวีหนักยิ่งขึ้น และสาธยายรายละเอียดของโลกแห่งคนตายให้ฟังในขณะกำลังตาย  กิลกาเมชอ่านบทสวดไว้อาลัยต่อเอนคิดุ เซ่นเครื่องบูชาถวายพลีแด่ปวงทวยเทพ เพื่อให้ทวยเทพทั้งปวงเสด็จเคียงข้างไปกับเอนคิดุในโลกแห่งคนตาย 

                             กิลกาเมช เสด็จออกเดินทางเพื่อหาทางเลี่ยงชาตากรรมของเอนคิดุ และฝ่าภยันตรายต่างๆ นานาไปเยือนอุทนาพิชติมและภรรยา ผู้ซึ่งเป็นมนุษย์คู่เดียวที่เอาชีวิตรอดพ้นไปได้ในคราวน้ำท่วมใหญ่ และปวงทวยเทพทั้งหลายต่างประทานความเป็นอมตะให้ ด้วยทรงหวังว่าพระองค์เองจะได้รับความเป็นอมตะเช่นนั้นด้วย ระหว่างทาง กิลกาเมชทางผ่านภูเขาสองลูกจากตรงที่ตะวันขึ้น ซึ่งมีมนุษย์แมงป่องสองตนเป็นผู้พิทักษ์อยู่ อสูรทั้งสองตนยินยอมให้กิลกาเมชผ่านทางไป และกิลกาเมชเดินทางผ่านความมืดตรงที่ตะวันโคจรอยู่ทุกราตรี ก่อนตะวันจับตัวเอาไว้ได้ กิลกาเมชก็เดินทางถึงปลายทางเสียแล้ว ดินแดน ณ สุดปลายของอุโมค์นั้นเป็นแดนมหัศจรรย์ สพรึบสพรั่งด้วยแมกไม้นานาพรรณแตกกิ่งก้านสาขาออกมาเป็นรัตนมณีต่างๆ ชนิดกันไป  กิลกาเมช พบซิดูริ และตรัสบอกนางถึงพระประสงค์ที่เดินทางมา ซิดูริพยายามห้ามปรามและหว่านล้อมให้กิลกาเมชเลิกล้มความตั้งใจในการติดตามค้นหา แต่กลับบอกให้กิลกาเมชไปหาอัวร์ชานาบิ ผู้แจงเรือข้ามฟากให้ช่วยพายเรือพากิลกาเมชข้ามทะเลไปพบอุทนาพิชติม อัวร์ชานาบิตามไปเป็นเพื่อนในหมู่ยักษ์หิน กิลกาเมชทรงพิเคราะห์ว่าเป็นศัตรูและฆ่าทั้งหมดนั้นเสีย เมื่อทรงเล่าเรื่องดังกล่าวให้อุทนาพิชติมฟัง และร้องขอความช่วยเหลือ อุทนาพิชติมบอกว่า เขาฆ่าแต่สิ่งมีชีวิตที่สามารถข้ามน่านน้ำแห่งความตายได้เท่านั้น น่านน้ำแห่งความตายเหล่านี้แตะต้องไม่ได้ ดังนั้นอัวร์ชานาบิจึงสั่งให้กิลกาเมชตัดต้นไม้มาสามร้อยต้น แล้วให้เหลาเป็นไม้พาย เพื่อใช้พายข้ามน่านน้ำแห่งความตายไปได้โดยการหยิบไม้พายใหม่หนึ่งอันในการพายแต่ละครั้ง ในที่สุดก็พากันไปถึงเกาะของอุทนาพิชติม อุทนาพิชติมเห็นมีคนอีกคนหนึ่งอยู่ในเรือ และถามกิลกาเมชว่าคนๆ นั้นคือใคร 
    กิลกาเมชทรงเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง และขอร้องให้ช่วยเหลือ แต่อุทนาพิชติมกลับดุด่าประณามกิลกาเมช เนื่องจากการต่อสู้กับชาตากรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ และทำให้ความปีติรื่นรมย์ในชีวิตสูญหายไป
    กิลกาเมช ทรงโต้แย้งว่า อุทนาพิชติมก็ไม่แตกต่างจากพระองค์ และขอให้อุทนาพิชติมเล่าเรื่องของตนให้ฟังบ้างว่าทำไมจึงมีชาตากรรมที่แตกต่างจากคนอื่น อุทนาพิชติมเล่าเรื่องน้ำท่วมใหญ่ให้กิลกาเมชฟัง เรื่องราวของอุทนาพิชติมเป็นการสรุปเรื่องราวของอาทราฮาซิส (ดูได้ในนิทานปรัมปราเรื่องน้ำท่วมของกิลกาเมช) แต่เว้นข้ามเรื่องกาฬโรคที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนนั้นที่ทวยเทพส่งลงมานั้นไปเสีย อุทนาพิชติมให้กิลกาเมชพิจารณาโอกาสเพื่อความเป็นอมตะอย่างไม่เต็มใจ 
              แต่กิลกาเมชตรัสว่าทำไมทวยเทพจึงทรงประทานเกียรติยศวีรบุรุษจากน้ำท่วมให้เทียมเท่าสวรรค์ด้วย อุทนาพิชติมท้าทายกิลกาเมชให้อดหลับอดนอนให้ได้เป็นเวลาหกทิวาและเจ็ดราตรีเสียก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่ออุทนาพิชติมกล่าวจบกิลกาเมชก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว(แสดงว่าแกพูดได้ชวนง่วงนอนมากเลยนะเนี่ย)
    อุทนาพิชติมหัวเราะเยาะกิลกาเมชที่กำลังหลับอยู่ต่อหน้าภรรยาของตน แล้วบอกนางให้อบขนมปังหนึ่งก้อนสำหรับทุกวันที่กิลกาเมชหลับ เพื่อไม่ให้กิลกาเมชปฏิเสธความล้มเหลวของตนได้ หลังจากหกทิวาเจ็ดราตรีผ่านไป เมื่อกิลกาเมชทราบว่าตัวเองล้มเหลว อุทนาพิชติมโกรธกิลกาเมชมาก จึงส่งกิลกาเมชกลับไปยังอูรุคพร้อมกับเนรเทศอัวร์ชานาบิไปอีกด้วย 
              ในขณะที่ทั้งสองกำลังจากไปนั้น ภรรยาของอุทนาพิชติมขอให้สามีเห็นใจกิลกาเมชที่เดินทางมาไกล อุทนาพิชติมจึงบอกกิลกาเมชถึงพืชต้นหนึ่งที่อยู่ใต้ก้นมหาสมุทร พืชต้นนี้จะทำให้กิลกาเมชกลับเป็นหนุ่มอีกครั้ง กิลกาเมชได้ต้นไม้นั้นมาโดยการผูกก้อนหินถ่วงเข้ากับข้อเท้าของตน เพื่อให้เดินไปได้ใต้ก้นทะเล กิลกาเมชไม่เชื่อถือต้นไม้ต้นนั้น จึงวางแผนว่าจะทดสอบโดยเอาไม้ต้นนั้นไปวางไว้บนหลังชายแก่คนหนึ่งเมื่อกลับถึงอูรุค โชคไม่เข้าข้างกิลกาเมชเอาเสียเลย เพราะนำไม้ต้นนั้นไปไว้วางบนริมทะเลสาบแห่งหนึ่งขณะอาบน้ำ และงูตัวหนึ่งที่มีผิวหนังแก่ๆ หลุดร่อน เลื้อยมาขโมยต้นไม้นั้นไป ผิวหนังตรงนั้นของงูจึงงอกขึ้นมาใหม่ 
                   กิลกาเมชเห็นดังนั้นจึงร้องให้คร่ำครวญต่อหน้าอัวร์ชานาบิ เมื่อโอกาสประสบความล้มเหลวถึงสองครั้งสองครา กิลกาเมชจึงกลับไปยังอูรุค ที่นั้นเมื่อเห็นกำแพงหนามหึมา กิลกาเมชจึงนึกขึ้นได้ว่าในเมืองอูรุคนี้ยังมีแผ่นหินไว้สำหรับจารึกเรื่องราวของพระองค์อีกมากมายและนั่นล่ะ คือ ความอมตะที่แท้จริง และต้องสรรเสิญอัวร์ชานาบิสำหรับงานที่ต้องใช้ความทรหดอดทนอย่างยิ่งนี้ 

    ให้สังเกตว่าเนื้อหาของจารึกแผ่นสุดท้ายไม่ต่อเนื่องสัมพันธ์กับจารึกแผ่นต่างๆ ก่อนหน้า กิลกาเมชบ่นกับเอนคิดุว่า ของเล่นลูกกลมของพระองค์หล่นลงไปในนรก เอนคิดุอาสาไปเอากลับมาให้ ด้วยความยินดี กิลกาเมชจึงตรัสกับเอนคิดุว่าต้องทำและไม่ต้องทำอะไรบ้างในนรกจึงจะกลับมาได้ แต่เอนคิดุกลับลืมคำแนะนำนั้นเสีย แล้วทำสิ่งทุกอย่างที่กิลกาเมชทรงห้ามไว้ นรกจึงกักเอนคิดุไว้ กิลกาเมชสวดอ้อนวอนทวยเทพให้ประทานเอนคิดุพระสหายกลับคืนมาให้ เอนลิลและซินจึงตอบรับคำโดยไม่ลังเล ชามาชก็ตัดสินใจตกลงช่วยเหลือ แล้วกระเทาะหลุมในดินออก เอนคิดุจึงกระโดดออกมาได้ จารึกแผ่นนี้จบลงตรงที่กิลกาเมชถามเอนคิดุเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เอนคิดุประสบพบเห็นมานรก เรื่องราวไม่กระจ่างชัดว่า เอนคิดุเป็นผีปรากฏกายขึ้นมาใหม่ หรือว่ากลับคืนมาได้ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่จริง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×