คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ไท สู้ แขก
ราชบุตรโมฮัมหมัดดีน
เสียงไก่ขันยามแสงอรุณมิทันส่องแสง ณ ข้างแม่น้ำธาราวดีอันมีต้นไม้ล้อมรอบมหึมา เสียงย่ำของฝีเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะ เสียงโลหะปะทะคลอเคลียกับสายลม ส่งเสียงราวว่ามีชีวิตส่งเสียงหวีดร้อง ร่างของบุรุษกวัดแกว่งคมดาบเปอร์เซียไปมา จากบนลงล่าง จากล่างสู่บน ผลัดแทง ผลัดฟัน ราวกับว่ากำลังปะดาบกับพระพาย ดาบของเขามีรูปร่างโค้งเว้าราวกับจันทร์เสี้ยว บ่งบอกถึงที่มาต้องมาจากแดนอารากี ทันใดนั้นมีบุรุษอีกผู้ปรากฏตัวแสงโคมไฟจากมือของเขาสาดส่องมากระทบปลายดาบสะท้อนแสงแวววาว และสาดส่องมาที่หน้าของบุรุษหนุ่มผู้สู้รบกับพระพายไม่ใช่ใครที่ใด คือ เจ้าชาย โมฮัมหมัดดีน ทั้งสองเดินเข้ามาหากันเพื่อเจรจา
“เช้ามืดเช่นนี้ฉไนพระองค์ทรงเสด็จมาเพียงผู้เดียวเช่นนี้ หากเกิดเภทภัยอันตรายแด่พระองค์ขึ้นมาจะทำประการใดองค์ชาย” บุรุษหนุ่มผู้เจรจาความบ่งบอกถึงสถานะว่าเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด
“ข้าเอาตัวรอดได้ ท่านอาลี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า” เจ้าชายตอบเชิงมั่นใจ
“ในแว่นแคว้นแดนไกลนี้ หาใช่ที่ที่พระองค์ทรงคุ้นเคยดั่งในอาณาเขตของพระองค์ ราชสีห์ที่เก่งกาจหากแม้นอยู่ในดงสุนัขป่า ก็หาชีวิตแล้วไม่ โปรดพระองค์อย่าทรงดูเบาฝีมือชาวแคว้นนี้ไม่” อาลีผู้รับใช้กล่าวตั้งเตือนเจ้าชายของตน
“ข้าขอโทษทีไม่ได้บอกท่านอาลี แต่ข้าอยากอยู่เงียบๆเพียงลำพัง” เจ้าชายกล่าวอย่างรู้ตัว
“พระองค์ทรงมีข้อไขข้องใจด้วยเรื่องประการใด เรื่องพระเจ้านรสุทโทหรือพระเจ้าค่ะ “ ผู้รับใช้สงสัย
“ปล่าวหรอกข้าเพียงแต่ เอ่อ ช่างเถอะ” ราชบุตรอาหรับชะงักปกปิดเรื่องที่ตนคิด “ข้าจะสรงน้ำแล้ว อาลีท่านช่วยบอกคนจัดการที” พระองค์ทรงเปลี่ยนเรื่องอย่างทันที แต่ก็หาพ้นวิสัยผู้ติดตามที่รู้ใจเจ้าชายไม่
ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
บุรุษหนุ่มน้อยเดินฝ่าสายลม ผ้าปลิวไสวตามแรงลม จะมีก็เพียงดาบของเขาที่ยังแน่นิ่งมิหวั่นไหวตามแรงลม แต่มันก็ขยับเขยื้อนไปตามแขนที่เขาเดิน ทำให้มือขยับไปมาตามร่างของเขา ทันใดนั้นเองชายหนุ่มอีกคนปรากฏตัวขึ้น โผล่จากพุ่มไม้ข้างทางที่บังเขาไว้
“มัลถุระน้องท่าน ไฉนจึงแอบออกมาแต่ผู้เดียว” บุรุษหนุ่มที่โผล่จากข้างถนนกล่าว
เจ้าชายมัลถุระมองหน้าผู้กล่าวกับตนด้วยอาการยิ้มแย้ม “ข้ามองตาท่านก็รู้แล้วว่าข้าคงจะหนีจากท่านไม่พ้นเป็นแน่ ข้ารู้ว่าพี่กุสิยะท่านห่วงข้า ด้วยว่าเจ้าแขกผู้นั้นหาใช่ธรรมดาไม่ ที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะไปเพียงผู้เดียวนั้น ก็เพื่อศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าเอง หากแม้นพี่ท่านไปด้วย ข้าพเจ้าคงไม่พ้นคำปรามาสว่าเป็นคนขี้กลัวเป็นแน่แท้” มัลถุระกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“หากพี่ท่านประสงค์ใคร่จะชมก็ขอให้จงอยู่ในพุ่มไม้เหมือนที่ท่านทำเฉกเช่นนี้” เจ้าชายมัลถุระกล่าวเชิงขบขัน
“ที่ข้าหาเหตุท้าประลองดาบครั้งนี้ หาใช่เพราะโกรธเจ้าหนุ่มอาระกีอาหรับผู้นี้ไม่ แต่หากสายตาของข้าได้พบแล้วซึ่งเพชรจากทะเลทราย ต้องหาใช่คนธรรมดาไม่ดูจากการแต่งตัวและลักษณะท่าทางกริยาต่างๆ ต้องเป็นคนที่มีวิชาความรู้มากเป็นแน่ หากเป็นนักรบก็ต้องเป็นถึงขึ้นระดับขุนศึกเป็นแน่ หากสายตาข้ามองไม่ผิด แต่เสียอย่างเดียว” เจ้าชายทรงส่ายพระพักตร์ “ดันเป็นขี้ใจร้อนไปหน่อย ”
“ข้าพเจ้าหาบังอาจห้ามพระองค์ไม่ แต่มาเพื่อบอกว่า หากเกิดเหตุอันใดขึ้นกับราชบุตรผู้สืบบัลลังก์ภายภาคหน้าแล้วไซร้ แผ่นดินนี้จะมีภัย ขอพระองค์ทรงระมัดระวังตัว ทรงอย่าประมาทไป ขอให้การประลองในครั้งนี้ จงเป็นไปเพื่อการแข่งขัน”
“ข้าเข้าใจพี่กุสิยะ “ ราชบุตรกล่าว
“แต่น้องท่านมิน่าทำเช่นนี้เลย เที่ยวไปท้าประลองคนไปทั่วก็รู้อยู่ว่าหามีผู้ใดเสมอเท่าพระองค์ในการยุทธ์ไม่”
“แต่นั้นก็เพราะข้าเป็นราชบุตร” เจ้าชายมัลถุระแย้งทันที
“ที่ข้าทำนี่อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระเหมือนคนโง่ อันหาประโยชน์ไม่ได้” เจ้าชายทรงหมุนตัวมาหากุสิยะ ยกมือประกอบขอความเห็นใจ
“ใช่สิ ข้าคือเจ้าชาย ข้าคือกษัตริย์ในวันข้างหน้า “ ราชบุตรทรงหันหลังกลับเอามือไขว้หลัง
“แล้วใครละจะกล้าเอาชนะเจ้าชาย ราชาในวันข้างหน้าเช่นข้า” พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นดูจันทราที่กำลังคล้อยหนีดวงตะวัน
“ข้าพเจ้าก็ได้เพียงเล่นแตะดาบกับนายทหาร ขุนศึก นายกอง ที่บิดาข้าจัดหามาให้ ในวัง จะมีใครคนไหนกล้าเอาชนะข้าเล่า ต่างก็กลัวข้าเสื่อมพระเกียรติ กลัวข้าบาดเจ็บ บ้าง ฮ่ะๆๆ แม้แต่ท่านเองก็เถอะ” ราชบุตรเอียงหน้าไปหาเจ้าชายกุสิยะ
“จะมีก็เพียงพระอาจารย์เท่านั้นแหละที่เอาจริงเอาจังกับข้าหาเกรงผู้ใดไม่ การปะดาบด้วยความเขลาเพียงเดินชนกัน มันก็ยุติธรรมดีพี่ท่านว่าไหม ล่ะ” เจ้าชายกุสิยะทรงก้มหน้ามิตอบ
“ข้าเองก็อยากรู้นัก ว่าการที่ข้าเล่นฟันดาบอยู่ในวัง มันจะช่วยให้ข้าเอาชนะดาบของพวกแขกต่างแดนได้หรือไม่” ราชบัตรกล่าวอย่างมุ่งมั่นหลังจากพูดทีเล่นทีจริงมานาน
“.......ข้าว่าข้าพูดมากไปแล้ว จะเสียเวลาเสียปล่าว พี่ท่านข้าขอตัว” ราชบัตรเดินผ่านเจ้าชายกุสิยะไปอย่างไม่รั้งรอ สู่สถานที่ที่นัดหมาย ถามกลางสายลมที่ยังมิหยุดพัด เหมือนกาลเวลาที่ไม่หยุดเดิน เจ้าชายกุสิยะได้แต่เพียงมองตามดูเบื้องหลังของบุรุษที่จะเป็นมหาราชาในเบื้องหน้า
ณ ชายหาดอันไร้ผู้คนแถวๆท่าเรือ
ช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นไม่มาก ฉายแสงให้สรรพสิ่งบนโลกตื่นขึ้นจากการหลับใหล ร่างของเจ้าชายแขกยืนกอดอกรอบนพื้นทะเลทรายชายหาด แต่งกายด้วยชุดคลุมดำของชาวอาระกีอาหรับ สะพายดาบรูปทรงโค้งเว้าคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ดาบคู่ใจตน ท่ามกลางแรงลมที่พัดกระหน่ำ ทันใดนั้นเจ้าชายมัลถุระเองก็ปรากฏตัวขึ้น
“คงเป็นการยากสินะ ที่คนไร้งานไร้กิจเช่นเจ้าจะตื่นมาดูโลกในยามนี้” เจ้าชายแขกพูดเชิงล้อ
“ใช่” เจ้าชายตอบอย่างยียวน “อ๋อ นี่เลือกสถานที่ได้ดีนี่” ราชบุตรมัลถุระกล่าวแล้วมองดูเท้าเจ้าชายแขก
“การที่สู้กันบนทรายรึ หึ เข้าใจเลือกชัยภูมินี่นะ คิดว่ามันจะช่วยให้เจ้าชนะข้ารึ หรือว่าไม่ถนัดเรอะ คงจะเก่งแต่กลางทะเลทรายสินะ มิน่าถึงมาแพ้ในป่ากุสินารา มิน่าโมซาเล็มถึงได้รีบควบม้าหนีเข้าทะเลทราย ฮ่ะๆๆ” มัลถุระเงยหน้ามายิ้มเยาะเย้ย โดยไม่รู้ว่าเป็นกล่าวล่วงเกินลุงตน
“หากเจ้าไม่พอใจ ไปที่อื่นก็ได้ที่เจ้าถนัด”
“ไม่ๆๆๆ” มัลถุระขัด
“ข้าสู้ได้ทุกที่ แม้แต่บนแผ่นดินของพวกเจ้า ในวันหน้า” มัลถุระกล่าวอย่างมีเลศนัยแฝงในใจ
“ฮ่ะๆๆๆ” เจ้าชายแจกทรงสรวล
“ย่อมเป็นไปได้ ท่านนักรบผู้ยิ่งใหญ่” เจ้าชายแขกย้อนกลับ
“แต่ที่ข้าได้พบกับเจ้าในครั้งนี้นั้น ย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่” เจ้าชายแขกกล่าวแล้วทรงมองขึ้นฟ้า
“ต้องเป็นชะตาที่พระผู้เป็นเจ้าชักนำแน่ๆ” เจ้าชายแขกทรงกล่าวในความเชื่อตน
“หรือไม่ก็เป็นคนขับเกวียนผู้เป็นทาสของข้าที่ชักนำเกวียนให้ข้ามาหาเจ้า ก็เป็นได้”
“หึหึหึ เจ้านี่มันฝีปากดีแท้” พร้อมชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็ว “แต่ไม่รู้ว่าฝีมือดาบของเจ้า มันจะเก่งเหมือนฝีปากที่มากำแหงกับข้า” เจ้าชายแขกเริ่มเกิดโทสะ ที่โดนหมิ่นเสียทุกเรื่อง โดยที่ในราชวังของพระองค์ มิเคยมีใครในราชอาณาจักรมากล่าวเช่นนี้กับพระองค์มาก่อน กลับมาเจอคนต่างแดน ต่างแคว้นกล่าวเย้ยหยันเช่นนี้
ราชบุตรมัลถุระก็ทรงชักพระแสงออกมาเช่นกัน “อยากรู้ก็ให้มาถามดาบของข้าสิ” ราชบุตรกล่าวยียวนกวนประสาทไม่เลิก
เจ้าชายแขกพุ่งเข้ามาหาด้วยดาบที่โค้งเว้า เจ้าชายมัลถุระปัดดาบไปด้านข้าง แล้วก็หมุนตัวเข้าฟันโมฮัมหมัดดีน โมฮัมหมัดย่อตัวหลบพรางกลิ้งตัวถอย เจ้าชายมัลถุระเข้าฟันไม่ยั้ง เจ้าชายแขกถึงกับถอยร่นได้เพียงแต่รับดาบ และดูช่องทางสวนกลับ ท่านใดนั้นเองเมื่อเจ้าชายมัลถุระชะงักเพราะลื่นเหยียบทราย ราชบุตรแขกจึงหักดาบที่เป็นฝ่ายรับ แทง ราชบุตรไทจึงกระโดดหลบถอยหลังกลิ้งตัวไปกับพื้นแล้วเอาเท้าซ้ายยันพื้นไว้
“ชิ! ไวยังกับลิง” ราชบุตรแขกกล่าวในใจแต่ยังไม่ลดละ พลิกดาบให้ส่วนโค้งลง หมายจะใช้ส่วนที่โค้งเว้าเจาะเข้าเข้าหา เหมือนบุรุษที่งอแขนล้วงเข้าไปในไห เมื่อราชบุตรไทรับดาบ ราชบุตรมัลถุระก็ทรงรู้ จึงไม่รับดาบโดยตรง จึงได้แต่ปัด พลัดกันรุกพลัดกันรับกัน ด้วยต่างก็มีฝีมือเหมือนกัน ต่างกันที่เพลงดาบ และตัวดาบเท่านั้น ขณะที่ทั้งสองกำลังดวลเพลงดาบกันไปมา มีคนผู้แอบอยู่ในป่าถือคันะนูแอบอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เจ้าชายกุสิยะนั้นเอง ด้วยเกรงว่าราชบุตรมัลถุระจะได้รับอันตรายจึงจำเป็นต้องป้องกัน หากราชบุตรมัลถุระเพรี้ยงพร้ำเกิดอันตราย หากในใจก็รู้อยู่ว่าเป็นเรื่องสกปรกน่าอับอาย แต่มันก็จำเป็นต้องปกป้องราชบุตรผู้บุ่มบ่ามเช่นมัลถุระ หากเกิดอะไรขึ้น อุษามณีนี้จะวุ่นวาย หากไร้ผู้ปกครองจักรวรรดิอุษาทวีปนี้ จึงเตรียมใจทำเรื่องเช่นนี้ หรือเรียกว่าปลอดภัยไว้ก่อน แต่ใจหนึ่งก็ทรงคิดว่าราชบุตรของตนนั้น หากใช่คนกระจอกที่ไหน ต่างก็มุมานะร่ำเรียนวิชากับพระอาจารย์กับตนมาด้วยกัน ย่อมไม่มีทางเสียทีง่ายๆแน่ หากไม่ประมาทเท่านั้น
มัลถุระเองเป็นคนที่ดูยากนักแม้จะทำตัวเป็นคนบุ่มบ่าม แต่หากเอาจริงเอาจังแล้วก็หาใช่คนที่ขวานผ่าซากมุทะลุแบบโง่ๆเป็นแน่ แต่อาจเป็นกลลวงของพระองค์ให้ศัตรูตายใจ
ทั้งสองต่างกันพลิกตัวกวัดแกว่งกันไปมาเสียงดาบชั้นดีประทบกัน ส่งเสียงราวฟ้าจะถล่มดินทลาย ดาบทั้งสองหาได้บิ่นลงไม่ แต่ความบ้าบิ่นของทั้งสองกับลดลง เพราะด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายหาใช่ธรรมดาไม่ ต่างคนต่างไม่รู้จักกัน การที่จะเอาชนะกันในพริบตาเดียวนั้นไม่มีหวัง จะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อจึงค่อยๆออมแรงลง ทันใดนั้นเอง ราชบุตรไทได้โอกาสขณะที่ราชบุตรแขกชักดาบกลับ มัลถุระหาชักดาบกลับไม่กับปล่อยดาบแล้วเปลี่ยนเป็นศอกกลับเข้าที่หน้าของเจ้าชายแขกทันที
“ผั๊ว” เสียงคมศอกกระทบเข้ากระบังแก้ม ราชบุตรแขก ตามมาด้วยเข่าที่เข้าท้อง มันเป็นวิชามวยที่ชาวอาหรับไม่รู้จัก อุปกรณ์การรบที่งอกมาด้วยตั้งแต่เกิด ขณะที่ล้มตัวลงได้กวัดแกว่งดาบมิให้ราชบุตรไทพุ่งเข้ามาซ้ำตน แล้วกลิ้งถอยหลังหมุนตัวพร้อมลุกขึ้นเตรียมพร้อมสู้ต่อยกแขนประดับข้างตามท่าดาบของแขกแม้จะงงงวยด้วยฤทธิ์กระดูกข้อศอก แต่ด้วยที่ผ่านการการต่อสู้ อีกทั้งยังมีร่างกายที่แข็งแรงจึงไม่เป็นอะไรมากนัก
“อะไรกันนี้” ทรงคิดในใจว่าไม่เคยพบเจอเช่นนี้แม้ในสนามศึก เป็นวิชาที่ชาวอาหรับยังไม่เคยเจอ
“เจ้านี้มันต้องไม่ใช่พวกคนถ่อย นักเลงหัวไม้ธรรมดาเสียแล้ว คนที่มีความสามารถขนาดนี้ ต้องหาใช่คนธรรมดาแน่ ดูลักษณะก็ยังหนุ่มนัก อาจจะเป็นลูกพวกขุนศึก นายกองของที่นี่ก็เป็นได้” ราชบุตรแขกเริ่มสงสัย
“ในการต่อสู้สิ่งที่เจ้าควรจะระวังที่สุดคือคน หาใช่ดาบเพียงอย่างเดียว” ราชบุตรมัลถุระสั่งสอนเจ้าชายอย่างเย้ยหยัน
“หึหึหึ จะสอนข้ารึ อืม วิชาดาบของพวกเจ้า ข้าประมาทเกินไป หารู้ว่าชาวอุษาทวีปเขาสู้รบกันอย่างไร ด้วยข้าเองก็ไม่เคยประดาบกับชาวอุษาทวีปมาก่อน เจ้าควรภูมิใจนะที่เจ้าเป็นคนแรกของข้า” เจ้าชายทรงตอบอย่างไม่โกรธเหมือนก่อน เพราะรู้ว่าคนที่มาประดาบกับตนนั้นเก่งกาจ หาใช่ไอ้ถ่อยธรรมดาหรือคนพาลสันดาปหยาบ ที่คอยระรานไปทั่ว
“ฮ่ะๆๆๆ คนแรกของเจ้านะรึ ข้าจะดีใจมากกว่านี่น่ะ ถ้าเจ้าเป็นผู้หญิง ฮ่าๆๆๆๆๆ” ทั้งสองต่างหัวเราะร่วมกัน ไม่เหลือความเอาชนะกันแล้ว เล่นเอาเลิกประดาบกันดื้อๆเลย
เมื่อเริ่มเข้าเที่ยงวัน ทั้งสองต่างเอาอาหารมานั่งกินร่วมกัน แบ่งปันอาหารของคนละดินแดนกันเพื่อสานสัมพันธ์ทางรสชาติหลังจากสานด้วยดาบมาแล้ว
“ทำไมมันเผ็ดนักนะ หรือว่าเอายาพิษมาให้ข้ากินเพื่อหวังพิชิตข้ารึ” เจ้าชายแขกทรงแหย่เย้า
“ก็อาจเป็นไปได้ ยาพิษของเจ้าแต่เป็นของโปรดของข้า” ราชบุตรมัลถุระยกพริกขี้หนูขึ้นมาประกอบ
“นี่เจ้าอาระกีเจ้าเป็นผู้ใดกัน ตอนแรกที่ข้าเห็นเจ้า ข้าก็อยากลองเชิงดาบกับเจ้านัก เพราะเจ้าเองก็เป็นอาระกีคนแรกที่ข้าชิงเชิงดาบ เหมือนเจ้านั้นแหละ” พระองค์ทรงสารภาพเช่นเดียวกัน
“ข้าคือเจ้าชายโมฮัมหมัดดีน แห่งเปอเซียเนีย” พระองค์ทรงตอบอย่างเต็มภูมิ หมายจะทำให้ราชบุตรมัลถุระตกใจ แต่ที่ไหนได้
“ฮ่ะๆๆๆๆๆๆ” ราชบุตรมัลถุระหัวเราะเหมือนกับว่าอดเสียมานานจนเหนื่อย
“ข้านึกว่าเจ้าเป็นขุนศึกจากอาหรับเสียอีก นึกไม่ถึงจริงๆ”
“แล้วเจ้าเป็นขุนศึก รึ บุตรแม่ทัพคนใดรึ” ราชบุตรแขกย้อนถามอย่างสงสัย
“อะฮึ่ม!” เจ้าชายเรียกเสียงเล็กน้อย
“ข้าคือราชบุตรมัลถุระ แห่งกรุงรัตนะบดีศรีโยธยา”
ราชบุตรแขกทรงตะลึง “จริงรึเนี่ย อย่าล้อข้าเล่นนะ”
“แล้วเจ้าล้อข้าเล่นรึปล่าวหากเจ้าไม่ได้ล้อเล่นข้าก็ไม่ได้ล้อเล่น บิดาข้านามนรสุทโทแห่งจักวรรดิอุษามณี”
ทั้งสองต่างรู้ว่าตนเป็นเจ้าชายเหมือนกันจึงทรงสำราญขบขันเสีย
“ฮ่ะๆๆๆ ข้านึกว่าท่านเป็นเจ้าหนุ่มลูกขุนศึกจอมเกเรที่ไหนเสียอีก”
“ข้าก็นึกว่าเจ้ารีบหนีเจ้าหน้าที่ที่ไหนเสียอีก” ทั้งสองคุยกันอย่างถูกอกถูกใจ
ขณะที่เจ้าชายกุสิยะนั่งมองจากทางไกล “หึหึหึ ราชบุตรมัลถุระดูยากเสียจริง ช่างไร้เดียงสาหรือไรกันแน่” กุสิยะแอบดูแต่ก็ยังไม่วางคันธนูเพราะยังไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าผู้นี่เพราะไม่รู้เขาคุยอะไรกัน และยังไม่รู่ว่าคนที่ประดาบเป็นเจ้าชายแดนอาระกี
ทั้งสองคุยกันได้พักหนึ่ง ต่างคนก็ต่างจากไป ราชบุตรแขกเองก็ขอตัวกลับดินแดนตนที่ท่าเรือเหล่าขุนนางรอเก้อเป็นครั้งที่2
“โชคดีเจ้าชาย เจอกันวันหน้าหวังว่าคงจะได้ชิงเชิงดาบกันให้จบนะ”มัลถุระกล่าว “หากมีสตรีแดนอาหรับสวยๆอย่าลืมแนะนำให้ข้าบ้าง” แต่ไม่วายออกแนวเจ้าชู้
“เช่นกัน หวังว่าครั้งหน้าคงไม่เจอกันกลางสนามรบนะ”
“อ๋อ” ราชบุตรโมฮัมหมัดดีนหันกลับมา “มันอาจเป็นประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ชักนำเรามา”
“หรืออาจจะเป็นคนขี่เกวียนของผู้เป็นทาสข้าที่ชักจูงให้ข้ามาหาเจ้าในตลาดก็เป็นได้”
ทั้งสองต่างเหย้าแหย่กันก่อนกลับ ต่างไม่เคลือบแคลงใจกันอีก ด้วยมิตรภาพแห่งดาบ ต่างรู้ว่าต่างคนก็เป็นคนกล้า และอุปราชในวันหน้า แม้นไม่รู้ว่าวันข้าหน้าทั้งสองจะเป็นอย่างไรและจะเปลี่ยนไปยังไง และต้องเจอกันอีกหรือไม่ เจอกันด้วยสถานะอะไร ยังต้องรอกาลเวลามาเฉลย
เช่นนั้นแล้วกุสิยะจึงได้กลับไปยังสำนักที่พักตน ล้มตัวนอนลงพื้น แต่ใจเจ้านั้นเองก็ไม่วายขึ้นถึงคนผู้หนึ่งราวว่าจะขาดใจเสีย ผู้ที่ทำให้กุสิยะจงรักภักดียิ่งนัก นึกถึงวันเก่าๆเมื่อครั้งยังเยาว์วัย นางผู้ขึ้นครองหัวใจของเขา ตะละแม่อุษามณี
ความคิดเห็น