ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ...ศึกรัก 5 แผ่นดิน..

    ลำดับตอนที่ #2 : เจรจา ว่าด้วย แขก

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ย. 53


    ณ ท่าเรือกรุงรัตนะ

        ฝูงชนมากมายทั้งไทและเทศ ต่างเที่ยวไปมา บ้างเดินหาซื้อสินค้าที่ตนต้องการ บ้างก็เดินเที่ยวชมสินค้าจากดินแดนต่าง แม้จะไม่มีปัญญาซื้อ บ้างก็มาดูการละเล่นของพวกชาวต่างแดนจากที่ต่างๆเพื่อมาแสดงการละเล่นต่างๆ บ้างก็ไปยังสถานสำราญ ต่างผู้ต่างคนต่างที่หมาย เสียงผู้คนมากมาย เจรจากัน ฟังศัพท์ไม่ได้ใจความ ต่างคนต่างเรื่อง ร่างของบุรุษหนุ่มทั้งสองเดินฝ่าฝูงชน เพื่อเดินดูสิ่งของจากดินแดนต่างๆ  ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนานไม่ต่างจากเด็กหนุ่มทั่วไป จะต่างกันก็เพียงศักดินา 

    “ปึ้ก”

    ร่างของเจ้าชายมัลถุระล้มลงพื้น ขณะก้มกำลังดูดาบจากต่างแดน ด้วยความโกรธจึงได้ผละตนขึ้นหันหน้าไปหายังผู้ที่ชนตน ร่างสูงใหญ่อันบึกบึน ผิวคล้ำเหลือง นัยน์ตาใหญ่ออกน้ำตาล จมูกโด่ง บ่งบอกว่าเป็นแขกหาใช่ชาวอุษาทวีปไม่ นัยน์ตาอันใหญ่จ้องมองลงมา

    “ข้าขอโทษเจ้าด้วย ไม่ทันได้เห็นเจ้าเข้า”

    “ไม่เห็นข้างั้นรึ ฮะๆๆๆ งั้นรึ” เจ้าชายมัลถุระยิ้มตอบด้วยอาการยัวะสุดๆ ก่อนจะลงขึ้นพร้อมปัดดินออกจากกาย

    “เจ้าตาบอดหรอกฤาถึงได้มองไม่เห็นข้า”
     
    ราชบุตรกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า ผู้คนเริ่มเข้ามารุมล้อมมุงดูทั้งคู่เผื่อจะได้ดูทั้งคู่วางมวยกันให้ชมเล่น

    “ข้ามิได้ตาบอดแต่ข้าต้องรีบไปทำธุระของข้า ข้าไม่ว่างที่จะมาต่อเถียงกับเจ้า ข้าขอโทษเจ้าละกัน  ขอตัว”
    แขกหนุ่มพูดจบจึงเมินหน้าจากคู่สนทนามุ่งตรงไปยังในเมืองโดยไม่สนใจคู่กรณีตน

    “ก็ได้ข้าจะยกโทษเจ้าคนขี้ขลาดผู้นี้ แต่เอ อย่างว่าแหละน่ะพ่อแม่พี่น้อง” มัลถุระกล่าวท่ามกลางผู้คนที่มามุ่งดู

    ”คงจะกลัวฝีมือเราชาวรัตนะบดีจนต้องรีบอ้างกิจธุระขึ้นมาบังหน้าเพื่อหนีเราเป็นแน่แท้ ฮะๆๆ”

    เจ้าชายกล่าวอย่างเหยียดหยาม ชายหนุ่มอาระกีรแดนทะเลทรายหยุดเดิน

    “ออ นี่เกิดความละอายใจละซิ ทำไม ไม่พอใจข้ารึ งั้นเข้ามา”

    มัลถุระชักดาบประจำตัว พร้อมชี้ดาบไปทางหนุ่มอาระกีปริศนา

    “แต่เอ็งเป็นชายหาได้นุ่งผ้าซิ่นไม่ มา!เข้ามา”

    ราชบุตรมัลถุระตะโดนท้าทาย กุสิยะรีบเข้าห้ามปรามมุลถุระก่อนที่จะบานปลาย

    “มัลถุระน้องท่านท่านไม่น่ากล่าวเช่นนี้เลย ท่านผู้นั้นได้สำนึกผิดกล่าวขอโทษสมเป็นชายแล้วน้องท่าน”

    กุสิยะกล่าวเชิงปลอบหนุ่มอาระกีทางอ้อมด้วย

     “ข้าขออภัยน้องข้าด้วย น้องข้านั้นใจร้อนวู่วาม ขอท่านอย่าได้ถือโกรธ”
    กุสิยะกล่าวกับหนุ่มอาระกี

    “พี่ท่านอย่าห้ามข้าเลย ข้าจักสั่งสอนไอ้ลูกไก่แห่งอาระกีให้มันรู้สำนึกซะบ้าง ที่ได้หมางเมินข้าเหมือนจัณฑาลเช่นนี้”
    มัลถุระพยายามยั่วตลอดเวลา

    “น้องท่าน” กุสิยะพยายามห้าม

     หนุ่มอาระกีหันหลังจ้องมายังมัลถุระ

    “ข้าไม่ได้เอากิจธุระขึ้นมาบังหน้าหนีเจ้า แต่หากข้ามีกิจสำคัญหาใช่คนไร้กิจไร้การทำ ที่มีเวลาว่างเช่นเจ้า ในวันรุ่งพรุ่งนี้ให้มายัง ริมหาดท่าเรือ จะพาใครมาช่วยก็ได้”
    หนุ่มอาระกีชักยัวะเหมือนกัน

    “ชะช่า ไอ้แขกผู้นี้มันเจรจาใหญ่โตโอหังยิ่งนัก อย่างเจ้าควรจะพาสหายเจ้ามามากๆหน่อย หากข้า พลั้งเผลอมือหนักไปประเดี๋ยวเกรงว่าจะได้เป็นศพเข้าพบพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าก่อนเวลาเพราะข้าอีกละ ฮ่าๆๆ”

    เจ้าหนุ่มอาระกีผู้นี้โดนหมิ่นเชิงชายและความเชื่ออย่างโกรธจัดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นัก จำรีบต้องไปทำกิจของตน จึงได้แต่มองด้วยแค้นก่อนจากไป ผู้คนที่มุ่งตามแยกย้ายกันไป ก่อนทั้งสองฝ่ายจะแยกย้ายกันไป

    “ฮ่าๆ พี่ท่านคิดว่ามันจะมารึไม่ตามมันนัดหมาย” มัลถุระถามกุสิยะ

    “ มัลถุระท่านไม่น่าทำการหาสาระประโยชน์อันใดไม่ได้เช่นนี้เลย”

    กุสิยะเตือนศิษย์ผู้น้องตนด้วยว่า ราชบุตรมัลถุระผู้นี่ถึงแม้จะฉลาดแต่ยังไม่หลักแหลมนัก ทั้งยังมุทะลุ บุ่มบ่าม ไม่เกรงกลัวผู้ใด จึงเป็นอันตรายประมาทเกินไปนักและกุสิยะก็เล็งเห็นว่า เจ้าหนุ่มอาระกีผู้นั้น หาใช่คนธรรมดาสามัญชนไม่ แต่หากมีราศีของความเป็นนักรบไม่น้อย น่าจะเป็นคนมีศักดิ์มีวิชาความรู้พอตัว ทั้งท่าทางการวางตัว ดูรอบคอบผิดกับมัลถุระเจ้านายน้อยผู้ครองภายภาคหน้าจักรวรรดิแห่งอุษาทวีปนัก

    “โถพี่ท่าน นานๆทีจะได้ประลองดาบกับคนต่างแคว้นต่างแดน ดูเชิงฝีมือกัน ข้าดูท่าทางลักษณะเจ้าแขกคนนี้ก็หาใช่ธรรมดาไม่ พี่ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าก็จะระวังตัวไม่ให้พี่ท่านลำบากใจ” มัลถุระพูดเอาใจกุสิยะ

    “เอาแล้วนี่แม่จันทร์ฉายไปไหนเสียละนี้โอ ข้าเองก็หนีวังมา ไม่ได้พามาด้วย ไม่รู้งอนกลับแล้วหรือยัง แต่ไม่อยู่ก็ดีแล้วข้าจะได้ไม่โดนยื้อโดนดึงบังคับให้ไปดูผ้าแพร ฮ่าๆ”

    ราชบุตรกล่าวถึงน้องตนอย่างสำราญ แต่ในใจกุสิยะนั้นหาใช่คิดเรื่องอื่นไม่ แต่หากคิดว่า หนุ่มอาระกีที่ดูท่าจะไม่ใช่คนธรรมดาผู้นี้คือใคร มาเพื่อสิ่งใด ในรัตนะบุรี ยังคงคาใจกุสิยะอยู่ไม่น้อย

    ณ กลางเมืองรัตนะ

        กลุ่มบุรุษกลุ่มหนึ่งราวสิบกว่าคนในเรือนกลางเมือง โพกผ้าบนหัวทรงกลมม้วน เสื้อยาวลายดอกกุหลาบ แบบขุนนางอาระกีแห่งทะเลทราย กำลังเกาะกลุ่มพูดคุย ในนั้นมีของต่างๆมากมาย คล้ายคณะทูต เหมือนกำลังอะไรบางอย่างเพื่อเดินทาง ขณะกำลังพูดคุยกันนี่เอง ชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังหัวเสียหงุดหงิดเดินเข้ามายังกลุ่มขุนนาง ชายหนุ่มคนนั้นก็คือคนที่มีเรื่องกับเจ้าชายมัลถุระ เหล่าขุนนางอากีระเมื่อเห็นคนเดินเข้ามาจึงพร้อมใจกันหันไปดู แล้วทุกคนก็รีบวิ่งมาคำนับชายหนุ่มผู้มีเรื่องราวกับ มัลถุระ

    “ทรงจงพระเจริญเจ้าชาย โมฮัมหมัดดีน” เหล่าขุนนางกล่าวอย่างพร้อมเพียง

    “เอาละไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก รีบไปกัน ได้แล้ว”

    เจ้าชายกล่าวก่อนจะเดินไปนำ เหล่าขุนนางจึงได้สั่งให้คนของตนขนของขึ้นเกวียนที่แกะสลักอย่างสวยงามตามสไตล์อารยธรรมของชาวแดนอาระกีแห่งทะเลทราย

     

    การเดินทางหยุดสิ้นสุดลงตรงหน้าทางเข้าพระราชวังอันยิ่งใหญ่ แห่งนครหลวงของอุษาทวีป กระเบื้องสาส่องแสงกระทบทองที่ประดับประดา ลายวิจิตรสวยสดงดงามราวกับนครเทพนิยาย ที่วางตัวอาคารได้อย่างมีระเบียบ แม้นระเบียงก็ประดับประดาด้วยสีทองคำ เป็นระเบียบเรียบร้อย มีทั้งระบบประปา น้ำ สวน จัดไว้อย่างลงตัว นครที่ได้ชื่อว่า ดินแดนทองคำ ท่าจะเป็นจริงเหล่าขุนนางตะลึงกับความงดงามเหล่านั้นได้ชั่วครู่ก้ได้นึกถึงกิจของตน

    “เอาละไปบอกทหารยามนะว่าเราว่าถวายเครื่องราชบรรณาการแก่องค์กษัตริย์ธิราช”เจ้าชายกล่าว

     “ขอรับ”

    เมื่อการเจรจากันเสร็จสิ้นลงทหารยามจึงเปิดประตูให้ขบวนทูตเข้าไปยังมหาราชวังได้ เมื่อได้ไปได้สักพักกองทหารองครักษ์ก็เดินขบวนเข้ามาขนาบข้างตามเพื่อป้องกันอันตรายแก่กษัตริย์ของรัตนะ เพื่อว่าคณะทูตต่างๆจะไม่ได้เล่นตุกติก และเพื่อสังเกตพฤติกรรมของคณะต่างแดน

    เมื่อเข้ามาถึงมหาราชวังก็ได้เชิญเจ้าชาย และขุนนางผู้ใหญ่ไม่กี่คนเข้าเฝ้า พร้อมของบรรณาการ

    “ข้าพเจ้า โมฮัมหมัดดีน  ขอถวายเครื่องบรรณาการเพื่อเจริญสัมพันธ์ทางไมตรีต่อกรุงรัตนะ”

    “พึ่งรบกันครั้งศึกกุสินารากันเมื่อปีก่อน ฉไนพระเจ้าญะดีนถึงได้มาเจริญสัมพันธ์ทางไมตรีไวถึงปานนี้ เพราะเหตุใดเล่า” พระเจ้านรสุทโททรงตรัสถามเชิงประชด

    “หรือว่าพระเจ้าญะดีนผู้นี้เห็นเราประหนึ่งดั่งทารกเดียงสา คิดจะตีก็ตี คิดจะโอ้ก็โอ้
    หาด้วยจริงใจกับเราไม่”   
     พระเจ้าสุทโทกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

    เจ้าชายทรงยืนแล้วกล่าวว่า
    “พระเจ้าอา จริงว่าดั่งคำท่าน แต่หาใช่ถูกเสียหมดไม่ เพราะการศึกครั้งนั้น เป็นสงครามที่หาใช่สงครามไม่  เพราะก็หามีกองทัพของชาวเปอเซียเนียเข้าร่วมกระทำการหรือไม่" เจ้าชายตอบกลับ

    "เพราะเป็นการกระทำอันเขลาของพระเจ้าลุงข้า โมซาเล็มที่คิดขยายอำนาจแคว้นอิลขานของตน และแข็งข้อมิเชือฟังต่อพระเจ้าญะดีนพระบิดาข้า เร่งสร้างอิทธิพลของตน แลยังยกไพร่พลเลวชาวอิลขาน เข้าตีกุสินารา จนแพ้พ่ายบารมีพระองค์ แตกหนีพ่ายยับเยินกลับมาจนสิ้นฤทธิ์ ทางเราจึงได้ควบคุมลดศักดิ์และลงโทษให้ไปกินเมืองน้อยทางใต้ของ อิลขาน แลยกให้ข้ามาควบคุมเมืองแทน "
     
    "แล้วพวกเจ้าก็เลยเฉย รอให้พระเจ้าลุงของเจ้ายกทัพมาตีเราก่อน โดยไม่ทำอะไรเลย กระนั้นเรอะ" พระเจ้านรสุทโทถามเชิงความใน

    "หาใช่ไม่พระเจ้าอา นครเปอเซียเนียของเรานั้นอยู่ไกลจากแคว้นอิลขานมากนัก อีกทั้งยังต้องติดพันศึกกับชาวยูโรเปี้ยน แลคาดไมถึงว่าพระเจ้าลุงจะเขลาได้ถึงเพียงนี้ กวาจะจัดการเรียบร้อยสำเร็จก็ใช้เวลานาน เมือเสร็จสิ้นจึงได้รีบมาถึงยังกรุงรัตนะด้วยตนเอง กลัววาพระเจ้าอาจะคิดหมางเมินผิดใจ" เจ้าชายตอบ

    "เจ้าเลยแต่งเครืองราชบรรณาการ เพื่อให้เราอภัยโทษแกลุงของเจ้าเรอะ" นรสุทโทถามอยางสงสัย

    "หาใช่ไม่ แตเพื่อไพร่ฟ้าชาวอิลขานจะไมโดนการเอาคืนของกุสินารา เพือมิให้เราทั้งสองฝ่ายต้องมาผิดใจกันด้วยคนพาลเพียงคนเดียว โปรดพระองค์อย่าต้องได้ยากแก่ไพรฟ้าทั้งสองฝ่าย แลอยาให้จักรวรรดิเปอเซียเนีย และจักรวรรดิอุษาทวีป ต้องหมางเมินผิดใจกันเพราะคนพาลเพียงคนเดียวด้วยเถิด" เจ้าชายทรงตอบอยางรอบคอบ

    "เอาเถอะเป็นอันว่าอย่าให้มีครั้งที 2 แล้วกัน ส่วนเจ้าคนพาลของเจ้าก็อยาได้ให้มาเหยียบแผนดินเป็นครั้งที่ 2 ส่วนเครืองบรรณาการใหท่านขุนวังช่วยกันจัดการละกัน" ทรงตรัสเสร็จก็ทรงเสด็จกลับไปยัง ณ ที่ประทับฝายใน

    เมื่อพระองค์กำลังจะเข้า ณ ทีประทับแม่ทัพโกศาได้ เดินมาก้มตัวลงกราบเพือจะโทษอะไรบ้างอยาง

    "เรารู้ แค่ทานอ้าปากเราก็รู้ถึงความในของท่านแล้ว" พระองค์ทรงดักคำพูดท่านแม่ทัพ

    "เรารู้ดีว่าพระเจ้าญะดีนผู้นี้นะรึ ไม่ทำการอันใดเลยแม้รู้เห็นว่า พี่มันจะแข็งข้อต่อมัน และต้องยกทัพมาตีเมืองท่าเรือกุสินาราของเรา" พระองค์ทรงตอบอย่างเคืองในพระทัย

    "ก็เพื่อจะได้ให้ทหารเลวอิลขานมาลองกำลังของเรา เพื่อดูสถานการณ์ทางเราว่ายังเข้มแข็งไหม หากศึกครานั้นไม่จบคราเดียว ปล่อยไว้เนินนาน รับรองว่ามันต้องยกทัพมาเสริมแน่" พระองค์ตอบอยางเคืองแค้น

    "ช่างเป็นแผนที่หน้าด้านเสียจริง" พระองค์กล่าวยิ่งเพิ่มน้ำเสียงด้วยใจแค้นไปเรื่อยๆ

    "แต่สิ่งไหนที่พอยอมกันได้ก็ยอมไปก่อน ทางเราก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก"พระองค์ทรงทำพระทัยให้เย็นลง

    "แต่ที่ต้องจับตาก็คือเจ้าชายโมฮัมหมัดดีน ผู้นี้นะสิ ข้าดูแล้ว ฝีไม้ลายมือคงจะร้ายกว่าพ่อเป็นแน่"

    พระองค์กล่าวแล้วนึกถึงราชบุตรตน นี้หากแม้นส่งไปเจรจาเมืองใด แคว้นใด เห็นที่คงจะหนีไม่พ้นเอาสงครามกลับมาฝาก ด้วยว่านิสัยราชโอรสตน เป็นคนมุทะลุ ไม่ยอมใคร ตรงไปตรงมา

    "ได้ยินวาจะมาปกครองอิลขานแทนลุงรึ ต้องระวังไม่น้อยเพราะไม่รู้จะมาไม้ไหน" พระองค์ทรงบอกท่านแมทัพความนัยว่า คนผู้นี้ไมธรรมดา

    "หากวันหน้าเจ้าชายผู้นี้เป็นใหญ่แล้ว ราชบุตรเราก็ขึ้นครองราชย์ ข้าอยากรู้นักวาเขาจะเจรจากันเยี่ยงไร"

    พระองค์ทรงตรัสด้วยหารู้ไมวาทั้งสองได้เจรจากันจนนัดฟันกันในวันพรุงนี้แล้ว

    ...............................................................................................................................

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×