คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ณ จักรวรรดิไท เจ้าหญิงและเจ้าชาย
....บนจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหวงแห่งวัฏจักรหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปแล้วหลายกัปหลายกัลป์ ให้สรรพสัตว์หมุนเวียนเปลี่ยนเกิด ตามห้วงแห่งความไม่พ้นแห่งตน ไปตามวิสัยกรรมของแต่ละตน ช่วงเวลานั้น ได้ก่อเกิดมนุษย์ขึ้น ณ ที่ต่างๆ แตกแยกแตกต่างไปตามแต่ละท้องถิ่น แต่ก็หามีมนุษย์พวกไหนที่รู้ที่มาของตนที่แท้จริงด้วยว่าสัตว์ทั้งหลาย ต่างก็ว่ามีผู้สร้าง ต่างก็ตีความไปต่างๆนาๆ ต่างคนต่างเชื้อ ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างก็ก่อร่างสร้างอาณาจักรของตน ตามวิทยาการ ภูมิอากาศและ ตามความรู้ ตามความเชื่อต่างๆของคน เมื่ออารยธรรมต่างๆก่อเกิดขึ้น ความถือตนย่อมเกิดขึ้น ว่าด้วยตนนั้นจำเริญแล้วเหนือกว่าผู้อื่นกว่าพวกใด แลเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งและรบราฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ของตน เกิดสงครามไปทั่วจึงเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นกาลแห่งยุทธ ยุคแห่งการเข่นฆ่า ยุคแห่งสงคราม
เบื้องนั้นยุทธกาลล่วงไปแล้ว 573 พรรษา นรสุทโธ ตั้งตนเป็นเป็นจักรพรรดิ ณ กรุงรัตนะบดี เริงกฤษดานุภาพ แผ่ไปทั่วถิ่นสยามประเทศ ปกครองอุษาทวีป และเวิ้งแม่น้ำธาราวดี ทรงมีราชบุตรและธิดาสองพระองค์ ทั้งสอง นามว่า อุษามณี และ ราชบุตรมัลถุระ ราชบุตรทั้งสองเกิดอยู่ท่ามกลางยุคที่ไฟสงครามได้เบาบางลงตามกาลเวลา อยู่อย่างสงบสุขในราชวัง ราชบุตรทั้งสองจากทารกสู่วัยเด็กจนกระทั่งเติบใหญ่สู่วัยหนุ่มสาว
..
“เอาเลยพี่ท่าน!” เสียงสาวน้อยตะโกนที่ร้องดังกว่าเสียงเชียร์ของคนมากมายที่เข้ามารุมล้อม
“เปรี้ยง! โผง เผง โผงเผง” เสียงกระทบอันดังระหว่างท่อนไม้เนื้อแข็งและเหล็กกล้าสลับกันไปมา บุรุษทั้งสองต่างฟาดฟันกันไปมา ต่างปัดป้องและโต้ตอบกันไปมาด้วยเพลงทวนเพลงหอกของละคนที่ได้ร่ำเรียนมา “ผัวะ” เสียงส้นหอกกระทบเข้าข้างลำตัวจนทรุดกระเด็น
“โอ้ย ข้าพเจ้ายอมแล้วพะยะค่ะ” เสียงร้องกล่าวพร้อมกับดันตัวเองขึ้นจากพื้นหมอบก้มหัวลงทำความเคารพ
“อะไรกันท่านนายกอง พึ่งจะดวลกันไม่กี่เพลงเอง เหงื่อยังมิทันซึมเลยยอมแพ้ซะแล้วรึ” เสียงทักด้วยใบหน้าทะเล้นขี้เล่นเป็นกันเอง
“หากข้าพเจ้าคงดวลเพลงทวนกับพระองค์ต่อไปเห็นที คงจะไม่ได้แก่ตายเป็นแน่แท้ ” ผู้เป็นนายกองกราบทูล
“ฮ่าๆๆ ฮ่ะๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะอันดังลั่น ของหนุ่มผู้สูงศักดิ์ จนพระพักตร์แหงนขึ้นฟ้า แล้วหยุดชะงักและทันใดนั้นก็พุ่งพระพักตร์ลงมาอย่างรวดเร็ว ด้วยดวงตาดุดันเบิกกว้างราวกับว่าจะขู่เข่น มือจับเอว ยืนคอลงจ้องหน้าผู้เป็นนายกอง ก่อนกล่าวด้วยเสียงอันดุดัน
“ออกญาสีหนาถผู้นี้รึ แหกปากกล่าวร้องขอชีวิต” น้ำเสียงอันกระทบกระแทก
“ขุนศึกผู้อยู่แนวหน้าพุ่งเข้ารบกับพวกเตกีระแห่งกองทัพทะเลทรายอาหรับที่เข้ามาตีกุสินารา ด้วยกำลัง 1 ต่อ 4 จนพระเจ้าโมซาเล็มต้องขอหย่าศึกคนนี้รึกลัวตาย” ใบหน้าอันดุคลายลงก่อนที่จะยิ้มระรื่นแล้วหัวเราะดังลั่นอีกครั้งราวคนละคนอีกรอบ
“ฮ่าๆๆๆฮ่ะๆๆๆ ฮ่ะๆๆๆ ” คราวนี้ล้มตัวนอนกับพื้นราวกับเด็กเล็กไร้เดียงสาจนสาแก่ใจ โดยฝูงชนที่มามุงดูไม่กล้ากล่าวใด พากันเงียบหมด ก่อนจะลุกนั่ง
“หึหึหึ ขุนศึกเพชฌฆาตที่สังหารผู้คนมามากมาย ไม่รู้จักถอยหลังอย่างพี่ท่านนะรึกลัวตาย กลับมาเอ่ยคำปราชัยราวกับว่ากลัวตายแก่เรามัลถุระผู้ไม่เคยฆ่าใครผู้นี้รึ “ ก่อนจะมองหน้านายกองที่กำลังนั่งพนมมือเคารพ ด้วยใบหน้าจ้องมองคนของตน
“ท่านนายกองจะออมแรงของท่านเอาไว้ใช้สู้ศึกกับแม่พยอมเมียใหม่บนเรือนพลายพยูญรึ”
“ฮ่าๆๆๆ”
“สมรภูมิศึกที่ทุ่งกุสินารารึจะทำให้ท่านออกญาสะเทือนเท่าศึกบนเรือนพลายพยูญของท่านสีหนาถได้ ฮ่าๆๆ”
ด้วยนิสัยของเจ้าชายมัลถุระ นั้นอ่านใจได้ยากว่าจะมาไม้ไหนเป็นที่รู้แก่วงศ์ญาติและขุนนาง เป็นคนฉลาดและพูดตรง จริงใจ แต่มีนิสียเสียตรงนิสัยตามใจตนเอง ส่วนนายกองผู้นี้รู้ซึ่งใจของเจ้าชายดี ว่าคิดจะลองใจตนกลางฝูงชนดูจึงไม่กล่าวอะไร
“ฮ่ะๆ เอาละ ท่านออกญาอย่าได้โกรธข้าเลยนะ ข้าแค่หยอกเย้าท่านเล่นเพราะเห็นเป็นท่านเหมือนพี่เหมือนน้า คำกล่าววาจาของข้านี้หาสาระไม่ได้ ข้าขอโทษท่านก็แล้วกัน”
“หากข้านี้คิดโกรธแค้นพระองค์ ข้าพเจ้ายอมเอามีดควักหัวใจทิ้งเสียยังดีกว่า อันวาจาของท่านราชบุตรถือเป็นมงคลต่อชีวิตข้าพเจ้ายิ่งนัก ที่ได้กล่าวตักเตือนของข้าพเจ้า ที่เห็นกิจบ้านเมืองน้อยลงเพราะอิสตรี หากมิจริงแล้วไซร้จะเป็นที่กังขาของผู้คนจนทำให้ท่านราชบุตรต้องได้อับอายเสื่อมเกียรติยศที่อุตสาห์ตักเตือนข้าพเจ้าคนถ่อยผู้นี้” ขุนศึกหนุ่มก้มลงกราบทูลราชบุตรมัลถุระเพื่อให้พระองค์ไม่เสื่อมพระเกียรติด้วยความภักดี
“เอาละ เอาละ อย่าต่อความให้ยืดยาวเลย ข้ารู้ว่าท่านจะรีบไปราชกิจของพระบิดา ข้าเองก็หยอกกล่าวท่านแรงเกินไปนัก ข้าขอโทษท่านละกัน อย่าปฏิเสธคำขอโทษข้าซะละ ไม่งั้นข้าคงจะละอายใจตัวเองนัก ที่ได้ล่วงเกินท่านและแม่พะยอม ให้ท่านได้หนักใจเช่นนี้” ทั้งสองต่างก็รักษาน้ำใจของกันและกัน จึงไม่ต้องเป็นที่สงสัยเลยว่าทำไมออกญาหนุ่มผู้นี้ถึงมีใจภักดีต่อเจ้าชายน้อยของตน
“พี่ท่าน” สาวน้อยหน้าตางามผ่องใสบอกถึงชาติตระกูลว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ วิ่งมาควงแขนเจ้าชายมัลถุระ
“อะไรกัน จันทร์ฉาย”เจ้าชายตกใจ “ข้ากำลังเจรจากับท่านนายกองเมงโยอยู่ ไม่เห็นรึ” เจ้าชายร้องเอ็ดใส่หญิงสาววัยย่างเข้าสิบห้าผู้เป็นน้อง ซึ่งเป็นพระธิดาของพระเจ้าอัญชระผู้เป็นอา
“ก็พระเจ้าป้า พระมารดาของท่านนะสิเรียกท่านให้เข้าเฝ้า อย่าช้าอยู่เลยรีบไปเถอะเดียวจะได้พาข้าไปเที่ยวเดินดูตลาดที่ท่าเรือที ข้าได้ข่าวว่ามีพ่อค้าชาวอาหรับเอาผ้าแพรมามากข้าอยากไปดูเร็วๆ” สักกะยะจับแขนนางออกแล้วเอ็ดใส่
“ดูซิ ไม่สนใจท่านนายกองเลย ประเดี๋ยวท่านก็น้อยใจแย่ เจ้าก็หัดเรียนรู้มารยาทเสีย โตจนเนื้อสาวแตกแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กไปได้” เจ้าชายกล่าว
“หามิได้พะยพค่ะ พระประสงค์ของพระธิดาเจ้าอัญชระ ย่อมสำคัญชีวิตกว่าข้าพเจ้า” ออกญากล่าว ราวกับว่าจะยกยอแต่แท้จริงก็เพื่อรักษาหน้าพระธิดาน้อยไว้
“ข้าพเจ้าขอกราบทูลลาพะยะค่ะ”พร้อมกับก้มหน้าทำความเคารพแล้วเดินจากไปเพื่อไม่เป็นการรบกวนแก่พี่น้องญาติวงศ์ทั้งสอง
“ดูสิ ท่านนายกองเมงโยไปซะแล้ว” สักกะยะกล่าวด้วยอาการไม่พอใจพอสมควร
“ปล่อยข้าได้แล้ว”เจ้าชายดุพร้อมจับมือสาวน้อยออกจากอ้อมแขน
“ไม่! ข้าอยากเล่นกับพี่นี้นา ให้แต่ถักร้อยพวงมาลัยอยู่นั้นแหละ ใจจริงท่านพ่อข้าจะให้ข้าร้อยไปขายให้พวกแขกรึไงกัน” สาวน้อยผู้ไม่ยอมแพ้โต้ตอบด้วยวาจาอันอาจหาญเกินวัยด้วยน้อยใจในพี่ชายผู้เป็นญาติของตนนิดๆ
“ฮ่าๆๆ เจ้านี้มันเอานิสัยถ่อยเยี่ยงข้ารึ ไปอยู่กับอุษามณีให้สมหญิงซะ แล้วหัดเรียนรู้มารยาทเอาเยี่ยงอย่างอุษามณีผู้เป็นที่รักของคนทั้งวังเสีย ก่อนที่จะเสียคน เป็นที่ชังของคนทั้งวัง แล้วมาโทษข้า รู้ไหม”
เจ้าชายตอบอย่างอย่างเอ็นดู
“เป็นสาวเป็นนางมาจับกายชายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้รึมันผิด”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่” จันทร์ฉายกล่าวโต้แบบสาวน้อย
“ข้านี้สิไม่เป็นไร แต่เจ้าสิเป็น เจ้าเองนั้นโตเป็นสาวเข้าระดูแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กไร้เดียงสาไม่มีผิด ประเดียวเขาก็เอาไปติฉินนินทาให้เป็นที่สนุกปากเสีย”ราชบุตรกล่าวตักเตือน
“เห้อ หนักใจจริงแท้”เจ้าชายบ่น ก่อนจะหัดมามองน้องสาว
“ เจ้าก็ย่างเข้าสิบห้าขวบขวบปีแล้วสินะ หึหึ” มัลถุระหัวเราะอย่างมีเลศนัย
“ข้าว่า เจ้าลองหาผัวเป็นตัวเป็นตนดูซี่ รับรองเจ้าจะไม่มาเกาะข้าอีกเลยเป็นแน่แท้ แล้วเจ้าเองก็จะติดใจที่เกาะใหม่ของเจ้าเช่นกัน ฮ่าๆๆ”
เจ้าชายเดินหนีพรางหัวเราะไป “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ “
“พี่ท่าน!” หญิงสาวตะโกนไล่หลังด้วยความโกรธปนอายจนแทบทรุดลงแผ่นดิน
ผู้คนที่พากันมามุงดูต่างแย่งย้ายกันไปตามกิจของแต่ละคน ยามเช้า นครอันกว้างใหญ่ไปด้วย วัดวาของสมณะชีพราหมณ์ต่างๆ บ้านเรือนอันมีสายน้ำล้อมรอบ นครอันกว้างวิจิตรประดับด้วยสีทอง ของเมืองใหญ่บ่งบอกถึงความเจริญยิ่งใหญ่ไพศาล ด้วยวิทยาการต่างๆ ผู้คนมากมายสัญจรไปมา พ่อค้ามาหลาย นครแห่งจักรพรรดิ จักรวรรดิแห่งสยามประเทศ มหานครรัตนะบดี เมืองที่งดงามราวอัญมณีของอินทรเทพ
..........................................................................................................................................................................................................................
ณ ตำนักพระมเหสีนันทา
“ท่านแม่ ท่านแม่” เสียงราชบุตรหนุ่มวิ่งตะโกนกระโจนเข้ามา
“มัลถุระ” เสียงพระมเหสีนันทา ผู้นั่งรอที่พระแท่นนั่งของพระองค์โดยมีนางในรับใช้สองคนคอยพัด
“แม่ได้ยินว่า เจ้าไปเที่ยวเล่น คบค้ากับเหล่าไพร่ จัณฑาล จริงหรือไม่”
“ไม่ใช่เพราะเหล่าไพร่ฟ้า แลจัณฑาล หรอกรึท่านแม่ ที่ล้มตายเพื่อคอยค้ำรักษาเศวตฉัตรของอนินทกะของเราไว้จนได้เสวยสุขจนทุกวันนี้”
“หยุดนะ” พระมเหสีดุบุตรของตน “หากเจ้ายังทำตัวอย่างนี้ แล้วทูลกระหม่อมรู้เข้า ท่านจะตำหนิเอาว่าเจ้านั้นเป็นคนถ่อย ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี และข้าก็จะลงโทษเจ้า”
ราชบุตรนั่งลงกับพื้นก่อนจะดีดตัวขึ้น จ้องมายังพระมารดาด้วยสายตาเฉยชา
“ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ ทำอย่างนี้ก็ไม่ดี ไม่ได้! ไม่ดี!” ราชบุตรตะโกนร้องลั่นพร้อมกระทืบเท้าแล้วชี้ไปที่หน้าของนางในทั้งสองด้วยว่าคงเป็นคนมาบอกกล่าวพระมารดาตน “มัลถุระ” พระมารดาร้องห้าม
“ไปสำนักปัญจากุดีกว่า อยู่ที่นี้ไม่เห็นมีอะไรไรดีสักอย่าง ไปอยู่ป่ายังดีกว่าซะอีก ไปวัดปัญจากุจะดีกว่า!” เจ้าชายร้องตะโดนลั่นก่อนจะวิ่งหนีอย่างไม่สนใจใยดีเหมือนเด็กเล็กเอาแต่ใจ พระมารดาเองก็ได้เพียงส่ายหัวไปมาเท่านั้น
ที่ท่าเรือใหญ่ อันเป็นสำนักของวัดฤๅษีผู้มากด้วยวิชาคนหนึ่งเป็นที่เคารพบูชาแก่คนทั้งกรุงรัตนะซึ่งเป็นอาจารย์ของราชบุตรมัลถุระ และที่นั้นเอง ยังมีเจ้าชายเมืองอยู่เมืองหนึ่งซึ่งเป็นเมืองเล็กๆหาความสำคัญไม่ผู้หนึ่งและมี พระฤาษีผู้นี้นั้นเป็นผู้รอบรู้ศาสตร์แขยงต่างๆ หาผู้ใดเสมอเสมือน ได้ให้สัตย์แก่กษัตริย์กรุงรัตนะว่าจะถ่ายทอดวิชาของตนให้แก่ราชบุตรของพระองค์ ทั้งการปกครอง เพลงดาบ ทวน ธนู พิชัยสงคราม พิชัยยุทธ์ต่างๆ หาได้รับคนอื่นเป็นศิษย์ไม่ มีเพียงผู้เดียวที่พระอาจารย์ผู้นี้ยอมรับ คือ เจ้าชายหนุ่มรูปงามซึ่งมีอายุมากกว่ามัลถุระถึง สามพรรษา อันลักษณะดูองอาจ สง่างามรัก ร่างสันทัดสมชายชาตรี แววตาอันกล้าหาญ แต่ใบหน้ากลับดูมีเมตตาไม่น้อยเมตตา เจ้าชายเมืองน้อยที่ไม่มีความสำคัญนัก เจ้าชาย กุสิยะ แห่งเมืองตองเจธานี
“พี่ท่านคิดถึงจังเลย มะ ขอกอดทีหนึ่ง อื้อ ฮึๆๆๆ” มัลถุระวิ่งเข้าไปสวมกอดสักกะยะที่ตนนับถือเหมือนพี่ชายตนด้วยอาการดีใจ
“มัลถุระท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้”
“โอยพี่ท่าน”มัลถุระตัดพ้อ “อยู่กันตามลำพังเช่นนี้อย่าได้ถือยศศักดิ์ให้หนักมือเลยพี่ท่าน มะเราไปชมตลาดที่ท่าเรือให้สำราญตาเล่นกันดีกว่า จันทร์ฉายน้องเราปานนี้มิงอนกลับซะก่อน นานๆทีจะได้ไปเที่ยวกัน ไปนะพี่ท่าน” เจ้าชายมัลถุระออดอ้อนเกาะแขนยิ่งกว่าจันทร์ฉายที่ชอบเกาะแขนตน
“อ๋อเกือบลืมไป แล้วพระอาจารย์ไปไหนเสียละ”มัลถุระกล่าวก่อนชะเง้อหัวมองเข้าไปในวัด
“ท่านอาจารย์ไปธุระในเมือง มัลถุระน้องเราประสงค์อันใดรึ”
“ปล่าวหรอกพี่ท่านแค่ไม่ได้พบท่านอาจารย์เสียนาน มันนึกถึงเหลือใจ” มัลถุระกล่าว “ไปเถอะพี่ท่าน พระอาจารย์ไม่อยู่เช่นนี้ เป็นโอกาสดีนัก ไปๆๆๆ” ราชบุตรดึงมือกุสิยะราวกับ ม้าลากรถฝึกก็มิปาน
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังตลาดริมท่าเรืออันเป็นที่ค้าขายสิ่งของจากอาณาจักรต่างๆ ท่ามกลางเหล่าไพร่ฟ้าของพระองค์ที่ไม่รู้ว่าพระองค์คือเจ้าชายผู้เป็นกษัตริย์ของตนในภายภาคหน้า
....................................................................................................................................................................................................
ความคิดเห็น