คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เหตุเกิด ณ ความต่างที่ 35 เซ็นต์
ตอนที่ 1: เหตุเกิด ณ ความต่างที่ 35 เซ็นต์
ใครบ้างจะเชื่อว่ารักแรกพบน่ะมีจริง สำหรับฉันรักแรกพบเป็นคำนิยามเกี่ยวกับความรักที่เห่ยที่สุดเท่าที่ผู้หญิงจะสรรหาออกมาได้ เพราะมันเป็นรักแบบที่ไร้เหตุผลมากที่สุดชนิดหนึ่ง และฉันไม่เคยคิดเลยว่า
ไอ้รักบ้าๆ บอๆ แบบที่ว่านี้ มันจะเกิดกับฉัน!!
วันที่ฉันโดนกามเทพพิเรนทร์ๆ แผลงศรเข้าให้ ได้ประทับอยู่ในความทรงจำฉันแนบแน่นยิ่งกว่าชะโลมด้วยกาวตราช้าง ผนวกกับวันนั้นก็มันเป็นวันแรกที่ฉันได้ก้าวเข้ามาในคณะเล็กๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย ในฐานะนิสิตอย่างเต็มภาคภูมิ ใครๆ เขาก็เรียกวันนี้ ว่า “วันแรกพบ” เพราะเป็นวันแรกที่รุ่นพี่จะนัดรุ่นน้องมาพบปะสังสรรค์กลั่นแกล้งกันตามสนุก ฉันก็เลยเรียกวันนี้ว่าวันแรกพบเหมือนกัน เพียงแต่เหตุผลของฉัน คือมันเป็นวันแรกที่ฉันได้พบกับเขา..
วันนั้น ฉันนัดกับเพื่อนที่ไล่เปิดกระโปรงกันมาตั้งแต่สมัยอยู่มัธยม จนตอนนี้มันก็ยังจองล้างจองผลาญฉัน มาติดคณะเดียวกันซะอีก มันชื่อ “หญิง”
อารามว่ามาสายไปสักครึ่งชั่วโมงได้ ตอนฉันพยายามรีบก้าวยาวๆ ตามทางเดินหน้าคณะ จึงต้องก้มหน้างุดๆ ควานหาโทรศัพท์มือถือที่ทั้งสั่นทั้งดังประท้วงการเลทของฉันอยู่ในกระเป๋ารกๆ
“โอ้ย รู้แล้วๆ อยู่ไหนเนี่ย” ฉันบ่นงึมงำ แต่ด้วยความที่กระเป๋าฉันมันรกจนถึงที่สุด ทำให้ฉันหามันไม่เจอซะที ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ลองจินตนาการถึงกระเป๋าใบเขื่องกับผู้หญิงตัวกระติ้ดที่แทบมุดเข้าไปคุ้ยหามือถือในนั้น
ฉันเริ่มหมดความพยายาม เลยเงยหน้าหวังจะมองหายัยหญิง ที่คงยืนเคว้งหน้าหงิกจิกโทรศัพท์หาฉันยิกอยู่ตรงไหนสักแห่งในตัวตึก แล้วเหตุการณ์ที่ประทับติดอยู่ในหัวใจฉันที่สุดก็เกิดขึ้น ณ ที่นั่น...
“พลั่ก!!”
โอ้ยยยย เสาอะไรมาตั้งแหมะไว้ตรงนี้เนี่ย ดั้งแทบหัก ฉันคลำจมูกป้อยๆ ส่วนกระเป๋าฉันน่ะเหรอ ตกปุ้กไปอยู่แทบเท้าเรียบร้อยแล้ว... แล้วเสาต้นที่ฉันชนเมื่อกี้ก็หยิบมันขึ้นมา.. เอ๋ เสาเหรอ ไม่ใช่สิ เป็นผู้ชาย ผู้ชายตัวเป็นๆเลย ผู้ชายที่สูงมากด้วย ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้ กรี๊ดดดๆๆ โรงเรียนสตรีที่ฉันใช้ชีวิตมาจำนวน 6 ปีเต็ม ไม่ได้ฉีดภูมิต้านทานมนุษย์เพศชายไว้ให้กับฉันเสียด้วยสิ TOT
“เดินดูทางด้วยสิน้อง” มนุษย์เพศชายร่างสูงนั่น พูดกับฉันในระยะที่ห่างกันไม่ถึงคืบ ฉันมองแผ่นอกที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อเชิ้ตนิสิตอย่างตะลึงงัน ฉันไม่ได้ทะลึ่งนะ ก็นั่นมันอยู่ในระดับสายตาฉันนี่...แผ่นอกขาวๆ ไล่มาที่แขนยาวๆ มือใหญ่โตและนิ้วเรียวที่กุมกระเป๋าของฉันอยู่ โอย ง่อยยๆๆ ฉันจะเป็นลมอยู่แล้วใครก็ได้ช่วยที >_< ฉันเอื้อมมือที่สั่นระริก ไปคว้ากระเป๋าของฉันคืน
“ตัวเตี้ย เท่ากระเปี๊ยกแค่นี้ เดี๋ยวกระดูกกระเดี้ยวได้หักหมด” อ้าว เฮ้ย กลัวก็กลัวอยู่หรอกนะ แต่มาว่าฉันตัวเตี้ยอย่างนี้ได้ไง นี่ คำว่า เตี้ย เนี่ย เป็นข้อถือสาของฉันเลยนะ ฮึ่มๆ และที่สำคัญ ฉันตัวเล็กระดับปกติ แต่นายน่ะสูงผิดปกติตะหาก!
ฉันช้อนตามองด้วยความเคืองปนเกรง จนเขาค้อมตัวลมมามอง คิ้วเขาขมวดเล็กน้อย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาคิดอะไรอยู่ตอนนั้น แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาชัดๆ .... นี่ ฉันไม่ได้เวอร์นะ แต่ใจฉันนี่อย่างกับจะหยุดเต้นเลย
ก็ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ น่ารักบรรลัยเลยอ่ะ ^0^ ฉันอ้าปากค้างมองเขาอย่างทึ่งสุดๆ เขาสะบัดผมที่ตกลงมาปรกแว่นตาและใบหน้าตัวเองนิดนึงก่อนจะออกปากกับฉันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“ขอโทษ เจ็บเหรอ” คงตีความจากสีหน้าเหวอๆ ของฉันผิดไปนั่นแหละ พอเขาพูดจบ เขาถอยออกไปก้าวหนึ่ง คงเพราะระยะประชิดเมื่อกี้ เขามองตัวขนาด 153 เซ็นต์ฉันไม่ถนัดมั้ง ...
“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ” ฉันตอบไปเอ๋อๆ ...อี้ ทำไมเสียงฉันวันนี้มันน่าเกลียดอย่างนี้นะ น่าแค้นใจจริงเชียว
“ดีแล้ว งั้นพี่ไปก่อนนะ” เขาพูดจบก็เดินจากไป ...ในใจฉันได้แต่ร้องลั่น เพราะฉันยังไม่ทันได้ถามชื่อเขาเลยน่ะสิ !?! ฉันอยากจะออกปากเรียกเขาไว้ แต่กลับทำได้เพียงมองเขาเดินไปเหม่อๆ เท่านั้น
“เฮ้ยยย แกๆใครอ่ะ” ยัยหญิงที่เพิ่งเห็นหลังพี่โอมจากไปไวๆ รีบวิ่งเข้ามาเขย่าแขนฉัน ฉันถึงหุบปากกันแมลงวันที่เกือบบินรอดเข้าไปในปากเหวอของฉันได้อย่างหวุดหวิด
“ไม่รู้ ฉันก็เจอเค้าตะกี้น่ะแหละ” ฉันหันไปตอบหญิง แล้วจึงหันไปทางที่พี่คนนั้นเดินลับสายตาไป
”น่ารักโคตรๆ อ่า”
“เวรล่ะ แกนี่ชอบคนเดียวกับฉันอีกแล้วเหรอ” อีกแล้วเหรอของฉันนี่ คือคำแสดงอาการบ่อยมากที่หญิงกับฉันจะไปถูกอกถูกใจหนุ่มคนเดียวกัน แต่เราไม่ทะเลาะกันหรอก เพราะ... เรามักจะพากันแห้วทั้งคู่ -_-
“หา แกชอบคนนี้เนี่ยนะ” หญิงทำตาโต จนดูเหมือนตัวตลกญี่ปุ่น ถ้ามันทาปากแดงตรงกลางริมฝีปากอีกนิด...และตัว ขาว อีกสักหน่อยนะ จะใช่เลย
“ทำไมฉันจะชอบไม่ได้ น่ารักจะตาย”
“คือไม่ใช่เค้าไม่น่ารักเฟ้ย แต่แกอ่ะ เตี้ย”
“อ้าย แกนี่ ฉันไม่ชอบให้ใครด่าว่าเตี้ยแกก็รู้อยู่” ฉันโวยวาย ง๊องแง๊ง ปรายตามองหญิงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่ให้บอกว่าเตี้ยแล้วจะให้บอกว่าไง” หญิงหัวเราะร่วน
“เออๆ แล้วแกสูงนักนี่” อย่าให้เม้าท์เลย หญิง เพื่อนฉันมันก็สูงพอๆ กะฉันน่ะแหละ ฉันแกล้งหรี่ตามองยัยหญิงอย่างปรามาส หญิงเป็นสาวนครสวรรค์ตากลมโต จะว่าสวยก็ไม่ใช่ อัปลักษณ์ก็ไม่เชิง แต่มันเด่น เด่นจริงๆ ด้วยผมทรง Jennifer Aniston ที่มันแสนจะภูมิใจนักหนา (แต่ฉันว่างั้นๆน่ะ)
“สูงกว่าแกแหละ” หญิงเถียงกลับมา หึ สูงแค่ 155 มาว่าฉันเตี้ย...น่าสรรเสริญเหลือเกิน เพื่อนฉัน
”เออ ไอ้สูง ฉันเตี้ย แต่แกช่วยเรียกว่าตัวเล็กได้มั้ย แกนี่นะ ไม่ได้รักษาน้ำใจเพื่อนเล้ยยย”
ฉันกับหญิงหัวเราะกันคิกคักเถียงกันไปเถียงมาอยู่พักนึง ก็พากันไปลงทะเบียนน้องใหม่ แล้วจึงไปรวมกลุ่มกับ “ว่าที่” เพื่อน ที่ยืนออๆ กันอยู่ใต้โถงคณะ ...สภาพใต้คณะตอนที่เรายืนกันอยู่ ...ถูกจัดให้เป็นลานโล่งขนาดใหญ่ ส่วนโต๊ะเก้าอี้ที่ก่อนหน้านี้มันคงถูกจัดเป็นสัดเป็นส่วนอยู่ตามลานนี้ ถูกจับไปสุมกองไว้อยู่ด้านหนึ่ง เหล่าเด็กปีหนึ่งที่ยังไม่ค่อยรู้อิโหน่อิเหน่นัก ยืนแบ่งกลุ่มเม้าท์กันสุดแต่ใครจะอยู่โรงเรียนอะไร ฉันกับหญิงเลยยืนเม้าท์กันอยู่สองคน...
“ลมเพ ลมพัด โบกสะบัดพัดมาไวๆ ลมเพ ลมพัด โบกสะบัดพัดมาไวๆ ลมเพ ลมพัดอะไร ลมเพ ลมพัดอะไร ฉันจะบอกให้พัดเป็น ..แถวตอน 4 ตอน ตามสีคร้าบบ”
ฉันกับหญิงมองหาต้นเสียงเพลงประหลาดที่อยู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา ...แล้วจึงไปป๊ะกับชายร่างเล็กหน้าขาวผ่อง ที่คงกลัวจะไม่เด่นถึงต้องไปยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ถือโทรโข่ง อยู่บนโต๊ะที่ถูกสุมกองไว้
“อ้าว น้องๆ ครับ จัดแถวก่อนเลยครับ ตามสีตามที่ลงทะเบียนไว้นะครับ สีแดงอยู่ซ้ายสุดของมือพี่ แล้วก็เป็นสีฟ้า เหลือง ชมพูไล่มาครับ” ตาพี่คนเดิมกล่าวต่อ บรรดาน้องใหม่ที่ยังคงงงๆกันอยู่ ก็เดินไปมาขวักไขว่จัดแถวกันอย่างว่าง่าย รวมทั้ง ฉันและหญิงด้วย อืม..ถึงเราจะไม่ได้อยู่สีเดียวกันก็เถอะ
“แกอยู่สีไหนอ่ะ” หญิงว่า
“สีชมพู”
“ฉันสีฟ้าง่ะ”
หญิงโบกมือให้ฉันแล้วถึงเดินไปเข้าแถวของมัน.. ฉันโบกมือตอบ ทั้งๆ ที่คิดอยู่ในใจว่าจะโบกกันหาพระแสงอะไรหญิงมักจะทำอะไรน้ำเน่าแปลกๆ แบบนี้อยู่เสมอ ซึ่งฉันก็มักจะตามน้ำทำไปกับมันด้วย...แหม ก็กลัวมันเสียน้ำใจนี่
“ก่อนอื่น พี่ขอเป็นตัวแทนกล่าวต้อนรับน้องๆ เข้าสู่คณะเล็กๆ ที่แสนจะอบอุ่นนี่นะครับ...” รุ่นพี่คนนั้นว่าต่อ ฉันถึงสังเกตว่าน้ำเสียงเขา เอ่อ ไม่แมนชัวร์ ฉันหันไปสบตากับหญิงยิ้มๆ และรู้ว่ามันก็คงคิดเหมือนฉันเช่นกันแล้วจึงเริ่มกวาดตามองเหล่าบรรดารุ่นพี่ที่ห้อมล้อมกลุ่มรุ่นน้องที่มีประมาณร้อยกว่าคนโดยรอบ
คิดว่าฉันหาอะไรอยู่ล่ะ ก็ต้องเป็นพี่โย่งคนนั้นอยู่แล้ว (ตอนนี้ ฉันขอเรียกพี่โย่งไปก่อนนะ ก็มันยังไม่รู้จักชื่อนิ) ฉันถอนใจเซ็งเพราะหาไม่เจอ มองไปทางหญิงก็เห็นมันชะเง้อมองหาอะไรอยู่ก็คงเป็นพี่โย่งแหละ พักนึงก็หันมาสบตากับฉัน และส่ายหัวหงึกหงัก แปลว่าไม่เจอเหมือนกัน
สงสัยจะไม่ใช่รุ่นพี่คณะนี้มั้ง ...โอย หดหู่ชะมัด คิดได้แค่นี้ฉันก็แทบหูรี่ คอตก ก็แหม ทำไมรักแรกของฉันถึงมีวี่แววคุดกุดซะขนาดนี้เนี่ย >_<
“เอาล่ะนะ เดี๋ยวพี่ขอแนะนำพี่ๆ ที่จะคอยช่วยดูแลน้องๆ ในวันนี้นะคับ เริ่มจากสีแดง ..พี่อ้อยกับพี่เคน...” จบประโยค รุ่นพี่ชายหญิงคู่หนึ่งก็ออกมาโค้งหลังแล้ววาดลีลาเต้นยึกยืออย่างคึกจัด พอฉันได้ยินเสียงปรบมือนำจากคนรอบข้างก็ปรบมือตามไปเปาะแปะอย่างไร้อารมณ์ โธ่ ก็คณะนี้ดูไม่มีอะไรน่าพิศมัยอีกแล้วนี่นา (ถึงพี่คนอื่นอาจจะหล่ออีกตู้ม แต่อานุภาพรักพี่โย่งของฉันนี่เกินบรรยาย จริงๆ)
กว่าจะแนะนำครบทุกสี พี่ไม่แมน ที่ฉันเพิ่งมารู้ที่หลังว่า ชื่อ โก้ ก็จับพวกน้องๆ มาเต้นปานไส้เดือนถูกขี้เถ้า ตามรุ่นพี่ (ซึ่งเป็นไส้เดือนรุ่นแม่ เพราะอาการดิ้นแรงกว่า) ด้วยเพลงสันทนาการนานาพันธ์ แต่เพลงที่ดูจะเป็นที่โปรดปรานของแม่ไส้เดือนทั้งหลายดูจะไม่พ้นเพลงไก่ 3 ชั้น (พัฒนามาจากหมู 3 ชั้น) ที่นับๆดูแล้ว ฉันเต้นแฮ่กๆ ไปไม่ต่ำกว่า 5 รอบ ...คืนนี้ฉันคงขันได้แน่ๆ
"ไก่ที่บ้านฉันมันขันได้ไพเราะดี โก่งคอร้องขันดังเสียงลั่นธรณี เอกเอ่กอี้เอกเอ่กเอกเอ้กอี โอ่กโอ้กอี้โอ่กโอ้กอี้โอ่กโอกโอ้กอี้.....ไก่แจ้ตายแล้ว ไก่แจ้ตายแล้ว มันจะไม่ขันอีกๆ ค่อกค่อกค่อกคอดี้ค่อกค้อกดี้ค้อกค้อด้าๆ ไก่ย่างถูกเผาๆ มันจะถูกไม้เสียบๆ เสียบตูดซ้าย เสียตูดขวา ร้อนจริงๆๆ"
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเพลงไก่มันตามหลอกหลอนฉันอยู่แม้ตอนกินข้าวกลางวัน...ฉันล่ะสงสัยเหลือเกินว่าในเมื่อพี่ๆ เขาพิศวาสไก่ซะ 3 ชั้นขนาดนั้น แล้วทำไมไม่ให้เรากินข้าวมันไก่กันไปซะเลย -_-
ในที่สุดภาคบ่าย รุ่นพี่ก็ปล่อยพวกเราไปเล่นเกมตามฐาน... มันก็เหมือนวอล์คแรลลี่อ่ะแหละ เดินวนรอบมหาวิทยาลัย เข้าฐาน แล้วก็แข่งกันเก็บแต้ม
ตั้งแต่เช้ายันบ่าย ฉันกระทำการพาหน้าเหม็นเบื่อของตัวเองไปทำความรู้จักกับเพื่อนในสีได้อยู่แค่คนสองคน ซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งคู่ (บอกแล้วว่าฉันเกรงผู้ชาย) คนหนึ่ง ชื่อ เจี๊ยบ เป็นสาวหมวยตาโตจากสายน้ำผึ้ง ซึ่งฉันว่าคนเนี้ยควรจะแบ่งความแมนให้พี่โก้แกสักหน่อย เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ดันแมนมาก
ส่วนเพื่อนใหม่ของฉันอีกคนชื่อ ตั๊ก เป็นเด็กจากมหิดลวิทยานุสรณ์ แต่อย่าว่าฉันเป็นเพื่อนที่ไม่ดีเลยนะ ความจริงฉันไม่ค่อยอยากคบกับแม่สาวงามบ้านโป่งคนนี้เลยอ่ะ เพราะอะไรน่ะหรอ ก็..ตั๊กมันสูงไง เฮ้อ.. เซ็งหนัก
ฉันลากสังขารไปทัวร์จุฬาตั้งแต่บ่ายโมงกว่า นี่ก็ 5 โมงไปแล้ว ฉันได้บ่นอยู่ในใจว่าเมื่อไหร่มันจะจบจะสิ้นกันเสียที เดินบ่นกับเพื่อนใหม่ทั้งสองคนอยู่อีกสักพัก พี่ประจำสีของฉันก็พามาหยุดอยู่ที่ใต้ตึกแห่งหนึ่ง ฉันล่ะอุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะได้พัก แต่ไม่เท่าไหร่ ....พี่โก้ แกก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมหน้าที่นวลผ่องกว่าเดิมด้วยแป้งเด็กประเป็นหย่อมๆ เหมือนกับหน้าฉันที่โดนโปะอยู่เต็มไปหมด
“พี่รวมคะแนนแล้วนะครับ สีแดงเป็นฝ่ายชนะ” สีแดงปรบมือดังก้องขึ้นมา แต่ฉันเหนื่อยจนขี้เกียจจะปรบมือตามไปด้วย ถึงจะเป็นมารยาทที่จะต้องตบให้สีเขาก็เถอะ
ความจริงแล้วไอ้วอล์คแรลลี่กับคะแนนรวมบ้านี่มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ฉันก็แค่อยากให้เธอรู้ว่าฉันเหนื่อยหนักแค่ไหนในวันนั้น
ก่อนที่รุ่นน้องอย่างพวกฉันจะถูกจับปิดตาด้วยผ้าดำสนิท แล้วเพื่อนร่วมรุ่นของฉันแต่ละคนโดนคว้าตัวลุกไปไหนก็ไม่รู้ทีละคนสองคน บ้างก็ไปเป็นขบวน ฉันภาวนาให้ตัวเองไปอยู่กลางขบวนไหนซักขบวนหนึ่ง ก็ไปกะเพื่อนมันอุ่นใจกว่านี่...^^
“ลุกครับ” เอ่อ คำภาวนาของฉันไม่เป็นผล T-T
โดนเดี่ยวเลยแฮะ ฉันชักหน้าเสีย จะโดนแกล้งอะไรบ้างก็ไม่รู้ ทำไมซวยอย่างงี้เนี่ย -_-'
เสียงห้วนๆ นั่นพร้อมกับมือใหญ่ที่คว้าตัวฉันลุกขึ้น ว่าแต่คุณพี่คนนี้เป็นใครกันเนี่ย เสียงคุ้นๆ นะ อืมมม .. อย่าหาว่าเพ้อเลยนะแต่.... ฉันว่านี่มันเสียง คุณพี่โย่ง ของฉันนี่
ฉันรีบลุกขึ้นตามคำสั่งไร้การอิดออด ...
“นี่ น้อง ...” ฉันแอบรู้สึกว่าเขาชะงักนิดนึง ฉันขอตู่เอาว่าพี่โย่งจำฉันได้แล้วกันนะ ^_^ แต่ เฮ้ย!!!!! ตอนนี้หน้าฉันต้องโทรมสุดๆ แน่เลย ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันตะลอนเล่นเกมเหงื่อซกมา 4 ชั่วโมงติดแล้วอ่ะ เอ่อ ...ขอเวลาโบ๊ะแป้งก่อนได้มั้ยคะ ฉันได้แต่คิดในใจแต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ T^T
“เดินตามมาครับ”
"พี่จะพาไปไหนคะ” ฉันถามใจเต้นตึกตัก ..แหม ก็เขาจับแขนฉันอยู่นะ เขาจับแขนฉันนนน >O<
“...” ไม่มีเสียงตอบ
“พี่ชื่ออะไรอ่ะคะ” ไม่เป็นไร ไม่ได้อยากรู้นักหรอก พี่โย่งพาไปไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ หึหึ
“ไม่บอกครับ”
“ง่ะ ทำไมอ่ะ”
“เดินตามมาเถอะน่า” ก็ใช่สิ จะไม่ให้ตามไปดีๆ แล้วฉันจะไปไหนได้ล่ะ ก็มาผูกตาไว้นี่ ... เอ ฉันจะแอบเอาผ้าผูกตาออกได้มั้ยน้า อยากเห็นหน้าจัง จะดูว่าตกลงใช่พี่โย่งของฉันรึป่าว ฉันยกมือข้างหนึ่งมาจะเลิกผ้าผูกตาออก
“อย่าขี้โกงครับ” พี่โย่งไวกว่า คว้ามือฉันไว้ได้ทัน อ่ะ!! ฉันว่าเป็นพี่โย่งของฉันจริงๆอ่ะแหละ ฉันจำกลิ่นน้ำหอมได้ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าชื่อกลิ่นอะไร แต่กลิ่นนี้เลย ใช่แน่ๆ ฉันอมยิ้มอย่างพอใจ
“ยิ้มอะไร นี่เห็นรึป่าวเนี่ย”
“ไม่เห็น” ...แต่ได้กลิ่น
"นี่กี่นิ้ว"
"ก็บอกว่าไม่เห็นไง"
"จริงอ่ะ"
"ไม่จริงมั้ง"
"เฮ้ย เห็นแน่เลย" พี่โย่งพยายามดึงผ้าปิดตาของฉันให้ดูมิดชิดกว่าเดิม บ๊ะ ก็บอกว่าไม่เห็นไงฟะ
"กวางๆ เอามาอีกผืนสิ" พี่โย่งเรียกตัวช่วย
"หา ไม่เอาแล้วบอกว่าไม่เห็นแล้วไง"
"กันไว้ก่อน" พี่โย่งจัดการผูกตาฉันอีกชั้นหนึ่ง...เฮ้อ มืดสนิท...แล้วเขาก็จูงฉันเดินต่อ โดยบอกอุปสรรคระหว่างทางมาเป็นระยะๆ
“อ่ะ ลอดใต้นี้ ตรงนี้เป็นกำแพงทางลัด” พี่โย่งสั่งการ หวังจะแกล้งฉันแหละ แต่ เหอๆ ฉันไม่เชื่อหรอก ความจริงไม่มีอะไรแล้วหลอกให้ก้มๆ เงยๆ เล่นใช่มั้ย ฉันดื้ออยู่ในใจแล้วเดินดุ่มไป
“โอ้ยย”
กรี้ดๆ ดูสิ ฉันทำเสียงหน้าอายอีกแล้ว ชนกะอะไรก็ไม่รู้ ..คิดว่าคงเป็นท่อนแขนมหึมาของพี่คนไหนซักคนที่ยกหลบฉันไม่ทันแหง อย่าให้รู้นะเฟ้ย ว่าแขนใคร!!
“เฮ้ย ก็พี่บอกให้ลอดไง ลอดก็ลอดสิครับ”
“ก็ไม่รู้นี่” ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจอกับอะไรอย่างนี้ด้วยนะ ToT
“เอามุดๆ” ทีนี้ฉันรีบมุดตามอย่างว่าง่าย แม้ในใจจะคิดว่าเป็นพี่คนไหนสักคนถือกิ่งไม้ร่อนไปร่อนมาอยู่บนหัว
ฉันโดนพี่โย่งแกล้งจนกระทั่งมีเสียงตะโกนโหวกเหวกมาจากทิศใดทิศหนึ่งว่า เกือบจะ 6 โมงแล้ว ... ตอนนั้นเอง พี่โย่งก็เลยพาฉันเดินเข้ามานั่งสุมๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ ฉันจับข้อมือที่ยังคงอุ่นๆ ของตัวเองอย่างเสียดาย
นี่ฉันเป็นเด็กใจแตกรึป่าวเนี่ย?
เสียงเพลงที่คาดว่าคงเป็นเพลงของคณะดังขึ้น ประกายสีนวลของแสงเทียนชอนไชเข้ามาในสายตาฉัน
“คลายผ้าผูกตาได้แล้วครับ” พี่โก้พูดขึ้นด้วยเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิม ฉันรีบคว้าผ้าผูกตาออก ถึงเห็นว่ารอบๆ เหล่าเฟรชชี่อย่างพวกฉันเป็นแสตนด์สูงที่รายล้อมไปด้วยรุ่นพี่ที่ถือเทียนไขส่องสว่างอยู่คนละเล่ม ฉันกวาดตามองหน้ารุ่นพี่เหล่านั้นไปทีละคน ทีละคน
ท่ามกลางแสงเทียนนั้น
ฉันมองหาพี่โย่งแต่ .. ไม่เจอ
---------------------------
เรื่องนี้ เคยลงมาแล้วครั้งนึง ในนามปากกา minimink เอามาลงรวมไว้ที่นี่อีกครั้ง ^^
ถ้าใครเคยอ่านแล้วจำได้ว่า คุ้นๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจไป มันคนเขียนคนเดียวกัน แค่เปลี่ยนชื่อเรื่อง อิอิ
ความคิดเห็น