คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ : ดอกกาหลง ๑
ดอกกาหลง
๑
“เต็ง แต้ว แก้วกาหลง บานบุษบงส่งกลิ่นอาย
หอมอยู่ไม่รู้หาย คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู”
-กาพย์เห่เรือ
พ.ศ. 2507
ท่ามกลางแสงแดดที่ชโลมไปกับผิวพรรณภายนอก สายลมร้อนพัดแผ่วเบาผ่านไปตามกระแสเมื่อดวงอาทิตย์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางเมื่อเที่ยงวันมาถึง เสียงของกลุ่มจำนวนหนึ่งที่ชุมนุมอยู่บริเวณใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ท่ามกลางท้องนาสีเขียวค่อยๆ เซ็งแซ่เมื่อคำสั่งจากชายผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังกล้องฟิลม์เครื่องใหญ่นั้นเอ่ยปากบอกให้การถ่ายทำเสร็จสิ้นลง
“ร้อน ร้อนไปหมด” ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตตัวยาวลายดอกเอ่ยปากบอกด้วยจริตจะก้านที่บ่งบอกถึงความร้อนซึ่งสุ่มอยู่ในร่างกายได้เป็นอย่างดีเมื่อก้าวเท้ามาถึงใต้ร่มผ้าใบที่ตั้งไว้ให้สำหรับทีมงานและนักแสดง ในมือของเขานั้นมีกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกลางซึ่งบรรจุไว้ด้วยบรรดาเครื่องสำอาง โดยที่มันมีไว้สำหรับตัวเขาเอง แล้วก็หญิงสาวผู้เป็นตัวหลักในกองถ่ายนอกสถานที่ในคราวนี้
โชษิตาหัวเราะเบาๆ ขณะใช้หมวกสานแบบชาวบ้านพัดลมเข้าหาตัว “อยู่มาจะสามอาทิตย์แล้วนะ เมธาวี เธอยังไม่ชินอีก?”
“ก็ฉันเหงื่อออกง่ายนี่” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะใช้มือขยับไรผมใต้ท้ายทอยอย่างคนอดรนทนไม่ไหวที่จะได้สัมผัสน้ำเย็นๆ จากห้องอาบน้ำเสียที
“วันนี้ไม่ต้องไปถ่ายข้างนอกแล้ว งั้นฉันอาบน้ำก่อนนะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับคำเมื่อเธอทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงหลังขนาดกลางที่จัดเตรียมไว้ให้เหล่าทีมงานและนักแสดงที่มาขอใช้สถานที่แห่งนี้ถ่ายทำ ไร่มนธาของผู้ใหญ่บ้านในตัวจังหวัดนครราชศรีมามีทั้งสวนผลไม้และท้องนาสำหรับละครเรื่องใหม่ที่เธอได้รับตำแหน่งเป็นนักแสดงนำหญิงพอดี ทางผู้กำกับจึงได้ติดต่อมาที่นี่และใช้มันเป็นสถานที่ถ่ายทำโดยที่ทางผู้ใหญ่บ้านและผู้คนละแวกนี้เองไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายเลยสักนิดเดียว
แม้สภาพการเป็นอยู่เมื่อมาถึงในสัปดาห์แรกจะแตกต่างจากตอนทำงานในพระนครอยู่มากโข แต่โชษิตาก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยกับสิ่งที่พวกชาวบ้านมอบให้อย่างสุดความสามารถ เพราะก่อนที่จะกระโดดเข้ามาในวงการภาพยนตร์เช่นนี้หญิงสาวเองก็เคยเป็นคนธรรมดาสามัญที่มีการเป็นอยู่ดีกว่าพวกเขามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉะนั้นแล้วเธอจึงไม่มีใจที่จะไปติเตียนหรือตั้งแง่กับสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้สะดวกสบายมากเท่าเพื่อนชายของตน
เมธาวีมีฝีมือในการแต่งหน้ามาก ยิ่งบวกกับที่เจ้าตัวไปร่ำเรียนที่เมืองนอกแล้วกลับมาเมื่อสองเดือนก่อนก็ยิ่งตอกย้ำถึงฝีมือที่พัฒนาไปไกลกว่าช่างแต่งหน้าคนไหนที่เธอเคยร่วมงานด้วย เมื่อผู้กำกับถามหาความเห็นขึ้นมา โชษิตาจึงไม่ลังเลเลยที่จะเลือกให้เขาเข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานที่ตัวเธอเองนั้นไว้ใจ
ใช้เวลาราวชั่วโมงกว่ากว่าที่หญิงสาวจะจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ เมื่อเห็นว่าเวลายังเหลืออีกเยอะจนกว่าจะถึงช่วงมื้อค่ำ เธอจึงออกปากบอกเพื่อนชายที่อาศัยอยู่บนเรือนเดียวกันว่าจะไปเดินเล่นชมสวนคนเดียวเสียก่อน
ไร่มนธาอยู่ห่างจากถนนสายทางหลักจึงทำให้ไม่ค่อยมีเสียงเคลื่อนตัวของเครื่องยนต์เข้ามาถึงผู้อยู่อาศัยได้โดยง่าย ไหนจะเพราะการล้อมรอบไปด้วยบรรดาแมกไม้สีเขียวและผลไม้หลากหลายพันธ์ที่ทำให้รู้สึกถึงลมเย็นๆ มากกว่าตัวพระนครที่มีแต่ผู้คนควักไขว่ โชษิตาจึงอดไม่ได้ที่จะใช้เวลาตอนนี้เดินเลาะตามคูคลองน้ำใสแล้วชื่นชมสิ่งแวดล้อมตรงหน้าไปเรื่อยๆ
“ตรงนั้นๆ มันไปตรงนั้นแล้ว!”
เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ทำให้ฝีเท้าของหญิงสาวชะลอลง ดวงตาสีเข้มนั้นทอดมองไปยังปลายคูน้ำที่แยกตัวออกไปยังคลองอื่นนอกไร่มนธา จึงได้เห็นเด็กตัวเล็กกลุ่มหนึ่งประมาณ 5 - 10 ขวบกำลังก้มมองไปยังระดับน้ำเท่าหัวเข่าเพื่อไล่ต้อนปลาตัวหนึ่งเข้าใส่กระชังสานในมือ
มันจะไม่แปลกอะไรเลยถ้าเธอไม่เห็นว่าคนที่ตัวเองรู้จักกำลังถือกระชังนั่นด้วยสายตาตื่นเต้นอยู่ด้วย
โชษิตาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นหญิงสาวในเสื้อลายทางที่ชาวบ้านเป็นคนมอบให้เป็นของขวัญนั้นพับขากางเกงขาก๊วยขึ้นเพื่อลงไปในน้ำ และกำลังผสมโรงออกแรงเชียร์บรรดาเด็กๆ ให้ไล่ต้อนปลาแล้วจับมันลงใส่กระชังได้ด้วยความสนุกสนาน
หญิงสาวผิวขาวคนนั้นยืดตัวขึ้นจากกระชังเมื่อเด็กๆ ส่งเสียงดีอกดีใจแล้วหันไปทางอื่นเพื่อจะหาปลาตัวอื่นเพิ่มขึ้นอีก กระทั่งรู้สึกว่ามีใครอยู่ข้างหลัง เธอจึงหันกลับไปมองบนเนินดินเหนือคูน้ำนั้นเอง
“น้องโช”
หม่อมราชวงษ์ดารารินทร์เอ่ยปากทักทายหญิงสาวที่สวมเสื้อแขนสั้นกับกางเกงผ้านิ่มตัวยาวด้วยรอยยิ้มประหลาดใจระคนไม่เชื่อสายตาตัวเอง
โชษิตาผลิยิ้มอย่างอ่อนใจก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นไขว่เอาไว้กลางอกอย่างไว้ที “ไม่มีอะไรทำแล้วหรือคะ ถึงมาไล่จับปลากับเด็กๆ แบบนี้”
เพราะจริงๆ ถึงเธอจะสนิทกับหญิงจิลก็เถอะ แต่เธอไม่ได้สนิทกับพี่น้องคนอื่นๆ ในวังทัตพงศ์มาลีเสียจนจะหยอกหรือเย้าอะไรก็ได้เสียหน่อย
คนอายุมากกว่าสะบัดมือที่เปียกน้ำไปมาแล้วทำหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“ก็คนแถวนี้ออกคำสั่งไม่ให้พี่ไปเข้าใกล้แถวที่ทำงานของเขาน่ะ พี่เลยต้องมาหาอะไรทำฆ่าเวลาน่ะสิ”
มองเห็นสีหน้าที่ทำเหมือนจริงจังและล้อเลียนอยู่ในทีก็ทำเอาหญิงสาวอยากจะยอกย้อนกลับมากกว่าการตอบแบบมีมารยาท แต่ก็เพราะไม่ได้สนิทสนมกับหล่อนนั่นแหละถึงได้แต่กักเก็บความเป็นตัวเองเอาไว้ แล้วสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็เป็นเรื่องจริงไปถึงแปดส่วนล่ะนะ
ส่วนเหตุผลจริงๆ น่ะหรือ ก็เพราะหล่อนดูแลทุกคนดี ‘เกิน’ ไปน่ะสิ
“ไม่ให้ไปเพราะกลัวผิวพรรณพี่หญิงจะมีตำหนิต่างหากค่ะ เดี๋ยวหญิงจิลจะว่าโชเอา”
ก็ใครใช้ให้หล่อนทำตัวเหมือนเป็นทีมงานคนหนึ่งในกองกัน ทั้งๆ ที่ถูกเชิญมาที่นี่เพราะให้เป็นคนมาดูแลความเรียบร้อยระหว่างถ่ายทำเท่านั้น ไม่รู้ทำไมถึงอาสาทำทุกอย่างเสียจนคนในกองอึดอัดและต้องมาขอร้องเธอให้ช่วยพูดหน่อยว่าคุณหญิงดารารินทร์ควรจะนั่งดูอยู่เฉยๆ บ้าง
คนฟังยกมือระดับไหล่แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกถึงความกังวลใดๆ “พี่ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยนะ”
โชษิตาไม่ได้อยากจะอธิบายอะไรตรงๆ ไปมากกว่านี้ เธอจึงถอนหายใจแล้วกล่าวบอกคนที่อยู่เบื้องล่างเป็นการทิ้งท้าย “นี่ก็จะเย็นแล้ว ถ้าพี่หญิงอยากจะอยู่แล้วป่วยจนไปดูที่กองพรุ่งนี้ไม่ได้ ก็แล้วแต่นะคะ”
“? อะไรนะ-” คนอายุมากกว่ารู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ชัดนัก จนต้องกุลีกุจอจากผืนน้ำขึ้นมายังเนินดินเพื่อเอ่ยถามคนที่หยุดฝ่าเท้าซึ่งกำลังจะกลับไปยังที่พักของตัวเองเอาไว้“เมื่อกี้ น้องโชบอกว่าพี่ไปดูได้หรือ?”
โชษิตาหันมามองด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจในน้ำเสียงกระตือรือร้นนั้น“มาได้ แต่ต้องนั่งอยู่เฉยๆ นะคะ”
เธอชั่งใจมองหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อยราวกับจะย้ำเตือนว่าหาไม่แล้วเจ้าตัวจะไม่ได้ย่างกรายไปใกล้กองถ่ายอีก ซึ่งหล่อนก็ระบายยิ้มชอบใจออกมาเหมือนเด็กที่กำลังจะได้กินลูกอม
“ด้วยเกียรติของทหารอากาศเลยค่ะ”
ย้อนไปเมื่อสามสัปดาห์ก่อน อันที่จริงความอภิรมย์ในจิตใจของหญิงสาวผิวขาวไม่ได้แสดงเด่นชัดอะไรถึงเพียงนี้
“ทำไมต้องพี่ด้วยล่ะ” หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หลังเปียโนใหญ่ในห้องนั่งเล่นส่วนตัวของบรรดาดอกไม้แห่งวังทัตพงศ์มาลีอย่างไม่เข้าใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นน้องสาวคนเล็กนั้นเอ่ยปากพูดกับเธอ
“ฉันเห็นว่าพี่หญิงนั่นแหละที่เหมาะสมที่สุดแล้ว” หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรกล่าวด้วยท่าทางที่มั่นคง ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เครื่องดนตรีชิ้นสำคัญของพี่สาว “เพราะวันๆ พี่เข้าไปทำงานเสร็จแล้วไม่กลับมาที่วังก็ไปร้านชาลิสาตลอด..”
ประโยคนั้นถูกหยุดไปเมื่อหญิงสาวร่างสูงโปร่งเหลือบมองสีหน้าของพี่สาวคนกลางที่ดูจะตกตะลึงกับสิ่งที่เธอได้พูดออกไป
“ทำหน้าแบบนั้นคิดว่าจิลไม่รู้หรือคะ ว่าพี่หญิงชอบไปร้านนั้นกับพรรษาแล้วก็กัญนิกาน่ะ”
ดารารินทร์กะพริบตาเล็กน้อยก่อนจะไสดวงตาไปทางอื่นอย่างเฉไฉ “เปล่า..เปล่านี่”
ร้านชาลิสาเป็นร้านอาหารที่มีพร้อมทั้งดนตรีและผู้คนมากหน้าหลายตา แล้วดารารินทร์ก็ไปเยือนมันบ่อยมากพอที่จะเรียกว่ามันสถานที่ที่เธอและเหล่าเพื่อนฝูงในกองทัพอากาศไปประจำเลยก็เป็นได้
“ก็อย่างที่ว่า” มือเรียวของร่างสูงวางลงตรงหน้าของอีกคน “จิลเป็นห่วงเธอ เลยคิดว่าไว้ใจคนที่ตัวเองไว้ใจจะดีกว่า”
“แต่น้องหญิงเล็ก…”
“พี่หญิงก็เป็นทหาร เพราะแบบนั้นจิลถึงวางใจได้อย่างไรล่ะ”
พอจะอธิบายว่าเหตุใดเธอจึงไม่อยากทำเจ้าน้องสาวคนเล็กก็สวนขัดขึ้นมาเสียก่อน จริงอยู่ที่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เป็นทหารในสังกัดกองทัพอากาศ แต่งานหลักของเธอคือประจำอยู่กับเหล่าช่างที่คอยดูแลเครื่องยนต์ภายในเครื่องบินทั้งหลายของกองทัพในพระนคร ไม่ได้หยิบจับถืออาวุธอย่างใกล้ชิดเช่นนายตำรวจหรือทหารราบเสียหน่อย
และถึงกว่าจะมาเป็นเรืออากาศตรีได้ขนาดนี้เธอจะต้องผ่านการทดสอบเช่นเหล่าทหารราบกองทัพบก แต่มันก็นานมาแล้วที่ครั้งสุดท้ายนั้นเธอได้สัมผัสอาวุธปืน แตกต่างกับพี่สาวคนรองของเธอที่ต้องใช้มันเป็นส่วนใหญ่
จะให้ไปดูแลสอดส่องเพราะกลัวเหตุการณ์ไม่สงบจะมารบกวนกองถ่าย…หรือจริงๆ ช่วงนี้เธอจะดูว่างเกินไปจนถูกน้องสาวคนเล็กตบปากรับคำฝั่งนั้นให้แทนโดยที่ไม่ต้องมาขออนุญาตกันล่ะนี่
“อีกอย่างพี่ชายใหญ่ก็อนุญาตแล้วด้วย”
หญิงสาวผิวขาวราวน้ำนมหันมองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยน่าเชื่อ “พี่ชายใหญ่น่ะหรืออนุญาต?”
“พี่ชายใหญ่บอกว่าแค่ไปดูแลอย่าให้มีอันตรายเกิดขึ้น เพราะพี่น่ะดูแลตัวเองได้ไม่เหมือนจิล..” จิลลาภัทรเว้นจังหวะ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยสีหน้าชอบใจระคนเอือมระอา
“แล้วเธอก็อยากให้พี่หญิงเอาเวลาไปทำอย่างอื่นนอกเสียจากลอยไปลอยมาจนพวกนักข่าวหาเรื่องไปเขียนด้วย”
อันที่จริงเมื่อครั้งข่าวคราวของสรภัสหรือหญิงสาวคนรักของหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรในตอนนั้นอาจจะเป็นที่คึกโครมและน่าตกใจมากกว่าที่มันเกิดขึ้นแน่ หากไม่มีบรรดาข่าวลือและเสียงเล่าอ้างถึงเพื่อนสาว ‘ไม่ซ้ำหน้า’ ของพี่สาวทั้งสามของเธอมาก่อนเป็นเนืองๆ ที่มักจะมีให้ผู้คนได้ยินเป็นประจำ
แต่ถ้าจะเทียบกันแล้ว…พี่หญิงใหญ่หรือหม่อมราชวงศ์จินณวัตรของเธอนั้น เทียบกับอีกสองคนที่เหลือไม่ได้ด้วยซ้ำ
เพราะพี่หญิงรองและพี่สาวคนกลางของเธอมีนิสัยบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน อะไรบางอย่างที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่ค่อยอยากจะรับรู้ แต่ว่าบรรดาหญิงสาวหรือชายหนุ่มต่างก็ตกหลุมพรางให้กับมันอย่างถอนตัวได้ยากอยู่มากเลยทีเดียว
“พี่ลอยไปลอยมาเสียที่ไหนกันเล่า” ดารารินทร์ตอบเมื่อเห็นสายตาเหน็บแนมของผู้เป็นน้องสาว ก่อนจะบรรเลงปลายนิ้วขาวไปตามแป้นสีขาวและดำราวกับจะครุ่นคิดเพียงครู่เดียว “ตกลง พี่จะยอมไปกับคุณโชษิตาก็ได้”
แมลงยามค่ำเคือนส่งเสียงร้องเป็นจังหวะตามประสาเมื่อถึงเวลาหากิน โชษิตา เมธาวีและรวมถึงคนอื่นๆ ที่มาจากพระนครเสร็จสิ้นมื้อค่ำที่ถูกจัดไว้ให้ ณ บ้านของผู้ใหญ่บ้านเจ้าของสวน ทุกคนล้วนแล้วแต่แยกย้ายไปหลังจากที่เธอและเมธาวีขอตัวกลับออกมาที่เรือนไม้ที่อยู่ไม่ไกลกันแห่งนี้เสียก่อน เธอจึงใช้เวลาที่เหลือก่อนจะถึงเวลานอนของตัวเองไปกับการพูดคุยเรื่องต่างๆ ในห้องของเพื่อนชายอย่างออกรส
หากเป็นในพระนครเธอคงจะถูกสายตาใครต่อใครต่อว่าเรื่องไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวเป็นแน่ แต่ถึงมันจะเกิดขึ้น เธอก็ไม่สนใจนักหรอก เพราะเธอรู้จักตัวตนของเมธาวีดีกว่าที่จะเก็บเอาคำพูดของใครมาใส่สมอง
เมื่อมองรู้สึกว่าร่างกายของตนเองเริ่มจะอ่อนเพลียและเปลือกตาหนัก โชษิตาจึงบอกลาเพื่อนของตนเองแล้วเตรียมตัวไปเข้านอน ในจังหวะที่ประตูห้องของเมธาวีนั้นปิดลง หญิงสาวก็มองเห็นร่างของใครบางคนที่เพิ่งจะเดินขึ้นมาจากบันไดแล้วหยุดลงที่ชานเรือนเมื่อเห็นเธอ
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจบวกกับทำตัวไม่ถูกที่ถูกเห็นว่ากลับมาที่พักของตัวเองในเวลานี้
“น้องโช..ยังไม่นอนหรือคะ”
โชษิตาลอบมองท่าทางที่เหมือนคนทำผิดอะไรบางอย่างมาก่อนจะประมวลผล
“นี่พี่หญิงกลับมาเวลานี้ทุกคืนเลยหรือคะ?”
คนอายุมากกว่ายิ้มจนตาปิด “แค่สี่ห้าครั้งเอง”
“ไม่รู้เลยหรืออย่างไรคะ ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงไม่ควรกลับเข้าห้องดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้” ร่างเล็กว่าพลางถอนหายใจขณะกระชับผ้าสีขาวที่คล้องอยู่ตรงลำคอของตัวเอง จริงๆ เธอก็เคยแอบนึกแปลกใจว่าทำไมหล่อนถึงเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนัก จนมีทีมงานคนหนึ่งหลุดพูดออกมานั่นแหละว่าหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เป็นคนชอบสังสรรและดื่มเก่งพอกันกับบุรุษ แถมเข้าถึงกับคนอื่นง่ายจนบางทีก็ลืมไปว่าตัวหล่อนเองเป็นคุณหญิง ดูทรงแล้วนี่ก็คงจะอยู่ดื่มจนผู้ใหญ่บ้านหลับไปกระมังถึงได้ฤกษ์กลับมาที่พักในเวลานี้
คนฟังรู้แล้วว่ากำลังถูกดุเรื่องอะไรก็พลันพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังราวกับเด็กที่รู้ตัว “รู้แล้วค่ะ”
ตกลงแล้วให้ช่วยมาดูแลทีมงานหรือว่าให้มาเป็นฝ่ายดูแลเองกันแน่เนี่ย
“งั้น พี่ไปนอนก่อนนะ”
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์” โชษิตาบอกตอบก่อนจะหันหลังไปยังประตูห้องนอนตัวเองเช่นเดียวกัน แต่ในระหว่างที่เธอจะปิดมันลงสนิท เสียงของคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งโผล่ออกมาเพียงแค่ศีรษะก็ทำให้หญิงสาวต้องหยุดมือของตัวเองเอาไว้อีกครั้ง
“น้องโช”
“คะ?”
“พรุ่งนี้มีฉากที่ต้องแต่งตัวแบบวันนี้ไหมคะ”
ฟังคนที่เลียบๆ เคียงๆ คล้ายไม่กล้าพอที่จะเอ่ยถึง หล่อนคงจะหมายถึงชุดที่ตัวเอกสวมใส่ ซึ่งเป็นชุดไทยสไบสีชมพูอ่อนนั่นกระมัง
“…ก็ มีค่ะ”
ได้ฟังดังนั้นคนอายุมากกว่าก็ผลิยิ้ม ยิ้มเสียจนมองเห็นความขี้เล่นและเป็นประกายในดวงตาคู่นั้นได้
“งั้นจะรอนะคะ”
โชษิตาได้แต่มองบานประตูที่ถูกปิดลงแล้วลงกลอนแน่นสนิท ทำไมหล่อนถึงได้ทำหน้าตาดีใจและมีความสุขขนาดนั้นกัน
แปลกคนจริงเลย…
บรรยากาศในยามบ่ายของวันใหม่เต็มไปด้วยสายลมกับแดดอุ่นไม่เหมือนวันก่อน กองถ่ายทำละครเรื่องใหม่ที่จะถูกเปิดตัวในอีกสองเดือนข้างหน้านั้นยกย้ายกันมาอยู่บนเรือนไม้ขนาดใหญ่ที่ผู้ใหญ่บ้านสร้างไว้เป็นที่ชุมนุมของเหล่าชาวบ้านและชาวสวนในไร่มนธา ทำให้อากาศโดยรอบไม่ได้ร้อนจนเหนียวตัวไปเสียทีเดียว
ผู้กำกับจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างขมักขเม้นและตั้งใจ เมื่อนักแสดงที่อยู่ในฉากตรงหน้านั้นกำลังส่งอารมณ์ใส่กันอย่างมืออาชีพ รอบข้างเงียบลงเหลือแต่บทพูดที่เฉือดเฉือนและความน่าสงสาร ในขณะที่หญิงสาวผู้มีผิวขาวราวน้ำนมนั่งหลบมุมอยู่ด้านหนึ่งจ้องมองไปยังหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าอย่างยากที่จะถอดถอนสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ได้
นักแสดงดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่นิยมแทบจะไม่ได้ทำสิ่งใดนอกเสียจากเดินเก็บเกี่ยวดอกไม้สีขาวลงตะกร้าเป็นกิจวัตรประจำวัน แล้วยืนแสดงท่าทีน่าสงสารอย่างนั้นเพียงเพราะถูกสาวใช้คนอื่นกระทำต่อว่าอย่างไม่มีทางตอบโต้
แต่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์กลับรู้สึกหายใจไม่สะดวกมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
เธอเคยพบพานหญิงสาวมามากมายไม่ว่าจะที่ร้านชาลิสาหรือว่าที่ไหนก็ได้ที่เคยได้มีโอกาสไปแวะเวียน แต่ก็ไม่เคยมีใครเลยที่จะทำให้เธอรู้สึกเป็นเช่นนี้มาก่อน
ราวกับรู้จัก..และคุ้นเคยคนตัวบางเป็นอย่างดีมาเนิ่นนาน ทั้งๆ ที่เธอและหล่อนเพิ่งจะเคยพบเจอกันเป็นครั้งแรกเมื่อสามสัปดาห์ก่อนแค่นั้นเอง
มองสไบสีชมพูอ่อนที่กำลังปลิวไสวไปตามลม มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ดารารินทร์จับจ้องมองมันและกริยาของผู้สวมใส่ซึ่งเหมือนถูกดึงย้อนกลับไปสู่ห้วงเวลาที่สงบสุขและเรียบง่ายยิ่งกว่าตอนนี้ ผิดกับนิสัยจริงที่ค่อนข้างจะมั่นใจและเถรตรงไม่เหมือนหญิงสาวคนอื่นของหล่อน แต่นั่นก็เป็นอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ดารารินทร์นั้นรู้สึกว่าหล่อนโดดเด่นและอยู่ในสายตาของตัวเองนานกว่าใครหน้าไหนที่เคยพบกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้
หญิงสาวแยกแยะได้ว่าสิ่งใดคือความลุ่มหลงและความรัก แต่กระนั้นก็ไม่บ่อยนักที่จะพบเจอกับอย่างหลังโดยไม่ผ่านสายตาที่เฉียบคมของเธอจับได้เสียก่อน
บรรดาเพื่อนสาวของดอกไม้แห่งวังทัตพงศ์มาลีก่อนๆ ไม่เคยผ่านมาอย่างบังเอิญ พวกหล่อนล้วนแล้วแต่เป็นคนสรรสร้างและวางแผนที่จะเข้าใกล้สู่ใจกลางของวังดอกไม้นี้ เช่นเดียวกันกับเหล่าบุรุษทั้งหลายที่ยอมอ่อนโอนและพยายามจะทำทุกทาง อย่างคราวน้องสาวคนเล็กของเธอนั่นไง
แต่ดารารินทร์ยอมรับ ว่าความรักของจิลลาภัทรและคุณสรภัส ทำให้ตัวเธอนั้นมองบางสิ่งบางอย่างได้ชัดขึ้นไม่มากก็น้อย
“คัท พักก่อนครับ”
ผู้กำกับหนุ่มเอ่ยปากบอกทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบนั้นหายใจหายคอกันเป็นปกติอีกครั้ง นักแสดงนำชายที่ดารารินทร์ไม่ได้ใส่ใจจะจดจำนักยืนนิ่งให้เหล่าช่างแต่งหน้าเข้ามารุมปัดเป่าความร้อนและเม็ดเหงื่อออกให้จางหาย เช่นเดียวกับนางแสดงสาวตัวน้อย ที่ก็ปล่อยให้เพื่อนชายคนสนิทของตัวเองทำตามหน้าที่ไป
เป็นโชษิตาเสียอีกที่ละสายตามาทางเธอ เมื่อเห็นว่าถูกจับจ้องด้วยรอยยิ้มที่ตัวเธอเองก็ไม่ใคร่จะลบให้มันเลือนหายไป
“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่รดา”
“น้องโชใส่ชุดนี้แล้วสวยค่ะ” คนที่ยิ้มอยู่ตอบอย่างนั้นด้วยเสียงให้พอได้ยิน เพราะเธอกับหล่อนนั้นอยู่ไม่ห่างกันมากเท่าไหร่นัก
“ในวังของพี่หญิงก็มีเยอะแยะไหมคะ สวยกว่านี้ด้วยซ้ำ” คนอ่อนกว่าตอบด้วยสีหน้าขบขัน ชุดไทยสไบเช่นนี้ออกจะเรียกว่าเก่าและเชยสำหรับผู้หญิงในวงการเดียวกันกับเธอด้วยซ้ำ จะไปสวยกว่าเดรสตะวันตกอย่างคนในรั้วในวังและคนทั่วไปได้อย่างไร
“แต่พอเป็นน้องโชแล้ว มันเหมาะกว่าใครที่พี่เคยเห็นเลยน่ะสิคะ”
ฟังคำตอบของคนที่นั่งอยู่ซึ่งกล่าวออกมาด้วยแทบจะไม่มีจังหวะให้นึกคิด ประจวบกับที่หญิงสาวสบเข้ากับดวงตาอันอบอุ่นเป็นประกายนั้นพอดี ความสั่นไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้โชษิตานึกไม่ออกว่าตนเองควรจะกล่าวอะไรออกไป คงเพราะความหมายที่แฝงนัยยะอยู่ในนั้นกระมัง ที่ทำให้เธอไม่สามารถหยุดความคิดได้เลยว่าหล่อนหมายถึงความหมายในแง่ใดกันแน่
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วยจ้ะ!!”
จู่ๆ เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็เข้ามาใกล้เรือนใหญ่ ร่างของชายชาวสวนคนหนึ่งวิ่งตรงมาจากบ้านของผู้ใหญ่บ้านก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงชาวสอนอีกสองสามคนที่มายืนดูการทำงานของชาวพระนคร ท่ามกลางสายตาอันสงสัยใคร่รู้ของคนทุกผู้คนรอบบริเวณ
“มีอะไรหรือ?”
“ผู้ใหญ่บ้านถูกทำร้าย!”
สิ้นคำกล่าวคล้ายกับจะเป็นฟ้าผ่าสำหรับชาวสวน ดารารินทร์เป็นฝ่ายที่นำทุกคนที่แตกตื่นเพราะสิ่งที่ได้ยินข้ามทุ่งมาถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้านซึ่งนอนล้มอยู่กับพื้นที่ใต้ถุนในสภาพโอดโอย โดยที่ไม่ไกลกันนั้นคือลูกชายของผู้ใหญ่บ้านแห่งไร่มนธานี้เอง
ถามว่าเรื่องราวตอนนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนทุกผู้ไหม ดารารินทร์ตอบได้เต็มปากเลยว่าใช่..
เพราะก่อนที่จะมาที่นี่ เธอและเหล่ากองถ่ายละครทุกคนล้วนรู้ถึงเรื่องราวที่มีโจรปล้นครั้งใหญ่มาซุ่มอยู่ในจังหวัดนี้ การที่ผู้ใหญ่บ้านซึ่งให้ที่อยู่ที่กินพวกเขาถูกทำร้าย ย่อมทำให้ถูกคิดไปว่าอาจถูกโจรพวกนั้นเข้ามาทำร้ายในระหว่างที่เธอไม่ได้จับตาดูแลอยู่แน่
“ผู้ใหญ่ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?” หญิงสาวเข้าไปพยุงร่างของชายกลางคนผู้สวมรัดผ้าขาวม้ารอบเอวก่อนจะพลิกตัวดูว่าไม่มีบาดแผลใดๆ ให้น่าตื่นกลัว
“ไม่..ไม่เป็นไรจ้ะ” ชายกลางคนกล่าวด้วยสำเนียงถิ่นอาศัย เขาครวญออกมานิดๆ ระหว่างพลิกตัวไปหาลูกชาย “..คุณรดาช่วยดูลูกชายฉันที..”
จังหวะเดียวกันนั้น โชษิตาที่มาถึงพร้อมด้วยผ้าคลุมกายก็ก้มลงไปหาชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อยและใสซื่อซึ่งกำลังมองแผลถลอกที่ฝ่ามือตัวเอง
“เป็นอะไรไหมคะ?”
ชายหนุ่มนั้นตอบอย่างเก้ๆ กังๆ เมื่อถูกหญิงสาวนำมันไปดูใกล้ๆ “ไม่เป็นอะไรครับ..ผมถลอกนิดหน่อย”
อาการและการกระทำเหล่านั้นอยู่ในสายตาของหญิงสาวที่ช่วยประคองผู้ใหญ่บ้านให้ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ จู่ๆ ความรู้สึกขัดเคืองก็ปรากฏขึ้นเป็นระลอกคลื่นในแววตาคู่เรียวของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ เธอจึงเบือนหน้าไปทางอื่นเมื่อความหงุดหงิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่ายนั้นกำลังก่อตัวอย่างไม่มีสาเหตุ
“เอาอย่างไรดีครับคุณรดา?” หนึ่งในทีมงานที่พอจะรู้ว่าเธอมีหน้าที่คอยดูแลความสงบในกองเอ่ยถามขึ้น ดารารินทร์จึงได้ปัดอารมณ์ขุ่นมัวนั้นออกไปแล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ฉันอยากได้คนสักสามสี่คน ตามฉันมา”
โชษิตาไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง
นับตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้านและลูกชายเขาถูกทำร้าย กองถ่ายก็ถูกยกเลิกแทบจะทันทีแล้วตัวเธอก็ต้องระเห็ดกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องของตัวเอง อยู่แต่ในนี้จนกระทั่งมื้อค่ำผ่านไป เธอก็ยังไม่ได้ข่าวอะไร แล้วคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามกันก็ยังคงไม่กลับมา
อะไรที่ทำให้ไปนานขนาดนี้กันนะ..
คิดไปคิดมาหญิงสาวก็รู้สึกว่าตนเองนั้นกำลังฟุ้งซ่านและไม่สบายใจ จึงคิดว่าจะไปพูดคุยกับเพื่อนชายข้างห้องเสียหน่อยเผื่ออารมณ์และความคิดจะสบายดีขึ้นบ้าง แต่พอก้าวเท้าทั้งสองข้างลงถึงพื้นชานเรือน โชษิตาก็มองเห็นคนคนหนึ่งออกมาจากห้องนอนของตัวเองพอดี
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ” เธอเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นชุดพร้อมนอนของเจ้าตัว
“สักพักแล้วล่ะ” หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ยิ้มน้อยๆ เช่นทุกครั้ง “น้องโชยังไม่นอนอีกหรือ”
หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถาม เธออ้ำอึ้งกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะเอ่ยถามหล่อนที่เป็นผู้นำคนอื่นออกไปตามร่องรอยของคนที่มาทำร้ายผู้ใหญ่บ้านอย่างไม่รู้ว่าเขาจะเต็มใจตอบหรือไม่
“คุยกับผู้ใหญ่แล้วเป็นยังไงบ้าง”
ดารารินทร์เห็นท่าทางอยากรู้ของอีกคนจึงตอบไปอย่างไม่ปิดบัง “ท่านว่าเป็นแค่พวกเด็กไม่มีที่อยู่ทั่วไปเข้ามาขโมยอาหารที่ใต้ถุนน่ะ เพราะตกใจจึงได้เผลอทำร้ายท่านกระมัง”
“ยังไม่ร้ายแรงสินะ..”
เมื่อร่างเล็กพึมพำออกมาให้พอได้ยินราวกับโล่งใจ หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่เลิกคิ้วแล้วถามออกมา
“กลัวว่าจะเป็นพวกเสือโจมหรือ”
การปล้นใหญ่ในครั้งนั้นที่ตัวเมืองจังหวัดมีข่าวลือว่าเป็นกลุ่มของเสือโจม ชายที่ตำรวจทางใต้พยายามจะไล่ต้อนขึ้นมาจนสุดท้ายก็มากบดานอยู่ที่จังหวัดนี้ แต่ในครั้งนั้นก็ไม่มีใครรู้เห็นแน่ชัดอยู่ดีว่าเป็นฝีมือของเสือโจมหรือไม่ ถ้าหากว่าพบร่องรอยของเสือโจมจริงๆ ชาวบ้านคงอยู่ไม่สุขยิ่งกว่านี้แน่นอน
เพราะเสือโจมนั้น ได้ชื่อว่าเป็นเสือที่มีวิชาอาคม ถูกตำรวจรุมล้อมแต่ยังหนีรอดไปได้ ไหนจะนิสัยร้ายกาจที่ชอบขโมยและไม่ไว้หน้าเมียใครผัวใคร ผู้ใหญ่หรือเด็ก ทำให้เป็นตัวอันตรายที่พวกตำรวจยังต้องการอยู่มาก
“เราควรจะตระหนักไว้ก่อนนี่คะ” โชษิตาตอบเสียงแผ่วเมื่อได้ยินคำถาม แต่คำตอบของเธอนั้นกลับทำให้คนสูงกว่าเล็กน้อยนั่นหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ คล้ายเอ็นดูกันเป็นเด็กเป็นเล็กไปเสียอย่างนั้น
“หัวเราะอะไรกันคะ?”
ดารารินทร์ก้มหน้าลงหมายจะหยุดยั้งเสียงหัวเราะที่อาจจะตามมาในภายหลัง ใครจะไปเชื่อกันเล่าว่าหญิงสาวที่เธอตีตราว่ามีรัศมีการถือตัวสูงนั้นจะออกอาการเกรงกลัวกับใครเขาก็เป็นเหมือนกัน
ทีเมื่อวานล่ะดุเสียจริงนะแม่คุณ
“เปล่าค่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องก่อนจะผลิรอยยิ้มสดใสดังเดิม “อันที่จริง..ตอนพี่ออกไปตามหาคนร้าย พี่พอจะได้บางอย่างมาด้วย”
“..?”
ความเงียบเข้ามาแทนที่ที่ต่างฝ่ายต่างรอคอย หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ค่อยๆ หยิบบางอย่างออกมาจากกางเกงตัวลายของตัวเอง ช่อดอกสั้นๆ นั้นหนีไม่พ้นการบีบทับที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ถึงจะไม่เรียบร้อยนักเมื่ออยู่บนปลายนิ้วของคนอายุมากกว่า แต่ก็พอให้โชษิตามองเห็นได้ว่ามันคืออะไร
“มันอยู่แถวที่อยู่ของเด็กพวกนั้นน่ะ พี่คิดว่ามันหอม…และน้องโชก็คงจะชอบเหมือนกัน”
ดอกกาหลงสีขาวนั้นถูกยื่นออกมาตรงหน้าพร้อมกับดวงตาเป็นประกายของเจ้าของมัน หญิงสาวทำอะไรไม่ถูกนอกจากมองมันสลับกับสายตาที่ทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ในเมื่อหล่อนบอกจุดประสงค์มาอย่างนั้น โชษิตาจะตีความเป็นอะไรไปได้อีก
น่าแปลกที่ปลายนิ้วซึ่งกำลังจะเคลื่อนออกไปรับของขวัญเชื่อมไมตรี กลับร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อเข้าใกล้เสียจนต้องค่อยๆ หยิบมันออกมาอย่างไม่มั่นคง กระทั่งระยะห่างของมันออกมาเช่นเดิมพร้อมกับความเงียบที่ไม่ได้อึดอัดแต่ก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ โชษิตาจึงเลือกที่จะพาตัวเองออกไปจากตรงนี้แทน
“..โชไปนอนก่อนนะคะ”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ยังคงสีหน้าและแววตาเช่นเดิมเมื่อร่างน้อยนั้นกลับเข้าห้องตัวเองไป “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ประตูในค่ำคืนนี้ถูกลงกลอนด้วยน้ำหนักที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก รู้สึกได้ถึงความสั่นเทาในอกจรดปลายนิ้วที่ยังคงร้อนผะผ่าวเพราะการกระทำก่อนหน้าที่แทบจะเฉียดกันเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ของช่อดอกกาหลงในมือยังคงส่งมาเรื่อยๆ เมื่อมือที่เธอกอบกุมมันนั้นถูกยกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าเพื่อขับไล่บางสิ่งที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
เธอไม่เคยเป็นแบบนี้…มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี่ยโชษิตา..
หญิงสาวมั่นใจในตัวเองมาตลอดไม่ว่าจะเดินไปทางไหน และไม่เคยเลยที่เธอจะเผยความอ่อนแอหรือจุดอ่อนของตัวเองให้ใครถ้าคนคนนั้นยังอยู่ในจุดที่มอบความสบายใจให้เธอไม่ได้ นับประสาอะไรกับความไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้
จริงอยู่ที่เธอมีระยะห่างและถือตัวต่อคุณหญิงดารารินทร์ ก็ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเพียงพี่สาวของเพื่อนสนิทแล้วไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ดอกกาหลงนี่หล่อนก็มอบให้ในฐานะผูกไมตรีเพราะเป็นคนรู้จักกับน้องสาวตัวเองแม้จะพอพูดคุยกันได้มากกว่าอาทิตย์แรกก็ตาม
ก่อนหน้านั้นเธอเองก็ได้ยินชื่อเสียงเรื่องบรรดาดอกไม้ของหล่อนมาบ้างแต่ก็ไม่เคยได้ใส่ใจนัก กระทั่งได้รู้จักกัน..กระทั่งสถานการณ์เมื่อครู่นี้
ถึงจะมอบให้เป็นไมตรี..แต่ดวงตาเป็นประกายอบอุ่นนั่นก็แฝงความกรุ้มกริ่มเอาไว้เสียจนเธอต้องเอ่ยปากบอกเตือนใจตัวเองเสียเดี๋ยวนี้
อย่าได้หลงกลมันขึ้นมาเชียวนะโชษิตา…
นักแสดงรับเชิญ
เมธาวี : อี แดฮวี
TBC.
#ฟิคแก้วตาสุมาลี #หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์
__________________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น