คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทร : ดอกช้องนาง ๔
๔
“ชุดนี้เอาไปไว้ที่ห้องพระให้ทีนะจ้ะ”
หญิงสาวภายใต้เสื้อคอกลมสีขาวและนุ่งซิ่นอย่างสาวใช้คนอื่นๆ ภายในอาณาเขตของเรือนพักตากอากาศประจำตระกูลทัตพงศ์มาลีหยิบยื่นถาดสีเงินที่เรียงรายไปด้วยพวงมาลัยและดอกไม้หอมที่ได้รับการร้อยรวมอย่างประณีตให้แก่สาวใช้อีกคน แม้ว่าเจ้าหล่อนจะสวมเสื้อผ้าที่บ่งบอกสถานะอันเล็กน้อยนี้ แต่ว่าเหล่าผู้คนในบ้านไพรวันก็ล้วนเกรงอกเกรงใจหล่อนอยู่หลายส่วนเช่นกัน
แน่นอนว่าแรกเริ่มสรภัสอึดอัดจนใจจะขาด แต่เพราะคำพูดของหัวเรือใหญ่ในบ้านหลังโตนี้ก็ทำให้ต้องจำยอมโดยไร้ข้อโต้แย้ง
‘พวกเขาล้วนแล้วแต่รู้กาลเทศะ ถึงไม่บอกกล่าวอะไร ก็ย่อมทำด้วยความสมัครใจเอง’
นั่งมองจำนวนดอกรักที่ยังเหลืออยู่ไม่มาก เธอบอกให้สาวใช้อายุอ่อนกว่าตนเองนำข้าวของที่ไม่ได้ใช้แล้วเอาไปเก็บให้เรียบร้อย ระหว่างนั้นเอง ที่ใบหูเล็กๆ ของหญิงสาวพลันได้ยินเสียงบางอย่างขึ้นมา
…นั่นเสียงรถยนต์ไม่ใช่หรือ?
สรุปผลได้ดังนั้นสรภัสก็ใช้เวลาไม่นานที่จะพาร่างของตนเองมาถึงชานบันไดหน้าประตูใหญ่ ประจวบกับที่รถยนต์คันงามอันคุ้นตาเคลื่อนตัวมาจอดนิ่งสนิท
เอรินที่เดินมาถึงในภายหลังราวกับตนเองก็ไม่รับรู้ว่าผู้เป็นนายจะมาเยือนในวันนี้หลังจากหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา หญิงสาวมีสีหน้าฉงนสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ลงไปเปิดประตูเพื่อให้หญิงสาวร่างสูงได้ย่างกรายลงมาโดยที่ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร
กลับเป็นเธอเสียอีกที่อดความสงสัยเอาไว้ไม่ได้เมื่อหล่อนก้าวเท้าขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เริ่มแรกสรภัสก็เผยยิ้มต้อนรับเช่นทุกที ทว่าเมื่อเห็นดวงหน้าสวยของหล่อนมีแววจริงจัง กังวลแล้วก็ปะปนไปด้วยความโล่งใจจึงทำให้สรภัสต้องเอ่ยถามออกมา
“คุณหญิง…?”
“…”
“ทำไมมองภัสแบบนั้นล่ะคะ”
ราวกับคนฟังเพิ่งจะรู้สึกตัวเมื่อได้ยินคำถามนั้น หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรรู้สึกว่าความคิดของตัวเองว่างเปล่าและมึนงงไปชั่วขณะเมื่อรู้ตัวว่ามาถึงบ้านไพรวันอันเป็นสถานที่ส่วนตัวของเธอเสียแล้ว
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้กำลังได้รับคำชมของทีมงานในกองถ่ายมากหน้าหลายตาอย่างเช่นทุกทีเมื่อตารางงานในวันนี้จบลง แต่เมื่อถึงคราวของชายหนุ่มร่างสูงที่มีเวลาว่างมาดูการทำงานของเธอได้บ่อยครั้ง เธอกลับรู้สึกว่าวันนี้มันไม่สบายใจเอาเสียเลย
‘คุณหญิงนี่เก่งจริงๆ เลยนะครับ บทอะไรก็เล่นได้หมดเลย คงมีของดีเก็บไว้กับตัวเสียล่ะมั้ง’
รู้ตัวอีกที..เธอก็ให้นายดลตรงดิ่งจากพระนครมาที่นี่เสียแล้ว..
“ไม่มีอะไร”จิลลาภัทรหลบสายตาเป็นใยของคนตรงหน้าก่อนจะหันกลับไปยังทางเดินตรงหน้าแทนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า“ฉันขอไปพักสักเดี๋ยว”
ร่างสูงโปร่งนั่งเอนกายอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ภายในห้องทำงานส่วนตัว วันนี้มันไม่มีเสียงดนตรีสากลเปิดคลอเพื่อเสริมสร้างความอภิรมย์ออกมาจากเครื่องเสียงที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องเช่นทุกครั้ง จิลลาภัทรเพียงนั่งหลับตาและจมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่สักพักใหญ่หลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้สบายขึ้น จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู และมันถูกเปิดออกด้วยน้ำมือของหญิงสาวที่เธอไม่ได้คาดคิดว่าจะเป็นคนก้าวเข้ามา
สรภัสยิ้มให้คนที่ทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินอ้อมมาว่างถาดที่มีกาน้ำชาและถ้วยชาหอมอุ่นๆ ลงตรงหน้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือ “น้ำชาค่ะคุณหญิง”
จิลลาภัทรไม่ใช้เวลาในการคิดอะไรมากนัก นอกเสียจากยิ้มรับแล้วยกถ้วยน้ำชานั้นขึ้นจิบด้วยสีหน้าที่คล้ายจะเบาบางลงมากกว่าเดิม“ขอบใจนะ”
สรภัสไม่ใช่คนที่อยากจะรับรู้เรื่องของคนอื่นมากนัก ทว่าอาการที่หญิงสาวตรงหน้ากำลังพยายามซุกซ่อนมันกลับทำให้เธอรู้สึกเป็นห่วง เรียวคิ้วสวยของหล่อนยังคงแสดงถึงความตึงเครียด นั่นก็มากพอแล้วที่จะทำให้เธอต้องค่อยๆ เอ่ยถามหล่อนออกไป
“…ภัสพอจะเป็นผู้ฟังที่ดีให้คุณหญิงได้ไหมคะ”
ดวงตาสีเข้มค่อยๆ เคลื่อนจากความคิดของตัวเองมามองเจ้าของคำถามนั้น จิลลาภัทรมองประกายความห่วงใยที่ไม่ได้คาดคั้นเธอให้บอกกล่าวด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะขยับมือของตนไปกอบกุมข้อมือบางเอาไว้ แล้วดึงรั้งแผ่วเบาให้หล่อนเข้ามาใกล้กันอีกนิด…ให้กลิ่นดอกไม้รัญจวนนั้นช่วยผ่อนคลายความคิดของตนเองลงบ้าง
“ถ้าฉันสามารถบังคับใจหล่อนได้เหมือนก่อน ฉันก็อยากให้หล่อนไปอยู่ที่บ้านเอรินในพระนครเสียเดี๋ยวนี้”
สรภัสมองเห็นแววตาคล้ายกับเหนื่อยล้าจึงถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”
จิลลาภัทรมองใบหน้าของหล่อนสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะมีคนสะกดรอยตามฉันอยู่”
“สะกดรอยตามหรือคะ!?-ใครจะทำแบบนั้นกัน--”
ฝ่ามืออุ่นกระชับเรียวแขนบางหยุดอาการตื่นตระหนกของคนฟัง ร่างสูงโปร่งสบดวงตาของอีกฝ่ายราวกับจะบอกว่าสิ่งที่กำลังจะกล่าวนั้นล้วนเป็นเพราะความรู้สึกภายในจริงๆ
“ที่ฉันร้องขอ เพราะฉันไม่อยากให้หล่อนเป็นอันตราย..”
เมื่อความจริงจังที่ถูกส่งออกมาให้ได้รับรู้ ทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่นั้นพูดอะไรไม่ออก เธอเข้าใจในสิ่งที่หล่อนต้องการจะบอก และก็รับรู้ด้วยว่าการปรากฏตัวของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ น่าจะสร้างปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับเธอทั้งสองคนอยู่ไม่มากก็น้อยในเร็ววัน
“…ภัสเข้าใจแล้วค่ะ”
สิ้นคำตอบที่ออกจากปาก ความโล่งใจก็ถูกถอนออกมาจากคนอายุน้อยกว่าพร้อมกับอ้อมแขนที่กระชับล้อมรอบเอวบาง จิลลาภัทรปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยล้าและความกังวลที่สะสมนั้นมลายหายไป ด้วยรู้สึกถึงความอบอุ่นจากเนื้อนวลบางของอีกคน
“ไว้จะรีบจัดการ ขอโทษที่ทำให้กังวลนะ”
“ภัสเชื่อในตัวคุณหญิงอยู่แล้ว” หญิงสาวตอบกลับด้วยใบหน้าคล้ายกับยังไม่ยอมคลายกังวล “…แต่ว่าภัสก็…อดรู้สึกกังวลไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
เจ้าของอ้อมกอดพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ เมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือของหล่อนที่เริ่มจะลูบปลอบอยู่บนศีรษะของตัวเอง “ขอฉันอยู่แบบนี้สักพักนะ”
สรภัสยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอไม่พูดอะไรอีกนอกเสียจากหวังจะปลอบประโลมความคิดของหล่อนให้เบาบางลงดูได้บ้าง
เสียงบรรเลงของเครื่องดนตรีเพียงหนึ่งเดียวลอยออกมาจากห้องนั่งเล่นประจำบ้านหลังใหญ่อย่างวังทัตพงศ์มาลี จิลลาภัทรเพิ่งจะเลิกกองและทำธุระส่วนตัวเสร็จไปหนึ่งอย่าง เธอจึงพึ่งได้กลับถึงบ้านในเวลามืดค่ำเช่นนี้ และเสียงดนตรีที่ดูรื่นรมย์จากเปียโนสีดำตัวใหญ่นั้น บ่งบอกว่าวันนี้พี่สาวคนกลางของเธอคงอารมณ์ดีไม่ใช่น้อย
“ดูซิว่าใครกลับมาบ้าน”
“อะไรเล่า” ทว่าพอโผล่หน้าเข้าไปกะจะหยอกล้อ ร่างสูงโปร่งกลับพบว่านอกจากพี่หญิงรดาแล้ว ยังมีพี่สาวของเธออีกสองคนที่เจอหน้าปุ๊บก็เอ่ยปากกระทบกระเทียบกันอีกเสียด้วย “แล้ววันนี้ทำไมถึงมาอยู่ที่วังได้พร้อมหน้ากันขนาดนี้ ไม่ดูแปลกไปหน่อยหรือ?”
“พวกเราก็ต้องพักผ่อนเหมือนกัน ใครจะไปงานยุ่งเหมือนคุณหญิงจิลลาภัทรกันล่ะ”หม่อมราชวงศ์นีราพรรณกล่าวสัพหยอกเสริมพี่สาวคนโตของตัวเอง ก่อนจะหันไปมองหน้ากันอย่างมีเลศนัย
หญิงสาวผิวขาวที่เป็นผู้บรรเลงปลายนิ้วลงบนแท่นเปียโนยิ้มขำขันออกมาหลังจากหยุดเล่นไปได้สักพัก“จริงสินะ แต่ต่อจะให้ยุ่งขนาดไหน ก็ยังอุตส่าห์หาเวลาไปจัดที่อยู่อาศัยให้แขกคนสำคัญได้”
“จิลมีเหตุผลของจิลหรอกน่า”
“เหตุผลใหญ่แค่ไหนก็ใช้มาอ้างไม่ได้แล้วล่ะนะ” หม่อมราชวงศ์จินณวัตรพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ก่อนหน้าลงบนโซฟาก่อนจะมองน้องสาวคนเล็กที่ยังทำเป็นกอดอกไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ตกลงว่าอย่างไร ทำไมถึงไม่พาคุณภัสเขาเข้ามาอยู่ในวังเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
“โธ่ พี่จิน..”จิลลาภัทรถึงกับปรารภเสียงอ่อนเมื่อได้ฟัง เพราะธุระส่วนตัวที่เธอหมายถึงก่อนหน้าก็เกี่ยวข้องกับนวลนางที่อยู่ในบ้านไพรวันนั่นอย่างไร ก็แค่หลังเลิกกองแล้วเธอก็ตรงไปที่บ้านของเอรินที่อยู่ไม่ห่างจากวังทัตพงศ์มาลีมากนักเลยแวะเวียนสั่งการให้ที่อยู่อาศัยเพียบพร้อมเท่านั้น อีกอย่าง ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าพี่ชายใหญ่ยังรู้เรื่องนี้ไม่ได้แท้ๆ ทำไมพี่หญิงใหญ่จะต้องประชดประชันกันด้วยล่ะหนอ
จินณวัตรหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างสบายใจเมื่อเห็นสีหน้ายู่ๆ ของคู่สนทนา “เอาเถอะ พวกพี่เองก็ยังไม่ได้คุยกับหล่อนเป็นทางการ แต่อย่างไรก็อยากให้รู้ว่าจับตาดูอยู่ตลอดนะ”
“น้องหญิงเล็กเพิ่งกลับมา อย่าหาเรื่องให้เธอเหนื่อยหน่อยเลยน่า”นีราพรรณกล่าวขึ้นเมื่อน้ำชาหยุดสุดท้ายในถ้วยนั้นหมดลง ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งเข้ามาโอบร่างของน้องสาวคนเล็กให้เดินไปด้วยกันยังโถงทางเดิน“ไปเถอะ เดี๋ยวมันจะดึกมากกว่านี้เสียก่อน”
เมื่อออกมาจากเขตห้องนั่งเล่นและเสียงบรรเลงเปียโนได้ดังขึ้นอีกครั้ง จิลลาภัทรก็หันมองพี่สาวคนรองอย่างรู้ความ เพราะหากมีอะไรที่จะพูดต่อหน้าคนอื่นได้ล่ะก็ หล่อนคงกล่าวต่อหน้าพี่หญิงใหญ่กับพี่หญิงรดาไปนานแล้ว
“พี่หญิงนิ่มมีอะไรหรือเปล่า?”
“เราวางแผนจะทำยังไงต่อ” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณถามด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อยเมื่อร่างสูงโปร่งนั้นรับรู้ในการกระทำของเธอเอง “ถ้าให้คุณภัสเข้ามาอยู่ในพระนคร มันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือ”
จิลลาภัทรถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก แต่ก็เอ่ยตอบออกไปด้วยความมั่นใจ “…จริงอยู่ว่ามันเสี่ยง แต่จิลอยากจะวางหล่อนไว้ใกล้ตัวมากกว่า เพราะที่ที่อันตรายที่สุด ก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดอยู่แล้ว”
ร่างเพรียวยิ้มรับคำตอบจากคนข้างๆ กายก่อนจะพูดเรื่องต่อไปขึ้นมา “งานใหม่ที่เราขอเมื่อสามวันก่อน พี่ได้ข่าวมาแล้วนะ”
“สรุปว่าจิลไม่ได้รู้สึกไปเองใช่ไหมว่ามีคนกำลังสะกดรอยตาม?”
“คนของพี่จับมันได้ตอนปลอมตัวเป็นชาวบ้านทำทีเป็นเดินผ่านไปมา แต่มันก็รู้ตัวแล้วหนีไปก่อนจะได้ถามว่าเป็นใครมาจากไหน”นีราพรรณอธิบายด้วยน้ำเสียงติดเสียดายนัก เรื่องนี้มันทำให้ความเป็นห่วงของเธอที่มีต่อน้องสาวยิ่งมากขึ้นไปอีก เพราะไม่อาจบอกได้ว่าผู้คุกคามนั้นเป็นใครมาจากไหนและต้องการอะไรกันแน่
“รู้สึกไม่ดีเลย”
“งั้นก็ทำถูกแล้วที่ให้คุณภัสมาอยู่ใกล้ๆ จะให้หล่อนย้ายมาเมื่อไหร่ล่ะ”
“คงต้องอีกสักพัก เพราะเรื่องที่ถ่ายอยู่ใกล้จะปิดกล้องแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เอรินระมัดระวังมากขึ้นเป็นสองเท่า และห้ามคลาดสายตาจากทุกบริเวณรอบบ้านไพรวันให้ดี”
จิลลาภัทรค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหวฝ่าเท้าของตนเองลงเมื่อได้รับฟังคำเตือนจากอีกคน “..พี่หญิงรู้อะไรมาใช่ไหม?”
นีราพรรณค่อยๆ หยุดเท้าของตนลงเช่นกัน ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันมามองน้องสาวคนเล็กด้วยแววตาลำบากใจ “เสี่ยเม้งเริ่มเคลื่อนไหวบางอย่างแล้ว”
“ฉันไม่อนุญาตค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ หรือว่าเหตุผลเดิมอีกแล้ว”สรภัสหลุดเสียงอ่อนใจออกมาใส่คนที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน “อย่างน้อยก็บอกให้รู้สักหน่อยก็ได้”
“มันเป็นคำสั่งของคุณหญิง ฉันบอกคุณได้เท่านี้แหละค่ะ”
เอรินตอบพลางพยายามที่จะไม่สนใจใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังแสดงสีหน้าอ้อนวอน หล่อนยังคงสวมชุดแบบสาวใช้เหมือนเคยแม้จะบอกหลายครั้งแล้วว่าเธอเป็นแขก หลังจากมีคำสั่งจากหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรให้หล่อนไปอยู่ที่บ้านของตัวเองในพระนครก็ไม่เห็นจะแสดงท่าทีหรือแผลงฤทธิ์อะไร แต่พอเหลืออีกวันเดียวที่จะต้องย้ายจากบ้านไพรวัน เจ้าหล่อนกลับอยากจะไปพบเด็กหนุ่มที่เคยมาที่นี่บ่อยๆ ก่อนจะเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้เสียได้
“แต่ตายศก็เป็นคนรู้จักของคุณหญิง หล่อนต้องเข้าใจสิ่งที่ฉันจะทำแน่ค่ะ จริงๆ นะคะ”
ถึงจะรู้ตัวว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีอะไรไว้ติดตัวมามากนัก แต่สิ่งหนึ่งสรภัสไม่อาจมองข้ามได้ก็คือเด็กหนุ่มที่มาร่ำเรียนศิลปะการรำด้วยกันจากตลาดน้ำคนนั้น เขานับถือเธอเป็นอาจารย์ และเธอเองก็เป็นห่วงเหลือเกินว่าถ้าหากมารดาของเขายอมเข้าใจสิ่งที่ลูกชายทำแล้วเขาจะตามหาเธอเพื่อร่ำเรียนมันต่อไม่ได้อีก และในฐานะของคนที่รู้จักกัน เธอก็อยากจะร่ำลาเขาให้ถูกต้องเสียก่อน
หญิงสาวที่ยืนกอดอกอย่างไม่ไหวติงนั้นหันมองใบหน้าจริงใจของอีกฝ่ายก็คล้ายกับภูผาที่ถูกหยาดฝนนั้นสั่นคลอน เอรินถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะยอมตอบรับคำขอของหล่อนไป
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับคุณ”
บรรยากาศของตลาดน้ำที่เคยมาเยี่ยมเยียนยังคงเหมือนเดิม ผู้คนมากมายยังคงจับจ่ายซื้อของ จะมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม ก็คือร้านขายยาที่เธอตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียนนั้นถูกปิดตายและไม่มีวี่แววของใครอยู่เลย
“ดูเหมือนคุณจะเสียเที่ยวแล้วนะคะ”เอรินหันบอกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ หล่อนดูมีสีหน้าของความเสียดายและผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะกล่าวออกมาราวกับจะพึมพำกับตัวเอง
“ขอโทษที่ต้องให้รบกวนค่ะ”
หญิงสาวไม่รู้จะทำเช่นไรให้หล่อนมีสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ระหว่างทางที่เดินกลับมายังที่จอดรถ เอรินจึงได้แต่เดินประกบข้างๆ เป็นเพื่อนเท่านั้น
“?” ทว่าเมื่อมองเห็นรถยนต์ของตน มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งอันซึ่งล้วนเป็นชาวบ้านแต่รูปร่างดั่งชายฉกรรจ์ยืนล้อมอยู่ สัญชาตญาณของเธอก็บ่งบอกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ “พวกแกเป็นใคร”
พวกมันมองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองเธอทั้งสองด้วยแววตาดั่งสัตว์ที่พร้อมล่าเนื้อ
“ฉันถาม ก็ตอบ”
“เราไม่มีธุระอะไรกับคุณผู้หญิงหรอก”ชายคนหนึ่งก้าวเท้าออกมาด้านหน้าพลางพยายามเค้นรอยยิ้มที่เป็นมิตร“แต่สาวใช้คนนั้นน่ะ เรามีเรื่องในอดีตที่ต้องคุยกันสักหน่อย เพราะฉะนั้นก็ช่วยหลบไปด้วย”
ความแวดระแวงที่แปรเปลี่ยนเป็นความกลัวในฉับพลันทำให้สรภัสหน้าซีดลงทันตา ฝ่าเท้าก้าวถอยไปยังข้างหลังของหญิงสาวผู้มีตำแหน่งเป็นหัวเรือใหญ่ของผู้มีพระคุณอย่างไม่รู้ตัว
พลั่ก!
“โอ้ย!”ชายผู้ตรงเข้ามาจับข้อมือของสรภัสอย่างไม่ทันตั้งตัวถึงกับร้องโอ้ยถูกฝ่าเท้าสวนกลับข้างลำตัวพอดิบพอดี“นังตัวดี!”
“เรื่องของผู้หญิงของนายฉัน มันก็เป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน”
หญิงสาวตั้งท่ารับมือกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เริ่มตอบโต้ตามสัญญาของหัวหน้ามัน ในขณะที่อีกด้านก็ต้องคอยระวังให้ร่างบางที่อยู่ด้านหลังนั้นถูกชายใดแตะเนื้อต้องตัว สรภัสจึงได้แต่ปิดปากตกใจที่เห็นคนดูแลระเบียบเรียบร้อยของบ้านพักตาอากาศนั้นกล้าท้าทายพวกมันและวิ่งหลบตามคำสั่งของเอรินไปอย่างสุดชีวิตเท่านั้น
ฉัวะ!
“เอริน!”
แต่การฝึกฝนที่ได้รับโอกาสมาจากคุณหญิงใหญ่ยังไม่อาจทำให้เธอทัดเทียมกับพวกนักเลงหัวไม้ลอบกัด เอรินกัดฟันกรอดเมื่อความเย็นเฉียบของของมีคมนั้นบาดลึกไปที่หัวไหล่ พวกที่เหลือไม่ถึงกับล้มแต่ก็ยังถ่วงเวลากันได้ เธอจึงออกแรงยันร่างของชายฉกรรจ์ที่ลอบกัดนั้นใส่พวกมันที่กำลังวิ่งเข้ามาเสริมให้ล้มระเนระนาด แล้วหันไปคว้าข้อมือของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังให้วิ่งขึ้นรถไป
“คุณภัส!วิ่งค่ะ!”
รถยนต์คันงามเลี้ยวเข้าบ้านไพรวันอย่างเร่งรีบ การมาถึงของหญิงสาวทั้งสองคนกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาในบ้านทำให้สาวใช้ภายในบ้านไพรวันต่างละสมาธิจากสิ่งที่ตนเองทำอยู่อย่างอดสงสัยไม่ได้
“รีบไปเอากระเป๋าลงมาค่ะ ช่วยหยิบมาเท่าที่จำเป็นด้วย”
สรภัสหันมองบาดแผลที่ยังมีเลือดไหลออกมาจากแขนเสื้อมาตามทางก่อนจะเถียงกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณเจ็บตัวอยู่นะ จะยังมาบอกให้ฉันไปเก็บเสื้อผ้าก่อนอีกหรือคะ!”
“ถ้าคุณไม่เข้าไปพระนครตอนนี้ พวกมันจะตามมาถึงที่นี่แน่ คุณรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงที่ไม่ปลอดภัย”
น้ำเสียงจริงจังพร้อมสีหน้าต่อว่าของเอรินทำให้หญิงสาวที่นึกเป็นห่วงร่างกายของหล่อนนั้นชะงัก ราวกับว่าที่ผ่านมาที่หล่อนห้ามนั่นห้ามนี้คนในบ้านก็เพราะรับรู้ว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอยู่แล้ว และการที่หล่อนต้องมาเจ็บตัว ก็เพราะความต้องการที่จะออกไปในวันนี้แท้ๆ
เอรินมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“แค่ห้ามเลือดไว้ระหว่างทางก็จะไม่เป็นไรแล้ว คุณภัสรีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณหญิงจะเป็นห่วง”
ร่างอรชรภายใต้เสื้อคอกลมสีขาวและกระโปรงผ้าซิ่นธรรมดาสำหรับนิทราในคืนนี้ เจ้าของดวงหน้างามต้อนรับดั่งดอกไม้ถึงเวลาบานสะพรั่งอวดโฉมรอคอยให้ใครต่อใครมาเชยชม เด็กสาววางถังน้ำในมือที่ถือออกมาจากตัวบ้านไว้ข้างๆ กับโอ่งน้ำลายมังกรก่อนจะถอนหายใจเมื่อค่ำคืนนี้จะจบลงและเธอจะได้ไปเข้านอนเสียที ถ้าหากว่าไม่มีเสียงรถยนต์เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ในบริเวณรั้วบ้านเสียก่อน
“แม่ รถพี่เอรินนี่คะ”เด็กสาวร้องบอกหญิงวัยกลางคนในบ้านที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ไม่นานหญิงกลางคนผู้ยังมีใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ขยับศีรษะออกมาจากประตูพร้อมด้วยสีหน้าครุ่นคิดระคนสงสัยที่เห็นรถคุ้นตาของผู้เปรียบเสมือนเป็นลูกสาวตัวเอง
“หรือว่าจะมาส่งแขกคนสำคัญของคุณหญิงจิล ไหนว่าจะเป็นเย็นพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ?”
ไม่มีใครคลายความสงสัยให้แก่คนทั้งสองได้จนกระทั่งพาหนะสีเหลืองอ่อนนั้นหยุดลงกับที่ และปรากฏร่างของหญิงสาวสองคนออกมาจากรถคันนั้น
“เอริน..ไปทำอะไร-”
“คุณป้าคะ”เอรินเริ่มเป็นฝ่ายเริ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไร้เรี่ยวแรง และหันไปแนะนำหญิงสาวที่มาด้วยกันโดยทำเป็นสนใจสายตาที่พุ่งเป้ามายังแขนเสื้อที่มีรอยเลือดซึมออกมา “นี่คุณภัส แขกของคุณหญิงจิลลาภัทร ช่วยพาเธอไปที่ห้อง..ด้วย…นะคะ”
“พี่เอริน!”
สั่งจบก็ไม่วายแทบจะสิ้นสติไปต่อหน้าบุคคลทั้งสองในทันที สรภัสตรงเข้ามาพยุงร่างของหญิงสาวที่เธอพยายามห้ามเลือดให้หล่อนมาตลอดทางอย่างไม่อิดออดคราบเลือดพวกนั้น ก่อนจะหันมากล่าวกับเจ้าของบ้านตรงหน้าด้วยความกังวล
“เธอโดนทำร้ายก่อนออกมาน่ะค่ะ แต่ไม่ยอมให้ทำแผล เหมือนจะเสียเลือดไปมากด้วย พาไปพักที่เตียงก่อนจะดีกว่านะคะ”
ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบ มีบ้านหลังหนึ่งที่วุ่นวายกันแทบจะไม่มีใครได้นอน กระทั่งแสงอาทิตย์เคลื่อนกายขึ้นมาทักทายขอบฟ้านั่นแหละถึงจะมีคนพอหายใจหายคอกันได้ รถยนต์คลาสสิคคันหรูเลี้ยวเข้ามาภายในรั้วบ้านหลังนั้นก่อนจะหยุดมันด้วยความเร็ว ร่างสูงโปร่งของหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรปรากฏขึ้นบริเวณประตูหน้าบ้าน เธอไม่จำเป็นต้องเคาะประตูเพราะความสนิทสนมที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานระหว่างสองครอบครัว ใบหน้าสวยคมนั้นเจือไปด้วยความกังวลและร้อนใจระหว่างที่ก้าวเท้าผ่านห้องแล้วห้องเล่า กระทั่งปะหน้าเข้ากับเด็กสาวที่เธอเคยเห็นมาตั้งแต่เล็กจนเป็นสาวสะพรั่งนั้นเดินถือกะละมังน้ำอุ่นออกมาจากห้องที่เธอตั้งใจจะเข้าไป
“อ้ะ คุณหญิง”
“มีน” จิลลาภัทรรีบถามเด็กสาวที่ยังมีสีหน้าตกใจกับการมาของเธอ “เอรินเป็นอย่างไรบ้าง”
เด็กสาวส่ายหน้าอย่างกังวล“ยังไม่ตื่นเลยค่ะคุณหญิง คุณสรภัสเขากำลัง--”
ยังไม่ทันได้กล่าวประโยคจบ ร่างสูงโปร่งนั้นก็เดินผ่านเธอเข้าในห้องนั้นราวกับเป็นอากาศแทบจะทันที หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรตรงเข้าไปหาร่างของหญิงสาวที่ยืนขึ้นเพราะการมาของเธอก่อนจะรวบรัดร่างบอบบางนั้นเข้าสู่อ้อมกอดในทันที
“คุณหญิง?” สรภัสทำตัวไม่ถูกเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ตรงเข้ามาเช่นนี้ อันที่จริงเธอแอบตกใจและอยากถามด้วยหน่อยๆ ว่าเหตุใดข่าวคราวไปถึงหล่อนเร็วเหลือเกิน
จิลลาภัทรข่มเปลือกตาของตัวเองก่อนจะกล่าวออกมาแผ่วเบา“ฉันตกใจ”
และเพียงเท่านั้นก็ทำให้สรภัสพอจะเข้าใจอารมณ์และการกระทำของหล่อนได้มากโข
“ภัสไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แม้แต่รอยขีดข่วนก็ไม่มีเลย”เธอยิ้มบางๆ ระหว่างที่ดันให้คนขี้ห่วงนั้นเคลื่อนมามองหน้ากัน “เอรินเธอช่วยชีวิตภัสไว้ค่ะ”
จิลลาภัทรหันมองคนสนิทที่ยังไม่ได้สติอย่างนึกขอบคุณและเป็นกังวล ก่อนจะหันมามองคนที่ยังมีรอยยิ้มอันหนักอึ้งอยู่บนใบหน้า
“หล่อนไม่ได้โทษตัวเองใช่ไหม”
“…”
“ภัส”
ได้ยินเสียงที่ถามย้ำอย่างจริงจัง หญิงสาวที่มีท่าทางเข้มแข็งก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนไป สรภัสข่มดวงตาของตัวเองลงราวกับหวาดกลัวที่จะย้อนภาพในความทรงจำนั้นให้คืนมา
“ภัสจำหนึ่งในพวกมันได้ค่ะ” เธอบอก “เป็นคนของเสี่ยเม้งจริงๆ”
จิลลาภัทรมองคนอายุมากกว่าที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะปกป้องความอ่อนแอของตัวเอง เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะวาดแขนนั้นรอบไหล่บางที่เริ่มจะสั่นระริก หากเจ็บปวดแทนได้ จิลลาภัทรก็อยากจะรู้สึกมันแทนหล่อนเสียเหลือเกิน
ทุกคำพูด ทุกการแสดงสีหน้าและความรู้สึก อยู่ในสายตาของเด็กสาวที่กลายเป็นอากาศไปในตอนแรกทั้งหมด เธอมีสีหน้าประหลาดใจและก็ขุ่นเคืองไม่ใช่น้อยเมื่อจับใจความได้ว่า สาเหตุที่พี่สาวของเธอต้องเจ็บตัวปางตาย เป็นเพราะใครกันแน่…
โครม!
“ไอ้พวกโง่ แล้วทำไมมึงไม่ตามมันไปเล่า!!?”ชายร่างท้วมตะคอกใส่ชายฉกรรจ์คนสองคนที่เพิ่งถูกถีบล้มลงไปกับพื้น ใบหน้าของมันมีสีแดงบ้างเขียวบ้างอย่างคนหักห้ามอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ได้
“ก็คนที่มากับนังนั่น เหมือนจะไม่ธรรมดาเลยครับเสี่ย..”
ผัวะ!
หน้าของชายที่ตอบนั้นหันไปอีกข้างเมื่อลูกเตะละล้าละหลังของผู้เป็นนายเสยเข้าที่ปลายคางเต็มๆ
“ไสหัวไป ถ้ายังไม่ได้ข้อมูลและประวัติทั้งหมดของคนที่ซ่อนนังนั่นมาให้กู พวกมึงก็ไม่ต้องโผล่หน้ากลับมา!”
เมื่อพวกไร้ประโยชน์ออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมแล้ว ชายร่างท้วมที่ยังคงมีอารมณ์คุกกรุ่นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด เอาแต่คิดว่าใครกันที่จะกล้าซ่อนคนๆ หนึ่งเอาไว้แล้วรอดพ้นสายตาตัวเองไปได้ วันนั้นที่ไปพบไอ้หน้าละอ่อนที่ส่งรูปภาพมาให้ มันก็เอาแต่พลิกลิ้นไปมาไม่ยอมบอกแถมจะเรียกราคาเพิ่มเสียอีก แล้วมีหรือเสี่ยเม้งอย่างมันจะยอมเสียศักดิ์ศรีให้ใครก็ไม่รู้มาซื้อขายเป็นของเล่น
“ถ้าได้มา แล้วเสี่ยจะเอายังไงกับคนที่ปกป้องผู้หญิงคนนั้นหรือครับ”
ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่กลัวลูกหลงจากอารมณ์ของเจ้าของห้องเลยสักนิด
“ถามโง่ๆ ก็เก็บมันสิ จะให้มันอยู่พาพ่อมาเอาเราเข้าตารางหรือยังไง”
“แม้ว่าคนๆ นั้นจะมีอะไรเหนือกว่าใครในพระนครหรือครับ”
ประโยคนั้นอย่างกับน้ำที่ดับไฟในกายของชายร่างท้วม เสี่ยเม้งหันมองลูกน้องหน้าละอ่อนที่เพิ่งจะคุ้นหน้าคุ้นตากันไม่นาน แต่ถึงอย่างนั้นระหว่างทำงานด้วยกันก็รู้ดีว่าไอ้หนุ่มนี่ฝีมือดีไม่หยอก เก็บเงียบและสะอาดเอี่ยมอ่อง ถ้าจะเทียบกับพวกที่อยู่ด้วยกันมานาน เห็นทีจะเทียบไม่ติดเลยกระมัง
“เอ็งรู้ได้ยังไง”
“เสี่ยก็รู้นี่ครับว่าก่อนเสี่ยจะรับผมเข้าทำงาน ผมมีเส้นสายในใต้ดินเยอะขนาดไหน”
“…ถ้าอย่างนั้นก็รีบพูดมาสิวะ”
“แต่ผมมีเรื่องจะขอกับเสี่ยก่อนที่ผมจะบอกว่าคนๆ นั้นคือใคร”
ชายร่างท้วมเริ่มรู้สึกถึงความห้าวหาญที่เกินหน้าเกินตา ถึงจะยอมรับในเรื่องฝีมือ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเคยมีลูกน้องคนไหนมาต่อรองกับเขาแบบนี้ “…มึงว่ายังไงนะ”
ชายหนุ่มขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มอย่างสบายอารมณ์“เรื่องที่ผมจะบอกเสี่ยต่อไปนี้ นอกจากจะทำให้เสี่ยได้ตัวผู้หญิงคนนั้นแล้ว ก็ยังจะกำจัดไอ้ละอ่อนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้านั่นออกไปจากทางของเสี่ยได้ด้วย”
ยามบ่ายคล้อยในบ้านอันสงบสุขมุมหนึ่งในพระนคร สรภัสที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นดั่งสาวชาวบางกอกทั่วๆ ไปก้าวเดินลงมาจากบันไดเมื่อความเบื่อหน่ายเข้าครอบงำ เป็นวันที่สองแล้วที่เธอได้ย้ายจากบ้านไพรวันมาอยู่ที่แห่งนี้ เธอได้ทราบว่ามันเป็นบ้านของผู้มีพระคุณของเอรินในวัยเด็ก และจากผลพลอยได้ที่เอรินทำงานให้กับวังทัตพงศ์มาลี บ้านหลังนี้จึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไปโดยปริยาย
แม้ภายในบ้านจะเพียงแค่คุณป้าและเด็กสาวที่ชื่อมีนกับเอรินที่กลับมานานๆ ครั้ง แต่ด้วยความที่มันไม่ใช่ขนาดที่ใหญ่เท่ากับบ้านไพรวันนัก จึงไม่ได้ให้ความรู้สึกอ้างว้างหรือแปลกแยกมากไปนัก
แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ คนที่นี่ไม่ยอมให้เธอหยิบจับอะไรเลยแม้เธอจะเสนอตัวแล้วก็ตาม
คิดอย่างนั้นก็พอดีกับที่เด็กสาวกำลังจะเดินออกมาจากห้องทางด้านซ้ายพร้อมด้วยผ้าเสื่อหมอนใบในอ้อมแขน สรภัสยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จากการมองแล้วก็รู้ว่าน่าจะอายุอานามใกล้เคียงกันกับตายศที่ไปอยู่ไหนแล้วไม่รู้ ทำให้เธออยากจะสร้างสัมพันธ์กับอีกฝ่ายไว้ให้เป็นเพื่อนเล่นด้วยกันได้
แต่สิ่งที่สรภัสได้กลับมา กลับเป็นท่าทีเมินเฉยและเดินผ่านไปของอีกคนเสียนี่
เด็กสาววางสิ่งที่หอบมาลงในตะกร้าข้างๆ โต๊ะที่จัดวางพวกกรอบรูปและแจกัน ก่อนจะหยิบไม้ขนไก่ที่เหมือนจะทำค้างเอาไว้นั้นมาเช็ดถูต่อโดยไม่สนใจว่าใครจะยืนอยู่เลย
ตุ้บ!
แต่เหมือนกับความต้องการของสรภัสจะเป็นใจ ดลบันดาลให้หนังสือเล่มหนึ่งนั้นร่วงหล่นลงมาจากโต๊ะที่สูงระดับเอวใกล้ๆ ตรงที่เธอยืนพอดี หญิงสาวจึงย่อตัวลงไปหมายจะเก็บมันขึ้นมา พอดีกันกับที่เด็กสาวรุดตัวลงมาคว้ามันกลับไปเข้าหาตัวเอง
“ให้ฉันช่วยนะคะ”
“ไม่ต้องค่ะ ฉันทำเองได้ คุณไม่ต้องยุ่ง” น้ำเสียงเย็นชาประกอบกับดวงตาเฉยเมยทำให้สรภัสจำต้องปล่อยมือให้หนังสือนั้นลอยเข้ามือเด็กสาวไป
“อ้าว คุณภัส มาทำอะไรตรงนี้หรือคะ”หญิงกลางคนก้าวออกมาจากอีกห้องและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ป้านงค์เป็นเจ้าของบ้านที่เป็นมิตรและทำให้เธอนึกถึงผู้เป็นยายที่บ้านเกิดเสมอ แม้สรภัสจะนึกเกรงใจอยู่หลายครั้งที่หล่อนดูแลเธอราวกับเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ก็ตาม
“ภัสนั่งอยู่ในห้องเฉยๆ เลยรู้สึกเบื่อๆ น่ะค่ะ ว่าจะมาหาอะไรทำสักหน่อย”
ระหว่างที่เธอตอบหญิงกลางคนไป ก็มีเสียงเบาๆ พึมพำออกมา “ถ้าว่างขนาดนั้น ก็ไปนั่งสำนึกผิดอยู่เงียบๆ สิว่ามาทำให้คนอื่นเดือดร้อนทำไม”
“ยายมีน!”
“โอ้ย แม่!?” เด็กสาวร้องเสียงหลงเมื่อถูกหยิกเข้าที่ต้นแขน ก่อนเจ้าตัวจะทำสีหน้าคาดโทษแล้วโอบอุ้มตะกร้าหนีหายไปอีกทาง ทิ้งให้ผู้เป็นมารดาต้องหันมาขอโทษเธอด้วยความอ่อนใจ
“ขอโทษด้วยนะคะที่ลูกสาวทำตัวแบบนี้”
สรภัสส่ายหน้าด้วยความเข้าใจ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คงเพราะภัสทำให้เอรินเจ็บตัว เธอก็ไม่เลยไม่ชอบหน้าภัสเท่าไหร่”
เพราะป้านงค์และครอบครัวคือผู้มีพระคุณสำหรับเอรินที่กำพร้า ความสัมพันธ์ของเด็กสองคนที่เติบโตมาด้วยกันจึงทำให้เธอพอจะเข้าใจพวกเธอได้อยู่บ้าง
“เอรินเป็นเด็กคนที่แกสนิทสนมด้วยเหมือนพี่สาวมาตั้งแต่เล็ก ขอบคุณคุณภัสที่เข้าใจนะคะ”
“ภัสขอรับคำขอโทษเป็นการหางานบ้านให้ภัสทำดีกว่าค่ะ”
หญิงกลางคนเลิกคิ้วด้วยความงุนงงนิดๆ “..งานบ้านหรือคะ?”
“ใช่ค่ะ อะไรก็ได้”
หล่อนมีท่าทีลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น เพราะคำนิยามที่ว่าเธอเป็น ‘แขก’ของคุณหญิงจิลลาภัทร แต่สุดท้ายแล้วหล่อนก็ยอมเอ่ยปากออกมา “ถ้าอย่างนั้น คุณภัสไปร้อยมาลัยกับป้าที่หลังบ้านแล้วกันค่ะ”
รอบบ้านอันสุขสงบ เสียงร้องของบรรดานกและสายลมที่ผ่านแมกไม้ยิ่งเสริมสร้างความร่มรื่นขึ้นยิ่งนัก หญิงสาวผู้เป็นคนสนิทของหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรก็ได้ฟื้นคืนสติในวันที่สี่ของการมาอาศัยอยู่ในพระนคร สรภัสเองก็โล่งไปได้เปราะใหญ่ บวกกับเริ่มที่จะปรับตัวอยู่ในบ้านหลังนี้ได้แล้ว นอกจากการช่วยป้านงค์ร้อยมาลัยเช่นที่ทำอยู่ตอนนี้ เธอก็พอได้ช่วยเรื่องเย็บปักถักร้อยและทำขนมส่งขายคนในตลาดด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวป้าไปเปิดเอง คุณภัสอยู่นี่แหละจ้ะ”หญิงกลางคนหันมาบอกเธอที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ เมื่อเสียงบีบแตรรถยนต์ได้ดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเนื่องจากเป็นเวลาเดียวกันกับที่บรรดาแม่ค้าจะมาที่บ้านรับขนมไปขาย สรภัสจึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มก่อนจะกลับมาสนใจพวงมาลัยในมือของตนอีกครา
ไม่รู้ว่าเพราะเวลาผ่านไปเร็วหรือเพราะความชำนาญในการร้อยเรียงของหญิงสาวกันแน่ พวงมาลัยที่สรภัสทำอยู่ในตอนแรกก็เสร็จสิ้นไปวางไว้บนกระจาดใบตอง ในขณะที่พวงที่อยู่ในมือนั้นก็เหลือเพียงแค่ถอดเข็มยาวออกมาจัดการให้เรียบร้อยเท่านั้น จึงไม่ทันได้เห็นเงาของใครบางคนที่มาหยุดยืนอยู่ด้านหลังตัวเองสักพักใหญ่แล้ว
จ้องมองคนที่นั่งพับเพียบทิ้งความสนใจไปที่พวงมาลัยเพียงอย่างเดียว หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรก็ตัดสินใจค่อยๆ ก้าวเท้าแผ่วเบาไปนั่งลงบนแคร่ไม้ตัวเดียวกัน แล้วยื่นมือลงไปทาบทับมือนวลที่กำลังจะวางเข็มยาวสำหรับร้อยมาลงไปพอดิบพอดี
“คุณหญิง? ทำไมมาไม่ให้สุ่มให้เสียงแบบนี้ล่ะคะ”
มองเห็นสีหน้าที่ตกใจในตอนแรกก่อนจะเปลี่ยนเป็นโล่งใจในภายหลังก็ทำให้จิลลาภัทรหลุดยิ้ม ยิ้มไปอธิบายไปเสียจนร่างบางตรงหน้าต้องขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจนัก
“ก็เห็นหล่อนดูจริงจังกับมาลัยตรงหน้า ฉันก็เลยลองดูว่าถ้าเดินเข้ามาแบบนี้จะรู้ตัวไหมน่ะสิ”
“แต่ก็ไม่ควรเข้ามาทางด้านหลังระหว่างถือของแบบนี้อยู่สิ ถ้าภัสตกใจมากกว่านี้แล้วเผลอทำร้ายคุณหญิงไปจะทำยังไงคะ”
จิลลาภัทรหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าตำหนิอย่างกึ่งจริงจัง ก่อนจะถอนมือออกจากมือนิ่มให้เป็นอิสระออกมา
“ถ้าหากฉันตายด้วยมือหล่อนแล้วไปโผล่สวรรค์ ก็คงไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก”
“คุณหญิง!” สรภัสเผลอขึ้นเสียงใส่หล่อน แม้ว่าประโยคนั้นจะทำให้เธอรู้สึกร้อนผ่าวๆ ก็ตาม“มันใช่เรื่องล้อเล่นหรือคะ”
มองหญิงสาวที่หันกลับไปสนใจการร้อยมาลัยในมือของตนเองด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก ดูท่าแล้วความห่วงใยของหล่อนคงมีมากจริงๆ จิลลาภัทรจึงค่อยๆ ลดรอยยิ้มชอบใจของตนเองลง แล้วขยับกายที่นั่งอยู่นั้นไปชิดแผ่นหลังเล็กก่อนจะเอ่ยปากราวกับร้องขอความเห็นใจ
“โกรธหรือ?”
“…”
“จิลขอโทษ”
สรภัสพยายามที่จะไม่มองสันจมูกโด่งและใบหน้าสวยคมอยู่ไม่ห่างจนแทบจะกลายเป็นการโอบกอดจากด้านหลัง เวลานี้แม้แต่สายลมที่เคยลอดผ่านแมกไม้ก็ยังคลายความร้อนจากการกระทำของหล่อนไม่ได้ ไอ้โกรธหรือก็โกรธ แต่เธอรู้สึกจริงจังแบบนั้นเสียที่ไหน แค่นึกอยากจะปรามคนที่ขยันทำให้ใจดวงน้อยของเธอแกว่งไกวยิ่งกว่าชิงช้าก็เท่านั้นเอง
“คุณหญิงไปหาเอรินหรือยังคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ก็ยังไม่หันมาสบตากันอย่างไว้ที
“ไปมาแล้ว”คนสูงกว่าตอบด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี “ถึงได้มาหาหล่อนนั่นแหละ”
หญิงสาวมองค้อนคู่สนทนาก่อนจะถอนหายใจ“จะเทียวมาทำไมบ่อยๆ คะ ภัสก็แค่อยู่บ้านไปวันๆ เหมือนคราวที่อยู่บ้านไพรวันนั่นแหละ”
กล่าวไปอย่างนั้นเพราะเธอเองก็แอบเป็นห่วงภาพลักษณ์ของคุณหญิงจิลลาภัทรไม่ใช่น้อย หากมีใครพบเห็นว่าคนอย่างหล่อนมาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ เข้า ก็เกรงว่าจะเกิดเสียงนินทาจากรอบๆ บ้านมาได้ ในเมื่อที่แห่งนี้หาใช่สถานที่ที่เป็นส่วนตัวอย่างบ้านไพรวันเนี่ยสิ
“คงเพราะคิดถึงกลิ่นของมาลัยดอกไม้สดกระมัง”คนตัวสูงพูดเรียบๆ “ฉันเลยต้องคอยมาหาเอง”
สรภัสหันมองคนกล่าวประโยคนั้นราวกับไม่แน่ใจนักในสิ่งที่อีกคนพูดออกมา แต่ก็ไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมาอธิบายให้เธอกระจ่างนัก นอกเสียจากมือเรียวที่เข้ามาสัมผัสข้อมือที่เธอนั้นถือพวงมาลัยเอาไว้อย่างค้างคาให้เข้าหาตัว ก่อนที่ปลายจมูกโด่งนั้นจะเก็บเกี่ยวความหอมจากมาลัยดอกไม้ที่อยู่ในมือของเธอเข้าเต็มปอด
“มาลัยนี้ ฉันขอได้ไหม”
สรภัสได้แต่อ้ำอึ้งไปไม่ถูกเมื่อเห็นกิริยาของหล่อน ราวกับลมหายใจอุ่นๆ นั้นจะเล็ดลอดผ่านฝ่ามือมาถึงหัวใจเป็นริ้วๆ ไหนจะยังน้ำเสียงออดอ้อน และดวงตาที่ช้อนขึ้นมามองกันอย่างสื่อความหมายระหว่างมาลัยและตัวเธออีก
“ทำขนาดนี้ ใครเขาจะยังให้เอาไปถวายพระกันล่ะคะ”
เธอตอบพลางหลบสายตาที่คล้ายกับจะเผาให้เธอละลายยิ่งกว่าแสงแดดในยามบ่าย แล้วปล่อยให้คนเอาแต่ใจนั้นรวบพวงมาลัยที่จะนำไปถวายพระในคราวแรกไปเป็นของตัวเองด้วยรอยยิ้มพึงพอใจที่กลั่นแกล้งเธอได้สำเร็จ
สนุกของหล่อน…แต่เธอจะไม่ไหวอยู่แล้วเนี่ยน่ะสิ…
“ขอบคุณทุกๆ คนมากที่ทำให้เรามาถึงวันนี้ได้….ปิดกล้องครับ!”
สิ้นเสียงประกาศของผู้กำกับและเสียงปรบมือของคนทุกภาคส่วนที่อยู่ภายในกองถ่ายละคร ทุกคนทุกเจ้าหน้าที่ก็เริ่มที่จะเก็บข้าวของและบรรดาฉากต่างๆ ที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตมาตลอดสองสามเดือนนี้ จิลลาภัทรเองก็ใช้เวลาไม่นานนักในขณะที่คนอื่นๆ ยังวุ่นวายกับการจัดเก็บและโยกย้ายข้าวของสำหรับวันสุดท้ายของการถ่ายทำ เธอบอกพี่ศรีให้เอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บไว้ที่รถก่อนที่จะตามออกไป หญิงสาวเดินออกมาจากห้องแต่งตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะบอกของศรี ทว่าเมื่อเปิดออกไปแล้วกลับมีร่างของใครบางคนอยู่รออยู่ตรงนั้นกับผู้จัดการของเธอด้วย
“?”
“คุณหญิงจิลลาภัทร”ชายหนุ่มร่างสูงนั้นเอ่ยกับเธอด้วยรอยยิ้มที่ไม่ถึงดวงตา “ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ”
หญิงสาวเหลือบมองศรีที่ยืนรออยู่อย่างเก้ๆ กังๆ แน่นอนว่าหล่อนไม่รู้เรื่องราวเบื้องหลังระหว่างเธอกับนายวายุคนนี้มากนัก จริงๆ แล้วหล่อนจะยืนฟังอยู่ด้วยกันเลยก็ได้ ถ้าเกิดว่าชายตรงหน้าเธอนั้นไม่หันไปส่งสายตากึ่งบังคับกึ่งรำคาญจนหล่อนเดินไปเสียก่อน
“เรื่องงานก็จบไปแล้วพร้อมๆ กันนี่คะ ถ้าหากคุณวายุจะพูดเรื่องอื่น ฉันต้องขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อนสิครับ”
“!”
ปิดช่องบทสนทนาและเดินผ่านกายของอีกฝ่ายไม่ทันไร ข้อมือของหญิงสาวก็ถูกวิสาสะรั้งเอาไว้ก่อนจนตัวเธอเองนั้นต้องบิดมันกลับออกมาอย่างไม่สนใจว่าจะเป็นการกระทำที่หักหน้าชายหนุ่มแต่อย่างใด
วายุถอนหายใจหนักๆ ด้วยใบหน้ากึ่งรำคาญเล็กน้อยก่อนจะล้วงกระเป๋าอย่างวางท่าทีแล้วเอ่ยปากกับเธอ
“ทำไมคุณหญิงถึงได้ชอบหนีนัก ถ้าเป็นเด็กล่ะก็ ผมคงจะจับมาตีก้นลายแล้ว”
“เพราะฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับคุณ และคุณก็ไม่มีสิทธิทำอะไรทั้งนั้นแม้กระทั่งการกระทำที่ไร้คำอนุญาต”จิลลาภัทรกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบทั้งในอากัปกิริยาที่ไร้มารยาทและถือวิสาสะขับไล่คนของเธอทางอ้อม เธอจ้องมองเขาตอบด้วยแววตาไม่ยอมแพ้และตำหนิก่อนจะหันหลังให้แก่เสียงหัวเราะที่ดังออกจากลำคอของเขาอย่างเหน็บแนม
“เพราะว่าคุณหญิงไม่ได้มีความรักชอบให้กับผม แต่ดันไปมีให้ผู้หญิงอย่างนั้นน่ะหรือครับ?”
และมันก็ตรึงฝ่าเท้าที่กำลังจะก้าวต่อไปข้างหน้าของเธอได้ในทันที
“ฉันขอบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะคะคุณวายุ” จิลลาภัทรที่ตั้งใจจะออกห่างให้เร็วที่สุดกลับหันมาก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มแทบจะทันทีที่เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้
“ไม่ว่าคุณจะกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันก็ขอให้คุณหยุดมันซะ”
วายุคลายยิ้มเยาะอย่างพึงพอใจต่อปฏิกิริยาของหล่อน “พอเป็นเรื่องนี้คุณหญิงกลับไม่คิดจะพูดความยาวสาวความยืดเลยนะครับ”
“….”
“แต่ผมไม่กล้ารับปากอะไรที่มีผลประโยชน์กับตัวผมเองง่ายๆ หรอกครับ เดี๋ยวมันจะหลุดมือไปเสียก่อน”
“ฉันเตือนคุณแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกัน”จิลลาภัทรพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบและจริงจัง “อยากจะทำอะไร ก็ลองดูได้เลย”
กล่าวจบก็หันหลังกลับอีกครั้งโดยไม่ใส่ใจฟันกรามที่ขบเข้าหากันของชายหนุ่มเลยสักนิด กระทั่งน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นคนที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างรวดเร็วจนตามอารมณ์ไม่ทันก็ทำให้จิลลาภัทรจำเป็นต้องหยุดฟัง
“ผมรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าผมคงทำอะไรคุณหญิงไม่ได้มาก”
“…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ชื่อเสียงของทัตพงศ์มาลีรุ่งเรืองนะครับ ผมลา”
“รอฉันด้วยสิมีน”
เด็กสาวที่ถือตะกร้าสานมาตลอดทางถึงกับหยุดเดินด้วยความเหลืออด “คุณจะตามมาที่ตลาดทำไมกันคะ”
“มาตลาดก็ต้องมาจ่ายตลาดน่ะสิ”สรภัสกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสจนทำให้ใครต่อใครเผลอเหลียวหลัง ก่อนจะมาหยุดฝ่าเท้าที่ข้างๆ เด็กสาวอย่างอารมณ์ดี “อีกอย่าง คุณป้าก็บอกแล้วนี่นาว่ายังไงวันนี้ก็ต้องมีคนช่วยถือ เพราะจะเลี้ยงมื้อใหญ่ให้กับเอรินน่ะ”
“…”
เด็กสาวลอบกลอกตาเบาๆ ระหว่างที่หันหน้าหนีและก้าวเดินต่อ หากไม่ใช่เพราะอาการของพี่สาวบุญธรรมของเธอนั้นเริ่มหายปวดช้ำตามตัวดีแล้วล่ะก็ มีนคงเลือกที่จะปฏิเสธผู้เป็นแม่และก็พี่สาวที่พูดถึงหล่อนได้ง่ายกว่านี้เป็นแน่
‘หล่อนเป็นคนช่วยกดผ้าให้พี่ระหว่างขับรถ ถ้าไม่มีหล่อน เราสองคนไม่ได้กลับมาถึงบ้านแน่ๆ’
ถึงจะรับรู้ว่าหล่อนเป็นผู้มีน้ำใจในภายหลังก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เด็กสาวรู้สึกหายขุ่นเคืองต่อการกระทำของหล่อนได้ง่ายๆ มากนักหรอกนะ
“อันนั้นดูเข้ากับเธอดีนะจ้ะ”
หลังจากทนเป็นฝ่ายเงียบและเดินดุ่มๆ ไปตามทางที่ต้องซื้อข้าวของอยู่พักใหญ่ เด็กสาวก็เผลอตัวหันมองสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาเสียได้ เพราะมันเป็นก้าวไม่กี่ก้าวที่เธอผ่านแผงเครื่องประดับจากช่างฝีมือไร้สังกัดและหยุดมองมันอย่างสนใจ
มีนเหลือบมองเสื้อผ้าและรูปร่างของหญิงสาวที่สะพรั่งพร้อมกว่าเธอไปมากโข แม้ในวันที่หล่อนมาวันแรกจะอยู่ในสภาพที่เหมือนสาวใช้มากกว่าแขกคนสำคัญของคุณหญิงจิลลาภัทร แต่ในวันที่หล่อนสวมเสื้อผ้าชิ้นดีแถมยังมีภาพ ‘เหตุการณ์’วันนั้นที่เธอเห็นอยู่ในความทรงจำอีก เด็กสาวก็ไม่อยากจะขวนขวายแล้วว่าหล่อนสำคัญต่อคุณหญิงจิลลาภัทรและเอรินแค่ไหน
พอคิดแบบนั้น…เด็กสาวก็นึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ของแบบนี้ มันไม่เหมาะกับชาวบ้านแบบเราๆ หรอกค่ะ”
กล่าวจบก็เดินไปตามทางของตนเองเช่นเดิมอีกครั้ง สรภัสได้แต่มองตามแผ่นหลังบางที่เมื่อครู่นั้นมีความตัดพ้อจางออกมาให้รู้สึก ก่อนจะเดินตามสาวเจ้าไปด้วยความผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้ทำให้หล่อนเปิดใจได้มากนัก
ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่ตะกร้าสานนั้นถูกเติมเต็มด้วยวัตถุดิบหลากหลาย ระหว่างทางที่กำลังจะเดินเพื่อกลับไปยังเส้นทางที่ต้องไปขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ สรภัสที่ทนเงียบไม่ชวนคุยเช่นคราวมาถึงก็ตัดสินใจเดินไปให้ทันระยะก้าวของเด็กสาวก่อนจะเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ยจ้ะ”
มีนหยุดชะงักฝ่าเท้าของตนเองเมื่อเห็นว่าคนที่เงียบไปอยู่พักใหญ่นั้นมีสีหน้าจริงจัง“…”
“ฉันรู้ว่ามีนคงจะไม่ชอบหน้าฉันที่ทำให้คนสำคัญอย่างเอรินต้องเจ็บตัวเท่าไหร่ และเธอก็มีเอรินเป็นเพื่อนคนเดียว..”
เด็กสาวฟังสิ่งที่หล่อนพูดนับตั้งแต่การที่หล่อนชอบชวนเธอคุย ชอบอาสาทำงานในบ้าน หรือกระทั่งมีส่วนร่วมในบางสิ่งที่ผู้หญิงที่ถูกวางตัวให้เป็นคนสำคัญของคนที่จะพาตัวเองสูงขึ้นไม่คิดจะทำกัน เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เด็กสาวเห็นสีหน้าเป็นกังวลกับเรื่องที่เธอคิดว่ามันเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ กำแพงที่เธอคิดว่ามันจะเกิดในภายหลังก็เลยเลือกที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมนั้น ดูท่าว่าคงจะไม่เกิดขึ้นเสียแล้ว..
“ฉันก็เลยแค่..อยากเป็นเพื่อนกับเธอบ้างน่ะ”
มองคำขอที่คาดไม่ถึงของอีกฝ่าย เด็กสาวถึงกับต้องหันหน้าหนีให้กับเจ้าตัวอย่างทำตัวไม่ถูก “พี่เอรินเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว เพราะอย่างนั้นฉันก็ไม่มีอะไรติดค้างแล้วหรอกค่ะ..แค่ต้องใช้เวลานิดหน่อย”
ฟังน้ำเสียงที่ยังติดห้วนอยู่นิดๆ ทว่าอ่อนลงแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของสรภัสปรากฏขึ้น พวกเธอจึงได้ก้าวเดินกันต่อด้วยระยะห่างที่ลดลงอยู่ไม่มากก็น้อย ทั้งสองมาถึงยังจุดรับส่งของรถที่ผ่านไปยังเส้นทางกลับบ้านที่มีผู้คนอยู่ไม่มากนัก ระหว่างที่รอเด็กสาวก็พลันเห็นหญิงสูงวัยผู้หนึ่งปั่นจักรยานเก่าๆ และจะตรงเข้าไปยังทางเข้าตลาด กลับเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นเสียก่อน
โครม!
“เฮ้ย!ดูทางสะบ้างสิวะ!”
หนึ่งในชายรูปร่างใหญ่สวมเสื้อสีสันแสบตาพร้อมด้วยท่าทางวางตัวใหญ่โตตะคอกใส่ร่างที่สั่นระริกของหญิงสูงวัยนั้นที่ล้มลงไปกับพื้นดินเพราะถูกพลักจนจักรยานที่ปั่นอยู่นั้นล้มทั้งยืน สรภัสและเด็กสาวมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะรุดตัวลงไปช่วยเจ้าของร่างนั้นอย่างห่วงใย
“คุณยาย เป็นอะไรไหมคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามก่อนจะปัดป่ายขี้ดินขี้ผงที่ติดแขนและเสื้อผ้า ก่อนจะพบว่าหญิงสูงวัยนั้นมีรอยถลอกที่บริเวณข้อศอกใหม่ๆ อยู่
มีนหันไปทำหน้าตำหนิใส่กลุ่มชายฉกรรจ์ด้วยความไม่พอใจท่ามกลางสายตาของผู้คนที่หันมามองกลุ่มพวกเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ “ตัวเองอย่างกับยักษ์แท้ๆ ไม่มีตาหรือไงว่าเขาเดินกันตรงไหนน่ะ”
“..หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นใคร” ชายผู้เป็นหัวโจกนั้นก้าวเท้าเข้าประชิดอย่างไม่เกรง และส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยมองร่างของเด็กสาวอย่างชอบใจ “…ตัวบางขนาดนี้ ยักษ์อย่างฉันคงเคี้ยวง่ายเชียวล่ะ”
ความอับอายและความโกรธที่ถูกกะลิ้มกะเหลี่ยพุ่งสูงในความรู้สึก ส่งผลให้มือที่กำเข้าหากันแน่นนั้นปะทะบนผิวหยาบกร้านของชายร่างใหญ่ทันที
เพี้ยะ!
“ฮึ่ม นังนี่!”มันหันกลับมาด้วยความโกรธก่อนจะส่งมือพลักร่างบอบบางนั้นล้มลงกับพื้นไปอีกคน แม้จะมีสายตามากมายจับตามองดูอยู่ห่างๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยพวกเธอเลยสักคน จนกระทั่งมันย่างสามขุมเข้ามาใกล้หมายจะทำร้ายเธออีกสักที
พลั่ก!
แต่จู่ๆ ก็มีมือมือหนึ่งอันคว้าจับก้อนหินขนาดเท่าอิฐกระแทกมันลงข้างศีรษะของชายร่างใหญ่ ท่ามกลางการหายใจเข้าเฮือกใหญ่ของคนรอบข้างอย่างหนาวเหน็บ มันยืนนิ่งๆ จนรู้สึกถึงหยดเลือดที่ออกมาหางคิ้วของตนเอง แล้วตวัดสายตาไปหาร่างบางอีกคนที่ยืนทำเป็นกล้าหาญอยู่ไม่ไกลกัน
“เพื่อนหล่อนหรือ…อยู่ดีๆ เหมือนกันไม่ได้ใช่มั้ย!?”
หมับ!
มันคำรามในลำคอก่อนจะยื่นมือดั่งคีมเหล็กเข้าที่ลำคอระหงส์ สรภัสแทบหายใจไม่ออกเมื่อแรงของอีกฝ่ายมีเยอะเกินกว่าผู้หญิงจะต้านทานได้
“โห สงสัยวันนี้จะโชคดี ถึงเจออะไรดีๆ แบบนี้ทีเดียวสองคนเลย”
หญิงสาวเปิดดวงตาที่แทบจะลืมไม่ขึ้นมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมัน “…มันอาจจะเป็นวันสุดท้ายของแกก็ได้”
“รายนี้ก็ปากร้ายไม่เบาว่ะพวก” ชายร่างใหญ่หันไปหัวร่อกับพวกของมัน “ไหนดูสิว่าจะถึงใจขนาดไหน…”
“เดี๋ยวก่อนลูกพี่!”
เสียงแหบแห้งของหนึ่งในกลุ่มนั้นร้องเรียกทำให้มันยอมละมือที่กำลังจะแตะริมฝีปากตรงหน้า ชายที่ดูจะตัวเล็กที่สุดนั้นขยับเข้ามากระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง และทำให้ดวงตาที่ขัดเคืองของมันเป็นประกายแวววับ
“หล่อนมีราคาถึงขั้นนั้นเชียว”
“…”
มันหันมามองหญิงสาวในกำมือด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “วันนี้ เป็นวันดีจริงๆ”
เพี้ยะ!
ก่อนที่จะส่งหลังฝ่ามือเข้าที่ใบหน้างามจนเจ้าหล่อนนั้นไร้สติลงไปด้วยเพราะแรงกระแทกและอากาศหายใจที่น้อยลง
“คุณภัส!”
มีนร้องอย่างตกใจที่เห็นร่างของหญิงสาวนั้นกำลังจะถูกพวกมันโอบอุ้มผ่านสายตาคนนับสิบ แม้แต่ตัวเธอนั้นก็รู้สึกว่าแข้งขาอ่อนเกินไปที่จะวิ่งตามพวกมันเหลือเกิน
ชายร่างใหญ่นั้นหันมองเจ้าของเสียงอย่างไม่ยี่หระ“รีบไสหัวกลับไปเถอะน้องสาว วันนี้พวกฉันมีธุระอื่นที่น่าสนใจกว่าแล้ว”
“คุณภัส—คุณภัส!”
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอเริ่มลงมือก่อนล่ะก็ หล่อนก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อถ่วงเวลาเธอจนกลายมาเป็นแบบนี้แน่
พี่เอริน……ต้องบอกให้คุณหญิงรู้เรื่อง!
“เจ้าจิล ใจเย็นๆ ก่อน”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เอ่ยปากบอกกับผู้เป็นน้องสาวคนเล็ก ซึ่งกำลังเดินราวกับหนูติดจั่นไปมาภายในห้องนั่งเล่นของบรรดาหญิงสาวแห่งทัตพงศ์มาลี แม้จะได้ยินคำปลอบจากพี่สาวคนกลาง แต่ก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของจิลลาภัทรสงบลงได้เลย
“ลองคิดดูดีๆ เถอะ ว่าคนพวกนั้นเป็นใครกันแน่”
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเสนอขณะนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดไม่แพ้กัน นับตั้งแต่ที่โทรศัพท์จากบ้านของเอรินตรงเข้ามาที่วังเมื่อสองชั่วโมงก่อน จนป่านนี้ก็ไม่มีความคิดใดอยู่ในหัวสมองเลย
ส่วนร่างสูงโปร่งที่หยุดยืนค้ำเคาน์เตอร์ที่เชื่อมระหว่างเสาโรมันสองเสาด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและคิดไม่ตกนั้น ก็ได้แต่ขวนขวายและร้อนใจอยู่ตรงนี้
สรภัส…หล่อนอยู่ที่ไหนกัน
นับแต่เอรินโทรมาบอกว่าหล่อนถูกกลุ่มชายจำนวนหนึ่งลักพาตัวไปเพราะพูดถึงราคาอะไรบางอย่าง จิลลาภัทรก็ร้อนใจจนอยากจะออกไปตามหาแต่เวลานั้นเสียให้ได้ ถ้าหากพี่สาวคนรองไม่ได้ดึงรั้งสติเธอเอาไว้ และออกไปสั่งคนของตนเองให้ตามหาเบาะแสเกี่ยวกับคนกลุ่มนั้น เพราะรู้ดีว่า ‘ราคา’ที่กลุ่มชายพวกนั้นบอกมันหมายถึงสิ่งใด
เสี่ยเม้ง…ไอ้เดนตายนั่น…มันเจอตัวภัสได้ยังไง
“ถ้าเป็นเสี่ยเม้งจริงๆ พี่ก็คิดว่ามันอันตรายแล้ว”ดารารินทร์กล่าวอย่างกังวลเมื่อคาดคะเนสถานการณ์“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องรอเบาะแสจากหญิงนิ่มฝ่ายเดียว”
“จิลน่าจะระวังตัวมากกว่านี้” ร่างสูงทิ้งตัวนั่งบนโซฟาก่อนจะกล่าวทั้งข่มอารมณ์โกรธของตนเอง “จิลไม่น่าพาหล่อนเข้ามาในพระนครเลย”
จินณวัตรส่ายหน้าและแตะไหล่ของน้องสาวคนสุดท้อง “ตราบใดที่เสี่ยนั่นยังไม่รามือ จะอยู่ที่ไหนหล่อนก็ไม่ปลอดภัยหรอก”
จิลลาภัทรได้แต่ก้มหน้าอย่างไร้ทางออก ในเวลาแบบนี้มันช่างยากเหลือเกินที่เธอจะสามารถเค้นคำตอบออกมาจากความคิดของตนเองได้ ถึงแม้การรอคอยคำตอบจากพี่หญิงรองจะแม่นยำกว่าก็ตาม แต่เธอก็ไม่อยากจะนั่งอยู่เฉยๆ เพื่อรอ รอไปเรื่อยๆ แบบนี้เลย
…ป่านนี้หล่อนจะกลัวแค่ไหนกันนะ…
‘ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ชื่อเสียงของทัตพงศ์มาลีรุ่งเรืองนะครับ’
จู่ๆ เสียงของชายหนุ่มที่เธอไม่อยากจะพบเจออีกแล้วในชีวิตก็ดังขึ้นมา จิลลาภัทรชะงักไปเมื่อได้ทบทวนรูปประโยคและความหมายทั้งโดยในและโดยนอก เขาเป็นคนในวงการบันเทิงไม่กี่คน ที่รู้ว่าสรภัสอาศัยอยู่กับเธอในฐานะอะไร
‘เพราะว่าคุณหญิงไม่ได้มีความรักชอบให้กับผม แต่ดันไปมีให้ผู้หญิงอย่างนั้นน่ะหรือครับ?’
นั่น….มันเป็นประโยคยอมรับกลายๆ ว่าเขาจับตาดูเธออยู่มาตลอด!
“จิลนึกอะไรได้แล้ว” ร่างสูงหันบอกพี่สาวคนโตและคนกลางด้วยแววตาจริงจัง “นายวายุ เขาต้องมีส่วนเกี่ยวแน่ๆ”
“ลูกชายของอาจารย์พีระน่ะหรือ? จะบอกว่าเขาเกี่ยวข้องกับเสี่ยเม้งหรือไง?”
“เรากล่าวหาใครลอยๆ ไม่ได้นะ รู้ใช่ไหมเจ้าจิล” หม่อมราชวงศ์จินณวัตรบอกพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียดราวกับจะตักเตือน จิลลาภัทรจึงได้แต่เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เพราะครั้งล่าสุดที่พี่สาวคนรองของเธอนำเบาะแสเกี่ยวกับคนที่สะกดรอยตามที่บ้านไพรวันนั้นก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเนื่องจากมันไหวตัวทันเสียก่อน
“คุณหญิงคะ” เสียงของสาวใช้คนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้องทำให้บรรยากาศตึงเครียดของทั้งสามคนลดลง
“คุณชายใหญ่เรียกพบคุณคุณหญิงทั้งหมดที่ห้องทำงานค่ะ”
หญิงสาวมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะทุกครั้งที่หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์จะเอ่ยปากเรียกพวกเธอพี่น้องทั้งหมด ส่วนมากหากไม่ใช่การสั่งสอนตามนิสัยของพี่ชายใหญ่ ก็เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดด้วยแน่ๆ แต่แล้วเรื่องอะไรกันเล่าที่ตอนนี้มันจะใหญ่พอสำหรับพี่ชายของพวกเธอได้
“พี่ชายใหญ่ เรียกหาพวกเราหรือคะ”
จินณวัตรเป็นคนที่เอ่ยปากถามเป็นคนแรกเมื่อก้าวเข้ามาในห้องทำงานของชายหนุ่ม ร่างสูงนั้นยืนหันหน้าให้แก่กระจกบานใหญ่อย่างเงียบเชียบ กระทั่งเห็นว่าเธอสามคนมาถึงที่แล้ว ดวงตาที่เคยสุขุมและอ่อนโยนของเขานั้น ก็ทำเอาพวกเธอเหน็บหนาวขึ้นมาเสียดื้อๆ
พรึ่บ!
หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาวางซองกระดาษของไปรษณีย์ที่ไม่ระบุชื่อผู้ส่งไว้บนโต๊ะด้วยอากัปกิริยาที่น่าเกรงขาม ในเวลานี้ใจของจิลลาภัทรไม่เข้มแข็งพอที่จะยื่นมืออกไปดูว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอปิดพี่ชายใหญ่ไว้หรือไม่ หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จึงเป็นผู้กล้าแกะมันออกมา
“..นี่มัน จดหมายขู่หรือคะ?”
หญิงสาวผิวขาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น ข้างในนั้นมีกระดาษที่ถูกเขียนอย่างหวัดๆ ด้วยปากกาสีแดงพร้อมข้อความที่กล่าวว่า หากไม่ยินยอมนำเงินมาตามจำนวนที่ขอในเวลาที่กำหนด รูปภาพพวกนี้ที่ถูกส่งมา จะถูกนำไปให้กับสำนักพิมพ์เพื่อตีข่าวในทันที
“ก่อนหน้านั้น พวกหล่อนช่วยอธิบายพี่มาหน่อยสิ ว่าภาพพวกนี้มันคืออะไร”
ภาพที่ชายหนุ่มว่าก็คือรูปถ่ายของบุคคล สองในสามรูปนั้นคือรูปของหญิงสาวร่างสูงโปร่งผู้เป็นน้องสาวคนเล็กของเขา กับหญิงสาวในชุดสาวใช้ในอิริยาบถที่ใกล้ชิดเกินจำเป็น ทั้งคราวที่โฟกัสตอนที่เธอสอนหล่อนเต้นรำก่อนไปงานผ่านทางหน้าต่าง แล้วก็ครั้งที่ขับรถออกไปจากงานเต้นรำการกุศล ส่วนรูปอีกใบที่เหลือนั้น คือคราวที่พวกน้องสาวที่เหลือต่างเดินออกมาจากบ้านไพรวันในยามเช้าตรู่
จิลลาภัทรคล้ายกับตนเองจะหายใจไม่ออก เมื่อเคลื่อนสายตาเข้ากับเจ้าของดวงหน้าที่ละม้ายคล้ายกันส่งแววตาดุดันเช่นนั้นมายังเธอ
“แล้วพี่ก็อยากได้คำอธิบายตั้งแต่แรกเริ่ม…ทุก-ราย-ละ-เอียดภายในวันนี้ด้วย!”
นักแสดง
มีน : คิม มินจู
TBC.
#ฟิคแก้วตาสุมาลี #คุณหญิงจิลลาภัทร
_____________________________________________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น