คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทร : ดอกช้องนาง ๓
๓
“อย่างนี้นี่เอง แล้วก็ไม่รีบบอก”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ตบเข่ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงติดโล่งใจและไม่จริงจังเมื่อนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดจากผู้เป็นน้องสาวคนเล็ก จิลลาภัทรแอบกลอกตาเงียบๆ เพราะปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่เธอคาดการณ์เอาไว้ในใจอยู่แล้ว
“ไม่แปลกถ้าเหตุการณ์นั้นจะกระทบจิตใจหล่อน” หม่อมราชวงศ์จินณวัตรพูดขึ้นบ้าง “แล้วจะซ่อนหล่อนไว้ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ งั้นหรือ”
“จนกว่าเสี่ยเม้งจะเลิกติดใจตามหา หรือไม่ก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งหายไปจนตามรอยไม่ได้กระมัง”
ร่างโปร่งกล่าวตอบแล้วปิดท้ายด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างกังวล เพราะตัวเธอเองก็ไม่สามารถรับรู้หรือแน่ใจได้ว่าชนักที่ติดหลังนี้จะหลุดเมื่อใดได้แน่
…หรือทางเดียวที่จะยืนยันได้ คือการถอนรากถอนโคนเสี่ยเม้งอย่างเดียวจริงๆ กระมัง
จิลลาภัทรคิดอย่างนั้นก่อนจะนึกขึ้นได้ในความคิด เธอเหลือบดวงตาใสไปยังพี่สาวทั้งสองคนที่เพิ่งจะได้รู้ความจริงวันนี้อย่างลังเล เพราะเธอโทรไปรบกวนแล้วพวกเธอต้องออกมาแต่เช้าตรู่ หญิงสาวทั้งหมดในห้องนี้จึงไม่มีใครเปลี่ยนชุดและแต่งหน้าเตรียมพร้อมสำหรับทำงานมากันสักคน ซ้ำแล้วยังเป็นคนปิดบังเรื่องใหญ่แบบนี้เอาไว้อีก ความผิดขนาดนี้หากถูกหูของพี่ชายใหญ่คงไม่ใช่แค่นั่งฟังกันแบบนี้แน่
“..แต่พวกพี่สองคนไม่ได้โกรธจิลแล้วใช่ไหม”
“ถามว่าโกรธไหม จะโกรธก็เพราะเราเก็บเรื่องสำคัญแบบนี้ไว้กับตัวน่ะสิ” เมื่อได้ยินคำถามเสียงอ่อนจากผู้เป็นน้อง สีหน้าที่ครุ่นคิดอยู่ก่อนหน้านี้ของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรก็แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่มันจะอ่อนโอนลงเมื่อเจ้าตัวเอนกายกับโซฟาอย่างพยายามที่จะผ่อนคลาย “ถ้าหากเสี่ยนั่นตามรอยมาได้ เราไม่ได้คิดถึงชีวิตของตัวเองไว้บ้างเลยหรือ”
จิลลาภัทรไม่ตอบ ได้แต่เคลื่อนดวงตาหลบสายตาที่มีทั้งการต่อว่าและห่วงใย
“แต่สายของพี่หญิงนิ่มว่าอย่างไรบ้างล่ะ”ดารารินทร์เอ่ยถามคนที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังโซฟาที่ตัวเองนั่งอยู่ หญิงสาวเจ้าของชื่อได้แต่ถอนใจเบาๆ แล้วเท้าแขนสองข้างกับพนักพิงโซฟาอย่างคนที่ไม่มีข่าวดีมาให้
“เพิ่งจะได้ย้ายไปคุมที่บ่อนลับ ยังเข้าถึงอะไรไม่ได้มากน่ะ”
“อย่างไรก็เถอะ ถ้าคนที่รู้เรื่องนี้เป็นพี่ชายใหญ่ เขาจะยิ่งกว่าโกรธเสียอีก หากไม่ใช่เพราะเราเตี๊ยมกับหญิงนิ่มเอาไว้ก่อน มีหรือเขาจะไม่ตรงดิ่งมาที่นี่พร้อมชุดนอนน่ะ”ประโยคนั้นราวกับกล่าวตักเตือนและประชดประชันในคราวเดียว ดวงตาสีอ่อนนั้นเจาะจงไปที่น้องสาวทั้งสองคนที่รวมหัวกันปกปิดความลับไม่ยอมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือตั้งแต่แรก
ร่างสูงโปร่งเจ้าของบ้านได้แต่นั่งก้มหน้าคิ้วตกและพึมพำให้พอได้ยิน “จิลถึงไม่ได้ตรงไปที่วังตั้งแต่แรกอย่างไรเล่า…”
“เอาเถอะน่า อย่างไรเราสามคนก็รู้แล้วว่าน้องหญิงเล็กมีปัญหา ไม่สู้ช่วยกันประคองไปก่อนไม่ดีกว่าหรือ” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณผู้ไม่ได้สะทกสะท้านสายตาเสียดแทงของพี่สาวประกบมือเข้าหากันเป็นการสรุปการพูดคุยในครั้งนี้ บรรยากาศอึมครึมระหว่างพี่น้องทั้งสี่คนจึงได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จินณวัตรลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อมองดูนาฬิกาข้อมือ “เรื่องยาพี่สั่งให้เอรินไปซื้อไว้แล้ว ก็ให้หล่อนทานตามเวลาก็แล้วกัน”
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำแล้ว พี่สาวอีกสองคนของเธอก็เตรียมตัวจะกลับ จิลลาภัทรเดินไปส่งหญิงสาวทั้งสามคนบริเวณชานบันไดหน้าประตู ระหว่างที่หญิงสาวผู้อายุมากที่สุดนั้นจะเดินผ่านพร้อมกับกระเป๋าเครื่องแพทย์ ร่างสูงโปร่งก็กล่าวออกมาด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณพี่หญิงใหญ่มากนะ”
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรพินิจมองท่าทางของน้องสาวคนเล็กอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้อย่างห่วงใยแล้วขยี้ศีรษะ จึงค่อยเดินลงไปขึ้นรถตามน้องสาวในสายเลือดอีกสองคนเพื่อกลับไปยังวังทัตพงศ์มาลีก่อนที่พี่ชายใหญ่ของพวกเธอจะตื่นขึ้นมา
เมื่อพี่น้องกลับไป ร่างสูงโปร่งจึงเตรียมตัวสำหรับออกไปเผชิญความวุ่นวายภายนอก จิลลาภัทรใช้เวลาพักหนึ่งกว่าที่จะจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อย จึงค่อยมายืนอยู่ที่ริมประตูห้องที่เธอเพิ่งจากมาเมื่อเช้าซึ่งเปิดเอาไว้เผื่อให้ง่ายต่อการดูแลรักษา
หญิงสาวในชุดเดรสคอปกลายทางพอดีรูปร่างจ้องมองร่างที่ยังคงจมอยู่ในห้วงนิทราอย่างสงบอยู่พักใหญ่ ใบหน้าสวยของหล่อนไม่มีอาการผวาหรือหนาวสั่นเพราะไข้ที่ขึ้นมาจากเหตุการณ์ในจิตใจ จิลลาภัทรจึงค่อยก้าวเข้าไปหยุดลงบนเตียงนอนที่เธอเฝ้าดูอีกคนทั้งคืน ส่งด้านหลังของฝ่ามือสัมผัสลงบนหน้าผากมนและลำคออย่างพิจารณา เมื่อไม่มีความร้อนให้น่าเป็นห่วงดั่งเช่นเมื่อคืน จิลลาภัทรจึงได้ผ่อนคลายสีหน้าของตนเองขณะที่นั่งลงบนขอบเตียง
ทำอย่างไรจึงจะปัดเป่าบาดแผลของหล่อนได้หนอ…
หญิงสาวคิดเช่นนั้นระหว่างเหม่อมองเส้นผมยาวที่สยายอยู่บนหมอนนุ่ม ตอนเด็กๆ แค่ตัวเธอนอนหลับแล้วต้องตื่นขึ้นเพราะฝันร้ายก็แย่พออยู่แล้ว แล้วคนที่มีบาดแผลที่คอยเวียนมาหาเมื่อไหร่ก็ได้เช่นนี้จะใช้อะไรมาช่วยให้มันผ่อนคลายลงไปได้บ้างเล่า..
จิลลาภัทรหลุดออกจากความคิดของตัวเองเมื่อรู้สึกได้ถึงการขยับตัวของพื้นที่ ร่างสูงเห็นใบหน้าของหญิงสาวค่อยๆ ได้สติจากพิษไข้และนิทรา เมื่อดวงตาคู่สวยนั้นมองเห็นเธอ จึงอดปากถามออกไปไม่ได้ว่า
“เป็นอย่างไรบ้าง? ยังหนาวอยู่ไหม”
“ไม่แล้วล่ะค่ะ” สรภัสยิ้มแล้วส่ายหัวเบาๆ ขณะที่กายครึ่งหนึ่งยังถูกคลุมด้วยผ้าห่มสีขาว ก่อนที่สีหน้าของเธอจะค่อยๆ สลดลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนขึ้นมาได้ “…คุณหญิง ภัสขอโทษนะคะ”
ดวงตาคู่คมเคลื่อนมองหญิงสาว ดูท่าหล่อนจะระลึกภาพเหตุการณ์ที่ตนเองตัวสั่นอย่างน่าเวทนาต่อหน้าเธอ แล้วยังนึกถึงคนที่ปลอบประโลมตัวเองซึ่งอยู่ตรงหน้านี้เช่นกันขึ้นมากระมัง
“ฉันว่าเราควรคุยเรื่องนี้กันเสียทีนะ”
ร่างบางเคลื่อนดวงตาที่เหนื่อยล้าขึ้นสบกับคนที่จ้องมองลงมา
“ฉันเป็นคุณหญิงก็จริง แต่ฉันก็เป็นสามัญชน เหมือนคนอื่นๆ เหมือนหล่อน….คนที่บ้านไพรวันเป็นคนของฉัน พวกเขาไม่เคยพูดหรือขัดใจอะไรถ้าฉันเป็นคนเอ่ยปากสั่งเอง”
“….”
จิลลาภัทรยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ คล้ายกับจะสั่งสอน แต่ดันให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่ผู้ฟังจนได้แต่เงยหน้าฟังเจ้าของบ้านอยู่เงียบๆ
“เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะลำบากใจให้ความช่วยเหลือ…อยู่ด้วยกันมาจนป่านนี้ หรือหล่อนยังไม่ไว้ใจกันอีกล่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ…”
สรภัสรีบดันกายตัวเองขึ้นมาทันทีเมื่อกล่าวจบอย่างร้อนรนเพราะดวงตาตัดพ้อของอีกฝ่าย และด้วยร่างกายที่เพิ่งจะฟื้นตัวดีก็ทำให้ตัวเธอนั้นโซเซจนต้องยืมมือของผู้มีบรรดาศักดิ์แตกต่างจากตัวเองอย่างหล่อนช่วยจับเอาไว้อีกครั้ง หญิงสาวชะงักไปและได้แต่มองฝ่ามือที่ประคองไหล่ทั้งสองข้างของตนเองด้วยแววตาเวทนา เพราะตัวเธอเป็นเช่นนี้เองถึงได้เป็นภาระให้แก่หล่อนอยู่เสมอ
“คือ….อย่างไรคุณหญิงก็เป็นคุณหญิงมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ทั้งยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตภัสเอาไว้ แค่เพียงเท่านี้ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต ภัสก็ไม่รู้จะหาอะไรมาตอบแทนคุณหญิงจริงๆ แล้วนะคะ”
ตอบไปอย่างนั้นก็รู้สึกว่าดวงตาของตัวเองร้อนผ่าว ความรู้สึกที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ด้วยความสามารถที่มีค่อยๆ กัดกินใจจิตใจของหญิงสาวมานานนับตั้งแต่ถูกส่งตัวมาขัดดอก เธอต้องยืมมือของคนอื่นช่วยอยู่เสมอ และหากขาดผู้มีพระคุณเหล่านั้น เธอก็คงไม่มีทางมีชีวิตอยู่มาจนวันนี้แน่
ร่างโปร่งจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอยู่พักใหญ่ด้วยสายตาที่ยากจะอ่าน เธอค่อยๆ ลดมือที่ประคองกายอีกฝ่ายลง แล้วเคลื่อนมันไปกอบกุมฝ่ามือบางที่วางเกาะกันแน่นอยู่บนหน้าตักอย่างอดกลั้นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในความคิดของตัวเอง
จิลลาภัทรอยากจะรับรู้สิ่งที่อยู่ในนั้น…และเธออยากจะบอกว่าเธอเข้าใจสิ่งที่หล่อนกำลังสื่อเหลือเกิน
สรภัสมองการกระทำของหญิงสาวอายุน้อยกว่าอย่างไม่เข้าใจนัก เธอได้แต่รอให้คนตัวสูงนี้พูดอะไรออกมา พร้อมๆ กับที่เจ้าตัวจ้องมองมาด้วยสายตาที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย..
“..ถ้าอย่างนั้นหล่อนไปอยู่ที่พระนครกับฉันไหม”
“…” คำที่เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างสุภาพของคนตรงหน้าไม่ได้เป็นสิ่งที่สรภัสคาดเอาไว้ แล้วคงเพราะเป็นสีหน้าของเธอ หล่อนจึงได้พูดออกมาอีกว่า
“เดี๋ยวหลังจากวันนี้คงจะไม่ได้มาพักที่นี่บ่อยๆ แล้ว” ร่างสูงหลุบดวงตาลงเล็กน้อยขณะที่ใช้ปลายนิ้วโป้งสัมผัสผิวเนียนละเอียดบนหลังฝ่ามืออย่างทะนุถนอม “ถ้าหล่อนตกลง ฉันจะให้อยู่กับทางบ้านของเอรินก่อน แล้วระหว่างนั้น หล่อนอยากจะทำอะไรตามใจก็ได้”
สรภัสไม่เข้าใจเลย…เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“…ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนด้วยการไปอยู่ใกล้ๆ ฉัน ตกลงไหม”
แค่เพียงเพราะดวงตาคู่นี้ ที่บอกความจริงใจเป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นเครื่องยืนยันว่าหล่อนจะทำตามที่สัญญา ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ หรือว่าตอนที่ช่วยเหลือเธอครั้งไหน…เธอไม่ควรรู้สึกตื้นตันใจ ไม่ควรปล่อยให้ก้อนเนื้อด้านซ้ายย่ำจังหวะรวดเร็วเช่นนี้เลย
หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรไม่ใช่คนที่ดีแต่พูดอย่างชนชั้นสูงที่ไหน ไม่ใช่หญิงสาวที่แสดงออกความรู้สึกในชีวิตจริงได้ดีเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่หล่อนคอยปกป้อง คอยใส่ใจและเอ่ยถามอย่างเรียบง่าย มันกลับให้ความรู้สึกพิเศษสำหรับคนที่ได้ทำความรู้จักอย่างใกล้ชิดเช่นนี้
หล่อนสมควรที่จะถูกคนดีๆ รัก….คนที่เหมาะสม…
พลันนั้นเจ้าดวงใจก็กระตุกวูบจนดึงสติเธอให้ออกมาได้ เมื่อนึกถึงว่าในพระนครนั้นคงมีใครบางคนรอคอยหล่อนอยู่ตั้งแต่ ‘เมื่อวาน’แล้ว
…..คนดีๆ…..ที่ไม่สมควรเป็นเธอ
“..ภัสไม่อยากเป็นภาระให้กับคุณหญิงหรอกค่ะ” ร่างบางคลายยิ้มบางถอนสายตาของตนเองลงพร้อมๆ กับมือที่ถูกหล่อนประคองเอาไว้มาวางบนหน้าตักเช่นเดิม “แถมตายศก็มีโอกาสได้ร่ำเรียนในสิ่งที่ชอบแล้ว ถ้าภัสไม่อยู่ เขาคงจะต้องรู้สึกเหมือนไม่มีที่ไปแน่”
แม้รอยยิ้มเป็นสุขจะอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายยามเมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ตนชอบ ทว่าความรู้สึกที่จางหายไปพร้อมกับเนื้อนวลที่ถูกดึงกลับไปหาเจ้าของของมันกลับทำให้ประกายในดวงตาของจิลลาภัทรหมองลงอย่างชัดเจน โดยที่หล่อนไม่แม้แต่จะเคลื่อนดวงตาขึ้นมาสังเกตมัน
“จริงสินะ”
ร่างสูงหันใบหน้าไปทางอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะความรู้สึกปนเปที่อยู่ภายในอกทำให้จิลลาภัทรไม่อยากแสดงอาการอะไรที่ผิดปกติออกมาให้เจ้าหล่อนได้รับรู้
ส่วนคนที่นั่งอยู่ไฉนเลยจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโดยรอบ สรภัสแค่ทำเป็นมองไม่เห็นความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้า ด้วยเกรงว่าตัวเองจะใจอ่อนและเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไป เธอจึงทำได้แค่เหลือบมองยามที่เจ้าตัวหันมองไปทางอื่นอยู่แล้วกล่าวเท่านั้น
“…ขอโทษด้วยนะคะ”
จู่ๆ คนตัวสูงก็รู้สึกว่าริมฝีปากตัวเองช่างแข็งกระด้าง แต่จิลลาภัทรก็ได้แต่ข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ค่อยๆ ก่อขึ้นภายในก่อนจะฝืนกล่าวราวกับว่าตนเองนั้นไม่ได้ยี่หระมากเท่าใดนัก
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรฉันก็ต้องมาเรียนรำกับหล่อนอยู่แล้ว แต่คงจะเป็นอาทิตย์ละครั้ง”
แม้อีกฝ่ายจะบอกมาอย่างนั้น แต่สรภัสกลับรู้สึกว่าตนเองได้ทำผิดต่อใครบางคนไปเสียแล้ว
“ฉันจะคอยโทรมาเช็คว่าหล่อนทานยาตามเวลาหรือเปล่า ฉะนั้นแล้วอย่าลืมเสียล่ะ”
ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงของคนร่างบาง เธอหยุดชะงักอยู่ที่ขอบประตูราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะกล่าวบอกลาโดยไม่ได้หันมามองกันให้ชัดเจน
“ฉันไปแล้วนะ”
สามอาทิตย์ผ่านมาหลังจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องใหม่ก็เริ่มเปิดกองถ่ายทำนอกสถานที่ จิลลาภัทรไม่มีปัญหากับการเตรียมตัวสำหรับบทละครที่อาจจะต้องใช้ทักษะในการต่อสู้ แม้จะช่วงสองอาทิตย์แรกจะหนักหน่วงเพราะผู้กำกับตามถ่ายเก็บสถานที่ที่ห่างไกลจากพระนคร บางครั้งเธอจึงต้องนอนบนรถนอนและบางครั้งก็ยืนอยู่หน้ากล้องทั้งวันทั้งคืน สิ่งเหล่านี้จิลลาภัทรไม่เคยเก็บมาใส่ใจแม้ว่าจะฝากผลงานมากี่เรื่องก็ตาม ยกเว้นก็แต่วันเปิดกองถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้วันแรกนี่แหละ ที่ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะตัดเพ้อกับอะไรก็แล้วแต่ที่ดลบันดาลให้มันเกิดขึ้นอยู่ในใจ…
“นี่คุณวายุ เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างหลักของภาพยนตร์ ‘ตะวันบุษบา’ ของเรา เขาจะลงมาดูความคืบหน้าของกองถ่ายเราเรื่อยๆ นะครับ” เสียงของผู้กำกับผู้กระตือรือร้นเอ่ยแนะนำชายหนุ่มร่างสูงในชุดแฟชั่นเหมือนคนในวงการบันเทิงมากกว่านักธุรกิจ คนทุกคนภายในกองแนะนำตัวและทักทายเขา แต่ก็เหมือนเสียงลมเสียงแมลงผ่านหูสำหรับชายหนุ่ม ในเมื่อเขาจงใจทักเธอที่ยืนอยู่ห่างๆ กลับเพียงคนเดียวเท่านั้น
“สวัสดีครับ คุณหญิงจิลลาภัทร”
…..ไม่อยากจะโทษความโชคร้ายของตัวเองเลยสักนิด…..
“คุณหญิงคะ” เสียงของสาวใช้ในห้องรับแขกทำให้คนที่นั่งหลับตาเอนกายบนเก้าอี้ตัวนุ่มผละออกมาจากความคิดของตัวเอง “โทรศัพท์จากบ้านไพรวันค่ะ”
ลมหายในหนักหน่วงจากหลายๆ เรื่องทำให้เจ้าตัวจำต้องผ่อนมันออกมา จิลลาภัทรลอบมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังห้องรับแขกแห่งวังทัตพงศ์มาลีอันสร้างความประหลาดใจเล็กๆ ให้แก่เธอ เมื่อมันถึงเวลาที่เอรินจะต้องโทรมารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันที่บ้านบ้านไพรวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย หรือรวมถึงการเป็นอยู่ของคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นเช่นกัน..
“ว่าอย่างไร” คว้าจับโทรศัพท์คลาสสิคสีดำที่ตั้งอยู่ใกล้กับโต๊ะตัวเล็กติดผนัง ร่างสูงโปร่งขานรับคนสนิทด้วยน้ำเสียงราบเรียบด้วยความเหนื่อยล้าที่ดูจะสะสมหนักกว่าครั้งไหนๆ เมื่อมันแนบกับใบหู
“…คุณหญิง ภัสเองนะคะ”
ทว่าเสียงที่ควรจะเป็นของคนสนิทกลับกลายเป็นเสียงหวานคุ้นหูของใครอีกคนที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนั้น ใครบางคนที่เธอใช้ข้ออ้างในการโทรถามเรื่องราวทั้งข้อมูลที่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณส่งผ่านมาให้ และทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นบริเวณรอบบ้านในระยะหนึ่งร้อยเมตรสองวันครั้งต่ออาทิตย์ เพื่ออยากจะถามถึงการเป็นอยู่ของหล่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง
แม้จะเคยพูดเอาไว้ก็ตามว่าจะกลับไปเพื่อเรียนรำด้วย แต่เพราะตารางการถ่ายทำทำให้สองอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอไม่ได้กลับไปบ้านไพรวันและมีโอกาสพูดคุยกับหล่อนนับตั้งแต่วันนั้นอีกเลย
“คุณหญิง ได้ยินภัสไหมคะ”
“อืม ได้ยิน” จิลลาภัทรคล้ายกับว่าตัวเองจะตัวเบาหวิวขึ้นไปส่วนหนึ่ง ใจหนึ่งก็รู้สึกกังวลเพราะคนสนิทไม่ได้โทรมาจนเกรงว่าจะมีมีปัญหา แต่อีกใจก็คล้ายกับว่าความหนักหน่วงเมื่อยล้าที่อยู่ในใจพลันมลายสิ้นเมื่อได้ยินเสียงของหล่อนพูดกับตัวเอง “แค่นึกไม่ถึงน่ะ เพราะทุกทีเอรินจะเป็นคนโทรมา”
“เอรินไม่อยู่น่ะค่ะ ภัสเลยคิดว่าโทรมาบอกเองจะดีกว่า..” สรภัสที่ยืนอยู่ข้างโทรศัพท์ในบ้านไพรวันเองก็ราวกับจะเบาใจขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ แต่ทว่าน้ำเสียงที่ได้ยินในตอนแรกก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างเป็นห่วง “..แล้ว ภัสรบกวนหรือเปล่าคะ”
ร่างสูงโปร่งหันกายเอนหลังเข้ากับผนังราวกับจะพยายามใช้ความคิดว่าหล่อนมีท่าทางอย่างไรอยู่“เวลาแบบนี้จะให้ฉันทำอะไรล่ะ”
สรภัสหยุดฟังคำถามของหล่อน พลางเหลือบมองนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว “ก็..น้ำเสียงของคุณหญิงดูเหนื่อยๆ เลยไม่แน่ใจว่าพักผ่อนอยู่หรือเปล่าน่ะสิคะ”
“อือ เหนื่อยนิดหน่อย” จิลลาภัทรแอบยิ้มกับตัวเองเมื่อได้ยินนำเสียงติดกังวลเล็กๆ นั่น “แต่คิดว่าค่อยๆ ดีขึ้นแล้วนะ”
คนฟังยืนเม้มริมฝีปากเมื่อฉุกคิด..คงไม่ใช่ว่าหล่อนแอบเนียนบอกว่ารู้สึกดีขึ้นเพราะเธอหรอกนะ
“…อย่างไร คุณหญิงก็อย่าลืมพักผ่อนก็แล้วกันนะคะ เอรินเล่าให้ฟังว่าถ่ายหนังหลายชั่วโมงมากเลย”
“เดี๋ยวนี้เอรินถึงขั้นนินทาฉันให้ฟังแล้วหรือ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ แต่หมายถึง..เธอเป็นห่วงคุณหญิงต่างหากค่ะ” สรภัสรีบบอกคนที่ส่งเสียงถามคล้ายกับเธอไปสร้างอารมณ์ขุ่นมัวให้หล่อนเข้า ส่วนคนฟังอย่างหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรที่จับความร้อนรนในน้ำเสียงของหล่อนได้ก็นึกอยากแกล้งหญิงสาวขึ้นมา
“แล้วหล่อนล่ะ สรภัส” เธอตั้งใจถามอย่างเชื่องช้า “ไม่ห่วงฉันหรือ”
น้ำเสียงที่คล้ายกับจะคาดหวังและเรียกร้องทำให้ใบหน้าของคนฟังรู้สึกร้อนผ่าว คนร่างบางได้แต่จับสายที่เชื่อมกับโทรศัพท์คลาสสิคเพื่อข่มความเอียงอายที่กำลังจะแล่นริ้วไปทั่วบริเวณ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับสัญชาตญาณของตัวเอง สรภัสจึงได้แต่ก้มหน้างุดแม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็นมันแล้วกล่าวพึมพำตอบออกไป
“ก็เป็นห่วง..เหมือนทุกคนที่บ้านไพรวันนั่นแหละค่ะ”
แม้ใจแรกจะจงใจหยอกเย้าคนปลายสาย ทว่าพอได้รับคำตอบที่ชัดเจนแก่หูของตนเอง จิลลาภัทรเองก็ไม่อาจห้ามริมฝีปากที่ขยับยิ้มขึ้นตามสายน้ำที่ชโลมจิตใจให้ชื่นมื่นได้อยู่ดี จึงใช้เวลาเก็บเกี่ยวความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับคนทั้งคู่จะฟังเสียงหัวใจของตนเองที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับปลายสายอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วคนอ่อนกว่าจึงค่อยหักล้างความเงียบอันเป็นสุขนี้เมื่อสังเกตเวลานี้แทน
“กินยาแล้วก็พักผ่อนเถอะ เดี๋ยวยิ่งดึกจะยิ่งไม่ดีต่อตัวเอง”
ร่างบางอมยิ้มเล็กๆ…“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณหญิง”
“ราตรีสวัสดิ์” ..เช่นเดียวกันกับคนปลายสายที่พระนคร จวบจนกระทั่งตัดใจวางเครื่องโทรศัพท์คลาสสิคลงกับที่ ด้วยหัวใจที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาในรอบหลายอาทิตย์เลยทีเดียว
ส่วนอีกคนก็ได้แต่ยืนอมยิ้มขำปล่อยให้หัวใจที่ยังคงสูบฉีดส่งความร้อนผ่าวไปทั่วกายและความคิด สรภัสจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่หล่อนพูดจาเช่นนี้กับเธอก็เมื่อครั้งที่ร้องขอให้หล่อนไปเข้าพระนครไปด้วยกัน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยเพราะเจ้าหล่อนไม่ได้กลับมาที่บ้านไพรวันอย่างที่พูด ช่วงเวลาเหล่านั้นสรภัสยอมรับว่าตนเองรู้สึกเศร้าและเหงาอย่างไม่มีสาเหตุ จะทำอะไรในบ้านก็ดันนึกถึงคนที่เป็นเจ้าของบ้าน ยิ่งช่วงเวลาที่ต้องสอนตายศเรียนรำ เธอก็อดคิดถึงสีหน้าที่ตั้งอกตั้งใจฟังของอีกคนเวลาใช้ความพยายามไม่ได้..
แต่ดูเอาเถอะ…ไม่เจอกันแค่สองอาทิตย์ หล่อนทำให้เธอกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เห็นไม่ค่อยแสดงความรู้สึกในชีวิตจริง ไม่นึกว่าพอเจอเข้าจริงๆ แล้วจะเก่งมากกว่าตอนเห็นเป็นนักแสดงขนาดนี้เลยนะ..
“กว่าจะเชื้อเชิญคุณหญิงจิลลาภัทรมาที่บ้านได้ในเดือนนี้นี่ยากจริงๆ เลยนะ”
หญิงสาวร่างเล็กเจ้าของผมยาวสีดำขลับประบ่าเอ่ยด้วยท่าทางหยอกเย้าเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ที่ระเบียงซึ่งสร้างติดออกมาจากตัวบ้านสำหรับใช้ในการนั่งพักผ่อน หล่อนสวมเสื้อคอปกแขนกุดสีน้ำเงินตัดขาวกับกระโปรงเข้ารูปทั้งยังตกแต่งใบหน้าด้วยเครื่องสำอางที่โดดเด่น ใบหูประดับด้วยไข่มุกแวววับแม้จะอยู่ในชุดลำลอง และด้วยเพราะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ทุกการกระทำและย่างก้าวของหล่อนจึงเสริมให้หญิงสาวตัวเล็กผู้เป็นเจ้าของบ้านคนนี้ดูเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอมากกว่าหญิงสาวในพระนครทั่วไป
จิลลาภัทรยิ้มมุมปากระหว่างที่สาวใช้เดินเข้ามารินน้ำชาลงบนแก้วที่เตรียมไว้ให้ “ไม่เจอพักเดียวปากคอเราะร้ายขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็คุณหญิงจิลลาภัทรนั่นแหละค่ะ ที่บอกว่าวงการนี้จำเป็นต้องป้องกันตัวเอง” โชษิตา ยศสมบูรณ์ กล่าวรับพร้อมกับรอยยิ้มหยอกล้อที่ยังไม่เลือนหายขณะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “สีหน้าดูเหนื่อยๆ จังเลยนะ”
หล่อนคือนักแสดงสาวดาวรุ่งที่จิลลาภัทรสามารถออกปากได้ว่าเป็นเพื่อนคนสนิทในชีวิตไม่กี่คนนับตั้งแต่เติบโตในตระกูลทัตพงศ์มาลีและเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ฟังได้ หากแต่เมื่อก่อนเจ้าหล่อนยังเป็นแค่สามัญชนคนธรรมดาที่ร่ำเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ไม่ได้มีสิทธิมีเสียงอะไรไปมากกว่าหญิงสาวคนอื่นในพระนคร แต่เพราะความสามารถในการแสดงทำงานอย่างมืออาชีพและการชักนำของเธอ โชษิตาจึงก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์อย่างเต็มตัวในที่สุดเมื่อปีก่อน แม้จะเข้ามาทีหลัง แต่หากเทียบกันแล้วจิลลาภัทรนับถือในความสามารถที่ไต่เต้าจากศูนย์ขึ้นมาเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในปีนี้มากกว่าคนที่เข้ามาได้เพราะแมวมองอย่างตัวเธอเอง
ร่างสูงโปร่งเล่าทุกสิ่งที่อยู่ในใจให้แก่หญิงสาวฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์มากที่สุดในเวลาทำงานช่วงนี้
“ไม่แปลกหรอก ช่วงนี้มือสมัครเล่นที่มีเงินหนุนเป็นกำลังพากันกระโดดเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสร้างทั้งนั้น” โชษิตาตอบกลับหลังจากฟังเรื่องราวของชายหนุ่มที่เธอได้ไปพบเป็นคราวแรกจวบจนถึงการทำงานในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
จิลลาภัทรนิ่งไปราวกับทบทวน แม้จะรู้สึกขัดใจหน่อยๆ ที่เพื่อนสนิทไม่ได้ออกอาการสงสัยหรือตงิดใจเรื่องที่จู่ๆ ผู้ถูกพาดพิงเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตของเธอก็ตาม
“ก็จริงของเธอ”
“แต่จากที่ฟัง เขาดูกระตือรือร้นในการเข้ามาทำงานกับเธอดีนะ”สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเป็นขมวดคิ้วอย่างจริงจังและตักเตือน “เธอคงรู้ดี ว่าฉันพูดถึงอะไร”
“รู้สิ ฉันเป็นคนพาเธอเข้ามาในวงการนี้นะโชษิตา”
“เพราะแบบนั้นถึงได้ไม่ยอมพาคุณภัสเข้ามาด้วยสินะ” โชษิตาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วยียวนกลับเมื่อได้เห็นรอยยิ้มพอใจจากคนเป็นเพื่อน “หล่อนเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”
หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรมีท่าทีลังเลในตอนแรก แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่ามันไม่มีอะไรที่ทำให้เธอต้องปิดบังอีกฝ่ายก็เลยเล่าเรื่องช่วงเวลาที่พักผ่อนอยู่ในบ้านไพรวันตลอดอาทิตย์ซึ่งเกี่ยวกับใครบางคนที่อาศัยอยู่บ้านหลังนั้นให้ฟังอย่างเป็นปกติ
แต่ในสถานการณ์ที่เธอคิดว่าปกติดีแล้ว เพื่อนสาวร่างเล็กตรงหน้ากลับเท้าคางด้วยแววตากรุ้มกริ่มออกมาเสียอย่างนั้น “รู้ตัวไหมว่าสีหน้าที่เธอเล่ามันเป็นยังไงน่ะ?”
ร่างสูงโปร่งชะงักการพูดของตนเองเมื่อถูกขัดขึ้นด้วยท่าทางเหล่านี้
“…ก็ปกติไม่ใช่หรือ”
“ไม่เลยจิล” โชษิตาหัวเราะเบาๆ อย่างมีเลศนัยแล้วจิบน้ำชาใส่คนที่ทำหน้างุนงง “เธอดูมีความสุข”
ได้ยินอย่างนั้นคนตัวสูงก็นิ่งเงียบ เธอหลุบตาไปมาระหว่างที่สัมผัสผิวแก้มตัวเองราวกับสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น หากไม่ใช่เพราะทำงานต่อหน้ากล้องและใช้มันเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเองแล้วล่ะก็ ยากนักที่มันจะบ่งบอกอารมณ์ใดได้ชัดเจนด้วยการพูดคุยในวงสนทนา
“จริงสิ เธอได้รับเชิญงานเต้นรำการกุศลในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าไหม” ร่างเล็กถามเมื่อวางถ้วยน้ำชาลงอีกครั้ง ส่วนคนที่หายวับไปทบทวนอารมณ์ของตนเองชั่วครู่ก็ลดมือลงเมื่ออีกฝ่ายเริ่มหัวข้อใหม่
“ได้รับแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปดีหรือเปล่า”
“เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีสุภาพบุรุษก็ได้ เป็นแค่การเต้นรำที่มีผู้คนในวงการภาพยนตร์มาพบปะสังสรรค์แล้วก็เลี้ยงอาหารสำหรับคนที่บริจาคเท่านั้น” โชษิตาอธิบาย “ถ้าอย่างไรเธอไปกับฉัน เต้นรำตามประสาเพื่อนสาวสักเพลงแล้วค่อยกลับไหมล่ะ”
งานที่หญิงสาวร่างเล็กกล่าวถึงเป็นงานการกุศลที่ผู้อาวุโสในวงการภาพยนตร์จัดขึ้นเพื่อตอบแทนผู้บริจาคที่หยิบยื่นน้ำใจให้แก่สถานที่สงเคราะห์ต่างๆ ทั่วจังหวัด แม้การบริจาคจะสามารถทำได้โดยไม่ต้องเข้าร่วมงานก็ได้ แต่ก็มีนักแสดงและผู้กำกับน้อยใหญ่หลายคนที่มาแสดงตัวถึงความมีน้ำใจแก่สาธารณะชนรวมทั้งเพิ่มพูนชื่อเสียงและบารมีให้กับตนเอง
“ถึงจะเป็นงานสำหรับผู้บริจาค แต่ก็ไม่พ้นพวกนักข่าวที่ต้องเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศอยู่ดี”
“ก็แค่ตอนนั่งรถสวยๆ มาเข้างานเท่านั้นแหละน่า” โชษิตากล่าวอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะทำคิ้วหลิ่วตาใส่เธออีกครั้ง “หรืออยากจะเชิญนางสีดาจากกรุงลงกามาร่ายรำที่พระนครแทนก็ได้นะ”
แล้วเธอไปประพฤติตนเหมือนทศกัณฐ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเล่า…
สายลมในยามบ่ายท่ามกลางสวนอันร่มรื่นนอกจากจะทำให้ผู้ที่ยังคงทำงานตามหน้าที่ของตนเองรู้สึกเย็นสบายจนอยากจะเอนตัวลงน้อยแล้ว ยังสามารถทำให้ผู้ที่กำลังฝึกฝนด้วยความตั้งใจของตนเองนั้นมีสมาธิในการร่ำเรียนมากขึ้นด้วย
“แบบนั้น ค่อยๆ ช้าๆ”
หญิงสาวร่างบางในชุดคล้ายกับสาวใช้เช่นทุกวันกำลังนั่งกำกับเด็กหนุ่มในเสื้อยืดสีขาวกับโจงกระเบนสีแดงอยู่บนแคร่ใต้ต้นไม้ในสวน เธอคอยจดจ้องวิถีการร่ายรำที่ถูกต้องที่ได้สั่งสอนไปให้แก่เด็กชายให้แน่ใจว่าไม่ผิดพลาดและสวยงาม ในแววตาคู่สวยมีประกายพึงพอใจเมื่อเห็นว่าผลลัพธ์ของเธอนั้นก้าวหน้าไปมากจากช่วงอาทิตย์แรกทีเดียว
สองอาทิตย์ที่ผ่านมาสิ่งที่จะทำให้เธอรู้สึกคลายเหงาไปได้บ้างก็คือการที่ ยศ เด็กหนุ่มผู้อยากร่ำเรียนศิลปะการร่ายรำจะเดินมาจากตลาดน้ำทุกวันเพื่อมาที่นี่ นอกจากเขาจะได้รับโอกาสในการเรียนสิ่งที่ชอบแล้ว เจ้าของบ้านอย่างหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรยังจ้างให้เขาทำงานเป็นคนตัดแต่งกิ่งไม้ดูแลสวนตลอดตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาร่ำเรียนซ้ำยังจ่ายค่าจ้างที่มากเกินสำหรับหน้าที่เล็กๆ เช่นนั้น แน่นอนว่าเด็กหนุ่มปฏิเสธในคราวแรกที่ได้รับ แต่ว่าคนตัวสูงนั่นก็ขู่ว่าถ้าหากเขาไม่รับไปก็จะไม่ยอมให้เข้ามาเรียนอีก
ถึงจะฟังดูเหมือนเป็นการออกคำสั่ง…แต่สรภัสก็เข้าใจดีว่าทำไมหล่อนถึงทำแบบนั้นล่ะนะ
ร่างบางมองเด็กหนุ่มที่เข้ามานั่งพักบนแคร่ข้างๆ กัน เขาใช้เวลาที่นั่งพักอ่านตัวหนังสือบนสมุดเก่าๆ อย่างตั้งใจ
“ความสำคัญของละครรำ คือต้องจำบทให้ขึ้นใจ จากที่ให้อ่านไปเมื่อสองวันก่อน พอจะจำได้โดยไม่ต้องอ่านได้ไหม?”
ยศได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย เขาปิดสมุดที่มีเนื้อความเกี่ยวกับบทละครที่หล่อนเอาให้ไปท่องจำลง แล้วเริ่มท่องบทละครของเจ้าเงาะป่ารูปงามออกมาเป็นจังหวะจะโคน
“งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ นางในธรณีไม่มีเหมือน แสร้งทำแลเลี่ยงเบี่ยงเบือน ให้ฟั่นเฟือนเตือนจิตคิดปอง พระจึงตั้งสัตย์อธิษฐาน…”
สรภัสหยุดมือที่ให้จังหวะการร้องของตนเองแล้วเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ค่อยๆ เงียบไป น้ำเสียงและท่าทางไม่มั่นใจที่เริ่มเผยออกมาทำให้หญิงสาวต้องเป็นคนร้องเข้าจังหวะต่อจบบทให้กับเขาเอง
“…แม้นบุญญาธิการเคยสมสอง ขอให้ทรามสงวนนวลน้อง เห็นรูปพี่เป็นทองต้องใจรัก”
ยศยิ้มและหัวเราะแห้งๆ เมื่อน้ำเสียงน่าฟังนั้นกล่าวจบลง “…เอาเข้าจริงๆ แล้วผมยังจำได้ไม่ค่อยเท่าไหร่เลย”
“ได้เท่านี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว ละครรำน่ะต้องท่องจำบ่อยๆ เวลาแสดงจะได้รู้ว่าต้องทำท่าทางแล้วก็แสดงสีหน้าอย่างไร”เธอเผยยิ้มใจดีให้กับเขา อาจจะเพราะเด็กหนุ่มมีความตั้งใจและเป็นศิษย์คนแรกของเธอ สรภัสจึงพยายามที่จะมอบทุกอย่างที่เธอรู้ให้เขาเล่าเรียนและเก็บเกี่ยวมันได้
“ปล่อย!”
เสียงตะโกนแว่วเข้าหูทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงักในสิ่งที่ตนเองสนใจ สรภัสเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อคล้ายกับว่ามีใครบางคนกำลังมีปากมีเสียงกับคนในบ้านไพรวัน และต้นตอของเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามาในจุดที่เธอสอนเด็กหนุ่มอยู่เรื่อยๆ
“ทำไมฉันจะเข้าไปไม่ได้ ก็ลูกชายฉันอยู่ในนี้!”
ไม่นานนักต้นตอของเสียงก็มาถึง หญิงกลางคนกำลังพยายามเดินฝ่าคนใช้ผู้ชายในบ้านซึ่งกำลังพยายามคว้าจับหล่อนเอาไว้เรื่อยๆ พลันนั้นเด็กหนุ่มข้างๆ เธอก็รีบลุกขึ้นแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าของความวุ่นวายนั่นในทันที
“ปล่อย!ปล่อยฉัน!” เมื่อเห็นว่าเหล่าคนใช้เริ่มอ่อนแรงลง เจ้าหล่อนก็สะบัดต้นแขนทั้งสองหนีแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่วิ่งมาหยุดยืนตรงหน้า “ตายศ”
“แม่มาทำอะไรที่นี่น่ะ?”
หญิงกลางคนไม่ได้สนใจคำถามของบุตรชาย หล่อนเพียงมองมาที่เธอกับบริเวณโดยรอบที่ไม่มีวี่แววใครอื่นนอกจากเด็กหนุ่มก็กล่าวเสียงเหน็บแนมออกมาว่า “อ๋อ ที่หนีไปอ้างเรียนรำเมื่อคราวก่อนเพราะติดผู้หญิงหรอกหรือ คราวนี้ถึงได้มาติดสาวใช้ที่บ้านคุณหญิงกระไรนี่ได้”
ยศขมวดคิ้วแล้วหันกลับมามองหญิงสาวซึ่งเปรียบเสมือนอาจารย์ก่อนกลับไปหามารดาด้วยสีหน้าขุ่นมัวไม่สู้ดีนัก “แม่พูดอะไรของแม่น่ะ ผมอ้างตอนไหน? ผมมาเรียนจริงๆ นะ”
เพี้ยะ!
เสียงกระทบของผิวหนังดั่งการจุดประกายความวุ่นวายที่เงียบไปแล้วให้กลับมาอีกครั้ง เมื่อหญิงกลางคนเข้าระดมส่งฝ่ามือเข้าทั่วทั้งใบหน้าและตัวของเด็กหนุ่มอย่างคนไม่มีสติ
“ฉันจะตีแกให้ตายเลย!”
“หยุดก่อนเถอะค่ะ!ค่อยๆ พูดจากันเถอะ!”
เขาใช้เพียงมือปัดป้องและพยายามหลบด้วยท่าทางเจ็บปวด จนสรภัสไม่อาจทนได้ต้องลุกขึ้นเข้าไปดึงรั้งแขนของเขาให้ออกห่างพร้อมๆ กับที่คนใช้ชายอีกสองคนเข้ามาดึงรั้งร่างของหญิงกลางคนตามเดิม ระหว่างนั้นแล้วเธอก็รู้สึกได้ถึงความสั่นเทาด้วยความโกรธจากแขนของเด็กหนุ่มไม่น้อยเลยด้วย
“ในเวลาที่บ้านแทบจะไม่มีอะไรให้ประทังชีวิตอยู่แล้ว ทำไมแกถึงยังไม่ออกไปทำงาน เอาเวลามาทำอะไรไร้สาระแบบนี้อยู่อีก!”
สีหน้าที่เหลืออดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยศ เขาก้าวเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยความโกรธจนสรภัสเกือบจะรั้งไว้ไม่อยู่ “ผมก็ตั้งใจทำในสิ่งที่ผมทำได้อยู่นี่ไง ทำไมแม่ถึงไม่ยอมมองเห็นบ้าง!”
“…!?”
“ผมมันไม่มีความรู้ จะให้ไปทำงานข้างนอกก็ได้มาไม่คุ้มค่า แต่คุณหญิงเขามอบโอกาสให้ผม เขาให้งานดูแลสวนนี้กับผมแล้วก็ให้โอกาสผมเรียนสิ่งที่ตัวเองชอบ เขาเป็นผู้มีพระคุณของผม แล้วแม่ยังจะเข้ามาทำตัวน่าอายแบบนี้ในสถานที่ของคุณหญิงอีกหรือ!”
เด็กหนุ่มยังคงตะคอกเสียงดังใส่ผู้เป็นมารดา หญิงกลางคนได้แต่นิ่งอึ้งด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าโมโหใส่ตน “ตายศ!”
เสียงสั่นของหญิงกลางคนไม่ได้ทำให้อารมณ์โกรธของเขาลดลงง่ายๆ ความอัดอั้นที่มีที่ซุกซ่อนอยู่ในใจของเด็กหนุ่มพรั่งพรูออกมาโดยไม่มีท่าทีจะหยุดหย่อน “เงินที่ผมต้องแอบเอาไปใส่ในกระปุกทุกคืนทุกวัน แม่คิดว่าเพราะมีคนมาซื้อสมุนไพรไร้ประโยชน์นั่นที่แม่หาแล้วเอามาหยอดไว้ให้หรือไง!!”
“ยศ หยุดเดี๋ยวนี้!” สรภัสใช้แรงของตนเองดึงรั้งให้ร่างของเด็กหนุ่มไปด้านหลังอย่างเหลืออด ต่อให้คนตรงหน้าจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญอย่างไรแต่หล่อนก็เป็นแม่ของเขา ในฐานะที่เธอเป็นครูคนหนึ่ง เธอจึงหันไปมองเด็กหนุ่มอย่างตำหนิระคนเข้าใจก่อนจะหันกลับมาพูดกับหญิงกลางคนอีกที
“คุณน้าคะ”เธอว่าด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติ และมองหล่อนด้วยสายตาจริงจัง “จริงอยู่ที่เต้นกินรำกินมันไม่ได้ช่วยทำให้อิ่มท้อง แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ทำงานเพื่อครอบครัวไปพร้อมๆ กับสิ่งที่เขาชอบได้นะคะ”
“….”
“เพราะฉะนั้นแล้ว อย่ากีดกันโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้เลยนะคะ”
หญิงกลางคนยังคงสีหน้าตกใจของตนเองไว้ แล้วไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมาอีก
“พอแล้ว” เสียงหนึ่งทำลายความเงียบและลมหายใจที่หนักหน่วงโดยรอบ แต่คนคุ้นเคยอย่างสรภัสไม่อาจทำใจให้สงบได้เมื่อเห็นว่าใครเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นกำแพง “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ใครจะเข้ามาโวกเวกโวยวายก็ได้อย่างงั้นหรือ?”
เอรินกล่าวขณะที่ใช้มือไขว่หลังอย่างสุภาพ ทว่าแต่ละประโยคที่หล่อนพูดออกมากลับทำให้เด็กหนุ่มและแม่ของเขาหน้าเสียไม่น้อยเลย
“รู้หรือไม่ว่าทางเราสามารถเอาผิดผู้บุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาต ในนามของวังทัตพงศ์มาลีได้”
“….”
หล่อนหันไปหาเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังของเธอ “นายยศ อาทิตย์นี้เราจะลดเงินที่ให้จากการดูแลสวนลง 30%เป็นการลงโทษที่ทำเรื่องวุ่นวายในบ้านของคุณหญิง” แล้วจึงสั่งกับคนใช้ผู้ชายทั้งสองคนที่เหนี่ยวรั้งหญิงกลางคนเอาไว้คนละข้างอย่างสุภาพ “พาไปส่งที่ตลาดด้วย”
เมื่อความวุ่นวายได้กลับมาสงบอีกครั้ง สรภัสจึงได้หันกลับไปมองเด็กหนุ่ม เขายังคงก้มมองพื้นหญ้าด้วยลมหายใจที่ใกล้กลับมาคงที่ ด้วยความที่ยังคงเป็นเด็ก ราวกับรับรู้ว่าตนเองผิดอย่างไรทว่าก็ยังหัวแข็งไม่ยอมรับ ยศจึงกล่าวบอกโดยไม่สบตาเธอ
“ผมจะไปตัดต้นไม้ด้านหลัง แล้วจะรีบกลับครับ”
ร่างบางมองตามเด็กหนุ่มที่เดินลับหายไปในสวน แม้ใจหนึ่งจะนึกเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะรู้สึกไม่ดีที่เธอทำแบบนั้น แต่อีกใจหนึ่งเธอก็มั่นใจว่าเด็กอย่างเขาจะทบทวนได้ว่าเหตุใดเธอจึงตำหนิเขาทางสายตาเยี่ยงคนประพฤติผิดเสียเอง
“เอริน อย่ารายงานเรื่องนี้กับคุณหญิงได้ไหมคะ”
หญิงสาวเจ้าของชื่อมองคนตรงหน้าด้วยสายตายากจะอ่าน แต่กระนั้นก็มีความเกรงใจอยู่หลายส่วนหลังจากวันที่หล่อนป่วยแล้วเธอไม่ได้แจ้งผู้เป็นนาย เอรินหันมองไปทางอื่นก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีไม่เอาความอะไร
“ตราบใดที่คนของคุณหญิงไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของเธอต้องแปดเปื้อน ฉันก็ไม่รายงานหรอกค่ะ”
เมื่อกล่าวจบก็เดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งให้เธอสงสัยกับคำว่าคนของคุณหญิงในด้านความหมายโดยนัยและโดยนอกอยู่เงียบๆ คนเดียว
“คุณหญิงคะ ได้เวลาทานมื้อเที่ยงแล้วค่ะ”
เสียงของสาวใช้ประจำวังเรียกขึ้นทำให้หญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดลำลองแต่ก็ยังคงรัศมีของความเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ วันนี้ฉากที่เธอต้องถ่ายทำใช้เวลาเสร็จก่อนเที่ยงจึงได้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน จิลลาภัทรปิดหนังสือที่วางไว้บนหน้าขาระหว่างเอนตัวอ่านไว้ข้างตัวระหว่างที่ลุกขึ้น แล้วเดินตามสาวใช้ไปยังห้องอาหารขนาดกลางที่มีโต๊ะตัวยาวสำหรับสมาชิกทุกคนในวังทัตพงศ์มาลี
“มาเร็วเจ้าจิล วันนี้มีของโปรดเราด้วยนะ”
เสียงของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนหัวโต๊ะตัวยาวอันเป็นสินค้าชิ้นดีจากเมืองฝรั่ง หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์เอ่ยด้วยรอยยิ้มต้อนรับน้องสาวคนเล็กที่เดินลงมานั่งบนเก้าอี้ทรงสูงด้านซ้ายของเขาเอง จิลลาภัทรยิ้มเป็นการตอบรับคำ ระหว่างนั้นร่างบางของหญิงสาวอีกคนก็เดินเข้ามาตักข้าวสวยร้อนๆ ลงบนจานให้
“ขอบคุณค่ะพี่ช่อม่วง”
หม่อมจีรัญนภาเผยยิ้มเอ็นดูแล้วสัมผัสไหล่บางของหญิงสาวก่อนจะไปทำหน้าที่อื่นในครัวต่อ ระหว่างนั้นหญิงสาวภายใต้เสื้อสีขาวทับด้วยกระโปรงสีครีมตัดด้วยเข็มขัดดำก็ออกมาจากอีกเส้นทางหนึ่งพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้าแทบจะทุกที
“วันนี้นึกว่าจะเป็นรอบหลายเดือนที่ได้กินข้าวเที่ยงกันพร้อมหน้าเสียอีก เจ้าจินดันติดเข้าเวร ส่วนเจ้านิ่มก็ดันต้องสะสางเอกสารรายงานคดีพอดี” ชายหนุ่มกล่าวพลางส่ายศีรษะอย่างไม่จริงจังนัก “มีสมาชิกเยอะก็ใช่ว่าจะไม่เหงา”
“รดากับเจ้าจิลอยู่ตรงนี้ พี่ชายใหญ่จะยังมาถามหาอีกสองคนอีกหรือ เราสองคนต้องน้อยใจแทนเสียกระมัง”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์นั่งลงไม่ทันไรก็หันไปพยักพเยิดเหน็บแนมพี่ชายของตนกับน้องสาวคนเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
“พี่ก็ดีใจนั่นแหละ นานๆ เจ้าจิลจะยอมอยู่วัง ส่วนเราก็ไม่ได้ออกไปเตร็ดเตร่กับเพื่อนๆ นับว่าเป็นสัปดาห์ที่ดีล่ะมัง” เจตนิพันธ์หัวเราะชอบใจก่อนตอบเมื่อน้องสาวเอาคืน “แต่อย่างไรพี่ก็คิดถึงสมัยพวกหล่อนยังตัวเล็กๆ มากกว่า ไม่ต้องออกไปไหน อยู่วิ่งเล่นซนรอบวังไปวันๆ เฮ้อ กาลเวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน”
เห็นดังนั้นจิลลาภัทรก็อดหยอกชายหนุ่มกลับบ้างไม่ได้ “ก็เข้าใจว่าพี่ชายใหญ่โตจนแต่งงานแล้ว แต่กลับบ่นเป็นคุณตาอายุ 60 ไปได้”
หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์หรี่ตามองน้องสาวคนเล็กก่อนจะกล่าวอย่างคาดโทษ “ไว้ลองอายุเท่าพี่ดูเถอะ เดี๋ยวพวกหล่อนก็รู้เอง”
เสียงหัวเราะเล็กๆ เกิดขึ้นไปทั่วทั้งโต๊ะอาหาร จนกระทั่งร่างของหม่อมจีรัญนภากลับออกมาจากห้องครัวพร้อมกับถ้วยแก้วในมือที่ถูกวางลงอย่างระมัดระวัง
“ขนมส้มฉุนค่ะ”
จิลลาภัทรมองถ้วยแก้วนั้นอย่างสนใจ ภายในถ้วยใสขนาดกลางมีน้ำแข็งลอยอยู่ในน้ำเชื่อม มีผลไม้ทั้งลิ้นจี่ สละและเงาะ กลิ่นหอมชื่นของมันเป็นอันรับรองได้ว่าหากได้ลิ้มลองแล้วคงจะรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อยทีเดียว
“พี่ช่อทำเองหรือคะ”ดารารินทร์เป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยหน้าตาสงสัยใคร่รู้ เพราะไม่ใช่บ่อยๆ ที่พวกเธอจะได้ทานชิมของแบบนี้แม้จะเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ก็ตาม
ช่อม่วงส่ายหน้าเมื่อได้นั่งลงข้างๆ ผู้เป็นสามีแล้วอธิบายด้วยรอยยิ้ม “พี่เป็นแค่ลูกมือของป้าโฉมฉายน่ะ”
หล่อนพยักพเยิดไปทางหญิงชราในเสื้อคอกลมสีขาวนวลกับผ้าถุงปักลายและยืนอยู่ที่มุมห้องอย่างสุภาพเรียบร้อย หล่อนคือป้าโฉมฉาย คนรับใช้อาวุโสที่คอยเลี้ยงดูพวกเธอมาพร้อมๆ กับพี่ชายใหญ่ หล่อนอายุมากเสียจนพวกเธอพี่น้องเองยังไม่แน่ใจเลยว่าหล่อนยังเดินเหินไปมาในวังทัตพงศ์มาลีไหวได้อย่างไร ผมสีขาวทั้งศีรษะถูกรวบไว้เรียบร้อยไม่มีที่ติ ใบหน้าเหี่ยวย่นทว่ามีรอยยิ้มใจดีอยู่เสมอทำให้ใครหลายคนอุ่นใจที่จะอยู่ใกล้ๆ แต่กระนั้นก็ตามตั้งแต่เธอจำความได้จิลลาภัทรก็ไม่เคยได้ยินหล่อนพูดออกมาเลยสักครั้ง แม้กระทั่งพี่ชายใหญ่ที่เลี้ยงดูพวกเธอมาด้วยกันก็ไม่เคยได้ยิน ป้าโฉมฉายจะสื่อสารด้วยการพยักหน้า เขียน หรือจับมือเท่านั้น ในตอนที่บอกให้เธอก้าวเข้าสู่วงการนักแสดง หล่อนก็เพียงแค่เขียนบอกว่าอยากจะเห็นเธอเฉิดฉายบนโทรทัศน์เท่านั้นเอง
จิลลาภัทรเคยได้ยินว่าคนที่เคยได้ฟังเสียงของป้าโฉมฉายคือเชื้อสายทางเจ้าคุณปู่ของเธอแล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงของหญิงชราอีกเลย หล่อนเคยเขียนเล่าเอาไว้ว่าการที่เธอกับพี่ชายใหญ่หน้าคล้ายกันถือเป็นรางวัล ส่วนพี่หญิงรดาหน้าเหมือนเจ้านายคนเก่าของแม่หล่อนก็นับถือว่าเพราะเป็นสิ่งที่เคยทำร่วมกันมา ในขณะที่พี่หญิงรองและพี่หญิงใหญ่นั้น เธอกลับทิ้งไว้เป็นปริศนาไม่ได้กล่าวถึงอย่างเช่นพวกเธอที่เหลือ
แต่ขนาดอายุมากขนาดนี้ยังคงไว้ซึ่งฝีมือของชาววังในอดีต สมกับที่ครอบครัวของหญิงกลางคนรับใช้ครอบครัวทัตพงศ์มาลีมาแล้วสองสามรุ่นด้วยกันจริงๆ
จิลลาภัทรก้มมองถ้วยขนมส้มฉุนที่ถูกตักแบ่งแจกจ่ายไว้สำหรับคนร่วมโต๊ะอาหาร เพราะความที่มันไม่ใช่ขนมที่หากินได้ง่ายๆ หญิงสาวจึงอดนึกถึงใครบางคนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของครอบครัวไม่ได้จริงๆ
..แค่อยากให้หล่อนได้มีโอกาสทานเหมือนกัน…คงน่าจะไม่เคยได้ลองกิน
ชายหนุ่มที่อยู่หัวโต๊ะเหลือบเห็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งเอาแต่จ้องถ้วยขนมโดยที่ยังไม่ทันจับช้อนส้อมขึ้นมาเริ่มรับประทานเสียทีจึงเอ่ยทักขึ้น
“เอ้า เหม่ออะไรหรือน้องหญิงเล็ก เดี๋ยวกับข้าวหายร้อนจะไม่อร่อยเอานะ”
จิลลาภัทรกระพริบตาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เธอยิ้มเล็กๆ แล้วส่ายหน้าก่อนจะเริ่มจัดการกับอาหารเที่ยงบนโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้ หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เผยยิ้มราวกับรู้ว่าคนตรงข้ามคิดอะไรแม้จะมีข้าวอยู่ในปาก หญิงสาวกลืนมันลงคอก่อนจะจงใจเอ่ยกระตุกหนวดน้องสาวให้พี่ชายได้ฟังความ
“คงเหม่อลอยถึงดวงดาวน้อยๆ ที่บ้านไพรวันอยู่มังคะ เพราะที่พระนคร ยากนักที่จะมองเห็น”
ร่างสูงโปร่งเคลื่อนสายตาจากเมล็ดข้าวขึ้นมาส่งสายตาถมึงทึงอย่างไม่จริงจังใส่พี่สาวคนกลางทันที และเมื่อเห็นว่าหล่อนมีปฏิกิริยาอย่างไรคนตัวขาวก็กลั้นหัวเราะจนดูตลกเต็มที่ ดีที่พี่ชายใหญ่ของเธอไม่ทันได้เอะใจหรือถามอะไรเพิ่มเติม
พี่หญิงกลางของเธอนี่ช่างร้ายจริงๆ เสียให้ตาย
“อือ จริงสิ แล้วเทียบเชิญงานเต้นรำการกุศล สรุปว่าน้องจะตอบอย่างไร พี่กับช่อจะได้ฝากบริจาคไปด้วยกันทีเดียว” เจตนิพันธ์เอ่ยถามอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเทียบเชิญที่ถูกส่งมาที่บ้านอาทิตย์ก่อน หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่เพิ่งรับรู้ก็เลิกคิ้วอย่างสนใจ
“งานเต้นรำหรือคะ?”
ร่างสูงโปร่งหันไปตอบคนเป็นพี่ชาย “จิลจะไปค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะหันไปถามน้องสาวคนที่สามที่ดูจะสนใจ “ก็ดี เราอยากไปด้วยหรือรดา”
ดารารินทร์ส่ายหน้าแล้วยิ้มแหย “รดาไม่สันทัดงานสังคมเท่าน้องหญิงเล็กหรอกค่ะ”
กลีบดอกรักดอกแล้วดอกเล่าถูกเสียบเข้ากับเข็มยาวในอุ้งมือบางของหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ที่ระเบียงหลังครัวพร้อมกับสาวใช้คนอื่นๆ มาลัยดอกไม้สดที่ถูกร้อยเรียงอย่างประณีตแต่ละอันถูกวางเอาไว้รอคอยเพื่อนำไปถวายพระและขายให้แม่ค้าในตลาดบางส่วน อันหลังนี้สรภัสเป็นคนแนะนำและขออนุญาตกับเอรินเองว่าอยากจะให้คนในบ้านไพรวันได้มีโอกาสทำอย่างอื่นนอกเสียจากอยู่กับต้นไม้และทำความสะอาด เธอจึงได้มาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการร้อยมาลัยแต่ละครั้ง
เพราะสองอาทิตย์มาแล้วที่เด็กหนุ่มไม่ได้มาร่ำเรียนกับเธอ หญิงสาวอดถอดถอนใจไม่ได้เมื่อนึกถึง เธอแค่หวังว่าประโยคที่พูดกับแม่ของเขาในวันนั้นจะทำให้หล่อนเข้าใจอะไรได้บ้าง เมื่อขาดคนร่ำเรียนสิ่งที่จะสอน สรภัสจึงได้มีเวลาช่วงบ่ายเป็นของตัวเอง แต่มันช่างเป็นเวลาส่วนตัวที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย
“คุณภัส”
หญิงสาวที่มัวแต่ให้ความสนใจกับกลีบดอกรักเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ เอรินที่เดินเข้ามาหาเธอตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นขยิบริมฝีปากเป็นรอยยิ้มบางๆ เมื่อเธอแสดงความสงสัยออกไป “คะ?”
“ไปยืนที่หน้าประตูด้วยกันเถอะค่ะ”
ร่างบางเดินตามหลังคนสนิทของเจ้าของบ้านไปยืนที่บันไดชานบ้านด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยคำถาม เธอไม่เคยถูกเชื้อเชิญให้มายืนอยู่ตรงนี้เลยสักครั้งนับตั้งแต่ที่มาอยู่ในบ้านหลังนี้ สรภัสพยายามจะไม่สงสัยจนเกินงาม แต่ระหว่างที่ยืนอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะจัดแจงเสื้อผ้าธรรมดาๆ ของตัวเองให้มันเรียบร้อยจนเอรินต้องเหลือบมองเป็นระยะ
ไม่นานนักเสียงเครื่องยนต์ที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้หญิงสาวอยู่นิ่งๆ รถยนต์คลาสสิคสีครีมเลี้ยวผ่านประตูรั้วบานใหญ่เข้ามาจอดหน้าชานบันไดอย่างทุกครั้ง แต่น่าแปลกที่มันทำให้เธอที่เพิ่งเคยมายืนอยู่ตรงนี้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาเสียได้
เมื่อประตูถูกเปิดออกด้วยมือของคนขับรถที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน สรภัสได้แต่ยืนก้มหน้าเมื่อไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำสีหน้าเช่นไร หลายอาทิตย์ที่เธอไม่ได้พบเจอหน้าของคนตัวสูง ช่างประหลาดเหลือเกินที่ระยะเวลาสองเดือนที่หล่อนเคยไม่อยู่คราวก่อนนั้นกลับดูสั้นกว่าไม่กี่อาทิตย์คราวนี้ กระทั่งร่างโปร่งนั้นก้าวเท้าขึ้นมาหยุดที่บันไดขั้นสุดท้าย เธอได้แต่ก้มศีรษะทักทายตามเสียงของเอรินโดยไม่พูดอะไร จนรู้สึกได้ว่าถูกจับจ้องมองเพราะหล่อนไม่ยอมเดินเข้าไปข้างในตัวบ้านสักที สรภัสจึงเคลื่อนสายตาขึ้นมอง แล้วประสานเข้ากับดวงตาคู่คมของหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่ยอมคลายยิ้มเมื่อเห็นว่าเธอเงยหน้าขึ้นสักที ความร้อนผ่าวแล่นระริ้วไปทั่วใบหน้าเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นนั้น ร่างบางจึงส่งสายตาเป็นการต่อว่าในใจที่หล่อนดันมากลั่นแกล้งเธอให้เขินอายต่อหน้าคนสนิทเสียอย่างนี้
ใครจะไปคิดว่าการเห็นหน้ากันมันจะดีกว่าพูดคุยผ่านโทรศัพท์เป็นไหนๆ
เสียงเพลงดนตรีคลาสสิคจากเครื่องเล่นเพลงภายในห้องทำงานเป็นดั่งตัวเสริมสร้างความสำราญให้แก่เจ้าของห้องที่ยืนอยู่ ร่างสูงโปร่งมองสภาพภายในห้องที่ดูจะเรียบร้อยขึ้นเมื่อเธอไม่อยู่ เธอเดินมาสัมผัสกับโต๊ะกลางห้องราวกับจะสันนิษฐานว่าใครกันที่เป็นคนเข้ามาทำความสะอาด แม้แต่เอรินที่เธออนุญาตให้เข้าออกห้องนี้ได้ตามใจชอบยังไม่ทำให้มันดูเรียบร้อยได้ชัดเจนขนาดนี้ แต่เมื่อเห็นพวงมาลัยดอกไม้สดที่ถูกเอามาวางไว้พร้อมกับถาดน้ำชารสดีในระหว่างที่เธอไปอาบน้ำ รอยยิ้มบนใบหน้าก็เป็นคำตอบให้แก่จิลลาภัทรได้ชัดเจน
ร่างสูงโปร่งหยิบพวงมาลัยดอกไม้สดขึ้นมาอย่างเบามือ สันจมูกโด่งกดลงที่เนื้อผิวของมันเมื่อนึกถึงใบหน้าคนทำ พลันกลิ่นของมะลิที่ปลายพุ่มก็สร้างความสดชื่นให้เต็มปอด จิลลาภัทรผละมันออกมาเพราะกลัวดอกไม้งามจะช้ำเสียก่อน เธอได้แต่มองมันที่นอนอยู่ในมือจนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
สรภัสขยับบานประตูออกเมื่อได้ยินเสียงขานรับ เธอยิ้มเล็กๆ เป็นมารยาทเมื่อเห็นหล่อนหันมามอง จนเห็นพวงมาลัยดอกไม้สดในมือที่อีกฝ่ายกำลังจะวางมันลงที่เดิม พลันนั้นเองที่หัวใจดวงน้อยของหญิงสาวก็เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างคาดหวังอยู่ในใจ
…หล่อนจะชอบมันหรือเปล่านะ…
“คุณหญิงเรียกหาภัส มีอะไรให้รับใช้หรือคะ”
“ฉันอยากให้หล่อนช่วยอะไรบางอย่าง” จิลลาภัทรตอบคนที่ยืนรอรับคำสั่งอย่างนอบน้อมอยู่ไม่ไกล เธอเดินไปหยุดยืนอยู่ในระยะห่างที่พอดีพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ไขว่ไว้ด้านหลัง แล้วเอ่ยตอบคนที่ยืนทำหน้าตาสงสัย
“มาตรงนี้สิ”
ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อประมวลผลได้ สรภัสรู้สึกว่าหน้าตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงความทรงจำที่เกิดขึ้นภายในห้องทำงานห้องนี้
“…ถ้าเรื่องแผล มันค่อยๆ จางลงไปเยอะแล้วนะคะ”
เธอรีบบอกแล้วส่ายหน้าเบาๆ อย่างยืนยันในสิ่งที่ตนเองพูด ทว่าคนตัวสูงไม่ได้ปล่อยให้เธอปฏิเสธหรือกล่าวอะไรอีก หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรเพียงแค่ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาหยุดตรงหน้าเธอ
“?!”
ร่างสูงโปร่งจงใจกักขังหล่อนไว้ด้วยดวงตาของตน จิลลาภัทรไม่กล่าวสิ่งใดยกเว้นรอยยิ้มเล็กๆ มีนัยยะบนใบหน้าซึ่งแสดงท่าทีขบขันเมื่อเห็นท่าทางลนลานของหญิงสาว
หมับ
เมื่อคนหนียังไม่ทันได้คิดหาหนทางหลีกหนีสถานการณ์ที่อันตรายต่อหัวใจ สรภัสก็รู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่สัมผัสเข้าบริเวณเอวของตัวเอง ราวกับจะคว้าจับเด็กซนให้อยู่นิ่งๆ ร่างบางได้แต่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อระยะห่างระหว่างปลายจมูกของตนกับซอกคอของอีกฝ่ายนั้นค่อยๆ ลดน้อยลง
“..ค คุณหญิงคะ..?”
จิลลาภัทรเกือบจะหักห้ามใจไม่ให้กระทำเรื่องน่าอายได้ไม่ทันเมื่อเข้าใกล้หล่อนแล้วกลิ่นแป้งอบคล้ายดอกไม้นั้นรัญจวนอยู่บนปลายจมูก เธอถอดถอนความคิดที่กระจอนกระจายไปไกลให้เข้าที่ทางก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“จับไหล่ฉัน”
ความทรงจำเมื่อครั้งก่อนหายไปในทันทีที่ทำความเข้าใจได้ในที่สุด สรภัสค่อยๆ หลุบสายตาที่ตกอกตกใจของตัวเองลงแล้วค่อยเคลื่อนมือไปวางบนไหล่ของคนตัวสูงอย่างเชื่องช้า
..นี่มันท่าเต้นรำอย่างในละครเขาทำไม่ใช่หรือ..
“คือ…ภัสเต้นรำไม่เป็นนะคะ” หญิงสาวบอกอ้อมแอ้ม
“ถ้าฉันก้าวเข้าไปหา หล่อนก็ถอย..” จิลลาภัทรว่าด้วยน้ำเสียงนุ่มและจริงจัง ระหว่างนั้นก็ออกแรงให้เจ้าของเอวบางเคลื่อนไหวตามที่เธอบอก
“..ถ้าฉันถอย หล่อนก็ค่อยก้าวเข้ามาหา”
แม้มันจะฟังดูง่าย แต่ทว่าสรภัสก็ต้องใช้เวลาในช่วงแรกๆ ที่จะก้าวตามจังหวะเท้าของคนตัวสูง ไหนจะยังท่วงทำนองดนตรีที่ยังดังคลอไปทั่วห้องทำงาน แต่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันได้และเคลื่อนไหวไปตามครรลอง ร่างบางก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ยากมากเท่าไหร่นัก
จิลลาภัทรสังเกตสีหน้าที่ดูผ่อนคลายและเริ่มจะเคลิบเคลิ้มไปกับดนตรีในเครื่องเล่นเพลง จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาน้อยๆ ระหว่างที่พาหล่อนเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งห้องทำงาน
“ไม่ได้ยากใช่ไหม”
หญิงสาวไม่กล่าวอะไรทว่ามอบรอยยิ้มหวานให้เป็นคำตอบแทน หล่อนเคลื่อนไหวไปตามเสียงดนตรีคลาสสิค และด้วยการชักนำของเธอที่คอยประคองเอาไว้ด้วยทวงท่าที่ไม่ให้มันยากเกินไปสำหรับหล่อนนัก
“ภัส”
ร่างสูงโปร่งเอ่ยชื่อเจ้าของใบหน้าสวยที่มีรอยยิ้มประดับอยู่หลังจากจ้องมองมันด้วยความรู้สึกหลากหลายอยู่พักใหญ่
“อยากกลับบ้านไหม”
“ภัสไม่มีบ้านตั้งแต่พ่อเสียไปแล้วล่ะค่ะ” สรภัสเอ่ยตอบคนที่พาเธอเคลื่อนไหวเป็นจังหวะเบาๆ ตามเสียงเพลงด้วยรอยยิ้มปล่อยวาง “อีกอย่างถ้ากลับไปหาคณะละครตอนนี้ ก็รังแต่จะทำให้พวกเขาลำบาก เพราะคนของเสี่ยเม้งต้องคิดว่าภัสหนีกลับไปหาพวกเขาแน่ๆ”
จิลลาภัทรคิดตามก็เป็นจริงดั่งที่หล่อนว่า ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีอะไรแน่นอนหรือยันยันว่าหล่อนจะไม่ถูกตามตัวอีก ถึงแม้เจ้าหล่อนจะตอบว่าอยากกลับไป เธอก็ไม่อาจปล่อยให้หล่อนจากไปโดยที่อันตรายยังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจหล่อนแน่ๆ
“ฉันมีของจะให้หล่อน”
“?” ร่างบางเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับไม่อยากจะพูดถึงสิ่งเก่าๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจของเธอเอง
“คืนพรุ่งนี้ฉันอยากให้หล่อนใส่มัน แล้วเข้าไปพระนครกับฉันสักคืน”
ความสงสัยที่อยู่ในใจของสรภัสเลือนหายไปในคืนวันนั้นที่เธอกลับเข้าห้องนอนของตนเองด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นระส่ำ เมื่อพบว่ามีเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งถูกวางพับเอาไว้บนเตียงนอนอย่างเรียบร้อย คืนนั้นทั้งคืนเธอได้แต่ชื่นชมมันด้วยสายตาและคิดถึงคำพูดของหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรผู้เป็นเจ้าของบ้าน จนกระทั่งถึงช่วงเวลาหัวค่ำของวันต่อมา ร่างบอบบางภายใต้อาภรณ์ที่คนตัวสูงมอบเอาไว้ให้ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการสำรวจตนเองหน้ากระจกบานเรียว ด้วยการดูแลของคนหญิงสาวผู้มีเชื้อสายทางแผ่นดินใหญ่ผู้เป็นคนสนิทของหล่อนเอง
สรภัสค่อยๆ เดินออกมาหาคนที่ยืนรออยู่บริเวณหน้าประตูห้องด้วยท่าทางไม่ค่อยมั่นอกมั่นใจนัก
“…คือ..ฉันไม่ได้ดูแปลกใช่ไหมคะ?”
เอรินได้ยินดังนั้นก็หันมามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า หล่อนมองเธอด้วยสายตาที่ยากจะอ่านได้ว่ารู้สึกเช่นไรก่อนจะคล้ายกับว่ารีบเร่งให้เธอออกไปข้างนอกเสียทีโดยไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้สักคำ
“ไปเถอะค่ะ คุณหญิงรออยู่”
หญิงสาวร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้างามคมคายภายใต้ชุดราตรีคอวีเปิดไหล่ได้สัดส่วนเข้ากับทรวดทรงองค์เอวยืนอยู่ระหว่างทางขึ้นบันไดชั้นสองของบ้านไพรวัน เส้นผมสลวยถูกรวบปลายถักเปียเป็นหางปลาขนาดกลางแล้วตวัดเก็บมาไว้คลอเคลียไหล่ด้านหน้า ยิ่งบวกกับเครื่องสำอางค์ชั้นดีแล้วมันยังขับให้รัศมีของนักแสดงเจ้าบทบาทอย่างหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรดูสง่างามมากกว่าอายุที่แท้จริงเสียอีก
เธอกำลังยืนรอใครอีกคนที่จะเข้าพระนครไปด้วยกันในค่ำคืนนี้ แม้จะเคยเป็นคนที่ยืนรอเพื่อนสาวอย่างโชษิตาแต่งตัวไปออกงานด้วยกันสองคนเมื่อก่อน แต่เมื่อคิดถึงว่าคนที่อาศัยอยู่ด้วยกันได้สวมใส่ชุดที่เธอนำมาให้แล้วจะออกมาเป็นเช่นไรบ้าง จิลลาภัทรก็อดรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจไม่ได้
ระหว่างที่พยายามข่มความตื่นเต้นในใจของตัวเองอยู่นั้น หางตาของจิลลาภัทรก็เหลือบไปเห็นว่าหญิงสาวคนสนิทเดินออกมาจากโถงทางเดินเป็นคนแรกแล้วตามด้วยคนที่เธอกำลังรอคอย…
หล่อนยิ้มให้เธอในทันทีที่เห็นหน้า ความเก้อเขินที่เกิดขึ้นเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรทำให้หล่อนต้องกระชับเดรสแขนกุดมีกระโปรงบานสีชมพูหวานตัดขาวเอาไว้โดยไม่ทันรู้ตัว เส้นผมสลวยถูกสวมด้วยที่คาดสีเดียวกันแล้วยังถูกดัดลอนให้มีน้ำหนักรับกับใบหน้าที่ได้แต่งแต้ม ต่างหูดอกไม้ประกายมุขที่เอรินหามาให้ยิ่งเสริมให้ผิวพรรณขาวละเอียดของเจ้าหล่อนสดใสจนจิลลาภัทรรู้สึกไม่ดีที่เป็นคนเลือกมันมาให้หล่อนใส่ในค่ำคืนนี้เอาเสียเลย
ร่างสูงโปร่งก็ยืนยันกับตนเองได้ทันทีว่า…คืนนี้เธอไม่มีทางปล่อยสายตาจากหล่อนให้อยู่ห่างได้แน่ๆ
รถยนต์สีครีมคลาสสิคราคาแพงเคลื่อนตัวเข้ามาในเขตพระนคร คนตัวบางหันมองตึกรามบ้านช่องในเวลาที่ถูกเปิดในยามค่ำคืนที่อยู่ระหว่างทางอย่างสนอกสนใจ แต่เมื่อไหร่ที่เธอบอกเส้นทางนายดลว่ายิ่งใกล้ถึงสถานที่จัดงานแล้ว หล่อนก็จะรีบนั่งหลังตรงแล้วออกอาการเกร็งเห็นได้ชัดจนรู้สึกเอ็นดู
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก”
“..ภัสไม่เคยนี่คะ” สรภัสก้มหน้างุดพลางตอบไปตามตรง เธอเพิ่งเคยจะมีโอกาสได้สวมชุดราตรีเหมือนหญิงสาวในพระนคร แถมในตอนนี้เธอก็ต้องไปงานสังคมในฐานะเพื่อนของหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทร แม้แต่ดลคนขับรถของหล่อนเองยังแต่งตัวด้วยเสื้อขาวทับด้วยสูทเป็นหน้าเป็นตาให้ภาพลักษณ์ของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอตรงนี้ แล้วผู้หญิงที่มาจากบ้านนอกอย่างเธอจะไม่ให้กลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาดไปให้ชื่อเสียงของหล่อนพังได้อย่างไร
อันที่จริงเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิทตัวเล็กจิลลาภัทรก็คิดหนักอยู่ไม่น้อย ความเสี่ยงในการที่จะพาหล่อนเข้ามาในพระนครมีมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งด้วยหน้าที่การงานของเธอที่เสริมให้มีผู้คนคอยรายล้อมอยู่เสมอโดยเฉพาะพวกเหยี่ยวข่าวที่ต้องกระทำหน้าที่ของพวกเขาด้วยเช่นกัน เสี่ยเม้งจะมีหูตาที่ว่องไวอยู่ในพระนครมากเท่าไหร่เธอก็ไม่อาจคาดเดา แต่กระนั้นจิลลาภัทรก็อยากจะพาหล่อนมา..มาในโลกของเธอที่ค่อยๆ สดใสและน่าอภิรมย์มากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ที่ได้ใกล้ชิดและรู้จักกัน
คนอายุอ่อนกว่าเหลือบมองมือบางทั้งสองข้างที่วางอยู่บนหน้าตักอย่างไม่ผ่อนคลายนักเมื่อคฤหาสถน์ของนักแสดงอาวุโสผู้เป็นเจ้าภาพงานการกุศลอยู่ไม่กี่อึดใจข้างหน้า ถัดจาดรั้วอิฐสีขาวเป็นประตูบานใหญ่ที่ไว้คอยต้อนรับ และมีจำนวนกลุ่มคนหนึ่งที่จิลลาภัทรคาดเดาไว้ว่าต้องเป็นพวกสื่อมวลชนอย่างแน่แท้ ทว่าหากพ้นประตูนั่นไปได้บรรดากล้องและแสงแฟลชก็จะไม่สามารถเข้าถึง นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจพาหญิงสาวร่างบางมางานแห่งนี้ในที่สุด คนตัวสูงขยับไปทาบทับฝ่ามือลงบนอุ้งมือบาง ราวกับจะให้คำเชื่อมั่นและปลอบประโลมไปในตัว
“จับมือกับฉันไว้แล้วกัน”
เสียงดนตรีบรรเลงจากนักไวโอลีนตรงมุมอาคารเคล้าคลอไปกับเสียงพูดคุยของบรรดาหญิงชายทั้งวัยอ่อนและอาวุโส หญิงสาวร่างเล็กในชุดราตรีสีดำลายจุดคาดทับด้วยเข็มขัดสีแดงคอเสื้อสีขาวถูกปาดให้เห็นไหล่งามได้รูปเอ่ยทักทายคนที่ผ่านไปผ่านมาในงาน หล่อนรวบผมเป็นมวยไว้ด้านหลังขณะที่ริมฝีปากถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงเข้ม ลำคอระหงส์รับกับต่างหูยาวสีแดงทับทิมเป็นอย่างดี ก่อนจะเริ่มก้าวเดินไปยังทิศทางที่ดวงตาเหลือบมองเห็นเพื่อนสนิทเข้ามาในงานพร้อมๆ กันกับร่างบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่งด้วยท่าทางทรงเสน่ห์อยู่ในที
“สวัสดีค่ะคุณภัส ได้เจอกันอีกสักที” โชษิตายกมือไหว้คนอายุมากกว่าที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวสูงอย่างเป็นมิตร
สรภัสเองก็ยกมือไว้รับกลับ แม้ตัวเธอจะอายุมากว่า ทว่าหญิงสาวตรงหน้าก็มีชื่อเสียงและฐานะที่มากกว่านัก “สวัสดีค่ะ..คุณโช”
เจ้าของชื่อกวาดสายตามองชุดของหญิงสาวอย่างพออกพอใจ “เลือกชุดได้สมกับเป็นหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรจริงๆ เลย”
คนที่ไม่เข้าใจในประโยคนั้นอย่างสรภัสถึงกับเลิกคิ้ว หล่อนก้มมองชุดราตรีและท่าทางของตัวเองแล้วเอ่ยถามอย่างกังวล
“มันดูแปลกหรือคะ”
หล่อนจ้องมองเธอที่กล่าวจบจนรู้สึกว่าตัวเองได้ทำอะไรผิดไป แต่แล้วหล่อนก็หัวเราะออกมาเบาๆ ราวกับจะเอ็นดู
“ถ้าผ่านสายตาของจิลแล้วล่ะก็ ไม่มีทางออกมาแปลกหรอกค่ะ” แล้วจึงหันมองคนตัวสูงที่ยังยืนอยู่ข้างๆ เธออย่างจับผิดเล็กน้อย “แสดงว่าตั้งแต่ออกมา คุณหญิงจิลยังไม่ยอมเอ่ยปากชมสักครั้งเลยใช่ไหมเนี่ย?”
อุตส่าห์ไปเชิญนางสีดาขึ้นบุษบกแก้วมาเอง..เป็นนักแสดงเจ้าบทบาทแต่สื่อออกมาให้หล่อนฟังไม่ได้เลยหรือยังไงนะ…
คนถูกพาดพิงเพียงมองไปทางอื่นแล้วกระแอมพูดถึงหัวข้อใหม่อย่างไม่รับรู้ “ฉันจะไปเอาเครื่องดื่ม เธอเอาเหมือนเดิมใช่ไหมโช”
พูดจบก็เดินไปทางส่วนอาหารและเครื่องดื่มโดยไม่ได้ฟังคำตอบจากคำถามลมๆ ที่เจ้าตัวพูดออกไปเลยสักนิด โชษิตาได้ส่ายศีรษะ ส่วนคนตัวบางก็ได้มองตามคนที่ทิ้งให้เธอยืนอยู่กับเพื่อนของหล่อนอย่างเก้อๆ สรภัสผ่อนลมหายใจก่อนจะมองไปรอบบริเวณ คฤหาสถน์หลังนี้บ่งบอกสถานะของเจ้าภาพงานได้เป็นอย่างดี การตกแต่งสไตล์ยุโรป แต่ก็กลมกล่อมกับความเป็นไทยที่ยังมีกลิ่นอายเอาไว้อยู่ เธอเหลือบมองหญิงสาวอายุน้อยกว่าอีกคนที่ยืนข้างกัน ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป
“คุณโชใช้เวลานานไหมคะ กว่าที่จะปรับตัวกับอะไรแบบนี้ได้”
เพราะโชษิตาเป็นหนึ่งในคนที่รับรู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน และหล่อนก็นับได้ว่าเป็นคนที่มีพื้นเพมาจากสามัญชนคนธรรมดา แม้บ้านหล่อนจะทำธุรกิจค้าขายอยู่ในพระนคร แต่มันก็หลังจากที่ได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงการภาพยนตร์จนมีชื่อเสียงประดับอยู่เช่นทุกวันนี้
“ตามความจริงแล้ว ไม่ว่าใครได้มาอยู่ในพื้นที่แบบนี้ก็คงอดตื่นเต้นไม่ได้หรอก” หญิงสาวกอดอกมองไปรอบๆ ขณะอธิบายด้วยรอยยิ้ม “มันก็ต้องใช้ความเคยชินกันอยู่บ้างน่ะ”
“แล้ว..เอ่อ ที่นี่มีแต่คนที่มีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ทั้งนั้นเลยใช่ไหมคะ” ยิ่งผู้คนในงานที่เดินผ่านไปผ่านมาเคยผ่านสายตาตัวเองตอนอยู่บ้านเกิดและรูปภาพตามตลาดมากเท่าไหร่ สรภัสก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเกร็งไปหมด ทั้งด้วยความตื่นเต้นระคนกังวลจนต้องระวังทุกฝีก้าว
“อืม ก็ไม่ทั้งหมดหรอกนะ..” โชษิตาคิดก่อนจะเริ่มอธิบายไปเรื่อยๆ แนะนำว่าผู้ชายกลางคนคนนั้นคือใคร ผู้หญิงคนนั้นอยู่วงการนี้มานานแค่ไหน สรภัสเองในตอนแรกๆ ก็ตั้งใจฟังอยู่ดีๆ แต่พอเหลือบไปยังทิศทางของคนตัวสูงที่เดินหายไปยังไม่กลับมาจากบริเวณอาหารและเครื่องดื่ม สิ่งที่เธอเห็นก็เลยทำให้การได้ยินของตัวเองหายไปชั่วขณะหนึ่ง
ชายหนุ่มร่างสูงรูปร่างดี โดดเด่นทั้งการแต่งตัวและใบหน้ากำลังส่งรอยยิ้มให้แก่หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรที่ยืนอยู่ฝังตรงข้ามอย่างออกนอกหน้า แม้ในตอนแรกเธอจะแอบคิดว่าเป็นคนรู้จักกัน แต่เมื่อมองสายตาและรอยยิ้มของชายหนุ่มดีๆ แล้ว เธอว่าเขากับหล่อนน่าจะไม่ใช่แค่คนรู้จักกันแน่ๆ
เขาเป็นใครกันนะ…
โชษิตาที่เหลือบเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้ฟังแต่กลับมองไปยังทิศทางที่เพื่อนสาวของเธอแทน ก็คว้าจับแขนดึงหล่อนให้เข้ามาใกล้ๆ แล้วเอ่ยปากเล่าด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “…ส่วนคนนั้น คุณวายุ ผู้อำนวยการสร้างหน้าใหม่ เพิ่งกระโดดเข้ามารับผิดชอบหนังใหม่ของหญิงจิลที่กำลังถ่ายด้วย ทุนหนาเชียวล่ะ”
สรภัสที่ถูกดึงรั้งให้เข้าไปใกล้ๆ โดยไม่ทันตั้งตัวกระพริบตาอย่างสับสนในความหมาย “…ภัสว่าภัสไม่เข้าใจความหมายของคุณโชนะคะ”
“เขาคือผู้ชายคนล่าสุดที่ถูกจับให้ดูตัวกับหญิงจิลนั่นแหละ แต่รายนี้น่ะใช้เส้นสายตามตื้อหล่อนยิ่งกว่ากาวเสียอีก”
พอได้ฟังดังนั้นสรภัสก็ถึงบางอ้อ ทั้งการแต่งตัวและรูปร่างกับใบหน้าที่โดดเด่นพอจะมาคลุกคลีในวงการนักแสดงได้ไม่ยาก ก็สมแล้วที่เขาจะเป็นผู้ชายที่ถูกจับคู่ให้กับหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทร ดูไปผิวเผินระหว่างที่ทั้งสองคนยืนประจัญหน้ากันก็เห็นความเหมาะสมอยู่ไม่น้อย
นี่สินะ…คนที่รอหล่อนอยู่ที่พระนคร
“ดีใจจังเลยนะครับที่ผมตกลงมางานอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก นึกว่าคนยุ่งๆ อย่างคุณหญิงจะบริจาคแค่ในนามเฉยๆ” รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจบนใบหน้าของชายหนุ่มทำให้จิลลาภัทรขุ่นเคืองยิ่งนัก ไม่นึกเลยว่านอกจากเจอในเวลาทำงานแล้วยังจะต้องมาเจอในสถานที่แบบนี้อีก แต่กระนั้นเธอก็ได้แต่เก็บมันไว้ในใจแล้วคลายยิ้มออกไปให้กับเขา
“ก็มันเป็นงานการกุศลนี่คะ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรด้วย ไม่แปลกหรอกถ้ามือสมัครเล่นจะมากันเป็นครั้งแรก”
แก้วเครื่องดื่มรสดีในมือของชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยเมื่อไตร่ตรองความหมาย เขามองหญิงสาวที่กำลังรินเครื่องดื่มลงแก้วทรงสวยอย่างใจเย็นด้วยแววตาแข็งกร้าวชั่วครู่ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะขึ้นมา
“ฮ่ะๆ คุณหญิงนี่ถ่อมตัวจังเลยนะครับ คุณหญิงอยู่วงการนี้มาก่อนผมด้วยซ้ำ จะเป็นมือสมัครเล่นได้อย่างไร”
“ถ้าคุณวายุอยากจะเข้าใจอย่างนั้น ก็ขอบคุณที่ชมแล้วกันนะคะ”
เธอยิ้มหวานทิ้งท้ายเป็นการตอกย้ำในสิ่งที่พูดไป ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินไปหาหญิงสาวทั้งสองคนที่ยืนรอคอยอยู่อีกมุมหนึ่ง เมื่อก้าวไปถึงจิลลาภัทรก็เจอรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเพื่อนสาวต้อนรับอยู่แล้ว
“ดูท่าว่าครั้งนี้คุณหญิงจิลลาภัทรคงจะต้องรับมือกับศึกหนักแล้ว”
“ไม่ต้องรับ ถ้าหากไม่ได้เริ่ม” ร่างสูงยื่นแก้วทรงสูงให้กับเพื่อนสนิทตัวเล็ก แล้วหยิบยื่นอีกแก้วที่มีของเหลวสีส้มข้างในไปให้คนร่างบางที่ยืนไม่ไกล “ของหล่อนเอาเป็นน้ำส้มแล้วกัน”
“ขอบคุณนะคะคุณหญิง” หล่อนรับแก้วไปถือไว้โดยไม่สบตา ซึ่งการกระทำนั้นทำให้จิลลาภัทรรู้สึกเอะใจนักแต่ก็ไม่ได้ถามออกมาในทันที ระหว่างที่เธอไม่อยู่หล่อนก็ยืนคุยกับโชษิตาไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมีท่าทางหงอยๆ ไม่เหมือนคนที่ตื่นเต้นและระมัดระวังตัวเหมือนก่อนหน้านี้เลยเล่า..
“อ้าว เมธาวี” ในระหว่างที่เธอคิดอยู่แบบนั้น เสียงของเพื่อนสนิทตัวเล็กที่เอ่ยทักใครบางคนอย่างดีใจก็ทำให้จิลลาภัทรต้องหยุดความคิดของตัวเอง “บินกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ก็กลับมาตั้งแต่เดือนที่แล้วน่ะสิโชษิตา~” คนที่หล่อนทักคือชายหนุ่มรูปร่างค่อนไปทางบอบบางในเสื้อเชิ้ตลายทางผูกเนคไท แม้ภายนอกจะเห็นเป็นธรรมดาทั่วไป แต่จริตจะก้านที่เขาทักทายโชษิตาก่อนจะหันมาทักเธอก็บ่งบอกทุกสิ่งอย่างแล้ว “คุณหญิงจิลลาภัทร ไม่เจอกันนาน สวยอย่างไรก็สวยอย่างนั้นจริงๆ”
ร่างสูงโปร่งยิ้มรับการโค้งทักทายที่ดูจะเกินไปสักหน่อย แม้เธอจะไม่ได้สนิทกับชายหนุ่มมาก แต่ก็รู้จักมักจี่มาพร้อมๆ กันกับเพื่อนสนิทตัวเล็กของเธอนั่นแหละ “ขอบคุณ เหมือนกัน”
“สนใจสักเพลงไหมโช ถือว่าเป็นการต้อนรับที่เรากลับมาพบกันวันนี้” เขาหันไปถามเพื่อนของหล่อนด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน และก่อนที่โชษิตาจะพยักหน้าตอบรับแล้วออกไป เจ้าตัวก็ดันหันมาส่งสายตามีเลศนัยให้กับเธอเสียนี่
สายตาแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน…
ไม่ใช่แค่เพียงคู่ของโชษิตาและเมธาวีเท่านั้น แต่พื้นที่กลางห้องที่ผู้คนขยับเคลื่อนย้ายออกอัตโนมัติก็มีชายหญิงคู่สองคู่รวมถึงเพื่อนสาวที่มาด้วยกันออกมาเต้นรำตามเสียงที่นักดนตรีกลุ่มนั้นบรรเลง จังหวะที่ไม่สนุกหรือเศร้าจนเกินไปสร้างความคึกครื้นให้แก่ผู้ร่วมงานทั้งหลายไม่น้อยทีเดียว จิลลาภัทรหันมองคนที่เงียบๆ ไปก่อนหน้านี้ที่ดูจะเริ่มสนอกสนใจการเต้นรำตรงหน้า ก่อนจะเหลือบเห็นว่าใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่เธอ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งยังส่งสายตามาหาเธออย่างไม่ยอมแพ้ เขาแย้มยิ้มมีนัยยะ ก่อนจะเริ่มก้าวเท้าฝ่าผู้คนมายังทิศทางของเธอ จิลลาภัทรรู้สึกได้ในทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร เธอจึงตัดสินใจเร่งด่วนภายในความคิดของตนเอง
หมับ!
“ค คุณหญิง--”
คนที่มัวแต่สนใจคู่เต้นรำหลายๆ คู่ด้านหน้าถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ก็ถูกคนตัวสูงจับมือพาออกไปท่ามกลางคู่เต้นมากหน้าหลายตาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วจับให้เธออยู่ในท่าเตรียมสำหรับเต้นรำในบทเพลงตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะออกมาช้ากันไปเสียหน่อย จังหวะเพลงที่ควรจะเติมเต็มความสนุกสนานอย่างเดิมก็เปลี่ยนบรรยากาศให้เชื่องช้าน่าหวานชื่นสำหรับคู่เต้นรำหลายๆ คนแทน
สรภัสรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เธอต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเสียเหลือเกิน เธอรู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ถูกเมื่อคนตัวสูงตรงหน้านำพาให้เธอเข้าคู่ตามจังหวะที่เชื่องช้าเช่นนี้ บรรยากาศที่ดูจะเป็นตัวอันตรายเสียเหลือเกินทำให้จิตใจที่สงบนิ่งก่อนหน้านี้ของหญิงสาวกลับมาเต้นเร็วขึ้นอีกครั้ง เนื่องด้วยมันเป็นจังหวะที่ไม่ต้องขยับตัวอะไรมาก หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรจึงแทบจะโอบกอดเสียแน่นจนใบหน้าของเธอจะฝังกับซอกคอของหล่อนอยู่แล้ว
“ใจเย็นๆ” หล่อนกล่าวแบบนั้นราวกับกระซิบ “ทำแบบที่ฉันสอนเมื่อวานนั่นแหละ”
เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนรับรู้ความตื่นตระหนกได้ผ่านเสียงหัวใจของเธอหรือเปล่า แม้สรภัสอยากจะตอบออกไปแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจบังคับให้เจ้าดวงใจดวงน้อยในอกข้างซ้ายเต้นเบาลงได้เลย
ร่างสูงโปร่งมองเห็นสายตาเกรี้ยวกราดของชายหนุ่มไม่ไกลกัน เขามาเข้าคู่กับหญิงสาวคนหนึ่งด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจนักและยังจ้องมาที่เธออย่างผู้เป็นนักล่า และถัดไปก็เป็นสายตาพออกพอใจของผู้เป็นเพื่อนสนิทตัวเล็ก แต่จิลลาภัทรก็หาได้สนใจมากนัก ในเมื่อเจ้าของกลิ่นแป้งร่ำหอมดั่งดอกไม้สดแทบจะช่วงชิงความสนใจโดยรอบจากคนอื่นไปเสียหมดแล้ว
กระทั่งบทเพลงเริ่มเปลี่ยนจังหวะไปเล็กน้อย สรภัสถึงรู้สึกได้ว่าตนเองสามารถหายใจหายคอได้อีกครั้งเมื่อหล่อนยอมปล่อยให้เกิดระยะห่างระหว่างเธอสองคนบ้าง แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่กล้าสบตากับหล่อนอยู่ดีในเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับจ้องด้วยสายตาเช่นไร
จิลลาภัทรไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่อยู่ในใจนั้นกำลังเอ่อล้นผ่านประกายตาแวววับของตัวเอง เนิ่นนานนักกว่าที่คนตัวสูงจะรู้สึกตัวว่าตนพินิจพิจารณาหญิงสาวตรงหน้านานแค่ไหน แล้วจึงค่อยเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลคล้ายกับละเมอเผลอไผลไม่เป็นตัวเอง
“หล่อนชอบเสื้อตัวนี้ไหม”
คนร่างบางได้ยินคำถามก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ภัสว่ามันสวย…เกินกว่าจะเอามาใส่เองน่ะค่ะ”
ร่างสูงโปร่งยิ้มและจ้องมองหญิงสาวราวกับจะยืนยันคำตอบ “เพราะคนใส่สวย มันถึงสวยต่างหาก”
สรภัสคือคนเดียวที่ได้ยินประโยคนั้นเต็มสองหู เธอไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าให้คนพูดเห็นความร้อนที่แล่นไปทั่วใบหน้าจนขึ้นสี แต่กระนั้นเธอก็ไม่อาจห้ามรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นได้เมื่อได้ยินความเห็นที่ออกมาจากคนที่เธออยากจะฟังมันมากที่สุดในคืนนี้
“เอายังไงต่อหรือ” เสียงของโชษิตาที่เต้นรำเข้าคู่อยู่ไม่ไกลกันทำให้คนทั้งคู่กลับมาสนใจบรรยากาศโดยรอบ “เขาไม่ได้ยอมราวีง่ายๆ แน่”
จิลลาภัทรมองตามสายตาของเพื่อนสนิทตัวเล็ก ชายหนุ่มยังคงพยายามที่จะเปลี่ยนคู่คนที่เต้นรำอยู่ไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้เข้าใกล้เธอ เมื่อเห็นท่าทีดื้อดึงไม่ยอมแพ้ จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสาว
“ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจให้หน่อยได้ไหม”
โชษิตากับเมธาวีพยักหน้ารับคำอย่างพร้อมเพรียง คนทั้งคู่เต้นรำตามจังหวะไปใกล้ที่ๆ ชายหนุ่มเต้นรำด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ แล้วจึงแกล้งโซซัดโซเซผิดจังหวะในการย่ำฝ่าเท้าไปชนตัวของเขาจนเสียหลักออกจากคู่เต้นเลยทีเดียว
พลั่ก!
“อ้ะ ธาวี ดูสิว่าเราเต้นรำกันเพลินเลยนะ” โชษิตาทำสีหน้าตำหนิชายคู่เต้นของตนเองแล้วหันไปก้มขอโทษขอโพยหญิงสาวกับชายหนุ่มร่างสูง “ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ทันระวัง”
“ตามฉันมา” จิลลาภัทรเห็นจังหวะที่เพื่อนสนิทตัวเล็กรุกเข้าไปจัดการปัดป่ายเสื้อผ้าของเขาตรงนั้นทีตรงนี้ทีได้ก็รีบคว้าข้อมือของคนอายุมากกว่ากลืนไปกับผู้คนแล้วเดินหายผ่านประตูทางออกไป
สรภัสงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหล่อนต้องหนีผู้ชายคนนั้นออกมาจนถึงลานจอดรถของแขกคนอื่นๆ แล้วเหตุใดคนขับรถส่วนตัวของหล่อนถึงได้ยืนเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับอยู่ราวกับรู้ว่าพวกเธอจะออกมานานแล้ว
“กุญแจครับคุณหญิง”
“พรุ่งนี้ไปรับฉันที่วังทัตพงศ์มาลี” ร่างสูงโปร่งออกคำสั่งขณะจับให้คนตัวบางเข้าไปนั่ง ก่อนจะปิดประตูฝั่งเธอแล้วรับกุญแจมาก่อนจะรีบเดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่งตามในทันที
“คุณหญิง เราจะไปที่ไหนกันคะ??”
เธอเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังเมื่อรู้สึกว่าตนเองไม่รู้อะไรเลย ส่วนคนถูกถามที่ควรจะรีบตอบกลับเพียงขยับริมฝีปากจนเห็นลักยิ้มข้างแก้มอย่างชอบใจแล้วออกตัวผ่านประตูรั้วที่ไร้สื่อมวลชนเช่นคราวมาถึงเท่านั้น
ใช้เวลาสักพักหลังออกจากตัวเมืองพระนคร ทิศทางรอบข้างที่มืดสนิทนั้นเห็นเพียงแค่ต้นไม้ใบหญ้าจนรู้สึกได้ถึงความวังเวง สรภัสจะบอกว่าเธอกำลังกลัวอยู่ก็ไม่เต็มปาก เพราะคนที่กำลังขับรถยนต์คลาสสิคสีดำนั้นคือหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรที่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้หล่อนพาเธอขับรถออกมาจากงานการกุศลกะทันหันเช่นนี้
ที่ควรจะราบเรียบก็มีชันบ้างในบางครั้งจนเธออยากจะถามซ้ำว่าอีกคนจะพาเธอไปไหน แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าที่ยังคงความสงบและจริงจังเอาไว้อยู่ก็ทำให้ไม่กล้าขึ้นมาเสียนี่ จะให้มองออกไปข้างนอกก็เห็นเพียงแค่ระยะที่ไฟคู่ด้านหน้าส่องถึงเท่านั้น ตลอดทางสรภัสจึงได้แต่นั่งจับสายคาดเข็มขัดเงียบๆ จนกระทั่งคนตัวสูงผ่อนเครื่องยนต์ให้เบาลง
รถยนต์สีครีมก้าวข้ามพื้นที่สีดำในยามค่ำคืนจนมาหยุดอยู่ที่เนินสูงแห่งหนึ่ง สรภัสกวาดสายตาไปรอบๆ เมื่อเห็นเค้าเงาลางๆ ว่าที่ที่พวกเธอเพิ่งจะผ่านมานั้นคือไร่สี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมรอบ
“…ที่นี่…ที่ไหนหรือคะ?”
“ตรงนี้เป็นที่ดินเพาะปลูกเฉพาะของวังทัตพงศ์มาลี” ร่างสูงโปร่งไม่ลืมที่จะปลดเกียร์พาหนะให้อยู่กับที่ระหว่างที่ยิ้มบอก “หล่อนลองดูข้างหน้าสิ”
สีหน้าของคนฟังยังคงความสับสนเอาไว้ แต่เมื่อสรภัสได้ขยับตัวให้ชิดกับคอนโซลหน้ารถ ดวงตาคู่สวยจึงต้องประกายด้วยแสงไฟจากหลากหลายจุดเบื้องหน้า
“มองเห็นทั้งพระนครเลยค่ะ เหมือนดวงดาวบนพื้นดินเลย”
ภาพที่เธอเห็นคือส่วนหนึ่งของพระนครที่ยังไม่หลับใหลในยามค่ำ ด้วยการเดินทางและเศรษฐกิจที่เคลื่อนไหวตัวอยู่เสมอทำให้ไฟฟ้าในพระนครที่ยังคงส่องสว่างคล้ายหมู่ดาวบนพื้นดิน หญิงสาวชื่นชมกับทิวทัศน์ตรงหน้าอยู่สักพัก ก่อนจะหันมามองคนข้างๆ ที่แสงจันทร์จากพระจันทร์ดวงโตยังพอให้เห็นสีหน้ากันได้บ้าง
“ว่าแต่…ทำไมถึงพาภัสมาที่นี่ล่ะคะ?”
“ฉันแค่อยากให้หล่อนเห็น” จิลลาภัทรว่าโดยที่ดวงตาไม่ได้กล่าวถึงทิวทัศน์ตรงหน้าสักนิด “ว่าดวงดาวที่อยู่บนพื้นดิน ก็เปล่งประกายได้เหมือนกัน”
เมื่อรับรู้ถึงความหมายที่ทับซ้อนอยู่ในประโยคนั้น ความร้อนผ่าวที่สงบไปก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอมองเห็นความในใจของหล่อนอย่างทะลุปุโปร่ง
“แต่ดวงดาวที่อยู่บนพื้นดิน ไม่อาจเท่าเทียมกับดวงดาวที่แท้จริงบนท้องฟ้าได้หรอกนะคะ”
หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรมองเห็นความเศร้าสลดในประโยคและดวงตาสวยคู่นั้น เธอเพียงยื่นมืออกไปทัดเส้นผมที่ล่วงหล่นให้กลับขึ้นไปหลังใบหูของหญิงสาว และลดมือลงมาเกลี่ยผิวแก้มเนียนละเอียดราวกับจะลบล้างความเศร้าหมองที่เห็นเมื่อครู่นั้นให้จางหายไป
“ถ้าให้โอกาสฉัน บอกว่ามันสวยงามอย่างไร…หล่อนจะหยุดผลักไสฉันหรือเปล่า”
“…”
“ไม่ใช่ในฐานะของผู้ช่วยชีวิตหรือผู้ติดค้างหนี้บุญคุณ แต่เป็นแค่ฉัน..กับหล่อนเท่านั้น สรภัส”
หญิงสาวมองภาพสะท้อนของตนเองที่เด่นชัดด้วยพระจันทร์ดวงใหญ่ผ่านดวงตาของคนตรงหน้าที่มีทุกอย่างแตกต่างสิ้นเชิงกับเธอ หล่อนเป็นถึงเชื้อสายของขุนน้ำขุนนางในวัง เป็นถึงนักแสดงที่มีชื่อเสียงในชั้นแนวหน้า แม้จะไม่มีทุกอย่างแต่ก็ยังครบถ้วนสมบูรณ์ หากเธอสามารถสลับร่างกับหล่อนได้ แม้แต่หางตาก็จะไม่มีทางให้กับนางรำต่ำต้อยแบบตัวเธอเองแน่
จิลลาภัทรจ้องมองดวงตาคู่สวยคล้ายตกลงไปสู่ภวังค์ กลิ่นแป้งร่ำหอมดอกไม้สดดั่งเป็นตัวขับเคลื่อนให้เธออยากค้นหามันมากกว่านี้ รู้ตัวอีกที สันจมูกสวยของหญิงสาวตรงหน้าก็อยู่ใกล้เสียจนอยากเข้าไปเคล้าคลอเคลียด้วยเสียแล้ว
ความอุ่นวาบจากลมหายใจปลายจมูกทำให้คนอายุมากกว่าปิดเปลือกตาลง ก่อนที่มันจะร้อนผะผ่าวไปทั่วกายเมื่อริมฝีปากบางของคนตัวสูงสัมผัสมุมปากของเธออย่างอ่อนโยน นอกเหนือจากความร้อนที่ทำให้ใจเต้นระส่ำ แม้แต่ความออดอ้อนที่รู้สึกได้ก็ทำให้สรภัสต้องจับแขนเรียวทว่าแข็งแรงของคนตัวสูงเอาไว้เพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้งไปมากกว่านี้..
ต่อให้เธอรับรู้ว่ามันมีเป็นหมื่นเหตุผลว่าไม่ควรรัก….
…แต่สุดท้ายเธอก็ตกหลุมรักไปแล้วจริงๆ
คนตัวสูงเพียงคลอเคลียอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ได้ถลำลึก นับว่าคนตัวบางยังคงไม่ถูกเธอฉวยโอกาสก่อนเวลาไปเสียก่อน จิลลาภัทรผ่อนลมหายใจยาวเมื่อจิตสำนึกนั้นช่างดึงเธอกลับได้เชื่องช้าเสียจนเกือบจะห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ได้ กระนั้นก็ยอมถอยออกมาแล้วมองหน้าคนที่ยังขึ้นสีเป็นลูกตำลึงแม้จะเห็นผ่านเพียงแค่แสงจันทร์ดวงโต
“ไม่จำเป็นต้องรีบตอบ เพราะฉันแค่อยากให้ในระหว่างที่หล่อนอยู่ข้างๆ ฉันรับรู้เท่านั้น ว่าทุกการกระทำ ฉันทำไปเพราะรู้สึกจริงๆ”
รอยยิ้มอบอุ่นเป็นเครื่องยืนยันประโยคของหล่อนได้ดียิ่งนัก สรภัสที่ยังคงดึงสติกลับออกมาได้ช้ากว่ายิ่งรู้สึกว่าความร้อนผะผ่าวที่เกิดจากการกระทำของหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรช่างดับได้ยากยิ่งกว่าไฟที่เธอได้ก้าวข้ามเข้ามาเมื่อนานมาแล้วจริงๆ
รถยนต์คันเก่งสีครีมประจำตัวของเจ้าของบ้านที่มีเนื้อที่ของสวนเยอะยิ่งกว่าตัวอาคารที่ใช้สอย จิลลาภัทรปลุกหญิงสาวที่หลับมาระหว่างทางให้ตื่นเมื่อถึงที่หมาย แต่ก็ต้องอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางที่คล้ายกับเด็กตัวเล็กๆ เพิ่งจะตื่นนอน
“คุณหญิงจะไม่พักที่บ้านไพรวันก่อนจริงๆ หรือคะ”
เสียงของหญิงสาวที่เอ่ยถามหยุดเธอที่กำลังจะกลับเข้าไปนั่งบนที่คนขับรถเอาไว้
“พรุ่งนี้ฉันมีงานช่วงเช้า ต้องไปเตรียมตัวก่อนเวลาน่ะ” จิลลาภัทรยิ้มตอบคนที่ยังไม่ยอมเข้าไปในตัวบ้าน ทว่ายังคงยืนอยู่ที่ขั้นบันไดอย่างกังวล
“แต่มันมืดแล้วนะคะ ภัส…” ประโยคที่รีบพูดแทรกขึ้นมานั้นเบาลงเมื่อรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะพูดอะไรออกไป “….เป็นห่วง”
มองคนก้มหน้างุดอย่างเก้อเขินเพราะหลุดความในใจออกมา ร่างสูงโปร่งจึงเปิดประตูค้างเอาไว้อย่างนั้น ก่อนจะเข้าเท้าไม่กี่ครั้งมาหยุดยืนบนชั้นที่เล็กกว่า ทำให้ส่วนสูงระหว่างเธอและหล่อนนั้นเท่ากันพอดิบพอดี จิลลาภัทรจึงขยับใบหน้าเข้าไปใกล้คนแก่กว่าอย่างเชื่องช้า แล้วจึงปัดเส้นผมเล็กๆ พร้อมกระซิบบอกผ่านข้างใบหูน่ารักอย่างสื่อความหมาย
“ถ้านอนที่นี่…คืนนี้ ฉันต้องมีหมอนข้างอีกสักอันถึงจะหลับฝันดีนะ”
“รีบกลับไปเลยค่ะ มันดึกมากแล้ว”
สรภัสผลักอกคนสูงกว่าแล้วตอบกลับโดยไม่ทันต้องคิด เรียกเสียงหัวเราะขำขันให้แก่คนช่างแกล้งขึ้นมาได้ เมื่อพอใจแล้วจิลลาภัทรจึงได้ถอยฝ่าเท้ากลับเข้าไปที่รถ โดยที่สายตายังคงจับจ้องคนร่างบางด้วยรอยยิ้มที่ไม่เลือนหายไปจากบนใบหน้าเลยสักนิดเดียว
“ขับรถดีๆ นะคะ”
แม้จะรู้สึกหมั่นไส้ในรอยยิ้มนั้นขึ้นมาตะหงิดๆ แต่สรภัสก็ยังยืนส่งจนรถยนต์สีครีมได้หายลับออกไปจากรั้วหน้าบ้าน แล้วเธอจึงค่อยเข้าไปจัดการตัวเอง พร้อมกับหัวใจที่ยังคงเต้นระรัวและบีบรัดด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
ขณะเดียวกันในพื้นที่ส่วนหนึ่งของพระนคร บริเวณย่านที่แทบจะเรียกได้ว่าปล่าวเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนเมื่อท้องฟ้ายามวิกาลมาถึง กลับมีอาคารไม้อาคารหนึ่งเปิดไฟสีส้มคล้ายเชื้อเชิญเรียกเหล่าชายหนุ่มและฉกรรจ์ที่เมามายผ่านไปมาให้เข้ามาพักผ่อน ชายร่างท้วมในเสื้อเชิ้ตลายดอก บนลำคอมีทองเส้นหนาราคาแพงล้อมรอบกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ของวันนี้ที่เพิ่งจะมีโอกาสได้อ่านมันอยู่บนโต๊ะตรงกลางห้อง มีชายฉกรรจ์บาดแผลน่ากลัวยืนสงบนิ่งอยู่ตรงมุมผนังไม้ที่สั่นสะเทือนเป็นระยะด้วยแรงขัดขืนจากด้านใน
“ทำให้มันเงียบสิ” เสี่ยเม้งเอ่ยออกคำสั่งเสียงเรียบขณะที่ควันสีเทายังถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากและสายตาไม่ได้ถอดถอนจากตัวหนังสือ สิ้นคำสั่งเสียงนั้นชายฉกรรจ์ที่ยืนนิ่งอยู่ในตอนแรกก็พยักหน้ารับแล้วเคลื่อนผนังไม้ที่ควรจะอยู่ติดกับตัวอาคารออกแล้วปิดมันลง ก่อนที่เสียงตวาดดังลั่นจะดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องเป็นระยะ แล้วมันจึงค่อยหายลับไปดังฝุ่นละอองเมื่อเสียงปะทะของกล้ามเนื้อได้หยุดลง
“เสี่ย!-เสี่ยครับ!”
ความเงียบสงบยังไม่ทันมาเติมเต็ม ลมหายใจที่ผ่อนออกมาอย่างพออกพอใจของชายร่างท้วมก็ต้องหยุดลงอีกครั้งเมื่อลูกน้องในเสื้อคอปกมีร่องรอยของการต่อสู้ที่ยังไม่หายดีวิ่งพรวดเข้ามา
“มีอะไรอีก” เสี่ยเม้งถามเสียงเข้มก่อนจะเลื่อนเห็นบางอย่างในมือของมัน “นั่นจดหมายจากคลังสินค้าหรือ?”
“เสี่ยต้องตกใจแน่ๆ”
มันกล่าวก่อนจะรีบเทบางอย่างออกจากซองจดหมายออกอย่างเร่งรีบ รูปถ่าย 2 – 3 ใบ ปลิวลงมาจากบนโต๊ะ เสี่ยเม้งควานหยิบมันขึ้นมาอย่างลวกๆ ในนั้นคือรูปถ่ายของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งผู้ถ่ายถ่ายมันผ่านหน้าต่างบานเล็กกำลังก้มทำความสะอาดบางอย่างภายในบ้านหลังนั้นอย่างตั้งใจ ส่วนอีกสองใบที่เหลือเป็นสถานการณ์คล้ายๆ กันคือตัวเอกของภาพล้วนเป็นหญิงสาวในชุดสาวใช้ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนๆ เดียวกันทั้งหมด
“นี่เป็นรูปถ่าย ของคนที่มันส่งให้ไปติดตามคนๆ หนึ่ง”
“ไม่ผิดแน่…” ชายร่างท้วมพึมพำราวกับได้เห็นสมบัติล้ำค่าที่ทำหายไปอีกครั้ง แม้สัดส่วนของใบหน้าในรูปภาพจะไม่ชัดเจน แต่คนกักขฬะอย่างมันจดจำเรือนร่างของหญิงสาวที่ถูกนำส่งมาขายได้แทบทุกคน
“ติดต่อมันไป ให้พบที่เก่า เวลาเดิม!”
นักแสดง
โชษิตา ยศสมบูรณ์ : ซน แชยอง
เมธาวี : อี แดฮวี
TBC.
#ฟิคแก้วตาสุมาลี #คุณหญิงจิลลาภัทร
_________________________________________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น