คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทร : ดอกช้องนาง ๒
๒
ความร่มรื่นจากบรรดาแมกไม้ในบริเวณบ้านไพรวันบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งของวังทัตพงศ์มาลีผู้มีชื่อเสียงด้านดอกไม้ที่มีความงดงามเลื่องชื่อที่สุดในพระนคร ดอกไม้งามที่มีนามว่าหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทร ร่างสูงโปร่งค่อยๆ เปิดเปลือกตาของตัวเองขึ้นขณะที่เอนหลังอยู่บนเก้าอี้ฝูกสำหรับพักผ่อนในยามเมื่อยล้าที่ตั้งอยู่ในศาลากลางสวน ดูเหมือนว่าแดดในยามบ่ายกับลมเย็นที่พัดโชยมาจะทำให้เธอเผลอหลับระหว่างอ่านบทสำหรับเปิดกล้องหนังเรื่องใหม่กลางคันไป
ช่วยไม่ได้…ก็พักใหญ่แล้วกว่าที่เธอจะมีเวลาให้พักผ่อนอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้
กวาดสายตาไปรอบศาลาที่ล้อมรอบไปด้วยผนังพุ่มไม้สีเขียวที่ถูกตัดแต่งให้เป็นสถานที่ส่วนตัวจากความวุ่นวายภายนอก ยังพอมองเห็นหญิงสาวและชายหนุ่มสองสามคนเดินผ่านไปมาพร้อมกับข้าวของที่ต้องใช้ทำตามหน้าที่ในมือ จิลลาภัทรเลิกคิ้วอย่างสนใจเมื่อเห็นนายดล คนขับรถส่วนตัวที่อยู่ในเสื้อคอกลมกับกางเกเลสีเข้มแตกต่างจากเวลาที่ต้องพาเธอเดินทางไปทั่วพระนครหอบต้นไม้ขนาดกลางไปยังทิศทางนอกเหนือผนังธรรมชาติแห่งนี้ ร่างสูงโปร่งจึงได้ค่อยเดินตามไปเพราะเธอแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนสั่งให้คนที่บ้านไพรวันนี้ปลูก‘ต้นช้องนาง’เพิ่ม นอกเสียจากให้ดูแลส่วนที่มีอยู่แล้วเท่านั้น
คนสวมเสื้อเชิ้ตขาวมีชายผ้าบนอกกับกระโปรงสีเลือดหมูและเข็มขัดสีดำเข้ารูปกระชับบทที่ตนอ่านอยู่เมื่อครู่เมื่อเดินมาถึง เธอหยุดฝ่าเท้าของตัวเองลงที่กึ่งกลางของทางเดินที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมระหว่างตัวอาคารกับสวนธรรมชาติแห่งนี้ มองเห็นชายหนุ่มซึ่งโอบอุ้มต้นช้องนางวางลงข้างๆ หญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งสวมหมวกสานป้องกันแสงแดดกำลังนั่งย่อตัวอยู่ตรงกลุ่มต้นไม้ดอกช้องนางสีขาวและสีม่วง ผมสีดำแซมน้ำตาลเข้มถูกมัดรวบอย่างเรียบร้อยพร้อมกับที่ในมือของหล่อนซึ่งสวมทับด้วยถุงมือสีเขียวมีจอบอันเล็กสำหรับขุดดินเอาไว้ เมื่อชายหนุ่มเอ่ยถามถึงการช่วยเหลือ เจ้าของสันจมูกโด่งรั้นก็เงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยรอยยิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจ
“ไม่เป็นไรจ้ะ ตรงนี้ฉันทำคนเดียวได้”
นับตั้งแต่มาอยู่ที่แห่งนี้ สิ่งเดียวที่จิลลาภัทรห้ามอีกฝ่ายไม่ได้ก็คือเรื่องที่หล่อนขอไปมีส่วนร่วมในการดูแลสวนในบ้านไพรวันเท่านั้น
สายตาจริงจังและรอยยิ้มที่มอบให้ดอกไม้ตรงหน้า ดูเหมือนหล่อนจะชื่นชอบในการดูแลสวนแห่งนี้จริงๆ
“คุณหญิงคะ”เอรินที่เดินมาถึงทางเชื่อมแห่งนี้กล่าวขึ้นในที่สุดแม้จะพยายามไม่สงสัยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นนายก็ตาม“คุณหญิงนิ่มมารอที่ห้องรับแขกแล้วค่ะ”
แต่ก็เป็นเพราะประโยคของเธอ ร่างสูงโปร่งจึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองนั้นกำลังยิ้มอยู่คนเดียว
หลังจากได้รับการแจ้งจากคนสนิทจิลลาภัทรก็ได้ก้าวเข้ามาภายในบ้านหลังใหญ่ตามคำ เมื่อพาร่างของตนเองเข้าสู่พื้นที่ของห้องรับแขก ดวงตาคู่คมจึงมองเห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มทับกับเชิ้ตขาวข้างในอีกครากำลังนั่งพิงพนักโซฟาตัวนุ่มอย่างผ่อนคลายด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยจางหายไปจากใบหน้า แม้จะอยู่ในช่วงเวลารอคอยอย่างสงบเสงี่ยม แต่ใครเห็นก็ต้องคิดว่าเจ้าหล่อนช่างอารมณ์ดีได้ตลอดเวลาเสียจริง
“พี่หญิงรอง”
เจ้าของชื่อได้ยินเสียงเรียกก็หันมายิ้มแป้นอย่างเคยก่อนจะลุกขึ้นยืน“หลับสบายเลยหรือเจ้าจิล”ก่อนที่มันจะหายไปในเวลาอันรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายเห็นสีหน้าของเธอ“นั่นคือสีหน้าที่ได้เจอกันถูกไหม?”
จิลลาภัทรหลุดยิ้มเมื่อความตั้งใจแกล้งผู้เป็นพี่ด้วยการแสร้งเดินทำสีหน้าเหนื่อยๆ เข้าไปหาสำเร็จ “แกล้งเล่นน่ะ แล้วพี่มาได้อย่างไร ที่โรงพักไม่ได้มีคดีให้วิ่งตามหรือ”
“คนเลวมีเยอะ ต่อให้ใช้ทั้งชีวิตก็เอาเข้าคุกเข้าตารางไม่ทันหรอก”นีราพรรณตอบกลับน้องสาวที่บทจะกลั่นแกล้งพี่ๆ กลับก็ทำโดยไม่ลังเลพร้อมกับสีหน้าเอ็นดูระคนหน่ายใจ “พี่กลับไปที่บ้าน แล้วพี่ชายใหญ่ก็ให้ฝากข้อความมาบอกกับเราด้วย”
“แล้วไป จิลนึกว่าคุณสารวัตรคนเก่งของพี่ไม่หางานให้ทำเสียอีก”เธอเอ่ยปากโต้ตอบอย่างไม่ลดละ ดวงตาคู่คมฉายประกายหยอกล้อเมื่อกล่าวถึงบุคคลที่สามในบทสนทนา “แล้วพี่ชายใหญ่ว่าอย่างไรหรือ”
หญิงสาวพลันเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ อย่างกับจะถามว่าแกล้งกันพอแล้วหรือยัง
“นั่งก่อนสิ”
เมื่อเห็นว่าพี่สาวคนรองไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาในทันที แต่กลับผายมือบอกให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนุ่มใกล้ๆ กันแทน ความสงสัยจึงอดไม่ได้ที่จะปรากฏขึ้นภายในความคิดของจิลลาภัทรไม่น้อย
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงจังน่าดู
“เห็นพี่ชายใหญ่บอกว่า เราเคยทำงานกับรองศาสตราจารย์พีระมาก่อน”นีราพรรณเปิดปากบอกด้วยน้ำเสียงราวกับหยั่งเชิงเล็กน้อย เมื่อตนเองและผู้เป็นน้องสาวนั้นได้นั่งลงพร้อมรับฟังแล้ว
“เขาเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างหนังให้จิลเมื่อปีก่อน……ทำไมหรือคะ”
“ลูกชายเขา คุณวายุ”พอพูดมาถึงตรงนี้ พี่หญิงรองของเธอจึงได้แสดงท่าทีหนักใจออกมา “พี่ชายใหญ่อยากให้เราไปทานข้าวกับเขาสักมื้อหนึ่ง”
ครั้นเมื่อฟังทั้งประโยคจนจบ จิลลาภัทรก็ใช้ความคิดชั่วขณะหนึ่งในการเท้าความถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ และเป็นเวลาไม่นานนักที่เธอกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่กระด้างขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่รู้ตัว
“พี่ชายใหญ่ต้องการแบบนั้นจริงหรือคะ”
“เราก็รู้ว่าพี่ชายใหญ่ไม่ได้อยากบังคับฝืนใจเราขนาดนั้นหรอก โดยเฉพาะยิ่ง เป็นเราด้วยแล้วน่ะ”นีราพรรณถอนหายใจและพิงกายกับโซฟาตัวนุ่ม“แต่ที่ต้องบอกมาอย่างนี้ เพราะอาจารย์พีระเป็นคนมาไหว้วานเองว่าลูกชายเขาอยากทำความรู้จักกับเรา พี่ชายใหญ่เป็นแค่อาจารย์ แต่อีกฝ่ายเป็นรองศาสตราจารย์เลยนะ เขาก็ลำบากใจไม่ต่างหรอก”
พี่ชายใหญ่หรือ หม่อมราชวงศ์ เจตนิพันธ์ ทัตพงศ์มาลี ของเธอเป็นอาจารย์พิเศษคณะวิทยาศาสตร์ ในบรรดาครอบครัวผู้มีชื่อในพระนคร เขาเป็นชายหนุ่มที่คนหลายคนนับถือและเป็นที่รู้จักมากในระดับหนึ่ง เพราะจากทั้งการเติบโตโดยการเลี้ยงดูน้องสาวอีกสี่คนให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพกับคนใช้อาวุโสตามลำพัง และใบหน้าที่โดดเด่นเกินกว่าชายคนใดในช่วงเวลานี้ เพราะในบรรดาพี่น้องทั้งหมดนั้นเขาและเธอแทบจะเหมือนแฝดกันมากกว่าใคร หากไม่ติดว่าชายหนุ่มเบนอาชีพไปทางวิชาการเพื่อเลี้ยงปากท้องพวกเธอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นนักแสดงดาวรุ่งก่อนเธอก็เป็นได้
แต่ที่สำคัญตอนนี้คือ…ในเมื่อชื่อเสียงและการกระทำของเธอกระทบกับหน้าที่การงานของเขาแบบนี้…เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นใช่ไหม?
“หมายความว่าถ้าจิลไม่ไปตามนัด พี่ชายใหญ่ก็จะถูกมองไม่ดีไปด้วยใช่ไหม”
“ถ้าเราจะไม่ไปด้วยการบอกว่าเลื่อนนัดเพราะติดงานถ่ายละครเหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาก็ได้นะ พี่จะพยายามคุยกับพี่ชายใหญ่ให้”นีราพรรณยื่นข้อเสนอ เพราะใจจริงแล้วเธอก็รู้ดีว่าพี่ชายใหญ่ไม่ได้อยากจะบังคับพวกหล่อนนักแต่สภาพสังคมโดยรอบที่จำเป็น แถมเจ้าจิลก็ไม่ได้ชื่นชอบที่จะถูกเชิญไปดูตัวบ่อยๆ นับแต่อายุของเจ้าตัวถึงเกณฑ์ ด้วยเพราะคำสั่งเสียจากท่านพ่อที่เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนตลอดมา
“จิลจะไป”ร่างสูงโปร่งตอบ“ขอเป็นสักวันอาทิตย์ที่จะถึงแล้วกันนะคะ”
แม้คำตอบจะผิดคาดไปสักหน่อยแต่ก็คงเพราะคนที่ต้องไปเจอนั้นใกล้ตัวพี่ชายใหญ่มากกว่าที่คิด หม่อมราชวงศ์นีราพรรณจึงได้คลายยิ้มบางๆ อย่างเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังรู้สึกอยู่ ถึงสิทธิชี้ขาดจะยังขึ้นอยู่กับหญิงสาว แต่เธอก็ไม่อยากให้น้องสาวคนเล็กเก็บมันมาคิดจนกว่าจะถึงเวลานัดพบมากนัก
“ยังมีอีกเรื่อง”
จิลลาภัทรถอนสายตาที่เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างใช้ความคิดกลับมามองผู้เป็นพี่
“เห็นว่าแถวนี้เพิ่งจะมีตลาดน้ำมาเปิดใหม่ ปล่อยให้หล่อนอยู่ที่นี่โดยไม่ได้ออกจากอาณาเขตไพรวันมาสองเดือนกว่าแล้ว พี่ว่าพาหล่อนไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้างเถอะ อย่าปล่อยให้อยู่แต่กับธรรมชาติมากนักเลย”
ร่างสูงโปร่งเลิกคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงติดน้อยใจ“สวนของจิลไม่ดีตรงไหน”
“พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย แต่หล่อนไม่ได้เป็นผู้หญิงที่นิยมชมชอบต้นไม้กับห้องเงียบๆมากกว่าผู้คนเหมือนน้องหญิงเล็กของพี่นี่” นีราพรรณเอ่ยตอบหยอกเย้าผู้เป็นน้องสาว
“ถือเสียว่าเจ้าบ้านพาเที่ยวเป็นไง เราเองเวลามาพักที่นี่ก็ไม่ค่อยออกไปไหนเหมือนกัน เผื่อจะเจออะไรน่าสนใจก็ได้”
ท้องฟ้าเริ่มจะฉายแสงสีส้มเมื่อเวลาได้ผ่านไปพร้อมกับสายลมที่พัดแผ่วในยามบ่ายที่ได้ผ่อนลง จิลลาภัทรเดินกลับเข้ามาภายในบ้านหลังจากที่ออกไปส่งพี่สาวคนรองที่ใช้เวลาที่เหลือพูดคุยเรื่องทั่วไปได้สักพักใหญ่ แต่ในระหว่างที่จะเดินจากห้องรับแขกเพื่อตรงไปยังห้องครัวเพื่อตามหาเอริน ดวงตาคู่คมก็เหลือบไปเห็นร่างๆ หนึ่งภายในสวนผ่านหน้าต่างที่ประดับอยู่บนทางเดินเสียก่อน
เจ้าของร่างบอบบางภายใต้เสื้อคอปกสีขาวและผ้าถุงสีน้ำตาลอ่อนตัดกับลวดลายปักสีทองคล้ายกับสาวใช้ทั่วไปกำลังยืนอยู่ในสวนขณะที่มือทั้งสองข้างนั้นกำลังตั้งท่าทางร่ายรำที่เธอพอจะเคยเห็นผ่านตามาบ้าง กายเอนตามมือที่จีบไปด้านขวาทำให้เส้นผมที่มัดรวบอยู่นั้นคลอเคลียอยู่กลางหลังอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยแผ่วเบาตามจังหวะที่ตนก้าวเท้าย่ำอยู่กับที่ ทำให้จิลลาภัทรอดที่จะยืนชื่นชมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองไม่ได้
อ่อนช้อย..พลิ้วไหว..และรู้สึกสงบไปด้วยกัน
…ดั่งดอกไม้ที่อยู่ในสวนของเธอก็ไม่ปาน…
ในจังหวะที่ยังคงชื่นชมภาพตรงหน้าในใจโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวที่ยังคงร่ายรำด้วยท่าทางอ่อนช้อยก็พลันสบตาเข้ากับผู้ชมที่ไม่ได้ตั้งใจเมื่อเจ้าตัวดำเนินท่าทางในทิศตรงกันข้ามกลับมา และด้วยความที่ปรกติแล้วเธอมักจะมาซ้อมรำอยู่บริเวณนี้คนเดียว จึงแปลกใจและไม่คุ้นชินเล็กน้อยที่เห็นอีกฝ่ายจนกลับมายืนนิ่งๆ อย่างทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง “ค..คุณหญิง”
คนที่ยืนชื่นชมก่อนหน้านี้กระพริบตาเล็กน้อยพลางเอ่ยถามเสียงติดเสียดายเล็กๆ จนคู่สนทนาไม่รู้สึก “ฉันทำให้เสียสมาธิหรือเปล่า”
สรภัสรีบส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างลุกลี้ลุกลน “ไม่หรอกค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ติดความที่เธอเข้ามาชมโดยไม่ได้รับอนุญาต จิลลาภัทรจึงได้ก้าวเท้าเข้าไปหาหล่อนแล้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ “ซ้อมแบบนี้ทุกวันเลยหรือ”
“พ่อของภัสเคยบอกไว้น่ะค่ะ..”ครั้นได้ฟังคำถาม เจ้าของจมูกโด่งรั้นก็ถอนสายตาไปทางอื่นพร้อมรอยยิ้มบนนัยหน้าราวกับนึกคิดถึงอดีตที่เคยอบอุ่นของตนเอง “..เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี อักขระห้าวันหนี เนิ่นช้า”
แต่หล่อนหารู้ไม่ว่ายิ่งตัวเองกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าฟังนั้นกับท่าทางมั่นใจมากเท่าไหร่ ประกายในดวงตาคู่คมที่อ่อนลงของจิลลาภัทรก็ยังชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ถ้าไม่ทำอย่างนี้ทุกวัน เวลาแสดงแต่ละครั้งก็จะไม่มีความมั่นใจแล้วก็พาลพางานเสียไปหมด แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีหรอกค่ะ”
ร่างบางหันกลับมาหาคู่สนทนาอีกครั้งเมื่อหลุดจากห้วงความคิดในสมัยอดีต ทว่าเมื่อหันกลับมากลับพบแต่ดวงตาคู่คมที่เคยเห็นผ่านสื่อต่างๆ ในเวลานี้ ที่มีแต่ความอ่อนโยนและการปกป้องที่ส่งผ่านมาให้อย่างที่โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ใดเคยได้สัมผัสมันมาก่อนเลย
หากว่าเคยเห็นมันมาก่อนหน้านี้… สรภัสมั่นใจว่าตนเองจะไม่รู้สึกปั่นป่วนไปทั่วกายเช่นนี้แน่
ในที่สุดจิลลาภัทรก็รู้สึกถึงการไม่เป็นตัวเอง ร่างสูงโปร่งจึงได้เอ่ยปากออกมา “จริงสินะ”
“แล้ว….คุณหญิงมีอะไรให้ภัสทำหรือเปล่าคะ”หล่อนเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนักเมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายกลับไปปกติอย่างเดิม จิลลาภัทรพลันรู้สึกว่าตนเองโก๊ะกังขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตั้งใจจะพูดกับหล่อนตั้งแต่ที่ได้เดินเข้ามาชื่นชมการร่ายรำของหล่อนที่นี่
“…หล่อนอยากไปเดินตลาดบ้างไหม”
“ตลาดหรือคะ?”ประโยคที่ถามออกมาอย่างไม่มั่นใจนักทำให้สรภัสต้องถามซ้ำ“..แต่ว่าคุณหญิงไม่ให้-”
จิลลาภัทรรีบพูดแทรก “ฉันรู้ว่าฉันไม่ให้ออกไปไหนตามใจ แต่ตอนนี้ ฉันเป็นคนชวนหล่อนเอง”
สำหรับสรภัสแล้วเรื่องที่เป็นหัวข้ออยู่นี้นับว่าเล็กน้อยสำหรับเธอนัก แต่การที่เห็นคนอายุน้อยกว่าอย่างหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรมีสีหน้าจริงจังเช่นนี้ ก็ทำเอาเธออดชะงักและอุ่นใจในคราวเดียวกันเสียไม่ได้
ไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าหล่อนเริ่มที่จะหันมาใส่ใจเธอที่อยู่บ้านเดียวกันมากขึ้นน่ะ…
“เอ่อ ถ้างั้นเดี๋ยวขอไปเปลี่ยนชุดก่อนแล้วกันนะคะ”
“ไม่ต้อง”ร่างสูงโปร่งห้ามคนที่กำลังจะหันตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามคำ แต่พอเห็นหล่อนหยุดตามคำสั่ง เสียงที่เรียบนิ่งอยู่นั้นก็อ่อนลงแทบจะทันที “แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
คนทำตัวไม่ถูกตั้งแต่เมื่อครู่นี้ได้แต่ยืนนิ่งเมื่อได้ยินดังนั้น ความสับสนตีกันในความคิดไม่หยุดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในรูปประโยคที่อีกคนกล่าวออกมา สรภัสจึงใช้เวลาหลายวินาทีกว่าที่จะดึงความคิดของตนเองให้อยู่กับรูปกับรอยดังเดิมได้
“…ถ้าอย่างนั้นภัสไปขอตะกร้ามาก่อนแล้วกันนะคะ”
“ข้าวโพดร้อนๆ จ้า”
เสียงเซ็งแซ่ของแม่ค้าร้านตลาดที่คอยเรียกหาลูกค้าและผู้คนที่เดินผ่านไปมาตามปกติ ยิ่งยามเย็นที่เข้าใกล้มื้ออาหารที่กำลังจะมาถึง จึงมีชาวบ้านไม่น้อยที่ออกมาเดินจับจ่ายซื้อของอยู่ในเวลานี้ หญิงสาวสองคนที่ต่างทั้งส่วนสูงและอายุนั้นถือตะกร้าสานคนละใบพร้อมด้วยของใช้ที่เอริน หญิงสาวหัวหน้าผู้ดูแลบ้านไพรวันไหว้วานให้พวกเธอหาซื้อติดกลับไปด้วยแม้ในยามแรกเจ้าตัวจะไม่กล้าใช้อะไรเพราะผู้เป็นเจ้านายลดตัวลงมาเป็นคนออกปากว่าจะไปซื้อของแทนสาวใช้ด้วยตัวเอง แต่ดีหน่อยที่ตลาดน้ำที่เพิ่งเปิดใหม่นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดสดเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ที่เอาไว้ขายสินค้าต่างๆ นานา ที่ชาวบ้านทำกันขึ้นมาเองเพื่อให้จับจ่ายซื้อด้วยเช่นกัน ฝั่งหนึ่งเป็นบ้านเรือนที่เปิดเป็นร้านเพื่อขายของอย่างง่ายๆ ส่วนอีกฝั่งก็ตั้งร้านบนทางปูน และลมที่พัดผ่านเหนือแม่น้ำก็ยิ่งช่วยให้คนที่ตั้งใจเพียงมาเดินเล่นรู้สึกสุนทรีย์ขึ้นเสียด้วย
จิลลาภัทรมองทิวทัศน์รอบๆ กายขณะที่ข้างตัวก็ยังได้ยินเสียงที่แสดงความตื่นเต้นเป็นพักๆ จากคนที่เธอชวนมาเดินตลาดด้วยกัน เดี๋ยวก็ดึงให้เธอไปดูสินค้าตรงนั้น สักพักก็ชี้ให้ดูว่าตรงนี้น่าสนใจ จนเธอที่เป็นฝ่ายไม่ได้ชอบออกไปไหนบ่อยๆ เหมือนคนอื่นยังอดไม่ได้ที่จะนึกขำอยู่คนเดียว
“อันนี้ขายยังไงหรือจ้ะยาย”
พลันดวงตาหวานนั้นมองเห็นเครื่องประดับที่ทำจากเส้นด้ายสีดำขลับประดับด้วยลูกปัดสีเขียวน้ำทะเล สรภัสก็ตรงเข้าไปหาหญิงชราที่นั่งคดคู้ถักเชือกสีดำกับมืออยู่บริเวณเสาค้ำต้นหนึ่งเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองสนใจ ร่างสูงโปร่งมองคนที่สนอกสนใจเครื่องประดับธรรมดาๆ ชิ้นนั้น ทั้งๆ ที่หล่อนเดินผ่านร้านขายสินค้าแบบเดียวกันที่มีราคาและคุณภาพดีกว่าเยอะ หากเป็นหญิงอื่นคงจะยอมเดินกลับไปซื้อยังทิศทางที่จากมา แต่เจ้าตัวกลับเดินตรงเข้าไปหาสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั่นแทน
จิลลาภัทรตอบไม่ได้ว่าตอนนี้เธอกำลังรู้สึกเช่นไร…คล้ายกับว่าตอนนี้เธอภูมิใจอยู่หรือ?
แล้วเธอจะภูมิใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ไปทำไมกันล่ะ
คิดดังนั้นราวกับไม่ได้ต้องการคำตอบ ร่างสูงโปร่งที่ไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาทั้งคู่ของตนเองนั้นกำลังแสดงความรู้สึกเช่นไรก็ก้าวเท้าลดระยะห่างที่อีกฝ่ายเดินห่างออกไปให้สั้นลง ส่วนคนที่มัวแต่สนใจกับของตกแต่งตรงหน้าก็ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่ควรจะยืนรออยู่เฉยๆ นั้นกำลังเดินเข้ามาดูสินค้าด้วยความสนใจเช่นกัน
ปึก
เพราะความสนใจก่อนหน้ายังอยู่ที่กับกำไลข้อมือที่ถักขึ้นมาจากหางช้าง สรภัสจึงไม่ทันได้รู้ตัวว่าตนเองถอยกายออกมาชื่นชมมันในระยะเท่าใด จนกระทั่งแผ่นหลังของตัวเองรู้สึกถึงการปะทะเล็กๆ กับใครบางคน เพราะกลัวว่าจะเป็นชาวบ้านคนอื่นที่เข้ามาสนใจสินค้าเหมือนกัน หญิงสาวจึงได้รีบหันไปมองอย่างตกใจ
แต่เธอจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อหันกลับไปแล้วจะอยู่ในสภาพแบบนี้
ดวงตาคู่สวยของร่างสูงโปร่งขยายขึ้นเล็กน้อยเมื่อคนที่ถอยมาชนเธอหันหน้ากลับมาในจังหวะที่เดินเข้าไปหาเพื่อหวังจะหยิบสิ่งที่อีกคนให้ความสนใจขึ้นมาดูบ้าง แต่เพราะจังหวะการเดินที่ไม่ได้ตั้งใจนัก ทำให้ใบหน้าของเธอกับหล่อนมีระยะห่างที่น้อยลงมากกว่าเดิม
เหมือนเมื่อสองวันก่อน…ตอนที่เธออาสาทำแผลให้ในตอนนั้น
“..ข ขอโทษค่ะคุณหญิง”
“ชอบมากหรือ”เธอเริ่มเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ถามเมื่อหญิงสาวร่างเล็กขยับตัวออกห่างไปยืนเลือกเครื่องประดับอย่างเคย
“ภัสว่ามันดูน่ารักนะคะ”สรภัสตอบไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติระหว่างที่จับสินค้าตัวอื่นขึ้นมาดู แต่ไม่ได้รู้เลยว่ามือของตนเองที่กำลังเคลื่อนตัวไปเกี่ยวเก็บปอยผมที่ร่วงหล่นไว้หลังใบหูบอกอะไรกับคนจ้องมองอย่างไรบ้าง
“เห็นด้วย”จิลลาภัทรตอบขณะที่ยังจับจ้องเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มชอบใจที่ออกมาโดยไม่รู้ตัว“น่ารัก”
หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจอะไรผิดไปอีกครั้งเมื่อได้ยินการตอบรับเช่นนั้น สรภัสหันมองคนตัวสูงที่ยังคงรอยยิ้มจนเห็นรอยหยักข้างแก้มเอาไว้อย่างชัดเจน เป็นอันว่าคำชมเมื่อครู่นั้นหล่อนตั้งใจกล่าวมันให้ฟังจริงๆ หญิงสาวได้ยืนจ้องตอบรอยยิ้มของอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่าแม้แต่แสงแดดในยามบ่ายคล้อยเช่นนี้ก็ไม่อาจพร่าสิ่งที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าได้เลยสักนิด
กระทั่งร่างสูงพอใจ เจ้าตัวถึงได้เดินเลี่ยงไปทางอื่นเสียนั่นแหละ “ตรงนั้นมีแก้วดินเผาด้วยนี่นา”
เวลาที่ผ่านไปถูกใช้ไปกับการพูดคุยและเดินทั่วตลาดน้ำที่เพิ่งเปิดมาได้ไม่ถึงเดือน แม้จะใช้เวลาน้อยกว่าจะเป็นที่รู้จักแต่ก็ยังมีคนมาเดินซื้อข้าวของเมื่อตะวันใกล้อ่อนแสงลงให้ควักไขว่ จิลลาภัทรใช้เวลาระหว่างเดินในการอธิบายหญิงสาวที่มาด้วยกันซึ่งดูจะสนใจในภูมิปัญญาชาวบ้านและมรดกที่ตกทอดมาจากอดีตในเครื่องเรือนและศิลปะต่างๆ แต่ที่น่าประหลาดใจสำหรับเธอ คือแม้หล่อนจะไม่รู้ที่มาที่ไป แต่กลับพูดถึงวิธีการรักษาของสิ่งนั้นออกมาได้ในแบบที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เคยใส่ใจมันมาก่อน พอเท้าความถามหาว่ารู้ได้อย่างไร หล่อนก็เพียงตอบยิ้มๆ ว่ารู้มาจากประสบการณ์จากครั้งไปทำงานที่บ้านของพวกเศรษฐีหรือพวกข้าราชการมีเงินเพื่อหาค่าใช้จ่ายเข้าครอบครัวเท่านั้นเอง
สรภัสลอบมองสีหน้าของหญิงสาวข้างๆ ที่กำลังมองชาวบ้านที่กำลังยกยอหาปลาจากริมน้ำด้วยท่าทางสนอกสนใจด้วยรอยยิ้มขบขันระคนเอ็นดู“ที่เขาพูดว่าคุณหญิงไม่ค่อยออกไปไหนเวลามาพักที่บ้านไพรวัน ก็เป็นเรื่องจริงสินะคะ”
คนที่รู้ตัวในทันทีว่าถูกเย้าแหย่หันกลับมามองอีกฝ่ายพลางยิ้มบางๆ อย่างไม่ถือสาอะไร ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะออกเดินเท้าไปเรื่อยๆ อีกครั้ง “ฉันชอบอยู่เฉยๆ กับหนังสือมากกว่า มันไม่ใช่ทุกวัน ที่คนแบบฉันจะได้มีเวลาพักผ่อนเหมือนคนทั่วไป”
สรภัสมองเสี้ยวหน้าของคนตัวสูงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยหัวข้ออื่นออกมาเพื่อลบบรรยากาศที่เริ่มจะกลับไปเงียบจนน่าอึดอัดอีกครั้ง“…ภัสเคยมีโอกาสดูละครของคุณหญิงด้วยนะคะ”
“เรื่องไหนล่ะ”
“เพชรยอดดาว ที่เป็นที่พูดถึงไปทั่วเลยอย่างไรคะ”ร่างบางหันมาทำตาเป็นประกายระหว่างเดินไปเล่าไป “ตอนนั้นถึงจะได้ดูแค่ไม่กี่ตอนในร้านขายของชำก็เถอะ แต่คุณหญิงในตอนที่อายุยังน้อยแบบนั้น กลับแสดงบทที่โตกว่าตัวเองออกมาได้ดีมากๆ เลย”
ดวงตาคู่คมมองสีหน้าคนที่เล่าถึงความทรงจำของตนเองขณะที่สายตาอันเป็นประกายนั้นจับจ้องไปยังทิศทางด้านหน้า แม้ภายในแล้วเธอจะไม่ได้เห็นด้วยกับหล่อน แต่ก็ไม่อาจห้ามรอยยิ้มเอ็นดูที่คอยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตนเองให้หายไปได้ง่ายๆ เลยสักครั้ง
“ความจริง ฉันไม่ได้ชอบบทนั้นเท่าไหร่หรอก”
ฝีเท้าของสรภัสค่อยๆ ช้าลงเมื่อได้ยินคำตอบ ราวกับว่าจะตั้งใจฟังเจ้าของน้ำเสียงที่ดูหนักหน่วงขึ้นมาอย่างกะทันหันอธิบาย
“ต้องร้องไห้อยู่หลายครั้ง มันเหนื่อยน่ะ”จิลลาภัทรค่อยเปิดปากเล่าพลางเลื่อนมือที่ถือตะกร้าสานไปไว้ด้านหลัง เรื่องราวที่หล่อนพูดมาเป็นตัวที่สร้างชื่อเสียงให้กับเธอก็จริงอยู่ แต่ก็ใช่ว่าในช่วงเวลานั้นจะมีแต่ความสะดวกสบายไร้ขวากหนามเสียทีเดียว “ฉันไม่ค่อยชอบร้องไห้เหมือนคนอ่อนแอ ตอนนั้นก็เลยเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากนิดหน่อย”
ร่างบางมองคนข้างกายที่ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าๆ กัน หญิงสาวเงียบไปสักพักก่อนจะค่อยกล่าวออกมาเบาๆ
“แต่ตัวจริงของคุณหญิงไม่ได้ดูเป็นแบบนั้นเลยนะคะ”
ดวงตาคู่คมสีเข้มเคลื่อนของมองคู่สนทนาโดยอัตโนมัติ ภายในนั้นมีประกายประหลาดใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้ฟังคำพูดธรรมดาๆ ที่ราวกับเข้าอกเข้าใจในความคิดของเธอ พลันเพียงหล่อนแค่ยิ้มกลับมา ภายในอกของจิลลาภัทรก็รู้สึกเหมือนสายน้ำชะโลมอยู่แผ่วเบา
เพี้ยะ!!
“บอกกี่ครั้งแล้วใช่ไหมว่าให้เอาเวลามาช่วยงาน ยังจะมัวแต่เถลไถลอยู่อีก!”
เสียงทำร้ายร่างกายตามมาด้วยการตะโกนเสียงดังอย่างโกรธเกรี้ยวทำให้หญิงสาวทั้งสองต้องหยุดชะงักการเดินของตนเอง ในสุดทางเดินของตลาดน้ำที่ผู้คนไม่ค่อยเข้ามาถึงนักเพราะร้านค้าเริ่มเบาบาง มีร่างของหญิงกลางคนซึ่งมีร่างกายผอมทว่ายังคงแข็งแรงกับเด็กหนุ่มที่ส่วนสูงเลยหล่อนขึ้นไปสวมเสื้อยืดสีขาวกับโจงกระเบนสีเลือดหมูอยู่ด้านหน้าเรือนที่เขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรเก่าๆ ว่า ‘ร้านขายยาลุงปี’
“ถ้ายังไม่หยุดทำอะไรไร้สาระ ฉันจะล่ามโซ่แกไว้ในห้องนอนให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย”
หญิงวัยกลางคนยังคงต่อว่าเด็กหนุ่มที่ก้มหน้านิ่งเงียบ ไม่ตอบโต้สิ่งใดแม้กระทั่งสัมผัสรอยปื้นแดงที่เกิดจากฝ่ามือของหล่อนเมื่อครู่ แล้วเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก หญิงกลางคนก็เดินกลับเข้าไปด้วยท่าทางโมโหพลางพึมพำทิ้งเอาไว้อยู่ตามหลัง
“เป็นผู้ชายภาษาอะไร ไม่รู้หรือไงว่าเต้นกินรำกินมันไม่ได้ทำให้อิ่มท้อง”
เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งหายกลับเข้าไปแล้ว เด็กหนุ่มจึงได้ค่อยเดินออกไปอีกทางโดยไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลยสักนิดเดียว
“??”
จิลลาภัทรตีหน้าสงสัยในทันทีที่หญิงสาวข้างกายเธอจู่ๆ ก็เร่งฝีเท้าไปยังทิศทางที่เด็กหนุ่มคนนั้นเดินจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไร จะให้เธอเอ่ยปากเรียกห้ามในตอนนี้ก็ไม่ได้ในเมื่อหล่อนเลี้ยวหายเข้าไปในซอยเล็กๆ นั่นเสียแล้ว เธอจึงทำได้แต่ต้องรีบเร่งฝีเท้าตามไปให้ทันแต่โดยดี
ร่างบางก้าวมาถึงตัวของเด็กหนุ่มที่ยังคงเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สรภัสแตะต้นแขนที่โผล่พ้นเสื้อสีขาวให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว เขาหยุดเดินและมีท่าทางตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ผลักไสเธอออกมาอย่างที่ควร
“ให้ฉันช่วยดูแผลให้นะจ้ะ”
จิลลาภัทรตามหลังบางๆ นั่นมาได้ทันในที่สุด เห็นหล่อนช่วยพยุงเด็กหนุ่มให้นั่งลงบนไม้พาดสำหรับนั่งรับลมริมน้ำอย่างว่าง่ายก็นึกโล่งใจที่ไม่มีเหตุอะไรให้น่าเป็นห่วงอย่างที่คาด แต่ยังไม่ทันได้สั่งสอนเรื่องที่จู่ๆ ก็วิ่งเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านสุ่มสี่สุ่มห้า หล่อนก็หันมากล่าวด้วยน้ำเสียงแกมขอร้องกับเธอเสียแล้ว
“คุณหญิง รบกวนอยู่กับเขาก่อนได้ไหมคะ เดี๋ยวภัสจะเดินกลับไปถามหาน้ำแข็งที่ร้านโค้งตรงนั้นครู่เดียว”
ร่างสูงที่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองขุ่นมัวก็รีบกล่าวห้ามเสียงเรียบ “ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปเอง หล่อนอยู่กับเขานั่นแหละ”
“..แต่ว่าเงิน-”
“เงินที่เอรินให้หล่อนก็คือเงินฉัน เพราะฉะนั้น อยู่ตรงนี้”
จิลลาภัทรใช้เวลาไม่นานในการเดินไปถามหาสิ่งที่หล่อนอยากได้จากร้านรวงที่เดินผ่าน ดีหน่อยที่ยังพอมีแม่ค้าพ่อค้าบางคนที่รู้จักหน้าและชื่อของวังทัตพงศ์มาลีอยู่บ้างแม้จะเพิ่งเปิดได้ไม่นานนัก ร่างสูงโปร่งกลับมาพร้อมถุงน้ำแข็งที่ถูกห่อมาอย่างไม่เรียบร้อยดีนักแล้วยื่นให้กับหญิงสาวที่นั่งคุยกับเด็กหนุ่มที่ไม่ได้มีทีท่าอยากจะสนทนาด้วยเท่าไหร่นัก
“ขอบคุณนะคะ”สรภัสรับถุงน้ำแข็งจากมือของอีกฝ่าย รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ใช้ให้คนที่มีบรรดาศักดิ์มากกว่าคนธรรมดาอย่างตัวเองต้องออกหน้าไปคุยกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดแทน แต่กระนั้นเธอก็หันมาขออนุญาตเด็กหนุ่มที่บัดนี้ใบหน้ามีรอยแดงเป็นปื้นประทับอยู่ข้างแก้มแล้วค่อยๆ ประคบมันลงไปอย่างแผ่วเบา เด็กหนุ่มที่ไม่พูดสิ่งใดออกมาแม้แต่ประโยคเดียวจึงได้เริ่มทำสีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บขึ้นมาบ้าง
ร่างสูงโปร่งทอดสายตามองเด็กหนุ่มขณะยืนมองอยู่ด้านหลังของหญิงสาว เขาดูอายุอานามน้อยกว่าเธอสักสี่ถึงห้าปีแต่ร่างกายกลับเริ่มแสดงความเติบโตวัยหนุ่มออกมาอย่างเด่นชัด ด้วยส่วนสูงที่น่าจะมากกว่าเธอสักเล็กน้อยและใบหน้าที่เริ่มคมเข้ม ดูจากโจงกระเบนสีเลือดหมูที่อีกฝ่ายใส่อยู่ ก็พอจะบอกเธอได้ว่าเขากำลังสนใจด้านนี้อยู่ไม่น้อย
สรภัสเองก็สังเกตเห็นมันตั้งแต่แรกที่ได้ยินเสียงวิวาทที่ร้านขายยานั่นแล้ว เธอจึงค่อยลองเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรกับเขาเมื่อเห็นว่าไม่ได้มีอาการผลักไสใดๆ กลับมา “เรียนรำที่ไหนหรือจ้ะ เผื่อพี่อยากจะไปเรียนรู้สักหน่อย”
“…”เด็กหนุ่มเคลื่อนสายตาขึ้นมา แต่ไม่เอ่ยอะไร
“ซ้อมเองคนเดียวหรือ?”
ไม่ว่าจะคำถามแรกหรือคำถามที่สอง สิ่งที่สรภัสได้ตอบกลับมาล้วนแต่เป็นสายตาที่สนใจในตอนแรก แล้วมันก็กลับไปมืดหมนอีกครั้งหนึ่งตลอด เธอจึงได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างเสียดายที่ไม่สามารถทำให้เด็กหนุ่มเปิดใจพูดออกมาได้กระทั่งประคบรอยแดงจนเสร็จ
“เสร็จแล้วนะ”
ร่างบางลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วหยิบตะกร้าที่ถูกลืมเอาไว้ก่อนหน้า แล้ววางถุงน้ำแข็งไปให้บนฝ่ามือของเด็กหนุ่มอย่างจงใจ
เด็กหนุ่มที่อยู่ๆ ก็รับของจากมืออีกฝ่ายมาแล้วอย่างไม่ทันตั้งตัวจึงค่อยๆ สบตาขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้นอย่างสุภาพ “…ขอบคุณครับ”
จิลลาภัทรคิดว่าบรรยากาศตอนนี้มันช่างขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน
ร่างสูงโปร่งคิดขณะที่กำลังทานข้าวอยู่บนโต๊ะตัวยาวขนาดกลางโดยที่ฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นผู้อยู่อาศัยอีกคนหนึ่งของบ้านไพรวัน ในขณะที่เธอกำลังย่อยสลายอาหารในจานของตัวเอง จานของหล่อนกลับพร่องลงไปได้น้อยนัก เพราะมัวแต่ใช้ช้อนเขี่ยเมล็ดข้าวไปมาอย่างใจลอย
ก่อนหน้านี้ที่เด็กหนุ่มยอมพูดด้วยก็ยังยิ้มจนแก้มแทบจะแตก แต่พอระหว่างเดินทางกลับมาก็เอาแต่เหม่อมองไปข้างนอกบ้าง พื้นบ้างอย่างคนที่กำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจหวนคืนไปได้อย่างไรอย่างนั้น แล้วก็ไม่พูดออกมาเสียที
ถึงเธอจะชอบความเงียบสงบก็เถอะ…แต่จะให้หล่อนมานั่งใจลอยต่อหน้าอย่างนี้ก็ขัดหูขัดตาอย่างไรบอกไม่ถูก
แต่ถ้าเธอศึกษาท่าทางและอาการของหล่อนไม่ผิด ก็คงจะเป็นเพราะเรื่องนี้เสียละกระมัง…
จิลลาภัทรเป็นฝ่ายวางช้อนส้อมและผ้าเช็ดปากลงก่อนจะถาม“มันยากไหม”
คนเหม่อลอยเหมือนเพิ่งจะได้สติกลับคืนมาเคลื่อนสายตามองอีกคนอย่างสงสัยในหัวเรื่องที่อีกคนพูดขึ้นมา“…คุณหญิงหมายถึงอะไรคะ?”
“บทที่ฉันกำลังอ่าน มีบางฉากที่ต้องแสดงเป็นนางรำเพื่อแสดงความสามารถต่อหน้าท่านรัฐมนตรี…”
ร่างโปร่งแสร้งเอนกายมองไปทางโน้นทีทางนี้ทีให้คนรอฟังอยากรู้จนจ้องตาไม่กะพริบ ก่อนจะหยุดมันไปที่หล่อนอย่างต้องการยืนยันในสิ่งที่กำลังจะพูด
“ฉันเลยอยากรู้ ว่าถ้าจะให้คนที่พอมีพื้นฐานแทนที่จะไปวิ่งตามหาครูสอนรำมาช่วยให้เข้าใจได้ มันจะยากกว่าหรือเปล่า”
เมื่อเข้าใจถึงนัยยะแจ่มแจ้ง สรภัสก็แทบจะวางช้อนในมือลงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวในทันที “…คือ ภัสสอนใครไม่เก่งหรอกค่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ให้หล่อนสอนคนเดียวหรอก”จิลลาภัทรว่าพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้มี่ใช้ในห้องอาหารอย่างไม่รีบร้อน“ไว้จะหานักเรียนมาเรียนเป็นเพื่อนก็แล้วกันนะ”
“นี่หรือคะ นักเรียนที่ว่า”สรภัสเอ่ยถามพร้อมขมวดเรียวคิ้วของตนเองในทันทีที่เห็นคนสองคนอยู่ตรงหน้าเมื่อถูกเรียกตัวให้มายังลานสีเขียวสดย่อมๆ ข้างบริเวณบ้านและสวนในยามบ่าย ซึ่งหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่เธอได้ช่วยประคบน้ำแข็งให้ที่ตลาดน้ำเมื่อวานนี้ซึ่งกำลังส่งยิ้มเก้อเขินมา เขาสวมเสื้อคอกลมสีขาวและโจงกระเบนสีเลือดหมูเหมือนคนเตรียมพร้อมจะเรียนร่ายรำ ส่วนอีกคนคือหญิงสาวร่างสูงโปร่ง เจ้าของบ้านไพรวันอย่างหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรผู้นี้ที่กำลังยืนส่งรอยยิ้มเล็กๆ มาให้ราวกับตั้งใจจะหยอกเย้าเธอ
“คุณครูมีปัญหาอะไรงั้นหรือคะ”จิลลาภัทรเอ่ยถามขณะที่สองมือนั้นไขว่หลังอย่างเรียบร้อย เครื่องแต่งกายในวันนี้ของเธอคือเสือยืดสีขาวคอกลมและโจงกระเบนที่มีสีเข้มกว่าของเด็กหนุ่มเล็กน้อย สรภัสถอนหายใจอย่างเหลือเชื่อในการกระทำของผู้หญิงคนนี้ สมแล้วที่เป็นถึงคุณหญิงแห่งวังทัตพงศ์มาลี เมื่อวานเพิ่งจะบอกให้เธอมาสอนรำเพื่อรับกับบทบาทการแสดงใหม่ แต่ใครจะไปคิดกันเล่าว่าเพียงแค่วันต่อมาเจ้าตัวก็พาเด็กหนุ่มที่ถูกแม่แท้ๆ กีดกันเพื่อจะเรียนร่ายรำมาที่นี่กับมือเองได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…สรภัสยอมรับว่าเธอรู้สึกดีขึ้นเพราะการกระทำของหล่อนไม่น้อยเลย
“ภัสดุนะคะ….บอกไว้ก่อน”
หันไปมองชายหญิงตรงหน้าอย่างคาดโทษด้วยรอยยิ้มที่หวังจะให้ทั้งสองรู้ไว้ว่าเธอเอาจริงตามซึ่งทั้งสองฝ่ายก็ยอมรับข้อตกลงแต่โดยดี สรภัสจึงเริ่มจากพื้นฐานใหม่ทั้งหมดเพื่อตรวจดูว่าแต่ละคนมีความรู้อย่างไรและต้องเก็บรายละเอียดตรงไหนบ้าง อาวุธคู่ใจในการสอนในเวลาบ่ายของแต่ละวันของเธอจึงเป็นกิ่งไม้เรียวทนทานที่ถือเอาไว้เป็นการเสริมถึงคำพูดในการเรียนวันแรก แม้จะไม่ได้ใช้มันเพื่อลงโทษหรือซ้ำเติม แต่เธอก็จำต้องใช้มันเพื่อสอนคนพื้นฐานน้อยอย่างหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรในการยืนและวางสีหน้า เพราะฉะนั้นแล้วคนที่มักจะมีรอยจางๆ ของไม้เรียวมากที่สุดก็หนีไม่พ้นเจ้าของบ้านตัวสูงตลอดจวบจนสุดสัปดาห์ที่มาถึงนี้เอง
ภายในห้องนอนที่ตกแต่งด้วยสีสไตล์ยุโรปแบบเรียบง่าย เตียงที่ทำขึ้นจากไม้เนื้อดีตั้งวางอยู่กลางห้องมีผ้าห่มสีขาวคลุมเอาไว้เพื่อรอเวลาใช้งาน เจ้าของห้องเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ปลายเตียงสวมชุดเดรสแขนกุดลายดอกไม้สีน้ำเงินตัดขาว เรือนผมสีเข้มถูกรวบไปไว้ด้านหลังอย่างสุภาพแต่ยงคงความทันสมัยทำให้เห็นประกายไข่มุกจากใบหูทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน
“คุณหญิง ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วนะคะ”สาวใช้คนสนิทก้าวเท้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงประตูห้องและเอ่ยปากบอก ทำให้คนที่จับจ้องสายตาไปที่โจงกระเบนสีแดงเข้มซึ่งวางพับอยู่บนที่นอนอย่างเรียบร้อยมาสักพักหนึ่งแล้วรู้สึกตัว
“งั้นหรือ”จิลลาภัทรขยับกายอย่างไม่รีบร้อนเมื่อเดินไปหาเอริน ให้หญิงสาวจัดองค์ทรงเครื่องรอบสุดท้ายว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่อนหรือดูน่าเกลียดออกไปพบคนที่เธอได้ให้พี่สาวคนรองนัดแนะไว้ให้ในวันนี้
“ว่าแต่…แล้วหล่อนล่ะ”
เสียงที่ถามขึ้นมาของผู้เป็นนายทำให้เอรินเคลื่อนตามองฝีมือของตนเองแล้วตอบด้วยความนอบน้อม
“อยู่ในห้องโถงค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหญิงจะให้ฉันไปบอกอะไรเธอให้ไหมคะ”
ร่างสูงโปร่งส่ายหน้า “ฉันไปเอง”
จิลลาภัทรตรงออกจากโถงทางเดินห้องนอนเพื่อไปยังปลายทางที่ตั้งใจ แต่ระหว่างที่กำลังจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปภายในห้องโถงที่คนสนิทกล่าวถึง คนที่เธอตั้งใจจะมาหาก็เดินออกมาพอดิบพอดี
“อ้าว คุณหญิง”หญิงสาวเอ่ยทักเธอทันทีที่เห็นหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อหล่อนกวาดสายตามองเสื้อผ้าที่เธอใส่ รอยยิ้มนั้นก็จางลงจนเธอรู้สึกโหวงภายในกายอย่างประหลาด “…กำลังจะไปข้างนอกหรือคะ?”
คนในบ้านไพรวันที่รู้ว่าวันนี้เธอมีนัดทานมื้อเย็นในพระนครกับคนที่พี่ชายใหญ่ร้องขอมาให้มีเพียงแค่เอรินกับพี่สาวคนรอง มันคงไม่แปลกอะไรหากหล่อนจะมีสีหน้าเช่นนี้เมื่อรู้ว่าบ่ายวันนี้เธอจะไม่อยู่
แต่ที่แปลกยิ่งกว่านั้น..การที่เห็นหล่อนกอดโจงกระเบนสำหรับสอนแบบทุกวันไว้ในอ้อมแขนด้วยสีหน้าแบบนั้น….เหตุใดเธอจึงรู้สึกผิดขึ้นมาเสียเฉยๆ…
“กำลังจะมาบอกว่าวันนี้หล่อนคงไม่ต้องเหนื่อยนัก สอนแค่ตายศคนเดียว หล่อนจะได้ใช้เวลาพักเสียบ้าง”
กล่าวถึงเด็กหนุ่มที่ถือได้ว่าเป็นแขกประจำของบ้านไพรวันแห่งนี้ไปแล้วเมื่อเขานับหล่อนเป็นอาจารย์และนับเธอเป็นเพื่อนร่วมศิษย์อาจารย์เพื่อหวังให้ใบหน้าสวยนั้นดูดีขึ้นมาบ้าง และเมื่อจิลลาภัทรเห็นว่าหล่อนพยักหน้ารับคำแต่โดยดีด้วยรอยยิ้มเข้าอกเข้าใจ จึงได้รู้สึกเบาใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง
“ฉันไปก่อนนะ”
กล่าวประโยคนั้นได้จนจบ ร่างสูงโปร่งเจ้าของบ้านเดินลงบันไดไปยังทิศทางของประตูบานทางเข้าบานใหญ่ ส่วนคนที่ยังคงยืนอยู่ก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังที่คนสนิทเดินประกบตามไปเท่านั้น ลมหายใจหนักอึ้งถูกผ่อนออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น ใช่ว่าสรภัสจะไม่รู้ว่าหล่อนไปที่ใดเพราะแม้แต่สาวใช้ในห้องเครื่องก็ยังพูดถึงสิ่งที่ตนได้ยินมาให้เธอได้ยินเป็นระยะ แต่ก็แค่ไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วเช่นนี้ก็เท่านั้น
ไม่ใช่เรื่องแปลกเสียน้อยที่คนอย่างหล่อนจะมีโอกาสได้แต่งงานกับคนดีๆ ที่เหมาะสม
และเพราะเป็นอย่างนั้น…เธอควรจะรู้สึกยินดีไม่ใช่หรือ?
“คุณหญิง อาหารไม่ถูกปากหรือครับ”
ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอาใจใส่ จิลลาภัทรที่มองจานอาหารในร้านที่ดีที่สุดของพระนครซึ่งพร่องไปได้ไม่เท่าไหร่นักจึงได้เคลื่อนดวงตาขึ้นมาตอบ
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยเจริญอาหารมื้อเย็นสักเท่าไหร่”
ถึงแม้ในสถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้จะเป็นภัตตาคารที่มีชื่อที่สุดในพระนคร แถมรอบข้างยังตกแต่งด้วยบรรยากาศสวยงามน่าอบอุ่นเพราะแชนเดอเลียและศิลปะสไตล์ยุโรปโดยรอบเหมาะสำหรับมื้อค่ำในตอนกลางคืน กระนั้นจิลลาภัทรกลับไม่ได้รู้สึกหวือหวากับสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าตั้งใจเตรียมเอาไว้ให้เธอเลยสักนิดเดียว
คุณวายุเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง เขาไว้ทรงผมระต้นคอที่ด้านหน้าถูกแบ่งสัดส่วนอย่างทันสมัย สูทสีแดงกับเสื้อตัวในสีขาวและโบวไทสีดำต้นคอพอจะบ่งบอกรสนิยมได้อยู่บ้าง ความสูงของเขาบวกกับหน้าตาแล้วช่างโดดเด่นเกินกว่าจะเป็นแค่ลูกชายของรองศาสตราจารย์ที่เธอเคยร่วมงานด้วย แต่ก็เพราะท่าทางที่ดูเหมือนตนเองวิเศษวิโสเพราะชื่อเสียงที่ได้มาจากบิดาและหน้าตาของตนเองนั่นแหละ ที่ทำให้จิลลาภัทรรู้สึกว่าเขาก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นที่ก่อนหน้าพี่ชายใหญ่หามาให้เลยสักนิดเดียว
…บางที อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ
“ช่วงนี้คุณหญิงทำอะไรอยู่หรือครับ”เรียวคิ้วของเขาขยับขึ้นอย่างสนใจ ในขณะที่ริมฝีปากบางนั้นยกขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจนัก
“พักผ่อนน่ะค่ะ แต่วันพรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว”
“ดีจังเลยนะครับ ยิ่งงานเข้าบ่อยเท่าไหร่ ชื่อเสียงของคุณหญิงก็ยิ่งไปไกลมากเท่านั้น ใครได้แต่งงานกับคุณหญิงคงจะมีชีวิตที่ดีทั้งขึ้นทั้งล่อง”เขากล่าวพร้อมกับขยับแก้วทรงสูงที่มีเครื่องดื่มรสดีเอาไว้ไปมาเพื่อให้รสชาติมันดียิ่งขึ้น
จิลลาภัทรเข้าใจในทันทีในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ เธอพอจะรับรู้มาก่อนอยู่แล้วว่าในเวลานี้ชายหนุ่มมีอาชีพเป็นผู้ดูแลคลังสินค่าที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี และยังมีธุรกิจเล็กๆ ที่เพิ่งจะเปิดตัวได้ไม่นาน ทั้งยังมีเงินหนุนกำลังสูงที่พอจะดึงดูดพวกผู้กำกับอยู่ได้ไม่มากก็น้อย ที่อยากทำความรู้จักกับเธอทั้งๆ ที่ไม่ได้สนใจวงการนักแสดงมาตั้งแต่ต้น ก็คงไม่พ้นผลประโยชน์อย่างที่พวกนักธุรกิจอยากจะได้
หวังจะให้ชื่อเสียงของเธอไปประดับบารมี…ไม่คิดว่าเผยลิ้นไก่ออกมาง่ายไปหน่อยหรือไง
“ชื่อเสียงไม่จีรัง วงการนี้มีทั้งขึ้นและลง ทำอะไรที่ดีที่สุดในวันนี้ได้ก็รีบทำไปเสียดีกว่าค่ะ”หญิงสาววางช้อนส้อมและผ้าเช็ดปากลงบนหน้าตักอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง โดยไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามเลย “ขอบคุณสำหรับมื้ออาหารวันนี้นะคะ แต่ฉันต้องขอตัวกลับแล้ว”
“เดี๋ยว--เดี๋ยวสิครับ”
จิลลาภัทรก้าวเท้ายาวๆ ไปจนถึงประตูเมื่อได้ยินเสียงลุกลี้ลุกลนนั้นตามหลังมา เธอค่อยชะลอฝีเท้าเมื่อมาถึงบันไดหน้าร้านแล้วพบว่าคนขับรถส่วนตัวยังมาไม่ถึง พอดีกับที่ชายหนุ่มก้าวตามหลังมาอย่างรีบร้อน และเมื่อเห็นเธอหยุดยืนอย่างคนไม่มีทางให้หนี เจ้าตัวก็พลันวางท่าทางกลับมาสุขุม และเปลี่ยนสีหน้าซึ่งก่อนหน้านี้ตึงเครียดด้วยความขุ่นมัวเป็นแย้มยิ้มอย่างมีชัยชนะอย่างปิดไม่มีเลยทีเดียว
“อย่างน้อยให้ผมไปส่งคุณหญิงที่วังเป็นการขอโทษเถอะครับ”
ในระหว่างที่คิดว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรดี ไฟส่องสว่างจากหน้ารถคลาสสิคสีครีมที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นตรงหางตาอย่างทันเวลา นายดลขับรถมาจอดตรงบันไดขั้นสุดท้ายอย่างรู้งาน ทำให้จิลลาภัทรหันกลับไปมอบรอยยิ้มที่แฝงนัยยะคืนให้แก่ชายหนุ่มเป็นการบอกลาก่อนคนขับรถส่วนตัวจะลงมาเปิดประตูเอาไว้ให้เอง
“ไม่เป็นไรค่ะ รถมาพอดี สวัสดีนะคะ คุณวายุ”
รถยนต์ประจำของหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรฝ่าถนนมาตามความมืดอย่างเชื่องช้าเพราะท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ส่งเสียงร้องคำรามและเทหยาดฝนลงมาตั้งแต่ออกจากเขตของพระนคร ด้วยบริเวณชานเมืองเช่นนี้ไร้อาคารบ้านเรือนที่เป็นตึกทรงยุโรป กระแสลมที่พัดแรงจึงทำให้ต้นไม้โน้มลงไปตามแรงอย่างเห็นได้ชัด คืนนี้จึงไม่น่าพ้นสายฝนที่หนักหน่วงตลอดคืนเป็นแน่
เมื่อรถยนต์เลี้ยวเข้ามาถึงในตัวบ้าน จิลลาภัทรก็ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่ออาณาเขตไพรวันทั้งหมดนั้นมืดสนิทจนเกินไป เพราะปกติแล้วหากยังไม่ถึงเวลาห้าทุ่มที่ทุกคนเข้านอนกันหมด อย่างน้อยก็จะยังมีไฟเปิดเอาไว้ให้พอเห็นทางกันอยู่บ้าง ไม่ได้มืดเสียจนผิดปกติเช่นนี้
สาวใช้คนหนึ่งวิ่งออกมากางร่มให้เธอในทันทีที่รถสีครีมจอดสนิทตรงขั้นบันได เมื่อไม่เห็นคนสนิทที่คอยดูแลภายในบ้านก็ยิ่งเกิดความสงสัยในใจ จนเมื่อก้าวเข้ามาในบ้านที่มืดจนถึงต้องคลำทางแล้วถึงได้เอ่ยถามสิ่งที่ตนเองสงสัยออกมา
“ทำไมบ้านถึงมืดแบบนี้?”
สาวใช้เก็บร่มแล้วตอบด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ“คือว่าฝนมันตกหนัก…ไฟแถบนี้ก็เลยดับค่ะคุณหญิง”
“แล้วเอรินไปไหน?”
สาวใช้ยิ่งแสดงท่าทีแปลกๆ หล่อนมีสีหน้าที่ลังเลว่าควรจะบอกดีหรือไม่เมื่อได้ยินคำถามจากผู้เป็นนาย
“เอ่อ..คือเธอ…”
ปึง ปึง
เสียงที่ดังฝ่าลมและฝนออกมาจากโถงทางเดินด้านขวามือทำให้ทั้งสองคนหยุดบทสนทนาเอาไว้ จิลลาภัทรหันมาส่งสายตาต่อว่าสาวใช้ที่ตอนนี้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบดวงตาคู่คมของเธอ ก่อนที่จะเป็นฝ่ายที่ค่อยคลำราวบันไดเพื่อก้าวเท้าขึ้นไปหาต้นเสียงนั้นด้วยตัวเอง
“คุณภัส เปิดประตูหน่อยเถอะค่ะ”
เมื่อมาถึงโถงทางเดินด้านขวา ร่างสูงโปร่งจึงค่อยได้ยินเสียงคนสนิทซึ่งอยู่หน้าประตูห้องของผู้อาศัยอีกคนหนึ่งในบ้านหลังนี้อย่างกังวล และเมื่อหล่อนเห็นเธอ เอรินจึงได้หยุดมือที่เคาะประตูเรียกคนข้างในเอาไว้หันมายืนก้มหน้าเล็กน้อยอย่างเชื่อฟัง
“เกิดอะไรขึ้น?”จิลลาภัทรยิงคำถามในทันทีที่มาถึงตัวอีกคน
“เธอ…รู้สึกไม่สบายค่ะ”เอรินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนักเมื่อรายงานจบ เห็นสีหน้าของผู้เป็นนายขมวดคิ้วใส่บานประตูตรงหน้าจึงเผลอพึมพำออกมากับตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ“เพราะฝนแบบนี้อีกแล้วสิ..”
“อีกแล้ว? หมายความว่ายังไง อีกแล้ว”
พลันประโยคพึมพำนั้นลอยเข้าหู น้ำเสียงที่ติดแข็งกร้าวออกมาก็ทำให้เอรินตื่นตระหนกในรอบหลายเดือนจนต้องรีบก้มหัวและรู้สึกโทษตัวเองที่บกพร่องในหน้าที่จนผู้เป็นนายรู้เข้าจนได้
“ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งคุณหญิงก่อนหน้านี้ค่ะ แต่ฉันแค่คิดว่ามันเป็นอาการที่ใช้เวลาไม่นานก็คงหาย..”
จิลลาภัทรจ้องมองอีกฝ่ายอย่างรอคอย
“…เวลาที่ฝนตกหนักลมแรง เธอจะดูกระวนกระวายแล้ววิ่งไปเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมา พอวันต่อมาก็เหมือนคนมีไข้หนักมาหมาดๆ…นี่เป็นคราวที่สองแล้วค่ะ”
ร่างโปร่งใช้เวลาครู่หนึ่งคร่ำครวญในความคิดของตนเอง เมื่อตอนที่เธอพบหล่อนวิ่งหนีตายออกมาจากบ่อนของเสี่ยเม้งเมื่อสองเดือนก่อนนั้น ก็เป็นคืนที่มีฝนตกลมแรงเหมือนเช่นวันนี้เช่นกัน…สำหรับคนที่เข้าใกล้ความตายมาแล้วครั้งหนึ่งอย่างหล่อน ก็คงไม่แปลกอะไรหากบรรยากาศมันจะทำให้ความทรงจำอันเลวร้ายนั้นหวนคืน
แต่เอรินเพิ่งจะมาบอกเอาป่านนี้…หากเธอไม่มาพักผ่อนยาวอยู่ที่นี่ ก็คงไม่มีทางได้รู้เรื่องด้วยตัวเองแน่
แม้อยากจะต่อว่าคนสนิทมากเท่าใด ทว่าจิลลาภัทรก็ต้องข่มความรู้สึกขุ่นมัวของตัวเองเอาไว้ เธอปิดเปลือกตาลง แล้วจึงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไปหากุญแจแล้วโทรบอกให้พี่หญิงนิ่มรู้ เดี๋ยวนี้”
ภายในห้องนอนที่มีเพียงแค่ประกายคำรามจากท้องฟ้าเท่านั้นที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาได้ ร่างร่างหนึ่งนอนขุดคู้อยู่บนที่นอนพร้อมกับจังหวะหายใจที่ค่อนข้างผิดปกติ สรภัสได้แต่ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างปิดการรับรู้ด้านการฟังของตัวเองอยู่ลูกนกที่ทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าเธอจะพอได้ยินเสียงของเอรินมาเคาะเรียกอยู่ที่ประตู แต่เธอก็ไม่อยากจะเปิดเผยอาการที่น่าสมเพชเช่นนี้ให้คนในบ้านไพรวันเป็นภาระไปมากกว่าที่เป็นอยู่เลยสักนิด
แต่ร่างกายมันหยุดสั่นไม่ได้เนี่ยสิ…
ถ้าไม่ใช่เพราะคนของเสี่ยเม้งในวันนั้น มันที่พยายามจะล่วงเกิน เธอจำเป็นต้องสู้กลับเพราะไม่เช่นนั้นก็คงเหมือนคนตายทั้งเป็น แม้จะแลกมากลับบาดแผลใกล้กับไหปลาร้าของตน แต่มันก็ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปได้และรู้สึกหวาดผวาในวันที่ความทรงจำอันเลวร้ายคอยหวนกลับมาอยู่เสมอ
ความหนาวเย็นที่แล่นไปทั่วกายไม่ใช่แค่จากความชื้นของห่าฝนที่เทลงมาสู่พื้นดิน แต่ความทรงจำนั้นยังเล่นกับการหายใจที่อยู่ๆ ก็เหนื่อยหอบขึ้นมาอย่างคนคอยวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดแม้จะนอนอยู่เฉยๆ เปลือกตาที่ยังปิดไม่สนิทของหญิงสาวมองเห็นแสงสว่างแสงหนึ่งอยู่ปลายเตียง ตะเกียงเจ้าพายุที่ถูกซ้อนทับด้วยไฟรถยนต์สีครีมคันนั้น สรภัสจึงค่อยลดมือที่ปิดการได้ยินของตนเองลง
“ภัส”
เสียงอันคุ้นเคยของเจ้าของบ้านและเจ้าของรถคันนั้นทำให้สรภัสใจชื้น น่าแปลกที่มันกลบเสียงฟ้าฝนที่ยังคงเทลงมาราวกับหยุดแผลงฤทธิ์ไปเสียดื้อๆ เมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าที่สะท้อนเข้ากับตะเกียงเจ้าพายุ
“คุณหญิง…”
จิลลาภัทรตรงเข้ามาสัมผัสกายของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง แม้จะมีเหงื่อออกประปรายแต่กลับสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนทั่วร่าง เธอตัดสินใจตวัดแขนทั้งสองข้างโอบกอดร่างของคนที่นอนอยู่อย่างไม่สนใจสายตาของคนสนิทและสาวใช้ที่ตามเข้ามาทีหลัง เธอแค่หวังเพียงว่าอ้อมกอดของตัวเองจะช่วยหยุดยั้งอาการผวาสั่นสะท้านของหญิงสาวให้ลดลงไปได้
“ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”เธอใช้มือลูบปลอบศรีษะมนและกระซิบบอกหล่อนอย่างทะนุถนอม “จิลอยู่นี่”
จังหวะหายใจของหญิงสาวค่อยกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเมื่อใช้เวลาปลอบประโลมอยู่ไม่นาน จิลลาภัทรก้มมองใบหน้าที่ดูจะคลายความหวาดกลัวของตัวเองลงไปมากแล้วแทนที่ด้วยความอ่อนเพลีย ในระหว่างที่ก้มมองอย่างเบาใจ เสียงหวานแผ่วเบาก็เอ่ยออกมาให้เธอพอได้ยิน
“ขอโทษด้วยนะคะ..”
คำขอโทษที่กล่าวออกมาราวกับรู้สึกผิดที่ให้เธอมาทำอะไรแบบนี้ ความเกรงใจของหญิงสาวเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเอือมระอาอยู่หลายครั้ง ถึงจะเป็นคุณหญิงแต่ก็เป็นคนธรรมดาสามัญ จะให้มองคนที่อยู่ในอาณัติการดูแลของตัวเองกำลังลำบากเฉยๆ ไปได้อย่างไร จิลลาภัทรจึงได้แต่ระบายยิ้มบางๆ เมื่อพบว่าเจ้าหล่อนเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยน้ำมือเธอไปเสียแล้ว
“…ช่วยตื่นมารับผิดชอบทีหลังด้วยล่ะ”
คืนวันนั้นกว่าร่างสูงโปร่งจะได้พักผ่อนก็เป็นเวลาของวันใหม่แล้ว เพราะเช้าตรู่ของวันต่อมารถทั้งสองคันของวังทัตพงศ์มาลีก็ตรงดิ่งมายังบ้านพักตาอากาศแห่งนี้ตามคำสั่งของเธอเมื่อวาน จิลลาภัทรจึงจำต้องละจากเตียงของผู้อยู่อาศัยอีกคนที่เริ่มจะมีไข้อ่อนๆ จากผลของอาการเมื่อคืนนี้มาต้อนรับ แต่ใครจะไปรู้กันว่าคำสั่งที่ให้ติดต่อหาพี่สาวคนรอง จะนำพาพี่สาวอีกสองคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยมาด้วยเช่นกัน ซึ่งมันนำพาให้เธอที่นั่งอ่านหนังสือรอผลอยู่ในห้องทำงานของตัวเองอึดอัดจนต้องละสายตาออกมาหาหญิงสาวสองคนที่ยืนล้อมโต๊ะส่งสายตาเค้นคำถามออกมาจากเธอ
“ทำไมพวกพี่มองฉันแบบนั้นกัน?”
“พอจะมีเวลาสักครู่ก่อนกลับไปพระนครหรือไม่ น้องหญิงเล็ก” หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ยิ้มเย็น แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ากลัว
จิลลาภัทรปิดหนังสือบนโต๊ะลงก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อจะหลบหนีพี่สาวทั้งสองคนกลายๆ “ไว้ค่อยไปคุยที่วังทัตพงศ์มาลีได้ไหมคะ”
แต่ยังไม่ทันได้เดินออกจากที่เดิม หม่อมราชวงศ์จินณวัตรและหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ตบเข้าที่ไหล่หนักๆ ให้เธอนั่งกลับลงไปเช่นเดิม
หม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่อยู่อย่างห่างๆ ตั้งแต่ต้นได้แต่ระบายยิ้มอ่อนใจให้น้องสาวคนเล็กที่ส่งสายตามาขอความช่วยเหลือ “พี่ศรีเดินมาบอกแล้วว่ายังไม่ถึงเวลางาน เพราะฉะนั้นพี่ช่วยให้เธอหลุดสองคนนี้ไม่พ้นหรอก”
“มาเถอะน้องเล็ก ก็แค่คุยกันเหมือนพี่น้องทั่วไปเท่านั้น”
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรบอก ด้วยดวงตาที่ไม่ได้มีรอยยิ้มเช่นที่อยู่บนใบหน้าสักนิด
คุยแบบพี่น้องหรือ…เคยมีครั้งไหนที่คุยเรื่องพวกนี้แล้วพวกพี่ๆ ของเธอไม่ตีโพยตีพายไปก่อนความจริงบ้างเล่า
“งั้นฉันถามก่อน”ดารารินทร์ว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้นวมฝั่งตรงข้ามแล้วถามออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่ถึงขั้นข้ามขั้นมาอยู่กินกันออกหน้าอย่างนี้ได้เลยหรือ?”
เธอเดาไว้ผิดเสียที่ไหนกันล่ะนั่น…
นักแสดง
นายดล : โดยอง NCT
ยศ : ยอ จินกู
คุณวายุ : หวัง เหอตี้ (ดีแลน หวัง)
TBC.
#ฟิคแก้วตาสุมาลี #คุณหญิงจิลลาภัทร
______________________________________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น