คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทร : ดอกช้องนาง ๑
๑
“ช้องนางนางคลี่ไว้ คิดทรามวัยเคยสรงสยาย
กลิ่นร่ำน้ำอบอาย ไม่วายว่างห่างหอมเอยฯ”
- กาพย์เห่เรือ
สองเดือนต่อมา พ.ศ. 2507
“คุณหญิงทำดีมากครับ วันนี้งานเสร็จเร็วมาก”
เสียงของชายหนุ่มผู้สวมเสื้อผ้าบ่งบอกถึงตำแหน่งหน้าที่ในกองถ่ายที่กำลังมีชื่อกล่าวในขณะที่ในแววตาของเขามีแต่ความชื่นชมหญิงสาวร่างสูงโปร่งตรงหน้า
“ทั้งหมดก็เป็นเพราะคุณอัครพลด้วยค่ะ ที่ทำให้งานวันนี้ราบรื่น”
หญิงสาวภายใต้เดรสแขนกุดเข้ารูปสีแดงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพดวงตาเรียวคู่สวยนั้นขยับลงเกือบจะเป็นสระอิ ทำเอาคนกล่าวชื่นชมอย่างผู้กำกับถึงกับเหม่อลอยไปชั่ววินาทีก่อนที่เขาจะรีบกล่าวอย่างชื่นอกชื่นใจ
“คุณหญิงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เลยครับ เราถ่ายเก็บอีกสักนิด ก็จะยกกองกลับโรงแรมกันแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น จิลขอตัวก่อนนะคะ”
เมื่อก้าวอย่างออกจากเก้าอี้พักสำหรับนักแสดง เสียงที่ล่องลอยผ่านอากาศก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านการรับฟังของหญิงสาว เธอได้ยินคำชื่นชมและข้อสงสัยเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาที่เปล่งปลั่งตามอายุของเธอ แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรสำหรับคนที่เข้าสู่วงการนักแสดงนี้มาได้4 ปีเต็มแล้วอย่าง หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทร คนนี้
แต่จะให้บอกว่าพึงใจหรือ…คงต้องตอบว่าเคยชินเสียมากกว่า
ใช่ว่าแต่แรกเกิดจนถึงตอนรู้ความว่าตนเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของหม่อมเจ้าพลจานุกิจ ณ วังทัตพงศ์มาลี จิลลาภัทรอยากจะเข้ามาโลดแล่นบนจอสีขาวกับเครื่องเล่นม้วนฟิล์มเสียเมื่อไหร่ หาใช่เพราะคำรบเร้าของบรรดาแมวมองที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอซึ่งคล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าฟัง แต่เป็นเพราะคำร้องขอของป้าโฉมฉาย แม่บ้านอาวุโสแห่งวังทัตพงศ์มาลีที่อยากจะเห็นเธอเป็นนางเอกภาพยนตร์ต่างหาก
“วันนี้เป็นวันถ่ายทำวันสุดท้ายของคุณโชษิตาค่ะ”
เสียงอันคุ้นเคยจากด้านหลังในห้องแต่งตัวส่วนตัวทำให้ดวงตาคู่คมละออกจากเงาสะท้อนของตนเองเพียงเล็กน้อย จิลลาภัทรขยับริมฝีปากยิ้มอย่างผ่อนคลายขณะกล่าวกับหญิงร่างท้วมผู้เป็นดั่งอาณาเขตที่ปลอดภัยของเธอ
“เวลาผ่านไปเร็วจริงนะคะ”เธอว่าก่อนจะค่อยๆ ขยับมือปลดต่างหูคู่สวยออกจากกาย “พี่ศรีช่วยจัดส่งช่อดอกไม้ไปแสดงความยินดีกับเธอแทนฉันได้ไหม”
ศรีผงกศีรษะรับคำอย่างนอบน้อมด้วยรอยยิ้มเอ็นดู“จะจัดการให้เมื่อถึงวังแล้วนะคะ”
“ฉันจะไปบ้านไพรวัน พี่ศรีล่วงหน้ากลับวังไปก่อนเลยก็ได้”
ฟังคำกล่าวที่ไม่มีความลังเลในการเอ่ย ศรีก็เคลื่อนดวงตารีเล็กของตนขึ้นมามองภาพสะท้อนอีกฝ่ายผ่านกระจกตัวยาว ก่อนจะค่อยกล่าวถามจุดประสงค์ของหญิงสาวร่างสูงโปร่งตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
“คุณหญิงจะไปพบ เธอ หรือคะ”
จิลลาภัทรถอนสายตาออกจากเงาสะท้อนของตนเองก่อนจะกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มสุขุมที่แฝงอยู่ในหน้า“ฉันจะพักผ่อนต่างหาก เสร็จงานวันนี้ก็มีเวลาพักอยู่อีกนิดหน่อย พี่ศรีช่วยจัดเสื้อผ้าสำหรับหนึ่งอาทิตย์ให้ฉันได้ไหม”
“แล้วจะให้บอกคุณชายใหญ่ว่าอย่างไรดีคะ”
“บอกพี่ชายใหญ่ว่าฉันอยากจะพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศของเราหลังหมดตารางงานเหมือนปกตินั่นแหละ”หญิงสาวกล่าวอย่างไม่ได้รู้สึกใส่ใจนัก เพราะหม่อมราชวงษ์เจตนิพันธ์ พี่ชายใหญ่ของเธอก็อนุญาตให้เธอมาพักผ่อนที่บ้านไพรวันตามปกติหลังจากทำงานมาหนักอยู่แล้ว บ้านพักตากอากาศหลังนั้นจึงเป็นดั่งพื้นที่ส่วนตัวหย่อมๆ ของบุตรสาวคนเล็กแห่งวังทัตพงศ์มาลี ที่ใครจะมาพักผ่อนได้ก็ต้องได้รับคำอนุญาตหรือคำเชื้อเชิญจากเธอเสียก่อน
เพียงแต่เมื่อสองเดือนก่อน…พื้นที่ส่วนตัวนั้นก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ของเธอคนเดียวอีกต่อไป
“ได้ค่ะคุณหญิง”
รถยนต์คลาสสิคสีเนื้อครีมค่อยๆ เข้ามาจอดในบริเวณพื้นที่สีเขียวที่ถูกตัดแต่งเป็นอย่างดีรับกับบ้านสองชั้นสไตล์ไทยร่วมสมัยสองชั้น แม้จะไม่กว้างขวางมากนักเท่ากับวังทัตพงศ์มาลี แต่ก็เป็นพื้นที่ที่ให้ไว้ซึ่งความสดชื่นและร่มเงาเย็นสบายจากบรรดาแมกไม้และธรรมชาติเหมาะแก่การพักผ่อนหรือต้องการความสงบจากพระนครที่เริ่มจะมีความวุ่นวายและการเจริญเติบโตที่ไม่หยุดนิ่งเลยสักวัน
“คุณหญิงจิล”
เสียงหญิงสาวบริเวณหน้าประตูบานไม้สวยดังขึ้นเมื่อเธอลงจากรถยนต์คันงาม ก่อนที่หล่อนจะยืนนอบน้อมรอรับคำสั่ง จิลลาภัทรมองหญิงสาวผู้มีเชื้อสายทางจีนแผ่นดินใหญ่แต่แฝงไปด้วยความคมแบบตะวันตก เอริน จวง ผู้เป็นเสมือนหัวเรือใหญ่แห่งบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ยามที่เธอหรือพี่น้องในทัตพงศ์มาลีไม่ได้มาเยี่ยมเยียน
“หล่อนทำอะไรอยู่หรือ”
“หลังจากจัดการแปลงดอกไม้ ตอนนี้ก็กำลังทำความสะอาดร่างกายอยู่ค่ะ”เอรินว่าด้วยน้ำเสียงมั่นคง จิลลาภัทรจึงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินผ่านประตูบานไม้สลักสวยเข้าไป
“แล้วเรื่องที่ฉันวานให้ทำ เป็นอย่างไร”
เอรินหันมาตอบหญิงสาวหลังจากไล่ให้สาวใช้บางคนไปจัดเตรียมเสื้อผ้าและน้ำอาบให้แก่เจ้าของบ้าน“เป็นไปตามที่คุณหญิงสั่งมาค่ะ”
“ลองพูดมาสิ” จิลลาภัทรถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกฝากไว้ให้คนสนิทถือเพื่อรอเวลาเอาไปเก็บ
“คุณหญิงนิ่มบอกมาว่า สายสืบของเธอได้แฝงตัวเข้าไปในกลุ่มของเสี่ยเม้งได้อาทิตย์กว่าแล้วค่ะ”
ได้ฟังดังนั้น จิลลาภัทรก็นึกขอบคุณพี่สาวคนรองอยู่ในใจระหว่างที่หันมามอง “ต้องค่อยติดตามต่อสินะ”
“คุณหญิงนิ่มฝากข้อความนี้มาให้ด้วยค่ะ”
เอรินหยิบยื่นบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตนแล้วยื่นมันให้แก่ผู้เป็นนาย จิลลาภัทรขยับหางคิ้วเล็กๆ เมื่อเห็นกระดาษชิ้นเล็กที่ถูกพับเอาไว้ราวกับจดหมายลับ เดาว่าเอรินคงถูกพี่สาวเธอกำชับมาเป็นอย่างดีว่าให้มอบมันกับมืออีกครั้ง จึงไม่ได้รายงานออกมาเป็นคำพูดตั้งแต่แรก
‘ยังไม่ได้ฤกษ์พาสะใภ้คนเล็กมาแนะนำให้พี่สาวรู้จักอีกหรือ?’
หญิงสาวร่างสูงโปร่งเผลอกลอกตาและถอนใจพร้อยรอยยิ้มเล็กๆ เมื่ออ่านเนื้อหาเพียงบรรทัดเดียวในนั้นจบ เธออธิบายผ่านเอรินไปตั้งแต่วานขอความช่วยเหลือตอนพบ‘หล่อน’ใหม่ๆ หลายครั้งแล้ว พี่สาวคนนี้ก็ยังจะกระเซ้าเย้าแหย่อยู่ได้
แม้จะไม่ได้เกิดมาด้วยสายเลือดเดียวกันทุกประการ แต่พวกเธอก็ยังเคารพและรักกันดั่งพี่น้องร่วมบิดามารดาหนึ่งเดียว
หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ กับหม่อมราชวงศ์ดารินทร์ เป็นเพียงสองคนที่เกิดจากหม่อมอื่นๆ ของหม่อมเจ้าพลจานุกิจ ต่างจากพี่ชายใหญ่ พี่หญิงใหญ่ แล้วก็ตัวเธอสามคนที่มีมารดาร่วมอุทรเดียวกัน แม้จะเกิดจากผู้หญิงคนละคน แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเธอนั้นรักกันน้อยลงเลย
พี่สาวคนรองคนนี้ชื่นชอบนักกับการหยิบจับจุดอ่อนของคู่สนทนามาเย้าแหย่หรือไม่ก็ทำให้ยอมจำนนไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัว ซึ่งหาได้มาจากการที่ทำงานเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่เพราะเป็นคนมีไหวพริบแถมยังชอบหาเรื่องสนุกทำไปเสียทุกอย่างไม่ต่างจากพี่สาวคนกลางของเธอ แล้วตั้งแต่ที่ตัวเองจำความได้นั้น ในบางครั้งเธอก็อดปวดหัวแทนพี่ชายใหญ่ไม่ได้เลยจริงๆ
“คุณหญิงจะอาบน้ำเลยไหมคะ”
เสียงของเอรินทำให้จิลลาภัทรพับกระดาษชิ้นเล็กนั้นเก็บแล้วจึงเอ่ยปากตอบ“ขอไปดูก่อนว่ามีคนใช้ห้องน้ำเสร็จแล้วหรือยัง”
ละอองไอน้ำหนาประปนไปในอากาศและฝังตนอยู่กับกระจกเงาสะท้อนภายในห้องอาบน้ำ เสียงของน้ำที่เคลื่อนตัวยังคงดังอยู่เมื่อร่างบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังทำความสะอาดเรือนกายของตนเองเพื่อคลายความเมื่อยล้าที่ออกแรงมาทั้งวันให้หายเป็นปลิดทิ้ง เปลือกตาที่มีขนตางอนกำลังดื่มด่ำกับความสบายอกสบายใจเพราะกลิ่นหอมอันน่าผ่อนคลายนั้นลอยผ่านจมูกโด่งรั้นเข้าเต็มปอด กระทั่งเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของเครื่องยนต์ที่ผ่านเข้ามา ในตอนแรกก็คิดแค่เพียงว่าหูฝาด แต่แล้วพอได้ยินเสียงพูดคุยกับการหยิบยกข้าวของของสาวใช้ เปลือกตาบางนั้นจึงจำต้องเปิดขึ้นด้วยอาการไม่เชื่อหูตัวเอง
“…เธอมาที่นี่หรือ”
ทำไมเธอเพิ่งจะได้ยินเสียงมันเล่า!
เมื่อพึมพำกับตัวเองจนจบ หญิงสาวก็รีบพาร่างกายที่แช่อยู่ในอ่างอาบน้ำสีขาวไข่มุกออกมาพร้อมกับผ้าคลุมสีขาวเหมือนโค้ทตัวยาว ทิ้งหยาดน้ำหยดลงประปรายเมื่อเคลื่อนไหวตัวออกจากห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้ สรภัสพยายามไม่ให้ความเร่งรีบควบคุมฝีเท้าของตนเองขณะก้าวเดินออกมา แต่ดูเหมือนว่าจิตใจกับสมองของเธอจะไม่ได้ไปด้วยกันเอาเสียเลยเมื่อนึกคิดไปว่า ‘เธอ’ คนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง
“ต้องรีบไปแต่งตัว-”
ทบทวนกับสิ่งต้องทำยังไม่ทันรู้ความ ขาเรียวงามที่โผล่พ้นอาภรณ์สีขาวล้วนก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อได้สบเข้ากับเจ้าของดวงตาคู่คมที่มีประกายดั่งน้ำทะเลอยู่ตรงขั้นบันไดเมื่อพ้นเขตโถงทางเดิน
จิลลาภัทรไม่คิดว่าตนจะได้พบหน้า‘หล่อน’ ในทันทีที่ก้าวเท้าขึ้นบันได้ขั้นที่ห้าพร้อมกับบางสิ่งที่เตะจมูก ดูจากสภาพของหล่อนที่วิ่งออกมาจากโถงทางเดินที่เชื่อมบันไดศูนย์กลางกับห้องอาบน้ำแล้วคงจะมีอะไรที่ทำให้เจ้าตัวรีบร้อนออกมาน่าดู เธอตวัดหางตาไปรอบทิศทาง เมื่อเห็นว่าภายในบ้านมีแต่สาวใช้ที่เริ่มออกมาเดินตระเตรียมอาหารเย็น จึงได้หันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตากึ่งตำหนิตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ถึงพวกผู้ชายจะอยู่ข้างนอก แต่ก็มีสิทธิเดินเข้าเดินออกได้ คราวหลังแต่งตัวให้ดีก่อนแล้วค่อยออกมา แล้วก็ห้ามวิ่งทั้งแบบนี้ด้วย”
สรภัสได้ฟังดังนั้นก็เตรียมใจไว้แล้วจึงก้มหน้าลงอย่างคนสำนึกผิด“ภัสคิดแค่ว่าควรจะรีบออกมาต้อนรับคุณหญิง..เพราะว่าคุณหญิงเป็น-”
ร่างสูงรีบยกมือห้ามประโยคที่ได้ยินมาจนเอือมระอา“ฉันช่วยหล่อน ไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นเจ้าชีวิตหล่อนนะ”
สรภัสจึงได้หยุดคำพูดของตัวเองเอาไว้แล้วพยักหน้ารับ ท่าทางเหล่านั้นทำเอาสายตาที่มีความตำหนิอยู่ก่อนหน้าค่อยๆ อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“อยู่ที่นี่มาสองเดือนแล้ว ไม่ต้องมีพิธีรีตอง หรือปฏิบัติต่อกันเหมือนเจ้าขุนมูลนายหรอก”
“…แต่ยังไงคุณหญิงก็เป็นคนช่วยเหลือภัสนะคะ”ร่างบางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก จิลลาภัทรจึงถอนหายใจออกมา ก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาในที่สุด
“ฉันเด็กกว่า เพราะฉะนั้นจะให้คนที่อายุมากกว่ามาปฏิบัติแบบนั้นมันน่าอึดอัด เข้าใจไหม”
สรภัสอยากจะร่ำไห้ เธอได้ยินประโยคแนวๆ นี้มาตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ที่นี่ในช่วงแรกๆ แล้วก็เป็นความจริงที่มันถูกต้อง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจะให้เรียกคนที่ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้อย่างสนิทสนม ซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นคุณหญิงแห่งวังทัตพงศ์มาลี ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาที่ถูกช่วยเอาไว้แล้วพามาอาศัยอยู่ที่บ้านของเธอเพื่อเอาตัวรอดอีก
จิลลาภัทรมองคนที่ยังนิ่งเงียบ ไม่ขยับว่าตอบรับหรือว่าปฏิเสธ ร่างสูงโปร่งจึงรีบเอ่ยปากเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในสภาพใดอยู่ “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ แล้วค่อยออกมากินอาหารเย็นกัน”
หญิงสาวที่ยืนทำอะไรไม่ถูกนั้นก้มมองร่างกายตนเองที่ยังคงถูกทับด้วยเสื้อคลุมสีขาวล้วน พลันนั้นความอับอายก็แล่นริ้วขึ้นทั่วใบหน้าเสียแทบจะทันที สรภัสไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ได้แต่รีบเดินไปยังทิศทางห้องนอนของตนเองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความละอายใจ
ดวงตาคมมองตามร่างบางนั้นหายลับ จิลลาภัทรจึงค่อยผ่อนลมหายใจที่หนักหน่วงซึ่งอดกลั้นเอาไว้ออกมา กลิ่นหอมแบบที่ไม่เคยได้กลิ่นจากน้ำหอมขวดไหนยังคงรบกวนปลายจมูกอยู่จางๆ ท่าทางตอนที่เธอไม่ได้มาที่นี่เกือบเดือน หล่อนคงจะเริ่มซื้อข้าวของมาใช้สำหรับตัวเองบ้างแล้ว
ตัวก็ไปแล้ว….ทำไมหัวใจมันยังไม่เต้นเบาลงเลยนะ..
อาหารเย็นจบลงไปด้วยความเงียบสงบอย่างเช่นทุกครั้งที่เจ้าของบ้านมาพักผ่อนหรือเยี่ยมเยียนที่บ้านไพรวันหลังนี้ สรภัสไม่รู้จะทำอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรผู้ซึ่งไม่ยอมให้เธอไปทำงานใดๆ อย่างที่สาวใช้ควรจะทำนอกเสียจากงานในแปลงดอกไม้ ทุกวันนับตั้งแต่มาอาศัยอยู่ที่นี่ เธอก็แทบจะกลายเป็นคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกอยู่กับดอกไม้แล้วก็เข้านอนไปวันๆ
แล้วตอนนี้..คุณหญิงจิลลาภัทรก็ยังเรียกให้เธอไปหาที่ห้องทำงานในตอนมืดค่ำอีก
เสียงเครื่องเล่นเพลงแบบของชาวตะวันตกค่อยๆ ดังผ่านผนังห้องเพิ่มขึ้นทีละนิดเมื่อก้าวเดินมาถึง หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจไม่ให้ตัวเองคิดมาก แม้มันจะเป็นครั้งแรกที่เธอถูกเรียกตัวในเวลาเช่นนี้ มือสองข้างถือแก้วชาอุ่นๆ ซึ่งเอามาจากในครัวเพราะเธอคิดว่าน่าจะเหมาะกับการที่อีกฝ่ายเอาแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั้นคนเดียวเป็นชั่วโมง ส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการเรียกความมั่นใจกลับคืน ก่อนจะค่อยๆ เคาะลงบนประตูบานไม้เนื้อดีเป็นการส่งสัญญาณ
“เข้ามาสิ”
เมื่อได้รับคำอนุญาต สรภัสจึงได้ข้ามผ่านเข้ามายังในห้องทำงานที่น้อยครั้งเธอจะได้มาเยือน กวาดสายตามองบรรดาชั้นหนังสือที่รายล้อม รับกับหน้าต่างใสบานใหญ่ที่เผยให้เห็นบรรดาสวนและแมกไม้ในเวลากลางวัน ร่างสูงโปร่งผู้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวอันเข้ากับกางเกงสแล็คสีดำเอวสูงนั้น กำลังเอนหลังพิงเก้าอี้นวมสีเลือดหมูอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งถือไว้ด้วยมือเดียวก่อนจะละสายตาออกมาจากตัวอักษรตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเธอถืออะไรมาด้วย
“อะไรน่ะ”
สรภัสยิ้มเล็กๆ เมื่อเห็นว่าอีกคนสนใจ “ชาวานิลลาค่ะ ฉันให้เอรินซื้อมาฝากตอนเธอเข้าไปพระนครครั้งโน้น”
จิลลาภัทรเลิกคิ้วด้วยความรู้สึกสนใจ ก่อนจะพับหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้อยู่วางลงที่โต๊ะกระจกตรงหน้าแล้วลุกขึ้นเดินมาหาหล่อนที่ก้าวเท้าเข้ามาเพื่อยื่นมันใส่มือให้เธอ ความอุ่นพอเหมาะพอดีแผ่ซ่านไปทั่วฝ่ามือเมื่อรับมันมา พร้อมทั้งกลิ่นหอมที่คลายตัวพร้อมกับควันสีจางซึ่งลอยฟุ้งผ่านปลายจมูกไป
“หอมดีจัง”ร่างสูงโปร่งเงยหน้ามองคนที่นำมันมาให้อย่างประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่า‘นางรำ’อย่างหล่อนจะรู้จักของดีเช่นนี้ด้วย “หามันมาได้ยังไงหรือ”
ปฏิกิริยาที่ได้รับตอบกลับมาทำให้สรภัสคลายยิ้มชอบใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้รังเกียจในสิ่งที่เธอทำให้“ภัสเคยไปทำงานที่บ้านของผู้พิพากษาครั้งสองครั้ง ท่านเคยใช้ให้ภัสไปหาซื้อในตลาดมาชงเป็นชาให้ท่านดื่ม เห็นว่าเป็นชาจากอินเดียไม่กี่ตัวที่ให้รสหวานหอม เลยคิดซื้อเผื่อเอาไว้ว่าคุณหญิงน่าจะได้มีโอกาสดื่มค่ะ”
ดวงตาคู่คมทอประกายบางอย่าง ความรู้สึกที่เต็มตื้นอยู่ในใจทำให้จิลลาภัทรพูดอะไรไม่ออก น้อยคนนักที่จะรับรู้ว่าเธอไม่ถูกกับชาที่มีดีเพียงแต่กลิ่น แม้แต่คนรับใช้บางคนที่วังทัตพงศ์มาลีเธอก็ยังต้องกำชับใหม่ทุกครั้ง แต่เธอไม่เคยเห็นว่าหล่อนจะสังเกตชารสกลางๆ ที่เอรินมักซื้อมาชงให้ดื่มติดเอาไว้ในครัวเลยสักนิด
“ขอบใจนะ”ร่างสูงโปร่งกล่าวหลังจากจิบรสชาติของมันไปเพียงนิด ความหวานพร้อมความอุ่นที่ติดปลายลิ้นคล้ายจะแผ่ซ่านไปทั่วกายจนรู้สึกถึงความสบายใจราวกับได้เอนกายบนปุยเมฆ “รสดี ชอบมากเลย”
สรภัสเผลอนึกยิ้มขึ้นมากับท่าทางนั้น นับตั้งแต่รู้จักกันแล้วได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้ เธอก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนๆ นี้อายุน้อยกว่าเธอพอควร ทว่าเจ้าตัวสามารถพาเธอหลีกหนีคนของเสี่ยเม้งออกมาได้ แถมยังใช้ชื่อเสียงของราชวงศ์และวงการการแสดงซ่อนเธอออกจากหูตาของเจ้าคนชั่ว การกระทำที่ไม่อาจตอบแทนได้ทั้งชีวิต ทำให้ในตลอดเวลาสรภัสก็นึกเกรงใจท่าทางที่เป็นเหมือนผู้ใหญ่เกินอายุอยู่บางครั้ง
พอเห็นท่าทางชอบใจแบบนี้..ถึงได้พอดูเป็นเด็กสมวัยขึ้นมาบ้าง
“แล้ว คุณหญิงเรียกหาภัส มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ราวกับคนที่เพิ่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จิลลาภัทรก็รู้สึกตัวในภายหลังหลังจากที่เอาแต่วางสายตาไปยังดวงหน้างามของหญิงสาวตรงหน้า“อ๋อ จริงสิ”
ร่างสูงโปร่งวางถ้วยน้ำชาที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ชงมันมาให้ไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะหันมากล่าวกับหล่อนด้วยท่าทีที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม
“แผลเป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้ฟังได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการตกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามหารอยแผลที่ได้มาเมื่อสองเดือนก่อนบริเวณไหปลาร้าด้านขวาของตัวเอง มือบางเผลอเคลื่อนขึ้นไปสัมผัสมันเหนือร่มผ้าอย่างเก้ๆกังๆ เพราะไม่คิดว่ามันจะเป็นที่สนใจของเธอคนนี้ด้วย
“ตอนนี้ตกสะเก็ดหมดไปพักใหญ่แล้วค่ะ และฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วด้วย..”
“เปิดให้ดูหน่อยได้ไหม”
“?? คุณหญิงว่าอย่างไรนะคะ”
“แผลน่ะ”จิลลาภัทรว่าด้วยน้ำเสียงคล้ายเหนื่อยหน่ายใจที่เห็นท่าทีลุกลนเวลาที่หล่อนอยู่ต่อหน้าเธอราวกับมันช่างขัดหูขัดตา“เปิดให้ฉันดูหน่อย”
เธอมีอะไรน่ากลัวหรือยังไงกันนะ…
สรภัสยังคงมีสีหน้าตื่นๆ จากก่อนหน้า เธอส่งสายตาถามคนตัวสูงกว่าอย่างต้องการความแน่ใจในสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่ ครั้นเมื่อเห็นดวงตาคมนั้นมองตอบลงมาด้วยความเอาจริงจังและสงสัยที่เห็นเธอไม่ยอมทำตาม ร่างบางจึงค่อยๆ ก้มหน้าลงอย่างจำนนแล้วเลื่อนคอเสื้อที่ทำขึ้นจากยางยืดและผ้าเนื้อเบาลงจนเห็นเนินหัวไหล่ทั้งสองข้างได้ชัดเจน
ผิวกายขาวเนียนและอ่อนเยาว์ดั่งหญิงสาวแรกแย้มนั้นกลับมีร่องรอยของบาดแผลที่ยาวเกือบหนึ่งฝ่ามือ การซ่อมแซมตามธรรมชาติทำให้พอจะคาดเดาได้ว่าก่อนหน้านี้แรงกดของคนที่ทำร้ายหล่อนมีมากเท่าใด ประกายเย็นเหยียบปรากฏขึ้นในดวงตาของจิลลาภัทร เธอรู้สึกเสียดายนักที่ผิวพรรณของสตรีต้องมีรอยแผลเป็นไปชั่วชีวิตอย่างสรภัส บุญชนิตคนนี้
หญิงสาวผู้มีบ้านเกิดอยู่ในจังหวัดราชบุรีใกล้กับพระนคร มีอาชีพเป็นตัวหลักของคณะละครรำเล็กๆ ซึ่งเป็นญาติภายในครอบครัว โชคร้ายที่หล่อนไปถูกตาต้องใจของเสี่ยเม้งชายผู้มีอิทธิพลในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อให้เงินกู้ซึ่งคณะละครที่หล่อนทำอยู่ในเวลานั้นก็เป็นหนึ่งในลูกหนี้ของชายเจ้าเล่ห์คนนี้ด้วยเช่นกัน มันจึงได้ขอตัวของหล่อนมาเป็นการแลกเปลี่ยนลูกหนี้ที่ไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยที่ขูดเลือดกินเนื้ออย่างออกนอกหน้า หากเมื่อสองเดือนก่อนนั้นหล่อนไม่หนีตายออกมาจากบ่อนลับของเสี่ยเม้งในยามดึก และรถของจิลลาภัทรไม่ได้ขับผ่านไปแล้วช่วยเอาไว้ เธอก็ไม่มีวันที่จะได้พาหญิงสาวคนนี้เข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน
ส่วนคนทำตามคำสั่งก็เริ่มอึดอัดขึ้นมาทีละนิดที่คนตัวสูงกว่าเอาแต่จดจ้องรอยแผลเป็นบนไหล่ของเธอ สรภัสไม่รู้ว่าตอนนี้เธอควรจะพูดอะไร มองไปทางไหน ในเมื่อคู่สนทนายังไม่ยอมขยับตัวหรือแม้แต่จะแสดงท่าทีเวทนากับสิ่งที่เธอได้รับมันมาจากวันที่หนีออกมามือของลูกน้องของเสี่ยชั่วนั่น
ในขณะที่กำลังภาวนาให้อีกฝ่ายพูดอะไรสักอย่างอยู่ในใจ จิลลาภัทรก็กล่าวขึ้นในที่สุด
“อย่าเพิ่งปิดมันนะ”
ร่างสูงโปร่งหันตัวเดินไปยังบรรดาตู้ไม้เนื้อดีทั้งหลายที่อยู่ด้านหลังของโต๊ะหนังสืออันประกอบด้วยโคมไฟตั้งโต๊ะขนาดเล็ก เสียงจากเครื่องเล่นเพลงยังคงดังคลอแผ่วเบาไปทั่วห้อง ใช้เวลาไม่นานนักอีกฝ่ายก็เดินกลับมาหยุดยืนตรงหน้าของเธอพร้อมกับกระปุกสีขาวเล็กๆ อันหนึ่งในมือ
“คุณหญิง..นั่นอะไรหรือคะ”
“ยาลดรอยแผลเป็น พี่หญิงใหญ่ให้ฉันไว้ติดตัว”จิลลาภัทรเอ่ยตอบก่อนจะวาดปลายนิ้วลงบนเนื้อครีมสีขาวเนียน แล้วทำท่าจะป้ายมันลงรอยแผลเป็นยาวขนาดหนึ่งฝ่ามือบริเวณให้ปลาร้าของหล่อนให้
“เอ๊ะ”
แต่ว่ามันกลับถูกหยุดกลางคันเอาไว้ด้วยมือเจ้าของเรือนกายที่บอบบางนี้เสียแทน
“?”
“ให้ภัสทำเองเถอะค่ะ”สรภัสตอบเจ้าของปลายนิ้วที่เธอจับเอาไว้ ด้วยความที่ไม่อยากให้คนที่มีสถานะเป็นถึงคุณหญิงนั้นลดตัวลงมาทำอะไรแบบนี้ให้เธอเลยแม้แต่น้อย
จิลลาภัทรเหลือบมองอีกฝ่ายที่จับปลายนิ้วของตัวเองอยู่ก่อนจะดึงดันกระทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ต่อไปพร้อมกับเอ่ยปากเสียงเรียบโดยไม่สนใจความหมายที่หล่อนต้องการจะสื่อเลย
“หล่อนคอยร่นเสื้อไว้ให้ฉันก็พอ”
ดั่งคำสั่งเด็ดขาดที่ออกมาทำให้สรภัสได้แต่เก็บความรู้สึกของตัวเองไว้แน่น หากใครในบ้านไพรวันมาเห็นเข้าคงได้เขม่นมองเธอที่เป็นเหตุให้เจ้านายของพวกเขาต้องลดตัวลงมาทำอะไรแบบนี้จนไม่สบายใจเป็นแน่ แต่เธอก็ไม่อาจจะขัดคำพูด หรือการกระทำของคนช่วยชีวิตเธอเอาไว้โดยตรงได้เช่นกัน
ขณะบรรจงทาครีมสีขาวลงบนรอยแผลเป็นนั้นดวงตาคู่คมก็คอยลอบมองใบหน้าของหญิงสาวผู้ซึ่งกำลังหันเหไปยังทิศทางอื่นเป็นระยะ คงเพราะประโยคก่อนหน้าที่ทำให้หล่อนไม่แสดงทีท่าขัดขืนหรือพูดอะไรออกมาอีก จึงเป็นโอกาสให้หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรสามารถสังเกตอีกฝ่ายได้อย่างใกล้ชิดเป็นคราวแรก
เรื่องที่เธอช่วยชีวิตหญิงสาวคนหนึ่งแล้วพามาพักที่บ้านไพรวันไว้ มีเพียงแค่คนที่อยู่ภายในบ้านพักตากอากาศแห่งนี้กับพี่หญิงรอง หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ กับโชษิตา นักแสดงสาวผู้เป็นเหมือนเพื่อนสนิทของเธอที่กำลังเป็นดาวรุ่งอยู่ในขณะนี้ ฉะนั้นแล้วคนที่เคยได้เห็นหล่อนแล้วบอกว่า ‘สวย’นั้นมีเพียงแค่สองคนหลังที่เธอพอจะทำใจเชื่อคำชมลอยๆ นั่นได้อยู่บ้าง จนกระทั่งตอนนี้…
สันจมูกโด่งรั้นได้รูปรับกับสัดส่วนของริมฝีปากบางที่เด่นออกมา ดวงตาสีเข้มปนน้ำตาลอ่อนๆ ขับกับผิวดั่งสำลี ต้นคอระหงส์และเรือนผมสีดำพร้อมกับเรือนร่างที่เหมาะเจาะ จึงไม่แปลกใจเลยหากหล่อนจะได้เล่นเป็นถึงตัวนางสีดายามเมื่ออยู่ในคณะละครรำที่ราชบุรี แม้แต่พี่สาวคนรองของเธอที่วันๆ หนึ่งแทบจะไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งดูโทรทัศน์ ยังอดปากบอกให้เธอเชิญชวนหล่อนไปกองถ่ายด้วยเผื่อจะเข้าตาผู้กำกับคนไหนสักคนขึ้นมาบ้าง
แม้จะอดเห็นด้วยไม่ได้…แต่อย่างไรเสียก็ต้องซ่อนหล่อนให้พ้นจากสายตาของเสี่ยเม้งไปก่อน
อาจเพราะรู้สึกว่าถูกจ้องมองเป็นระยะ สรภัสจึงอดกลั้นต่อความสงสัยภายในความคิดของตนไม่ได้แม้จะไม่อยากวางสายตาไปที่การกระทำของอีกฝ่ายก็ตาม ครั้นเมื่อหันกลับมามองคนตัวสูงที่โน้มตัวลงมาใส่ยารักษาให้ จึงได้เห็นว่าระยะห่างของเธอสองคนนั้นใกล้กันกว่าที่เคยเป็น ราวกับเสียงดนตรีบรรเลงนั้นหยุดลง ราวกับไร้ซึ่งเสียงใดอย่างกะทันหัน ใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์แม้จะเลยช่วงวัยรุ่นมาได้สามปีกลับให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังมีภูผาเป็นกำบัง ภูผาที่คอยปกป้องเธอจากคนของเสี่ยเม้ง แม้ไม่อาจบอกได้ว่าจะเป็นอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ แต่สรภัสปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอดีใจที่มีหญิงสาวตรงหน้าเป็นผู้ปกป้อง ทว่าความดีใจในวันนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั่วร่าง จากปลายนิ้วที่บรรจงรักษารอยแผลเป็นให้เธออยู่ในเวลานี้
“เมื่อก่อนฉันได้แผลเล็กๆ มาจากกองถ่ายบ่อย พี่หญิงใหญ่ก็เลยให้ฉันพกมันไว้”
เมื่อร่างสูงโปร่งเอ่ยปากพูดทำลายความเงียบ สรภัสจึงได้สติกลับมาแล้วหันใบหน้าไปยังทิศทางที่ควรอย่างเดิม “คุณหญิงใหญ่ ที่เป็นแพทย์ในกองทัพใช่ไหมคะ”
“ใช่…รู้หรือ?”
สรภัสยิ้มน้อยๆ อย่างนอบน้อม “ฉันถามเอรินเกี่ยวกับครอบครัวคุณหญิง ก็เลยได้ฟังมาบ้างค่ะ”
จิลลาภัทรละมือออกจากไหล่บางเมื่อเห็นว่าเนื้อครีมสีขาวนั้นซึมจนมองไม่เห็นแล้ว จึงขยับมือที่ว่างไปกระชับคอเสื้อชุดเตรียมเข้านอนของหล่อนให้กลับมาเข้าที่ดังเดิม
“ดึกแล้ว ไปเข้านอนเถอะ”
สรภัสถอยฝ่าเท้าของตนออกมาหนึ่งก้าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกคน“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไร”
เมื่อบทสนทนาจบลงเท่านั้น ร่างบางก็ก้าวเดินออกจากห้องทำงานของเธอพร้อมกับปิดประตูบานไม้เนื้อดีลงไป จิลลาภัทรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะเมื่อครู่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกรู้สา กลิ่นหอมรัญจวนที่ควรจะห่างหายไปเสียนานแล้วนับตั้งแต่พบหน้ากลับยิ่งเด่นชัดขึ้นไปภายในการกระทำเมื่อครู่
คงต้องขอบใจจิตสำนึกที่โผล่เข้ามากลางคันเสียแล้วกระมัง…
บริเวณหน้าห้องประตูบานไม้ที่ซึ่งร่างบอบบางยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อจะหยุดยั้งความผิดปกติที่ยังคงเกิดขึ้นภายในกายโดยไม่ได้รับคำอนุญาต สรภัสได้แต่เคลื่อนมือขึ้นมาเหนืออกข้างซ้ายของตัวเองพร้อมกับเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง หากในห้องทำงานที่เธอเพิ่งจากมาปราศจากเสียงดนตรี ไม่แน่ว่าเจ้าของห้องที่ยังอยู่ภายในนั้นอาจจะได้ยินเสียงมันที่กำลังเต้นอย่างไม่แผ่วเบาลงเลยก็เป็นได้………
นักแสดง
สรภัส บุญชนิต : มินาโตะซากิ ซานะ
โชษิตา : ซน แชยอง
พี่ศรี : Sadness ออนนี่
เอริน จวง : แอลกี้ CLC
คุณชายเจตน์ & คุณหญิงจิล : จื่อวี
TBC.
#ฟิคแก้วตาสุมาลี #คุณหญิงจิลลาภัทร
___________________________________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น