ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TWICE | OS/SF : #Xslibrary

    ลำดับตอนที่ #3 : [SF] : A fallen Faith | Tzuyu x Jihyo vol.3

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ค. 61





    ปลายผ้าผืนยาวที่ขยับพริ้วไหวตามจังหวะ แม้ลวดลายของมันจะไม่เหมือนดั่งผู้สูงศักดิ์ทั่วไปที่ใช้แต่ก็ดูเหมาะสมกับเรือนร่างหอมนุ่มและอบอุ่นของผู้อาศัยในตำหนักบัวแห่งนี้ ซ้ำยังขับให้เจ้าตัวดูมีราศีมากยิ่งขึ้นไปเสียด้วยซ้ำ ดวงตากลมใสดั่งกวางน้อยเคลื่อนมองบางสิ่งที่ขัดขวางการจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองที่เพิ่งสำเร็จไปไม่ได้เท่าไหร่ ความอบอุ่นที่ได้สัมผัสมาตลอดสองคืนนั้นทำให้หญิงสาวปรายตามองเจ้าของเสียงนุ่มที่แสดงความอ่อนโยนระคนเอาแต่ใจของผู้ที่ยังคงเอนกายอยู่บนเตียงนอน


    “เจ้าจะไปไหนหรือ?” องค์รัชทายาทแห่งซีโจวเอ่ยถามอย่างนั้นขณะที่ดวงตาทั้งสองยังคงปิดอยู่ ใบหน้าที่วางระดับเดียวกันและลมหายใจร้อนนั้นทำให้ร่างบางต้องยกมือขึ้นดึงดันกอดอุ่นที่รั้งกายของนางเข้าหาตัวเป็นการปรามด้วยเรี่ยวแรงที่มีไม่มากนัก


    “อีกประเดี๋ยวก็ถึงเวลาเข้าเฝ้าบิดาข้าในยามเช้าแล้ว” แต่มีหรือคนเอาแต่ใจจะยินยอม ซ้ำแล้วยังกระชับกอดของตัวเองด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวสิ่งใดด้วยไม่มีอะไรต้องเกรง “ขอข้าอยู่เช่นนี้ก่อนได้หรือไม่?”



    ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจออกมาราวกับยอมแพ้ รอยยิ้มชอบใจของร่างสูงจึงได้ปรากฏขึ้นพร้อมๆกับลืมตาขึ้นมองบุคคลผู้เป็นดั่งดวงใจ และสิ่งที่ยิ่งทำให้องค์ไท่จื่อผู้ปราดเปรื่องมีความสุขมากยิ่งขึ้นไป ก็คือการมองเห็นรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าสวยดั่งกระเบื้องเคลือบของนางเท่านั้นเอง 



    “หากเจ้ามีพลังอำนาจ ก็คงเป็นการที่ทำให้ใจอันร้อนรุ่มของข้าสงบลงไม่ได้เมื่ออยู่ใกล้กระมัง” เมื่อรับรู้ถึงสุรเสียงที่ดังก้องอยู่ภายในร่าง จื่ออวี่ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองและยื่นมือขึ้นไปสัมผัสผิวแก้มของนางด้วยความรักและทะนุถนอมตามที่ใจต้องการ เขาจึงได้มองใบหน้าของนางที่หันมาตามแรงอย่างแผ่วเบาด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มที่อยู่ในใจ 


    ไม่เคยคิดฝันเช่นกัน ว่าตนจะรักผู้ใดมากถึงเพียงนี้



    “เรียนองค์รัชทายาท” ระหว่างที่ตกอยู่ในห้วงอำนาจของดวงตากลมโตคู่สวยและหวังจะกระทำในสิ่งที่ต้องการ เสียงของขันทีคู่ใจก็ดังขึ้นมาเสียทันเวลา “จะถึงเวลาเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วพะย่ะค่ะ” 


    “อีกเดี๋ยว” จื่ออวี่ตอบเสียงห้วน ในขณะที่ดวงตายังจับจ้องไปที่หญิงสาว แม้ว่านางจะเป็นฝ่ายถอนดวงตากลมของตนออกไปก่อนด้วยความเอียงอายก็ตาม


    “แต่ทรงเกือบไปเข้าเฝ้าสายมาสองวันแล้วนะพะย่ะค่ะ..”  


    “ก็ได้ ก็ได้” ลมหายใจยาวเล็ดลอดออกจากปลายจมูกขององค์ไท่จื่อเป็นการยินยอม  “หยวนจิง เอาเสื้อมา”  


    แน่ล่ะว่าแม้ปากจะเอ่ยบอกให้ขันทีคู่ใจอย่างตัดรำคาญ แต่อย่างไรเขาก็ให้นางซึ่งถูกปลดปล่อยจากพันธนาการแล้วเป็นคนจัดการอยู่ดี


    “เจ้าขุ่นเคืองที่ข้าไม่ฟังหยวนจิงรึ” 


    เอ่ยปากถามด้วยสีหน้าเรียบสงบนิ่งทว่าแฝงไปด้วยความกรุ่มกริ่มในดวงตา หญิงสาวที่กลายมาเป็นนางกำนัลดูแลเครื่องทรงจำเป็นก็ทำเพียงแค่ตำหนิทางสายตาส่งไปให้ก็เท่านั้น 


    “ข้าคิดว่าพอจะเข้าใจนะ” จื่ออวี่ยิ้มเมื่อรับรู้ว่าถูกดุ “หากแม้แต่เวลายังรักษาไม่ได้ แล้วภายภาคหน้า จะเป็นผู้รักษาดินแดนแห่งนี้ได้อย่างไร” 


    และเพราะเอ่ยได้ตรงกับความคิด จีเซี่ยวจึงเผยรอยยิ้มบางๆอย่างพอใจระหว่างหยิบอาภรณ์ตัวสุดท้ายมาสวมให้อีกฝ่ายอย่างปราณีต


    “ยามบ่ายนี้ เจ้าเตรียมตัวไว้เถิดนะ” 


    “?” มือของร่างบางที่กำลังจะเก็บที่นอนของตนเองให้เข้าที่เข้าทางถึงกับหยุดชะงักไป ดวงตากลมใสดั่งกวางป่านั้นจับจ้องไปที่ใบหน้าหวานทว่าคมคายขององค์รัชทายาทที่กำลังจะก้าวออกจากธรณีประตูพร้อมรอยยิ้ม


    “เจ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกนานมากแล้ว บ่ายวันนี้ ข้าจะพาเจ้าออกไปรับรู้สิ่งอื่นๆเสียบ้าง” 







    สายลมแผ่วเบากระทบผิวเนื้อผ้าตามจังหวะการก้าวเดินของอาชาสีน้ำตาล ดวงตากลมดั่งกวางเนื้อฉายแววรื่นรมย์เนื่องจากไม่แน่ใจนักว่าตนเองไม่ได้มองเห็นธรรมชาติเช่นนี้มานานเท่าไหร่ เส้นทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีและจบลงที่ต้นไม้ใหญ่อันเป็นศูนย์กลางซึ่งมีเส้นทางให้เดินเข้าไปได้ สวยงามสมกับเป็นสถานที่ที่คนที่ซ้อนหลังนางอยู่นั้นกล่าวว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องชอบแน่ๆ


    “เจ้าชอบหรือไม่” 


    เสียงอ่อนโยนที่เอ่ยถามอยู่ไม่ไกลจากไหล่ของนางเมื่อเหลือเพียงนางและเขา ทำให้จีเซี่ยวต้องระบายยิ้มเล็กๆที่มีอยู่แล้วเป็นคำตอบให้กับเขา 



    “ที่นี่เป็นหนึ่งในเขตล่าสัตว์ของราชสำนัก จึงไม่มีผู้ใดเข้ามา อีกทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของมารดาข้า” รัชทายาทแห่งซีโจวยังกล่าวต่อแม้นางจะไม่ได้หันไปหาก็ตาม “..และเป็นที่ที่ข้าพบเจ้าครั้งแรก” 



    โจวจื่ออวี่ก้มมองเจ้าของใบหน้างามราวกระเบื้องเคลือบที่ค่อยๆหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงที่อ่อนลงของเขา “ความจริงข้าคิดว่าเจ้าอาจจะไม่อยากมา เพราะนั่นเป็นการพบกันที่ไม่ค่อยดีนัก แต่การจะออกไปตลาดด้วยสถานะของข้าในตอนนี้..” 



    หากในเวลานี้เขาสามารถออกไปนอกวังได้โดยที่ไม่มีใครรู้จัก และไม่เป็นที่โจษจันท์ว่าตัวเขาในตอนนี้กำลังถูกผูกมัดด้วยคำมั่นที่ไม่อาจหลีกหนีของไท่จื่อเฟยตระกูลฮัว



    ..หากสามารถค้นหาที่มาที่ไปของเชื้อไขนางได้ เขาก็อยากจะทำ 



    เพียงแค่รู้ว่านางเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ต่อให้เป็นเพียงบุตรสาวของคนตัดไม้ เขาก็จะทำให้นางสูงศักดิ์ยิ่งกว่าสตรีคนใดในราชสำนัก



    ราวกับหญิงสาวรับรู้ความคิดอันหนักอึ้งที่เขาต้องแบกรับ มือนุ่มแตะลงบนหลังมืออุ่นที่องค์รัชทายาทกำลังบังคับบังเหียนเอาไว้จนต้องหยุดม้าประจำตัวของตน ดวงตาสีดำเข้มของโจวจื่ออวี่ฉายแววประหลาดใจระคนงุนงงเมื่อเห็นนางเคลื่อนตัวลงจากม้าโดยไม่ต้องให้เขาได้ช่วยพร้อมกับคว้ามือที่นางสัมผัสเอาไว้อยู่แล้วและกึ่งบังคับให้เขาต้องตามลงมือ 



    จีเซี่ยวออกแรงให้มือของร่างสูงตามนางมา ไหล่เล็กถูกแขนของเขาวางทาบราวกับกำลังลากถูบางสิ่งที่หนักกว่ากำลังของตัวเอง จื่ออวี่ลอบระบายยิ้มขบขันเล็กน้อยให้แก่คนที่กำลังจะพาเขาตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ใจกลางสวนกว้างนี้ด้วยความเร่งรีบ ถ้าเขาออกแรงเพียงนิดเพื่อขัดขืน มีหรือร่างๆนี้จะได้มีโอกาสขยับเขยื้อนต่อไป 



    เมื่อมาถึงใจกลางใต้ต้นไม้ใหญ่ ร่มเงาของมันที่แผ่ขยายเป็นวงกว้าง อาชาคู่ใจของเขาก็ตามมาหยุดเพื่อเล็มหญ้าบริเวณเดียวกันโดยไม่ต้องมีใครบังคับ จีเซี่ยวจึงได้ปล่อยมือให้เขามีอิสระ ก่อนที่นางจะนั่งลงไปเพื่อแนบชิดแผ่นหลังกับเปลือกไม้และหลับตาลงราวกับผ่อนคลาย 



    จื่ออวี่มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มแม้จะไม่เข้าใจนัก เขาค่อยๆนั่งลงข้างๆนาง ก่อนจะเอนศีรษะลงบนหน้าตักของหญิงสาวที่เพิ่งรู้สึกตัวช้าไปอย่างแนบเนียน 



    ร่างบางแม้จะรู้สึกตกใจเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นนางก็แค่คลายยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจให้แก่คนที่คว้ามือของนางไปกอบกุม



    “จีเอ๋อร์” รัชทายาทแห่งซีโจวค่อยๆเอ่ยปากขึ้นเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือที่ลูบเส้นผมสีหมึกของเขาไปมา  “เจ้าคิดว่าเหล่าสรรพสัตว์ที่ถูกออกล่า จะมีชีวิตหลังความตายเช่นผู้คนหรือไม่?” 


    “…"


    “อาจารย์ข้าเคยกล่าวว่า ไม่ว่าสิ่งสิ่งนั้นจะเล็กสักเพียงไหน ตราบใดที่พวกมันมีชีวิต ก็ย่อมต้องผ่านเดินผ่านเส้นทางแห่งความตายนั้น แล้วดื่มน้ำเพื่อหลงลืมชีวิตชาติก่อนของตนไปจนสิ้น” เขากล่าวขณะที่นึกถึงในสิ่งที่บิดาชอบล่าสัตว์ นึกถึงการเป็นโจวหวาง และนึกถึงการเป็นมนุษย์...ที่ไม่ว่าอย่างไรแล้วสุดท้าย แม้แต่จิตวิญญาณก็ต้องแหลกเป็นเถ้าธุลี



    “..หากในวันนั้นมาถึง ข้าจะยังจดจำเจ้าได้อยู่หรือไม่นะ?" 



    ดวงตากลมใสที่นิ่งสงบฉายระลอกคลื่นความไหวหวั่นบางอย่างแต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรไปมากกว่านั้นนอกจากลูบเส้นผมยาวสีหมึกของอีกฝ่ายอย่างลอบประโลม จนกระทั่งสายตาของนางเคลื่อนขึ้นมองไปยังทิศทางของทุ่งดอกไม้ด้านหน้า และมองเห็นบางสิ่งที่ยืนนิ่งอยู่ในป่าสุดขอบสวน 



    แม้นจะดูห่างไกล แต่สำหรับนางแล้ว..มันกลับอยู่ใกล้กว่าที่คิด



    โจวจื่ออวี่เคลื่อนสายตาขึ้นมองเจ้าของฝ่ามือที่หยุดชะงักอย่างไม่มีเหตุผล เขาเห็นสีหน้าของนางที่ดูจะนิ่งขรึมแต่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดแปลกประหลาด และเพราะสายตาของนาง เขาจึงต้องลุกขึ้นเพื่อหันมองไปยังทิศทางเดียวกัน “กวางป่ารึ...?” 



    สิ่งมีชีวิตที่มีเรือนร่างดั่งกวางทองและสูงสง่าราวราชสีห์ ศีรษะเผยหน้าตาน่าเกรงขามแต่ทว่าก็น่ามองคล้ายมังกร ยังไม่นับเขาคู่สองข้างที่แตกขยายเหมือนต้นไม้ที่เขาและนางได้อาศัยร่มเงาอยู่ จื่ออวี่จึงบัญญัติสิ่งที่ตนเองเห็นได้แค่นั้น ประกอบกับมองเห็นดวงตาของหญิงสาวข้างกายคล้ายจะมีท่าทีย่ำเกรง ร่างสูงจึงได้เอ่ยปากออกไป



    “เราทิ้งหยวนจิงกับพวกทหารไว้นอกเขตนานแล้ว รีบกลับไปหาพวกเขากันเถอะนะ"
     









    ร่างของชายวัยกลางคนภายใต้อาภรณ์สีขาวดั่งนักพรตหยุดฝีเท้าของตนเองและเดินเข้าไปหายังบุคคลที่เหลืออยู่เพียงด้านหน้า ภาพที่พีฟางเห็นนั้นก็คือกลุ่มความโกลาหลเล็กๆภายในตำหนักหมอหลวงที่เขาไม่ได้ตั้งใจเดินผ่านมา ร่างของหญิงสาวซึ่งถูกพาตัวผ่านเข้าไปในประตูสร้างความประหลาดใจและห่วงใยให้เขาไม่น้อย 



    ชายกลางคนเอ่ยถามทหารที่ยืนอยู่สองสามคนในทันที “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดวุ่นวายเช่นนี้” 


    ทหารทั้งสามรีบคุกเข่าและถวายงานในทันที “กู่เหนี่ยงจีเซี่ยวได้รับบาดเจ็บขอรับ-“


    ฟังความยังไม่ทันจบสิ้นประโยค ประตูไม้ไผ่ก็ถูกเปิดออกจากภายใน ปรากฏร่างของรัชทายาทแห่งแคว้นก้าวเดินออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวลรวมถึงรอยเลือดบางส่วนที่ติดอยู่บนแขนเสื้อของผู้เป็นทั้งหลานชายและโจวหวางในภายภาคหน้าของเขา



    “ท่านอา”


    “จื่ออวี่ ตามอามาที่ห้องตำราแพทย์” 







    “เจ้าบอกว่าคนพวกนั้นล้มลงไปง่ายๆเพียงนางคนเดียวรึ?” พีฟางเอ่ยปากขึ้นคล้ายอย่างจะไม่เชื่อนัก  ฟังจากที่หลานชายเล่าว่าระหว่างทางที่จะออกจากเขตทุ่งดอกไม้ของราชสำนักแล้วอยู่ๆมีโจรป่าสามสี่คนบุกเข้ามาทำร้ายรัชทายาทในช่วงเวลาที่ไม่มีทหารหรือใครคอยอารักขา ประกอบกับที่ประวัติชาติเชื้อของหญิงสาวที่ได้ทำการรักษาอยู่ซึ่งเป็นปริศนา ชายกลางคนจึงยังแคลงใจอยู่อีกเพียงสองส่วนเท่านั้น



    “ขอรับท่านอา"


    “เป็นไปได้ที่นางอาจจะเก็บงำวรยุทธ์เอาไว้ แล้วเจ้าก็คงไม่อาจเอ่ยถามอะไรได้หากนางไม่ยอมเปิดปากขึ้นมาเอง”  


    จื่ออวี่เพียงนั่งนิ่งๆจับจ้องไปยังโต๊ะที่คั่นกลางระหว่างเขากับผู้เป็นอา ความรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้องคนที่รักได้กำลังก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของเขา แค่เพียงเพราะในเวลานั้นเขาไม่มีอาวุธติดตัวและทำได้เพียงหลบหลีก ฉับพลันกระพริบตาที่ดาบของหนึ่งในโจรนั้นจะเข้าหาตัว ร่างของมันก็กระเด็นออกไปพร้อมกับที่นางคว้าดาบนั้นเอาไว้ด้วยเพียงมือเปล่าของตัวเอง 



    นางไม่แม้แต่จะแสดงความเจ็บปวดออกมา ซ้ำยังจัดการพวกที่เหลือได้ด้วยดาบของพวกมันเองอีก



    จื่ออวี่...เจ้ามันช่างอ่อนแอนัก



    “ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสงสัย เขตล่าสัตว์นั้นชี้ชัดแล้วว่าหากผู้อื่นที่มิเกี่ยวของกับราชวงศ์เข้าไปจะต้องถูกประหารโดยสิ้น ทหารส่วนหนึ่งของเจ้าก็อยู่ในระยะที่ไม่ไกลมาก เหตุใดจึงไม่มีทหารคนใดพบเจ้าโจรพวกนั้นผ่านหน้ามาก่อนเลย”  


    “…"


    “อีกประการหนึ่ง กวางที่เจ้าเห็นก็ทำให้อารู้สึกคุ้นเคยนัก..คล้ายกับว่าอาจารย์ที่มาจากคุนหลุนของอาจะเคยเล่าให้ฟัง..” พีฟางเงียบไปสักพักพร้อมกับฝ่ามือที่ยังเขย่าลมพัดเข้าหาตัว


    “ใช่แล้ว เทียนหลู่*” 

    จื่ออวี่เงยหน้าขึ้น เป็นเหตุให้ชายกลางคนหรี่คิ้วใส่องค์รัชทายาทผู้มีสติปัญญาปราดเปรื่อง


    “เจ้ารู้อยู่แล้ว เหตุใดจึงยังมาถามอาอีก?”


    “…หลานรู้สึกว่าตนเองไม่มีความมั่นใจขอรับ"  


    กวางสวรรค์ในป่านั่น เขาไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆงั้นหรือ? 


    นับตั้งแต่เรื่องราวของซางตี้ซิน ทรราชผู้ทำให้ราชวงศ์ซางล่มจมและพ่ายแพ้ไปด้วยมนต์เสน่ห์ของนางสนมจิ้งจอกซูต้าจีซึ่งถูกศิโรราบโดยโจวอู่หวางและกองทัพของเทพสวรรค์ที่แฝงตัวลงมาช่วย นำด้วยผู้คุมทัพหยางเจียน หรือที่ราชวงศ์โจวทุกคนรู้จักเขาในภายหลังด้วยนามเทพเอ้อร์หลางก็ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเซียนองค์ใดอีก จนกระทั่งการที่เขาได้รับรู้กับตาตัวเองในคราวนี้ ดูเหมือนว่าเรื่องราวของเหล่าเทพสวรรค์นั้นจะยังคงดำเนินต่อไปโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ 


    “ไท่จื่อ-! องค์ไท่จื่อ!” เสียงและท่าทีของหนึ่งในขันทีฝึกหัดที่ตรงมายังประตูค่อยๆสงบเสงี่ยมลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีใครอีกคนอยู่ “ข ขออภัยพะย่ะค่ะ”  


    “มีอะไรรีบว่ามา” ขันทีหยวนหันไปเปิดปากรับแทนอย่างเคร่งเครียด 


    “เกิดเรื่องใหญ่ที่ตำหนักบัวขอรับ” ขันทีหนุ่มนั้นรีบกล่าว  “ฮัวกุ้ยเฟยกับไท่จื่อเฟยกำลังไปที่นั่น พร้อมกับนักพรตหลวงด้วยขอรับ” 







    เพล้ง!


    “ฮ ฮัวกุ้ยเฟย ได้โปรดช่วยหยุดด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” นางกำนัลหน้าประตูตำหนักบัวทั้งสองทรุดตัวลงไปกับพื้นเมื่อถ้วยชามที่ถูกนำมาหวังจะให้ผู้เป็นนายที่นั่งอยู่บนปลายเตียง แต่มันกลับแหลกไม่เป็นท่าด้วยฝีมือของหญิงสาวต่างอายุทั้งสองคน


    “ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ ไท่จื่อเฟย อย่าทำเช่นนี้เลย” นางกำนัลอีกคนกล่าวอย่างหวาดกลัวและอ้อนวอนใกล้ๆชายกระโปรงของหญิงสาวผู้มีสันจมูกโด่งรั้นซึ่งมองมาด้วยแววตานิ่งเย็นยะเยือก


    “ข้ามิได้ทำอะไรผิด” หลี่ซานกล่าวก่อนจะตวัดดวงตาเย็นเหยียบไปยังร่างของหญิงสาวที่เหมือนจะไม่รู้สึกอะไรกับการกระทำกับข้าวของของตัวเองเมื่อครู่เลยสักนิด



    “ข้าแค่อยากจะรู้ว่าข่าวลือที่นางหญิงชาวป่าผู้นี้ไม่แม้แต่จะแสดงท่าที่เจ็บปวดหรือเกรงกลัวอันใดอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็นจริงหรือไม่ก็เท่านั้น” 



    หมับ!


    หญิงสาวก้าวเร็วๆไปยังจุดที่ตนได้จับจ้องมาตั้งแต่เมื่อครู่ คว้าเข้าที่ฝ่ามือซึ่งถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าสีขาวและใช้แรงบีบมันให้คลายตัวออกอย่างไม่เกรงรอยแผลที่เพิ่งจะถูกปิดผนึกไป



    “บาดแผลลึก แม้หมอหลวงเย็บมันโดยไม่ต้องใช้เหล้า เจ้าก็ไม่แม้แต่จะส่งเสียงด้วยซ้ำ” 

    “..”

    “เจ้า เป็นแค่คนธรรมดาจริงๆหรือ?” นางเค้นเสียงถามด้วยความรู้สึกมากมายอยู่ภายใน



    แต่สิ่งที่ฮัวกุ้ยเฟยได้ กลับเป็นเพียงแค่ดวงตาของหญิงสาวที่จ้องมองกลับมาด้วยท่าทางราบเรียบทว่าแข็งกร้าว ในแบบที่นางไม่มีทางชื่นชอบ


    เพี้ยะ! 


    “เหนียงเหนี่ยง!*”  



    หลี่ซานหันกลับมามองต้นเสียงที่อยู่บนพื้นแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นหลังจากปล่อยมือและใช้มันลบสายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายไป “เหนียงเหนี่ยง...?”  


    “!!” นางกำนัลยกมือขึ้นปิดริมฝีปากในทันทีที่รู้ตัวว่าได้กระทำสิ่งใดออกไป นางรีบหดกายของตัวเองลงตามย่างก้าวที่หญิงสูงศักดิ์ผู้นี้ได้ก้าวเข้ามา


    “เมื่อครู่ เจ้าเรียกนางว่าอย่างไรนะ” 


    เสียงที่เค้นต่ำของผู้เหนือกว่ายิ่งทำให้นางตัวสั่น “ม หม่อมฉันมิได้พูดอะไร...มิได้พูดอะไรเลยเจ้าค่ะ” 


    หญิงสาวนิ่งงันราวกับถูกทุบตีเมื่อเข้าใจ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกปนเปที่ไม่อาจระบายออกมาได้จนเกือบว่างเปล่า มันทั้งเหมือนถูกหักหลัง..และรู้สึกเหมือนว่า นางถูกทิ้งลงมาจากที่สูง..



    เพราะแม้เพียงสักครั้งที่ดวงตาของเขาจะทะนุถนอมนาง ไม่..ไม่เคยมีเลยสักครั้งเดียว 

    แต่กลับนางผู้หญิงชาวป่าคนนี้ เขากลับมอบทั้งกายและใจของเขาให้นาง อย่างไม่รู้จักพอ




    หญิงกลางคนภายใต้อาภรณ์สีฉูดฉาดซึ่งยืนอยู่ภายในห้องเช่นเดียวกันนั้นหันไปส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่นักพรตชายอย่างมีความหมาย เมื่อรับรู้ได้ว่าผู้เป็นหลานของตนกำลังตกเป็นรอง “นำตัวนางไปตำหนักข้า” 


    นักพรตหนุ่มคลายยิ้มเยาะเป็นการตอบรับ ก่อนจะก้าวเท้าตรงไปหาหญิงสาวซึ่งบัดนี้มีรอยเลือดปรากฏขึ้นบนริมฝีปากหมายจะจับคว้าเข้าหาตัวอย่างผู้มีชัย


    “หากเจ้าอยากกลายเป็นนักพรตไร้มือ เช่นนั้นก็ลองวางมือของเจ้าลงไปดู”    


    ทว่ายังไม่ทันได้จัดการตามที่ตนนั้นคาดหวัง เสียงทุ้มเรียบทว่ามีอำนาจก็ทำให้เขาต้องชะงักมือเอาไว้ตามคำเสียก่อน “อ องค์ไท่จื่อ..”  



    “ความจริงเจ้าควรจะถูกตัดสินไปแล้วตั้งแต่ที่เริ่มก้าวเท้าเข้ามาที่นี่” จื่ออวี่ยังคงกล่าวต่อเช่นนั้น มือทั้งสองข้างไผล่ไว้ที่หลัง พร้อมกับก้าวเดินเข้ามาใช้ร่างกายขัดขวางนักพรตหนุ่มที่เหิมเกริม “แต่ที่ข้ายังไม่ตัดสินในทันที เพราะยังคงมีความคิดว่าคนโง่เง่าอย่างเจ้า จะเลือกฟังคำสั่งของใครได้ถูกต้อง” 



    ก่อนที่ดวงตาคู่คมนั้นจะตวัดขึ้นไปหาสตรีอีกสองคนที่ไม่ได้รับเชิญ “แล้วพวกท่านก็สมควรที่จะถูกตัดสินโทษเช่นเดียวกัน แม้ยศถาบรราดาศักดิ์ที่มีนั้นต่างกัน จงอย่าคิดว่าจะลงมือทำอะไรตามอำเภอใจได้” 



    แรกเริ่มฮัวกุ้ยเฟยอดนึกรำคาญใจไม่ได้ที่คนตรงหน้าเข้ามาได้ผิดจังหวะ แต่แค่เพียงชั่ววินาที นางก็ค่อยคลายยิ้มหวานหยดออกมาเพื่อกล่าวต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น 



    “พวกข้าแค่มาเยี่ยมเยียนนางเท่านั้น เพราะดูแล้วว่าอย่างไรเสียในอนาคต แม่นางผู้นี้ก็คงต้องมาเป็นทองแผ่นเดียวกันแน่แท้” นางปรายตานิ่งสงบไปให้หญิงสาวด้านหลัง  “ใช่ไหม หลี่ซาน



    เจ้าของริมฝีปากสีชาดเม้มตรงแน่นอย่างอดกลั้นไปชั่วครู่กว่าที่จะยอมเอ่ย “เพคะ” 



    เมื่อลูกคู่เป็นไปตามน้ำ หญิงกลางคนจึงได้เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มต่อไป “แล้วการที่ข้าพานักพรตหลวงมาด้วย ก็เพราะว่าข้าอยากจะให้ท่านนักพรตได้ดูโชคชะตาของนาง เพราะตั้งแต่ที่ไท่จื่อพานางมาไว้ที่นี่ ไม่ให้ใครย่างกรายนอกจากพระองค์ ซ้ำยังปิดหูปิดตาผู้คน ก็เลยยังไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุยกันตรงๆเสียที” 



    “มิใช่ว่าท่านนักพรตหลวงทำนายไปแล้วหรอกหรือ?” จื่ออวี่กล่าวเสียงนิ่ง ทว่าดวงตาของเขากลับมีระลอกคลื่นของความโกรธ “ถึงได้กล่าวหาว่าข้าจะมิมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาว” 


    สีหน้าของหญิงสาวใต้อาภรณ์สีบ๊วยที่เขาจงใจส่งสายตาถึงกับคล้ำยิ่งขึ้น


    “กระหม่อมเพียงแค่ทำนายจากคำเล่าลือเรื่องรูปลักษณ์ จึงอาจมีการผิดพลาดกันได้..พะย่ะค่ะ..” นักพรตหนุ่มรีบถวายความเคารพและตอบคำถามอย่างนอบน้อม แต่ก็ไม่อาจปกปิดอาการไหวหวั่นข้างในได้


    “แล้วการที่ท่านกล่าวว่ามาเยี่ยมเยียน แต่ทำลายข้าวของในตำหนักบัวแห่งนี้ ซ้ำยังกดขี่ข่มเหงคนของที่นี่ ความเคารพที่ควรจะมีต่อวิญญญาณของมารดาของเปิ่นหวาง คงจะเลือนหายไปเสียหมดด้วยแล้วกระมัง”


    “ไท่จื่อกล่าวเกินไปแล้ว..” ฮัวกุ้ยเฟยหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดราวกับไม่ได้เอาความสายตาโกรธเกรี้ยวของรัชทายาท “พวกเปิ่นกงมิได้เจตนาที่จะกระทำเช่นนั้นต่อวิญญาณของฮองเฮา-“


    “เช่นนั้นฮัวกุ้ยเฟยได้โปรดกลับไปที่ตำหนักของตัวเองเถิด” ร่างสูงรีบตัดบท เขาจดจ้องไปยังร่างของหญิงกลางคนผู้ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็จะเปิดเผยพิษของตนออกมาได้ทุกเมื่อ “หม่อมฉันไม่อยากให้สิ่งชั่วร้ายได้เข้ามาสิงสถิตในตำหนักของพระนางอีก”


    เห็นท่าทีและกิริยาที่ส่งออกมาจากตัวของคนตรงหน้า ฮัวกุ้ยเฟยจึงเริ่มที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง แต่กระนั้นนางก็ยังสามารถกรีดริมฝีปากของตนให้โค้งขึ้นมาได้ “องค์รัชทายาทมิได้รับการเข้าพิธีอภิเษกสมรสอย่างถูกต้อง หากแต่การที่พระองค์นั้นเกิดสัมพันธ์ทางกายกับสตรีคนใด หญิงสาวผู้นั้นก็ต้องกลายมาเป็นหนึ่งในพระสนมของท่าน เป็นสมบัติของท่าน ห้ามชายอื่นสัมผัสกายโดยตรงเป็นอันขาด”


    “..”


    “นางเป็นเพียงหญิงสาวชาวป่า อาจจะไม่รู้กฏระเบียบของเราโดยละเอียด แต่การที่องค์รัชทายาทกระทำเช่นนั้นโดยไม่อภิเษกสมรส ก็เท่ากับว่าท่านขาดคุณสมบัติของพระสวามีผู้มีความรับผิดชอบ และสตรีเหล่านั้นเองก็จะถูกมองอย่างเสื่อมเสียเกียรติได้” 



    “ดังนั้นแล้วเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ เปิ่นกงจะทูลต่อฝ่าบาท จัดตำแหน่งและพิธีการให้แก่นาง แต่งนางเข้าวังขององค์ไท่จื่อเป็นเฟยอย่างถูกวิธีและไม่เสียเกียรติแต่อย่างใด”



    มือทั้งสองข้างของจื่ออวี่ที่อยู่ด้านหลังนั้นบีบเข้าหากันแสดงอารมณ์โกรธอย่างไม่ออกทางสีหน้า เนื่องจากเขารู้ดีว่าบทสนทนานี้ กำลังจะบีบบังคับให้เขาทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย



    ราวกับมองเห็นชัยชนะอยู่เบื้องหน้า ฮัวกุ้ยเฟยค่อยจงใจเอ่ยปากสิ่งที่ตนกำลังพูดออกไปอย่างเชื่องช้า “ทว่าการจะทำอย่างนั้นได้ ผู้ดำรงตำแหน่งไท่จื่อและไท่จื่อเฟย...จำต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสเสียก่อน”



    “..”


    “แม้เปิ่นกงจะเป็นเพียงกุ้ยเฟย แต่ในยามนี้ก็มีราชสำนักฝ่ายในที่ต้องดูแลอยู่ในมือ ต่อให้องค์รัชทายาทจะมิอยากฟัง แต่หากเป็นพระมารดาของท่าน ฮองเฮาก็จะทรงทำเช่นนี้แน่นอน”









    “องค์รัชทายาท ทรงอย่าขยับตัวพะย่ะค่ะ” ขันทีมีอายุเอ่ยปากห้ามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงอ่อนใจระคนเป็นกังวล ขณะที่มือนั้นก็พยายามรั้งกายของร่างสูงตรงหน้าที่ไม่ว่าร่างกายของตนจะถูกพิษไข้รุมเร้าเท่าใดก็ไม่ยินยอมที่จะอยู่ภายในวังหยกหอมเด็ดขาด 



    นับตั้งแต่มีเข้าสู่ประเพณีห้ามไท่จื่อและไท่จื่อพบกัน รวมทั้งการห้ามก้าวออกจากตำหนักวังหยกหอมจนกว่าจะถึงวันอภิเษกสมรส องค์รัชทายาทผู้เป็นนายของเขาก็เริ่มหันกลับไปเก็บตัวอยู่แต่ภายในตำหนัก น้อยครั้งที่จะยอมรับประทานสำรับและพักผ่อน พระองค์เอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างและพักผ่อนน้อย จนกระทั่งความอ่อนแอที่ติดตัวร่างกายมาต้ังแต่กำเนิดกลับมาสำแดงฤทธิ์อีกครั้งเมื่อวันก่อน 



    “แต่วันนี้ ข้าจะนอนอยู่เฉยๆไม่ได้”  เพราะพรุ่งนี้เช้าจะเป็นวันที่เขาต้องกลายเป็นสามีภรรยากับบุคคลที่ตนไม่ได้รัก ไม่ว่าวันนี้ร่างกายเขาจะไร้เรี่ยวแรงเพราะโรคที่ได้แต่ควบคุมไม่ให้กำเริบมาตลอดเพียงไหน วันนี้เขาก็ต้องไปยังตำหนักบัวเพื่อพบนางให้ได้อยู่ดี 



    “องค์รัชทายาท!” ขันทีหยวนรีบปรี่เข้าไปรับร่างของไท่จื่อซึ่งกำลังพยายามพาร่างของตนเองลงมาจากเตียงนอน ทว่ายังไม่ทันได้ออกแรงเดินดี ร่างกายของผู้เป็นนายเขาก็แทบจะล้มทั้งยืน

    ก่อนที่ภาพตรงหน้าของจื่ออวี่จะเลือนหาย เขาที่เฝ้าคิดถึงแต่นาง ได้แต่พึมพำและยอมรับสติที่ดับมืดลงไปของตัวเอง “ไป..ไปเอาชุดมาให้ข้า” 






    ดวงตาคมได้เปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด มองท้องฝ้าอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยประกายดวงดาวโดยไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นราวกับว่าจะอยู่ในฝัน แต่กลิ่นของผืนหญ้ากว้างและสายลมทำให้องค์รัชทายาทไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ตนเห็นอยู่นั้นคือความฝันจริงๆ จื่ออวี่รีบยันกายของตัวเองขึ้น จึงได้สัมผัสว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวข้างนอกตำหนักและราชสำนักอันน่าอึดอัดของตัวเอง โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขานั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร 



    หลังจากขึ้นยืนพร้อมกับสำรวจไปรอบๆ ดวงตาคู่คมที่ฉายแววระลอกคลื่นฉงนสงสัยก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยนเมื่อมองเห็นร่างๆหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกัน ร่างของหญิงสาวที่ยืนอย่างสงบมองมาที่เขาด้วยแววตาเช่นเดิม ดวงตากลมใสที่สยบได้แม้กระทั่งผู้นำของแคว้นโจวและราชสีห์ ในเวลานี้มันกำลังเป็นประกายไม่ต่างจากเม็ดดาวบนท้องฟ้า และรอยยิ้มอบอุ่นที่เขารู้สึกได้แม้ว่าจะกำลังยืนอยู่ตรงนี้ก็ตาม



    จื่ออวี่ค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปตรงหน้าของคนที่ตนถวิลหา ดวงตาคู่คมฉายแววไม่ค่อยมั่นใจนักว่าภาพตรงหน้าเป็นของจริงหรือภาพฝัน จนกระทั่งเขาวาดมือวางลงบนไหล่ของนาง และนางตอบรับสัมผัสปลายนิ้วเกลี่ยใบหน้าที่เขาเฝ้าคิดถึงด้วยการหลับตาลงด้วยรอยยิ้มเบาบาง 


    “ต่อให้ตอนนี้เป็นความฝัน ข้าก็ไม่เสียใจเลยที่ได้พบเจ้าที่นี่” จื่ออวี่รับรู้ถึงความรู้สึกของนางที่มีไม่ต่างกันผ่านฝ่ามือของตน และมันก็ทำให้หัวใจที่แห้งแล้งของเขา ประหนึ่งมีน้ำไหลเข้ามาชมเชย



    “จีเอ๋อร์ ข้ามันใช้ไม่ได้เอาเสียเลย..” จื่ออวี่พูดอีกครั้งด้วยแววตาที่หมองลง “ข้า ปล่อยให้เจ้ารอ..ปล่อยให้เจ้าต้องอยู่ที่ตำหนักคนเดียว” 



    ดวงตาคู่สวยไม่แสดงความโกรธใดๆเมื่อเขากล่าวจบประโยค นอกเหนือจากนั้น นางยังจ้องมองเขาด้วยความรัก และนั่นก็เป็นสิ่งที่ถ้าหากโจว จื่ออวี่ได้รับ เขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว 



    ฝ่ามือเรียวโอบรอบกายบางอย่างถวิลหา ใบหน้าคมหวานดุจสตรีจึงค่อยๆก้มลงจุมพิตริมฝีปากที่ห่างเหินมานานหลายวันอย่างต้องการสื่อสิ่งที่อยู่ภายในซึ่งนางก็เต็มใจรับเอาไว้เป็นอย่างดี สัมผัสหวานอันคุ้นเคยซึ่งตัวเองเป็นเจ้าของทำให้เขาดำดิ่งลงไปได้ไม่ยาก ท่ามกลางสายและผืนหญ้าเขียวขจี รัชทายาทแห่งแคว้นซีโจวก็รับรู้ว่าหัวใจทั้งดวงของเขาเป็นของนาง



    “ดวงจันทร์ของข้า...” จื่ออวี่กระซิบบอกเมื่อผละกลีบปากหวานออกมาเชยชมผิวพรรณของหญิงสาวอย่างทะนุถนอม  “เจ้างดงามเหลือเกิน” 







    “ลูกข้ายังไม่หายดีเลยหรือ?” โจวกงหวางมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้รับการถวายงานจากขันทีคู่พระองค์



    ขันทีกลางคนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจากวงแขนที่ยื่นออกไปทำความเคารพ “หมอหลวงตรวจดีแล้ว พระอาการไข้ของไท่จื่อลดลงมาก แต่กระนั้นสีพระพักตร์และพระวรกายก็ยังไม่กลับมาสดชื่นเท่าไหร่พะย่ะค่ะ” 



    “หรือว่า” หญิงกลางคน อดีตกุ้ยเฟยคนสำคัญของโจวกงหวางกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “หรือว่าไท่จื่อจะ..” 



    “ฮองเฮา เจ้ารู้อะไร” 


    “หม่อมฉันสังเกตอาการณ์ของไท่จื่อมาสักพัก ดูเหมือนว่าทรงจะ..จะ” ฮัวหวงโฮ่ว*เบือนสีหน้าราวกับลำบากใจที่จะเอ่ยไปยังนักพรตหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นดังนั้นเรียวคิ้วของผู้นำแคว้นของชายกลางคนก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน แต่ก็ยอมเปิดโอกาสได้ให้อีกฝ่ายพูดออกมาแทน 



    “นักพรตหลิง เจ้าว่ามา"


    นักพรตหนุ่มรีบก้าวออกมาถวายคำอย่างรู้งาน 


    “หลังจากมีราชโองการมิให้ชายหญิงพบกันก่อนเข้าสู่คืนแต่งงาน จู่ๆองค์รัชทายาทหนุ่มผู้แข็งแรงก็ล้มป่วยลง ภายหลังแต่งงานกับไท่จื่อเฟยตระกูลฮัวก็อาการทรุดลงจนไม่ได้เข้าห้องหอตามฤกษ์ แต่น่าแปลกที่พระองค์ไม่แม้แต่จะพักผ่อน กลับเอาแต่เก็บตัวจากผู้คนและกระวนกระวายใจทั้งยังเกรี้ยวกราดใส่นางกำนัลบ่อยครั้ง ราวกับอดกลั้นเพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่พระองค์ต้องการไว้ไม่ได้..”


    “...จื่ออวี่ทำแบบนั้นหรือ?” โจวกงหวางเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เชื่อหู จริงอยู่ที่บุตรของเขาที่ตอนนี้ก้าวผ่านเข้ามาใกล้ตำแหน่งโจวหวางแล้วครึ่งหนึ่งหลังจากพิธีอภิเษกสมรสจบลงไปมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด ไม่มีหนทางรักษาใดได้นอกจากทานยาเพื่อควบคุมอาการให้คงตัวอยู่ได้และออกกำลังพอประมาณ ฉะนั้นแล้วเรื่องการรบในวันข้างหน้าของจื่ออวี่เขาจึงเป็นกังวลมาก แต่การที่ต้องมาได้ยินว่าอาการของว่าที่โจวหวางไม่ได้เกิดขึ้นเพราะหวัดไข้หรือร่างกายที่อ่อนแอ จึงทำให้เขาประหลาดใจอยู่มาก



    “กระหม่อมเห็นพระพักตร์องค์รัชทายาท รัศมีของความชั่วร้ายที่กระหม่อมเคยกราบทูลไปยิ่งเด่นชัดขึ้นกว่าเก่าเมื่อทั้งสองได้ยืนร่วมกันที่ตำหนักบัว..”



    น้ำเสียงที่กล่าวถวายอย่างแข็งขันมาตลอดค่อยๆเจือความลังเลทำให้ชายกลางคนต้องเคร่งเสียงมากขึ้นไป “เจ้าต้องการจะพูดอะไร” 


    นักพรตหลิงแฝงยิ้มไว้นัยหน้า “ในความเห็นของนักพรตผู้บำเพ็ญเพียรมานาน กระหม่อมขอกราบทูลว่า..องค์รัชทายาทอาจจะถูกมนต์เสน่ห์อยู่ก็เป็นได้พะย่ะค่ะ” 








    “เจ้าว่ากระไรนะ?” 


    “ข่าวลือไปทั่วทั้งวังและชาวบ้าน ว่าองค์รัชทายาทถูก..ทำมนต์ดำ” ขันทีหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่หนักแน่นให้แก่ผู้เป็นนายและผู้มีเลือดเนื้อเดียวกันกับโจวกงหวางฟัง “..ด้วยฝีมือของจีเช่อเฟย*พะย่ะค่ะ” 


    “จื่ออวี่ เจ้าจะไปไหน!” พีฟางเอ่ยปากเรียกขัดคนที่ลุกพรวดจากโต๊ะน้ำชาตรงไปยังบานประตูแทบจะทันทีที่ประมวลผลหลังฟังจบได้ชะงัดนัก


    “นางกำลังถูกใส่ร้าย” เขาหันมามองชายกลางคนผู้เปรียบเสมือนบิดาของตนด้วยสายตาเรียบนิ่งทว่าเจ็บปวด "ท่านจะให้ข้า...ทนนั่งอยู่เฉยๆอย่างนั้นรึ?”



    “องค์รัชทายาท ได้โปรดไตร่ตรองดูก่อนเถิดพะย่ะค่ะ!” แม้แต่ขันทีคู่ใจเขา ก็ยังไม่เอาใจอยู่ฝั่งเดียวกันเลยสักนิด



    “เจ้าไปในตอนนี้ มีแต่รังจะทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลง!” ชายกลางคนรีบลุกขึ้นมาตามเพื่อห้ามปราม  “ครั้งนี้ ปมเชือกฮัวกุ้ยเฟยแน่นหนานัก หากขยับเขยื้อนไปโดยไม่คาดคิด ก็มีแต่จะสร้างบาดแผลไปทั่วเท่านั้นนะ"



    ยังไม่ทันจะได้ก้าวข้ามออกนอกประตูหรือห้ามได้สำเร็จตามที่หวัง สายตาของคนทั้งคู่ก็พบกับขันทีคู่ใจของเจ้าแคว้นพร้อมด้วยราชสาสน์สีแดงในมือ “รับพระราชโองการ” 


    บัดนั้น ร่างของชายเชื้อพระวงศ์กับองค์รัชทายาท ตลอดจนข้าราชบริพารโดยรอบต่างก็คุกเข่าลงและก้มหน้ารับ ยกเว้นเพียงผู้ถือสาสน์ที่เริ่มเปิดปากอ่านเพียงคนเดียว 


    “โจวกงหวางมีพระราชโองการ ห้ามมิให้องค์รัชทายาทออกนอกวังหยกหอมจนกว่าการไต่สวนความเกี่ยวกับเช่อเฟยจะได้รับการคลี่คลาย”


    มือทั้งสองข้างที่ประสานอยู่ด้านหน้าของร่างสูงบีบแน่น เมื่อขบวนราชโองการกลับไปยังที่ของตนแล้วได้ยืนขึ้น ชายกลางคนผู้เป็นอาของเขาก็ขยับเข้ามาหาอีกครั้ง “อาจะเป็นคนถอนเขี้ยวของอสรพิษตัวนั้นเอง ในระหว่างนี้ เจ้าก็อยู่ที่นี่ไปก่อน”



    “ข้าจะไม่ให้เจ้าอยู่เฉยแน่” พีฟางวางมือลงบนไหล่ของหลานตนเองด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “แต่ว่าเจ้าเอง ก็ต้องลงทุนด้วยนิดหน่อยเหมือนกัน”







    ร่างบางภายใต้อาภรณ์สีขาวนวลก้าวข้ามผ่านประตูใหญ่ซึ่งเปิดเอาไว้เพื่อรอรับข้าราชการทั้งหลาย จีเซี่ยวเหลือบมองนางกำนัลทั้งสองที่ตามมาด้วยกันจำต้องหยุดอยู่เพียงด้านหน้าตำหนักใหญ่นี้ ดวงตาของนางมองเห็นภายในห้องโถงใหญ่อันโอ่อ่าที่เคยมาเยือนเมื่อเข้ามาสถานที่แห่งนี้เป็นคราแรก ด้านข้างมีเพียงแค่ทหารจำนวนหนึ่ง สุดทางห้องโถงคือโจวกงหวางผู้ยิ่งใหญ่ หญิงกลางคนที่ตอนนี้ดำรงจุดสูงสุดของฝ่ายใน หญิงสาวอีกคนที่จะกลายเป็นแม่ของแผ่นดินมาแล้วครึ่งก้าว นักพรตหนุ่มที่มีสีหน้าเย้ยหยันซุกซ่อน กับชายกลางคนที่นางมั่นใจว่าไม่เคยพูดคุยด้วยกันมาก่อน แต่ทุกอย่างนั้นก็ไม่ได้เล็ดลอดออกไปจากใบหน้านิ่งสงบแม้แต่เพียงนิด


     
    “ไม่ต้องทำสีหน้าประหลาดใจไปหรอก”  โจวหวางพูดขึ้นเมื่อหญิงสาวผู้มาใหม่ย่อตัวทำความเคารพเขาอย่างอ่อนช้อยงดงาม แม้เขาจะไม่แน่ใจว่านางรู้สึกอย่างไร แต่ไม่ว่าใครที่จู่ๆก็ถูกเรียกออกมาจากตำหนักทั้งๆที่ถูกกักบริเวณอยู่เป็นเวลาอาทิตย์ว่า จำต้องประหลาดอยู่ไม่น้อยอย่างแน่แท้ 



    “เจ้าคงมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะถามสินะ” ชายกลางคนกล่าวอย่างรู้ทัน  “ อ๋อ ข้าลืมไป เจ้าพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ” 



    แม้จะเหมือนกล่าวเพื่อเย้ยหยัน แต่กระนั้นใบหน้าของนางก็ยังนิ่งสงบราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทำให้โจวกงหวางต้องเค้นเสียงของตนเองให้เคร่งมากยิ่งขึ้น



    “ที่นี่คือท้องพระโรง ส่วนความผิดของเจ้าน่ะหรือ? ก็คือการทำมนต์ดำใส่องค์รัชทายาทอย่างไรล่ะ” 



    ฮัวหวงโฮ่วมองเห็นประกายความฉงนสงสัยและไม่ทันได้ตั้งตัว นางหันไปลอบส่งสายตาให้แก่นักพรตหลิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน ในเมื่ออีกฝ่ายไม่แม้แต่จะสื่อสารสิ่งใดได้ นางก็จำต้องยอมรับโทษไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้แน่



    “ว่าอย่างไร เจ้าต้องการปฏิเสธหรือไม่” โจวกงหวางยังเอ่ยถามอีกครั้ง ราวกับเขาหวังอยู่ลึกๆว่านางจะหาทางปฏิเสธได้ หญิงสาวอายุคราวลูกของเขานิ่งงันไปเพียงสักพัก ก่อนที่นางจะพยักหน้าราวกับจะตอบรับคำพูด 



    นักพรตหลิงเห็นดังนั้นจึงยืนขึ้นแล้วโยนสิ่งหนึ่งลงไปตรงพื้นหน้านาง “หากเจ้ายังปฏิเสธ เช่นนั้นของสิ่งนี้เจ้าจะอธิบายได้อย่างไรงั้นรึ?”


    ตุ๊กตาดินปั้นถูกห่อหุ้มด้วยยันต์และเชือกอย่างแน่นหนาประจักษ์ต่อหน้าคนทั้งท้องพระโรง เช่นเดียวกับโจวกงหวางที่ยังมีความเชื่อมั่นแก่ตัวหญิงสาวในตอนแรก แต่เวลานี้มันกลับลดน้อยถอยลงจากเดิม



    “นี่เจ้าทำมันจริงๆรึ?” ชายกลางคนเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าจึงทำอย่างนั้นใส่ลูกชายข้า? ที่จื่ออวี่มีให้เจ้ามันยังไม่มากพอเช่นนั้นหรือจีเซี่ยว” 


    ชั่วขณะหนึ่งที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ หากคนที่รู้เรื่องของนิสัยไม่สุงสิงกับใครของหญิงสาวย่อมรู้ได้ว่านี่ไม่มีทางเป็นไปได้เป็นอย่างมากแม้จะใช้กลยุทธ์สาวใช้ให้จัดหาสิ่งของเหล่านี้มาก็ตาม แต่ในระหว่างที่จะขยับตัว พีฟางก็รู้สึกถึงมวลอากาศบางอย่างที่แผ่กระจายขึ้นรอบๆตัวทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกอะไร เขาจึงคิดว่าเป็นเพียงแค่ความคิดที่ผิดพลาดของตัวเองเท่านั้น กระพริบเปลือกตาเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะหันหน้าไปยังผู้เป็นทั้งโจวหวางและพี่ชายอย่างนอบน้อม



    “ฝ่าบาท ข้าขอ-"

    “หากหม่อมฉันยอมตอบคำถาม..” 

    “!!” 


    แต่ทว่าเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนกลับทำให้ท่าทีของคนทั้งห้องโถงชะงักงัน โจวกงหวางจ้องมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ผู้เดียวอย่างไม่เชื่อหู นางค่อยๆเคลื่อนดวงตาจากสิ่งของที่อยู่บนพื้นนั้นขึ้นมามองที่เขา แม้มันจะดูเรียบสงบ ทว่ามีพลังจนจังหวะหนึ่งเขารู้สึกเกรงไม่ได้


    “ฝ่าบาทจะยอมถอนราชโองการกักขังองค์ไท่จื่อหรือไม่เพคะ” 


    “เจ้า..” แม้แต่ฮัวหวงโฮ่วที่ไม่คาดคิดกับสิ่งที่เพิ่งเกิด ก็ไม่ทันได้คัดค้านกับคำต่อรองที่ดูจะเกินตัวไปสำหรับอีกฝ่ายทั้งกริยาและรูปประโยค


    “นั่น ขึ้นอยู่กับคำตอบของเจ้า” โจวกงหวางเป็นผู้แย้งประโยคที่กำลังจะขัดขึ้นของหญิงกลางคนแทน แม้ใบหน้าของเขาจะหายเคร่งเครียด แต่ก็มีนัยแย้มยิ้มอยู่บนหน้า


    “หม่อมฉันเป็นหญิงชาวป่า เมื่อยามผ่านประตูมังกรมิมีสิ่งใดติดตัวหม่อมฉันเข้ามา เหตุใดในยามนี้ หม่อมฉันก็เกิดมีของติดตัวเข้ามาเสียอย่างนั้น” 


    “เจ้าก็ต้องขอให้ใครทำให้ล่ะสิ ใช่มั้ยล่ะ?” แววตาหวาดหวั่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไท่จื่อเฟยซึ่งเริ่มที่จะนั่งไม่ติดเมื่อได้ยินว่าบุคคลตรงหน้านั้นเอ่ยปากพูด


    “ไม่มีใครในราชสำนักแห่งนี้เคยพูดกับหม่อมฉันสักครั้ง” จีเซี่ยวพูดด้วยท่าทางเช่นเดิม แต่ดวงตาของนางกลับจดจ้องไปยังโจวกงหวางราวกับไม่ได้ยินคำปรามาทก่อนหน้านี้เลย “ฝ่าบาทก็รับรู้ข้อนั้นได้ดีใช่หรือไม่เพคะ” 


    “ทูลฝ่าบาท” ชายกลางคนที่เห็นโอกาสเสริมทัพได้กระทำในสิ่งที่ตนถูกหยุดชะงักไปอีกครั้ง “พีฟางขอกล่าว” 


    โจวกงหวางถอนสายตาออกจากร่างของหญิงสาวที่ยังมีท่าทีสงบนิ่งหันมามองผู้เป็นน้องชายของตัวเอง 


    “อนุญาต”  


    “อาจารย์ของหม่อมฉันเองก็มาจากคุนหลุน* เรื่องนี้ ท่านทรงรับรู้ดี หม่อมฉันจึงกล้าออกปากได้ว่านั่นเป็นยันต์ของคุนหลุนโดยแท้” 

    “..”

    “ครานี้นับเป็นคราแรกที่เราทั้งหมดเคยได้ยินเสียงของนาง ภายในห้องโถงนี้ และต่อหน้าของท่าน แม้แต่พวกนางกำนัลที่อยู่หน้าตำหนักยังมิเคยได้ฟัง ไฉนเลยนางจะขอให้ใครทำของพวกนี้ขึ้นมาให้ได้”  


    พีฟางกล่าวต่อสู้กับความเงียบด้วยเสียงแข็งขัน “และเรื่องนี้ หากฝ่าบาทจะลองสอบถามขันทีหยวน เขาก็สามารถเป็นพยานให้ได้”


    “หยวนจิงเป็นคนของไท่จื่อ ทั้งยังไม่ทัดทานการเข้าหอโดยไม่เกรงกลัวฟ้าดิน เช่นนี้จะไว้ใจได้อย่างไร” ฮัวหวงโฮ่วที่กลับมาตั้งตัวได้เริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง


    “ถึงจะเป็นคนของไท่จื่อ กระนั้นเขาก็เป็นขันทีที่ดีพอจะรู้ว่าผู้ใดคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของเขาอย่างแท้จริง” พีฟางโต้ตอบอย่างทันควัน


    “กลับเข้าเรื่องมนต์ดำ..ของสิ่งนี้ ใช่ว่าตัวกระหม่อมเองจะมิเคยพบปะพูดคุยกับนักพรตที่มาจากเขาคุนหลุน” ชายกลางคนหันไปหาโจวหวางซึ่งนั่งฟังความอยู่เงียบๆ


    “สิ่งนี้มีเครื่องหมายของคนคุนหลุน แล้วหญิงสาวชาวป่าจะมีหน้าไปพบปะพูดคุยกับนักพรตอย่างเขาได้อย่างไรเล่าพะย่ะค่ะ”


    “ไม่จริงเพคะฝ่าบาท” ฮัวหวงโฮ่วยังกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “เราแม้แต่จะไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าของนางผู้นี้ แล้วจะมีอะไรมายืนยันให้แก่เราได้ว่านางไม่ได้มาจากคุนหลุนมาก่อน” 


    ซึ่งนั่นก็ทำให้เรียวคิ้วของชายกลางคนรู้สึกกระตุกได้ไม่ยาก“นั่นจะเป็นไปได้อย่าง-“ 


    “คุนหลุนมีนักพรตมากมาย ซ้ำยังมีเซียนอีกหลายต่อหลายคน เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้” นางกล่าวโดยไม่ยอมให้เขาได้ตั้งตัวได้ “แล้วท่านพีฟางจะอธิบายการที่นางเอาชนะคนป่าพวกนั้นด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร”


    “…"


    “ไหนๆเจ้าก็กล้าพูดขอให้ข้าถอนราชโองการ” โจวกงหวางที่เงียบไปพักหนึ่งกล่าวขึ้นมาในที่สุด  “เช่นนั้นเจ้าก็คงกล้าพอที่จะตอบว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน ชื่อแซ่ตระกูลใด เหตุใดจึงไปอยู่ในอาณาเขตล่าสัตว์ของพวกข้าในสภาพนั้นได้กระมัง” 


    พีฟางตวัดสายตาไปยังหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ ไหล่ของนางไม่แม้แต่จะสั่นไหวหรือขยับเขยื้อนรู้สึกต่อสุรเสียงของผู้นำแคว้นและคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์มากกว่าเลยสักนิด นางปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้นไปทั่วบริเวณสักพัก ก่อนที่จะค่อยกล่าวออกมาอีกครั้งหนึ่ง



    “..ที่ที่หม่อมฉันจากมา ห่างไกลจากดินแดนของฝ่าบาทนัก” นางกล่าวด้วยประโยคที่เรียบง่ายแต่สำหรับคนฟังแล้วมันช่างเหมือนไม่ไว้หน้า “หม่อมฉัน ตอบตามพระประสงค์ได้เพียงเท่านี้”


    “อย่ามาเล่นลิ้นให้ยาก ที่นั่นก็คือดินแดนปีศาจล่ะสิ!” นักพรตหลิงก้าวออกมากล่าวอย่างเหลือทนที่เป้าหมายของตนไม่สะทกสะท้านและยอมจำนน “นางปีศาจที่จิตวิญญาณว่างเปล่าอย่างเจ้า! ไม่สมควรออกมาเผ่นผ่านในแดนมนุษย์ด้วยซ้ำ!”


    “หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงดังก้องของโจวกงหวางทำให้ทั่วทั้งห้องกลับไปนิ่งสงบอีกคร้ัง ทุกสิ่งที่มีชีวิตต่างก็กลับมาขยับหลังตรง มีเพียงหญิงสาวที่เขากำลังจับจ้องซึ่งยังคงไม่แสดงท่าทีอะไร



    “จีเซี่ยว นี่เป็นคำสั่งของข้า หาไม่แล้วเจ้าจะต้องรับโทษทัฑณ์นี้ด้วยตัวเองทั้งหมด”

    “..”

    “หากเจ้าเกรงกลัวบทลงโทษ ก็จงตอบความจริงทั้งหมดมาเสีย” 



    “หม่อมฉัน ได้รับโทษทัณฑ์มามากพอแล้ว” นางตอบกลับโดยใช้เวลาคิดแทบไม่นาน “..นั่นรวมถึงการได้พบพระองค์ด้วยเพคะ” 


    โจวกงหวางได้ยินเสียงลมหายใจที่ผ่อนออกมาอย่างไม่พอใจของหญิงกลางคนที่นั่งไม่ไกลจากเขา ก่อนจะพยักเพยิดไปยังนักพรตหนุ่มที่ดูอยากจะกระทำอะไรสักอย่างเหลือเกิน “เจ้านักพรตหลวง มีอะไรก็ว่ามา” 


    นักพรตหลิงเหยียดยิ้มก่อนที่จะก้าวออกมาถวายคาม “หากจะให้องค์รัชทายาทหายป่วยโดยฉับพลัน กระหม่อมขอเสนอพิธีชำระล้างวิญญาญทั้งวังหลวง โดยนำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนต์ดำ ให้เป็นตัวสังเวยแก่ดวงวิญญาณพะย่ะค่ะ” 


    “ทหาร”


    สิ้นเสียงเรียกของโจวหวาง ทหารสองนายก็ก้าวออกมายืนข้างหน้ารอคำสั่ง สร้างความหวั่นใจให้แก่พีฟางเป็นอย่างมาก


    “มีราชโองการลงไป ให้ปล่อยไท่จื่อออกจากการกักบริเวณ” ดวงตาของชายกลางคนวาวโรจน์ไปด้วยไฟ “แล้วจงนำตัวนางไปยังคุกหลวง เพื่อรอวันพิธีชำระล้างซะ!”






    “ถอยไป”


    ทหารฝั่งซ้ายหน้าประตูรีบก้มหัวและถวายความเคารพ น้ำเสียงของเขามีทั้งความกังวลเจืออยู่ในความจริงจังที่จะปิดทางไม่ให้คนตรงหน้าได้เข้าไป “ไท่จื่อ! โปรดทรงพระทัยเย็นลงก่อนเถิดพะย่ะค่ะ!” 


    ดวงตาคู่คมที่เจือแววตาอ่อนล้าตวัดมองทหารเฝ้าประตูอย่างเชือดเฉือน “หากไม่อยากหัวกุดในตำแหน่งแค่นี้ ก็ถอยออกไปซะ”


    ทหารสองนายเหลือบมองหน้ากันก่อนจะยิ่งยึดมั่นในทวนที่ถือขวางกั้นอีกฝ่ายตามเดิมจนยิ่งทำให้องค์รัชทายาทไม่เป็นตัวเอง


    “ข้าบอกให้ถอยไป!!” 

    “ท่านหวางมีคำสั่งมิให้องค์ไท่จื่อเข้าใกล้คุกหลวงนี้เด็ดขาด” ทหารยังยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นเดิม “ฉะนั้นถึงแม้จะหัวกุดอยู่ตรงนี้ พวกกระหม่อมก็มิอาจปล่อยพระองค์เข้าไปได้พะย่ะค่ะ”


     ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากันเป็นเส้นตรง เส้นความอดทนที่ต่ำลงนับตั้งแต่ถูกสั่งไม่ให้ออกจากตำหนักของตนและเข้าพิธีแต่งงานตามคำสั่ง จื่ออวี่ก็อดกลั้นมันมาตลอด นอนรอคอยดื่มยาที่คนของไท่จื่อเฟยตระกูลฮัวจัดหามาให้ และกินยาที่ทำให้ตัวเองไม่ดีขึ้นอยู่ตลอดเพื่อหวังจะโยนความผิดเรื่องให้ยาพิษเพื่อปลงชีวิตตัวเขาแก่ฮัวหวงโฮ่ว ลำพังแค่การที่ร่างกายของเขาต้องแย่ลงนั้นไม่ได้เป็นที่น่าใส่ใจ แต่การที่มีพระราชโอชการให้นางที่เขาเฝ้าถวิลหาต้องเข้าไปอยู่ในคุก จึงไม่ใช่เรื่องที่จื่ออวี่คาดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย


    ชิ้ง! 


    เพียงพริบตาที่เหล่าทหารเฝ้ายามคิดว่าผู้เป็นนายเหนือหัวของตนยอมถอดถอย องค์รัชทายาทแห่งแคว้นซีโจวก็พลิกฝ่าเท้าก้าวเข้าไปดึงดาบออกจากฝักของผู้ภักดีต่อหน้าที่ของตนและวาดมันลงลำคอของเจ้าของมันในทันที 


    “ท ไท่จื่อ"


    “ช้าก่อนจื่ออวี่!” เสียงจากด้านหลังทำให้ปลายคมดาบเบาลงอย่างเห็นได้ชัด พีฟางรีบก้าวเท้าเข้ามาหยุดยื้อไหล่ของผู้เป็นหลาน และเอ่ยปากกับทหารเฝ้าประตูทั้งสอง 


    “เปิดทาง เขาจะเข้าไปกับข้า” 

     
    เมื่อได้ยินดังนั้นปลายดาบที่พร้อมจะปลิดชีวิตเล็กๆน้อยๆก็ถูกเสียบลงเข้าที่ฝักของมันอย่างหนักแน่นอีกครั้งระหว่างที่ทวนทั้งสองถูกเปิดออกให้ชายกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายของโจวหวางก้าวนำเข้าไปก่อน


    ผนังในคุกหลวงนั้นค่อนข้างเย็นชื้น แม้จะมีคบไฟที่ถูกจุดเอาไว้แต่ก็ยังให้ความอบอุ่นได้ไม่เพียงพอสำหรับนักโทษที่อยู่ด้านหลังกรงขังที่ทำขึ้นจากไม้ใหญ่ หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวที่เนื้อผ้าไม่ได้ให้ความสะดวกสบายแม้แต่เพียงนิดซึ่งนั่งอยู่บนกองฟางรู้สึกถึงเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมายังทิศทางนี้ ดวงตากลมคู่สวยฉายแววใคร่รู้ว่าใครที่กำลังเข้ามาในยามนี้ กระทั่งร่างอันคุ้นเคยได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า 


    “จีเอ๋อร์”  


    หญิงสาวรีบรุดไปยังด้านหน้ากรงขังในทันทีที่ร่างสูงสง่านั้นทรุดลงกับพื้น สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลระคนตกใจเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นสบตา จื่ออวี่กลับเพียงขยับยิ้มคล้ายทั้งขบขันและเย้ยหยันตนเองเมื่อเห็นนางเข้ามาใกล้แล้วทำท่าจะแตะปลายนิ้วลงบนใบหน้าของเขา


    “ข้าดูเหมือนคนป่วยงั้นหรือ?” เขายื่นใบหน้าเข้าหามือเล็กนั่นให้มันแตะลงใต้เปลือกตา “...คงเพราะยาที่ทำให้เหมือนถูกพิษ จะดูดเรี่ยวแรงของข้าไปมากโข” 


     ทั้งความอ่อนล้าที่เห็นได้ชัด และดวงตาที่มีพลังกายอันน้อยนิด ไม่แปลกใจเลยหากนางจะมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ 




    “จีเอ๋อร์..” ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเพียงเล็กน้อย สิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดกลับเกิดขึ้นตรงหน้าขึ้นมาเสียได้ “..เจ้า..ร้องไห้ทำไม”



    ดวงหน้าสวยที่ไม่เคยไหวติงต่อสิ่งใดตั้งแต่ได้รู้จัก ในบัดนี้มันกลับแสดงท่าทีคล้ายกับพยายามจะอดกลั้น  และมีหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาจากดวงตากลมที่เคยมีพลังอำนาจกำลังเปราะบางจนเขาไม่อาจปล่อยให้มันได้ไหลลงจนต้องยื่นมือเข้าไปเพื่อลบมันออกจากใบหน้าของนางเอง


    “เจ้ากลัวหรือ...ข้าไม่เป็นไร ไม่นานก็จะดีขึ้นเอง เจ้าอย่าร้องเลย..ดวงจันทร์ของข้า” น้ำเสียงที่ยังอุตส่าห์มีอาการสั่นเทาให้เล็ดรอดกล่าวขึ้นขณะปลอบประโลมหญิงสาวที่จับฝ่ามือของเขาเอาไว้แล้วซุกใบหน้าเข้าหาราวกับต้องการความอบอุ่น จื่ออวี่ไม่รู้ว่าเหตุใดน้ำตาของนางจึงไหลออกมาเช่นนี้ทั้งๆที่ไม่เคยเห็น แต่ถ้าหากจะทำได้เพียงนั่งอยู่เฉยๆในอีกฝากฝั่งของกรงขังแบบนี้ เขาก็อยากจะย้อนเวลากลับไปไม่ให้ตัวเองพยายามที่จะใกล้ชิดนางเลยจะดีกว่า


    “ข้ามาที่นี่ เพราะข้ามีบางอย่างจะให้เจ้า” 


    จื่ออวี่กล่าวต่อราวกับจะหักห้ามน้ำตาที่ไม่มีที่มาของตน มือข้างที่ว่างของเขาล้วงเข้าไปในช่องว่างของเสื้อทับชั้นแรก ก่อนจะขยับไปจับมือของนางให้ยื่นออกมาจากนอกกรงเพื่อที่เขาจะได้สวมใส่มันลงบนนิ้วของนางได้อย่างเบามือ


    วงแหวนสีทองถูกสลักอย่างบรรจงและปราณีต ลวดลายของกวางป่าซึ่งมีเขาอันสง่างามโอบกอดนิ้วกลางของนางอย่างเหมาะสม ราวกับว่าถูกวัดขนาดมาอย่างดี จีเซี่ยวก้มมองมันด้วยสายตาสงสัยระคนชื่นชมในรายละเอียดของมันกับความหมายของการที่บุคคลตรงหน้ามอบมันให้กับนางเช่นนี้


    “ข้าสั่งให้ช่างทำขึ้นมาระหว่างที่เราไม่ได้พบหน้ากัน” จื่ออวี่คลายยิ้มอ่อนแรง ทว่ายังคงความอ่อนโยน  “ข้าอยากให้เจ้าเก็บมันไว้..เปรียบเสมือนตัวข้า แม้มันจะไร้ซึ่งพลังใดๆ แต่ข้าก็ปราถนาจะอยู่ข้างๆเพื่อปกป้องเจ้าให้ได้มากกว่านี้” 


    ดวงตาคู่สวยยังคงด้วยม่านน้ำจางๆนั้นคลี่รอยยิ้มเชื่อมั่นประโลมใจดั่งน้ำใสที่ไหลเย็น จื่ออวี่เคลื่อนมือสัมผัสผิวเนื้อแก้มเนียนละเอียดอีกคราราวกับจะกักเก็บสัมผัสของหญิงสาวตรงหน้าเอาไว้ให้มากที่สุดก่อนจะถึงเวลาต้องกลับออกไป


    “จีเอ๋อร์..ไม่ว่าอย่างไร..ไม่ว่าจะต้องสิ้นตำแหน่งของรัชทายาทหรือไม่...ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้” 






    ลานราชพิธีกลางราชสำนักของแคว้นซีโจวถูกประดับประดาด้วยผืนผ้าสีขาวสลับกับยันต์ที่เขียนด้วยหมึกดำดูมีมนต์ขลังทั่วเสาราชสำนัก นางกำนัลและขันทีมากมายล้วนแต่ออกมายืนล้อมรอบลานพิธีอย่างเป็นระเบียบ  เหนือพวกเขานั้นคือระเบียงที่มีเก้าอี้ทรงสูงซึ่งแกะสลักเป็นอย่างดีมีโจวกงหวางผู้นำแคว้นนั่งอยู่เหนือมัน ขนาบข้างทางขวาด้วยฮัวหวงโฮ่วซึ่งแต่งกายทรงเครื่องเต็มยศ ถัดไปเป็นว่าที่หวงโฮ่วที่รอเวลาเพียงองค์รัชทายาทถึงเวลาสมควรที่จะครองราชย์แทนบิดาเท่านั้น ส่วนด้านซ้ายของโจวกงหวางคือบุตรชายของเขา กับผู้เป็นอนุชา ส่วนด้านหน้านั้นเป็นเหล่าพลธนูที่ถูกเกณฑ์มาเพื่อยิงธนูขึ้นฟ้าเป็นการส่งท้ายพิธีชำระล้างในคราวนี้



    เสียงลมที่เงียบสงบค่อยๆถูกขัดขวางด้วยเสียงกลองที่นักพรตหลิงได้จัดการ เป็นสัญญาณให้พาตัวการสำหรับงานนี้ออกมายัง ณ ลานราชพิธี ทหารนายหนึ่งหิ้วปีกของนางในชุดขาวเอาไว้ ยามแรกนางนั้นดูจะขัดขืน หากแต่นักพรตชั้นเลวนั่นก็สะบัดหลังมือลงบนริมฝีปากของนางจนได้เลือด แม้จะเกิดเหตุขึ้นในมุมอับ แต่กระนั้นมันก็อยู่ในสายตาของร่างสูงที่พยายามจะนิ่งเฉยมาตั้งแต่เริ่มงาน


     
    “ใจเย็นไว้เสี่ยวจื่อ” รวมทั้งในสายตาของพีฟางเอง เขาเอ่ยปากเปรยเบาๆเมื่อมองเห็นฝ่ามือที่กำแน่นของผู้เป็นหลานชาย “ยังไม่ถึงเวลาของเรา”


    จื่ออวี่หายใจเข้าลึกและยังคงท่าทีสงบนิ่ง แม้ภายในใจของเขาจะกระวนกระวายมาตั้งแต่เมื่อคืนก่อนพิธีนี่ก็ตาม เขาและพีฟางเห็นพ้องต้องกันว่าหากบุกคุกหลวงหรือทำอันใดบุ่มบ่ามเช่นให้คนของตนแสร้งทำเป็นโจรบุกเข้ามาคงไม่เป็นผลดีนัก จึงได้ตั้งหน้าตั้งตาวางแผนและสรุปได้ว่าในจังหวะที่นักพรตหลวงนั้นกำลังสวดภาวนาหรือเข้าใกล้ตัวของจีเซี่ยวยามมัดนางไว้กับเสา กลุ่มคนที่มีฝีมือของพีฟางจะจัดการโดยทันที



    “จะเริ่มพิธี ณ บัดนี้”


    เสียงขันทีคู่กายของโจวกงหวางเอ่ยเสียงดังให้ผู้อยู่ในลานพิธีเตรียมพร้อม พลธนูเอาอาวุธของตนขึ้นสายรอเมื่อร่างของหญิงสาวที่ไร้เรี่ยวแรงถูกตรึงไว้กับเสาเป็นตัวสังเวย จื่ออวี่เหลือบมองไปยังกระเบื้องหลังคาทรงสูงทางด้านหลังนั่น เขาเห็นคนสองคนในชุดสีดำที่ถือคันธนูรอเพียงคำสั่งการในระยะที่สมควรจะยิงได้ ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ของนักพรตชั้นเลวซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางลาน


    เสียงสวดที่เหมือนจะทำให้ผู้ฟังนั้นต้องมนต์ผ่านไปไม่นานนัก บรรยากาศโดยรอบก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปแม้แต่ชนชั้นสูงยังรู้สึกได้ ท้องฟ้าที่ปลอดปุยเมฆมาตั้งแต่แรกเริ่มค่อยๆก่อกลุ่มเข้าหากันเป็นสีเทาทะมึน ลมที่นิ่งสงบให้ความเย็นค่อยๆรุนแรงตามลำดับ ฟ้าคำรามดั่งมีใครเข้าไปล่วงเกินลิขิตสวรรค์ ทุกคนล้วนแต่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความประหลาดใจระคนหวาดกลัว ไม่เว้นแม้แต่ตัวของนักพรตเองที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ตนคาดคิดเอาไว้


    เสียงคำรามครั้งสุดท้ายของท้องฟ้าทะมึนอย่างโกรธเกรี้ยว สายสีขาวแปล๊บก็เกิดขึ้นโดยรอบราชสำนักอย่างอัศจรรย์ใจ หากมองเพียงแต่ด้านนอกวังหลวง จะเห็นว่ากลุ่มก้อนเมฆและสายฟ้าพิโรธนั้นก่อตัวขึ้นเหนือแต่ราชสำนักของเจ้าแคว้นอย่างผิดวิสัยเท่านั้น นักพรตหลิงที่นั่งอยู่กลางลานเองก็ไม่อาจนิ่งเฉยต่อสายฟ้าและความพิโรธของสวรรค์ได้จึงรีบตะเกียกตะกายจากเสื่อลานพิธี ทว่าก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องล้มลงอย่างอเหน็จอนาจจนได้


    เปรี้ยง!


    “อ๊ากกก--ก” 


    สายฟ้าอันรุงแรงฟาดลงกลางหลังของคนที่ล้มลงในทันที เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้นตามมาท่ามกลางสายตาของผู้คนทั่วทั้งวัง
     

    “ท่านป้า เราจะทำเช่นไรกันดี” ฮัวหลี่ซานทนนั่งนิ่งไม่ไหวตั้งแต่ที่กลุ่มบรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งเห็นตัวนักพรตที่โดนสายฟ้านั้นกระหน่ำสาดเข้าใส่ประหนึ่งการลงโทษ ก็ทำเอาตัวนางอดรนทนความพิโรธจากธรรมชาติแทบไม่ได้


    ฮัวหวงโฮ่วรีบลุกขึ้นและออกคำสั่ง หากนักพรตนั่นตายไปเสียก่อน มนต์คาถาที่นางทำใส่ตัวโจวกงหวางตอนมีพระราชโองการกักขังโจวจื่ออวี่ก็จะเลือนหายไปด้วย “ไปช่วยเขาออกมาสิ!!”


    เปรี้ยง! เปรี้ยง! 


    ทว่าเมื่อทหารสองนายทำท่าจะวิ่งเข้าไปตามคำสั่ง แต่กรงสายฟ้าที่ฟาดลงมาซ้พำไก็ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าถึงตัวของนักพรตหลวงซึ่งบัดนี้ผิวพรรณไหม้เกรียมได้ มันกระตุกกายเพียงสองสามครั้งพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากปากเป็นสีดำสนิท แล้วจึงแน่นิ่งไป 


    “ชำระล้างสิ่งชั่วร้าย หึ สุดท้ายก็เป็นตัวเจ้านักพรตมารจอมปลิ้นปล้อนเสียนั่นเอง” พีฟางที่หายตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเอ่ยอย่างสมเพช ก่อนจะหันไปหาผู้เป็นหลานชาย “จื่ออ-“



    “จื่ออวี่ จื่ออวี่! กลับเข้ามา!” แต่ทว่าร่างสูงศักดิ์ขององค์ไท่จื่อนั้นกลับกระโดดลงจากระเบียงและวิ่งตรงไปยังลานพิธี ท่ามกลางสายตาของผู้เป็นบิดาที่ร้องสุดเสียง เสียก่อนที่โจวกงหวางจะได้ห้ามทันด้วยซ้ำ “สายฟ้านั่นจะฆ่าเจ้า!”



    นับตั้งแต่สายฟ้าฟาดลงเหนือราชสำนัก ใจเขาที่เป็นห่วงนางซึ่งถูกพันธนาการอยู่กลางลานก็ยิ่งแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาไม่สนใจว่าร่างกายของนักพรตเลวนั่นจะถูกฟ้าผ่าให้ดูเป็นตัวอย่างอย่างไร จื่ออวี่เพียงแค่วิ่งออกไปพร้อมกับคว้าด้ามดาบจากทหารนายหนึ่งออกจากฝักผ่านสายฝนและฟ้าที่คำรามอยู่ เขาตรงไปยังร่างของหญิงสาวที่ดูจะหมดสติไปก่อนหน้านี้ ก่อนจะตวัดปลายดาบให้เฉือนเข้าเนื้อของเชือกและปลดตัวนางออกมา



    ความโล่งใจเกิดขึ้นภายในร่างกายของร่างสูงเช่นเดียวกับผู้เป็นอา และความตื่นตระหนกของโจวกงหวางเองก็ค่อยๆมลายหายไปเมื่อสายฟ้าและเมฆที่ขู่คำรามนั้นเคลื่อนตัวผ่านไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย 



    “ฟ้าสงบลงแล้ว” พีฟางเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาราวกับไม่เชื่อสายตาตนเอง

    “สวรรค์..สวรรค์ชี้ทางข้า” โจวกงหวางคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ “นางกับจื่ออวี่..คือสวรรค์ลิขิตตั้งแต่แรกงั้นหรือ”

     

    ชายกลางคนเหลือบเห็นเหมือนผู้เป็นพี่ชายเพิ่งจะได้สติ ก็หันไปออกคำสั่งกับคนที่อยู่เหนือหลังคาให้เก็บอาวุธทางภาษามือ และค่อยสั่งการกับทหารที่อยู่ไม่ไกล “ไปเก็บร่างเจ้านักพรตนั่นออกมา”  


    “จีเอ่อร์ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” จื่ออวี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนระคนโล่งใจ นางยังคงลืมตาขึ้นไหวแต่กระนั้นก็ยังหายใจหอบถี่ด้วยอารามอ่อนเพลีย


    “ลุกไหวหรือไม่ ไม่เช่นนั้นข้าจะเป็นคนอุ้มเจ้าเอง” 


    “หันธนูของเจ้าไปที่องค์รัชทายาท” เสียงเย็นที่ออกคำสั่งจากด้านหลังทำให้พลธนูนายหนึ่งที่ยังคงมีแรงรั้งสายธนูให้ตึงอยู่เหงื่อตก เพราะสัมผัสได้ถึงอาวุธมีคมด้านหลังต้นคอโดยที่เขาไม่รู้ว่าหญิงกลางคนผู้ดำรงตำแหน่งฮัวหวงโฮ่วนี้มีมีดปลายแหลมอยู่กับตัวได้อย่างไร แม้ตอนแรกเขาจะยังนิ่งเฉยไม่ทำตามคำสั่ง แรงกดของมันก็ทำให้พลธนูผู้น่าสงสารรายนี้หันทิศของปลายดอกไปยังร่างของคนสองคน ณ ลานพิธีเสียมิได้


    เช่นเดียวกันกับสัญชาตญาณของพีฟางที่รู้สึกว่าศึกครั้งนี้ยังไม่จบสิ้น หางตาของเขามองหาร่างของฮองเฮาที่ควรจะอยู่ข้างกายผู้เป็นพี่ชายเขาแต่กลับไร้วี่แวว จนมองเห็นนางยืนอยู่เบื้องหลังของพลธนูนายหนึ่งเยื้องออกไป ซึ่งบัดนี้กำลังค่อยๆหันไปยังทิศที่จื่ออวี่ซึ่งกำลังพยุงร่างของหญิงสาวเอาไว้แนบกายอยู่


    “เดินหน้า!!”  ชายกลางคนก้าวเท้าเร็วๆไปยังนางฮองเฮาเจ้าเล่ห์และตะโกนสัญญาณลับดังก้องไปทั่วลานพิธีแก่ชายชุดดำเหนือหลังคาให้ตั้งคันธนูที่เพิ่งผ่อนแรงไปไม่ทันไรขึ้นอีกครั้งและง้างมันตรงไปยังพลธนู



    “อ๊าก!” ธนูนั้นพุ่งตรงเข้าใส่หลังมือที่ง้างปลายดอกเอาไว้อย่างแม่นยำจนบาดเจ็บและจำต้องปล่อยให้ลูกธนูในมือตรงไปยังทิศทางเป้าหมายที่ถูกบังคับตั้งไว้แต่แรกเริ่ม


    จื่ออวี่ได้ยินเสียงตะโกนของผู้เป็นอาหยุดชะงักไปในตอนนั้น แต่ยังไม่ทันได้สังเกตว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น เขาก็รู้สึกถึงมวลพลังงานบางอย่างจากฝ่ามือของของหญิงสาวที่เขากำลังประคองอยู่อย่างอ่อนเพลียจนตัวเองกระเด็นถอยออกไปซึ่งสวนทางกับลูกธนู


    ฉึก!


    “จีเอ๋อร์!!”


    ฮัวหวงโฮ่วมีสีหน้าซีดเผือดในทันทีที่โอกาสสุดท้ายของตนผิดพลาด พร้อมกับการเข้าจับกุมของผลธนูที่หันมาควบคุมตัวนางเอาไว้ด้วยการนำของพีฟางเอง 

    “มันจบแล้ว ฮองเฮา”


    โจวกงหวางที่เหมือนเพิ่งจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายทำการใดลงไปก็ตวาด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “ฮองเฮา เจ้าทำอะไรลงไป!!?” 
    “ม หม่อมฉันไม่ได้ทำนะเพคะ!-โอ้ย” หญิงกลางคนอ้อนวอนด้วยอาการตระหนก ก่อนจะต้องร้องขึ้นมาเมื่อถูกชายผู้เป็นอนุชาของโจวหวางบิดข้อมือนำมีดสั้นออกมาเป็นหลักฐานคาตา 

    “ท่านป้า!” 


    “หยุดตัวเจ้าเองไว้ ณ ที่ตรงนั้นเถอะฮัวหลี่ซาน” พีฟางหันปลายนิ้วอีกข้างไปดักหน้าหญิงสาวที่กำลังจะก้าวเข้ามาช่วยเหลือเครือญาติตนเองด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่เช่นนั้นตำแหน่งข้างกายเขาที่เจ้าถวิลหา จะหายไปกับตาเสียตั้งแต่ตอนนี้”



    “จี จีเอ่อร์!” จื่ออวี่ร้องเสียงดังเมื่อหญิงสาวที่เขาประคองมานั้นเอาตัวของนางรับธนูที่พุ่งเข้ามาแทน จนเหล็กกล้าของลูกดอกลูกนั้น ปักลงที่กลางหน้าท้องของนางเข้าทันที  “หมอหลวง-ตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!!” 


    ร่างสูงหันไปสั่งการอย่างคนเลิ่กลั่ก ก่อนที่เขาจะยื่นมือขึ้นปกปิดเลือดนั่นจากปปลายธนูและประคองศีรษะของนางที่หลับตาลงไปแล้ว “จีเอ่อร์ เจ้าลืมตาขึ้นสิ”


    ใบหน้าที่ซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด เลือดที่ยังคงไหลเปรอะเปื้อนฝ่ามือ และดวงตาที่ปิดสนิททำให้จิตใจของรัชทายาทเริ่มระส่ำอย่างบ้าคลั่ง



    “ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าหลับตา เหตุใดเจ้าจึงไม่มองข้า ข้าบอกให้มองข้าอย่างไรเล่า!”



    “จื่ออวี่ หมอหลวงกำลังมาแล้ว นางจะต้องไม่เป็นอะไร” พีฟางที่เดินลงมายังลานพิธีในเวลาต่อมาย่อตัวลงข้างๆผู้เป็นหลานของเขาพร้อมกับวางมือลงบนไหล่ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด หากเพียงแค่ก้าวเดียวที่เขาจะช่วยปกป้องนางได้ แต่ในเวลาที่ไม่รู้ว่าธนูดอกนี้กว่าจะนำออกมาได้ต้องใช้เวลาเท่าใด ชายกลางคนจึงคาดการณ์ว่านางอาจจะทนไม่ได้นานเท่าใดนัก



    ท่ามกลางเสียงที่สั่นเทาขององค์รัชทายาท จื่ออวี่ที่ซุกใบหน้าลงบนกลุ่มผมของใบหูของนางอย่างเจ็บปวดก็ค่อยๆได้ยินสุรเสียงที่เขามั่นใจว่าเคยได้ยินมันมาก่อนในความฝัน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง 


    “อย่า..เลย...เพคะ” 


    “เจ้า..” ร่างสูงค่อยๆผละใบหน้าออกมามองต้นเสียงนั่น ซึ่งก็คือคนในอ้อมกอดของตนเอง “เจ้าพูด..อย่างนั้นหรือ?”


    “ขออภัย ที่ปิดบัง..มาโดยตลอดเพคะ” จีเซี่ยวค่อยๆเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาที่อ่อนล้า “...ดวงอาทิตย์ ของหม่อมฉัน” 


    รอยยิ้มที่ถูกกดออกมาอย่างอ่อนหวานและเต็มใจทำให้จื่ออวี่อดไม่ได้ที่จะคลายยิ้มท่ามกลางน้ำตาแห่งความดีใจ “ข้าไม่ได้โกรธที่ปิดบังข้า ไม่ได้โกรธเจ้าเลยสักนิดเดียว..” 



    “องค์ชายคงอยากจะรู้..ว่าหม่อมฉันเป็นใคร..มาจากไหน อยู่ทุกวัน” เสียงหวานนั้นเอ่ย


    “ตั้งแต่ที่เจ้าเปิดใจให้แก่ข้า ข้าหาได้สนใจอะไรอย่างอื่นอีก” เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเลือดข้างริมฝีปากของนางอย่างทะนุถนอม  “แต่ถ้าเจ้าอยากจะเล่า ก็ขอให้เมื่อหมอหลวงได้รักษาแผลเจ้าก่อนเถิด”


    “นี่เป็นด่านสวรรค์ ของหม่อมฉันเองเพคะ” นางส่ายหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “..เป็นทั้งรางวัล และโทษทัฑณ์ในคราวเดียว”

    “จีเอ๋อร์...เจ้าพูดเรื่องอะไร” 


    “หม่อมฉัน...เป็นธิดาของเทพเทียนหลู่ ผู้ปกครองพงไพรทั่วหล้า...นามว่าเหยาเจียน” 

    “…”


    “หม่อมฉันเฝ้ามององค์ชายมาตั้งแต่ท่านเข้ารับตำแหน่งรัชทายาท จนมันขัดต่อกฏของสวรรค์...จึงได้ลงมาเผชิญเคราะห์กรรม และพบท่านที่ผืนดินนี่”


    “…” แม้ดวงตาของจื่ออวี่จะแสดงความไม่เข้าใจ แต่กระนั้นนางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกล่าวต่อเพื่อเก็บแรงเอาไว้เลย


    “และที่ปกปิดตัวตน..ผลักไสพระองค์..เพราะหม่อมฉันรู้บทสรุปของด่านเคราะห์นี้ได้” นางยกมือขึ้นสัมผัสปลายคางและใบหน้าอันเป็นที่รักยิ่ง “หม่อมฉันจะเจ็บปวดไปตลอดจนสิ้นอายุขัย...เฉกเช่นเดียวกันกับตัวท่านเอง นั่นจึงทำให้หม่อมฉันไม่อาจทนเห็นพระองค์รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นได้เพคะ"


    “...อย่างไรเสีย” ร่างสูงกล่าวขึ้นในที่สุด ทั้งยังมองอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนโยน  “เจ้าก็ยังจะเป็นจีเอ๋อร์คนเดิม...เป็นดวงจันทร์ของข้าเช่นเดิม”


    หญิงสาวคลายยิ้มประหนึ่งโล่งใจ ก่อนที่ริมฝีปากอันแห้งผากของนางจะกล่าวต่ออย่างอดกลั้นความเจ็บปวดที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนานแล้ว “หากมีสักภพชาติใดที่เราได้พบกันอีกครั้ง...ณ ที่แห่งนั้น หม่อมฉันขอให้ไม่มีสิ่งใดรั้งการแสดงความรู้สึกของท่านเอาไว้..ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ท่านต้องโดดเดี่ยวยามเมื่ออยู่เหนือผู้คนเหล่านี้ ขอให้มีผู้คนล้อมรอบกายท่าน เป็นห่วงท่าน..และเติมเต็มสิ่งที่ท่านสูญเสียไปในช่วงชีวิตนี้ได้”  


     “ข้าอยู่ไม่ได้ จีเอ๋อร์” จื่ออวี่กล่าวพลางข่มเสียงและกอดนางแน่น เพราะแม้แต่ในวินาทีนี้ เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้“ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า”


    “ก่อนที่จะเจอหม่อมฉัน พระองค์ก็อยู่มาได้จนป่านนี้มิใช่หรือเพคะ” 


    “...แล้วหัวใจของข้าเล่า..หากจะทิ้งให้มันเป็นเช่นนี้ สู้มินำชีวิตข้าให้ตายไปด้วยกับเจ้าไม่ดีกว่าหรือ” 


    “อย่าทรงคิดเช่นนั้นเพคะ” ร่างบางลูบปลายนิ้วมือที่จับนางเอาไว้แน่นอย่างปลอบประโลม “ราษฏร์ต้องการท่าน นั่นคือสิ่งที่สวรรค์ลิขิตให้ท่านเป็น..ไม่มีใครหนีลิขิตของสวรรค์ได้ ดั่งเช่นตัวหม่อมฉันในตอนนี้..”


    “…"


    “หม่อมฉันก็แค่กลับไปเฝ้ามองพระองค์เช่นเดิมเท่านั้น หาได้หมายความว่าหม่อมฉันจะต้องจากไปไหนไกล” แม้จะฟังดูเหมือนคำโกหกที่ปั้นขึ้นมาเพื่อปลอบแม้กระทั่งตัวเอง แต่จีเซี่ยวก็ยังเลือกที่จะทำมัน เพื่อให้คนตรงหน้าที่นางรักนั้นจงมีชีวิตอยู่ต่อไป


    “หม่อมฉันคงไม่สามารถเป็นแม่ของแผ่นดินนี้..ไม่สามารถมีลูกให้ท่านไว้เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเราสอง” นางเงียบไปราวกับเค้นพลังเฮือกสุดท้ายก่อนจะกล่าวต่อ “ได้โปรด..ยกโทษให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ” 


    “จีเอ๋อร์..”


    “และบอกบิดาของท่านว่า หม่อมฉัน..ไม่โกรธเคืองฝ่าบาทที่ตัดสินใจเช่นนี้เลย” 



    “ไม่ ..จีเอ๋อร์..ได้โปรด”  นางเงียบและแน่นิ่งลงไปเมื่อจบประโยคนั้น จื่ออวี่รีบกอดนางแน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยแม้วิญญาณที่อยู่ในร่างของนางให้จากไป เขาแนบใบหน้าลงกับเรือนผมนุ่มที่ยังคงหอมดั่งเช่นทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดนาง ดั่งเช่นทุกครั้งที่นางยังมีลมหายใจอยู่ จนกระทั่งเมื่อครู่ หญิงสาวและดวงใจที่เขารักและหวงแหนที่สุดก็ได้จากไปพร้อมๆกันแล้ว...







    “ขอทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี” เสียงตะโกนก้องของเหล่าขุนนางและข้ารับใช้ทั้งหลายฝ่ายดังขึ้นในท้องพระโรง ร่างสูงศักดิ์ภายใต้อาภรณ์ของเจ้าแคว้นยกจอกเหล้าขึ้นดื่มตอบรับคำสัตย์สาบานที่ได้ร่วมกล่าวไปก่อนหน้าแด่เจ้าครองแคว้นคนใหม่ ภายในเวลาปีเศษจากเหตุการณ์วันนั้น โจวกงหวางสละราชบัลลังก์ของเขาให้แก่บุตรชายเพียงคนเดียว ภายใต้การดูแลและฝากฝังกับผู้เป็นน้องชาย ด้วยเหตุผลที่ชายกลางคนบอกว่าเขาไม่เหมาะสมกับผู้นำและในสถานะพ่อแม้จะไม่ได้มีใครมาบังคับให้รู้สึกเช่นนั้น หรือแม้แต่จะได้รับการอภัยจากผู้เป็นดั่งดวงใจลูกของเขาแล้วก็ตาม ซึ่งหลังจากนั้นหลายปีผ่านไปโจวกงหวางก็สิ้นพระชนม์ และถูกเรียกขานจากลูกหลานภายหลังว่า พระเจ้าโจวกง กษัตริย์ลำดับที่ 6 แห่งราชวงศ์โจว


    “ท่านหวาง” เสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียกเขาที่กำลังจะก้าวออกจากวังหยกหอมพร้อมขันทีคู่ใจ ไปยังสถานที่ที่เขามักจะไปในยามค่ำคืนเช่นนี้ 


    “ท่านอา โปรดอย่าเรียกข้าเช่นนั้นเลย” จื่ออวี่เอ่ยปากกล่าวอย่างถ่อมตัว ทำให้ผู้เป็นอาต้องหลุดขำเล็กๆอย่างเสียไม่ได้


    “บัดนี้เจ้าไม่ใช่แค่รัชทายาทเจ้าสำอางค์อีกแล้ว แต่เป็นถึงโจวอวี่หวาง ที่ให้เหล่าข้าราชบริพารเคารพ ในยามที่บิดาเจ้าดำรงตำแหน่ง แม้จะเป็นคนในครอบครัว ก็จำต้องทำตามราชประเพณี” 


    “คนอ่อนแอเช่นข้า จะเป็นผู้นำผู้อื่นเช่นท่านพ่อได้อย่างไรกันเล่า” ร่างสูงกล่าวราวกับสมเพชตน แม้ใบหน้านั้นจะแสดงออกเพียงน้อยนิดก็ตาม


    “อ่อนแอเพียงร่างกายใช่ว่าจิตใจจะอ่อนแอ เจ้าเติบโตขึ้นจากคราวนั้นไปมากโข ข้าเชื่อว่าบิดามารดาเจ้าต้องภูมิใจ” พีฟางยื่นมือออกมาแตะไหล่อีกฝ่ายก่อนจะพูดต่อ “แล้ววันนี้เป็นวันครองราชย์ เจ้าจะไม่อยู่ในวังหยกหอมกับ..เอ่อ หวงโฮ่วรึ” 


    “ถึงข้าจะเป็นหวางแล้ว แต่ข้ารู้ดีว่าที่ใดนั้นข้าจะเป็นสุขที่สุด” จื่ออวี่กล่าวเสียงเรียบ “อีกอย่าง ในเมื่อสิ่งที่ฮัวหลี่ซานต้องการก็คือตำแหน่งข้างกายข้า หาใช่ตัวข้าไม่ และวันนี้นางก็ได้ไปแล้ว ไม่จำเป็นที่ข้าจะต้องอยู่ใกล้ชิดกับนางด้วยซ้ำ”


    คนฟังลอบหัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอเมื่อรู้สึกเหน็บหนาวแทนหญิงสาวที่อยู่ในตำหนักหยกหอม หลังจากหมดอำนาจจากผู้เป็นญาติของตน เจ้าตัวก็เลิกแผลงฤทธิ์และได้รับในสิ่งที่เคยทำไว้แทบจะว่องไวนัก 



    เวรกรรม ช่างเป็นสิ่งที่ตอกกลับได้เจ็บแสบไปถึงทรวงดีแท้



    ใช้เวลาไม่นานนักในการกลับมายังที่ที่เขาคุ้นเคยและใช้ชีวิตอยู่ด้วยมากที่สุดเป็นเวลาปีเศษ กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวที่อยู่ในสระหน้าตำหนักทำให้เขาต้องสูดหายใจเข้าเช่นทุกครั้งเพื่อความสบายใจ ขันทีคู่ใจและนางกำนัลสองสามคนขยับทำหน้าที่เปลี่ยนอาภรณ์ให้แก่นายของเขาเพื่อความสบายตัว นำสุราและหนังสือราชการบางส่วนมาให้ถึงในตำหนัก หลังจากจื่ออวี่ใช้เวลาไปกับราชกิจการเมืองที่ถูกส่งมา เขาก็ได้ใช้เวลาก่อนนอนหลับพักผ่อนออกไปยังนอกตำหนักเพื่อชื่นชมดวงจันทร์กลางนภาเช่นเคย



    “หยวนจิง” เสียงของผู้เป็นนายเหนือหัวเรียกขันทีคู่ใจที่ถือตะเกียงเจ้าพายุอยู่ไม่ไกล

    “พะย่ะค่ะฝ่าบาท” 

    “หากวันใดข้าเกียจคร้านต่อหน้าที่โจวหวาง เจ้าจะต้องสั่งสอนข้านะ” 


    ชายในชุดขันทีมีสีหน้าไม่เข้าใจ “กระหม่อมมิบังอาจพะย่ะค่ะ” 


    “ทำเถอะ” จื่ออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเหม่อมองขึ้นไปยังหมู่ดาวเหล่านั้น และลูบปลายนิ้วไปมายังวงแหวนสลักรูปกวางบนปลายนิ้วชี้น้อยๆ “หากข้าเกียจคร้าน เจ้าคิดว่านางจะไม่ต่อว่าข้าทางสายตาหรือไง” 


    หยวนจิงเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบรับด้วยการก้มหน้าและคลายยิ้มออกมาเบาๆ “กระหม่อมรับบัญชา”


    หลังจากปล่อยให้ความเงียบกลืนหายหลังจากจบบทสนทนานั้น จื่ออวี่ก็เผลอไอออกมาเสียจนตัวโยนจนหยวนจิงที่เพิ่งเงียบไปไม่นานต้องเอ่ยออกมาอีกครั้งอย่างห่วงใย


    “กระหม่อมว่าฝ่าบาทเข้าพักผ่อนดีกว่า น้ำค้างลงเช่นนี้ อาจจะทำให้พระองค์ประชวรอีกก็ได้พะย่ะค่ะ"


    “ปีเศษมานี้ข้าก็ป่วยเป็นพักๆอยู่แล้ว เจ้าจะตกอกตกใจไปทำไม” ร่างสูงยิ้มราวกับมันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย  “อีกอย่าง ข้าอาจจะได้ไปพบนางเร็วขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้” 



    ขันทีคู่ใจถึงกลับผ่อนลมหายใจยาวและก้มหน้าอ้อนวอน “หากยามต้องไปพบก่อนเวลาอันควร พระนางอาจจะไม่ชอบใจก็เป็นได้พะย่ะค่ะ”



    “ข้ายอมให้นางต่อว่าข้า ทั้งวาจาและกิริยานะ” จื่ออวี่ยังคงจ้องมองพระจันทร์ดวงโตเนิ่นนานฉันใด ภาพของหญิงสาวที่เขารักก็ยังคงชัดเจนในจิตใจของฉันนั้น 




    ชีวิตนี้เจ้าสละชีวิตเพื่อข้า..ชีวิตหน้าที่เราได้พบกัน ขอให้ข้าได้เป็นฝ่ายตอบแทนเจ้าบ้างเถอะ




    หลายปีผ่านไป อาการประชวรที่มีขึ้นอยู่บ่อยครั้งของร่างสูงค่อยๆทวีขึ้นจนผู้คนรอบข้างวางใจได้ยาก หมอหลวงต้องทำหน้าที่ข้างกายอยู่บ่อยครั้งไม่ห่างเช่นขันที และในช่วงเวลาบั้นปลายของชีวิตโจวอวี่หวาง แม้จะไม่ได้ทำหน้าที่ใดเพื่อให้บ้านเมืองก้าวหน้าแต่ก็รักษาแคว้นซีโจวไว้ให้สงบสุขมาได้ตลอดปี ผู้คนในภายหลังจึงยกย่องเขาดั่งเช่นกษัตริย์ราชวงศ์โจวคนอื่นๆให้ขึ้นเป็น พระเจ้าโจวอวี่ กษัตริย์แห่งราชวงศ์โจวลำดับที่ 7 ครองราชย์ในช่วงระหว่าง 899 - 892 ปีก่อนคริสต์ศักราช สิริรวมปีการครองราชย์เป็นเวลา 7 ปี  และเพราะไร้ซึ่งทายาทใดๆ พีฟางผู้เป็นพระอนุชาของโจวกงหวางจึงครองแคว้นต่อมา เป็น พระเจ้าโจวเซี่ยว กษัตริย์ลำดับที่ 8 ต่อมา









    - FIN -

    ____________________

    1. เทียนหลู่ - สัตว์ในเทพนิยายของจีน
    2.เหนียงเหนี่ยง - ใช้สำหรับเรียกหญิงสาวที่แต่งงานเข้าตระกูล หรือแต่งงานแบบคนธรรพวิวาห์แล้ว
    3.หวงโฮ่ว - ตำแหน่งฮองเฮา


    talk : เล่มจบมันก็จะยาวหน่อยๆ มีใครพอเห็นอะไรคุ้นๆตาจากฟิคอยู่ในเรื่องนี้บ้างมั้ยคะ ?
    ยังไงก็ลองทายกันดู อิอิ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×