ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TWICE | OS/SF : #Xslibrary

    ลำดับตอนที่ #23 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์จินณวัตร : ดอกนางแย้ม ๓

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 64






    กรุ่นกลิ่นของชาที่เย็นชืด บ่งบอกว่าบรรยากาศภายในวงสนทนานั้นผ่านพ้นอย่างตึงเครียดและหนาวเย็นเพียงไร


    “ทั้งโดนข่มขู่เรียกค่าไถ่ ถูกโจรเถื่อนยิง ไหนจะเรื่องบ้าระห่ำอะไรอีก...”


    กึก 


    สราวลีกล่าวเช่นนั้น ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกัดลงบนคุกกี้สีน้ำตาลที่บ่าวรับใช้นำมาให้ก่อนหน้าอย่างตั้งใจ ทำเอาเสียบรรดาหนุ่มสาวที่เพิ่งจะเล่าเรื่องราวของตนเองจบลงไปเผลอสะดุ้งอยู่ภายในไม่ได้ 


    “นี่คงไม่เห็นว่าอายังมีตัวตนอยู่แล้วกระมัง” 

    “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะท่านอา” 


    หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์พูดขณะเคลื่อนกายลงมาคุกเข่าอยู่เยื้องแก่ผู้มีศักดิ์เป็นอาด้วยความสำนึกผิด 


    “ถ้าจะพูดให้ชัด เป็นเพราะชายเองที่สั่งสอนและดูแลพวกน้องหญิงไม่ดีพอจึงได้เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้น”


    จินณวัตรที่เห็นว่าพี่ชายใหญ่ของตนก้าวลงไปเป็นคนรับผิดก็รีบเคลื่อนตัวมายอบกายอยู่ข้างๆ


     “ไม่ใช่เพคะ พี่ชายใหญ่ทำหน้าที่ของตัวเองได้เต็มที่แล้ว แต่เป็นพวกเราเองที่ทำอะไรโดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ทั้งที่รู้ว่าท่านพ่อฝากฝังให้เราดูแลตระกูลเป็นอย่างดี อย่าได้ทำให้มันแปดเปื้อน..”


    ทว่าหญิงกลางคนเพียงมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง หญิงสาวคนอื่นพอเห็นคนทั้งคู่เคลื่อนตัวลงไปนั่งคุกเข่าก็กระทำเช่นเดียวกันเป็นทอดๆ ราวกับถูกติดตั้งระบบเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น


    “ก่อนอื่น” 


    เสียงของอีกฝ่ายเรียบพอกันกับดวงตาคู่สวย บรรดาสมาชิกวังดอกไม้ที่ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหล่อนด้วยซ้ำพลันรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ย่อมไม่อาจทำให้หญิงกลางคนบรรเทาความขุ่นเคืองลงได้ก็ได้แต่ลอบส่งสายตากันอยู่เนืองๆ


    “ตอนนี้ฉันไม่ใช่หม่อมเจ้าหญิงสราวลีแล้ว พวกคุณหญิงคุณชายช่วยลุกขึ้นนั่งประจำตำแหน่งด้วย” 


    หญิงกลางคนพูดขณะเชิดใบหน้าไปทางอื่นราวกับจะไม่ยอมรับการคุกเข่าสำนึกผิดของทั้งห้าหนุ่มสาว 


    คุณหญิงดารารินทร์ค่อยๆ เปิดปากเมื่อไม่เห็นว่ามีใครเริ่มขยับตัว “แต่อย่างไรเราก็เติบโตมากับท่านอาหญิง...”


    “อย่าให้ผู้ใหญ่พูดซ้ำ”


    สิ้นน้ำเสียงเด็ดขาดและท่าทีเฉยเมยนั้น บรรดาหม่อมราชวงศ์ทั้งหมดก็จำต้องเคลื่อนกายขึ้นนั่งเสมอกันตามคำสั่งดังเดิม 


    หากถามว่าใครจะรู้ดีถึงนิสัยของอดีตหม่อมเจ้าหญิงสราวลีดีที่สุด คงไม่แคล้วต้องเป็นคุณชายใหญ่และคุณหญิงใหญ่ทั้งคู่ หากบิดาอย่างหม่อมเจ้าพลจานุกิจได้ความใจดีและอบอุ่นจากเสด็จปู่มา ผู้เป็นอาของพวกเขาทั้งห้าก็ได้นิสัยเด็ดขาดและดื้อรั้นในฐานะท่านหญิงคนเล็กมาเต็มประตู  


    ในยามที่คุณชายเจตน์เพิ่งเสียงแตกหนุ่มนั้น เขาจดจำได้ว่าเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ซึ่งท่านพ่อเล่าให้ฟังก็คือการทะเลาะเบาะแว้งของท่านหญิงสราวลีและฝั่งครอบครัวของเสด็จปู่ หล่อนตั้งใจจะแต่งงานกับคนที่ตนเองรักซึ่งเป็นเพียงแค่หนุ่มนักกฏหมายหน้าใหม่ และด้วยนิสัยเช่นที่กล่าวมาจึงทำให้ต้องยึดบรรดาศักดิ์คืน กระทั่งถูกตัดออกจากวงศ์ตระกูลไปโดยปริยาย 


    ยามนั้นหล่อนมีเพียงบิดาของพวกเขาเท่านั้นที่คอยแอบช่วยเหลือท่ามกลางญาติคนอื่นๆ แต่หล่อนเองก็มีความสามารถมากพอที่จะใช้เวลาไม่นานนักในการจัดสรรเรื่องราวในชีวิตให้เข้าที่เข้าทางจนตั้งตัวได้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยหากหล่อนจะเป็นที่พูดถึงในด้านของการ ‘จัดการ’ จนใครๆ เขาหวั่นเกรง


    เพราะความที่รู้จักใช้และวางคนให้อยู่ถูกตำแหน่ง ระหว่างเดินลงไปให้เสือกินหรือสนทนากับคุณสราวลี บรรดาคู่ค้าที่คิดจะผูกมิตรย่อมต้องคิดแล้วคิดอีกว่าแบบไหนจะเข้าเนื้อตนเองน้อยกว่ากัน 


    เมื่อหม่อมเจ้าพลุจานุกิจและบรรดาหม่อมทั้งสามจากไปเพราะโรคระบาด หล่อนทำเพียงรับหน้าที่เป็นผู้ปกครองในเรื่องบางเรื่องเท่านั้น นอกจากเรื่องมรดกทรัพย์สินที่หล่อนแทบไม่แตะต้องแล้ว หญิงกลางคนยังเคยเป็นผู้ใหญ่ในการแต่งงานให้คุณชายเจตน์อีกด้วย


    “เรื่องชื่อเสียงอาเคยสอนแล้วว่าอย่าไปยึดติดกับมัน ถึงมันจะเป็นคำสั่งเสียของพี่ชายไม่ได้เรื่องของอา ก็ใช่ว่าต้องนำมันมาฉุดรั้งการเป็นพวกเธอ” หล่อนพูดถึงผู้จากไปราวกับจะขบขัน ทั้งที่พวกเขารู้ดีว่าหล่อนนั้นทำอะไรก็มักจะหวนนึกถึงครอบครัวอันอบอุ่นสมัยก่อนในใจเสมอ 


    “เรื่องแต่งงานออกเรือนก็เหมือนกัน ท่านพ่อของพวกเธอบอกให้เป็นการตัดสินใจของตัวเอง แต่ก็ต้องเหมาะสมด้วย”


    สีหน้าของอดีตท่านหญิงนั้นอ่านไม่ออกว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร ดวงตาคู่งามของหญิงกลางคนเพียงมองคนอ่อนกว่าทั้งสามที่นั่งถัดไปจากจินณวัตรทีละคน


    “...แต่เท่าที่ได้ยินมา ไม่เห็นมีใครคิดจะบอกฉันสักคน”


    นี่เป็นการบ่งบอกว่าเรื่องราวในปีนี้ที่ผ่านมานั้น ผู้มีศักดิ์เป็นอาได้รับรู้แล้วเรียบร้อยและคงจะต้องมาสอบปากกันทีละคู่ หม่อมราชวงศ์จินณวัตรที่หันมองสีหน้าของน้องสาวทั้งสามแล้ว จึงทำได้เพียงลอบส่ายศีรษะน้อยๆ 


    “ชายกับน้องๆ รู้ตัวและสำนึกผิดแล้วค่ะ” 


    “ถ้าสำนึกผิดแล้วก็ดี แต่เห็นทีต้องจัดระเบียบวังดอกไม้ให้เข้าที่เข้าทางเสียหน่อย” 


    สีหน้าของหล่อนดูอ่อนลงจากคราวแรกที่บอกให้พวกเธอเปิดปากเล่าเรื่องราวทั้งหมด แต่ทว่าก็ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยหรือเคลื่อนไหวตัวอะไร กระทั่งหญิงกลางคนวางถ้วยชาที่หยิบยกมาดื่มล้างความหวานลงอีกครา 


    “อะไร ทำหน้าเหมือนอาจะจับกินอย่างนั้นล่ะ” 


    มองเห็นเรียวคิ้วสวยที่ยกขึ้นอย่างหยอกเย้า คุณหญิงนีราพรรณจึงกล้าคลายยิ้มเผลและเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง


    “แค่นานแล้วที่เราไม่ได้พบท่านอาค่ะ” 


    “ประเดี๋ยวชายให้คนจัดห้องหับไว้ให้นะคะ” คุณชายเจตน์กล่าวบอกหลังจากรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวคลายความอึดอัดลง แต่ร่างของคุณหญิงคุณชายทั้งห้าซึ่งกำลังจะเคลื่อนไหวจำต้องหยุดชะงักอีกคราเมื่อได้ยินเสียงเย็นๆ ที่ขัดขึ้นว่า


    “เดี๋ยว” 

    “…” 

    “ใจคอจะไม่สวมกอดกันให้หายคิดถึงหน่อยรึนี่” 


    ความโล่งอกโล่งใจเกิดขึ้นแก่คนทุกผู้ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ที่คอยนั่งพินอบพิเทาอยู่มุมห้อง คุณหญิงดารารินทร์เป็นคนที่แรกย่อกายเคลื่อนเข้าไปโอบกอดหญิงกลางคนด้วยความคิดถึงให้สมกับการหยอกเย้าของหล่อน ไม่นานนักสมาชิกในครอบครัววังทัตพงศ์มาลีก็ได้คลายความห่างเหินที่มีกันครบทุกผู้ โดยไม่มีใครทันสังเกตลมหายใจที่ถูกผ่อนออกมาอยากโล่งใจของคุณหญิงใหญ่เลยสักคนเดียว






    ควันสีขาวที่อบอวลอยู่ภายในอากาศ ณ ห้องฝั่งหนึ่งของวังวิมานมาศทำให้ผู้ที่ไม่ถูกจริตกับมันรู้สึกเหนื่อยล้ากับการที่จะกลั้นหายใจ หม่อมเจ้าหญิงมณินทรในชุดกระโปรงสีอ่อนทำเพียงยืนมองบรรดาชายแก่และหญิงกลางคนที่ล้อมโต๊ะทรงกลมส่งเสียงดีอกดีใจ เมื่อตนสามารถเก็บเกี่ยวเงินของแต่ละคนได้อยู่เงียบๆ 


    แต่เล็กจนโตนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หญิงสาวได้เห็นการพนัน แรกเริ่มมณินทรคิดว่ามันคงเป็นเรื่องของการเป็นผู้ใหญ่และไม่ควรที่จะแพร่งพรายออกไปให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูลอย่างเช่นคนอื่นๆ ที่เอามาลอบพูดคุยกันในวงสนทนา ทว่าตัวหญิงสาวเพิ่งจะได้ทำความเข้าใจเอาได้ก็เมื่อข้าวของประดับในบ้านตั้งแต่เธอลืมตาดูโลกนั้นเริ่มหายไปจากที่ที่มันควรอยู่เรื่อยๆ 


    “ไปเอาเครื่องดื่มกับบุหรี่มาหน่อย”


    นางสริผู้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม่ห่างจากโต๊ะทรงกลมมากนักเอ่ยขณะกวาดสายตาอ่านบนนิตยสารวงการบันเทิง ครั้นเมื่อเห็นว่าเธอยังเอาแต่มองหล่อนสลับกับหญิงรับใช้ที่คอยนวดเฟ้นไฟล่อย่างเอาอกเอาใจอยู่อย่างเดิม ก็ขมวดเรียวคิ้วเข้มและกล่าวออกมา


    “ฟังครั้งเดียวไม่รู้เรื่องหรือ”


    “หญิงเพียงสงสัย ว่าทำไมจึงไม่ออกคำสั่งกับสไบที่อยู่ข้างหลังของคุณป้า” 


    สาวรับใช้ชะงักมือและส่งสายตาเหน็บแนมกันในทันที 


    “ท่านหญิงไม่เข้าใจตรงไหนเพคะ ก็หม่อมฉันกำลังนวดไหล่ให้คุณนายอยู่ ถ้าผละออกไปคุณนายจะหายเหนื่อยได้หรือ”

      

    เลยเรียกเธอที่อยู่อีกฟากหนึ่งของตึกให้มาหยิบแทนน่ะหรือ นี่ออกจะเกินไปหน่อยละมัง 


    คิดดังนั้นพลางผ่อนลมหายใจข่มความรู้สึกของตน มณินทรเดินอ้อมฉากกั้นไปยังตู้ไม้เก่าอันกลายมาเป็นที่บรรจุข้าวของที่หล่อนต้องการใช้สอยยามบรรดา ‘แขกคนสำคัญ’ มาเยือน เธอจึงหยิบซองบุหรี่สีคุ้นตากับและขวดเครื่องดื่มที่แช่รอโอกาสสำคัญเช่นนี้ออกมาตามคำ 


    “ได้ยินว่าหลานของคุณนายสริอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ดูท่าจะเป็นคนดื้อเงียบด้วยสินะคะ”


    หญิงกลางคนท่าทางดั่งคุณนายเศรษฐีคนหนึ่งเอ่ยราวกับจะตักเตือน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความนัย


    “ฉันก็สั่งสอนจนปากเปียกปากแฉะแล้วค่ะ แต่ถ้าคนมันจะดื้อ ต่อให้เราพูดขนาดไหนมันก็ดื้อ”


    ชายรูปร่างท้วมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาบ้าง “อย่างไรลองให้รู้จักกับหลานชายของผมดูไหม ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เข้ารูปเข้ารอยจนเป็นที่น่าพอใจของคุณนายก็ได้”  


    ไม่ใช่เพียงแค่มณินทรที่มองเห็นแววตาหื่นกระหายอย่างจาบจ้วงของอีกคน แม้แต่นางสริเองที่เพิ่งจะเอ่ยเห็นดีเห็นงามกับการกระทำอันไม่สมควรของเธอ ก็ยังรู้สึกได้และรีบตอบกลับอย่างไม่ต้องการทำลายน้ำใจของมันด้วย  


    “ขอโทษด้วยค่ะเสี่ยพงศ์ พอดีหลานฉันถูกหมั้นหมายไว้กับเจ้าสัวไพรีแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงเวลาเปิดตัวแล้วล่ะค่ะ”


    “แหม เสียดายนะครับ”


    หญิงสาวเม้มริมฝีปากของตนระหว่างที่เสียงหัวเราะระลอกหนึ่งเกิดขึ้นภายในวงไพ่ เธอจัดแจงวางแก้วเครื่องดื่มให้บรรดาชายหญิงกลางคนที่นั่งล้อมวงอยู่ ก่อนจะตั้งใจสะบัดมือไปยังทิศทางของชายร่างท้วมและเป็นผลให้เขาตกใจจนต้องหลุดร้องออกมา


    “อ้ะ!” 


    “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่ทันระวัง” 


    มณินทรรีบบอกด้วยสีหน้าประหนึ่งเกรงกลัวทันทีที่ได้ยินเสียงขบกรามกรอดๆ จากแขกของผู้มีศักดิ์เป็นป้าแล้วรีบถอยห่างออกมาสามก้าว นางสริรีบผละจากมือของบ่าวคนสนิทแล้วตรงเข้ามาดูแลร่างกายที่เปื้อนไปด้วยเครื่องดื่มที่เธอเพิ่งนำออกมาทันที พลางตีสีหน้าคาดไม่ถึงให้คนทุกผู้เข้าใจ  


    “ไม่เป็นไรนะคะเสี่ย เดี๋ยวฉันให้คนไปนำชุดมาให้ใหม่ มีอีกหลายชุดเลยที่สามีฉันไม่เคยหยิบมาใช้”  


    หล่อนหันไปพยักเพยิดกับสาวรับใช้โดยไวเมื่อรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของคนเป็นแขก ครั้นเมื่อจัดแจงให้อารมณ์ที่ถูกขัดจังหวะของแขกทั้งหลายสงบลง หญิงกลางคนจึงหันแววตาแข็งกร้าวมายังเธอและคว้าข้อมือบางให้เดินตามห่างออกไป


    “ท่านหญิงจงใจหรือ”  


    คำถามนั้นเป็นสิ่งแรกที่ออกจากริมฝีปากสีสดเมื่อหล่อนแทบจะเหวี่ยงร่างของเธอให้ออกห่าง หญิงสาวจึงพยายามเริ่มตอบกลับด้วยการคิดถึงสถานะของตนเองและจดจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว


    “หญิงบอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ” 


    “คิดว่าฉันดูไม่ออกหรือท่านหญิง” ริมฝีปากนั้นขยับช้าๆ ราวกับจะเค้นคำตอบ “คิดจะหาเรื่องให้ฉันรับผิดชอบหรือไร” 


    หม่อมเจ้าหญิงมณินทรพลันขยับมุมริมฝีปากของตนเองเมื่อความคาดการณ์ในใจกระจ่างแจ้ง


    “หญิงไม่ทราบว่าเขาเป็นคนสำคัญของคุณป้า นอกเหนือจากคุณลุงแล้ว ผู้ชายทุกคนที่เคยมาก็สำคัญขนาดนั้นเลยหรือคะ ถึงขนาดหยิบใช้เสื้อผ้าที่เป็นของเสด็จพ่อของหญิงมาให้ด้วย”


    สีหน้าของหญิงกลางคนดูเปลี่ยนไปอย่างที่ตัวเธอคาดการณ์ หล่อนคงนึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้านำเรื่องที่เจ้าตัวมักพักพา ‘ขา’ ผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันและอ่อนกว่าเข้าออกวังวิมานมาศมาพูด จริงอยู่ที่มณินทรแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจและไม่ต้องการรับรู้มาตลอดหลายปี แต่ไม่นานมานี้เองที่เธอค้นพบว่าจิตใจของผู้มีศักดิ์เป็นป้าคนนี้ไม่ได้ซื่อตรงกระทั่งกับคู่ชีวิตของตน  


    “เก็บไว้ก็ไม่ได้ให้ใครใช้ ให้ฝุ่นเกาะปลวกกินไปเสียดายเปล่า” 


    หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่ติดกังวลเพียงเล็กน้อย ยิ่งทำให้มณินทรกล้าที่จะจับจ้องดวงตาที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่มั่นคงให้นานขึ้นกว่าที่เคย


    “คุณป้ามีใจห่วงก็แล้วไป หญิงเพียงแค่กังวลว่าแม้แต่คุณลุงของหญิงเองจะไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้ก็เท่านั้น”


    ยิ่งระหว่างนี้นายกำพลผู้เป็นลุงของเธอมีอาการที่ดูแย่ลงกว่าแต่ก่อน เขาทั้งไอและใช้เวลานอนพักอยู่ในห้องทำงานนานกว่าที่เคยจนดูเหมือนยาที่คอยออกไปซื้อให้นั้นไม่อาจช่วยให้เขาหายดี นับประสาอะไรกับการมาออกมาต้อนรับแขกของภรรยาที่แทบจะไม่เข้าทางประตูหน้า แล้วจับผิดว่าหล่อนผิดปกติไปอย่างไรด้วย 


    “ก่อนจะพูดอะไร รบกวนท่านหญิงไตร่ตรองให้มากกว่านี้” 


    หญิงกลางคนขบกรามของตนแน่นและกล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ข่มขู่ มณินทรแม้จะยังรู้สึกกลัวและกังวลกับผลที่จะตามมา แต่อย่างน้อยเธอก็ได้รับรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าก็มีจุดอ่อนให้เห็นอยู่ไม่ต่างกัน 


    “ไปเสีย อยากไปที่ไหนก็ไป จนกว่าฉันจะอารมณ์ดีขึ้น ท่านหญิงอย่าได้ผ่านมาให้รำคาญใจเลย!”






    สายลมพัดแผ่วเป็นระยะยามที่หน้าต่างของรถคลาสสิกสีต้นไผ่ถูกลดลงด้วยมือของผู้โดยสาร หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเพิ่งจะหลุดออกมาจากความคิดของตนเองในยามที่ได้ยินเสียงของเด็กเล็กหัวเราะอย่างอิสระเสรี จึงเพิ่งรู้ตัวว่าเธอออกห่างจากสำนักงานเก่าที่เคยประจำอยู่และเข้าสู่พระนครมาได้สักพักใหญ่แล้ว


    “ช่วงนี้ดูจะเหม่อลอยบ่อยเสียจริงนะ” 


    หญิงสาวผู้เป็นคนขับรถอย่างบุลินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะประหลาดใจและแฝงไปด้วยความหยั่งเชิง ทำให้คนที่ไม่ถูกจริตกับการซักไซร้หรือหยอกเย้าอะไรอย่างเธอได้แต่ส่ายหน้าและบอกปฏิเสธไป 


    “แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง” 


    คนฟังตอบรับด้วยการพยักหน้าช้าๆ ด้วยไม่เชื่อในคำตอบนั้นถึงหกส่วน หากชายหนุ่มอย่างหมอจักรเสนปลีกตัวมารับกองเอกสารตามคำสั่งนายแพทย์ใหญ่กับหล่อนแทนที่จะเป็นเธอ เขาคงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดแทงใจดำคุณหญิงจินณวัตรสักประโยคเป็นแน่


    ระหว่างที่คู่สนทนาเงียบไปจู่ๆ ดวงตาของหญิงสาวผู้นั่งอยู่ฝั่งโดยสารก็มองเห็นร่างอันคุ้นตาที่ไม่ควรจะมาอยู่บนถนนเวลานี้ หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นท่านหญิงในชุดกระโปรงลายทานตะวันนั้นเคลื่อนสายตาไปรอบกายเหมือนรอคอยรถสาธารณะที่จะสามารถพาหล่อนไปที่ไหนสักที่ ทำให้เธอรีบสะกิดแขนสารถีหญิงด้วยความร้อนรน


    “บุลิน ช่วยจอดรถตรงนั้นหน่อยสิ” 


    หม่อมเจ้าหญิงมณินทรทอดสายตาออกไปไกลสุดถนนจึงมองไม่เห็นรถที่กำลังจอดขนาบฟุตบาท เธอเพิ่งเดินออกมาจากร้านขนมฝรั่งมุมหนึ่งในซอยหลังจากใช้เวลาครู่ใหญ่ไปกับการนั่งอยู่ที่นั่นกับบุคคลที่ไม่ได้คาดคิด ความรู้สึกที่อยู่ในอกเวลานี้จึงเป็นความสับสน และค่อนข้างที่จะทำให้เธอคล้ายกับคนไม่มีที่ไปอยู่ในที 


    “ท่านหญิง จะไปไหนหรือเพคะ” 


    กระทั่งได้ยินเสียงที่เอ่ยถามอย่างคุ้นเคยโดยไม่คาดฝัน สายตาที่กำลังมองหารถแท็กซี่ของหญิงสาวจึงหันไปยังด้านข้างแล้วจึงพบกับรอยยิ้มเป็นมิตรของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรเข้าเสียได้ 


    “คุณหญิง มาที่นี่ได้อย่างไรคะ” 


    คนที่เพิ่งมาถึงกล่าวด้วยรอยยิ้มสุภาพ แต่แฝงประกายชอบใจไว้ในดวงตาด้วย 


    “ออกเวรไม่นานค่ะ ไม่ทราบว่าท่านหญิงกำลังจะไปที่ไหนหรือ” 


    “อันที่จริง ฉันคิดว่าจะไปวังทัตพงศ์มาลี แต่ก็ไม่ได้นัดหมายกับคุณหญิงจิลลาภัทรไว้ล่วงหน้า เพราะฉะนั้น...” 


    “ท่านหญิงก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนแล้ว” 


    จินณวัตรต่อประโยคของอีกฝ่ายได้ในทันทีที่เห็นความลำบากใจบนใบหน้าของหญิงสาว นอกเหนือจากนั้นแล้วดูเหมือนหล่อนจะเพิ่งพบเจออะไรบางอย่างมาก่อนหน้า แต่ก็ไม่อยากให้เธอสัมผัสถึงมันได้อยู่ด้วย


    “อยากไปทานไอศกรีมด้วยกันไหมเพคะ”

     

    หล่อนเบิกดวงตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำชวน และมองข้ามไหล่ของเธอไปหลังจากรับรู้ได้ถึงสายตาที่พยายามจะจ้องมองมาตั้งแต่แรก

     

    “แต่ว่าคุณหญิง...มากับเพื่อนนะคะ” 


    บุลินที่จดจ้องมองหญิงสาวอยู่ในรถนานแล้วโบกมือน้อยๆ ผ่านหน้าต่างออกมาอย่างไม่ถือสา 


    “ฉันอาสาไปส่งได้ค่ะ พอดีมีธุระด่วน” 





    “ลองชิมสิคะท่านหญิง”


    เสียงสุภาพของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรทำให้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มจะขยับตัวหลังเอาแต่จ้องมองก้อนของหวานหลากสีนับตั้งแต่ที่สาวเสิร์ฟเดินถือมันออกมา ดวงตาเซื่องฉายแววเป็นประกายเมื่อได้ยินคำเชิญชวนจวบจนกระทั่งได้ใช้ช้อนตักเพื่อสัมผัสรสชาติหวานอมเปรี้ยวของมัน


    “อร่อยจังค่ะ” 


    จินณวัตรคลายยิ้มเบาบางเพราะสังเกตว่าความหนักอึ้งบนใบหน้าของหล่อนดูจะหายไปหลายส่วน แม้ภายในจะค่อนข้างร้อนใจว่าส่ิงใดกันที่ทำให้เจ้าของรอยยิ้มน่ามองดูเซื่องซึมเหมือนก่อนหน้าที่เคยพบกัน แต่เธอก็ไม่อาจเสียมารยาทถามออกไปได้ตรงๆ 


    “รู้สึกแปลกนิดหน่อย แถวนี้เหมือนจะมีนักเรียนเยอะกว่าผู้ใหญ่เลย” หม่อมเจ้าหญิงมณินทรบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังจนเกินไป ดีหน่อยที่ที่นั่งบริเวณนี้ไม่ได้ทำให้ถูกสายตาของใครต่อใครจับจ้องมากนัก อันที่จริงตัวเธอเองก็รู้สึกกระดากอายอยู่น้อยๆ เช่นกันที่ตนยังคงตื่นเต้นกับการนั่งทานไอศกรีมกับคนอายุเท่ากันท่ามกลางบรรดาผู้คนในชุดนักเรียน


    จังหวะนั้นที่เธอได้เอ่ยปากชวน คิดเพียงเพราะเธออยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการให้หญิงสาวตรงหน้ารู้สึกดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ จินณวัตรจึงตัดสินใจที่จะเลือกร้านที่สมัยก่อนเคยมาตอนเป็นนักเรียนเท่านั้นเอง 


    “ไม่แปลกหรอกค่ะ บางครั้งก็มีผู้ใหญ่หลงมาบ้าง เหมือนเรา” 


    “ฉันเองก็เคยเรียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแถวนี้ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนนัก” 


    ท่านหญิงราตรียิ้มขณะยังคงละเลียดชิมของหวานในถ้วยเดียวกัน ดวงตาของหญิงสาวทอดไกลไปยังวันวานอัตโนมัติเมื่อนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง จินณวัตรพลันรับรู้ได้ทันทีถึงความทุกข์ที่เปล่าเปลี่ยวในวัยเยาว์ของอีกฝ่ายเพราะเธอก็เคยสัมผัสมันมาก่อน ก่อนจะตัดสินใจกล่าวปลอบโยนเพื่อให้ความทรงจำที่ไม่ดีเหล่านั้นได้จางหายไปจากบทสนทนา


    “หม่อมฉันว่าการที่ท่านหญิงได้มีโอกาสเลือกในสิ่งที่ทำอย่างเช่นตอนนี้ นับว่าเป็นก้าวเล็กๆ ที่กล้าหาญมากแล้ว” 


    หญิงสาวผู้สูงศักดิ์มองอีกฝ่ายอย่างบอกความรู้สึกไม่ถูก ดวงตาสีเข้มของคุณหญิงจินณวัตรที่มองมาช่างเชื่อมั่นในตัวเธอยิ่งกว่าใครที่มณินทรเคยพบเจอนับตั้งแต่เสียบิดามารดาไปก่อนวัยอันควร น้ำใจของหล่อนนับว่ามากล้นจนบางครั้งก็หวาดกลัวว่ามันจะหายไปตลอดกาลอย่างที่สกุลเดิมเคยทำ ยิ่งบวกกับความจริงที่ว่านับวันเธอยิ่งอยากได้รับมันมากขึ้น ร่างบางก็พลันรู้สึกไม่กล้าที่จะสบตากับคู่สนทนาขึ้นมาด้วยรู้สึกว่าตนกำลังเรียกร้องมากจนเกินไป 


    “....ฉันแค่กังวลว่า เวลาเหล่านั้นคงเหลือน้อยเต็มที”


    ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ คนที่พยายามจะผลักดันตัวเองมาจนป่านนี้ถึงได้ดูกังวลมากขึ้นกว่าที่เคย แต่จินณวัตรก็อยากทำให้หล่อนแน่ใจว่าต่อให้เกิดเรื่องอะไรที่อีกฝ่ายต้องเสียเปรียบและถูกกระทำอย่างไม่ถูกต้อง เธอก็จะเป็นคนที่เคารพการตัดสินใจของหล่อนเป็นคนแรกให้ได้


    ต่อให้ในช่วงเวลานั้น หล่อนจะเดินทางไปข้างหน้ากับใครคนอื่นที่ไม่ใช่เธอก็ตาม


    “หม่อมฉันให้สัญญา”


    หม่อมราชวงศ์จินณวัตรยื่นปลายนิ้วออกมาวางลงบนหลังฝ่ามือของเธอ แม้จะเป็นสัมผัสและคำปลอบใจเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต่างจากที่เคยได้รับ แต่มณินทรกลับฝังความรู้สึกของมันลงไปในหัวใจของตัวเองโดยไม่รู้ตัว...


    “ว่าตราบใดที่เรายังคงเป็นสหายกันอยู่ หม่อมฉันจะไม่มีวันทำให้วันเวลาของท่านหญิงต้องเสียเปล่าแน่นอน”





    อากาศของช่วงสายในหลายวันถัดมาดูจะเย็นลงเสียจนรับรู้ได้ผ่านลมหายใจของตนเอง หญิงสาวเจ้าของร่างสูงเพรียวเพิ่งจะผละกายจากถ้วยกาแฟดำในห้องนั่งเล่นและกำลังจะตรงไปยังห้องของน้องสาวคนเล็ก หม่อมราชวงศ์จินณวัตรนึกอยากหยิบยืมหนังสือบางเล่มเพื่อใช้สำหรับพักผ่อนในวันที่ไม่ได้ต้องเข้าทำงานในโรงพยาบาล แต่ในระหว่างที่เธอกำลังก้าวเท้าเดินผ่านบริเวณโถงหน้าบันไดของวังทัตพงศ์มาลี เธอก็ได้ยินเสียงทุ้มของผู้เป็นชายหนุ่มขึ้นมา


    “หญิงจิน” 

    “พี่ชายใหญ่ มีอะไรหรือคะ” 


    มองเห็นชายภูมิฐานก้าวเท้าเดินลงมาจากบันได้ด้วยรอยยิ้มแปลกแปร่งแล้วหญิงสาวก็คล้ายกับจะตั้งกำแพงขึ้นมาใส่ หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ก็พอจะรับรู้ได้อยู่ว่าตัวเขาเก็บอาการและความคิดไม่ค่อยเก่งนัก ยิ่งจะกล่าวกับน้องสาวคนโตที่ต้องใช้การอ้อมค้อมเพื่อให้หล่อนไม่มีทิฐิในใจก่อนยิ่งต้องใช้ความคิดอยู่มาก กระนั้นเองเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะทำตามความคิดของเขาในตอนนี้ เพียงเพราะคำเปรยของผู้มีศักดิ์เป็นอาที่เอ่ยขึ้นมาหลังจากได้พูดคุยกับบรรดาหญิงสาวในวังดอกไม้ไปเท่านั้น


    ‘หลานหญิงของฉันต่างงามสะพรั่งคนละแบบ คิดไปแล้วก็เสียดาย ดูเหมือนความงามของวังดอกไม้คงต้องฝากภาระไว้ที่แม่ช่อม่วงคนเดียวเสียแล้ว’ 


    เจตนิพันธ์รับรู้ได้ทันทีว่าอดีตท่านหญิงสราวลีผู้นี้กำลังเสียอกเสียดายเรื่องอะไร ถึงเขาจะไม่ได้คาดหวังว่าบรรดาน้องสาวจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังลองสู้อุตส่าห์เดินเท้าความมาตั้งแต่ระเบียงชั้นบนเผื่อว่าอาจจะมีแสงสว่างให้เห็นอยู่บ้าง


    “พี่ได้ยินมาว่า คุณสิชามีเด็กที่รับเลี้ยงไว้คนหนึ่ง” 


    “เขายังเล็กนัก พี่ชายใหญ่กล่าวถึงทำไมหรือ” 


    หญิงสาวถึงกับอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วใส่ชายหนุ่มที่ทำเป็นเดินมาโอบรอบไหล่กันไว้เพื่อต้องการพูดคุย เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอยู่สี่ห้าก้าวให้พ้นหูตาบรรดาคนรับใช้ที่คอยทำความสะอาดอยู่ในแต่ละมุม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดจะกระตือรือร้นน้อยๆ จนดูน่าสงสัยสำหรับการกล่าวถึงคนที่คอยดูแลภรรยาของตนที่ใกล้คลอดแบบนี้ 


    “ไม่มีอะไร พี่แค่คิดว่าหล่อนมีหน้าที่การงานที่ดี หน้าตาก็ถือว่างาม กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ด้วย รวมๆ แล้วไม่เลวเลยทีเดียว” 


    ชายหนุ่มสังเกตมาพักใหญ่ๆ แล้วในเวลาที่หญิงสาวผู้นั้นมองน้องสาวของเขา แววตาของหล่อนจะเป็นประกายและชื่นชมติดจะออกอยู่ในห้วงรักเหมือนที่เคยเห็นอาการของคนอื่นๆ มาก่อน ซ้ำจากการสังเกตพฤติกรรมและข้อมูลที่ได้ยินมา จึงนับได้ว่าหล่อนเองก็ดูเหมาะสมไม่น้อยหน้าสำหรับคุณหญิงจินณวัตรเลยทีเดียว 


    “นี่พี่ชายใหญ่คงไม่...”


    ส่วนคนถูกถามกลับมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนแปรเปลี่ยนเป็นไม่อยากจะเชื่อความคิดของพี่ชายตน สิชารับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไว้ในช่วงเริ่มทำงานใหม่ๆ จริงแต่ก็ไม่เคยพามาให้เธอเห็นรับรู้ว่าพื้นเพเป็นมายังไง เข้าใจแต่ว่าเป็นเด็กชายที่หน้าตาละม้ายกับหล่อนประหนึ่งเป็นคนสายเลือดเดียวกัน และถึงอย่างนั้นตัวเธอก็ไม่นึกว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้จะคิดไปถึงการเกี่ยวดองกันด้วยการพูดถึงเด็กคนหนึ่งขึ้นมา


    “หล่อนเป็นคนที่น้องให้การสนับสนุนเพียงเท่านั้นนะคะ”


    “พี่รู้ๆ ลืมที่พี่พูดไปเสียเถอะ”


     หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์รีบพูดทันทีตั้งแต่เห็นเรียวคิ้วของอีกฝ่ายเริ่มขมวด ก่อนจะตบไหล่บางเป็นการปลอบอย่างไม่ถือสาเอาความแล้วเดินจากไปพร้อมกับรำพึง “เฮ้อ หมดหวัง...หมดหวัง”  


    แม้จะไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พี่ชายใหญ่คิดว่าเธอกับสิชาดูจะมีความเป็นไปได้ แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจความห่วงใยของเขาแม้แต่นิด คงเพราะเธอยังเป็นหนึ่งเดียวในบรรดาน้องสาวของเขาทั้งหมดที่ดูจะไม่มีพันธะใดๆ หากไม่ใช่เพราะคำสั่งของผู้เป็นพ่อที่สิ้นไปสั่งไว้ว่าให้เป็นการตัดสินใจของพวกเธอแต่แรกก็เกรงว่าจินณวัตรจำต้องถูกญาติผู้ใหญ่คนอื่นบังคับให้ออกเรือนไปก่อนใคร ที่ยังปล่อยละเลยมาจนป่านนี้ได้ก็เป็นเพราะความดื้อรั้นของเธอเอง


    เธอและเขาเป็นคนสองคนที่ตั้งใจทำให้วังทัตพงศ์มาลีมั่นคงขึ้นอีกครั้ง ฉะนั้นต่อให้ท่านอาจะกดดันอะไรผ่านพี่ชายใหญ่มา เธอก็ยังสามารถทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้อยู่ดี 


    “คุณหญิง ฉันเอาชาร์ตของคุณช่อม่วงมาให้ค่ะ”


    เสียงที่เอ่ยเรียกจากไกลๆ ทำให้จินณวัตรรู้ทันทีว่าเป็นคนที่เพิ่งจะตกเป็นหัวข้อสนทนาของเธอกับคุณชายเจตน์อยู่เมื่อครู่ ดูจากท่าทีวิ่งเหยาะๆ ของหล่อนแล้วคงจะกำลังตามหาตัวเธอที่เดินจากห้องตนมาได้ครู่ใหญ่เป็นแน่ มือบางนั้นมีเอกสารบางสองหน้าที่แนบไว้กับกระดาษแข็งอันเต็มไปด้วยข้อมูลสุขภาพร่างกายของสะใภ้ใหญ่ ซึ่งยังคงดูปกติดีและยังไม่มีอะไรให้น่าวิตกกังวล  


    ทว่าหลังจากหล่อนมอบมันมาให้แล้ว กลับยังไม่จากไปและเอาแต่ยืนมองเธอที่กำลังอ่านอยู่เสียนี่ 


    “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” 


    หม่อมราชวงศ์จินณวัตรรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเฉียบพลันเพราะนึกถึงคำพูดของผู้เป็นพี่ชายใหญ่ก่อนหน้า ถึงเธอจะไม่มีความรู้สึกเชิงนั้นกับคนที่ตนให้การสนับสนุนเลยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยสับสนกับดวงตาเป็นประกายของหล่อนคู่นี้ คำถามที่เคยฟังดูน่าเอ็นดูสำหรับเธอจึงทำให้รู้สึกถึงความหมายตีรวนปนเปอยู่ไม่มากก็น้อย 


    “ไม่มีอะไรหรอกสิชา แค่ฟังความห่วงใยของพี่ชายใหญ่แล้วพาลให้ปวดขมับนิดหน่อยน่ะ”  


    พอพูดไปอย่างนั้นสีหน้าของหญิงสาวก็ดูจะตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย หล่อนเอ่ยปากขออนุญาตแผ่วเบาก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างเข้ามาประคองบริเวณข้อมือข้างที่ว่างของเธอไว้ และเพราะกำลังนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังทำสิ่งใดจึงไม่ทันได้เอ่ยห้ามและปล่อยให้หล่อนใช้ปลายนิ้วแนบกับผิวกายเช่นนั้นอยู่เป็นนาที


    “ชีพจรยังปกติ แต่อย่างไรก็อย่าเครียดมากนะคะ” 


    หลังจากเงียบไปราวนาทีกว่าใบหน้าของสิชาจึงคลายกังวลลง แต่ทวงท่าที่สงบนั้นค่อนข้างทำให้จินณวัตรรู้สึกประหลาดใจพอสมควร


    “รู้แพทย์แผนจีนด้วยหรือเรา” 


    คนที่ตั้งใจแสดงการพัฒนาให้เห็นถึงกับหลุบสายตาลงด้วยความเขินอายที่ถูกจับได้เสียก่อน


    “เห็นพวกพยาบาลเขากำลังสนใจกัน เลยลองศึกษาหลักเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ” 


    ถือเป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกันที่คนที่ตนให้ความสนับสนุนนั้นตั้งใจพัฒนาในทักษะของตน จินณวัตรจึงอดไม่ได้ที่จะไต่ถามศาสตร์ใหม่ที่ตัวเองยังไม่เคยได้เรียนรู้อย่างจริงจังเพื่อฟังความก้าวหน้าของหล่อนต่อไป


    กระทั่งหางตาเห็นการมาของใครบางคน...


    “ท่านหญิง” 


    เจ้าของใบหน้างามดั่งตุ๊กตาเบื้องเคลือบแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็คงไว้ด้วยความสง่าเมื่อเธอหันไปมอง ทว่าจินณวัตรกลับรู้สึกร้อนอกร้อนใจขึ้นมาเพราะข้อมือข้างหนึ่งของตนยังคงสัมผัสกับปลายนิ้วของคู่สนทนาตรงหน้า และยิ่งความคิดที่ว่าหล่อนฃอาจจะยืนอยู่ตรงนั้นอยู่นานแล้วเท่าไหร่ ใจของเธอจึงพลันตื่นตระหนกและไม่สงบแตกต่างไปจากการเป็นตัวเอง


    “ฉันรบกวนอะไรหรือเปล่าคะ” 


    หม่อมเจ้าหญิงมณินทรเปิดปากถามในที่สุดเมื่อร่างของหญิงสาวที่ตนมองหาอยู่นั้นผละจากจุดที่ยืนอยู่ได้เดินเข้ามาใกล้ เธอจึงเห็นสีหน้าและท่าทางที่ไม่ค่อยจะสุขุมนักของคุณหญิงใหญ่แห่งวังทัตพงศ์มาลียิ่งขึ้น


    “ท่านหญิงมาเรียนกับน้องสาวหม่อมฉันหรือเพคะ”


    ฟังคำถามแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตามองร่างหญิงสาวอีกผู้หนึ่งซึ่งยืนยอบกายน้อยๆ ให้อยู่ห่างออกไป มณินทรพอจะรู้อยู่ว่าสะใภ้ใหญ่ของครอบครัวนี้ใกล้จะคลอดและจำต้องมีพยาบาลส่วนตัวที่คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ แม้จะไม่เคยพูดคุยกันอย่างจริงจังนอกเสียจากทักทาย แต่ตอนที่ได้เห็นกันผ่านตาก็พอจะรู้ว่าหล่อนมีความสามารถที่จะดูแลคนอื่นได้เป็นอย่างดี 


    “อันที่จริงฉันแค่อยากมาหาคนสนทนาด้วยเท่านั้นค่ะ แต่ถ้าคุณหญิงยังไม่สะดวก ฉันขอตัวไปหากับคุณหญิงนิ่มแล้วกัน”


    เพราะมองเห็นไหล่บางของเจ้าตัวนั้นดูห่อเหี่ยวลงหลังจากที่หญิงสาวตรงหน้าเปลี่ยนทิศทางเดินมาหากัน ความรู้สึกประหนึ่งว่ากำลังถูกล้ำเส้นก็ส่งความรู้สึกไม่ชอบใจเข้าสู่หัวใจเธอทันที มณินทรคิดได้ถึงสถานการณ์ที่ตน ‘บังเอิญ’ เดินเข้ามาเห็นเมื่อครู่หลังจากสังเกตอยู่สักพัก ฉะนั้นหากเธอหันหลังเดินไปจากตรงนี้เร็วเท่าไหร่ ความรู้สึกประหลาดภายในใจก็คงจะเลือนหายไปจากเธอโดยเร็วเช่นกัน 


    แต่หม่อมราชวงศ์จินณวัตรกลับไม่ยอมปล่อยให้เธอเดินจากไปโดยง่าย เพราะหญิงสาวผู้เป็นรองเพียงเจ้าของวังดอกไม้นี้กลับสาวเท้ายาวและเรือนกายออกมาบดบังทิศทางที่เธอกำลังจะไปอย่างไม่คาดคิด 


    “คือ หม่อมฉันกำลังคิดว่าจะไปนั่งรถเล่นพอดี”  

    “แล้วอย่างไรคะ”


    น้ำเสียงอ่อนหวานที่ติดกระด้างขึ้นเล็กน้อยทำให้จินณวัตรมั่นใจได้หลายส่วนว่าท่านหญิงราตรีกำลังขุ่นเคือง แม้จะไม่อยากคิดเข้าข้างตนเองนักว่าต้นสายปลายเหตุนั้นเกิดจากภาพที่หล่อนเห็นเมื่อครู่ แต่หญิงสาวก็อดรู้สึกชื่นอกชื่นใจไม่ได้ที่อย่างน้อยหล่อนก็ไม่ได้หุนหันพลันแล่นและยังยอมฟังกันอยู่บ้าง 


    “หากท่านหญิงไม่รังเกียจ จะไปสนทนากับหม่อมฉันสักแห่งได้ไหมเพคะ” 






    รถยนต์คลาสสิกที่ค่อยๆ หยุดเครื่องลงทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงที่ผล็อยหลับไประหว่างทางค่อยๆ รู้สึกตัว ดวงตาเซื่องคู่สวยจึงกวาดมองไปรอบตัวก่อนจะเลิกคิ้วใส่คนขับข้างตัวที่ส่งรอยยิ้มแผล่มาให้กันราวกับพยายามจะทำให้เธอรู้สึกดี


    “สวนลุมพินีงั้นหรือคะ” 


    “อันที่จริงอยากพาไปไกลกว่านี้นะเพคะ...” หม่อมราชงศ์จินณวัตรพูดพลางลูบพวงมาลัยไปมาอย่างไม่รู้ตัว “แต่กลัวว่าจะทำให้ท่านหญิงกลับถึงบ้านดึกดื่น ไว้คราวหน้าหม่อมฉันจะพาไปทะเลนะเพคะ”


    แม้ปกติจะไม่ใช่คนที่ถูกพาออกไปเที่ยวแล้วกลับมาอารมณ์ดีขึ้น แต่มณินทรก็จำต้องยอมรับว่าการได้ฟังหล่อนพูดถึงเรื่องในอนาคตและมีท่าทางไม่เป็นตัวเองให้เห็นอย่างนี้แล้ว กลับทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นจริงๆ เสียด้วย


    “แล้วอยากคุยเรื่องอะไรคะ ไม่ใช่ว่าแค่พามาดูแม่กินนารีกลางน้ำหรอกมัง” 


    “อันที่จริงหม่อมฉันไม่ได้คิดอะไร” คุณหญิงจินณวัตรมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาอันอบอุ่นทั้งคู่นั้นจะทอดมองมาหากันอย่างจริงใจ


    “เพียงแค่อยากสนทนาตามลำพังกับท่านหญิงเท่านั้นเอง” 


    คนฟังซึ่งนั่งกอดอกอยู่ด้านข้างถึงกับไปไม่ถูกเมื่อได้ยินคำกล่าวที่แสนจะเถรตรงนั่น หัวใจพลันคิดหาความหมายในประโยคด้วยใจไม่เป็นส่ำเสียจนร่างกายรับรู้ถึงสายลมอุ่นประหนึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิ กระนั้นหม่อมเจ้าหญิงมณินทรก็ยังคงให้น้ำหนักกับฝั่งของคำว่ามิตรภาพ และพยายามที่จะไม่ค้นหาความหมายอื่นไปก่อน


    “คุณหญิงอยากเป็นแพทย์เพราะท่านชายกับหม่อมแม่หรือคะ” 


    “ส่วนหนึ่งเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันจำเป็นต้องรีบประสบความสำเร็จ เพราะน้องสาวอีกสามคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะดี” 


    หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเปิดปากเล่าด้วยรอยยิ้มจริงใจอย่างเคยเมื่ออีกฝ่ายถามออกมา และดวงหน้างามดั่งกระเบื้องเคลือบที่คลายความง้ำงอนลงไปหลายส่วนแล้วช่างทำให้เธอรู้สึกดีเหลือเกิน 


    “ว่าแต่...ท่านหญิงคิดอะไรมาตลอดทางหรือเพคะ” 


    “ฉันแค่สงสัยน่ะค่ะ ว่าคุณสิชาเธอมีความรู้เรื่องแพทย์จีนด้วยหรือ” 


    และมันกลับดียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อการคาดการณ์ก่อนหน้านั้นไม่ใช่แค่การคิดเข้าข้างตัวเองแม้แต่น้อย


    สำหรับคนที่พูดออกไปอย่างไม่เต็มเสียงเช่นหม่อมเจ้าหญิงมณินทรก็ทำได้เพียงแค่ไม่ยอมสบเข้ากับดวงตาของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยตรงๆ เธอรู้สึกตัวว่าเป็นที่น่าอับอายนักที่เปิดเผยความคิดที่ยังไม่มั่นคงเช่นนี้ออกไปแถมยังเป็นการแสดงออกแบบเด็กๆ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหญิงสาวที่อายุล่วงเลยเลขสามมาแล้วถึงได้ทำให้เธอมีความรู้สึก ‘หวงเพื่อน’ เอาตอนนี้ได้ 


    “แค่ตรวจสอบชีพจรใครก็ทำได้เพคะ”

    “คุณหญิงอย่านับรวมฉันไปด้วยสิ” 


    ยิ่งพูดไปใบหน้าสวยของคุณหญิงใหญ่แห่งวังดอกไม้ก็ยิ่งเบิกบานจนเกือบสร้างความรู้สึกระอาให้กัน คนที่นั่งอยู่เบื้องหลังพวงมาลัยส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากขออนุญาต มณินทรไม่ได้ทั้งตอบรับหรือปฏิเสธคำของหล่อนเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำสิ่งใด นอกเสียจากมองข้อมือด้านซ้ายของตนถูกดึงให้เข้าหาเจ้าตัวอย่างนุ่มนวล 


    “ตรงนี้ ชีพจรจะรู้สึกเด่นชัดมากกว่านิดหน่อย”


    เพราะต้องเอี้ยวตัวไปเผชิญกับใบหน้างามของคุณหญิงจินณวัตร ดวงตาของหญิงสาวจึงเบิกขึ้นน้อยๆ ด้วยความไม่ตั้งตัวว่าระยะห่างจะถูกลดลงกะทันหัน ก่อนจะรับรู้ถึงปลายนิ้วของตนที่ได้สัมผัสลงบนผิวกายใต้สันกราม และกลิ่นน้ำปรุงหอมสดชื่นให้ความสบายใจจากตัวของผู้เป็นหม่อมราชวงศ์


     อันที่จริงหากเทียบกันแล้วตัวเธอให้ความสำคัญกับจังหวะที่เต้นสู้ปลายนิ้วอยู่น้อยนัก เพราะในขณะที่เส้นชีพจรซึ่งหล่อนกล่าวถึงนั้นยืนยันสิ่งที่เธอกำลังสงสัย ดวงตาคู่สวยของคุณหญิงใหญ่ผู้นี้ก็กักขังเธอไว้ในวังวนแห่งฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง 


    “ว่าอย่างไรเพคะ” 


    ทว่าราตรีไม่กล้าตอบไปตามจริง ว่าสัมผัสที่ปลายนิ้วมันกำลังเต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับดวงใจของเธอ


    “...น่าสนใจทีเดียวค่ะ”  






    “ไปไหนมา” 


    เสียงหนึ่งที่เอยถามอย่างเย็นชาระคนแข็งกร้าวทำให้หญิงสาวที่เพิ่งจะแยกจากเจ้าของรถคลาสสิกคันงามต้องชะงักฝ่าเท้าของตัวเอง 


    “ไปวังทัตพงศ์มาลีมาค่ะ” 


    หม่อมเจ้าหญิงมณินทรตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ติดจะประหลาดใจเล็กน้อย เพราะพักใหญ่แล้วที่เธอและนายกำพลผู้เป็นลุงไม่ได้พบกันด้วยการเผชิญหน้ากันตรงๆเช่นนี้ เธอมองดวงหน้าที่เคยหล่อเหลาสมัยยังเป็นหนุ่มของเขาซึ่งบัดนี้กลายเป็นชายกลางคนที่พยายามจะฝืนกลั้นอาการป่วยของตนเอง และร่างกายที่อ่อนแอลงไปตามโรคภัยและวันเวลา


    ช่วงหลังมานี้มณินทรไม่ค่อยได้มีโอกาสไปรับยาให้กับเขาเหมือนก่อน จะเป็นสไบเสียมากกว่าที่เห็นว่าเธอเริ่มล้ำเส้นได้ยากกว่าเก่าเป็นคนเดินทางไปแทน จึงรับรู้เพียงแค่ว่าเขาต้องทานยารวมถึงพักผ่อนให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน 


    ชายกลางคนส่งเสียงในลำคออย่างดูแคลนแล้วกล่าวโดยที่มีภรรยาของเขาคอยประคองอยู่เบื้องหลัง 


    “คิดว่าเป็นท่านหญิงแล้วอยากทำอะไรตามใจก็ได้งั้นหรือ ไม่เห็นหัวฉันที่เป็นเจ้าของเลยนี่” 


    “เจ้าของหรือคะ”


     หญิงสาวทวนคำกล่าวนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงที่กระด้างขึ้นเล็กน้อย เรียกให้สีหน้าของคู่สามีภรรยาถึงกับผงะไปหนึ่งจังหวะเมื่อเห็นดวงตาซึ่งไร้แววความกลัวดังเดิม


    “หญิงว่าคุณลุงควรจะตั้งสติและพิจารณาใหม่ ว่าวังแห่งนี้เป็นของใครกันแน่”


    “มันเป็นสิทธิของคนเป็นผู้ปกครอง หล่อนไม่เข้าใจหรือไร” 


    หญิงสาวแค่นเสียงในลำคอ “สิทธิที่แย่งมาจากตัวหญิงน่ะหรือ? หากหญิงเป็นคนพูดเอง คงว่าไม่ได้เต็มปากเช่นคุณลุงแน่” 


    “หมายความว่าอย่างไร” 


    ถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นที่ถูกหญิงกลางคนไล่ออกไป หม่อมเจ้าหญิงมณินทรคงไม่มีวันได้รับรู้ความจริงที่ถูกคนทั้งสองปิดบังเอาไว้ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา 


    วันนั้นเธอได้พบกับชายวัยชราผู้หนึ่งที่เดินเข้ามาทักทายหลังจากทำได้เพียงนั่งอยู่ภายในร้านขนมลำพัง เขาสังเกตเธอที่มีสีหน้าเหนื่อยล้ามาพักหนึ่งแล้วจึงได้แนะนำตัวว่าชื่อ อชิต ก่อนจะบอกว่าใบหน้าของเธอช่างคล้ายคลึงกับคนคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จักเป็นอย่างดีเมื่อหลายปีก่อน....


    คนคนนั้นคือเสด็จพระองค์ชายแห่งราชสกุลจินต์จุฑา...ผู้เป็นบิดาของเธอนั่นเอง


    ‘โปรดอภัยด้วยที่กระหม่อมมาพบท่านหญิงได้ช้าเหลือเกิน’


    ชายชราผู้นั้นแทบจะโค้งศีรษะให้กับเธอหลังจากที่แนะนำตัว เขากล่าวว่าตนเคยมีอาชีพเป็นทนายประจำตัวของเจ้าของวังวิมานมาศคนก่อน และบอกว่าพินัยกรรมของครอบครัวเธอที่ควรจะมีเพียงหนึ่งเดียวกับที่ได้รับรู้เมื่อบรรลุนิติภาวะ กลับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหวังหลอกลวงและขโมยทุกสิ่งทุกอย่างของเธอไปชั่วชีวิต


    ‘พินัยกรรมในวันที่เสด็จและหม่อมดุจดาวสิ้นถูกปรับเปลี่ยน คนที่ควรที่จะต้องอยู่ที่นั่นเวลานั้นต้องเป็นกระหม่อม ทว่าตั้งแต่วันที่ท่านทั้งสองสิ้นไป กระหม่อมก็ถูกตามทำร้ายจนแทบเอาชีวิตไม่รอดและต้องหนีไปอยู่ที่อื่นอยู่หลายปีดีดัก ครั้นกลับมาพบว่าหญิงโฉดชายชั่วนั้นยังคงลอยหน้าลอยตาไม่สนกำผืด กระหม่อมก็ไม่อาจทนอยู่ในเงาต่อไปได้’ 


    “หญิงหมายความตามที่พูด” 


    มณินทรจำต้องกล้ำกลืนความจริงที่อาจแพร่งพรายออกไปก่อนเวลาอันควร ด้วยเกรงว่าชายชราผู้นั้นจะเป็นอันตรายหากคนทั้งสองได้รู้ว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้


    “คุณลุงกับคุณป้าคงจะคิด ว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะหลบเลี่ยงสายตาของหญิงไปได้จนหญิงตายสมปรารถนา” 


    “ท่านหญิง มีมารยาทด้วย พวกหม่อมฉันไม่ได้เลี้ยงดูท่านหญิงมาให้ปีกกล้าขาแข็งแบบนี้” เพราะน้ำเสียงที่แดกดันอย่างท้าทายนั้นทำให้หญิงกลางคนที่คอยประคองผู้เป็นสามีอยู่เอ่ยขึ้น หรือไม่ก็เพราะนึกร้อนใจกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ในประโยคเหล่านั้นจนอดไม่ได้ที่จะต้องโต้แย้งกลับคืน


    “บุญคุณเรื่องนั้นหญิงทราบและตระหนักได้ดียิ่ง ตลอดเกือบสามสิบปีมานี้ คุณลุงคุณป้าคงยังไม่พึงใจในสิ่งที่หญิงทำให้อีก เช่นนั้นก็คงเป็นความผิดของหญิงเอง” 


    หญิงสาวตวัดสายตาไปยังชายกลางคนที่จ้องมองกลับมาด้วยความโกรธและสั่นคลอน 


    “ผิดที่คาดหวังว่าคนเป็นพี่ชายจะนึกเสียใจในการตายของน้องสาวตัวเองบ้าง” 


    เพียะ!


    “กลับเข้าไปในตึกเสีย ไป!” 


    สิ้นเสียงที่กระทบลงกับใบหน้างาม ทุกสิ่งโดยรอบก็คล้ายกับจะพลันเงียบลงไปโดยปริยายแต่ก็ยังมีบางอย่างแตกต่างออกไป  สาวใช้บางคนรีบเดินผ่านออกไปอย่างเช่นที่เคยทำมาตลอดหลายต่อหลายปี บางคนที่เคยชินชากับการเห็นท่านหญิงราตรีถูกตีและสั่งสอนบ้างก็มีความรู้สึกว่าช่างเกินไปมากโขจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย มณินทรชินชาเสียแล้วกับการได้รับคำแดกดันต่างๆ จากญาติที่ใกล้ชิดที่สุด และเธอไม่นึกประหลาดใจเลยสักนิดหากสักวันชายผู้มีศักดิ์เป็นลุงนี้จะรู้สึกถูกล้ำเส้นและหักห้ามมือที่กำลังสั่นเทาไม่ได้เช่นนี้


    หญิงสาวไม่ได้นึกอยากร้องไห้เพราะความกลัวอีกแล้ว เธอเพียงหันใบหน้าที่เริ่มจะขึ้นสีและจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตามาดมั่น แล้วก้าวเท้าเดินกลับไปยังพื้นที่ของตนเองในอีกฝากหนึ่งของตึกด้วยแผ่นหลังที่ตรงขึ้นเท่านั้น


    “ท่านหญิงเพคะ” 


    เป็นวิไลเสียอีกที่รีบวิ่งตามหลังมาจากอีกส่วนหนึ่งเพราะได้ยินเสียงวิวาทจากตึกหน้า เด็กสาวนึกกังวลอยู่ในใจว่าหากผู้เป็นนายร้องไห้เพราะความกลัวเช่นที่ผ่านมาเธอควรจะทำเช่นไร แต่พอเมื่อเห็นท่าทางที่แตกต่างออกไปจากการมีปากเสียงในครั้งก่อนๆ เธอกลับยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเก่าที่เห็นว่าหม่อมเจ้าหญิงมณินทรทำเพียงแค่นั่งลงบนเตียงนอน โดยที่ใบหน้าแดงเป็นปื้นและมือทั้งสองข้างบีบเข้าหากันจนดูเจ็บปวดไปหมดสำหรับเด็กรับใช้อย่างเธอ


    “ฉันไม่เป็นไร” ท่านหญิงราตรีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่เป็นไรจริงๆ”






    กลิ่นของกาแฟดำที่อบอวลอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทำให้การพักผ่อนของบรรดาคุณหมอในโรงพยาบาลรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นทีละนิด หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเองที่ใช้เวลาช่วงบ่ายไปกับการพักราวหนึ่งชั่วโมงก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้สึกเช่นนั้น และในเมื่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเธอจะต้องกลับเข้าไปตรวจคนไข้แต่ละเตียงอีกที จึงค่อยทยอยเก็บเอกสารเกี่ยวกับคนไข้แต่ละคนให้เข้าที่เข้าทาง


    “ใครสนใจไปเที่ยวงานที่วัดสระเกศบ้าง”


    จู่ๆ การปรากฏตัวของนายแพทย์หนุ่มก็ทำให้หญิงสาวทั้งสองที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกันนั้นทอดถอนใจ ความกระตือรือร้นที่แผ่ออกจากจากคุณหมอจักรเสนบางครั้งก็ทำให้คนมีชีวิตชีวา และบางครั้งก็ทำให้นึกระอาขึ้นมาเช่นกัน 


    “ดูท่าหมอจักรจะว่าง เลยมีเวลาไปเที่ยวสินะ”  


    ชายหนุ่มไหวไหล่น้อยๆ ราวกับจะบอกว่าไม่ได้ทำอะไรผิดไป และไม่รู้ทำไมหญิงสาวอย่างบุลินถึงได้กล่าวขึ้นอย่างตัดรำคาญ “ผมชวนเพราะเห็นว่าเราออกเวรใกล้ๆ กันต่างหาก”  


    “ฉันขอตัวนะคะ หลังจากนี้ว่าจะไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดสักหน่อย”


     จินณวัตรเอ่ยปากบอกอย่างนั้นเมื่อตนสังเกตเห็นบางสิ่งระหว่างคนทั้งคู่ ริมฝีปากบางราวกับกำลังจะคลายยิ้มน้อยๆ เพราะนึกขบขันกับความคิดของชายที่ใครต่อใครก็อยากจะใกล้ชิดมากที่สุดคนหนึ่งผู้นี้


    “ก่อนไปพักผ่อนก็เที่ยวกันก่อนก็ได้นี่ครับคุณหญิง” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเสียอกเสียดาย “ไม่เอาน่า งานวัดของวัดสระเกศยิ่งใหญ่ทีเดียว เห็นว่ามีทั้งรถไต่ถังกับมหรสพเยอะแยะ”


    “ถ้าคุณหญิงเขาไม่อยากไปก็อย่าไปบังคับเธอสิ” 


    เสียงของบุลินที่ตามหลังมาห่างๆ ทำให้หญิงสาวยิ่งนึกขบขันเข้าไปอีก หม่อมราชวงศ์จินณวัตรผู้ซึ่งก้าวเท้าออกห่างจากห้องรับรองมาแล้วหลายก้าวก็ได้แต่ยิ้มเมื่อรับรู้ถึงฝ่าเท้าของคนผู้หนึ่งกำลังเดินตามมาอย่างต้องการให้ยื่นมือเข้าช่วย 


    “คุณหญิง ผมมีเรื่องจะขอร้อง” 


    “จำเป็นต้องใช้ฉันด้วยหรือ” เธอกล่าวทั้งรอยยิ้มมุมปาก “ถ้าอยากจะชวนบุลินไปเที่ยว ระดับหมอจักรแล้วไม่ต้องยืมข้ออ้างอะไรก็ได้”


    เพราะรับรู้มาได้พักใหญ่แล้วว่าพี่ชายของเพื่อนสาวผู้นี้มีความคิดเช่นไรกับเพื่อนร่วมงานของเธอในแผนกเดียวกัน แต่คนที่มักจะสามารถผูกมิตรกับใครคนอื่นได้ง่ายดายอย่างเขากลับรู้สึกมีอุปสรรคทุกครั้งที่คิดจะเดินหน้าในแผนการของตนจนต้องมาใช้ชื่อเธอในการออกหน้าเมื่อต้องการใกล้ชิดกับหล่อนเสียทุกครั้งไป 


    “เพราะเป็นหล่อนนั่นแหละถึงเป็นครั้งแรกที่ผมต้องขอร้องน่ะ” 


    เห็นชายหนุ่มลูบท้ายทอยของตัวเองอย่างคิดไม่ตกแล้วจินณวัตรก็ให้รู้สึกอ่อนใจขึ้นมาลึกๆ เห็นความพยายามที่น้อยครั้งจะมีโอกาสได้เห็นของเขาแล้วก็พาลพาให้คิดถึงคนที่สูงศักดิ์กว่าตนเองขึ้นมาในใจ ครั้งก่อนที่ออกตรวจนอกสถานที่เธอเคยตั้งใจจะพาหล่อนไปเที่ยวงานวัดในยามเย็นแต่ก็พลาด ครั้นพอคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว วันเวลาก็ยังพาลพาให้หม่อมเจ้าหญิงมณินทรเข้ามาในชีวิตของเธออยู่ดี

     

    ครานี้...เห็นทีจะเป็นโอกาสใหม่อีกครั้งละมัง


    “งานนี้ราคาแพงหน่อยนะคะคุณหมอ”  






    “ตรงนั้นเป็นฝั่งอาหาร ส่วนทางนี้น่าจะเป็นที่รวมเครื่องเล่นกับหนังกลางแปลง” 


    เสียงของชายหนุ่มผู้สวมเสื้อเชิ้ตลายทางและกางเกงเข้ารูปเสริมความสูงเพรียวกล่าวแนะนำแก่หญิงสาวผู้มาใหม่ด้วยความสุภาพระคนเกรงใจ 


    “ท่านหญิงราตรี ไม่ทราบว่าสนใจอย่างไหนหรือกระหม่อม” 


    หญิงสาวในชุดกระโปรงสีอ่อนได้แต่ระบายยิ้มอ่อนใจให้แก่คนสองคนที่ดูจะวางตัวแปลกไปเพราะเพิ่งจะได้รับรู้สถานะที่แท้จริงของเธอ “เรียกฉันว่าคุณราตรีแบบเดิมเถอะค่ะ" 


    เพราะการเชิญหม่อมเจ้าหญิงมณินทรออกมาเที่ยวงานวัดในครั้งนี้ทำให้จินณวัตรจำต้องบอกสถานะที่แท้จริงของหญิงสาว คราแรกที่ชายหญิงทั้งคู่ได้รับรู้ว่าครูราตรีที่พวกเขาเคยพบมาหลายต่อหลายครั้งนั้นเป็นใครเธอก็แทบจะถูกพวกเขาตีเข้าให้เพราะไม่ยอมบอกกล่าวอะไรกันให้เร็วกว่านี้ แต่เมื่อพออธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ไปแล้วพวกเขาถึงยอมเข้าใจได้ แต่ก็ยังคงความเกรงอกเกรงใจไว้อยู่ตามสถานะที่ควรเป็นอยู่ด้วย 


    “ถ้าอย่างไร เราไปทางนั้นกันเถอะหมอจักร ฉันหิ้วท้องมาตั้งแต่ก่อนออกเวรแล้ว”


    เป็นบุลินเองที่เอ่ยปากบอกก่อนทั้งยังเป็นฝ่ายใช้ศอกถองตัวของชายหนุ่ม หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงขยับเรียวคิ้วขึ้นน้อยๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงความคิดในใจของหญิงสาว เพราะทุกทีคนเริ่มสร้างบรรยากาศของความเป็นส่วนตัวมักจะเป็นนายแพทย์หนุ่มอย่างเขา วันนี้ดูท่าเพื่อนสาวของหล่อนคงอ่านใจกันได้ทะลุปรุโปร่งมาได้พักหนึ่งแล้วละมัง ถึงได้เป็นฝ่ายเปิดโอกาสให้กันไปในตัว 


    แต่เอาเถิด...หากหล่อนเข้าใจอะไรง่ายอย่างนั้น นี่ก็นับว่าเป็นวาสนาของหมอจักรเสนแล้ว 


    เมื่อสบตาทำความเข้าใจกับนายแพทย์หนุ่มเป็นที่เรียบร้อยชายหญิงทั้งสองก็เดินจากไปยังทิศทางที่เต็มไปด้วยอาหารมากมายทั้งสองฝั่ง หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงค่อยหันมาหาหญิงสาวอีกคนที่กำลังมองไปรอบด้านอย่างสนอกสนใจ


    “อยากรับอะไรก่อนเดินไหมเพคะท่านหญิง” 


    “ไม่รู้สิคะ ดูละลานตาไปหมดเลย ฉันก็ไม่เคยมีโอกาสมาเสียด้วย”  


    ร่างเพียวหัวเราะก่อนจะตอบ “เช่นนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ของหม่อมฉันแล้ว”


    ฟังผู้มีศักดิ์เป็นหม่อมราชวงศ์กล่าวอย่างนั้นขณะที่เจ้าตัวตั้งวงแขนขึ้นมาเพื่อหวังให้เธอเกาะเกี่ยว ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณหญิงจินณวัตรเป็นฝ่ายห่วงใยว่าเธอกับหล่อนจะเกิดการหลงทิศหรือบาดเจ็บกลางทางกันมาก่อน แต่มณินทรกลับรู้สึกใจเต้นทุกครั้งเมื่อได้มีโอกาสคล้องเกี่ยวเรียวแขนหรือกระทั่งถูกหล่อนจับมือยามที่ข้ามถนนอย่างระมัดระวัง หญิงสาวพยายามซุกซ่อนอาการแปลกแปร่งที่มักจะเกิดต่อหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ และค่อยสอดมือเข้าไปเกาะเกี่ยวมันช้าๆ


    หากคนอื่นมองเข้ามาก็คงไม่ต่างอะไรกับเพื่อนสาวที่ต่างกังวลว่าจะหลงท่ามกลางผู้คนเลยสักนิด แต่สำหรับบุคคลทั้งสองที่รู้สึกประหม่าและตื่นเต้นเพราะการใกล้ชิดนี้ ย่อมไม่อาจตีเป็นความหมายอื่นใดไปได้


    ความใกล้ชิดที่ทำให้ภายในร่างกายของตนนั้นประหนึ่งมีผีเสื้อนับร้อยคอยบินอยู่ค่อยๆ หลงเหลือเพียงแค่ความสบายใจและสนุกสนาน เธอพาหญิงสาวผู้สูงศักดิ์กว่าเดินไปตามซุ้มต่างๆ และคอยสนับสนุนให้หล่อนได้ทดลองทำในสิ่งที่ตนไม่เคยได้สัมผัส จินณวัตรไม่รู้เลยว่าคืนนี้เธอได้ยินเสียงหัวเราะจากจากท่านหญิงราตรีมากี่ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นการที่ได้รวมหัวกับคนในซุ้มบ้านผีสิงแกล้งอีกฝ่ายเล็กน้อย ก็ยังทำให้ได้ฝ่ามือที่ตีลงมาอย่างห้ามไม่ได้ของหล่อนเข้าอีกนับไม่ถ้วน


    เมื่อใช้พลังงานไปกับความสนุกและกิจกรรมยามค่ำคืนหญิงสาวทั้งสองก็เริ่มที่จะเหนื่อยอ่อน หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงจัดการเช่าเสื่อหนึ่งผืนจากเด็กชายที่เดินร้องหาลูกค้าไปมาบริเวณหนังกลางแปลง แล้วปูลงในที่นั่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากผู้คนและหน้าจอมากเท่าใด 


    หนังฝรั่งบนผ้าผืนใหญ่ที่แสดงเรื่องราวต่างๆ ถูกคนพากย์ไปตามเนื้อเรื่องอย่างมีอรรถรสและเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้เป็นระยะ แม้เรื่องราวของหนุ่มสาวเบื้องหน้าจะเป็นที่น่าเอาใจช่วยและติดตามอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายดวงตาเซื่องคู่งามก็อดไม่ได้ที่จะหันมองคนข้างกายอยู่ดี


    สายลมที่พัดในเวลากลางคืนทำให้เส้นผมเลยบ่าของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรปลิวไสวไปตามทิศทาง เธอรู้สึกตัวอยู่หลายครั้งว่าหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มสดใสดั่งพระอาทิตย์นี้มีบางคำถามที่อยากจะถามกันอยู่ในใจ แต่ที่ยังเก็บเอาไว้คงเพราะยังไม่อยากทำลายบรรยากาศระหว่างพวกเธอสองคน 


    “มีอะไรหรือเพคะ”


    คนถูกมองหันไปถามหญิงสูงศักดิ์ข้างกายที่ดูจะจับจ้องเธอมาได้ระยะหนึ่งแทนที่จะเป็นหนังกลางแปลง ใบหน้าสวยงามที่ประดับด้วยรอยยิ้มเบาบางอย่างอ่อนโยนนั้น ฉับพลันก็ทำให้จินณวัตรรู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้องขึ้นมา 


    “หากคุณหญิงอยากจะถาม ไม่ว่าจะเป็นอะไร ฉันก็ยินดีตอบนะคะ”


    สีหน้าของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะคาดไม่ถึงว่าจะโดนมองออก อันที่จริงเธอสังเกตเห็นร่องรอยบนผิวแก้มภายใต้เครื่องสำอางของหล่อนตั้งแต่พบกันที่วังทัตพงศ์มาลีแล้ว แต่ที่ยังไม่ถามนั้นเพราะเธอพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้และไม่ต้องการให้รอยยิ้มน่ามองดั่งความอบอุ่นในฤดูเหมันต์นี้เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาระหว่างที่อยู่ด้วยกันเพียงสองคน 


    จินณวัตรไม่เคยหาสาเหตุได้เลย ว่าทำไมตนถึงได้ยึดติดกับรอยยิ้มซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสได้เห็น และเฝ้าที่จะติดตามเพื่อให้ได้มองมันอยู่ทุกครั้งไป..


    “คุณลุงโกรธที่ฉันโต้เถียงกับเขา” ยังไม่ทันที่จะได้เปิดปากขึ้นอย่างที่หล่อนต้องการ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาเสียเอง

    “คงเป็นเรื่องใหญ่มาก” 

    “มากเสียจนฉันได้แต่ทบทวนกับตัวเอง ว่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”


    ท่านหญิงมณินทรเคลื่อนสายตาไปทางอื่นราวกับนึกสมเพช เรื่องราวที่เกิดขึ้นจนเกิดการลงไม้ลงมือจากญาติเพียงหนึ่งเดียวของหล่อนครั้งนี้คงเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับจิตใจที่เพิ่งจะตั้งตัวได้ไม่ใช่น้อย 


    “ความรู้สึกนี้คงไม่มีวันหายไปจนกว่าร่างของฉันจะสลายไปจากโลกใบนี้ หรือไม่ ก็คงเป็นตอนที่ฉันรู้สึกตายทั้งเป็น จะได้ไม่ต้องเหนื่อยล้ากับเรื่องที่เคยทำพลาดมาแล้วอีกต่อไป” 


    ความเงียบเกิดขึ้นระลอกใหญ่ระหว่างบทสนทนาของคนทั้งสอง ในตอนที่มณินทรคิดว่าคงไม่มีคำพูดใดออกมาจากหญิงสาวข้างกายอีกแล้ว มือข้างหนึ่งของเธอกลับถูกคว้าเข้าไปประคองไว้แน่น และการกระทำที่ไม่คาดคิดนั้นก็ทำให้เธอต้องสบเข้ากับดวงตาสีเข้มของอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้


    “หม่อมฉันจะยังรักษาสัญญา ว่าจะไม่มีวันทำให้ชีวิตของท่านหญิงต้องรู้สึกเหมือนไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง” 

    “…” 

    “ไม่ว่าสิทธิเหล่านี้จะเป็นของคนอื่น หรือจะเป็นของใคร ท่านหญิงก็จะยังคงเป็นท่านหญิงของหม่อมฉันเสมอ ถึงหม่อมฉันไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่ในอนาคตจะต้องมีสิ่งที่ดีงามรออยู่แน่เพคะ และหากท่านหญิงกลัวที่จะก้าวเข้าไปหามัน ได้โปรดเรียกชื่อหม่อมฉัน เพราะหม่อมฉันจะเป็นคนก้าวไปกับท่านหญิงเอง”


    ดวงตาสีเข้มที่จ้องมองมาอย่างมั่นคงและไม่สั่นไหวแม้แต่น้อยกลับทำให้มณินทรรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างซึ่งกำลังเอ่อล้นไปทั่วสรรพางค์กาย สัมผัสจากมือของคุณหญิงจินณวัตรแผ่ซ่านราวกับคลื่นน้ำที่กำลังไหลทะลักออกมา ทำให้เธอรู้สึกถึงความสบายใจและความกล้าหาญในแบบที่เธอไม่เคยมี 


    กี่ครั้งแล้วหนอที่เป็นแบบนี้...กี่ครั้งแล้วที่มันเกิดขึ้นจนไม่ควรเป็นแค่คำว่าบังเอิญ เธอรู้สึกว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่ติดค้างหล่อนเอาไว้ในชีวิตนี้ และอยากขอบคุณหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ทำให้ทุกวันคืนของเธอไม่ได้มีแต่คำว่าสิ้นหวังอีกต่อไป


    เธอรู้สึกอยากขอบคุณ....เสียจนอยากทำอะไรบางอย่างที่น่าอาย 


    “ท่านหญิง...?”  


    เสียงเรียกอันฝ่าจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างอื้ออึงและเสียงพากย์ฉากสำคัญของคู่พระนางทำให้ผู้มีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าหญิงนั้นรู้สึกตัว มณินทรรับรู้ได้ทันทีว่าดวงตาคู่นี้ของคุณหญิงจินณวัตรกำลังพยายามมองผ่านความคิดของตนเมื่อครู่ เธอจึงรีบรั้งมือของตนให้กลับคืนมาแล้วรั้งกระเป๋าขึ้นมาสะพายอย่างไม่อาจควบคุม 


    “ขอโทษค่ะ ฉันขอตัว” 


    เพราะการก้าวเดินจากไปอย่างเร่งรีบนั้นทำให้คนที่เป็นห่วงอีกฝ่ายอยู่เต็มอกอย่างหม่อมราชวงศ์จินณวัตรรู้สึกร้อนรน หญิงสาวเพียงคว้าข้าวของและพยายามมองหาแผ่นหลังอันเปราะบางนั้นเป็นระยะไม่ให้คลาดสายตา ทั้งยังพยายามก้าวเดินให้ระยะห่างของพวกเธอสั้นลงไปทุกนาที


    “ท่านหญิงราตรี หม่อมฉันทำให้รู้สึกไม่ดีหรือเพคะ” 


    กระทั่งเดินห่างออกมาจากจุดเดิมเท่าไหร่หญิงสาวทั้งสองก็ต่างไม่ได้ใส่ใจมันทั้งสิ้น หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเพียงคว้าข้อมือบางเอาไว้ก่อนที่หล่อนจะเดินลับหายไปจากสายตาได้ และเอ่ยถามกันออกมาทั้งที่ลมหายใจยังไม่เข้าที่


    “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉัน...” หญิงสาวที่พยายามหนีหายจากเธอพูดพอให้ได้ยิน “ขอกลับไปนั่งที่รถได้ไหมคะ คุณหญิง” 


    เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้นคุณหญิงจินณวัตรจึงตัดสินใจพาอีกฝ่ายกลับมายังบริเวณที่รถจอดอยู่ด้วยจิตใจที่เซื่องซึมลง เพราะหลังจากนั้นหม่อมเจ้าหญิงมณินทรก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดเป็นพิเศษออกมานอกเสียจากเดินเคียงข้างกันอยู่เงียบๆ ทำให้เธอที่เอาแต่ครุ่นคิดว่าประโยคก่อนหน้าล่วงเกินอะไรหล่อนไปหรือไม่นั้นรู้สึกไม่สงบจิตสงบใจเท่าที่ควร...


    ก่อนหน้านี้เธอแค่พูดออกไปเพราะรู้สึกโกรธกับอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้หญิงสาวคิดกับตนเองเช่นนั้น ไม่ได้ตั้งใจถึงกับให้เจ้าหล่อนก้าวเท้าหนีออกมาเช่นนี้แม้แต่น้อย


    หากท่านหญิงรังเกียจเธอไปแล้วจะทำอย่างไร?


    ...แต่ถ้าหากเป็นอย่างนั้น มันก็ทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?


    “ขออภัยหากหม่อมฉันทำสิ่งใดให้ฝ่าบาทอึดอัดโดยไม่ทันคิด หม่อมฉันล่วงเกินแล้วเพคะ” 


    คิดดังนั้นพร้อมกับการถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัวขณะปิดประตูรถยนต์ที่ใช้โดยสารมาที่งานก่อนหน้านี้ แสงไฟจากซุ้มกิจกรรมก่อนหน้ายังคงพอให้เห็นหน้าอีกฝ่ายอยู่ไหวๆ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงไฟจากการเดินเครื่อง ทว่าจินณวัตรในตอนนี้กลับไม่กล้าที่จะใช้หางตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างๆ เสียด้วยซ้ำ เพียงเพราะกลัวว่าจะถูกรังเกียจไปตลอดชีวิต


    “คุณหญิงเคยบอกว่าการทำอะไรเพื่อตนเองเป็นเรื่องที่กล้าหาญ” 

    “…” 

    “แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องน่าอายก็ตามงั้นหรือคะ”


    คำถามที่ออกมาจากริมฝีปากบางและดวงตาเซื่องทำให้ร่างเพรียวรู้สึกใจชื้นอยู่บ้างเพราะไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกในด้านลบ หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเบี่ยงกายของตนเข้าหาหญิงสาวผู้มีศักดิ์สูงกว่าด้วยใจที่ห้าวหาญน้อยลงอีกนิด แล้วกล่าวออกไปด้วยความจริงใจอย่างที่มิตรภาพของเธอควรจะเป็นตั้งแต่เริ่ม  


    “เรื่องน่าอายจะอยู่ในใจกับเราเพียงครู่ แต่ความสุขที่ได้ทำตามใจตนเอง จะติดตัวเราไปอย่างยาวนานเพคะ”


    “…” 


    หม่อมเจ้าหญิงมณินทรนิ่งเงียบไปเมื่อได้ฟังดังนั้น แววตาของหล่อนที่จ้องมองกันมามีประกายการตัดสินใจอย่างยากหยั่งถึงอยู่เล็กน้อยก่อนที่ตัวเธอเองจะต้องเป็นฝ่ายตกใจเพราะการกระทำที่ไม่ทันตั้งตัวจากท่านหญิงสูงศักดิ์ผู้นี้...


    ริมฝีปากนุ่มของท่านหญิงประทับเข้ามาในตอนที่จินณวัตรไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดหล่อนจึงประคองให้ใบหน้าของเธออยู่นิ่งๆ กว่าจะรู้ตัวว่าสาเหตุที่ทำให้ภายในท้องของตนวูบโหวงเพราะความอ่อนนุ่มและผีเสื้อนับร้อยเกิดขึ้นคืออะไร หม่อมเจ้าหญิงมณินทรก็ผละออกไปแล้วจับจ้องมองเธอพร้อมทั้งกล่าวกลับมาได้เพียงประโยคเดียว...


    …เกรงว่านี่คงเป็นเรื่องที่น่าอายที่สุดในชีวิตของฉันแล้ว”







    TBC.

     _______________________________________________________________________________________________________________________________


    #หม่อมราชวงศ์จินณวัตร #ฟิคแก้วตาสุมาลี 





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×