คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์จินณวัตร : ดอกนางแย้ม ๒
๒
“วันนี้ประชุมเท่านี้ครับ แยกย้ายกันได้”
เสียงของชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่เหนือหัวโต๊ะไม้ที่หันหน้าเข้าชนกันนั้นเอ่ย บรรดาชายหญิงต่างอายุราวห้าถึงหกคนจึงได้มีโอกาสบิดกายคลายความเมื่อยล้าหลังจากที่ต้องนั่งประชุมการสอนตามที่ได้รับหมอบหมายตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ส่องแสงไปทั่วผืนดี
หม่อมเจ้าหญิงมณินทรขยับปลายนิ้วดันแว่นทรงกลมที่สวมไว้อ่านตัวอักษรเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้น เธอหยุดพูดคุยกับคุณกวินหรือชายหนุ่มผู้เป็นคนแจกแจงการประชุมนี้ไม่กี่คำด้วยอีกฝ่ายนึกอยากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ เขาเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มของครูอาสาสำหรับเด็กด้อยโอกาสทางด้านการศึกษา และยังเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจได้หากเธอไม่สะดวกร่วมเดินทางในแต่ละครั้งโดยไม่คิดจะถามถึงสาเหตุต้นตอ ราวกับเขารู้ว่าเธอเป็นใครแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาให้มากความ
“ดูสิ วันนี้คนก็มาเยอะกันแต่เช้าเลย”
เธอก้าวเท้าเดินออกมาสมทบกลุ่มของหญิงสาวสามคนที่ยืนมองลงไปยังสนามกว้างตรงระเบียงทางเดินชั้นสอง เบื้องล่างนั้นเต็มไปด้วยชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่มาเข้าแถวรอตรวจร่างกายจากบรรดาหมอที่นั่งอยู่ภายใต้เต็นท์สีขาว แม้แต่ในแถวของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรเองก็มีชาวบ้านยืนรออยู่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปเช่นกัน
หลังจากจัดการส่วนอาหารเสร็จไปเมื่อวานมณินทรก็ไม่ได้มีโอกาสสนทนาอะไรกับหล่อนอีก นอกจากคอยช่วยบรรดาครูอาสาคนอื่นๆ คุมเด็กๆ ภายในโรงเรียนมาต่อแถวเพื่อตรวจร่างกายกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงเย็น กว่าจะสอนเสร็จเธอก็พบว่าพวกหล่อนได้เดินทางไปพักที่บ้านของนายอำเภอแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ดูจากสีหน้าที่เห็นได้ไกลๆ นี้...คุณหญิงจินณวัตรคงจะพักผ่อนได้เต็มที่สินะ
“พรุ่งนี้ฉันจะไม่ได้ตื่นมาเจอหน้าคุณหมอจักรเสนแล้วหรือนี่” เสียงของหญิงสาวที่กอดหนังสืออยู่ไม่ไกลกันพูดขึ้นด้วยความรู้สึกเสียดาย
“เดี๋ยวช่วงบ่ายก็เป็นคิวพวกเราตรวจบ้างแล้ว” หญิงสาวนามว่าขวัญใจกล่าว “นี่ ฉันได้ยินว่าพวกเขาจะอยู่ถึงตอนที่มีงานเลยนะ เธอลองไปคุยกับเขาดูสิ”
มณินทรได้ฟังจากการประชุมตอนเช้ามาแล้วว่าช่วงหัวค่ำทางอำเภอจะมีร้านขายของและการแสดงหนังกลางแปลงที่โรงเรียนเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ชาวบ้านและเด็กๆ รวมถึงเป็นการขอบคุณทางครูอาสากับคุณหมอที่ตรวจนอกสถานที่ให้ไปด้วยกลายๆ
และมันก็เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้มีโอกาสชมหนังกลางแปลงก่อนเดินทางกลับตามกำหนดด้วยเช่นกัน
“ราตรี ไม่ลองเป็นผู้ท้าชิงบ้างหรือจ้ะ” หญิงสาวรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วที่สะกิดอยู่ข้างแขน เธอถอนดวงตาที่เผลอจับจ้องการกระทำของคุณหญิงจินณวัตรออกมาชั่วครู่จึงเห็นแววตาของพวกหล่อนจ้องมองมาด้วยความกรุ้มกริ่มและใคร่รู้อยู่กลายๆ
“แค่พูดคุยกับคุณหมอเอง ไม่เห็นต้องแข่งอะไรกันเลย”
ถึงจะมีให้เห็นอยู่ทนโธ่ว่านายแพทย์จักรเสนเป็นที่สนใจของบรรดาหญิงสาวประหนึ่งเจ้าชายรูปงามที่หลุดออกมาจากในหนังสือ มณินทรก็เพียงแค่รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นสุภาพบุรุษดีในแบบที่ผู้เป็นลุงของเธอให้ไม่ได้ หรือไม่เพราะหากเทียบเรื่องความงามแล้ว เขายังคงด้อยกว่าเสด็จพ่อของเธอที่อยู่ในความทรงจำก็ไม่รู้
“อย่าไปยุแยงตะแคงรั่วสิ รพิน” ขวัญใจที่ยืนอยู่รีบหันมากล่าวเสริม หล่อนเป็นหญิงสาวที่เข้าร่วมโครงการครูอาสาบ่อยครั้งจนเธอคุ้นชินและมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันให้พอไม่รู้สึกเหงาได้ “ราตรีมีคู่หมายอยู่แล้ว ไม่รู้อะไรเสียเลยนะแม่คนนี้”
คราแรกมณินทรแอบกังวลเล็กน้อยเพราะตัวเองไม่ค่อยได้ผูกสัมพันธ์กับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันนัก แต่เพราะนิสัยที่ร่าเริงของหล่อนก็ทำให้เธอเปิดใจและเรียนรู้ได้ไม่ยากแม้จะไม่ได้บอกสถานะที่แท้จริงของตัวเองออกไป นอกเสียจากเรื่องที่เธอมีคู่หมายอยู่แล้วเพราะชายผู้นั้นคอยพยายามที่จะโผล่หน้ามาในสถานที่ที่เธอทำงานอยู่เสมอ
ทั้งๆ ที่ออกจะชินชาเสียแล้วกับการกระทำที่ไม่เคยถามความสมัครใจของเธอเลยจากชายหนุ่ม แต่จู่ๆ มณินทรกลับรับรู้ถึงความคิดบางอย่างได้ขึ้นมา ในยามที่สายตาเคลื่อนกลับไปมองหม่อมราชวงศ์จินณวัตรผู้มีรอยยิ้มอยู่ไกลๆ เบื้องล่างนั้นเอง
แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเพราะเหตุใด...แต่หญิงสาวกลับไม่อยากให้มันมีวันที่เขาจะได้พบหน้าหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
หญิงสาวผู้อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีเปลือกไข่และกางเกงเอวสูงเข้ารูปสีเข้มค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าที่เดินไปรอบโรงเรียนอยู่ก่อนหน้าลงเมื่อพบคนที่ตามหา ดวงตาของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงค่อยๆ อ่อนลงเมื่อมองเห็นร่างของหญิงสูงศักดิ์ซึ่งนั่งอยู่ภายในห้องสมุดนั้นด้วยความผ่อนคลาย
ท่านหญิงมณินทรนั่งพิงกายอยู่กับเก้าอี้ในมุมที่ติดผนังอันค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว แก้วชาที่ดูจะเย็นชืดลงไปแล้วเบื้องหน้าบ่งบอกว่าหล่อนคงมาใช้เวลาช่วงบ่ายหลังสอนเสร็จอยู่ที่นี่ได้สักพัก ในตอนที่จินณวัตรเดินมาพบก็เห็นว่าหล่อนกำลังมองดูบางสิ่งที่อยู่ชั้นล่าง กระทั่งเธอก้าวเท้าเข้าไปถึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามนั่นแหละท่านหญิงราตรีจึงได้หันกลับมามอง
“คุณหญิง” ดวงตาเซื่องคล้ายง่วงงุนของหล่อนราวกับจะเป็นประกายมากขึ้นยามที่มีคนมาสนทนาด้วย “มีเวลาว่างแล้วหรือคะ”
จินณวัตรละสายตาจากสิ่งที่หล่อนมองอยู่เมื่อครู่หลังจากได้ยินคำถาม แม้จะเห็นว่าเจ้าสุนัขแม่ลูกนับสี่ตัวข้างล่างนั่นน่าสนใจนัก แต่เธอคิดว่าภาพที่อยู่ตรงหน้านี้ออกจะน่าสนใจเสียยิ่งกว่า...
“สอนเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
เรียวคิ้วบนดวงหน้างามของหญิงสาวขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีที่เธอเคลื่อนกายจากการยืนสัมผัสผนักพิงเก้าอี้มานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามแทน และเพราะรับรู้อยู่แแล้วว่าต้องได้รับปฏิกิริยาเช่นนั้นกลับมา เธอจึงกล่าวต่อในลำดับถัดไป
“ในเมื่อเรียกหม่อมฉันว่าคุณหญิง หม่อมฉันก็ควรที่จะเรียกฝ่าบาทอย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน”
เธอสบกับดวงตาเป็นประกายตรงหน้าทั้งรอยยิ้ม
“ไม่ได้หมายความว่าหม่อมฉันไม่อยากเป็นสหายกับท่านหญิงแม้แต่น้อย”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คร้านจะปรามแล้ว” หม่อมเจ้าหญิงมณินทรเอ่ยออกมาในที่สุด “ทำไมไม่กลับไปพักที่บ้านของครูใหญ่ล่ะคะ”
ท่าทางของหล่อนที่คล้ายกับคนอ่อนใจมากกว่าทำให้จินวัตรรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับการที่เธอกำลังจะกล่าวต่อไปนี้
….เพราะจินณวัตรไม่รู้เลยว่ามันจะทำให้หล่อนเข้าใจไปยังทิศทางใดกันแน่
“ถ้าตอบว่ายังอยากสนทนากับท่านหญิง จะฟังดูเป็นการล่วงเกินไปหรือเปล่าเพคะ”
มองรอยยิ้มเล็กๆ และดวงตาที่ดูจะเป็นสุขไม่น้อยที่ได้ทำให้เธอเอาแต่ยอมรับสิ่งที่หล่อนทำให้มณินทรก็รู้สึกว่าหัวใจของตนกระตุก ไม่รู้ว่าเพราะความคิดภายในใจกำลังนึกสงสัยและตามหาความหมายในประโยคแสนธรรมดานั้นหรือไม่ แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ที่ยังมีคนอยากพูดคุยกับเธอในแง่ของมิตรภาพอยู่บ้าง
“เรื่องอะไรคะ”
“ครั้งก่อนที่ฝ่าบาทบอกว่าหากมีโอกาสก็อยากจะเรียนเต้นรำ” หญิงสาวตรงหน้าเธอพูด “เผอิญน้องสาวคนสุดท้องของหม่อมฉันมีแผนจะเปิดการสอนเต้นลีลาศที่โรงเรียนซึ่งครอบครัวเราสนับสนุนอยู่ หากท่านหญิงต้องการ...”
ดวงตาของมณินทรยิ่งเปล่งประกายขึ้นไปอีกเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายบอกนั้นทำให้เธอได้รู้ว่าหล่อนจดจำการพูดคุยเมื่อครั้งก่อนๆ ได้จนวันนี้ เธอเคยพูดกับหล่อนออกไปจริงๆ ว่าอยากมีโอกาสได้ลองการเต้นลีลาศ เพราะไม่มีงานสังคมใดที่จะขาดงานเต้นรำ และมันช่างเป็นที่น่าเสียดายยิ่งนักที่บุพการีทั้งคู่ของเธอสิ้นไปเสียก่อนจะได้พาลูกสาวเพียงคนเดียวออกงาน
จินณวัตรมองเห็นประกายความสุขปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะเลือนหายไปเมื่อหล่อนนึกถึงสภาพการเป็นอยู่ของตนเองขึ้นมา
“แม้ฉันจะสนใจมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะไปเรียนได้ตามที่ต้องการอยู่ดี”
ความรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังภายในประโยคคำถามก่อนหน้าของจินณวัตรคลายลงไปหลายส่วน อาจเพราะเตรียมใจการปฏิเสธเอาไว้บ้างเพราะรับรู้ถึงสถานการณ์ทางบ้านของท่านหญิงอยู่ แต่อีกใจลึกๆ ของเธอก็หวังว่าหล่อนจะลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองกับเรื่องนี้อย่างที่ผ่านมาเช่นกัน
“หากเป็นคำเชิญโดยตรงจากวังทัตพงศ์มาลี ขอเพียงเป็นชื่อของหม่อมฉัน พวกเขาจะต้องปฏิเสธไม่ได้แน่นอนเพคะ”
แต่ท่านหญิงราตรีกลับหลุบสายตาด้วยความรู้สึกเสียใจที่ต้องกล่าวปฏิเสธ
“ขอบคุณนะคะ...แต่ฉันไม่อยากให้พวกคุณพบเจอเรื่องลำบากใจเลยจริงๆ”
เหตุผลนั้นเพราะรู้ดีว่าการจะทำอะไรตามใจตัวเองยังคงเป็นเรื่องยาก เวลานี้มณินทรเองยังไม่รู้เลยว่าหลังจากเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ในวันนั้นจะทำให้หญิงผู้มีศักดิ์เป็นป้าของเธอคิดการใดอยู่อีกหรือไม่ ขนาดตอนที่เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะมาเป็นครูอาสาก็ยังต้องแลกมากับการเป็นคู่หมายของเจ้าสัวไพรีและตบตีสารพัด แทนที่จะต้องกลายเป็นแค่ไม้ประดับชื่อของสามีในอนาคตที่วันๆ เอาแต่ขลุกตัวภายในบ้านอย่างที่พวกเขาต้องการอยู่อย่างเดียว
และอีกหนึ่งเหตุผล..คือการที่เธอไม่อยากให้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ต้องกลายเป็นหมากชิ้นหนึ่งแก่ทั้งสองคนนั่น
นายกำพลผู้เป็นลุงมักจับจุดอ่อนคนอื่นไว้ใช้ผลประโยชน์ หากเขารู้ว่าวังทัตพงศ์มาลีมีเรื่องใดที่สามารถนำมาต่อรองได้ เขาก็จะทำในแบบที่ตัวเองแทบไม่ต้องสูญเสียอะไรทั้งสิ้น
และเธอจะไม่มีวันยอมให้คุณหญิงจินณวัตรต้องมาถูกใช้ประโยชน์เพียงเพราะหล่อนหยิบยื่นไมตรีมาให้กันอย่างแน่นอน
“ราตรี....ราตรี อ้ะ อยู่ที่นี่เอง”
เสียงของคุณขวัญใจที่ปรากฏขึ้นนั้นทำให้บทสนทนาที่ควรจะรู้สึกลำบากใจกว่านี้คลายลง หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเห็นหญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาหาก่อนที่หล่อนจะพบว่าเป็นเธอเองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จึงมีความเกรงใจและสำรวมปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้านั้นอยู่ส่วนหนึ่งแล้วจึงได้รับคำถามจากคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเธอ
“มีอะไรเหรอขวัญใจ”
“คุณไพรีมารอรับเธอแล้วน่ะ”
ครั้นพอหญิงสาวพูดจบจินณวัตรก็ได้เห็นสีหน้าที่ซีดลงของหม่อมเจ้าหญิงมณินทร ดวงตาเซื่องที่เบิกขึ้นอย่างตกใจรวมทั้งเคลื่อนมามองกันเป็นระยะทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าคนที่ถูกกล่าวถึงมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเธอหรือไม่หล่อนจึงแสดงความเป็นกังวล เพราะเธอก็ไม่ได้คุ้นหูกับชื่อที่หญิงสาวตัวเล็กคนนี้พูดถึงเลยสักนิดเดียว
แต่ดูเหมือนการใช้เวลากับหล่อนวันนี้จะจบลงเร็วกว่าที่เธอคิดเอาไว้เช่นกัน
“ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ คุณหญิง”
ฟังน้ำเสียงที่ดูจะอ่อนลงและท่าทางที่ไม่ค่อยอยากจะเร่งรีบเท่าใดนักทำให้จินณวัตรรับรู้ได้ว่าหล่อนจำใจต้องไป วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่การตรวจนอกสถานที่ในเขตเทศบาลนี้จะจบลง เช่นเดียวกันกับกลุ่มครูอาสาที่การสอนราวอาทิตย์หนึ่งนั้นก็ได้เสร็จสิ้นไปแล้วเช่นกัน
เธอได้ยินจากบุลินว่าตอนหัวค่ำจะมีหนังกลางแปลงมาฉายรวมทั้งชาวบ้านที่พร้อมใจทำอาหารมาให้ชิมภายในงาน แรกเริ่มจินณวัตรคิดว่าคงไม่ได้มีอะไรให้กังวลนอกเสียจากการคิดหัวข้อสนทนาและคำอธิบายต่างๆ หาก ‘ท่านหญิง’ สงสัยกับสิ่งรอบข้างอย่างที่ตั้งใจ ทว่าพอได้มองหญิงสาวผู้สูงศักดิ์นั้นเดินห่างจากตัวอาคารออกไปหลายก้าว จินณวัตรก็กลับรู้สึกเสียดายกับมันขึ้นมาเรื่อยๆ...
หม่อมเจ้าหญิงมณินทรถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่นำติดมาด้วยก่อนจะหยุดฝีเท้าลงต่อหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มทับด้วยสายคาดที่รั้งไหล่และกางเกงทรงสูงที่ก้าวออกมาจากรถยนต์คันงาม ใบหน้าของเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรแต่ก็มากเล่ห์พิกลจนเธอที่มองจากชั้นสองยังอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขายื่นมือข้างหนึ่งจากด้านหลังออกมาหวังให้ท่านหญิงตอบรับ และปรากฏเสียงกระซิบเป็นวงกว้างเมื่อชายหนุ่มจุมพิตลงบนหลังมือของหญิงสาวอย่างทะนุถนอม ประหนึ่งสุภาพบุรุษชั้นเลิศท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เริ่มจะป้องปากด้วยความใคร่รู้ว่าชายหนุ่มรูปงามผู้นี้เป็นใคร
จินณวัตรเบือนหน้าหนีจากหน้าต่างที่ตนยืนอยู่หลังจากรถยนต์คันหรูนั้นจากไปได้ครู่ใหญ่ ทว่าน้ำหนักในดวงใจก็คล้ายกับจะหนักหน่วงขึ้นถึงแม้จะยังไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่เป็นอย่างไรกันแน่
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ขณะเคลื่อนสายตาไปมองถ้วยชาที่ยังคงวางไว้ที่เดิม เธอยอมรับว่าตนเองรู้สึกสับสนไม่น้อยกับความรู้สึกมากมายที่กำลังเกิดขึ้นในใจ ใจหนึ่งยินดีนักหากจะเป็นใครสักคนที่ท่านหญิงเพียงนึกถึง แต่อีกใจหนึ่งจินณวัตรก็รับรู้ถึงความไม่รู้จักพอของตนที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในที่กำลังพยายามก่อตัวขึ้นมาหลังจากพยายามปิดมันไปแล้วเช่นกัน..
เธอควรจะรู้จักสถานะของตนเองตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าหล่อนเป็นใครแล้วไม่ใช่หรือไร...
...แล้วทำไมถึงยังรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้อีก?
อาคารสองชั้นที่ตั้งอยู่ห่างจากถนนใหญ่ราวสิบนาทีถูกรายล้อมไปด้วยเสาไฟอันตกแต่งเป็นตัวนำแสงสว่าง ยังไม่นับเสียงรื่นเริงจากผู้คนที่มายังสโมสรแห่งนี้เพื่อสรรหาความบันเทิงใจในยามค่ำคืน หม่อมราชวงศ์จินณวัตรก้าวเท้าลงจากรถยนต์คันงามก่อนจะส่งกุญแจให้คนดูแลที่คอยรอรับบริการอยู่บริเวณทางเข้า แล้วจึงทักทายกับเจ้าของสโมสรที่เป็นคนคุ้นเคยกันอยู่สองสามคำจึงได้ปลีกตัวเข้าไปภายใน
“ในที่สุดคุณหญิงก็ปลีกตัวมาเยี่ยมเยียนกันได้เสียที” เสียงหนึ่งเอ่ยทักทายทันทีที่เห็นหน้ากันหลังจากเธอใช้เวลาครู่หนึ่งเดินตามหาคนที่นัดหมายทางโทรศัพท์ไว้ตั้งแต่เมื่อวาน “หิมะควรจะลงที่พระนครได้แล้วมัง”
“เพ้อเจ้อจริง ฉันไม่ได้หายหน้าไปนานขนาดนั้นเสียหน่อย”
เธอหัวเราะเบาๆ ให้แก่คำกล่าวของหญิงสาวผู้มีนามว่าจารวี ผู้เป็นน้องสาวของนายแพทย์จักรเสน ซึ่งดูเหมือนหล่อนจะจับจองที่นั่งอยู่บริเวณหน้าเวทีที่มีนักร้องหญิงเสียงหวานขับขานบทเพลงอยู่ครู่ใหญ่แล้ว ไม่อย่างนั้นขวดเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ตรงหน้าบนโต๊ะนี่คงไม่พร่องไปเสียเกือบครึ่ง
“ครั้งล่าสุดที่ได้ยินข่าวก็คราวคุณหญิงรดาบาดเจ็บนี่นะ”
ในอดีตเมื่อราวสิบปีก่อน หม่อมราชวงศ์จินณวัตรและจารวีเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่ตัดสินใจเข้าร่วมการคัดเลือกของกรมยุทธศึกษาทหารบก ในช่วงอายุที่มีเพียงเธอและพี่ชายใหญ่เท่านั้นที่ต้องรีบสร้างความมั่นคงให้ตนเองเพื่อเลี้ยงดูน้องสาวที่เหลือแม้จะมีมรดกตกทอดจากผู้เป็นบิดามารดาที่สิ้นไป และเพื่อไม่ให้ใช้ร่างกายไปโดยเปล่าประโยชน์เพราะไม่อาจได้รับตำแหน่งหน้าที่เท่ากับบุรุษทั่วไป เธอจงเบนความสนใจไปยังวิชาการแพทย์ และสร้างชื่อเพราะฝีมือการรักษาอันเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่ชั้นประทวนถึงยศนายพลเลยทีเดียว
กระนั้นถึงเธอและจารวีจะมีชื่อว่าเป็นหนึ่งในแพทย์ทหารที่มากฝีมือ แต่ยิ่งนานวันไปพวกเธอทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้ประทับใจกับมันมากนัก โดยเฉพาะสิ่งที่ต้องพบเจอมาแต่ละเรื่องในช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเป็นรั้วแห่งชาติเช่นนี้
เพราะอย่างนั้นหลังจากเรื่องวุ่นวายของน้องสาวคนกลางอย่างคุณหญิงดารารินทร์จบลง เธอจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากราชการเพื่อมาทำงานที่สถานพยาบาลเล็กๆ ดังเช่นในปัจจุบันนี้เอง
“เป็นหมอที่โรงพยาบาลเต็มตัวแล้วสิ เหนื่อยมั้ย”
“เหนื่อยคนละแบบ ไม่ต้องเข้มงวดมากนัก หากอายุมากขึ้นกว่านี้คงพอหายใจคล่องตัวได้บ้าง”
จินณวัตรกล่าวตอบอย่างนั้นพลางวาดสายตาไปทั่วบริเวณ สโมสรพรมันก่อตั้งขึ้นโดยอดีตนายทหารกรมเสนารักษ์เพื่อให้เป็นจุดรวมตัวแก่คนที่เคยศึกษาจบไปแล้วมาพบปะกัน แต่ภายหลังอนุญาตให้ทั้งอดีตนักเรียนและคนที่ได้บรรจุเป็นสมาชิกสโมสรเท่านั้นที่เข้ามาสังสรรค์กันได้ ลานกีฬาต่างๆ ที่สโมสรแห่งนี้จะถูกจับจองด้วยผู้คนในช่วงเช้า แต่เมื่อใดที่ย่ำค่ำมาเยือนห้องโถงใหญ่ก็จะถูกเปิดเป็นพื้นที่สำหรับการนั่งฟังเพลงและเต้นรำไปจนถึงยามสอง
และค่ำคืนนี้ก็เป็นอีกคืน ที่ตัวเธอนั้นอยู่ท่ามกลางเสียงร้องหวานๆ ของนักร้องสาวบนเวทีต่อหน้าวงดนตรีขนาดกลาง รวมทั้งผู้คนที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับจังหวะดนตรีอันเนิบนาบราวกับเวลาของพวกเขาได้ดำเนินช้าลงไป
“ให้ฉันเดา ที่มาบ่อยเพราะหล่อนล่ะสิท่า”
เธอเอ่ยปากพูดหลังจากรับน้ำส้มจากถาดในมือของบริกรชาย เพราะสังเกตได้จากสีหน้าที่ดูจะอิ่มเอมมีความสุขดีไม่เหมือนหมอที่ทำงานหนักในโรงพยาบาลใหญ่ของเพื่อนสาว ขณะที่จับจ้องสายตาไปยังนักร้องคนสวยบนเวที
“อย่าถามอะไรที่รู้คำตอบจากหน้าของฉันอยู่แล้วสิ” จารวีตอบทั้งแสร้งทำเป็นปัดมือในอากาศ “สรุปว่าที่โทรชวนฉันออกมาคืนนี้ เพราะเรื่องอะไรล่ะ”
หากให้เทียบกันแล้วช่วงสองสามปีมานี้เธอก็ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวยามค่ำคืนเหมือนสุภาพสตรีบ่อยอย่างเช่นที่จารวีคุยเอาไว้แต่แรกจริงๆ และถ้าไม่ใช่เพราะจินณวัตรมีเรื่องที่ทำให้นอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มมาสองคืนแล้วล่ะก็ คงไม่คิดจะพาตนเองออกมายังโลกยามราตรีในวันนี้ด้วยเช่นกัน
..ส่วนต้นเหตุน่ะหรือ จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ
“ฉันรู้จักหล่อนไหม?”
หญิงสาวเอ่ยถามทั้งเรียวคิ้วที่ค่อยๆ คลายตัวลงหลังจากเป็นเส้นตรงมาตลอดการที่เธอเปิดปากเล่าเรื่องของ ‘นางสาวกอ’ ผู้หนึ่งให้ฟัง จินณวัตรตั้งใจจะหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลของท่านหญิงให้คนรอบตัวรู้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้จะอยากเก็บมันไว้กับตัวจนกว่ามันจะหายไปเอง ทว่าเธอที่พบเจอโลกมาสามสิบกว่าปีย่อมรับรู้ถึงฤทธิ์รักอยู่บ้างเช่นกันว่าจะเป็นอย่างไรหากไม่รีบกำจัดความค้างคานี้น้อยลงไป
“คิดว่าไม่ เพราะหล่อนไม่ได้ออกงานสังคมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ฉันเคยพยายามวาดฝันว่าคนแบบไหนกันนะที่จะเอาชนะใจคุณหญิงใหญ่วังดอกไม้แห่งพระนครได้”จารวีลูบปลายคางตัวเองด้วยความครุ่นคิด ทว่ารอยยิ้มกลับยกขึ้นน้อยๆ ราวกับจะหยอกเย้า “นกน้อยในกรงเชียวหรือนี่”
“ฉันมาถามเธอว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะกำจัดความรู้สึกพวกนี้ออกไปได้นะ”
“อยากกำจัดเพราะมันน่ารำคาญ หรือเพราะมันกำลังทำให้คุณหญิงรู้สึกถึงคำว่าไม่เหมาะสมกัน”
ที่พูดไปอย่างนั้นจินณวัตรเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกขมขื่นในลำคอ ยิ่งฟังคำกล่าวถัดมาของหญิงสาวตรงหน้าก็คล้ายกับน้ำส้มในมือจะยิ่งขมฝาดกว่าที่เคยชิม เธอรู้ตัวดีว่าถ้าหากจะตัดใจก็ต้องย่อมทำมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ยิ่งนึกถึงการปรากฏตัวของหม่อมเจ้าหญิงมณินทรในชีวิตของตัวเอง เธอกลับพบว่ามันช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน
“ที่จริงฉันไม่มีสิทธิ์ไปพูดถึงเรื่องความเหมาะสมหรอก แต่ในเมื่อสังคมมันขีดเส้นแบบนั้น เธอคงจะเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว”
“…”
“แต่ในเมื่อคนเก่งอย่างคุณหญิงใหญ่ยังคิดไม่ตก ฉันแนะนำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ฟังก็ได้”
“อะไรล่ะ”
“หากได้พบกันก็ท่องไว้ให้ขึ้นใจเลย” จารวีเอียงกายเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าจริงจัง “หวังดี ไม่ใช่รัก ถ้าท่องแล้วยังหักห้ามใจไม่ได้ เธอก็ยกกรงนั่นไปไว้ในวังดอกไม้เสียเลย”
คำตอบนั้นทำเอามือที่นิ่งเฉยของหญิงสาวจำต้องออกแรงผลักเข้าที่ไหล่อีกฝ่ายจนแทบกระเด็นตกเก้าอี้ แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะร่วนที่เห็นสีหน้ายุ่งๆ ของเธอ
ทว่าเอาเข้าจริงแล้วนอกจากพยายามหายไปจากชีวิตอย่างที่เคยทำ จินณวัตรก็คิดว่าตนคงเหลือหนทางให้เดินอยู่ไม่กี่ทางจริงๆ
เสียงหัวเราะเอิกเกริกของคนกลุ่มใหญ่ที่ดังขึ้นมาทำให้ทั้งสองสาวจำต้องหันไปมอง แรกเริ่มจินณวัตรก็คิดเพียงว่าคงเป็นกลุ่มสังสรรค์ทั่วไปอย่างที่เคยพบเจอมาเท่านั้น แต่เมื่อมองใบหน้าของแต่ละคนที่มีทั้งคุ้นเคยและไม่เคยรู้จัก กลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ในนั้นโดยที่คนรอบข้างดูจะให้ความสำคัญกับเขาอยู่ไม่น้อย และที่บังเอิญไปเสียยิ่งกว่านั้น คือการที่เขาคือชายคนเดียวกันกับคนที่ไปรับท่านหญิงมณินทรที่โรงเรียนในวันนั้นเอง
“รู้จักหรือ?” จารวีพูดเมื่อเห็นว่าเธอจ้องมองเขาไม่วางตา
“ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่”
ถามออกไปราวกับจะแค่สงสัยทว่าแฝงความไม่พอใจเอาไว้อยู่ส่วนหนึ่ง เพราะชายหนุ่มผู้นั้นได้โอบกอดหญิงสาวข้างๆ อย่างสนิทสนมเกินกว่าจะมองเป็นเพื่อนหรือคนรู้จัก หากไม่ใช่ว่าเพราะจินณวัตรยังจำได้ว่าเขาเองก็ทำตัวประหนึ่งสุภาพบุรุษที่ให้ความสำคัญกับท่านหญิงก่อนหน้านี้ คงจะคิดว่าพวกเขาเป็นคู่รักที่มาท่องเที่ยวยามราตรีด้วยกันไปแล้ว
“นายสุวิทย์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา เพราะงั้นถึงได้พาตัวเองเข้ามาอยู่ที่นี่ได้” จารวีพูดตามข้อมูลที่ได้ยินมา เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่หญิงสาวเห็นชายหนุ่มผู้นี้เพียงแต่แค่ไม่ได้ให้ความสนใจ
“เห็นว่าเป็นเจ้าสัวห้าง ที่เข้าไปนั่งห้อมล้อมกันแบบนั้นก็คงหวังบางสิ่งอยู่มัง”
หากให้ยอมรับตามตรงจินณวัตรคงต้องบอกว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่สักหน่อย ถึงจะยังไม่รู้ว่าระหว่างคนทั้งคู่มีสถานะที่แท้จริงอย่างไรกันก็ตาม แต่หากเขาจะประพฤติตัวเหมือนว่าตนเป็นพ่อพวงมาลัยก็ไม่ควรจะแสดงตนว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านหญิงต่อหน้าคนอื่นไม่ใช่หรือไร
“สวะ”
ร่างเพรียวได้ยินเสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันสบถออกมาเมื่ออีกฝ่ายเห็นนักร้องสาวที่ยืนอยู่บนเวทีถูกก่อกวนด้วยชายผู้หนึ่งซึ่งน่าจะเดินมาจากกลุ่มของเขาโดยที่เธอไม่ทันได้สังเกต จินณวัตรรับรู้ได้ถึงความรู้สึกโกรธเคืองของเจ้าตัวที่กระแทกแก้วเครื่องดื่มในมือลงกับโต๊ะและคาดว่ากำลังจะเกิดเรื่องราวในไม่ช้าจึงรีบคว้าแขนของเพื่อนสาวเอาไว้
“จารวี ที่นี่ห้ามมีเรื่องนะ”
“ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องถึงมือคุณหญิงจินหรอก”
หล่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดอันคาดว่าคงมาจากระดับแอลกอฮอล์ในร่างกาย จารวีบิดข้อมือออกจากการกอบกุมของเธอแล้วเดินดุ่มไปหาชายหนุ่มที่สูงใหญ่กว่าตัวเองโดยไม่มีความเกรงกลัว จินณวัตรมองภาพนั้นอยู่ไกลๆ สักพักจึงเห็นสถาการณ์ที่ตนเองคาดไว้ เมื่อชายหนุ่มถูกขัดขวางการล่วงเกินนักร้องสาวนั้นด้วยหญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าตนเองก็เกิดการโต้เถียงและลงไม้ลงมือกันแต่เขาก็พลาดท่า กระทั่งแรงอารมณ์ตีขึ้นหน้าและอุ้มตัวเพื่อนสาวของเธอโยนกลับมากระแทกกับโต๊ะโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาก้าวเดินแต่อย่างไร
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อเห็นสภาพตรงหน้า “อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะเธอ”
ยังไม่ทันได้ทอดถอนใจไปมากกว่านี้เสียงคำรามอย่างโกรธขึงก็ดังเข้ามาให้ได้ยิน ร่างเพรียวขยับกายเบี่ยงหลบคนเมาที่ไม่อาจควบคุมตนเองได้กระทั่งชายหนุ่มนั้นล้มคะมำไปใส่โต๊ะตัวเดียวกัน เธอเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าการเคลื่อนไหวของเขาไม่ต่างอะไรกับพวกนักเลงข้างถนนที่หวังจะใช้กำลังพุ่งเข้าใส่เสียอย่างเดียว ฉะนั้นจึงเป็นคนละเรื่องกับการฝึกในกองทัพแม้ว่าหน้าที่ของตนจะเป็นเพียงแพทย์สนามก็ตาม
อย่างไรเสียเมื่อก่อนทั้งเธอและจารวีก็ใช้มีดรักษาและป้องกันตัวเองได้เหมือนกัน แต่หนนี้สำหรับเพื่อนของเธอเห็นทีจะติดขัดไปเสียหน่อยเพราะอายุและฤทธิ์ของมึนเมาในตัว
“เกิดอะไรขึ้น ที่สโมสรห้ามมีเรื่องนะครับ!”
เสียงเจ้าของสโมสรคนปัจจุบันที่ก้าวเท้าฝ่าคนมุงเข้ามาร้องบอกหลังจากเธอล็อคแขนและกดศีรษะของชายหนุ่มไว้กับโต๊ะอยู่ครู่ใหญ่ ครั้นเมื่อเห็นว่าคนไกล่เกลี่ยมาถึงแล้วจึงไม่จำเป็นต้องหยุดยั้งการขัดขืนของเขาไว้อีก จึงผลักไสร่างนั้นคืนไปยังทิศทางของบรรดาเพื่อนพ้องเขาที่ตั้งท่าจะเข้ามาช่วยเหลือแต่แรกแล้วทว่ายังต้องรักษาหน้าเอาไว้อยู่
“ไม่เห็นต้องถาม ก็หล่อนเข้ามายุ่งน่ะสิ” ชายหนุ่มผู้เมามายนั้นตอบ
จารวีลุกขึ้นมาแล้วจึงเถียงกลับบ้าง “ทำอะไรไว้นายก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองอยู่แล้ว”
แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่สมาชิกโดยตรงของสโมสรแต่ก็อยู่ในฐานะแขกที่คนในพาเข้ามา โชคดีที่นักร้องสาวรู้จักกับเพื่อนสาวของเธออยู่แล้วจึงให้การอย่างตรงไปตรงมาในการกระทำที่อีกฝ่ายก่อขึ้น แน่นอนว่าคู่กรณีไม่ยอมถูกกล่าวหาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ยังผรุสวาทวาจาด้วยสีหน้ารังเกียจพวกเธอออกมาเสียจนเกือบจะลงไม้ลงมือกันอีกรอบ
“ผิดก็ว่าไปตามผิดสิ เป็นสุภาพบุรุษประเภทไหนกัน”
น้ำเสียงมั่นคงดูน่าฟังนั้นทำให้คนทุกผู้หันไปมองด้วยความสนใจ จินณวัตรเปลี่ยนสีหน้าเป็นความระแวดระวังในทันทีที่ชายหนุ่มผู้ที่สร้างความไม่สบายใจให้เธอตั้งแต่ต้นนั้นก้าวออกมาราวกับว่าตนสามารถรับมือได้ทั้งหมด และความอ่อนโอนจากคำพูดของเขาก็ทำให้บรรยากาศตึงเครียดโดยรอบค่อยผ่อนคลายลงไปโดยปริยาย
“ทางนี้คงเป็นคุณหญิงจินณวัตรที่เขาร่ำลือกันสินะ? ผมชื่อไพรี ขอโทษแทนเขาด้วย ไม่ทราบว่าพวกผมจะทำอะไรเป็นการตอบแทนให้คุณผู้หญิงได้บ้าง”
รอยยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้าดูเป็นมิตรแต่ก็ล้ำลึกเสียจนเธอไม่กล้าเอ่ยปากว่าสบายใจ ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าเขารู้จักเธอได้จากคนในสโมสรคนไหนกัน แต่จินณวัตรก็ไม่อยากให้เรื่องหมางใจของจารวีเป็นต้นเหตุให้เธอจำต้องสาวความยาวกับเขาไปมากกว่านี้จึงได้แต่เพียงกล่าวไปตามตรงเท่านั้น
“หวังว่าเขาจะสำนึกในแผลนั้น และคงไม่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีก”
เธอพยักพเยิดไปยังร่องรอยการฟกช้ำบนใบหน้าของชายคู่กรณีซึ่งแสดงสีหน้าไม่พอใจอยู่อย่างเด่นชัด แต่เพราะดูเหมือนเขาเองก็ให้ความเกรงใจเจ้าสัวหนุ่มตรงหน้าเธออยู่หลายส่วนจึงได้แต่ขบกรามกรอดๆ อยู่ตรงนั้นเอง
“ครับ คราวหลังผมจะระวังให้มากกว่านี้”
หลังเกิดเหตุการณ์อันไม่น่าอภิรมย์นั้นเธอจึงแยกย้ายกับจารวีเพื่อพักผ่อน กว่าจะเดินทางและจอดรถยนต์คันงามไว้ทางด้านหน้าของวังทัตพงศ์มาลีเพื่อให้ผู้ดูแลนำไปเก็บเข้าที่ทางก็ปาเข้าไปเสียเที่ยงคืน แต่ความเหนื่อยล้าที่ควรจะมีนั้นเทียบกับสิ่งที่เอาแต่อยู่ในหัวของเธอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เจ้าสัวไพรีที่เธอได้พบเจอในวันนี้...เห็นทีจะไม่ใช่คนที่ควรประมาทด้วยได้เสียแล้ว
“คุณหญิง กลับมาแล้วหรือคะ”
เสียงหนึ่งที่เอ่ยทักทำให้หม่อมราชวงศ์จินณวัตรผู้มีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่รู้สึกตัว เธอหันมองหญิงสาวที่เผยรอยยิ้มประหนึ่งโล่งใจที่เห็นเธอเดินทางกลับมาก่อนจะเอ่ยถามตามประสาคนรู้จักกัน
“ยังไม่ไปพักผ่อนอีก ดึกแล้วนะสิชา”
“ฉันรอคุณหญิงอยู่ค่ะ” หล่อนตอบ
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ ฉัน...แค่อยากรอ”
หญิงสาวผู้มีอายุอ่อนกว่าเธอบีบมือที่อยู่ด้านหน้าของตนเองราวกับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จินณวัตรมองกิริยานั้นแล้วจึงผ่อนลมหายใจด้วยความรู้สึกเอ็นดูเพราะหล่อนก็เป็นคนกันเองที่เข้าออกวังทัตพงศ์มาลีมาได้ราวอาทิตย์กว่าแล้วเช่นกัน
สิชาเป็นนางพยาบาลในแผนกของนายแพทย์จักรเสน หล่อนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่พี่ชายใหญ่ของเธอต้องการยามที่เขาอยากได้คนคอยมาดูแลอาการภรรยาของตน แต่ก่อนหน้านั้นเธอเองก็เคยรู้จักกับหล่อนมาก่อนแล้วในฐานะของผู้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อสมัยดำรงชีพเป็นแพทย์ทหารในกรม
เพราะครั้งหนึ่งจินณวัตรได้มีโอกาสไปประจำการที่จังหวัดบ้านเกิดของหญิงสาวแล้วต้องการความช่วยเหลือเฉพาะหน้าในขณะที่ขาดติดต่อกับทางสถานที่ ในเวลานั้นหล่อนยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่มีเพียงความรู้การรักษาเบื้องต้น และเพราะเห็นความสามารถในตอนนั้นเธอจึงเป็นคนคอยสนับสนุนเพื่อให้หล่อนได้เข้ามาร่ำเรียนการเป็นพยาบาลตามความฝันของตนจนตั้งตัวได้เอง
หากจะพูดว่าเธอเป็นผู้อุปการะหล่อนก็ไม่ผิดนัก แต่จะให้กล่าวอย่างนั้นจินณวัตรก็รู้สึกกระดากใจอย่างไรไม่รู้
“เดี๋ยวฉันจะไปส่งที่เรือนรับรองแล้วกัน”
เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าแล้วจินณวัตรจึงก้าวเท้าเดินไปยังทิศทางของเรือนรับรองที่บัดนี้กลายเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวของหล่อนแทน ระหว่างทางจึงได้ถามไถ่สุขภาพและอาการของพี่สะใภ้ใหญ่อย่างจีรัญนภาอย่างที่หล่อนมักจะคอยพูดให้ฟังกระทั่งส่งหล่อนเข้าเรือนรับรองได้เป็นที่เรียบร้อยดีและอาการที่ได้ฟังมาไม่มีปัญหาอะไร
“คุณหญิงใหญ่คะ วันนี้มีจดหมายถึงคุณค่ะ”
เสียงของหญิงรับใช้ที่เอ่ยปากพร้อมกับจดหมายในมือขณะที่กำลังจะเปิดประตูห้องนอนนั้นทำให้เธอยกเรียวคิ้วงามขึ้นน้อยๆ จินณวัตรรับมันมาก่อนจะพลิกหาที่มาที่ไปอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่คุ้นชื่อกับสถานที่ที่ถูกเขียนไว้ แล้วจึงเห็นร่องรอยของหมึกสีดำตัวไม่ใหญ่มากนักถูกเขียนอยู่ที่มุมหนึ่งของมันได้ราวกับจงใจซ่อน
ราตรี
จดหมายจากหม่อมเจ้าหญิงมณินทร
สิ้นเสียงนั้นภายในความคิดร่างกายที่ออกอาการเหนื่อยล้าก็ดูจะเลือนหายเป็นปลิดทิ้ง หม่อมราชวงศ์จินณวัตรก้าวเท้าเปิดและปิดประตูเพื่อตรงไปยังโต๊ะหนังสือของตนด้วยท่าทางที่พยายามจะสงบเสงี่ยมแต่ก็แอบสร้างคำถามให้สาวใช้ก่อนหน้าอยู่ในที แล้วจึงค่อยๆ เปิดซองจดหมายนั้นออกเพื่อดูเนื้อหาข้างในว่าเรื่องอะไรหล่อนจึงใช้ชื่อของคนอื่นส่งมันมา
เนื้อความในกระดาษนั้นมีเพียงหมึกสีดำที่ถูกเขียนไว้อย่างตั้งใจอยู่ไม่กี่บรรทัด ช่วงแรกหล่อนไต่ถามถึงสารทุกข์สุขดิบพอเป็นพิธีและความจำเป็นที่ต้องติดต่อกันผ่านกระดาษเช่นนี้ด้วยต้องการหลีกเลี่ยงการจับตาภายใน ส่วนเนื้อหาที่เหลือก็เป็นการเล่าถึงหญิงกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นป้าของหล่อนที่กำลังเฟ้นหาคนไว้ใจได้ให้มาสอนการเข้าสังคมชั้นสูงให้ผ่านการเต้นระบำ และคงไม่พ้นบรรดาญาติมิตรของฝ่ายนั้นสักคน
แม้จะรับรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายจงใจให้ใช้เพียงร่างกายในการผูกสัมพันธ์แต่ก็เหลือทางเลือกไม่มาก ครั้งนี้จึงเป็นการขอความช่วยเหลืออย่างจริงจังอีกครั้งเมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เจ้าตัวได้ปฏิเสธเธอไป
ปลายจมูกโด่งผ่อนลมหายใจยาวออกมาครู่หนึ่งก่อนจะได้กลิ่นหอมของดอกไม้ผ่านกระดาษที่ถูกเขียนกลับคืน ยามที่หล่อนปฏิเสธข้อเสนอของเธอเพราะยังขาดกลัวในตอนนั้นจินณวัตรคิดไว้เสียว่ามันคงไม่มีโอกาสอีก แต่ในเมื่อชีวิตยังไม่อาจมีอะไรที่แน่นอนได้ การที่โชคชะตายังวางท่านหญิงมณินทรให้อยู่ในชีวิตเธอเช่นนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเช่นกัน
เห็นทีจะต้องพิจารณาวิธีของจารวีไว้ใช้ ในตอนที่ตัวเธอนั้นจนตรอกกว่านี้เสียแล้ว
“ช่วยหยุดมองพี่ด้วยสายตาแบบนั้นทีได้มั้ย”
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรกล่าวออกมาอย่างเสียไม่ได้หลังจากที่พยายามทำเป็นไม่สนใจแววตาอันหลากหลายของบรรดาน้องสาวทั้งสาม อุตส่าห์คิดว่าตนเองเรียบเรียงคำพูดรวมถึงท่าทีที่ไม่น่ามีช่องโหว่อะไรให้จับผิดแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังไม่วายต้องพบกับแววตาเป็นประกายของหญิงสาวภายในห้องนั่งเล่นของสี่ใบเถาแห่งวังดอกไม้วันยังค่ำ
“เกรงว่าถึงจะพยายาม พวกน้องก็คงหยุดไม่ได้อยู่ดี”
หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรผู้ที่เธอเป็นคำกล่าวเปรยๆ ด้วยว่ามีคนสนใจอยากจะร่ำเรียนการเต้นลีลาศตอบทั้งรอยยิ้มอย่างไว้ที แต่พอเห็นลักยิ้มบนใบหน้าสวยนั้นบุ๋มลงไปจินณวัตรก็รู้สึกเสียแล้วว่าตนพลาด
“หญิงสาวคนนี้เป็นใครกัน ถึงทำให้พี่หญิงจินต้องมาขอร้องน้องหญิงเล็กของเราเป็นครูสอนให้เป็นคนแรก” หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เท้าแขนกับเปียโนคู่ใจด้วยสีหน้าซุกซน ก่อนกล่าวเสริมความเห็นในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้องซึ่งใครก็ต้องสัมผัสถึงมันได้
“ความคิดของจิลลาภัทรยังไม่ทันได้เป็นทางการแท้ๆ” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันนั้นตบท้ายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็อ้อมค้อมสมกับเป็นพี่หญิงใหญ่ดีนะ”
“ถ้ายังจะล้อกันต่อ จะกลืนเรื่องที่กำลังจะบอกนี่ไปเสียเลยแล้วกัน”
หญิงสาวผู้ตกเป็นจำเลยในบทสนทนานั้นเป่าลมออกจากริมฝีปากของตนเป็นการทิ้งท้ายหลังจากถูกบรรดาน้องสาวหยอกเย้า หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเมินหน้าหนีและทำท่าทีบึ้งตึงอย่างไม่จริงจังจนหญิงสาวที่เหลือจำต้องยอมอ่อนโอน กว่าที่เธอจะเปิดปากเล่าเรื่องสำคัญว่าวันนี้ที่วังจะมีแขกมาเยี่ยมเยียนเป็นคราวแรกและเป็นใครมาจากไหนได้นั้นก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมงแล้ว
นี่เธอกับพี่ชายใหญ่เลี้ยงพวกหล่อนโตมาให้ฉลาดเกินไปหรือเปล่านะ
“ถ้ากลัวว่าจะถูกจับตามอง เช่นนั้นก็ทำเหมือนว่าเราไปสอนกันที่โรงเรียนสรสุนทรีย์สิคะ” ดารารินทร์เสนอเมื่อได้ฟังสถานการณ์ของท่านหญิงที่พี่สาวของเธอกล่าวในฐานะสหาย ทว่าหล่อนกลับส่ายหน้าเป็นการตอบกลับ
“ได้ยินว่าสามีภรรยาคู่นั้นร้ายกาจไม่น้อย คงทำให้หล่อนกังวลว่าจะนำปัญหามาให้เราน่ะสิ”
“ร้ายกาจแต่ก็ยังต้องรักษาหน้าอยู่ดี” จินณวัตรเห็นน้องสาวคนรองกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเย็นชา “ถ้าคิดว่าล้ำเส้นวังทัตพงศ์มาลีได้ง่ายอย่างที่ผ่านมาอีกก็ลองดูเถอะ”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัวที่ผ่านมานั้นทำให้วังดอกไม้ที่เคยอยู่อย่างสงบนี้ตื่นตัวขึ้นทีละขั้น แม้จินณวัตรจะไม่รู้รายละเอียดเบื้องหลังอะไรมากนักเพราะคนที่พูดคุยเป็นการขั้นเป็นตอนกันก็คือพี่ชายใหญ่และคุณหญิงนีราพรรณสองคน ถึงจะยังมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรมากก็ตามที
สนทนากันถึงเรื่องทั่วไปอยู่สักพักสาวใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามาบอกว่าแขกคนสำคัญมาถึงแล้ว เธอจึงส่งสัญญาณทางสายตาให้บรรดาหญิงสาวเป็นเชิงว่าถ้าจะตามมาต้อนรับก็อย่าได้ทำกิริยาเหมือนเมื่อครู่ และเมื่อเห็นว่าพวกหล่อนยอมรับและเข้าใจดีแล้วจึงพากันไปยังทางประตูด้านหน้าเพื่อต้อนรับหญิงสาวที่เธอได้นัดหมายผ่านทางจดหมายเชิญเอาไว้
“สวัสดีคุณหญิงทุกท่านนะคะ”
หม่อมเจ้าหญิงมณินทรสบสายเข้าตากับหญิงสาวที่ออกมายืนต้อนรับกันพร้อมหน้าด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อย เพราะไม่นึกว่าบรรดาหม่อมราชวงศ์ของวังดอกไม้แห่งนี้จะออกมาต้อนรับด้วยตนเอง หนำซ้ำสิ่งที่หญิงสาวเห็นอยู่ตรงหน้านี้ก็ตอกย้ำข่าวลือเกี่ยวกับความงามของพวกหล่อนได้อย่างดีอีกเช่นกัน
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจ้องมองหญิงสาวผู้ก้าวเท้าเดินจากรถยนต์ของทางวังทัตพงศ์มาลีที่ส่งไปรับเจ้าตัวมาในชุดกระโปรงลายดอกไม้มีสีสัน ผมประบ่านั้นถูกรวบอยู่ครึ่งศีรษะเอาไว้ด้วยโบว์สีขาวอันใหญ่ ส่วนใบหน้าหวานก็ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางที่ดูแปลกตาไป ทำให้หล่อนยิ่งคล้ายตุ๊กตาเบื้องเคลือบมีชีวิตเข้าไปทุกที
“เดี๋ยวหม่อมฉันจะพาไปด้านในเพคะ” เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่จะลองหารือเรื่องการเรียนเต้นลีลาศในการเข้าสังคม จิลลาภัทรจึงเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาด้านหน้าแล้วเชื้อเชิญท่านหญิงราตรีให้เข้าไปในตัวเรือนใหญ่แทนพี่สาวผู้ซึ่งเอาแต่จ้องมองผู้มาเยือนใหม่ราวกับตกอยู่ในภวังค์
จินณวัตรที่ทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบรับอย่างคนโง่งมนั้นมองร่างที่เดินตามหลังน้องสาวของตนไป ก่อนจะรับรู้ว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองก็ตอนที่คุณหญิงนีราพรรณเคลื่อนกายเข้ามากระซิบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่ก็แฝงความหยอกล้อกันเอาไว้ให้เจ็บเจ็บใจ
“ฉันจะลืมเรื่องพี่บอกว่าอยากมอบแค่ ‘มิตรภาพ’ให้ไปก็แล้วกัน”
อาทิตย์หนึ่งให้หลังการที่หม่อมเจ้าหญิงมณินทรเดินทางมาร่ำเรียนการเต้นลีลาศก็กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนในวังทัตพงศ์มาลีคุ้นเคย ภายในห้องโถงใหญ่ที่เพียงแค่ขยับเครื่องเรือนเล็กน้อยก็กลายเป็นฟลอร์สำหรับการเต้นรำในจังหวะต่างๆ แรกเริ่มตัวเธอคิดว่าการช่วยเหลือด้วยการอ้างชื่อของตระกูลตนเองจะเป็นเรื่องที่ปกปิดไปได้ยาก แต่ครั้นหยิบยกชื่อของ ‘คน’ ที่เธอไม่ได้ใช้มานาน มันก็ดำเนินไปได้โดยปริยาย
ไหนจะการไปรับไปส่งอย่างตรงเวลาจากทางวังเอง ญาติทั้งสองของหล่อนจึงทำได้เพียงรับรู้แต่ยังไม่อาจพูดหรือทำอะไรได้ไปมากกว่านี้
“ฉันรบกวนคุณหญิงหรือเปล่าคะ”
คำถามราวกับเกรงอกเกรงใจทว่าสวนทางกับน้ำเสียงที่ดูจะผ่อนคลายทำให้หญิงสาวที่กำลังยืนมองสวนดอกไม้ภายในวังเพื่อพักสายตานั้นหันไปมอง ท่านหญิงราตรีอยู่ภายใต้ร่มเงาของทางเดินที่เชื่อมระหว่างเรือนใหญ่และเรือนเล็กราวกับว่าหล่อนเพิ่งจะเดินตามหากันพบ
“ไม่เลยกระหม่อม”
หญิงสาวส่งสายตาค้อนเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอตั้งใจหยอกล้อ ก่อนจะทำเป็นไม่ถือสาอะไรแล้วก้าวเท้าออกมาจากร่มเงาเพื่อทอดสายตามองไปยังสวนดอกไม้ตรงที่เธอยืนอยู่บ้าง
“สวนของวังทัตพงศ์มาลีเต็มไปด้วยดอกไม้พรรณไม้อย่างชื่อจริงๆ”
“เป็นน้องหญิงเล็กของหม่อมฉันที่เอาใจใส่กับสวนพวกนี้มาก เพราะมันเป็นไม่กี่อย่างที่ท่านพ่อและหม่อมแม่ทิ้งไว้ให้พวกเรา”
“….”
“แต่ก่อนเวลาคิดถึงจิลลาภัทรก็ทำได้แต่ร้องไห้ในขณะที่หม่อมฉันและพี่ชายใหญ่ไม่ค่อยมีเวลา แต่นานวันเข้าหล่อนก็หันเหมาเอาใจใส่กับสวนนี้แทน จนเติบโตขึ้นได้เป็นอย่างดี”
มณินทรมองเห็นดวงตาสีเข้มของหญิงสาวข้างกายทอดออกไปด้านหน้าด้วยความอบอุ่นยามที่กล่าวถึงความหลัง เธอรับรู้มาไม่นานนี้ว่าหม่อมราชวงศ์ทั้งสาม คุณชายเจตน์ กับคุณหญิงจินและคุณหญิงจิลนั้นเป็นพี่น้องที่ร่วมท้องมารดาเดียวกัน ความรู้สึกที่ทำได้เพียงแค่คิดถึงบุคคลที่จากไปแล้วเธอยิ่งเข้าใจมันเป็นอย่างดี และเธอก็รับรู้ได้เช่นกันว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกายเธอในยามนี้ก็มีช่วงเวลาที่ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองแปลงดอกไม้ตรงหน้าเพียงอย่างเดียวยามที่เหนื่อยล้าจนแทบขาดใจ
“ดอกนางแย้มนี่”
เธอเอ่ยปากออกไปเมื่อความเงียบอันน่าสบายใจนี้เกิดขึ้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จึงค่อยโน้มกายไปหาพุ่มดอกไม้สีขาวแซมชมพูเป็นช่อใหญ่ที่ทั้งตูมและกำลังบานออกด้วยความสนใจ
“ฝ่าบาทรู้จักด้วยหรือ”
คุณหญิงจินณวัตรเคลื่อนกายเข้ามาใกล้เพราะไม่คิดว่าหล่อนจะรู้จัก ให้พูดตามจริงแล้วพรรณไม้บางต้นภายในสวนแห่งนี้ตัวเธอยังไม่อาจให้ความสนใจได้ทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ แล้วทำไมคนที่น้อยครั้งจะได้ออกมาเผชิญโลกภายนอกถึงได้สนอกสนใจเจ้าไม้พุ่มนี้เป็นพิเศษก็ไม่รู้
“ถึงจะไม่ได้ออกนอกวังบ่อยนัก แต่ฉันก็เรียนหนังสือมาอยู่นะ”
ฟังคำกล่าวตำหนิอย่างไม่จริงจังแล้วจินณวัตรก็หัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทต้องรู้แน่ว่ามันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง”
“ฉันรู้แค่ว่ามันใช้รักษาอาการไข้แล้วก็พิษฝี” ท่านหญิงมณินทรตอบขณะพิจารณามันราวกับพูดถึงสหายเก่า “มันมองเห็นได้แต่ไกล ดอกซ้อนรวมตัวกันประหนึ่งมงกุฏจนกลายเป็นนางแย้ม ทำให้ส่งกลิ่นหอมทั้งวันทั้งคืน ที่ฉันจดจำได้ก็เพราะมันพิเศษแบบนั้นเอง”
ทว่ารอยยิ้มที่ดูจะสลดลงอย่างไม่รู้ตัวนั้นทำให้เธอรู้สึกตะหงิดใจขึ้นมาเมื่อหล่อนเอ่ยถึงดอกไม้ตรงหน้า
“ดอกไม้ทุกชนิดมีความพิเศษของมัน อยู่ที่ว่าใครจะรู้จักใช้ และรู้จักดูแลให้มันคงอยู่”
“…”
“บางชนิดอาจถูกปกปิดไว้ด้วยกลีบอันหลากหลาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางซ่อนกลิ่นและความงามที่แท้จริงของมันได้ ยังมีคนอีกมากที่ไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์ หาใช่เพียงแค่ดอกของมันที่จะทำให้ผู้ชมต้องเสน่ห์ ถึงต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่เมื่อถึงคราวเบ่งบาน...มันจะงดงามกว่าที่เคยเป็นแน่นอน”
หญิงสาวผู้เป็นหม่อมเจ้านั้นรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ตีรวนเข้ามาในอกทันทีที่ได้ฟังคำกล่าวของคนข้างกายจบ มณินทรไม่ได้ตั้งใจจะมองหาความหมายอื่นใดเลยถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาและรอยยิ้มอันอบอุ่นราวกับหล่อนเอ็นดูกันถูกส่งมา ริมฝีปากบางนั้นคลายยิ้มน่ามองเสียจนเผลอตัวจดจ้องมันด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นกว่าเก่า ครั้นเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังกระทำสิ่งที่ไม่งามและแปลกประหลาดอยู่ได้แล้วก็รีบถอนสายตาออกมาพลางทำเป็นไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าที่ควร
“วันนี้รบกวนพวกคุณหญิงมากแล้ว ฉันว่าควรต้องเดินทางกลับเสียที”
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรรีบก้าวเท้าตามร่างหญิงสาวที่หมุนตัวจะกลับไปยังทิศทางเดิมพลางกล่าวว่าจะอาสาเดินไปส่ง ซึ่งเจ้าหล่อนก็ตอบรับด้วยการชะลอฝีเท้าให้เธอได้เดินเคียงข้างในระดับเดียวกันได้ไปเรื่อยๆ
“สุดสัปดาห์นี้ จะเสด็จอีกหรือไม่เพคะ”
“คงแล้วแต่กำหนดการละมัง”
เห็นหญิงสาวสูงศักดิ์ทำท่าคิดและหรี่ตามองกันอย่างมีเลศนัย ไหนจะประโยคตอบกลับอันคุ้นเคยเหมือนสิ่งที่ตนเคยพูดไปนั้นก็ทำให้เธอเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอีกระลอก จินณวัตรไม่อาจอดกลั้นเสียงหัวเราะชอบใจเล็กๆ ของตนได้จึงได้แต่พยักหน้ายอมรับไปอย่างจำนนเสียอย่างนั้นแทน
“ทราบแล้วเพคะท่านหญิง”
“ไม่ถูกปากหรือกระหม่อม”
เสียงทุ้มฟังดูน่าฟังของชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำให้หญิงสาวที่ได้แต่จดจ้องมองอาหารฝรั่งในจานของตนซึ่งพร่องไปเพียงเล็กน้อยนั้นรู้สึกตัว
“เปล่าค่ะ แค่นานมากแล้วที่ไม่ได้มาร้านแบบนี้”
หม่อมเจ้าหญิงมณินทรตอบไปด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจส่วนหนึ่งขณะที่เหลือนั้นล้วนเป็นความอึดอัด เธอยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบให้ลำคอที่แห้งผากยังพอชุ่มชื้นก่อนจะลอบมองไปยังบริเวณโดยรอบร้านอาหารที่หรูหราที่สุดในพระนคร แม้จะมีผู้คนให้เห็นอยู่ประปรายในยามค่ำคืนเช่นนี้ แต่ระยะห่างระหว่างโต๊ะที่ถูกจัดวางเพื่อความเป็นส่วนตัวนั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย
เหตุผลนั้นก็เพราะผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอ เจ้าสัวไพรี ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่และกำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้คน ผู้ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมายของเธอ
“ท่านหญิงไม่ต้องเป็นห่วง หากเมื่อไหร่ที่เราได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว กระหม่อมจะมอบทุกสิ่งอย่างให้แก่ท่านหญิงอย่างสมเกียรติแน่นอน...”
กล่าวราวกับว่าไม่ว่าสิ่งใดหรือร้านรวงที่หรูหราแห่งไหนเขาก็จะพาเธอไปได้หมดทุกมื้ออาหาร ถึงจะมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเขาชาญฉลาดและเก่งกาจเสียจนกลายเป็นเจ้าสัวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่มณินทรไม่เคยสบายใจเลยสักครั้งในยามที่ได้เดินเคียงข้างชายผู้นี้
เธอถูกจับหมั้นหมายกับเขาในตอนที่เพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ ในช่วงเวลาที่ตัดสินใจว่าจะเดินเส้นทางของครูอาสา การมีปากเสียงครั้งนั้นต้องแลกเปลี่ยนด้วยการที่เธอจำต้องถูกคลุมถุงชนกับบุคคลที่นายกำพลและนางสริหามาให้ หาไม่แล้วนอกจากเธอจะไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ จะยังต้องถูกจับแต่งงานกับคนอื่นที่มีคุณสมบัติเลวร้ายกว่านี้เสียเดี๋ยวนั้นไป
กระนั้นก็ใช่ว่าเจ้าสัวผู้นี้จะคุณสมบัติในการเป็นคู่ชีวิตที่ดี นอกจากความร่ำรวยที่มีให้และรูปโฉมที่หากมองเข้ามาแล้วก็ดูพอเหมาะสมกับผู้เป็นหม่อมเจ้าหญิงเช่นเธอ การที่เราต่างยื้อย่างเวลาในการแต่งงานร่วมหอออกมาได้จนป่านนี้ก็เพราะเธอยังอ้างถึงในสิ่งที่อยากทำอยู่ ส่วนเขาเองก็ยังต้องกอบโกยสิ่งที่ตนจะได้ในภายภาคหน้าด้วยการวางหมากไว้รอบกายบริษัทของนายกำพลผู้เป็นลุงของเธอเช่นกัน
นี่จึงเป็นเครื่องยืนยัน ว่าเราทั้งคู่ไม่อาจมอบรักบริสุทธิ์ให้แก่กันได้เลย
“ขอเพียงท่านหญิงไว้ใจ...และสัญญาที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กระหม่อมเหมือนกันเท่านั้นเอง”
“ท่านหญิงจะรับนมอุ่นๆ สักแก้วไหมเพคะ”
“ฉันขอเป็นน้ำส้มดีกว่าวิไล”
เธอเอ่ยปากบอกสาวใช้คนสนิทหลังจากเดินทางกลับมาจากการไปเที่ยวและร่วมมื้อค่ำกับชายผู้เป็นคู่หมาย จึงค่อยนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือของตนที่เอาไว้ใช้จัดการการสอนเป็นการผ่อนคลายความอึดอัดที่ได้รับมาในช่วงเย็นวันนี้
การที่นางสริเฟ้นหาครูสอนเต้นลีลาศให้เธอเมื่ออาทิตย์ก่อนก็เพราะเห็นสมควรแล้วว่าเธอกับเจ้าสัวไพรีต้องออกงานคู่กัน เป็นการเปิดเผยแก่สังคมให้ได้รับรู้ว่าท่านหญิงแห่งวังวิมานมาศกำลังจะผูกบุพเพกับเจ้าสัวหนุ่มที่คาดว่าในอนาคตจะเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง บุตรสาวเพียงคนเดียวของพระองค์ชายที่มีสกุลจินต์จุฑาห้อยท้าย ย่อมต้องกลายเป็นที่จับตามองของสังคมแน่
เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องน่าอับอายขึ้นจึงได้ตามหาครูสอนการเต้นลีลาศซึ่งตัวเธอไม่เคยมีโอกาสได้ร่ำเรียนในตอนที่บุพการีทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ หากไม่ใช่เพราะหม่อมราชวงศ์จินณวัตรเคยเสนอและหาทางออกให้เธอได้ มณินทรคงไม่กล้าสร้างความลำบากใจให้แก่วังทัตพงศ์มาลีเช่นทุกวันนี้
แม้จะไม่รู้ว่า ‘หม่อมเจ้าหญิงสราวลี’ ที่อยู่บนบัตรเชิญที่หล่อนเคยกล่าวไว้เป็นใคร แต่กลับทำให้สองสามีภรรยาผู้ครอบครองวังนี้ได้แต่สงบปากสงบคำอย่างน่าประหลาดใจเลยทีเดียว
“ท่านหญิงเพคะ จดหมายจากวังทัตพงศ์มาลีเพคะ”
“จดหมายหรือ” หญิงสาวหันไปหาอีกคนและมองไปรอบห้องด้วยความไม่ไว้วางใจ “ไม่มีใครเห็นใช่หรือเปล่า”
วิไลผู้เป็นสาวรับใช้ส่ายหน้า “ตาสมานรับเองกับมือ ไม่ให้พวกคุณเธอได้เห็นแม้แต่ปลายซองหรอกเพคะ”
เด็กสาวกล่าวเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงระดับเดียวกันก่อนจะเดินตรงไปยังใต้หมอนของผู้เป็นนาย แล้วค่อยเคลื่อนมายอบกายอยู่ข้างๆ จึงยื่นซองจดหมายสีขาวนวลให้ทันที
ความตื่นเต้นที่ได้รับการตอบรับผ่านทางจดหมายทำให้เรียวนิ้วงามแสดงท่าทีประหม่าอยู่เล็กน้อย อาจเพราะไม่คาดคิดว่าจดหมายที่เคยส่งไปนั้นจะถูกตอบกลับมาหลังจากที่พบหน้ากันสัปดาห์ละสองครั้งอยู่แล้ว หรือไม่ก็เพราะมันถูกเขียนเป็นชื่อของคุณหญิงจินณวัตร ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่อาจรู้
กลีบดอกไม้สองสามกลีบที่ถูกซ่อนไว้ในซองจดหมายนั้นร่วงหล่นทันทีที่เธอใช้มือคลี่มันออก กลิ่นหอมคุ้นจมูกที่อยู่ในความทรงจำนั้นทำให้มณินทรรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือดอกไม้ชนิดไหน ยังไม่นับเนื้อความภายในที่เขียนบอกว่าการสนทนากันผ่านจดหมายก็ไม่เลวร้ายนัก อย่างน้อยเจ้าตัวจะได้มีเวลาครุ่นคิดว่าควรจะหาหัวข้อใดมาพูดคุยกันได้บ้าง
“มีอะไรดีๆ หรือเพคะท่านหญิง”
เด็กสาวอดปากเอ่ยถามไม่ได้เมื่อเห็นดวงหน้าหวานของผู้เป็นนายผลิยิ้มน่ามอง กลิ่นหอมจางๆ จากกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงมาจนเธอต้องใช้มือคอยเก็บไว้ให้นั้นก็ช่างน่าสงสัยเสียจริง
“ฉันแค่ไม่คิดว่าหมออย่างคุณหญิงจะเขียนอะไรแบบนี้ ไม่เชื่อวิไลฟังดูนะ...” มณินทรว่าพลางไล้สายตาไปยังบรรทัดที่เจ้าของจดหมายเขียนเนื้อความมา “ชมดวงพวงนางแย้ม บานแสล้มแย้มเกสร คิดความยามบังอร แย้มโอษฐ์ยิ้มพริ้มพรายงาม..”
เด็กสาวที่นั่งอยู่ฟังแล้วก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เรียวคิ้วบนใบหน้ารูปไข่นั้นขมวดให้กับบทกลอนที่ตนเองไม่เคยได้รู้จัก แต่ความหมายของมันกลับทำให้เธอรู้สึกสะกิดใจ
“นี่...ฟังดูเหมือนจดหมายของพี่ชายหม่อมฉันชอบกล”
มณินทรมองหน้าของเด็กสาวสลับกับเนื้อหาในจดหมาย “หล่อนเขียนเล่ามาว่าเพราะน้องสะใภ้คนเล็กท่องให้ฟัง เห็นว่าฉันรู้จักดอกนางแย้ม”
“ก็เลยเขียนมาให้ท่านหญิงทอดพระเนตร?”
ผู้มีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าถึงกับขมวดคิ้ว
“เราจะพูดอะไรกันแน่น่ะวิไล”
ริมฝีปากของเด็กสาวขยับมุบมิบเข้าหากันราวกับลังเลว่าสมควรจะพูดออกไปหรือไม่ แต่ยิ่งเห็นแววตาคาดคั้นของเธอเข้าเรื่อยๆ เจ้าตัวก็ค่อยพูดออกมาอย่างจำยอม
“พี่ชายหม่อมฉันชอบใช้กลอนในวรรณคดีเขียนเพลงยาว...หมายถึงชมโฉมหญิงสาวที่เขาหมายปองน่ะเพคะ”
ทว่าสิ่งที่ออกจากริมฝีปากผู้มีลางสังหรณ์ค่อนข้างน่าประหลาดใจนั้นเป็นสิ่งที่มณินทรไม่ได้คาดคิด หัวสมองของหญิงสาวพลันหยุดชะงักการทำงานไปเสียดื้อๆ เพราะกำลังค้นหาความเชื่อมโยงที่ทำให้เด็กสาวรู้สึกเช่นนั้น
นี่ไม่ใช่เพลงยาวหรือจดหมายเกี้ยวพาราสีอะไรเสียหน่อย เป็นแค่จดหมายที่เขียนเล่าว่าคุณหญิงจินณวัตรเห็นดอกนางแย้มแล้วได้ฟังกลอนหนึ่งจากคุณสรภัส และหล่อนเพียงหวนนึกถึงเธอจึงได้เขียนมันมาให้อ่านก็เท่านั้น
ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่แปลกประหลาดแม้แต่น้อย
“หม่อมฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกเพคะ...เพียงแค่คิดว่าหากคุณหญิงจินณวัตรเป็นนักรักขึ้นมา ท่านหญิงของหม่อมฉันคงต้องมีเรื่องทุกข์ใจเป็นแน่”
เด็กสาวคนสนิทยังคงกล่าวต่อเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่หารู้ไม่ว่าเพราะตัวเธอนั้นดันรู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้าเป็นระลอกที่เกิดขึ้นเพียงแค่เพราะนึกถึงรอยยิ้มและดวงตาของหม่อมราชวงศ์จินณวัตร ยิ่งบวกกับคำกล่าวที่หล่อนเคยพูดกับเธอยามอยู่ในสวนดอกไม้ ก็คล้ายกับว่าเธอจะไม่เป็นตัวเองไปแล้ว
มณินทรอ่านหนังสือรวมทั้งนิยายประโลมโลกมาก็มาก ทว่าประสบการณ์เรื่องนี้กลับน้อยหากเทียบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน และเธอไม่รู้ว่าเหตุใดสิ่งที่ควรจะเกิดเมื่ออยู่ต่อหน้าคู่หมายของตน กลับกลายเป็นว่าต้นเหตุของมันกลับเป็นคุณหญิงจินณวัตรเสียนี่...
ความรัก...คงไม่ใช่แบบนี้ใช่ไหม?
เสียงดนตรีคลาสสิคในจังหวะแทงโก้บทเพลงหนึ่งดำเนินไป ในขณะที่ดวงตาของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรจับจ้องร่างของหญิงสาวสองคนที่เข้าคู่กันในการเต้นรำ เธอเพียงยืนชมอยู่ไกลๆ จากประตูห้องโถงเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสมาธิของคนที่กำลังตั้งใจสอนและร่ำเรียนอยู่ในเวลานั้น แต่วันนี้ดูเหมือนนักเรียนคนแรกของน้องสาวเธอจะแปลกไปเล็กน้อย เพราะหล่อนก้าวเท้าผิดจังหวะอยู่หลายครั้งไม่เหมือนชั่วโมงเรียนก่อนหน้าที่ดูจะพัฒนาขึ้นมากเรื่อยๆ
“แอบดูอะไรคะคุณหญิง”
เสียงที่เอ่ยถามอย่างซุกซนทำให้หญิงสาวหันมองผ่านไหล่ของตนเอง จึงพบกับร่างของพันตำรวจตรี หม่อมหลวงนาราภัทรในชุดกระโปรงซึ่งคล้ายกับกำลังจะออกจากวังไปที่ไหนสักที่มายืนอยู่เบื้องหลังเธอ
“วันนี้ไม่มีเวรหรือคะ พี่นาราภัทร”
“เบี่ยงประเด็นเสียด้วย ฉันก็มีวันหยุดบ้างสิคะ” คนอายุมากกว่าเธอหนึ่งปีนั้นกลั้วหัวเราะจนเห็นฟันคู่หน้าที่น้องสาวคนรองของเธอชอบบอกว่าเหมือนกระต่าย “บ่ายนี้คุณหญิงนิ่มจะพาไปแถวเจริญกรุง คุณหญิงใหญ่อยากไปด้วย หรือชอบที่จะยืนอยู่ตรงนี้มากกว่าล่ะ”
หลังจากกลายมาเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกันเธอและหญิงสาวคนนี้ก็คล้ายกับจะสนิทสนมกันมากขึ้นเพราะด้วยวัยที่ใกล้เคียง ยิ่งน้ำเสียงที่หล่อนนำมาใช้เมื่อครู่นี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าเจ้าตัวกำลังหยอกล้อเธอเรื่องอะไร
“ชักจะเก็บนิสัยหญิงนิ่มมาใช้บ่อยไปแล้วนะ”
“พี่หญิงใหญ่มาพอดีเลย”
เพิ่งจะใช้น้ำเสียงเขม่นหล่อนไปไม่ทันไรหญิงสาวร่างสูงโปร่งอีกคนก็เดินเข้ามาหา ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ดนตรีจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงตัวใหญ่นั้นถูกปิดลงเพราะหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรวางมือจากการสอนชั่วคราว เมื่อเห็นเธอมีสีหน้างุนงงก็ค่อยอธิบายออกมา
“เมื่อครู่มีคนมาบอกว่ามีของมาส่งจากปีนัง ฉันว่าจะขอไปดูสักหน่อย พี่ช่วยมาเป็นคู่ซ้อมให้ท่านหญิงสักเพลงได้ไหมคะ”
จินณวัตรเหลือบมองร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่ไกลๆ ตามสายตาอีกฝ่ายไปด้วยความกระอักกระอ่วน “แต่พี่ไม่ได้เต้นลีลาศนานแล้ว”
“ก็ถือว่าฝึกไปในตัวเสียเลย” คุณหญิงจิลลาภัทรยิ้มจนเกิดรอยบุ๋มข้างแก้มแล้วก้าวเท้าเข้ามาพูดให้ได้ยิน “พยายามเข้านะคะ พี่หญิงใหญ่”
กล่าวจบดังนั้นเจ้าตัวก็ไม่ยอมปล่อยให้เธอได้ทันโต้แย้งอะไรอีก ยิ่งมองเห็นหม่อมหลวงนาราภัทรส่งรอยยิ้มเอาใจช่วยเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะจากไปอีกคนก็ทำให้เธอไม่มีทางเลือกอื่น จินณวัตรผ่อนลมหายใจให้เข้าที่เข้าทางเล็กน้อย แล้วจึงค่อยก้าวเข้าไปยังจุดที่ท่านหญิงราตรีนั้นยืนคอยอยู่เมื่อไม่นาน
“เมื่อครู่จังหวะแทงโก้ไปแล้ว ฝ่าบาทอยากจะพักเสียก่อนไหม”
เพราะสังเกตเห็นแววตาที่หลุบลงยามที่เธอก้าวเท้าเข้ามาจึงนึกเป็นห่วงว่าหล่อนอาจอยู่ในความลำบากใจ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าและบีบมือที่ประสานอยู่ด้านหน้าร่างกายของตนเองราวกับกำลังเรียกความมั่นใจที่หายไปกลับคืน
“ไม่เป็นไรค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันทำผิดไปเยอะ ยังอยากจะทำให้ดีมากกว่านี้”
เมื่อเห็นความตั้งใจที่ยังคงมีอยู่และไม่ได้ลำบากใจอะไรเท่าคราวแรกที่สบตากัน หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงเปลี่ยนแผ่นเสียงและปล่อยให้มันเล่นเพลงจังหวะใหม่ไป ก่อนจะทำการเชื้อเชิญฝ่ายตรงข้ามซึ่งท่านหญิงก็ตอบรับมาได้ตามที่ร่ำเรียน
“หวังว่าจะไม่ดูแคลน ที่หม่อมฉันเลือกจังหวะบีกินก่อน”
เธอกล่าวบอกกับหญิงสูงศักดิ์ขณะประคองมือเรียวและไหล่บางอย่างที่คู่เต้นรำพึงกระทำ ท่านหญิงมณินทรเพียงคลายรอยยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้ตอบรับคำกล่าวนั้น จนเธอเองต้องเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“มีอะไรที่ทำให้คิดหนักอยู่หรือเพคะ”
“...คุณหญิงไปงานสังคมบ่อยไหม” หล่อนเม้มริมฝีปากตนเองก่อนจะเอ่ยคำถามนั้น รวมถึงลอบมองเรียวคิ้วของเธอที่ยกขึ้นน้อยๆ เพราะฉงนในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้
“หม่อมฉันเพิ่งจะได้มีโอกาสตอนเป็นนักเรียน แต่ก็นานมากแล้ว”
จินณวัตรครุ่นคิดถึงอดีตอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะตอบ ก่อนที่วังทัตพงศ์มาลีสูญเสียทั้งหม่อมเจ้าพลจานุกิจและหม่อมทั้งสามไปนั้น เธอและพี่ชายใหญ่ยังมีโอกาสได้ออกงานสังคมหลังเข้าสู่วัยเติบใหญ่เพื่อพบคนชั้นสูงบ้างอยู่ประปราย ครั้นเมื่อหน้าที่ของผู้นำครอบครัวตกเป็นของหม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์แล้ว ช่วงเวลาเหล่านั้นก็ดูจะห่างหายออกไปพักใหญ่นักสำหรับตนเอง
“คราวถึงอายุที่ควรจะได้ออกงานพบปะคนภายนอกอย่างเป็นกิจลักษณะ หม่อมฉันกลับพบเพียงครูฝึกหน้าโหดและดินโคลนเท่านั้น หากเป็นผู้อื่นวัยนั้นคงได้เรียนเย็บปักถักร้อยและกรองมาลัยอยู่ และตอนนี้หม่อมฉันคงเป็นฝ่ายแต่งงานออกเรือนไปก่อนแล้วเช่นกัน”
“พอประจำการแล้วล่ะ คุณหญิงคงไม่ได้ยุ่ง...จนถึงขนาดที่พวกนักข่าวปั้นเรื่องขึ้นมาหรอกนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามคู่เต้นรำของตนเองที่เพิ่งจะยกเรียวแขนให้เธอได้หมุนตัวหนึ่งจังหวะ หม่อมราชวงศ์จินณวัตรมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะคลายยิ้มซุกซนราวกับจะยอมรับคำครหานี้
“ไม่คิดว่าท่านหญิงจะได้ยินเรื่องนั้นด้วย”
และมันดันทำให้อารมณ์ของเธอที่กำลังช่างใจอยู่นั้นเอนเอียงไปทางลบขึ้นมาเสียดื้อๆ
“อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน ที่จริงแล้วไม่ควรสงสัยอะไรแบบนั้นด้วยซ้ำ ขอโทษนะคะ”
มณินทรยอมรับว่าหลายวันมานี้ตนเฝ้าสังเกตความรู้สึกของตัวเองว่ามันสามารถก่อตัวขึ้นได้เพียงเพราะคำว่ามิตรภาพและน้ำใจที่คุณหญิงใหญ่ผู้นี้มอบให้จริงหรือ ระหว่างนั้นเองจึงมีโอกาสได้อ่านข่าวคราวจากหนังสือพิมพ์เก่าเมื่อหลายปีที่ผ่านมาขณะที่ค้นคว้าหนังสือเพื่อการสอนเพิ่มเติม และก็ไม่ผิดไปจากที่วิไลเคยเป็นห่วงเธอมากนัก เพราะข่าวของบรรดาคุณหญิงวังดอกไม้ที่ทำให้เหล่านักข่าวสายบันเทิงสนอกสนใจนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“หม่อมฉันอาจมีโอกาสได้รู้จักผู้คนมากมายก็จริง และจะไม่บอกให้ท่านหญิงเชื่อคำของหม่อมฉันด้วยเพคะ”
จินณวัตรพยายามอดกลั้นรอยยิ้มของตนเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ถือตัวมากขึ้นจากท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ และสมาธิของหล่อนดูจะกลับมาดังเช่นชั่วโมงการเรียนในครั้งก่อนๆ
นี่คงไม่ใช่สิ่งที่รบกวนจิตใจของท่านหญิงราตรีอย่างที่เธอคิดอยู่กระมัง
หญิงสาวผู้เป็นหม่อมเจ้าหญิงนั้นรับรู้ได้ถึงอารมณ์และรอยยิ้มพึงพอใจจากกายของคู่สนทนา ครั้นพอรู้ตัวว่าความรู้สึกที่ไม่พอใจอยู่ลึกๆ นี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรแสดงออกไม่ว่าหล่อนจะอยู่ในสถานะอะไรก็ตามจึงค่อยกล้ำกลืนมันลงไป
“แล้วจริงหรือไม่ ที่จนป่านนี้คุณหญิงก็ไม่อยากแต่งงาน”
มองสีหน้าที่ดูจะสงบนิ่งขึ้นพร้อมกับคำถามของอีกฝ่ายแววตาของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรก็คล้ายกับจะนุ่มนวลขึ้นไปอีกหลายส่วน บทสนทนายังไม่ทันได้คำตอบดีจังหวะลีลาศที่ถูกเปิดอยู่นี้ก็ดำเนินมาถึงช่วงท้ายของบทเพลง หญิงสาวทั้งสองจึงเข้าจังหวะที่เหลือได้อย่างไหลลื่นและงดงาม ก่อนที่ผู้สวมบทบาทของฝ่ายชายนั้นจะประคองฝ่ามือของเธอด้วยเป็นมารยาทหลังเสร็จสิ้นการเต้นรำตลอดการเดินนำไปยังเก้าอี้ที่ถูกวางไว้ให้พักพิง
“หม่อมฉันคิดว่าตัวเองตอนนี้ เปลี่ยนใจไปหลายส่วนแล้วเพคะ”
ฟังคำกล่าวของคนที่ประคองให้เธอได้นั่งลงอย่างที่เคยได้ร่ำเรียนมาจากคุณหญิงจิลลาภัทร หัวใจดวงน้อยที่เคยคิดว่าได้เอนเอียงไปในทางลบนั้นกลับส่งเสียงอย่างดื้อรั้นออกมาเสียจนต้องลอบมองสีหน้าของอีกฝ่ายว่าเจ้าตัวจะได้ยินมันหรือไม่ ทว่ายิ่งได้สบเข้ากับดวงตาและรอยยิ้มอันเป็นประกายของหม่อมราชวงศ์จินณวัตร เธอกลับไม่อาจบังคับสิ่งที่เป็นของตนนั้นให้เงียบลงได้เลยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณมากค่ะ....ที่ช่วยเป็นคู่ซ้อมให้วันนี้”
“เป็นเกียรติของหม่อมฉันแล้ว”
และจะยินดียิ่งนัก...หากท่านหญิงจะยังคงยอมให้ตัวหม่อมฉันจดจ้องมองใบหน้านี้ได้อีกสักพัก
รับรู้ได้ถึงความเอาแต่ใจในความคิดของตนเองจินณวัตรก็เผลอตัวใช้ปลายนิ้วที่ประคองฝ่ามือของท่านหญิงไว้นั้นเกลี่ยมันเบาๆ ราวกับคนตกอยู่ในภวังค์ ยิ่งดวงตาคู่สวยที่เคลื่อนมามองกันอย่างซื่อตรงและไม่รู้ความ ยิ่งทำให้เธอภาวนาให้ช่วงเวลานี้ดำเนินต่อไป...เพราะอยากถูกมนตราของมันกักขังไว้อีกหลายปี...
ทว่าช่วงเวลาที่แสนสุขและสงบนั้นก็ไม่อาจอยู่ได้นาน เมื่อเสียงร้อนอกร้อนใจของสาวใช้ที่ผ่านมาทำให้เธอจำต้องยินยอมให้มันจบลงไป
“คุณหญิงใหญ่คะ คุณชายใหญ่ให้มาตามไปที่ห้องใหญ่เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“โตกันหมดแล้วหรือ หลานอา”
เสียงที่เอ่ยถามกันอย่างญาติผู้ใหญ่นั้นทำให้หญิงสาวที่เพิ่งจะเดินเท้ามาถึงห้องรับแขกใหญ่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก สีหน้าตกตะลึงระคนประหลาดใจของเธอพลันถูกสายตาดุๆ จากชายหนุ่มเจ้าของวังที่นั่งอยู่ข้างกายหญิงกลางคนให้สำรวมกิริยา จึงค่อยเคลื่อนกายเข้าไปนั่งพินอบพิเทาอยู่ข้างบรรดาน้องสาวอีกสามคน
“กราบท่านอาเพคะ”
หญิงกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวนุ่มในระดับเดียวกันนั้นวางถ้วยชาร้อนลงบนโต๊ะก่อนจะคลายยิ้ม แม้จะอายุล่วงเลยเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนไปแล้วแต่เรือนร่างของผู้หญิงตรงหน้าก็ยังคงความงดงามไว้ไม่เปลี่ยนจากสมัยยังสาวเลยแม้แต่น้อย หล่อนสวมชุดกระโปรงยี่ห้อฝรั่งเข้ารูป ดวงหน้ารูปไข่รับกับเส้นผมที่ปล่อยสยายถูกปัดมาไว้ข้างเดียวกันน่ามอง ช่างเป็นภาพที่ถ้าหากไปพบเข้าในงานสังคมคงไม่วายถูกชื่นชมและได้มีคนห้อมล้อมมาทำความรู้จักเป็นแน่
“ครั้งไปอยู่อังกฤษหญิงนิ่มยังมีแก้มมากกว่านี้แท้ๆ เมื่อก่อนหญิงรดาก็เอาแต่หลบหลังพวกพี่เขา ส่วนหญิงจิลก็เพิ่งจะยืนได้ไม่นาน แต่วันนี้กลับสูงกว่าฉันมากเสียแล้ว”
ยามเมื่อกล่าวถึงความทรงจำครั้งล่าสุดที่ได้พบพวกเธอพี่น้องพร้อมหน้าดวงตาเรียวคู่งามก็กลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากสวยได้รูปอันแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงราวกับแหม่มจากเมืองนอกทำให้เป็นที่น่ามองและน่าเกรงขามอยู่ในทีแก่คนมองได้ไม่ยาก
หญิงสาวผู้นี้คือน้องสาวของหม่อมเจ้าพลจานุกิจ นามว่า หม่อมเจ้าหญิงสราวลี หล่อนเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้พี่ชายใหญ่ของพวกเธอซึ่งพึ่งสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไปตั้งตัวได้ จริงอยู่ที่ป้าโฉมฉายและหม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์จะเป็นคนที่เลี้ยงดูสมาชิกแห่งวังดอกไม้จนเติบใหญ่ แต่เรื่องให้คำปรึกษาและจัดแจงเงินทองของครอบครัวให้เข้าที่เข้าทางยามที่เขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ก็คือ ‘อดีต’ ท่านหญิงสราวลีผู้นี้เอง
“ทำไมถึงไม่ส่งข่าวมาบอกชายก่อนคะ ไม่เช่นนั้นจะได้ให้รถที่วังไปรับที่สนามบินตั้งแต่เช้าตรู่”
ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวภายในห้องรับแขกนี้เอ่ยถามอย่างสงสัยระคนแคลงใจ ก่อนหน้านี้เขาออกจะติดต่อกันกับญาติที่เหลือเพียงหนึ่งของตนอยู่แล้วเป็นประจำ ท่านหญิงสราวลีผู้เป็นอาของเขามักจะเดินทางไปทั่วไม่เว้นแม้แต่ในประเทศที่อยู่ห่างไกลและระยะเวลาในการติดต่อนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่อีกฝ่ายปักหลักอยู่ การที่เจ้าตัวเดินทางกลับมาโดยไม่แจ้งข่าวคราวเช่นนี้ คงเพราะคนของหล่อนที่ทิ้งไว้ที่นี่ได้ส่งข่าวสำคัญบางอย่างไปแน่
และนี่ก็ทำให้จิตใจของชายหนุ่มอดครั่นคร้ามไม่ได้เลยว่าเรื่องใดกันที่ทำให้หล่อนเดินทางกลับมาโดยไม่ให้ทันได้เตรียมตัว
“พูดมาแล้วก็ดีเลย”
น้ำเสียงของปลายประโยคนั้นทำให้บรรดาสมาชิกของวังดอกไม้รู้สึกเหมือนถูกสายลมหนาวเหน็บไม่มีที่มาสัมผัสเข้าที่หลังต้นคอ นามสราวลีที่ถูกตั้งให้แต่กำเนิดช่างเข้ากับดวงตาคมกริบและการกลั่นกรองวาจาของหญิงสูงศักดิ์จริงแท้ เพราะแค่เพียงหล่อนปรายดวงตาไปยังสองพี่น้องผู้อาวุโสที่สุดในบ้าน ก็ราวกับว่าเรือนใหญ่ทั้งเรือนจะตกอยู่ในอำนาจของหล่อนไปโดยปริยาย...
“คุณชายเจตนิพันธ์ คุณหญิงจินณวัตร..”
หม่อมเจ้าหญิงสราวลีจับจ้องดวงตาไปยังหลานสาวหลานชายทั้งคู่
“...ไหนบอกอามาสิ ว่าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวังตลอดเกือบปีนี้อย่างไร ไม่ให้อาต้องรู้สึกขุ่นใจแม้แต่นิดเดียว”
TBC.
_______________________________________________________________________________________________________________________________
#หม่อมราชวงศ์จินณวัตร #ฟิคแก้วตาสุมาลี
ความคิดเห็น