คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์จินณวัตร : ดอกนางแย้ม ๑
ดอกนางแย้ม
๑
“ชมดวงพวงนางแย้ม บานแสล้มแย้มเกสร
คิดความยามบังอร แย้มโอษฐ์ยิ้มพริ้มพรายงาม”
- กาพย์เห่เรือ
พ.ศ. 2507
“คุณชาย ยังไม่หายตกใจอีกหรือคะ”
เสียงของหญิงสาวที่ฟังดูยังคงอ่อนเพลียแต่ก็พยายามที่จะให้กำลังใจนั้นกล่าวกับชายหนุ่ม ซึ่งประคองฝ่ามือข้างหนึ่งของตนเองที่ทำได้เพียงแค่นอนอยู่บนเตียงกว้างไว้แน่นด้วยความกังวลในใจ
“บังคับให้ไม่เข่าอ่อนที่ประตูใหญ่ก็เหนื่อยแย่แล้ว” หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ตอบด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเพิ่งพักผ่อนจากการวิ่งทางไกลมาได้ไม่นาน “ก่อนหน้านี้เหมือนหัวใจผมหล่นหายไปเลยจริงๆ นะ”
มองพี่ชายของตนเองแนบฝ่ามือของคนรักไว้กับใบหน้าอย่างทะนุถนอมแล้ว หญิงสาวอีกคนที่อายุอ่อนกว่าคนทั้งคู่ก็อดถามออกมาไม่ได้
“แน่ใจหรือคะว่าไม่อยากให้พี่หญิงจินตรวจ สีเลือดบนหน้าพี่ชายใหญ่หายไปหลายส่วนแล้ว”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์นึกเป็นห่วงจิตใจของอีกฝ่าย เพราะทันทีที่ได้ยินว่าสะใภ้ใหญ่ของวังทัตพงศ์มาลีรู้สึกปวดครรภ์ขึ้นมากระทันหันความวุ่นวายก็เกิดแก่คนทุกผู้ในวังดอกไม้โดยปริยาย ครั้นเมื่อรถยนต์ประจำตัวของเขามาถึงบันไดขั้นสุดท้ายที่หน้าประตูใหญ่ของเรือนหลัก คุณชายเจตน์ก็แทบจะกระโดดเหินออกมาจากที่นั่งเสียจนเก็บกิริยาเกินงามเอาไว้ไม่ได้ แถมด้วยความวิตกกังวลว่าภรรยาของตนจะเป็นอะไรไป จึงได้ก้าวพลาดและถลาเข้ามาที่ปลายเตียงซ้ำอีกระลอก
กระนั้นคุณหญิงรดาก็พอเข้าใจเขาอยู่หรอก พี่ชายใหญ่ของเธอคาดหวังผู้สืบทอดตระกูลมานานแล้ว กว่าที่คุณช่อม่วงจะมีข่าวดีก็ใช้เวลาจนเขาเกือบเข้าสู่วัยกลางคน ท้องแรกของหญิงสาวนี้จึงต้องได้รับการประคบประหงมเอาไว้ให้ดี
“พี่แค่ตกใจเท่านั้น ไม่ต้องรบกวนหญิงใหญ่หรอกน่า”
แพทย์หญิง หม่อมราชวงศ์จินณวัตรที่ยืนมองสถานการณ์อยู่โดยรอบตั้งแต่แรกผ่อนลมหายใจ ก่อนจะคลายยิ้มเบาๆ เมื่อความวุ่นวายภายในดูจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม
“หญิงเขียนสั่งเรื่องการดูแลที่สำคัญกับคนดูแลของพี่ช่อแล้วก็เรื่องอาหารการกินกับป้าโฉมฉายไว้แล้ว ถ้าอย่างไรหญิงขอตัวก่อนนะคะ”
ชายหนุ่มหันศีรษะไปมองน้องสาวคนโตของตนที่กำลังเก็บกระเป๋าอุปกรณ์ฉุกเฉินของตนด้วยความแปลกใจ เพราะเขาก็เพิ่งเจอหล่อนเดินทางกลับมาจากโรงพยาบาลเมื่อตอนเช้ามืดนี้เอง “พี่นึกว่าวันนี้เราจะไม่ไปไหนแล้วเสียอีก”
คุณหญิงจินณวัตรส่ายหน้าก่อนจะกล่าวตอบและเดินจากไป “ทำตัวให้ยุ่งไว้ดีกว่าน่ะค่ะ”
ภายในห้องสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่มากอันถูกกั้นไว้ด้วยม่านสีเขียวอยู่อีกครึ่ง ความสงบที่เพิ่งจากมาได้ไม่นานก็เลือนหายไปในทันทีที่ก้าวมาถึงเขตที่ผู้คนมากหน้าหลายตานั่งรอเพื่อจะได้รับการรักษาตามลำดับของตัวเอง ดวงตาคู่สวยของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรผู้สวมเสื้อคลุมสีขาวเหนือเข่าเคลื่อนไปตามตัวอักษรที่ถูกเขียนเอาไว้บนกระดาษ ยิ่งบวกกับแฟ้มอีกหลายอันที่ถูกวางกองไว้ในตะกร้าข้างตัว ก็คล้ายกับว่าตัวอักษรเล่านั้นจะดูไม่มีที่สิ้นสุดเสียที
สถานที่ที่หญิงสาวทำงานอยู่ไม่นับว่าใหญ่เทียบเท่ากับบรรดาโรงพยาบาลหลักในพระนคร แต่เหตุผลที่คุณหญิงจินณวัตรอย่างเธอตัดสินใจที่จะย้ายมาประจำอยู่ที่แห่งนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เธอนั้นได้ไตร่ตรองไว้ครบถ้วนดีแล้ว
“ผมนึกว่าวันนี้คุณหญิงจะไม่มีเวรแล้วเสียอีก เมื่อเช้าก็เพิ่งออกไปนี่นา”
ระหว่างที่กำลังจัดสรรข้อมูลต่างๆ ในความคิด โต๊ะตัวยาวของเธอก็ถูกร่างของชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงโปร่งในเครื่องแบบคล้ายกันทิ้งสะโพกลงมาอย่างสบายใจ หญิงสาวเหลือบปลายหางตามองไปที่ผู้มาเยือนเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยตอบเขาไปโดยที่ไม่ได้ละสายตาออกมาจากแฟ้มในมือสักนิด
“ฉันรับเวรแทนบุลินน่ะ”
“อ๋อ” หมอหนุ่มโคลงศีรษะตอบรับ “แล้วที่ช่วงสายโทรเข้ามาเพื่อถามวิธีรับมือเบื้องต้นกับผม วันนี้สะใภ้ใหญ่ใกล้จะคลอดแล้วล่ะสิ ไม่ต้องคอยดูแลมากกว่าเดิมหรือครับ?”
“คิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วถึงได้มา พี่ชายใหญ่ของฉันคงไม่ปล่อยให้อะไรในสายตาของเขาผิดพลาดหรอก” หญิงสาวกล่าวตอบโดยไม่สนใจแววตาแสนกลของเขาอย่างเคย ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่ทันได้เห็นประกายบางอย่างของคนที่รอคอยช่องว่างอยู่ก่อนแล้วได้ทันการ
“ดูจากสถานการณ์วันนี้ที่คุณหญิงควรจะยุ่ง....ไม่ใช่ว่ากำลังคาดหวังอะไรอยู่หรือครับ?”
ท้ายที่สุดหม่อมราชวงศ์จินณวัตรก็ไม่อาจทนสายตาล้อเลียนและความใคร่รู้ของหมอหนุ่มผู้คอยดูแลแผนกสูตินารีได้ แม้ภายในจะรู้สึกหงุดหงิดระคนเก้อเขินไม่น้อยที่ถูกเขาจับสังเกตถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอพยายามจะซ่อนมันเอาไว้ใต้สีหน้าเคร่งขรึมของตัวเองก็ตาม
“หมอจักร ไม่ใช่ว่าได้เวลาตรวจคนไข้ของคุณแล้วหรอกหรือคะ”
นายแพทย์ จักรเสนกลั้วหัวเราะทันทีที่ได้ยินประโยคตอบกลับ ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะความสนิทสนมจากการที่อีกฝ่ายรู้จักกับน้องสาวของเขา ดวงตาคู่นี้คงทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บและจำต้องไปนั่งสำนึกความผิดเอาเองเป็นแน่
“ผมแค่เย้าเล่นหรอก เห็นว่าหลังจากไปอาสาตรวจนอกสถานที่ คุณหญิงถึงดูมี ‘ชีวิต’ ขึ้นมาบ้าง”
“สามสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ฉันใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ได้ดีมากแล้วค่ะ” เพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นทั้งพี่ชายและเพื่อนคนหนึ่งในสถานที่ทำงานแห่งนี้ จึงไม่คิดอยากเอาความเรื่องการเน้นคำของเขาที่กล่าวหาว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ซึ่งหน้าด้วยความเคยชิน
เพราะจักรเสนรู้ว่าทุกคนที่รู้จักแพทย์หญิง หม่อมราชวงศ์จินณวัตรนั้นล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหล่อนมีใบหน้างดงามด้วยสัดส่วนปากเล็กจมูกหน่อยที่เข้าทรง ยังไม่นับถึงเรือนร่างอันสมส่วนที่ได้รับการฝึกปรือตามระเบียบวินัยมาแรมปีจนแข็งแรง กระนั้นด้วยอาชีพเก่าหรือไม่ก็เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบแสดงอารมณ์ที่แท้จริงของตนเองออกมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้ผู้คนไม่ค่อยที่จะกล้าเข้าหาเจ้าของแววตาดุผู้มีรัศมีรอบกายอันเข้มงวดเท่าใดนัก
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่นึกอยากท้าทายกำแพงหนาของคุณหญิงจินณวัตรผู้นี้ เพราะอย่างไรในเหล่ารายชื่อของหญิงงามในพระนคร ต้องมีชื่อบรรดาคุณหญิงแห่งวังทัตพงศ์มาลีที่ใครก็ปรารถนาจะได้เห็นหน้าให้เป็นบุญตาสักครั้งก่อนตาย
โดยเฉพาะท่าทางที่ดูเปลี่ยนแปลงไปในช่วงระยะหลังมานี้ ทำเอาบรรดาพยาบาลทั้งหลายอดใจปรึกษาหารือกันไม่ได้ ว่าสิ่งใดกันที่กำลังกวนใจคุณหญิงคนโตแห่งวังดอกไม้จนต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำกันหนอ
“ครับๆ ตามที่คุณหญิงกล่าวนั่นแหละ”
หมอหนุ่มไหวไหล่อย่างยอมแพ้ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เพราะเห็นพยาบาลเข้ามาตระเตรียมแฟ้มเอกสารเบื้องต้นของผู้รอรับการรักษาและรู้ตัวว่าช่วงเวลาแห่งการหยอกล้อได้จบลง แต่ก่อนที่เขาจะเดินผ่านกรอบประตูที่ถูกเปิดออกเอาไว้ ก็ยังไม่วายทิ้งท้ายประโยคจากน้องสาวของตนให้ฟังเช่นเดิม
“น้องสาวของผมหวังว่าจะได้เห็นหน้าคุณหญิงที่สโมสรบ้างนะครับ หล่อนบ่นถึงคุณจนหูผมจะละลายเสียแล้ว”
เมื่อเขาจากไปโดยโบกแฟ้มในมือไหวๆ เป็นที่เรียบร้อยหญิงสาวจึงรู้สึกโล่งอก เธอส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเตรียมตัวเพื่อรอตรวจนอกเวลา แม้บทสนทนาเมื่อครู่จะทำให้เธอต้องย้ำเตือนกับตัวเองให้มากขึ้นก็ตาม
ถ้าขนาดคนอย่างจักรเสนยอมเดินมาเพื่อหยอกล้อเธอถึงที่ ดูท่าหลังจากนี้ตัวเองคงต้องสำรวมและระมัดระวังมากกว่าที่เป็นอยู่ให้มากขึ้นเสียแล้ว
หลังจากนึกกังวลอยู่ได้ไม่นานความคิดของเธอก็เต็มไปด้วยข้อมูลของคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการเป็นปกติ แม้จะเป็นโรงพยาบาลเล็กๆ แต่เพราะตั้งอยู่ในที่ดินของผู้อำนวยการที่เคยเป็นทหารชั้นสูง แถมยังมีฝีมือของบรรดาหมอที่อยู่ไม่กี่คนซึ่งเคยเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าระดับเทวดาจึงมีทั้งผู้คนผ่านมาและตั้งใจเดินทางมารักษาอยู่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ฉะนั้นกว่าที่หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจะรู้ตัวและเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปเกือบชั่วโมงนับจากที่เริ่มตรวจคนแรกไปเป็นที่เรียบร้อยพอดี
“พี่พร ช่วยหาคนพาคุณลุงไปส่งที่จักษุที”
กล่าวจบไปดังนั้นพยาบาลที่คอยช่วยเหลือเบื้องต้นก็รับคำและคอยพยุงร่างของชายมีอายุที่เริ่มเดินเหินด้วยความลำบากออกไปด้านนอก หญิงสาวจึงหันมองบรรดาแฟ้มผู้ของที่รอคอยรับการรักษาบนโต๊ะซึ่งเหลืออยู่ไม่กี่เล่มด้วยความผ่อนคลาย เพราะอีกไม่นานเธอจะได้ลุกขึ้นขยับตัวขยับกายเพื่อไล่ความเมื่อยล้าเสียที
“คนต่อไป...”
ริมฝีปากได้รูปชะงักค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นชื่อที่ถูกเขียนเอาไว้ตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากอนุญาตให้ได้ครบถ้วนดี เสียงที่จินณวัตรไม่ได้ยินมาราวสองเดือนก็ทำให้เธอจำต้องหันไปมอง
“ไม่ได้พบกันนานนะคะ คุณหมอ”
แม้จะไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนักหลังจากที่ได้เห็นทั้งชื่อและนามสกุลของหล่อนในชั่ววินาที แต่อีกความรู้สึกหนึ่งที่อยู่ในใจของจินณวัตรก็กลับทำให้เธอจำต้องยืนขึ้นและทักทายหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าตามธรรมเนียม ด้วยสีหน้าที่ไม่มีความรู้สึกอันใด
“กราบท่านหญิงเพคะ”
หญิงสาวเจ้าของนามนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเด่นชัดในยามที่เธอเอื้อนเอ่ย อาจเพราะความห่างเหินเย็นชาที่ตั้งใจใส่ลงไปในนั้น หรือไม่ก็เพราะสรรพนามที่ขีดเส้นเอาไว้เพื่อบ่งบอกว่าเธอจะไม่มีทางยินยอมทำตามความต้องการของหล่อนง่ายๆ อีกแน่
“บอกแล้วไงคะว่าถ้าเจอกันอีกครั้ง คุณหญิงจะต้องปฏิบัติกับฉัน เหมือนราตรีคนเดิม”
ถึงจะกล่าวอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงที่กึ่งผิดหวังเล็กน้อย แต่ หม่อมเจ้าหญิงมณินทร ก็รู้ดีว่าคนปากหนักและหัวแข็งอย่างอีกฝ่ายย่อมไม่ยอมอ่อนโอนต่อคำขอของเธอ แต่ในใจลึกๆ จากคนที่ เคยมีความรู้สึก ‘หวังดี’ ร่วมกันมาก่อนที่สถานะของตัวเองจะถูกเปิดเผย มณินทรก็หวังเพียงว่าหล่อนจะใส่ใจคำขออันแสนเล็กน้อยนี้ให้กันได้บ้าง
“เชิญท่านหญิงประทับเพคะ”
ทวงท่าของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรยังคงเป็นเหมือนหญิงสาวที่ได้รับการอบรมมารยาทอย่างเชื้อสายผู้ดีมาเกิด ดวงหน้าของหล่อนที่เธอเคยชื่นชมว่างดงามประหนึ่งพระพรหมสร้างดูซูบผอมลงไปกว่าครั้งล่าสุดที่พบกัน มือไม้ที่ถูกวางและเก็บไว้กับตัวอย่างเรียบร้อยราวกับได้ศึกษามาอย่างดีนั้นสุภาพน่ามอง เห็นจะมีเพียงการปฏิบัติอันถูกเพิ่มมาระหว่างผู้น้อยและผู้สูงศักดิ์กว่าเท่านั้นที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่พอใจกับภาพตรงหน้าได้เต็มร้อยเสียที
บุคคลในฐานะคนไข้ยอมยกฝ่าเท้าไปยังทิศทางที่เธอบอก จินณวัตรลอบหายใจเข้าให้เต็มปอดอย่างแผ่วเบาในยามที่ท่านหญิงราตรีเดินผ่านตนไปยังเบื้องหลังม่านสีเขียวแก่ที่สร้างไว้กั้นสำหรับพื้นที่การรักษาเบื้องต้น ความรู้สึกแปลกประหลาดนับแต่ที่จากกันด้วยความจริงที่ว่าหล่อนเป็นใครและเธอเป็นใคร กำลังทำให้กล่องที่เก็บความรู้สึกที่คุณหญิงจินอย่างเธอเก็บซ่อนเอาไว้สั่นคลอนอยู่มาก
“ขอประทานอภัย”
หม่อมเจ้าหญิงมณินทรค่อยยกร่างกายภายใต้ชุดกระโปรงระบายลายดอกไม้งามขึ้นนั่งบนเตียงสีเขียวแก่อย่างรู้งานในยามที่เธอเอ่ยปากร้องขอคำอนุญาตจากหล่อนออกไป หญิงสาวเคลื่อนอุปกรณ์ทำแผลมากมายมาไว้ข้างตัวจากความช่วยเหลือของพยาบาลประจำห้องที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาได้ไม่นาน ก่อนจะพบว่าผ้าพันแผลที่ใช้ไปกับบรรดาคนไข้ก่อนหน้านี้ไม่เพียงพอสำหรับการดูแลรักษาหญิงสาวตรงหน้าเท่าที่ควร
“รบกวนพี่พรอีกครั้งแล้วค่ะ”
จินณวัตรกล่าวแบบนั้นในตอนที่สายตาเอาแต่จับจ้องข้อมือเรียวที่ยังมีร่องรอยบอบช้ำเล็กๆ ที่หายดีแล้วและยังรอคอยให้เลือนหายไปตามเวลา เธอค่อยๆ แกะผ้าพันแผลเก่าที่ล้อมรอบท้องแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ออก แล้วจึงพบเข้ากับผิวหนังแดงคล้ายกับถูกไหม้มาไม่กี่วัน
เธอได้รับข้อมูลจากแฟ้มเอกสารมาว่าหม่อมเจ้าหญิงมณินทรเข้ารับการรักษาที่นี่เพราะได้แผลไฟไหม้ที่ได้รับจากอุบัติเหตุ ครั้นเห็นคำที่ถูกเขียนไว้ว่าเป็นระดับแรกแต่เพราะมีแนวโน้มจะอักเสบก็ตาม ชั่ววินาทีที่ได้อ่านมัน จินณวัตรรับรู้ได้เลยว่าภายในอกของตนนั้นรู้สึกวูบโหวงมากจริงๆ
“คราวนี้ฝ่าบาทได้มาเพราะเหตุผลอะไร”
น้ำเสียงที่ถามออกไปฟังดูเรียบเฉยแต่ก็แฝงไปด้วยความขุ่นมัวในแบบที่ตัวเองก็ไม่ทันสังเกต แต่คนฟังอย่างหม่อมเจ้ามณินธรกลับรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากที่คำถามของแพทย์สาวนี้ดูจะลดกำแพงลงไปบ้างในตอนที่เหลือเพียงแค่เธอและหล่อนภายหลังม่านสีเขียวผืนนี้
“ครั้งนี้ฉันพลาดเอง..”
แต่คำตอบของท่านหญิงก็กลับทำให้ความขุ่นมัวที่อยู่ในใจของหญิงสาวหายไปเสียดื้อๆ
“พลาดหรือ?”
“ฉันตั้งใจจะลงครัวแต่ถือหม้อไม่ระวัง ก็เลยเจ็บตัวอย่างที่เห็น”
คุณหญิงจินณวัตรรู้สึกได้ว่าลมหายใจช่วงหนึ่งของตนถูกระบายออกมาเสียยาวเหยียด เรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันด้วยความวิตกกังวลก่อนหน้าคล้ายกับจะต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการคลายออก ร่างเพรียวภายใต้เสื้อตัวยาวสีขาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะปรับอารมณ์ภายในที่ว้าวุ่นไปไกลให้เข้าที่เข้าทางแล้วจึงเริ่มเอ่ยปากอีกครา
“ยังแสบร้อนอยู่ใช่ไหม” จินณวัตรพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงและสัมผัสร่องรอยบริเวณนั้นเบาๆ “ฉันนึกไปเองเสียอีกว่าเกิดอะไรขึ้นมาอีกหรือเปล่า”
ท่านหญิงมณินทรยกมือข้างหนึ่งสัมผัสเส้นผมที่ปรกลงมาให้กลับขึ้นไปยังหลังใบหูของตนอีกครั้งเมื่อได้ยินคำกล่าว “ระยะหลังคุณสริไม่ค่อยอยู่ที่วัง เลยไม่ได้พบหน้ากันเท่าที่ควร”
จินณวัตรสังเกตว่าการเรียกขานชื่อของบุคคลที่สามนี้ไม่ได้ผ่านความรู้สึกเกรงกลัวเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหล่อนพูดถึง ไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะอีกฝ่ายเริ่มที่จะดึงความกล้าที่สอนอยู่ไว้ภายในออกมาแล้ว หรือเป็นเพราะไม่ได้มีโอกาสเผชิญหน้าก็เลยทำใจกล้าขึ้นมาได้
ได้ยินดังนั้นก็ประจวบเหมาะกับที่พยาบาลผู้ช่วยกลับเข้ามาภายในห้องตรวจ หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงเริ่มรักษาบาดแผลนั้นด้วยความใจเย็น ภายใต้ความรู้สึกอันสับสนที่คงไม่มีใครมองออก เพราะน่าแปลกที่นอกเหนือจากความคิดที่อยากจะรักษาหล่อนแล้ว...ยังคงมีความคาดหวังเจือจางอยู่ภายในนั้นขึ้นมาด้วย
เธอหวังว่าเวลาแห่งการรักษาจะยืนยาวออกไปอีกนิด
แต่เธอก็หวังว่าจะไม่ต้องพบกับหล่อนในที่แบบนี้อีกแล้ว
หม่อมเจ้าหญิงมนิณทรเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของพระองค์ชายราชสกุลจินต์จุฑาผู้หนึ่ง เติบโตมาในวังที่ใหญ่เสียยิ่งกว่าตระกูลทัตพงศ์มาลีด้วยความเพรียบพร้อมและความรักกระทั่งวันที่ผู้เป็นบิดามารดาให้กำเนิดจากไปในวันที่หล่อนอายุเพียงสิบขวบปี และหลังจากนั้นไม่นานชีวิตของท่านหญิงราตรีก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะญาติฝ่ายมารดาที่มีศักดิ์เป็นลุงและป้าของตนเอง..
หากไม่มีใครสังเกตเห็นมาก่อนก็คงไม่ทราบว่าภายใต้เสื้อผ้าที่ดูงดงามของท่านหญิงผู้นี้ ล้วนลายพร้อยไปด้วยรอยหวายตั้งแต่ส่วนเข่าลงมาจรดน่อง
ถามว่าจินณวัตรรู้ได้อย่างไร..คงต้องย้อนกลับไปยังหลายเดือนก่อนหน้านี้ที่เธอได้มีโอกาสรู้จักกับ ‘คุณราตรี’ หาใช่ ‘ท่านหญิงราตรี’ จากราชสกุลจินต์จุฑาผู้อยู่ตรงหน้าของเธอ
เธอมีโอกาสได้พบกับหล่อนในพื้นที่การศึกษาสำหรับคนด้อยโอกาส คราวนั้นโรงพยาบาลที่เธอเพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นานก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ตั้งใจจะสร้างชื่อเสียงด้านการกุศลและกิจกรรมอาสา ด้วยความคิดที่ว่าตนเองก็ไม่ได้มีโอกาสไปใกล้ชิดชาวบ้านนอกพระนครบ่อยนักเนื่องจากต้องประจำการอยู่ในค่ายมาตลอด ทั้งเธอและหมอจักรเสนจึงเต็มใจเดินทางไปยังพื้นที่นั้นและพบเข้ากับท่านหญิงมณินทรในฐานะครูอาสาคนหนึ่งพอดิบพอดี
‘ในเมื่ออายุใกล้เคียงกัน ถ้าอย่างนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันดีกว่า’
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจดจำรอยยิ้มของอีกฝ่ายและมือที่ยื่นออกมาอย่างเป็นมิตรได้เป็นอย่างดี จะบอกว่าเพราะไม่มีคนในวัยใกล้เคียงกันมาผูกมิตรด้วยความรู้สึกแบบนี้มานานก็ไม่ผิดนัก จินณวัตรพบพานชายหญิงทั้งในรูปแบบสหายและหวังผลมาไม่น้อย หากเธอก็ใช้เวลาไม่นานนักในการมองคนเหล่านั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่งแม้ว่าพวกเขาจะซับซ้อนเพียงใด แต่กับท่านหญิงมณินทรที่เธอมองอีกฝ่ายออกประหนึ่งว่าเป็นหนังสือเล่มบาง ก็ยังมีมุมมองที่ทำให้เธอนึกประหลาดใจได้ในบางครา
หล่อนเปราะบาง แต่ก็มากล้นด้วยความสัตย์
หล่อนซุ่มซ่าม แต่ก็พลักดันสิ่งที่ทำอยู่ได้จนสำเร็จ
หากเปรียบเทียบกับท่านหญิงที่เธอพบในช่วงนั้น เวลานี้ดูหญิงสาวจะมีเรื่องประหลาดใจเพิ่มมาให้เธออยู่อีกข้อ
“คำแนะนำของหม่อมฉันคงทำให้คนในนั้นรู้แล้วว่าอะไรควรมิควร”
“คงเป็นเช่นนั้น..” บุคคลที่นั่งอยู่บนเตียงสูงนั้นตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะถูกกดขี่มานานจากบางสิ่งที่เข้ามาครอบงำคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ เลยเป็นเหตุให้ท่านหญิงที่ควรจะเฉิดฉายและมั่งคั่งจากบรรดาศักดิ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั้นมีแต่ความขลาดเขลา กระทั่งหวาดกลัวว่าจะทำให้ถูกต่อว่าจากใครต่อใครจนกระทบชื่อเสียงของผู้เป็นบิดาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วเข้าสักวัน
แต่นั่นยิ่งกลายเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้หล่อนถูกควบคุมได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม
ท่านหญิงมณินทรถูกทำให้เป็นทุกข์สารพัดวิธีที่ผู้หญิงอันมีศักดิ์เป็นป้านั้นจะคิดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องยื่นมือของตนมาแปดเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นการลงโทษที่มาในรูปแบบของการต้องการให้สำนึกผิดหรือเพราะผู้เป็นลุงนึกอยากจะสั่งสอน ล้วนสร้างบาดแผลทางจิตใจและร่างกายให้หญิงสาวตรงหน้าของเธอมานานอยู่หลายปี
‘ทำไมถึงไม่เรียกร้องในสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับคุณล่ะ’
‘คุณหญิงเคยได้ยินคำกล่าวนี้ไหม’ ท่านหญิงมณินทรในช่วงเวลานั้นเอ่ยหลังจากที่เธอบังเอิญเห็นร่องรอยของเรียวหวาย ‘คนเช่นเรานั้น สำลีตกพื้นเพียงก้อนเดียวก็เป็นข่าว นี่คงเป็นไม่กี่อย่างที่คนขี้ขลาดอย่างฉันจะทำให้ชื่อนี้คงอยู่ได้’
“อย่าแน่นเกินไปนะคะคุณหมอ”
เสียงของพยาบาลที่คอยช่วยเหลือทำให้คนที่นึกถึงความทรงจำเมื่อก่อนรู้สึกตัวว่ากำลังเหม่อลอยไปไกล หม่อมราชวงศ์จินณวัตรลอบมองสีหน้าของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงก่อนจะรีบแก้ไขสิ่งที่ทำอยู่โดยเร็วอย่างแนบเนียน “ประมาณนี้พอได้ไหมเพคะ”
“คิดว่าพอได้” หม่อมเจ้าหญิงมณินทรตอบและทำท่าจะละจากเตียงตัวยาวที่ใช้หย่อนกายไปเมื่อครู่ ทำให้จินณวัตรที่อยู่ใกล้หล่อนที่สุดจำต้องเป็นฝ่ายขยับตัวและยื่นฝ่ามือออกไปด้วยความเคยชิน
“…”
หลังจากที่ยื่นฝ่ามือออกไปเพื่อต้องการให้หญิงสาวใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวก็พลันเกิดความเงียบจนตนเองพึงรู้สึก จินณวัตรเพิ่งระลึกขึ้นได้ว่าการกระทำอันแสนคุ้นเคยนั้นเธอเพียงเคยใช้มันในยามที่อีกฝ่ายยังเป็นเพียงคนธรรมดา หาใช่คนที่เธอไม่อาจเอื้อมถึงได้อย่างเช่นในตอนนี้
ทว่าหม่อมเจ้าหญิงมณินทรกลับยึดมันไว้ในตอนที่เธอกำลังจะขยับร่างกายเพื่อดึงมันกลับมา จินณวัตรรับรู้ได้ว่าลมหายใจของตนเองขาดห้วงไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อเผลอนึกไปว่าอาจทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรไปเสียแล้ว
“ขอบคุณนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยปากกล่าวกับเธอในตอนที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างแตะลงบนพื้น จินณวัตรตอบรับคำกล่าวนั้นด้วยการโน้มศีรษะลงเล็กน้อยและค่อยอธิบายสิ่งที่ต้องดูแลเอาใจใส่ต่อบาดแผลที่หล่อนได้รับมาตามหน้าที่ของตน ก่อนที่ท่านหญิงทำท่าจะเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่การอธิบายของเธอจบลง
“จะมีจัดเต็นท์นอกสถานที่อีกเมื่อไหร่หรือคะ”
แม้คราแรกที่ได้ยินคำถามจินณวัตรจะมองเห็นจุดประสงค์ในคำกล่าวของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี กระนั้นเองด้วยความคิดที่ไม่ต้องการจะเข้าข้างตนอยู่ลึกๆ ก็ทำให้หญิงสาวจำต้องตอบออกไปด้วยความจริงอยู่ครึ่งเดียว
“คงแล้วแต่กำหนดการเพคะ”
มณินทรได้ยินคำกล่าวที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอันใดออกมาก็พลันรู้สึกว่าใบหน้าของตนด้านชาอยู่ครู่หนึ่ง เพราะในยามนี้เธอคล้ายกับจะเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกดีใจที่อยากพบหน้ากันอีกครั้งนั้นคงเกิดแก่เธออยู่ฝ่ายเดียว
“งั้นเหรอ”
“ขอให้ท่านหญิงเดินทางปลอดภัยเพคะ” หม่อมราชวงศ์จินณวัตรยืนขึ้นก่อนจะกล่าวลาเธอตามมารยาท ทำให้ตนเองที่เพิ่งจะตัดใจกับการที่อยากจะทำให้หล่อนแสดงความรู้สึกออกมามากขึ้นอีกสักนิดนั้นจำต้องหันหลังเดินจากไปอย่างที่ควรจะเป็น
ครั้นเมื่อร่างอรชรนั้นเดินหายลับไปจากสายตาหญิงสาวในเสื้อคลุมตัวยาวจึงค่อยหย่อนกายลงที่นั่งตามเดิม พอดีกับที่ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกผ่อนออกมาในระหว่างที่เจ้าตัวนั้นถอดถุงมือสีขาวปลอดออกจากการสวมใส่ทิ้งลงถังขยะไป
ความรู้สึกวูบโหวงภายในอย่างประหลาดทำให้หม่อมราชวงศ์จินณวัตรรู้สึกถึงความผิดปกติ การเว้นระยะห่างอันเหมาะสมนี้เป็นเรื่องที่ถูกที่ควรอยู่แล้วที่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างพวกเธอทั้งคู่ ทว่าทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสม จินณวัตรกลับรู้สึกว่าตัวเธอในตอนนี้นั้นไม่มีความสุขกับมันเแม้แต่น้อย..
บางทีเสียงของจังหวะหัวใจที่กำลังกลับมาเต้นอย่างปกตินี้ คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอไม่ต้องการพบกับหล่อนอีกครั้งก็เป็นได้
บ้านเรือนต่างๆ ที่อยู่ติดถนนสายหลักเป็นสิ่งเดียวที่กำลังเพิ่มขึ้นในสายตาของหญิงสาวที่เพิ่งเดินทางมาจากโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งนั้น ผู้คนในสายตาที่ผ่านไปมามีทั้งเท้าเปล่าและฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วกายแต่กลับมีรอยยิ้มเป็นสุขใจในแบบที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสเกิดขึ้นนักกับตนเอง
หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นถึงหม่อมเจ้านั้นทอดถอนใจออกมาเล็กน้อยเมื่อเหตุการณ์ก่อนหน้ายังคงทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจดีนัก เพราะท่าทีของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรที่คล้ายกับจะไม่ต้องการผูกมิตรกับเธออีกต่อไปแล้ว
มณินทรไม่ใช่คนมีเพื่อนและสังคมดั่งชนชั้นสูงคนอื่นเขาเป็นปกติ เพราะสูญเสียบุพการีไปตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้ได้รับการสั่งสอนเพียงแค่การเดินเหิน การวางตัว รวมถึงวาจาที่เหมาะที่ควรตามมารยาท และสิ่งใดที่อยู่ในกรอบของคำว่า ‘ไม่งาม’ ที่ผ่านมามณินทรหรือจะกล้ากระทำเกินเลย
สังคมที่ควรจะได้รับก็กลับยิ่งถูกผลักห่างออกไปหลังจากที่เธอตกมาอยู่ในการดูแลของผู้มีศักดิ์เป็นลุงและป้า บุคคลทั้งสองเป็นญาติฝ่ายมารดาของเธอที่เป็นหนูตกถังข้าวสารทันทีที่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองสิ้นพระชนม์ไป แรกเริ่มพวกเขาก็คอยดูแลเธออย่างดีไม่ให้บรรดาญาติฝั่งราชสกุลจินต์จุฑานั้นเป็นห่วง แต่หญิงสาวไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นถึงทำให้พวกเขาตัดการติดต่อกับเธอไปโดยที่ไม่หันกลับมาเหลียวแลกันสักนิด
แล้วการดูแลของบุคคลทั้งสองก็เปลี่ยนไป ทันทีที่น้ำใจจากพระญาติฝั่งนั้นไม่เคยมาถึง
หม่อมเจ้าหญิงมณินทรหวนคิดดังนั้นแล้วก็นึกทอดถอนในใจตน หากไม่ใช่ว่าเพราะยังมีความหวังที่จะหาวิถีทางที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเองและหลุดพ้นจากสถานะที่ติดตัว ปานฉะนี้เธอคงยอมแพ้ต่อความทุกข์ที่ได้รับมาไปนานแล้ว
‘หากดูแลไม่ถูกจุดและกลายเป็นปัญหาภายหลัง คนที่จะต้องเจ็บตัวกับบาดแผลเหล่านั้นก็คือคุณเอง’
‘…’
‘ถ้าไม่รังเกียจ..ฉันยินดีจะเป็นผู้ฟังและดูแลให้’ หม่อมราชวงศ์จินณวัตรในเวลานั้นเอ่ยพลางเสมองไปทางอื่น ‘โรงพยาบาลของเรา อาจจะบรรเทาทุกข์ให้คุณได้บ้าง’
แต่สุดท้ายหล่อนก็คงเป็นอีกคน ที่คิดจะเปลี่ยนไปเมื่อรับรู้ตัวตนของเธอ
“ท่านหญิง--” เด็กสาวในเสื้อคอกลมและกระโปรงผ้าซิ่นลายเรียบที่นั่งโดยสารภายในรถแท็กซี่ทรงยุโรปมาด้วยกันตั้งแต่แรกเอ่ยปาก แต่ครั้นพอเห็นดวงตาที่เธอตวัดกลับไปมองด้วยไม่ต้องการให้คนขับนั้นรับรู้สถานะของตนเจ้าหล่อนก็ค่อยปิดปากและเริ่มกล่าวขึ้นมาใหม่ “คุณราตรีคะ ดิฉันว่าเราอย่าเพิ่งกลับไปที่บ้านเลย”
เด็กสาวผู้เป็นบ่าวนามว่าวิไลนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล จนเธอที่เพิ่งจะส่งสายตาดุอีกฝ่ายไปอย่างไม่จริงจังต้องแปลกใจ “ยิ่งกลับไปเร็วก็ยิ่งไม่น่าสงสัยไม่ใช่หรือ”
ดวงหน้ากลมรูปไข่ของเด็กสาวแสดงอาการครุ่นคิดก่อนจะกล่าวอีกครั้ง และการที่ผมของหล่อนถูกมัดรวบตึงไปทางด้านหลังมักทำให้เธออ่านการเคลื่อนไหวบนใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดขึ้นทุกที “ดิฉันรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าหากคุณจะกลับบ้านไปในเวลานี้”
แม้เด็กคนนี้จะเป็นเพียงบ่าวที่มณินทรรับเอาไว้เมื่อตอนอายุยังน้อยด้วยเจ้าหล่อนวิ่งโร่เข้ามาขอสมัครเป็นคนรับใช้ภายในวัง แรกเริ่มหญิงกลางคนผู้ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ตั้งใจจะไม่รับไว้ด้วยไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แต่เพราะอายุอานามที่อ่อนวัยรวมถึงดูไม่มีพื้นเพจึงคิดว่าไม่มีพิษภัยอะไรมากมาย และยอมให้เธอรับหล่อนไว้รับใช้ข้างตัวมานานจนรับรู้ถึงความสามารถของอีกฝ่ายได้ดี
ลางสังหรณ์ของวิไลคนนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเธอยิ่งนัก
“วันนี้เราไม่มีกำหนดการไปไหนแล้ว” มณินทรกล่าวอย่างจนใจถึงภายในจะกำลังเริ่มกังวลครุ่นคิดอยู่ “อย่างไรเสียก็อยู่ใต้หลังคาเดียวกัน ถึงหลบหน้าไปเรื่อยๆ หล่อนก็คงหาเรื่องลากฉันออกไปจนได้”
เมื่อรับรู้คำกล่าวของผู้เป็นนายแล้วว่าคงเป็นจริงดังว่าเด็กสาวก็ไม่กล้ากล่าวอะไรอีก เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ประจักษ์แจ่มแจ้งแล้วว่าเธอทำได้เพียงแค่ร่ำไห้ขอร้อง และคอยทำแผลอย่างสะเปะสะปะพราะไม่ค่อยมีความรู้ให้เท่านั้นเวลาหญิงสาวผู้มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์นี้ถูกทำโทษ
วิไลเคยสงสัยว่าเพราะเหตุใดคนที่เกิดมามีทุกอย่างอย่างท่านหญิงมณินทรจึงไม่คิดยืนหยัดเพื่อตัวเอง แต่พอครั้งที่ได้เห็นว่าพระองค์ยืนยันจะทำหน้าที่ครูอาสาให้ได้ในวัยยี่สิบกว่าปีและต้องแลกมาด้วยอะไรหลายสิ่ง วิไลก็ไม่เคยอยากให้มันเกิดขึ้นอีกเลย
รถแท็กซี่โดยสารจอดลงที่หน้ารั้วใหญ่สีน้ำตาลอ่อน เมื่อจัดการจ่ายค่าโดยสารเป็นที่เรียบร้อยแล้วเด็กสาวก็รีบลงมาเปิดประตูรถให้ผู้เป็นนายอย่างที่เคยปฏิบัติมานาน
“เดี๋ยวนี้อยากไปไหนมาไหน ก็คงไม่คิดจะบอกจะกล่าวฉันแล้วมัง สไบ”
เสียงที่ทำให้ฝ่าเท้าซึ่งกำลังจะก้าวเดินไปยังพื้นที่ของตนเองนั้นหยุดชะงัก ความรู้สึกตื่นกลัวประหนึ่งเด็กน้อยทำสิ่งใดผิดพลาดไปเป็นความรู้สึกแรกที่แล่นเข้าสู่กายของหญิงสาว ก่อนที่มันจะเลือนหายไปเมื่อมือทั้งสองข้างซึ่งวางไว้บริเวณท้องน้อยนั้นบีบเข้าหากันเป็นการให้กำลังใจตนเอง
“หญิงเพียงออกไปพบคุณกวิน เผื่อเธอจะแนะนำว่าช่วงนี้ที่ใดขาดแคลนคนบ้าง” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงขึ้นกว่าเก่า และปรายตามองบ่าวรับใช้ข้างกายหญิงกลางคนในชุดกระโปรงสีสันฉูดฉาดประหนึ่งพร้อมออกงานสังคมได้ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยแววตาซื่อ
“และหญิงไม่ทราบว่าคุณป้าจะกลับวันนี้ ไม่อย่างนั้นคงจะแจ้งสไบไว้ล่วงหน้า”
สายตาของหญิงกลางคนนั้นปราดมองไปยังคนรับใช้ข้างตัวจนหล่อนมีท่าทีลุกลี้ลุกลน เพียงเท่านี้มณินทรก็พอจะเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะกล่าวคำลวงแบบใดออกไปบ้าง
หญิงกลางคนผู้นี้มีศักดิ์เป็นป้าของเธอตามการแต่งงานระหว่างชายผู้เป็นลุง ครอบครัวฝั่งมารดาเธอมีพื้นเพมาจากการเป็นเศรษฐีมีชื่อในจังหวัดนอกพระนครไปทางภาคตะวันตก บรรดาลูกหลานทั้งหลายได้รับการศึกษาที่เหมาะสมแก่ตนเองไม่เว้นแม้แต่ผู้เป็นแม่ จึงไม่นับว่าชื่อเสียงของผู้ให้กำเนิดเธอนั้นถือว่าสูงส่งหรือต้อยต่ำจนเกินไปเมื่อเสด็จพ่อของเธอขอพระราชทานการแต่งงาน
เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ลุงของเธอก็ได้รับทรัพย์สมบัติและตำแหน่งเจ้าสัวคนใหม่ เป็นที่เกรงอกเกรงใจของผู้คนในวงการธุรกิจมากมายที่ผ่านมาลงทุน
ส่วนหญิงกลางคนผู้นี้ก็วางตัวเป็นผู้ดีที่ได้รับการอบรมมาไม่ต่างอะไรจากชนชั้นสูง เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาวงสังคมผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีและเฉลียวฉลาดยิ่งนัก
ทว่าในสายตาของมณินทรแล้ว คนทั้งคู่ก็เป็นเพียงแค่ญาติผู้เย็นชากับหญิงที่ใช้วิชาไปกับการพนัน
“การไม่ทราบกำหนดกลับของคุณนายไม่ใช่ข้ออ้างที่ท่านหญิงจะไม่มาเตรียมการต้อนรับหรอกนะเพคะ” สาวใช้ข้างกายหล่อนกล่าวกับเธอโดยไม่แม้แต่จะคำนึงถึงสถานะของตน “อย่างไรเสียทุกพื้นที่ภายในวังก็ต้องได้รับการทำความสะอาด แถมการที่ท่านหญิงไม่แจ้งหม่อมฉันว่าจะเสด็จไปที่ใด ไม่นับว่าเป็นการไม่เห็นหัวหม่อมฉันที่เป็นคนของคุณนายหรอกหรือเพคะ”
นี่สินะเรื่องที่อยากจะพูด
“สไบล้อฉันเล่นแล้ว คนที่รู้ว่าคุณป้าจะเดินทางกลับมาเมื่อไหร่ก็มีแต่สไบเท่านั้น เมื่อตอนฉันจะเข้าไปในพื้นที่ของคุณป้า ก็เป็นสไบที่บอกว่าตรงนั้นเป็นพื้นที่รับผิดชอบของตัวเอง ไม่ให้ใครหน้าไหนทั้งนั้นก้าวเท้าเข้าไปไม่ใช่หรือ?”
“..!”
เด็กสาวผู้อยู่ข้างกายผู้เป็นนายมีประกายความทึ่งอยู่บนใบหน้าทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงไพเราะนั้นกล่าวจบ หม่อมเจ้าหญิงมณินทรที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตานายบ่าวสองคนนี้มานานหลายปีเพิ่งจะกล่าวประโยคก่อนหน้าไปด้วยรอยยิ้มพาซื่อ และหากสังเกตดีๆ แววตาคู่นั้นของท่านหญิงเองก็ยังมีประกายที่หสู้คนอยู่อีกด้วย
ท่านหญิงของเธอเริ่มเปลี่ยนแปลงไป...ตั้งแต่ได้รู้จักกับคุณหญิงคนนั้นจริงๆ
“พี่สไบคงเลอะเลือนแล้วล่ะ” เด็กสาวรีบกล่าวเสริมผู้เป็นนายด้วยท่าทีนอบน้อมผิดกับรอยยิ้มที่กำลังเย้ยหยันและสุขใจไม่น้อย “แค่นี้ก็จำคำที่ตัวเองพูดไว้เมื่อสามวันก่อนไม่ได้เสียแล้ว ถ้าตำแหน่งหัวหน้าคนใช้เป็นอย่างนี้ ดิฉันว่าคุณนายคงเหนื่อยแย่เลยนะคะ”
“นี่!”
“ถ้าสไบมันพลาดก็ช่างเถอะ” บ่าวรับใช้นั้นหยุดฝีปากที่กำลังจะกล่าวออกมาทันทีที่หญิงกลางคนขยับตัว “ท่านหญิงคงไม่ได้ไปพบนายกวินเพียงเรื่องการศึกษาหรอกมัง”
ดวงตาของนางสริที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจอยู่วูบหนึ่งนั้นเคลื่อนมามองที่เรียวแขนของเธอซึ่งถูกพันไว้ด้วยผ้าสีขาวสะอาดตา มณินทรจึงรู้ได้ทันทีว่าหล่อนกำลังสงสัยในการออกไปข้างนอกของเธอ
แต่ไหนแต่ไรมาสายตาของหญิงกลางคนนี้ก็คอยจะเอาแต่จับตามองทุกฝีก้าวว่าเธอกำลังจะทำอะไร แรกเริ่มที่เพิ่งจะพอรู้ความมณินทรคิดว่านั่นคือการดูแลเอาใจใส่ที่อีกฝ่ายมีให้เธอ แม้หลังๆ นั้นจะมีคำถามมากมายว่าสิ่งที่หล่อนทำให้นั้นคือสิ่งที่ผู้ปกครองควรกระทำแก่เด็กในการดูแลจริงหรือไม่แต่ก็ไม่เคยคิดเอ่ยถาม กระทั่งได้รับรู้ความจริงในตอนที่อายุใกล้เคียงวัยออกเรือน ว่าที่ผ่านมามันก็แค่ละครที่เอาไว้หลอกลวงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง
หล่อนก็แค่อยากควบคุมเธอเอาไว้...ให้เป็นเพียงแค่ท่านหญิงแต่ในนามและปล่อยให้เหี่ยวเฉาไปประหนึ่งดอกไม้ที่ไม่อาจใช้ประโยชน์อะไรได้อีก
“หญิงแค่ไม่ระวังตัวระหว่างเข้าครัว จึงให้วิไลทำแผลให้ ไม่มีเรื่องให้คุณป้าต้องรู้สึกเป็นภาระอะไรหรอกค่ะ”
“ดี ไม่มีใครในวังนี้ต้องการคนไร้ประโยชน์หรอก” หญิงกลางคนเอ่ยราวกับคนที่รู้สึกขัดใจเพราะเรื่องราวอันน่ารำคาญ “รีบๆ ทำให้มันดูดีเสีย อีกวันสองวันฉันจะได้เชิญเจ้าสัวไพรีมาทานข้าว”
นายบ่าวทั้งสองจากไปด้วยสีหน้าที่ไม่ได้มีความพึงพอใจนัก อาจเพราะเกิดความรู้สึกขัดเคืองในใจแต่ก็ไม่อาจจับหลักฐานที่เธอกล่าวออกไปมากล่าวโทษได้ชัดเจน มณินทรค่อยถอนหายใจออกมายาวเหยียดหลังคนทั้งสองลับสายตาไปด้วยความโล่งอก เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าการต่อกรกับบุคคลทั้งสองจะทำให้รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ขึ้นมาได้
คงต้องพยายามอีกมาก...กว่าที่อาการสั่นเทานี้จะเลือนหายไปเมื่ออยู่ต่อหน้าคนทั้งคู่
“ท่านหญิง หม่อมฉันจะนำชาไปให้นะเพคะ” เสียงของเด็กสาวรับใช้ข้างตัวทำให้หญิงสาวหยุดนวดมือที่คลายการบีบรัดลงไปแล้ว เมื่อเหลือตัวคนเดียวพร้อมทั้งผ่านสถานการณ์เมื่อครู่ไปได้โดยที่ไม่ต้องรับผลกระทบอะไรมาก มณินทรจึงก้าวเท้าต่อไปยังอีกฝากหนึ่งของตึกใหญ่อันเป็นที่อยู่อาศัยของตัวเอง
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้รับการตกแต่งอะไรมากแต่ก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้พออาศัยอยู่ได้ ที่แห่งนี้เคยเป็นส่วนรับรองผู้มาเยือนวังวิมานมาศในสมัยที่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อพวกเขาสิ้นไปและถูกยึดครองด้วยสิทธิของผู้ปกครองตามกฎหมาย เธอก็ถูกย้ายออกมายังห้องที่มีไว้สำหรับแขกในสองปีให้หลังด้วยเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนักอะไรนอกจากคำว่ากตัญญู
แม้เสด็จพ่อของเธอจะเป็นเพียงพระองค์ชายปลายแถวในบรรดาลูกทั้งหมดในสายเลือด แต่พระองค์ก็มีทรัพย์สินที่ตระเตรียมไว้ให้บุตรสาวเพียงคนเดียวอย่างเธอรวมทั้งวังวิมานมาศแห่งนี้ ทว่าการเข้ามาของนายกำพลกับนางสริก็ทำให้สิทธิของเธอที่ควรจะมีตามบรรดาศักดิ์ที่ได้รับมาถูกริดรอนลงไป
กว่าจะรู้ตัวว่าถูกพรากอะไรไปบ้าง...เธอก็แทบก้าวเท้าไปไหนไม่ได้เสียแล้ว
‘ฉันนึกไปเองเสียอีกว่าเกิดอะไรขึ้นมาอีกหรือเปล่า’
น้ำเสียงกังวลและสีหน้าโล่งใจที่ยังติดอยู่ในความทรงจำทำให้หญิงสาวที่เพิ่งจะทิ้งกายนั่งลงบนเตียงนอนนั้นรู้สึกตัวขึ้นมาจากความคิด ความรู้สึกด้านลบที่ก่อตัวขึ้นในใจเพราะนึกถึงเรื่องราวร้ายๆ ที่ผ่านมาดูจะเลือนหายลงไปบ้างเมื่อเธอมองเห็นความห่วงใยอันเล็กน้อยจากประโยคของคุณหญิงผู้นี้
หญิงสาวยอมรับว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาราวสองเดือนนี้เธอหวังจะพบหน้าหม่อมราชวงศ์จินณวัตรในฐานะบุคคลที่ตนพูดคุยได้อย่างสบายใจ เพราะหล่อนนับได้ว่าเป็นคนแรกที่จะกล้าพูดสิ่งที่เธอซ่อนเอาไว้ภายในได้ในแบบที่เธอไม่เคยกล้าที่จะคิดถึงมัน ทว่าการไปพบกับหล่อนในพื้นที่ที่นางสริสามารถจับตามองเธอได้นั้นไม่ใช่เรื่องดี นอกเหนือจากการออกไปเอายาที่ใช้รักษาโรคประจำตัวให้แก่ผู้เป็นลุงและร่างกายที่บาดเจ็บจนดูร้ายแรง เธอก็นึกไม่ออกแล้วว่าควรจะใช้วิธีอื่นใดได้บ้าง
มณินทรจึงรู้สึกใจหายไม่น้อยยามเมื่อได้รู้ว่าหล่อนค้นพบเสียแล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคือใคร และเธอรู้สึกหวั่นใจเหลือเกินที่การพบกันครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้พูดคุยกับหล่อนอีกครา...
“เหนื่อยเสียจริง”
หญิงสาวพึมพำก่อนจะเอนกายลงกับหมอนที่เริ่มจะเก่า ดวงหน้างามทว่าแสนเศร้านั้นปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้าจากภายในหวังให้การพักผ่อนชั่วครูู่นี้ฟื้นคืนกำลัง และหยุดยั้งความใคร่รู้ที่กำลังเห็นแก่ตัวให้หายไป
หากได้พบกันในฐานะอื่น...หล่อนจะยังทำตัวเหินห่างเช่นนี้หรือเปล่า
“สายแล้วหรือนี่”
น้ำเสียงราวกับประหลาดใจหลังจากที่เหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตนเองจากหมอหนุ่มทำให้หญิงสาวหันไปมอง จินณวัตรเห็นอีกฝ่ายปิดกล่องสเต็ทโตสโคปประจำกายลงด้วยท่าทางกระตือรือร้นเพราะบริเวณโต๊ะของเขาไม่มีชาวบ้านมาคอยยืนต่อแถวอยู่อีกต่อไป
“ไปวิ่งรอบสนามสักหน่อยดีไหม” หมอจักรเสนในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนหันมายิ้มให้เธอหลังจากยืดเส้นยืดสาย “คุณหญิงสนใจแข่งกับผมหรือเปล่า”
“เก็บแรงไว้ตอนบ่ายเถอะค่ะหมอจักร” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่พูดขึ้นแทนเธอนั้นมาพร้อมกับแรงกระแทกจากสมุดเล่มหนาที่ตบเข้าด้านหลังของเขาอย่างไม่จริงจัง หล่อนนั่งลงบนโต๊ะตัวกลางซึ่งถูกเก็บกวาดชั่วคราวไปแล้วหลังจากชาวบ้านรอบโรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้จำนวนหนึ่งทยอยเดินทางกลับไป หล่อนปล่อยผมยาวตรงสีดำเข้มซึ่งถูกมัดไว้ลวกๆ ในเวลาทำงานลงก่อนจะคลายยิ้มหลังจากเอาคืนเขาได้เมื่อครู่
หญิงสาวนามว่าบุลินนั้นกล่าวขึ้นอีกครั้งหลังจากได้นั่งลงแล้ว “เดี๋ยวต้องรับมือสาวน้อยสาวใหญ่ช่วงบ่ายอีก พวกฉันเป็นหมอไม่ใช่กรรมการ ไม่ว่างช่วยหรอกนะคะ”
จินณวัตรอดเหยียดรอยยิ้มที่มุมปากอย่างเห็นด้วยไม่ได้กับประโยคที่อีกฝ่ายว่า เพราะเวลามีตรวจสุขภาพนอกสถานที่เมื่อใดหมอหนุ่มผู้นี้ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของชาวบ้านน้อยใหญ่ยิ่งนัก ด้วยใบหน้าหล่อเหลาน่ามองที่ผสมกันของสองเชื้อชาติ รูปร่างสูงโปร่งกำยำแถมยังสุภาพเป็นกันเอง เป็นที่น่าเอ็นดูและถูกอกถูกใจบรรดาชาวบ้านจนเคยเกิดเรื่องน่าอับอายที่เต็นท์ของพวกเธอและเกือบถูกต่อว่าเข้าให้
ชายหนุ่มเหลือบมามองเธอก่อนจะเลิกคิ้วไปพลาง “คุณหญิงเห็นด้วยหรอกหรือนี่”
“มีให้เห็นกับตา ฉันคงไม่กล้าปฏิเสธ”
เสียงแหวดังมาจากชายหนุ่มทันทีที่เธอกล่าวจบ กระทั่งเสียงหัวเราะที่ต่อเนื่องกันจากหญิงสาวอีกคนก็เป็นเรื่องน่ารื่นเริงใจสำหรับวันทำงานเช่นนี้ หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงค่อยๆ ทยอยเก็บข้าวของที่สำคัญของตนเองให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อการพักผ่อนก่อนเริ่มงานในช่วงบ่ายต่อไป
เวลานี้เธอและบรรดาหมออีกสามคนที่เหลืออยู่ในชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากตัวพระนครราวสองชั่วโมงกว่า เต็นท์ตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีนักเรียนให้เห็นอยู่รำไร จินณวัตรคิดว่าถึงช่วงเวลาพักเที่ยงเมื่อไหร่พวกเขาก็จะคงจะมาวิ่งเล่นอยู่รอบสนามที่พวกเธอตั้งอยู่แน่นอน
เหลืออีกแค่ชั่วโมงเดียวก็จะพักเที่ยงและเข้าสู่ช่วงบ่าย เธอควรจะหาอะไรมาให้เด็กๆ ไม่รู้สึกกลัวอุปกรณ์การแพทย์พวกนี้ดีไหมนะ?
“โห มาเป็นรถเข็นเลย นั่นเลี้ยงแค่พวกเราจริงเหรอ” บุลินที่เริ่มจะนั่งทอดกายเพื่อพักผ่อนนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นบางสิ่งไกลๆ กำลังเคลื่อนตัวผ่านหน้าของตน มองคราแรกก็รู้ว่าชายสูงวัยท่าทางผอมแห้งผู้นั้นคือภารโรงประจำโรงเรียนเพียงคนเดียวของที่นี่ และกำลังพยายามจะเข็นรถเข็นเก่าๆ ที่ใกล้จะพุพังตามการใช้งานซึ่งบรรจุไปด้วยวัตถุดิบในส่วนของบรรดาครูอาสาและเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลอย่างพวกเธอโดยลำพัง
“เดี๋ยวผมมาแล้วกัน” หมอจักรเสนว่าอย่างกระตือรือร้นแล้ววิ่งสั้นๆ ข้ามผ่านสนามหญ้าอันกว้างขวางนี้ไป และไม่นานหลังจากนั้นพวกเธอจึงเห็นว่ามีหญิงสาวอีกคนมาสมทบชายชรา ด้วยการช่วยถือข้าวของที่อาจจะหนักเกินไปสำหรับการเคลื่อนตัว
“นั่นใช่คุณราตรีหรือเปล่า?” จินณวัตรได้ยินเสียงหญิงสาวที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมกล่าว “คราวนี้หล่อนก็มาหรือ ทักทายกันแล้วรึยัง”
เจ้าของร่างเพรียวที่หันมองภาพหญิงสาวผู้นั้นสนทนากับเพื่อนร่วมงานของตนด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรเบือนศีรษะกลับมายังข้าวของเบื้องหน้า “ยังหรอก”
อันที่จริงจินณวัตรพบว่าหล่อนมาเป็นครูอาสาที่นี่ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งจะเริ่มวางเต็นท์ตรวจสุขภาพในยามเช้าตรู่แล้ว หม่อมเจ้าหญิงมณินทรในชุดกระโปรงลายดอกไม้กอดหนังสือสองสามเล่มสำหรับเตรียมการสอนเดินไปรวมกลุ่มกับครูคนอื่นเพื่อประชุมที่อาคารเรียน และเธอเผอิญสบเข้ากับดวงตาเซื่องภายใต้กรอบแว่นใส่คู่นั้นโดยไม่ทันตั้งตัว
อดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ที่โชคชะตาลิขิตให้เธอพบกับหล่อนอยู่บ่อยครั้งในการตรวจนอกสถานที่ จินณวัตรจึงผงกศีรษะทักทายท่านหญิงไปเมื่อยังไม่มีใครถอนดวงตากลับ แต่หล่อนนั้นกลับเบือนหน้าหนีกันประหนึ่งว่าไม่รู้จักกันมาก่อนอย่างที่เธอไม่ได้คาดคิดเอาไว้แทน
สาเหตุที่จะทำให้คนที่อยากรู้กำหนดการตรวจนอกสถานที่ของเธอคราวนั้นเป็นเช่นนี้ คงเพราะพฤติกรรมที่ไม่ดีที่เธอตั้งใจทำต่อหน้าหล่อนกระมัง
…แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เธอควรจะรู้สึกพอใจกับมันไม่ใช่หรือไง?
ภายในเพิงไม้ขนาดกลางที่ตั้งตัวห่างออกมาจากอาคารเรียน มีหญิงกลางคนประมาณสองสามคนที่สาละวนกับหน้าที่ของตนเองท่ามกลางกลุ่มควันไฟจางๆ และกลิ่นหอมของเครื่องเทศในอาหาร หม่อมเจ้าหญิงมณินทรที่เข้ามาอาสาช่วยพร้อมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งนั้นละสายตาจากขิงที่ถูกหั่นอยู่ตรงหน้าเมื่อได้ยินว่ามื้อเที่ยงสำหรับบรรดาแขกของโรงเรียนยังไม่ครบถ้วนดี
“ขาดอะไรคะ ให้ฉันช่วยมั้ย”
หญิงกลางคนที่กำลังสาละวนกับการปรุงแกงในหม้อที่ส่งกลิ่นหอมและควันนั้นหันมาเอ่ยกับเธอด้วยความเกรงใจ “ป้าว่าจะหุงข้าวเพิ่มอีกหม้อน่ะค่ะครู แต่เดี๋ยวป้าเรียกตาชุมมาช่วยก่อไฟก็ได้”
หญิงสาวหันมองไปยังมุมหนึ่งภายใต้เพิงที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย จึงเห็นเตาวงที่ถูกก่ออยู่ข้างกองฟืนที่ถูกมัดเก็บไว้เป็นระเบียบและหม้อใบเก่าสองสามอันเท่านั้น
ถึงที่นี่จะเป็นโรงเรียนที่ไม่ใหญ่มากแต่ก็มีบุคคลากรไม่เพียงพอสำหรับการจัดการทุกหน้าที่ได้หมดเช่นตัวเมือง จะให้เธอไปเรียกชายชราที่เรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยจะมีให้กลับมาจากการไปทำความสะอาดทางเดินก็กระไร มณินทรจึงก้าวไปหยุดเดินอยู่ที่บรรดากองฟืนและเตาวงนั้น จดๆ จ้องๆ มองมันว่าควรจะทำเช่นไรต่อไปดี
เธอเคยไปช่วยเป็นครูอาสาอยู่หลายที่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้บ่อยนักเพราะข้อจำกัดของนางสริที่ให้ไว้กับเธอ เคยลงมือทำความสะอาดและลงครัวไฟเองแต่ก็ซุ่มซ่ามจนได้ความอับอายกลับมาเป็นประจำ และดูเหมือนการก่อไฟครั้งนี้ ก็อาจจะเป็นเรื่องน่าอับอายเรื่องใหม่สำหรับเธอด้วยในไม่ช้า
..เอาล่ะ..ลองดูสักครั้งก็ได้...
“จะทำอะไรหรือคะ”
เสียงหนึ่งที่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่ปรากฎเสียงฝีเท้าก่อนหน้านี้ทำให้หม่อมเจ้าหญิงมณินทรที่ย่อตัวเลือกหยิบฟืนออกมานั้นตกใจ ครั้นพอเธอหันไปก็พบกับสีหน้าที่ตกใจเหมือนกันของคุณหญิงจินณวัตรที่ยืนอยู่เบื้องหลังของเธอ
“เอ่อ ขอโทษที่มาไม่ได้ให้สุ่มให้เสียงค่ะ”
แม้ยามแรกเห็นเธอจะรู้สึกประหลาดใจว่าคนอย่างหล่อนทำสีหน้าเช่นนั้นก็เป็น แต่ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ได้รับมาก่อนหน้านี้เพราะความห่างเหินของหญิงสาวก็ทำให้มณินทรจงใจเมินเฉยหล่อนไปแล้วหันมาสนใจบรรดากองฟืนดังเดิม
ครานี้เองร่างเพรียวบางที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงพอจะแน่ใจความเป็นไปได้ในหัวของตนเองอีกสามส่วน หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงย่อตัวลงข้างคนที่พยายามหยิบจับไม้ฟืนที่ดูจะชื้นกว่าปกติเพราะเมื่อคืนนี้มีฝนตกลงมา “จะก่อไฟใช่ไหม ให้ฉันช่วยนะ”
“คราวนี้รู้จักกันแล้วหรอกหรือคะ”
ฟังคำถามที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อยนั่นก็ทำให้คนที่กำลังรอคำอนุญาตอยู่ถึงกับชะงักก่อนจะคลายยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ ดูท่าทางอีกฝ่ายคงอยากจะตั้งใจเมินเธอไปให้มากกว่านี้แต่ก็ทำไม่ได้ดังใจนึกเอาไว้ก่อนหน้าเพียงเพราะไม่อยากเสียมารยาทแท้ๆ
มณินทรเหลือบหางตาเห็นรอยยิ้มน้อยๆ จากใบหน้าของอีกฝ่ายก็ให้รู้สึกสงสัยนัก เป็นหล่อนเองไม่ใช่หรือที่อยากจะวางสถานะ ‘ท่านหญิง’ ของเธอไว้ให้ตอนที่พบหน้ากันที่โรงพยาบาล หมางเมินกันเสียขนาดนั้นแล้วเหตุใดจึงเข้ามาพูดคุยกันราวกับไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบรรดาศักดิ์ที่อยู่ตรงหน้าชื่อของเธอนั้นคืออะไร
ระหว่างที่คิดอยู่อย่างนั้นมือที่กำลังคว้าจับไม้ฟืนที่ชื้นไปเสียแล้วเกือบครึ่งก็จำต้องหยุด เมื่อคุณหญิงจินณวัตรที่เธอไม่เข้าใจการกระทำของหล่อนเสียเลยได้เข้ามายึดท่อนฟืนที่เธอจับเอาไว้แทน
“ถ้าไม่ใส่ถุงมือ จะได้แผลจากเสี้ยนไม้เข้านะ”
“ถึงฉันจะซุ่มซ่าม แต่ก็รู้หรอกค่ะว่าควรระวังอะไร” ฟังคนที่พยักพเยิดไปยังถุงมือเก่าที่ถูกวางทิ้งเอาไว้อีกด้าน มณินทรก็จำต้องปล่อยมือและหันมาหาหญิงสาวด้วยความรู้สึกขัดใจ “คุณหญิงเถอะเป็นหมอ ไม่ใช่ว่าควรจะต้องรักษาความสะอาดมากๆ เสียจนไม่ควรต้องมาที่ครัวร้อนๆ แบบนี้หรือคะ”
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันรู้วิธีก่อไฟด้วยฟืนชื้นๆ พวกนี้ ไม่คิดว่าตัวฉันจะทำให้มันเสร็จเร็วกว่าคนที่หั่นขิงข่ายังไม่คล่องบ้างหรือ”
“…”
สาบานเลยว่ามณินทรอยากจะเถียง...แต่พอมองเห็นแววตาที่ดูจะพออกพอใจกับการกล่าววาจาเช่นนั้น หญิงสาวก็เลยลุกขึ้นยืนและเอ่ยปากให้เจ้าตัวทำอย่างที่ต้องการแทน
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญคุณหมอเถอะค่ะ”
แม้ภายในจะยังคงรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อยที่ถูกกระทำใส่อย่างเดาทางไม่ถูก คุณหญิงจินณวัตรไม่ได้ทำท่าทีเย็นชาอย่างที่เคยพบกันครั้งล่าสุด แต่มณินทรกลับรู้สึกถึงความโล่งใจอย่างประหลาดที่เห็นหล่อนยังพูดคุยด้วยกันดังเดิมโดยที่ไม่มีชนชั้นเข้ามาข้องเกี่ยวเหมือนที่โรงพยาบาล
อย่างน้อยความกังวลที่ติดอยู่ในใจมานาน ก็ดูเหมือนจะคลายลงไปหลายส่วนทีเดียว
ไม้ฟืนที่อัดแน่นอยู่ภายในเตาวงค่อยๆ ติดประกายขึ้นดังที่มีคนคุยเอาไว้ก่อนหน้า หม่อมราชวงศ์จินณวัตรที่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์คอยพัดให้ควันไฟนั้นประทุคลายยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าตนใช้เวลาในการจุดไฟได้เร็วกว่าที่คิด ครั้นพอหันไปเห็นหญิงสาวที่เดินกลับมาจากการซาวข้าวให้สะอาดที่บริเวณตึกเรียน เธอก็หันไปกล่าวด้วยเสียหนึ่งครา
“ฉันนึกว่าคุณจะไม่กลับมาดูผลงานของหมออย่างฉันแล้ว”
“สรุปว่าเราแข่งกันหรืออย่างไร”
มองเห็นรอยยิ้มและดวงตาที่แสดงความซุกซนประหนึ่งเด็กโอ้อวดที่กระทำเหนือความคาดหมายของตัวเองได้มณินทรก็รู้สึกขบขัน หญิงสาวที่แต่งกายด้วยความคล่องแคล่วแต่ก็สะอาดเรียบร้อยบัดนี้กำลังสวมถุุงมือเก่าที่เปื้อนเขม่าควัน ส่วนใบหน้าสวยนั้นคงเพราะอยู่หน้าเตาเป็นเวลาครู่หนึ่งจึงมองเห็นหยาดเหงื่อและคราบดำจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของหล่อนนั่นเอง
“แผลคงหายดีแล้วใช่ไหม” จินณวัตรเอ่ยปากขึ้นเมื่อเห็นว่าข้อมือเรียวของหญิงสาวที่นั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่นั้นไม่ได้ถูกพันไว้ด้วยผ้าสีขาวอย่างเคย แม้จะปรากฏร่องรอยของแผลเป็นที่อาจจะใช้เวลานานกว่าให้เห็นอยู่ก็ตาม
“ไม่แสบไม่ร้อน แต่ก็อย่างที่เห็น” หล่อนยิ้มให้เธอน้อยๆ เมื่อพูดถึงบาดแผลเหล่านั้น “ฉันชินเสียแล้วกับการที่มีร่องรอยพวกนี้ตามตัว”
หากเป็นเด็กเล็กที่กล่าวเช่นนั้นจินณวัตรคงไม่รู้สึกผิดแบบที่นึกคิดอยู่ เธอย้อนนึกถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเธอกับหม่อมเจ้าหญิงมณินทรผู้นี้ที่ยามนั้นพยายามจะช่วยเหลือลูกแมวที่ติดอยู่บนต้นไม้ตามคำเรียกร้องของบรรดาเด็กๆ พวกเขาลองปีนป่ายตามประสาเพื่ออยากจะช่วยเหลือมันจนได้ร่องรอยกันมาคนละรอยสองรอย จนเธอที่ไปออกตรวจนอกสถานที่จำต้องจับมานั่งทำแผลให้ทีละคนรวมถึงท่านหญิงผู้นี้เช่นกัน
‘อาจจะเสียมารยาทสักหน่อย’ ตัวเธอในคราวนั้นเอ่ย ‘ไม่อยากทำแผลที่ศอกใหม่หรือคะ’
หญิงสาวจำสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่ายยามนั้นได้เป็นอย่างดีเมื่อเธอกล่าวถึงศอกด้านขวาที่ปิดผ้าพันแผลเอาไว้ไม่ค่อยดีนัก ยามที่ยังไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรของหล่อนเธอก็แค่ถามไปตามประสาคนที่ได้ร่ำเรียนมาเบื้องต้น บวกกับพบว่าหล่อนเป็นหญิงสาวหน้าตาดีที่ดูมีจริตของผู้ดีอยู่บ้างจึงอยากทำความรู้จัก ไหนจะดวงตาเซื่องคู่นั้นที่ดูเศร้ายามเมื่อเอ่ยถึงต้นเหตุของมันที่ทำให้เธอรู้สึกติดใจขึ้นมาเหลือเกิน
‘อุบัติเหตุจากที่บ้านน่ะค่ะ’
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรดูสีหน้าของหล่อนออกได้ในทันทีที่ว่าคำกล่าวนั้นเป็นเรื่องโกหก บาดแผลที่ข้อศอกนั้นดูด้วยตาก็รู้ว่าเหมือนถูกของมีคมกระแทกเข้าจนเป็นรอยบาดอยู่หลายจุด แต่จะให้เอ่ยถามถึงเรื่องราวที่แท้จริงออกไปตรงๆ ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสมมากนัก ครั้นพอพบเจอกับหล่อนเข้าหลายครั้ง ถึงได้รู้ว่ามันเกินกว่าคำที่หล่อนเคยกล่าวเอาไว้ไปเสียมาก
‘คุณหญิงช่วยเก็บเป็นความลับได้ไหม’ หล่อนกล่าวอย่างนั้นทั้งน้ำตาในตอนที่เธอคาดคั้นว่าเหตุใดจึงมีรอยช้ำมากมายบนแขนของเจ้าตัว ‘สัญญากับฉันว่าคุณจะไม่บอกใครทั้งนั้น ได้มั้ย’
ผู้หญิงที่ร้องไห้ถึงขนาดนั้นบอกว่าชินชาเสียแล้ว จะไม่ให้รู้สึกน่าหงุดหงิดใจเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะเอาแต่คิดดังนั้นจึงไม่ทันรู้ตัวว่าหัวคิ้วทั้งสองข้างได้กดเข้าหากันด้วยความขุ่นมัว เธอเห็นหล่อนใช้มือปิดบังรอยแผลเป็นที่เกิดอยู่บริเวณนั้นแล้วจึงลุกขึ้นยืนถือหม้อหุงข้าวที่นำติดมือมาก่อนหน้านี้วางลงตรงหน้าของเธอ
“คุณหญิงไปทำอย่างอื่นเถอะ อีกไม่นานก็จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยงแล้ว”
“ให้ฉันได้ช่วยสักหน่อยเถอะค่ะ” จินณวัตรพูด “ฉันจะอยู่ตรงนี้คอยดูไม่ให้ไฟมันมอดเอง ไม่ต้องห่วงหรอก”
มองใบหน้าที่ดูจะเคร่งขรึมขึ้นมาชั่วขณะมณินทรก็คล้ายกับจะเข้าใจความคิดของหล่อน แต่ในระหว่างที่กำลังจะก้าวเท้าเดินกลับไปยังจุดเดิม หญิงสาวก็ค่อยหยิบบางสิ่งที่ถูกเก็บไว้ในช่องของชุดกระโปรงออกมา
“?”
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรรู้สึกถึงเส้นผมเลยบ่าทางด้านหลังของตนเองถูกจับรวบเอาไว้อย่างเบามือ ขณะที่กำลังจะหันตัวกลับไปมองก็จำต้องหยุดชะงักเมื่อร่างของท่านหญิงมณินทรย่อตัวลงอยู่ข้างกันในระยะที่น้อยลงกว่าเดิม ใบหน้าสวยนั้นจับจ้องมองไปที่สองมือซึ่งกำลังคอยเก็บเส้นผมเธอให้เป็นกลุ่มเดียวกัน และใช้เวลาไม่นานก่อนที่หล่อนจะเผยสีหน้าพออกพอใจในฝีมือของตน
“ถ้าอย่างนั้นฝากข้าวหม้อนี้กับที่รัดผมของฉันด้วยนะ”
“…”
“อ๋อ อีกอย่าง...”
หม่อมเจ้าหญิงมณินทรกล่าวดังนั้นก่อนจะยื่นหลังปลายนิ้วออกมาใกล้กันจนหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าเตาไม่ทันถอยใบหน้าหนี ไม่รู้เหตุใดจินณวัตรจึงรู้สึกว่าเรียวนิ้วนั้นบรรจงขยับอย่างเชื่องช้าไล่ตั้งแต่ผิวแก้มใต้ดวงตาก่อนจะสลับมาบนปลายจมูก ไม่รู้ว่าเหตุใดความร้อนที่ควรจะเกิดเพราะนั่งอยู่หน้ากองไฟถึงได้มารวมตัวอยู่ตามทางที่ปลายนิ้วของหล่อนได้เคลื่อนไหวไป..
...และเพราะเหตุใดเธอถึงได้รู้สึกหวั่นไหวไปกับกลิ่นดอกไม้หอมจางๆ จากตัวของหญิงสาวสูงศักดิ์ผู้นี้กัน
“อย่าลืมล้างมือล้างหน้าเสียก่อนนะคะ ไม่อย่างนั้นพวกเด็กๆ จะหัวเราะเอาได้”
มองรอยยิ้มและดวงตาที่ฉายแววจริงใจจากคนตรงหน้าหญิงสาวก็พึงรู้สึก ท่านหญิงเดินจากไปจากที่เดิมแล้วทว่าจินณวัตรกลับเพิ่งจะระลึกขึ้นได้ว่าเธอหลงลืมสิ่งใดไป ก็เมื่อกลิ่นดอกไม้นั้นทิ้งความร้อนผ่าวตั้งแต่ใบหน้าจรดหลังต้นคอไว้ให้กับเธอ
เธอหลงลืมไปชั่วขณะว่าก่อนหน้านี้ตนเองรู้สึกอย่างไรกับท่านหญิงมณินทร หลงลืมไปเสียแล้วว่าที่พยายามจะเว้นระยะห่างก็เพื่อที่จะได้รู้ว่าตนเองสมควรอยู่ในสถานะใด แต่กลับพังทลายลงแค่เพียงเพราะเธอไม่อยากเห็นหญิงสาวผู้นี้มีท่าทีดั่งเช่นก่อนหน้าเท่านั้นเอง...
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ทำได้เพียงแค่ถอนลมหายใจยาว และโบกพัดหนังสือพิมพ์ในมือหวังให้มันปัดเป่าความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งในใจให้สลายกลายเป็นเถ้าไปอย่างที่ควรจะเป็น
ในชั่วขณะนี้เอง...จินณวัตรก็ประจักษ์แล้วว่ามันช่างล้มเหลวไม่เป็นท่า
Talk : ขออนุญาตปรับเปลี่ยนการงานอาชีพของคุณหญิงใหญ่สักหน่อยนะคะ
ถ้ายังเป็นอันเดิมมันชวนให้เขียนต่อไม่ได้จริงๆ *ยิ้มเจื่อน*
แล้วก็ขอสารภาพบาปตรงนี้เลยว่าใช้เวลาเขียนคู่จองโมะพาร์ทหนึ่งนานมาก
ยอมรับว่ายากนิดนึงเพราะไม่รู้จะออกมาในอารมณ์แบบไหนดี จะอบอุ่นหัวใจหรือเปล่า
เพราะงั้นจึงใช้เวลาในการบิ้วค่อนข้างนานกว่าใคร ขอฝากพี่หญิงใหญ่วังดอกไม้
กับท่านหญิงราตรีด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามจนมาถึงคู่นี้เลยด้วย *พไหว้*
P.s เด็กดีปรับใหม่อีกแล้วค่ะ ถ้าผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ!!
TBC.
_____________________________________________________________________________________
#หม่อมราชวงศ์จินณวัตร #ฟิคแก้วตาสุมาลี
ความคิดเห็น