ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TWICE | OS/SF : #Xslibrary

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF] : A fallen Faith | Tzuyu x Jihyo vol.2 (Rewrite)

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 61









    ท่ามกลางเสียงของคลื่นน้ำที่ไหลลงจากหินตบแต่งสู่บึงขนาดกลางที่ตั้งอยู่ภายในตำหนักของชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับผู้เป็นบิดาของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากรุก แต่จะแตกต่างกันก็ตรงที่ใบหน้าที่อ่อนวัยและเคร่งขรึมน้อยกว่าภายใต้เครายาว และฉลองพระองค์สีขาวทั้งตัวที่ดูคล้ายกับนักพรตทั้งความสามารถทางสติปัญญาที่ไม่ด้อยไปกว่าผู้เป็นหลานของตัวเองเลย



    “มีบางสิ่งรบกวนจิตใจของเจ้าอยู่หรือ” พีฟางเอ่ยปากพูดขึ้นมาในที่สุดเมื่อเก็บความสงสัยของตัวเองเอาไว้ได้ประมาณครึ่งก้านธูป เขาลอบสังเกตสีหน้าของร่างโปร่งภายใต้อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มของรัชทายาทหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นหลานของเขามาตลอดการเดินหมากตรงหน้า ซึ่งเมื่อถามออกไปแบบนั้น เจ้าตัวก็แสดงท่าทีออกมาด้วยการหลุบสายตาของตนลงต่ำราวกับเป็นการยอมแพ้



    “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกขอรับท่านอา” 


    “องค์ชายใหญ่ผู้ปราดเปรื่องด้านสติปัญญาล้ำเลิศอย่างเจ้า มีเรื่องที่คิดไม่ตกอยู่ด้วยอย่างนั้นรึ”


    กล่าวเสียงหยอกเย้าออกไปเพื่อหวังให้สีหน้าของอีกฝ่ายดีขึ้น แต่เมื่อเห็นความจริงจังที่ซ่อนอยู่ในนั้นชายกลางคนจึงได้ผลิรอยยิ้มออกมาราวกับเข้าอกเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายเป็นอย่างดี 


    “ถึงการรบเจ้าจะเป็นรอง แต่อาก็รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอ่อนด้อยที่สุดหรอก”  


    โจว จื่ออวี่ส่งเสียงหัวเราะผ่านลำคออย่างแผ่วเบาเมื่อเข้าใจประโยคที่คนตรงหน้าของเขาต้องการจะสื่อ “ท่านอาคงพบเจอแต่สตรีที่พูดเรื่องของตัวเองไม่หยุดหย่อนจึงได้กล่าวเช่นนั้นกระมัง” 


    เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปิดบังสิ่งที่เขารู้สึกอยู่กับท่านอาผู้เปรียบเสมือนบิดาคนที่สองของเขา เรื่องราวที่เขามักขบคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของหญิงสาวที่เขาได้พาตัวกลับมาอาศัยอยู่ที่ตำหนักบัวอันเป็นสถานที่ที่โปรดปรานของมารดาของเขาที่ได้ล่วงลับไปนานแล้วจึงเป็นที่รับรู้กันระหว่างตัวเขาและผู้เป็นอาเอง


    “ถึงแม้เจ้าจะเป็นรัชทายาท หรือแม้แต่บิดาของเจ้าจะเป็นโจวกงหวางแห่งซีโจวที่มีราชโองการให้ประหารได้ นางก็คงไม่แม้แต่จะเกรงกลัวเป็นแน่” 


    ชายกลางคนในสายตาของบิดาเขานั้นเป็นบุรุษเจ้าสำราญ ออกท่องราตรีและประชันกาพย์กลอนกับชาวบ้านในโรงน้ำชาประจำที่เขามักจะเดินทางออกไปพร้อมกับองค์รักษ์เพียงหนึ่งคน แต่สำหรับโจว จื่ออวี่ เขากลับนึกอิจฉาผู้เป็นอาของตัวเองที่สามารถมีชีวิตได้อย่างที่ใจต้องการ ไม่ต้องแบกรับในสิ่งที่ผู้เป็นบิดากำลังค่อยๆทะยอยผลักไสมาให้กับเขา เพราะหากเมื่อใดเวลาของเขาที่จะได้ขึ้นครองราชย์อยู่บนบัลลังก์นั้นมาถึง ก็ไม่มีทางรับรู้ได้ว่าเขาจะต้องเสียสละ และแลกเปลี่ยนกับอะไรที่มีผลต่อชีวิตของเขาอีกมากมายในวันนั้นบ้าง 


    พีฟางเอ่ยต่อยิ้มๆ “ที่นางไม่ยอมพูด เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นมาตั้งแต่ต้นกำเนิด แต่ถ้าหากนางไม่แม้แต่จะเปิดเสียงเพราะตัวของนางเอง องค์ไท่จื่อเอย ท่านกำลังพบกับปัญหาที่ใช้สติปัญญาอันเลื่องลือของท่านเพื่อแก้ไขมันไม่ได้เสียแล้วล่ะ” 







    “กู่เหนียง ไท่จื่อเสด็จมาเพคะ” 



    เสียงที่ร้องบอกของนางกำนัลที่เฝ้าหน้าประตูตำหนักเอาไว้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวผละดวงตากลมโตออกจากเชือกถักที่อยู่ตรงหน้าของตนเลยสักนิดแม้ประตูจะถูกเปิดออก จนกระทั่งนางกำนัลที่นางไม่เคยได้พบเห็นหน้าเดินเข้ามาวางถาดสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยจานซึ่งมีขนมรูปร่างกลมแบนและเป็นสีทองจำนวนสามก้อนด้วยกัน เรียวคิ้วสวยบนใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบจึงได้เลิกขึ้นอย่างนึกฉงนสงสัยในสิ่งที่ผู้มาเยือนได้นำมันเข้ามาด้วย



    “สี่ห้าวันมานี้ได้ยินว่าเจ้าไม่เจริญอาหาร ข้าจึงได้ทำมาให้เจ้าทาน”  ร่างสูงโปร่งกล่าวขณะที่เดินไขว่มือเอาไว้ด้านหลังเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ทรงกลมเยื้องไปจากนาง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งของตนแล้วผายไปยังถ้วยจานด้านหน้าราวกับกำลังอธิบาย “นี่เรียกว่าเซาปิ่ง(1) อันหนึ่งเป็นไส้ถั่วกวน ตรงนี้ถั่วเหลือง และอันสุดท้ายคือไส้เผือก"



    ดวงตากลมของหญิงสาวเคลื่อนขึ้นมามองคนที่กล่าวจบแล้วด้วยความรู้สึกที่แสดงถึงความประหลาดใจระคนสงสัย นางไม่เคยมีความคิดอยู่ในหัวเลยสักนิดว่าองค์รัชทายาทผู้มีงานการล้นมือจะสามารถทำขนมและลงครัวไปด้วยตัวเอง แต่เพราะการจ้องมองนั้นกลับทำให้อีกคนต้องกล่าวแก้ตัวออกมาเพราะกลัวว่านางกำลังจะเข้าใจอะไรผิดอยู่ไป 



    “ข้าไม่ได้ใส่อะไรลงไปหรอก ไม่เชื่อก็ค่อยไปลองถามหยวนจิงดูได้” เขาโบ้ยไปยังขันทีรับใช้ที่ไม่เคยพอใจในการประพฤติตัวของนางเลยสักครั้งที่ยืนอยู่ข้างนอก จีเซี่ยวถอนสายตากลับมาจากอีกคนแล้วไม่ใส่ใจท่าทางของเขาที่มองมาอยู่อีก นับตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายหอบโต๊ะหนังสือและหมอนผ้าคลุมมาที่นี่เขาก็ไปๆมาๆระหว่างตำหนักบัวแห่งนี้และตำหนักบรรทมภายในเขตวังหยกหอมของตัวเองอยู่อีกหลายวัน ซึ่งส่วนมากแล้วเวลาเช้าโจว จื่ออวี่จะไม่ห่างไปไหนไกลจากตำหนักบัวแห่งนี้เสียเท่าไหร่นัก จะเว้นก็แต่ว่าเมื่อฟ้ามืดลงแล้วเขาจะต้องตัดใจในการนอนบนเตียงเดียวกันกับนางเป็นคราวที่สองด้วยการกลับไปยังวังของตัวเองเสียมากกว่า และนั่นก็นับเป็นเรื่องดีสำหรับความปลอดภัยของนางอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว 



    หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาแล้วกัดเข้าไปหนึ่งคำก่อนจะเคี้ยวเงียบๆ ระลอกคลื่นที่ดูไม่คาดคิดฉายผ่านบนดวงตาคู่สวยของกวางน้อยคู่นั้นก็ทำให้คนที่ยอมลดสถานะของตัวเองลงไปยังโรงครัวรู้สึกคุ้มค่ากับการที่ถูกขันทีคนสนิทอย่างหยวนจิงบ่นตลอดการทำขนมชนิดนี้ขึ้นมาบ้าง



    หลังจากปล่อยให้ร่างบอบบางนั้นนั่งทานของว่างและซุกซ่อนรอยยิ้มพึงพอใจไว้บนใบหน้า โจว จื่ออวี่จึงได้ใช้เวลาราวๆหนึ่งชั่วยามในการจัดการกับหนังสือราชกิจที่ได้รับมาในมุมมุมเดิม เมื่อไม้ไผ่มวนสุดท้ายถูกม้วนขึ้นเพื่อจัดเก็บไปวางไว้ซ้อนกันกับมวนอื่นๆ ดวงตาคู่คมของร่างสูงโปร่งที่ค่อนข้างเมื่อยล้าจึงได้เคลื่อนไปมองหญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดิมเช่นเดียวกันโดยไม่ส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่พยางค์เดียวเช่นเคย 



    เรี่ยวแรงที่ดูจะถดถอยไปเพิ่มขึ้นมาในทันทีที่เห็นร่างบางตั้งอกตั้งใจทำเชือกถักที่อยู่ตรงหน้า หลายวันมานี้ดูเหมือนว่านางจะหาอะไรอย่างอื่นนอกเหนือจากการนั่งนิ่งๆอยู่บนโต๊ะดื่มชาและบรรเลงพิณประจำตัวได้ถึงแม้ว่าความเมินเฉยของนางจะไม่ลดลงไปในระดับที่พอจะสบายอกสบายใจจนเขาต้องคิดหนักอยู่หลายคืนเลยก็ตาม จื่ออวี่ลุกขึ้นจากพื้นที่ทำงานของตัวเองก่อนจะตรงไปหยุดอยู่เคียงข้างของหญิงสาวอย่างเชื่องช้า เขาจ้องมองสีหน้าที่ดูตั้งอกตั้งใจของคนที่ทำเป็นไม่เห็นว่ามีใครได้เคลื่อนตัวเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเคลื่อนมันไปมองสิ่งของที่อีกฝ่ายกำลังให้ความสนใจอยู่บนตะกร้าอย่างอ่อนโยน



    “หากข้าต้องการชิ้นนี้ กู่เหนียงจะว่ากระไรไหม”  



    จีเซี่ยวไม่ได้หันมองคนที่กล่าวสรรพนามนั้นออกมาเต็มๆตา นางเพียงแค่ผินหน้าเพียงเล็กน้อยเพื่อพยักเพยิดอย่างไม่ใส่ใจให้อีกฝ่ายที่กำลังหยิบเชือกถักจากไหมสีน้ำตาลไปใส่ไว้บนข้อมือด้านขวาของตัวเองในขณะที่มือทั้งสองข้างของนางยังคงถักเชือกเส้นอื่นๆต่อไป แต่ทว่าหางตาที่เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างบนฝ่ามือเรียวของเขาก็ทำให้ร่างกายที่แน่นิ่งอยู่ก่อนหน้าของตนเองต้องขยับเข้าไปจับมันเอาไว้จนคนถูกกระทำไม่ทันได้รับมือ 



    ใบหน้าของร่างสูงโปร่งผู้เป็นโอรสสวรรค์ถึงกับนิ่งและแสดงความรู้สึกประหลาดใจออกมาเมื่อถูกสัมผัสมือโดยที่ไม่มีใครเปล่งคำอนุญาต จื่ออวี่เห็นสีหน้าที่ดูจะแสดงอาการตกใจมากที่สุดแล้วตั้งแต่ที่ได้พบหน้ากันแม้จะเป็นเพียงแค่ดวงตากลมโตเท่านั้นที่เบิกขึ้นมากกว่าเดิม และก็พอจะเข้าใจถึงต้นเหตุได้ว่าเป็นเพราะเจ้าตัวคงจะมองเห็นร่องรอยที่เพิ่งจะปรากฏชัดขึ้นมาจากการที่เขาเป็นคนไปยืนอยู่ที่หน้ากะทะใบใหญ่และน้ำมันเดือดๆด้วยตัวคนเดียวเพื่อทำขนมให้อีกฝ่ายได้ทานนั่นเอง



    “แผลเป็นนิดหน่อย แต่เจ็บน้อยกว่าตอนฝึกดาบมากนัก” 



    รอยยิ้มที่ปรากฏออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าร่างบางตรงหน้ากำลังแสดงอาการเป็นห่วงได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อนางปล่อยมือของเขาออกโดยการใช้เรี่ยวแรงเล็กๆผลักไสมัน เนินแก้มที่ขึ้นสีและสีหน้าราวกับว่าได้พลาดพลั้งแสดงอารมณ์ที่อยู่ภายในออกไปทำให้ร่างสูงโปร่งอดไม่ได้ที่จะเกิดแรงสะท้านกับสิ่งที่นิ่งสงบอยู่ภายในของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนขึ้นมาได้  


    “จีเอ่อร์”    

    “…”

    “ข้าทำให้เจ้ารู้สึกไม่ปลอดภัยหรือเปล่า”




    วางมือที่เพิ่งถูกผลักไสออกมาขณะที่โน้มกายลงไปหาเป็นการสร้างปราการชั้นเริ่มให้ดึงความสนใจของอีกฝ่าย เคลื่อนฝ่าเท้าเพื่อลดระยะห่างที่มีทีละน้อยก่อนจะกล่าวประโยคที่ออกมาจากภายในความคิดของตนด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดูอ่อนล้าอยู่ในที 



    ตลอดเวลาระยะที่เขาอยู่รอบๆตัวนางหรือแม้แต่ทำอะไรให้..ไม่เคยมีสักครั้งที่นางจะยอมเปิดใจหรือรับรู้ความตั้งใจของเขาเลยหรือ?


     
    จีเซี่ยวยังคงมองดวงตาคู่คมที่ฉายแววอ้อนวอนโดยที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือจากนั้น เห็นดังนั้นแล้วคนที่ได้แต่เฝ้าถามคำถามนั้นกับตัวเองมานานวันจึงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงเพราะไม่อาจเข้าใจได้ว่าคำตอบของนางเป็นเช่นไร จื่ออวี่ใช้มืออีกข้างที่ว่างเปล่าเคลื่อนเข้าไปโอบรอบเอวบางภายใต้อาภรณ์สีเรียบและออกแรงให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาหาด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นจนหญิงสาวสะดุ้งตกใจ โจว จื่ออวี่ไม่เคยทำเช่นนี้กับสตรีคนใด แต่ในเวลานี้ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจระคนเจ็บปวดที่กำลังบังตากลับทำให้เขาหลงลืมไปว่าตัวเองนั้นกำลังสูญเสียความเป็นตัวเองที่เป็นมาตลอดเวลาลง..



    “ข้าในตอนนี้ ดูเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเจ้าอย่างนั้นหรือ” 



    หญิงสาวมองท่าทางที่แปลกไปของอีกฝ่ายราวกับว่าความรู้สึกที่ก่อตัวอยู่ภายในนั้นสรรสร้างขึ้นเป็นรูปร่างทั้งบิดเบี้ยวจนปั่นป่วนไปทั่วกาย ดวงตากลมที่ทอประกายอยู่ตลอดเวลาฉายแววสับสนและหวาดกลัวระคนงุนงงในการกระทำที่เขาไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้ก่อนเลยสักครั้งเดียว 



    ‘หากเจ้าไม่อาจทำให้หัวใจของนางส่งเสียงได้..ก็คิดเสียว่าพวกเจ้ามีบุญได้พบพาน แต่กลับไร้วาสนาต่อกันเถิด'



    คำพูดของชายกลางคนที่เขาเคารพรองลงมาจากผู้เป็นบิดาดังขึ้นภายในความคิด ทำให้เปลือกตาของร่างสูงโปร่งผู้มีศักดิ์เป็นองค์รัชทายาทต้องปิดลงราวกับเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปเสียเอง จื่ออวี่ถอนฝ่ามือที่รั้งเอวบางของหญิงสาวตรงหน้าออกพร้อมกับถอยกายให้ออกห่าง ก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆและหันทิศทางการเดินไปยังประตูของตำหนักแทน



    “ข้าขอโทษ” เขากล่าวขึ้นมาเช่นนั้น  “ถ้าข้าไม่สามารถทำให้เจ้ารู้สึกปลอดภัยและไว้ใจได้ ข้าก็จะยอมรับมันให้ได้ก็แล้วกัน” 


    เงาของโอรสสวรรค์ผู้สูงศักดิ์พาดผ่านออกจากตำหนักบัวไปโดยไร้สุ่มเสียง ไม่แม้แต่จะปรายตามอง..ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองว่าประโยคที่แผ่วเบาของเขานั้นสร้างความรู้สึกหนักหน่วงเอาไว้ในใจของผู้ฟังมากเพียงใดเลยสักนิดเดียว








    ร่างภายใต้เสื้อคลุมยาวและหมวกสีแดงทรงพัดก้าวฉับๆตามจังหวะก้าวเดินของชายร่างสูงโปร่งใต้อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มออกมาจากห้องหนังสือ ขันทีหยวนหอบเอาอากาศหายใจเข้าปอดเป็นระยะราวกับเร่งรีบหลังจากที่เขาได้เข้าไปถวายคำรับสั่งของฮัวกุ้ยเฟยให้แก่องค์ไท่จื่อของเขา รัชทายาทแห่งแคว้นซีโจวผู้เอาแต่กักขังตัวเองอยู่ภายในนั้นสลับกับสนามซ้อมรบมาหลายวันคืนไม่ได้แสดงท่าทีโมโหหรือประหลาดใจกับรับสั่งนั้น แต่การที่เขาเพียงแค่ก้าวเท้ายาวๆตรงไปยังตำหนักของฮัวกุ้ยเฟยโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเลยสักคำกลับทำให้จิตใจของขันทีเยี่ยงเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่นกับปฏิกิริยาเช่นนี้



    เพราะสำหรับขันทีที่ได้มองดูการเติบโตของพระองค์มาเนิ่นนานเช่นเขา ก็ทำให้รับรู้ถึงความแปรปรวนของลมฟ้าอากาศขึ้นมาได้ตั้งแต่เริ่มเสียแล้ว



    ประตูไม้กระดาษหน้าตำหนักของฮัวกุ้ยเฟยถูกเปิดออกด้วยมือของนางกำนัล ภายในตำหนักนั้นมีร่างของฮัวกุ้ยเฟย ขันทีจำนวนสองคน และร่างของหญิงสาวใต้ชุดสีดอกบ๊วยที่เคลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่เขาทันทีที่นางกำนัลหน้าประตูได้เปล่งเสียงแสดงถึงการมาเยือน ร่างสูงโปร่งชะลอฝีเท้าของตัวเองแล้วก้าวไปหยุดอยู่ที่กลางห้องนั้น ทำความเคารพด้วยการตวัดสองมือไปด้านหน้าและกลับเข้าหาตัวเป็นก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าที่สงบนิ่งอย่างเคย


    “ขันทีหยวนบอกว่าทรงเรียกหาหม่อมฉันหรือพะย่ะค่ะ”   


    ถึงสถานะของเขาในตอนนี้ไม่จำเป็นจะต้องก้มหัวให้ใครง่ายๆ แต่ทว่าฮัวกุ้ยเฟยก็เป็นผู้ดำรงตำแหน่งอัครมเหสีของบิดาของเขาในขณะนี้ หญิงกลางคนผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงตรงหน้าของเขาคลายริมฝีปากคล้ายกับจะยิ้ม ดวงตาที่ฉายแววประกายเจ้าเล่ห์และซุกซ่อนแผนการณ์ต่างๆนานาคู่นั้นอยู่เบื้องหลังสีหน้าตำหนิติเตียนที่กำลังกล่าวคำพูดของออกมาอย่างอ่อนโยน


    “ได้ยินว่ารัชทายาทเอาแต่คลุกตัวอยู่ในสนามฝึกซ้อมและห้องหนังสือ ทั้งยังไม่ได้ตรงไปร่ำเรียนกับอาจารย์ที่ฝ่าบาททรงเฟ้นหามาให้ท่านมาหลายวันแล้ว ไม่ทราบว่ามีเหตุผลอันใดรึ” 


    รัชทายาทหนุ่มยังคงน้ำเสียงไว้เช่นเดิมและไม่แม้แต่จะปรายตามองคนที่เอ่ยถามกับตน “หม่อมฉันอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือก็เหมือนได้เรียนกับท่านอาจารย์อยู่แล้ว เพราะท่านอาจารย์ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนี้ไม่มีปรัชญาอะไรจะถกกับหม่อมฉัน และการที่อยู่ในสนามฝึกซ้อม ก็หมายความหม่อมฉันกำลังพัฒนาในสิ่งที่ตนเองกำลังอ่อนด้อย ด้วยประการฉะนี้ กุ้ยเฟยถึงกับต้องเรียกหาหม่อมฉันเลยหรือพะย่ะค่ะ” 


    สีหน้าที่แสร้งทำเป็นติเตียนนั้นชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกถามกลับ แต่เพียงเวลาไม่นานเท่าใดนัก ฮัวกุ้ยเฟยก็ปรับเปลี่ยนอาการของตัวเองด้วยการกล่าวออกมาด้วยท่าทางกังวลตามเดิม


    “เปิ่นกง(2)เพียงเป็นห่วงพระวรกาย เพราะไม่ได้เห็นใบหน้าของรัชทายาทมาทำความเคารพฝ่าบาทบ่อยนักจึงได้แสดงความเป็นห่วง เช่นเดียวกับฝ่าบาทเอง ที่อยากจะให้ท่านได้พักผ่อนพระวรกายที่ตำหนักหยกม่วงเสียบ้าง” 


    โจว จื่ออวี่อยากจะหัวเราะออกมาเสียดังๆ


    สตรีที่เห็นเขาเป็นเพียงตัวขัดขวางในตำแหน่งที่สูงขึ้น สตรีอย่างฮัวกุ้ยเฟย กำลังเอ่ยว่าเป็นห่วงตัวเขาอย่างนั้นหรือ?


    “ขอบพระทัยฮัวกุ้ยเฟย นับเป็นครั้งแรกที่ท่านแสดงความเป็นห่วงในตัวหม่อมฉัน หม่อมฉันตื้นตันใจยิ่งนัก” ดวงตาคู่คมของร่างสูงโปร่งเคลื่อนขึ้นสบกับสตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้าพร้อมกับขยับริมฝีปากให้โค้งขึ้นอย่างไร้มลทิน “แต่ภายในอาณาเขตแคว้นนี้ที่พักผ่อนหย่อนใจมีอยู่มากมาย ทั้งศาลากลางน้ำของท่านอาฟาง สนามยิงธนู ห้องหนังสือ ข้าล้วนตัดสินใจเองได้ทั้งนั้น.."


    “…” 

    ก่อนที่มันจะปรายมองใครอีกคนที่นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องอย่างเย้ยหยันและเชือดเฉือนภายในเวลาไม่กี่วินาที “ไม่เห็นต้องให้ใครวิ่งโร่เข้ามาบงการเลยด้วยซ้ำไป”  



    หญิงสาวที่นั่งอยู่อย่างสงบนิ่งเจ้าของอาภรณ์สีดอกบ๊วยเม้มริมฝีปากสีสดของตัวเองแน่นไม่ต่างจากหญิงกลางคนอีกคนซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าของตัวเองที่มีสีหน้าซีดลงไป หลี่ซานไม่แม้แต่จะกล้าเคลื่อนสายตาขึ้นมาแล้วแสดงความต้องการในพื้นที่ของตัวเองอย่างเช่นคราวก่อนที่ได้พบหน้ากัน มองเห็นความโกรธและอับอายของนางที่ต้องอดกลั้นอยู่ภายใต้ท่าทีที่นิ่งเฉยนั้นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ทำไมเขาจะไม่รับรู้กันว่าการที่อีกฝ่ายเปรยขึ้นมาถึงตำหนักภายในอาณาเขตของเขาที่มีไท่จื่อเฟยผู้นี้เข้าออกได้อยู่เสมอนั้นมันมีหมายความว่าอย่างไรกันแน่ 



    ถ้าไม่มีคนวิ่งมาร้องทุกข์ มีหรืออัครมเหสีของบิดาเขาที่หวังการเลื่อนขั้นจากงานสมรสของเขาจะรับรู้ถึงการเก็บตัวนี้ของเขาเอง



    แต่ตราบใดที่รัชทายาทอย่างเขายังคงมีชีวิตอยู่ จะไม่มีใครที่จะได้ขึ้นเป็นฮองเฮาตามอำเภอใจแทนมารดาของเขาเป็นอันขาด



    จื่ออวี่คงรอยยิ้มสงบเสงี่ยมไว้บนใบหน้า ก่อนที่เขาจะกล่าวทำความเคารพพร้อมกับชัยชนะจางๆที่ปรากฏขึ้นบนดวงตาของตัวเอง “หากฮัวกุ้ยเฟยไม่มีสิ่งใดแล้ว หม่อมฉันก็ขอทูลลา” 







    ถ้วยน้ำชาที่เริ่มจะเย็นชืดบนมือของหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวภายในตำหนักที่ถูกล้อมรอบไปด้วยกลิ่นบัวหอม ร่างของจีเซี่ยวที่ไม่ได้จับจ้องดวงตาของตัวเองไปไว้กับสิ่งใดภายในห้องมาเป็นเวลาพักใหญ่นั้นผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆและแผ่วเบา ในเวลานี้ดูเหมือนว่าแม้แต่พิณไม้ที่ถูกวางพิงกับผนังเอาไว้อยู่ก็ยังไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากนางได้อย่างน่าเวทนายิ่ง ปลายนิ้วเรียวลูบขอบถ้วยชาที่ถูกปั้นขึ้นมาอย่างดีในขณะที่ปลดปล่อยให้สมองของตัวเองนั้นว่างเปล่า ทว่าบางสิ่งที่ยังคงถ่วงรั้งก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของตัวเองกลับยังคงอยู่ราวกับไม่รับรู้ว่าจะหาวิธีกำจัดมันออกไปได้อย่างไรอยู่ดี



    ปึก!

    ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆถ้วยชาที่ถืออยู่นั้นก็ตกลงบนโต๊ะราวกับอ่อนแรง หญิงสาวขมวดคิ้วให้กับตัวเองเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจปฏิกิริยาของตัวเองเท่าไหร่นักในระว่างที่จ้องมองฝ่ามือของตนสลับกับถ้วยน้ำชาตรงหน้า



    “กู่เหนียงจีเซี่ยว! ขอเข้าไปข้างในด้วยเถิดขอรับ!” แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปจัดการกับร่องรอยของน้ำชาที่หกลงบนโต๊ะ เสียงที่เอ่ยร้องขึ้นมาอย่างร้อนรนก็ทำให้นางต้องหยุดชะงักการกระทำของตัวเอง เสียงของขันทีคู่ใจของบุคคลที่ไม่ได้มาที่นี่เป็นเวลาหลายสิบวัน มันทั้งทำให้นางไม่คุ้นชินและตื่นตระหนกไปพร้อมๆกันจนต้องขยับฝีเท้าให้มาหยุดอยู่ตรงบานประตูที่ถูกเปิดออกโดยนางกำนัลพอดิบพอดี



    ขันทีหยวนก้มศีรษะลงในทันทีที่ประตูถูกเปิดออกและเห็นหน้า เขายื่นมือทั้งสองข้างที่ซ้อนกันอยู่ออกมาด้านหน้าในขณะที่ใบหน้าแทบจะจมลงไปในวงแขนของตัวเองอยู่รอมร่อ 



    “องค์รัชทายาททรงได้รับบาดเจ็บ ได้โปรดให้พวกเรานำตัวพระองค์เข้าไปทำการรักษาในตำหนักของกู่เหนียงด้วยเถิดขอรับ”   



    ดวงตากลมโตเบิกขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งที่คุ้นตาในสภาพที่อ่อนแอมากกว่าครั้งใดๆที่นางเคยเจอ โจว จื่ออวี่ที่สวมเกราะหนังบริเวณลำตัวถูกทหารสองนายหิ้วปีกทั้งสองข้างพร้อมกับร่องรอยของเหลวสีแดงข้นที่มีให้เห็นจากต้นแขนด้านซ้ายคล้ายกับถูกฟันประจวบกับใบหน้าของเขาที่ดูซีดเผือด ไม่เหลือเค้าลางที่ดูเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจขององค์รัชทายาทที่มักจะมอบรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับนางมาก่อนเลย 



    “หมอหลวง รีบจัดการเร็วเข้า” ขันทีหยวนหันไปกล่าวกับชายสูงอายุอีกคนที่อยู่ในอาภรณ์สีขาวเช่นเดียวกับเครายาวของเขาหลังจากเห็นหญิงสาวพยักหน้าและเบี่ยงกายเปิดเส้นทางเข้าไปภายใน ทหารนำร่างขององค์ไท่จื่อในสภาพที่สตินั้นเบาบางลงบนเตียงนอน ขันทีคู่กายอย่างเขาจึงได้ตรงไปจัดแจงท่าทางและเสื้อผ้าให้ผู้เป็นนายได้นอนลงอย่างสบายๆ ขยับไปปลดเส้นผมที่ถูกม้วนอยู่กลางศีรษะ ก่อนที่เขาจะหันมาเห็นดวงตาของสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของตำหนักกลายๆนั้นแสดงความกังวลทั้งยังทำการอันใดไม่ถูกเมื่อเห็นหมอหลวงที่เขาได้นำพามากัดด้ายที่ลอดผ่านเข็มปลายเล็กออกมาจากถาดของผู้ติดตามของตัวเอง



    เห็นแบบนั้นแล้วเขาจึงได้ขยับฝ่าเท้าเข้าไปข้างกายของหญิงสาวอย่างให้ความเคารพ แล้วเอ่ยปากบอกเล่าถึงความเป็นมาถึงสาเหตุของเหตุการณ์อันฉุกละหุกเช่นนี้ให้นางได้รับรู้ 



    “พระองค์เกิดพลาดพลั้งถูกฟันระหว่างการซ้อมดาบ ก่อนวันนี้ก็หามรุ่งหามค่ำทำแต่ราชกิจของบ้านเมืองที่ได้ถูกส่งต่อมาอยู่หลายคืนซ้ำยังทรงเสวยไม่ต่อเนื่องจึงทำให้อ่อนเพลียและหมดสติไป หยวนจิงร้องขอให้พระองค์ไปยังวังหยกหอมหรือรอหมอหลวงเพื่อรักษาแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรไท่จื่อก็ยืนยันที่จะให้นำพระองค์มาที่ตำหนักนี้ให้ได้ขอรับ” 



    ความรู้สึกที่ถูกถ่วงหน่วงอยู่ในใจพลันเลือนหายอย่างง่ายดายเสียน่าตกใจ จีเซี่ยวหลุบดวงต่ำลงเล็กน้อยเมื่อเกิดนึกละอายใจขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ไปเสียแล้ว  



    เวลาเคลื่อนผ่านไปราวสองก้านธูป หลังจากหมอหลวงรักษาบาดแผลขององค์ไท่จื่อซึ่งนอนอยู่บนเตียงของนางเสร็จและได้จากไป ขันทีหยวนยืนอยู่ด้านนอกเพื่อคอยอารักขาและรักษาการณ์หน้าประตู ส่วนตัวนางเองนั้นยังคงนั่งอยู่ในบริเวณเดิม อยู่ข้างเตียงนอนที่เพิ่งจะใช้มันเป็นที่รักษาร่างกายขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นซีโจวไปเมื่อไม่นานนี้เอง



    “…” ดวงตาที่จับจ้องนิ่งอยู่บนใบหน้าที่เริ่มจะมีสีเลือดฝาดกลับมาขยับอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายนั้นขยับตัว ได้ยินเสียงที่เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผากอย่างอ่อนล้าอยู่กลายๆจึงทำท่าที่จะลุกออกไปเพื่อเรียกหาขันทีคู่กายของเขาให้มาปรนนิบัตดูแล แต่ร่างกายของนางกลับต้องหยุดชะงักไปเมื่อมือของคนข้างหลังเคลื่อนเข้ามารั้งส่วนเดียวกันเอาไว้อย่างร้อนรน จีเซี่ยวหันมองคนที่นอนอยู่ด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ยังไม่ทันจะได้ปลดการกอบกุมออกจากอีกฝ่าย เขาก็เอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน  



    “อย่าเพิ่งไปเลย” 



    อาจจะเพราะดวงตาที่อ่อนล้ากำลังมองมาอย่างเว้าวอน หรือไม่ก็เพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เกิดขึ้นภายในใจ ร่างบางจึงค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม



    “…”


    เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยอมนั่งลงตามเดิม ด้วยเพราะความอ่อนเพลียของสติที่ยังไม่ได้ฟื้นคืนดี โจว จื่ออวี่ก็ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกของตัวเองที่ถูกกักเก็บเอาไว้มาตลอดหลายวันจนต้องผ่อนคลายมันออกมาทางสายตาและคำพูดของตนเอง


    “ทั้งๆที่เจ้าเองก็ผลักไสข้าถึงเพียงนี้ เหตุใดเล่าข้าจึงไม่อาจผลักไสเจ้าออกไปจากความคิดของตัวเองได้เลยสักครั้งเดียว..”

    “…”

    “จีเอ่อร์..ข้าคิดถึงเจ้า” 





    เห็นนางมองมายังฝ่ามือที่เขากอบกุมเข้าหาตัวเองด้วยสายตาสงบนิ่ง ในเวลานี้จื่ออวี่ไม่สนใจว่านางจะรู้สึกรังเกียจสัมผัสของเขา ไม่สนใจว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้นั้นเป็นของจริงหรือไม่ โอรสแห่งสวรรค์ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างมาตั้งแต่ได้ลืมตาดูโลก เขาต้องการแค่เพียงให้นางอยู่ตรงนี้..อยู่เคียงข้างในเวลาที่เขากำลังอ่อนแอก็เท่านั้น..



    เปลือกตาที่หนักอึ้งและพิษจากบาดแผลที่ยังไม่คลายตัวลงทำให้ร่างสูงโปร่งค่อยๆจมลงไปสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ในชั่วขณะหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าความฝัน โจว จื่ออวี่ได้ยินเสียงที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นของใคร ทว่าภายในประโยคของมันกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยราวกับจะขับกล่อมให้ตัวเขานั้นได้นอนหลับฝันดี





    ‘พักผ่อนเสียเถิด นับแต่วันนี้ต่อไปข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน...อย่างที่หัวใจของท่านและข้าต้องการ’ 











    แสงสว่างที่ปรากฏขึ้นสลัวๆเป็นสิ่งแรกที่โจว จื่ออวี่มองเห็นได้ ท้องฟ้าด้านนอกที่มืดลงทำให้เขาผ่อนลมหายใจออกมาอย่างยืดยาว องค์รัชทายาทแห่งแคว้นซีโจวใช้เวลาเพียงพักหนึ่งในการรวบรวมความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ความรู้สึกหนักและตึงที่เกิดขึ้นบริเวณแขนทั้งซ้ายและขวาทำให้เจ้าตัวนึกขมวดคิ้วขึ้นมาน้อยๆเพราะยังคงจดจำได้ว่าตัวเองนั้นพลาดถูกดาบของทหารนายหนึ่งที่เป็นคู่ซ้อมให้กับเขาฟันเข้าที่ข้างซ้าย หันไปยังทิศทางด้านขวาอย่างแคลงใจก่อนที่จะมองเห็นเจ้าของเรือนผมสีดำยาวที่ประจัญหน้ากับเขาแทน 




    ใบหน้าสวยราวกับตุ๊กตาเบื้องเคลือบที่อยู่ในระดับต้นคอของเขากำลังสงบนิ่งในห้วงแห่งความฝัน ศีรษะเล็กหนุนลงที่แขนด้านขวาแทนหมอนนุ่มอย่างสบายใจทำให้ชายหนุ่มลืมหายใจไปเสียชั่วขณะหนึ่ง เคลื่อนดวงตาคู่คมมองหาสาเหตุที่มาราวกับว่ายังไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่ได้เกิดขึ้น กระทั่งมองเห็นมือข้างที่เจ็บของตนเองที่มันกำลังกอบกุมฝ่ามือของหญิงสาวเอาไว้แน่นเสียจนรู้สึกได้ถึงความชื้นจางๆ จื่ออวี่จึงผ่อนคลายสีหน้าคล้ายกับอ่อนใจ เพราะดันไปทำให้สตรีที่เขาปรารถนาต้องลำบากขึ้นมาจนได้



    อาจเพราะยังผล็อยหลับไปได้ไม่นานนัก ประจวบกับรู้สึกถึงปลายนิ้วที่ลูบอยู่บนหลังมือของตัวเองอย่างทะนุถนอม คนที่ใช้แขนของคนเจ็บเป็นที่หนุนนอนจึงค่อยๆเปิดเปลือกตาของตนเองขึ้นมา 



    “…” และเมื่อดวงตากลมโตปรับสภาพและมองเห็นรอยยิ้มอบอุ่นขององค์รัชทายาท ร่างบางก็แสดงสีหน้าราวกับทำการอันใดไม่ถูกหรือแม้แต่จะกล้าขยับเขยื้อนกายหนีเพราะนึกถึงบาดแผลของเขา จื่ออวี่เผลอหัวเราะออกมาเบาๆเพราะได้เห็นใบหน้าที่แสดงความคิดอย่างเด่นชัดของอีกฝ่าย เขาจึงค่อยๆพลิกตัวเข้าหาบุคคลข้างกายเพื่อจะมองมันให้ชัดๆอย่างที่ต้องการ



    “อยู่แบบนี้ก่อนเถิดนะ” 



    ราวกับเป็นคำแนะนำที่ช่วยให้ความคิดของหญิงสาวสงบลง จีเซี่ยวไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกเสียจากทำอย่างที่เขาได้กล่าวออกมา



    “เจ้ารู้ไหม ข้าฝันประหลาดมาก” เขากลั้วหัวเราะอย่างคนละอายใจ “..คงเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่รุนแรงนัก ข้าจึงฝันว่าได้ยินเสียงของเจ้าด้วย”  



    เพราะไม่ได้จับจ้องดวงตาอยู่บนใบหน้าของหญิงสาว ร่างสูงโปร่งจึงไม่ทันได้เห็นริมฝีปากหยักที่กระตุกเป็นเส้นตรงในทันทีหลังจากได้ยินมัน 



    “ข้าเอาแต่คิดว่าเหตุใดเจ้าจึงเมินเฉยและเอาแต่ผลักไสข้าอยู่เสมอ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาในครั้งนี้ ก็นับเป็นโชคของข้ายิ่งนักที่ไม่อาจตัดใจจากเจ้าได้ตั้งแต่แรก” 


    “…” 


    “ต่อไปนี้ข้าจะไม่ค้นหาสาเหตุของเจ้า ข้าจะยอมให้เจ้าผลักไส และบึ้งตึงต่อข้าเท่าไหร่ก็ยังได้” จื่ออวี่จ้องมองดวงตากลมโตที่ทอประกายอยู่ภายในความมืดและแสงเทียนอันน้อยนิดอย่างซื่อตรงและจริงใจ 



    “..ขอแค่เพียงเจ้าอยู่ที่ๆเจ้าอยากจะอยู่ ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำเพียงใด ข้าก็จะเป็นฝ่ายมาหาเจ้า....ผู้เป็นดวงจันทร์ของข้า”



    เสียงแมลงด้านนอกในยามค่ำคืนดังขึ้นเมื่อเกิดความเงียบหลังจากสิ้นประโยคของเขา จื่ออวี่ผ่อนเสียงหัวเราะทางจมูกหนึ่งจังหวะเมื่อคิดได้ว่าไท่จื่ออย่างเขาช่างน่าเวทนายิ่งนัก ภายในสถานที่ที่เปรียบเสมือนกรงสีทอง เต็มไปด้วยสตรีนารีมากหน้าหลายตา แต่เสียงหัวใจของเขาผู้ที่สามารถมีทุกสิ่งทุกสิ่งอย่างได้เพียงแค่เอ่ยปากกลับไม่ต้องการใครคนอื่น   



    หญิงสาวที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดและยำเกรงต่อผู้มีอำนาจ.....เขาต้องการเพียงแค่นางเท่านั้น



    ร่างบางที่จับจ้องสายตาอยู่บนใบหน้าคมงดงามที่คล้ายกับสตรีมากยิ่งขึ้นไปเมื่อเส้นผมสีหมึกยาวของเขาลื่นไหลไปคลอเคลียบนซอกคอสีแทนตามน้ำหนักของมัน นางหลุบดวงตาของตัวเองราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างก่อนที่จะขยับร่างนุ่มนิ่มภายในอ้อมแขนเข้าหาความอบอุ่นที่เกิดจากกายของชายหนุ่ม และปิดเปลือกตาของตนเองลงอีกครั้งโดยไม่สนใจคนที่มองลงมาอย่างประหลาดใจเลยสักนิดเดียว 



    ความงุนงงพาดผ่านบนใบหน้าของโจว จื่ออวี่ เขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าหญิงสาวจะเลือกการกระทำเช่นนี้เป็นคำตอบ เขาขยับกายเพียงเล็กน้อยอย่างตั้งใจเพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่คนในอ้อมกอด รอยยิ้มแห่งความสุขใจอย่างท่องแท้จึงค่อยๆปรากฏขึ้นมาทดแทนในภายหลังเมื่อได้มองเห็นใบหน้าของหญิงสาวในระยะใกล้ จื่ออวี่หลับตาลงและจมเข้าสู่ห้วงนิทราทั้งอย่างนั้น 



    เพราะว่านับเป็นค่ำคืนแรก ที่เขาได้ยินว่าหัวใจของนางเริ่มที่จะส่งเสียงออกมาบ้างอีกด้วย









    “ลูกไม่เป็นอะไรมากแล้ว ท่านพ่อมิต้องกังวลไปพะย่ะค่ะ” ร่างสูงโปร่งในชุดผ้าลื่นสีน้ำเงินเข้มกล่าวอย่างนอบน้อมแก่ผู้มาเยือนภายในวังของเขา ชายกลางคนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดมาตลอดการสอบถามอาการของผู้เป็นโอรสของเขาจึงค่อยๆพยักหน้ารับ เรื่องที่องค์รัชทายาทบาดเจ็บจากสนามซ้อมเพิ่งมาถึงหูของโจวกงหวางแห่งแคว้นซีโจวภายในเช้าวันนี้ตามคำบอกเล่าของขันทีหยวนผู้รับใช้ จื่ออวี่เป็นคนออกคำสั่งเองว่าให้กราบทูลเรื่องนี้ทันทีที่ฟ้าสว่างและเขาไม่สามารถไปเข้าเฝ้าในยามเช้าได้ โจวกงหวางที่ได้รับฟังเรื่องราวก็รีบเดินทางจากตำหนักของตนมาถึงวังหยกหอมของเขาด้วยความห่วงใยอย่างที่พ่อลูกควรจะมีให้กันในทันที 



    “เช่นนั้นพ่อก็จะกลับตำหนักแล้ว หากคราวหน้ามีอะไรเช่นนี้อีก เจ้าควรจะรีบบอกข้าแต่โดยเร็ว” 



    ไม่ใช่ฝืนร่างกายของตัวเองเพื่อไปยังตำหนักของหญิงสาวที่เจ้าปรารถนาเพียงใจคนนั้น



    สีหน้าของเจ้าแคว้นที่หันมามองบุตรชายของตนเองอีกคราราวกับยังมีบางอย่างอยู่ในใจ ชายหนุ่มเองก็รู้สึกถึงมันได้จึงเลือกที่จะเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนักว่าสิ่งใดกันที่อยู่ภายในใจของคนเป็นพ่อ 



    “ท่านพ่อมีอะไรอีกหรือพะย่ะค่ะ” 



    ชายกลางคนผินหน้าลงมองพื้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ไม่มีอะไร เจ้าพักผ่อนเถิด พ่อจะบอกให้หลิ่งอี้ไม่ต้องนำราชกิจบ้านเมืองมาให้เจ้าทำในวันนี้”  



    “...ท่านพ่อ” 



    เสียงขององค์รัชทายาทที่อ่อนลงทำให้เขาหันกลับไปมองอีกครั้ง โจว จื่ออวี่ในสภาพที่เส้นผมสีหมึกถูกมัดไว้หลวมๆตรงเกือบปลายลุกขึ้นจากเตียงนอนที่ไร้การใช้สอยมาหลายคืนของตัวเองแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าของผู้เป็นบิดา เขายื่นมือทั้งสองข้างที่ประสานกันออกไปด้านหน้าและก้มศีรษะลง ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความมาดมั่นเสียจนคนมองรู้สึกถึงบางอย่างที่เขานั้นหวาดหวั่นกำลังใกล้เข้ามา 



    “นับตั้งแต่เกิดมาเพื่อสืบทอดเจตนารมย์แห่งราชวงศ์และความเก่งกาจของท่าน จื่ออวี่ไม่เคยร้องขอสิ่งใด แต่ในเวลานี้จื่ออวี่เพียงประสงค์ให้ท่านประทานราชโองการ ล้มเลิกการแต่งงานระหว่างหม่อมฉันและไท่จื่อเฟยตระกูลฮัวด้วยเถิดพะย่ะค่ะ” 



    ดวงตาสีอ่อนของชายกลางคนฉายแววตกใจแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของผู้เป็นโอรสของตนเองมาเนิ่นนาน เขาผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆและข่มเปลือกตาของตัวเองไปชั่วอึดใจก่อนที่เอ่ยปากออกมาในที่สุด 



    “จื่ออวี่..เจ้ารู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา” 



    “ลูกไม่ต้องการให้ตำแหน่งฮองเฮาเป็นของสตรีที่ลูกไม่ได้คิดว่าเหมาะสม หากละเว้นไว้จนกว่าจะพบผู้ที่สมควรก็ไม่นับว่าผิดประเพณี” ร่างสูงโปร่งยังคงกล่าวต่อด้วยแววตามุ่งมั่นของตัวเอง “และลูกก็ได้ไตร่ตรองดีแล้วพะย่ะค่ะ” 



    “หากไตร่ตรองดีแล้วเจ้าจะไม่พูดออกมาเช่นนี้!” 



    สิ้นเสียงตวาดอย่างอดกลั้น ร่างกายขององค์รัชทายาทผู้เป็นราชบุตรก็รีบคุกเข่าทั้งสองข้างลงในทันที  “โจวกงหวางโปรดลงโทษ จื่ออวี่เสียมารยาทที่ทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ” 



    มองชายหนุ่มผู้นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าที่ถึงแม้จะยังแสดงความเด็ดขาดออกมา โจวหวางอย่างเขาก็ยังไม่วายมองเห็นความดื้อดึงอยู่ภายในนั้นอยู่ดี 



    “รู้ไหมว่าการยกเลิกตำแหน่งไท่จื่อเฟยมันกระทบสิ่งใด รู้ไหมว่าความปรารถนาของเจ้าจะนำสิ่งใดมาให้แก่บ้านเมืองของเราบ้าง” 


    “…"


    “ข้าต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าแคว้นที่ไร้คุณธรรมและความเมตตา ข้าต้องหักหาญน้ำใจของแม่ทัพฮัว ทำให้บุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาต้องเป็นที่อับอายของตระกูล ถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงหม้าย ไร้ค่าเสียยิ่งกว่าถูกถอดออกไปเพราะโจวหวางในภายภาคหน้าอย่างเจ้า”  ฮ่องเต้ผ่อนลมหายใจยาวราวกับหยุดยั้งอารมณ์ของตนเอง



    “สตรีนางนั้นไม่มีแม้กระทั่งชื่อสกุลต่อท้าย เป็นเพียงหญิงชาวป่าที่ไม่มีทางสร้างรากฐานบัลลังก์ห้กับสายเลือดของเจ้าได้แม้เพียงนิด"



    ริมฝีปากบางขององค์รัชทายาทเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง เพียงเพื่อให้คิดถึงอำนาจที่ต้องแบกรับไว้ในอนาคต เขาก็ต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่างไปกระนั้นจริงๆหรือ



    โจวกงหวางที่เห็นบุตรชายของตัวเองนิ่งไปนั้นก็ผ่อนคลายสายตาที่เข้มงวดของตัวเองให้อ่อนลงก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปจับเข้าที่ไหล่เพื่อรั้งกายให้ลุกขึ้นยืน จื่ออวี่ยอมทำตามแต่โดยดี ทว่าดวงตาของเขากลับฉายแววผิดหวังแตกต่างไปจากเดิม 



    “ไม่ใช่ว่าพ่อไม่เข้าใจเจ้านะจื่ออวี่..” ชายกลางคนจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของเขาอย่างปลอบประโลม “..พ่อเคยดึงดันที่จะรั้งมารดาของเจ้าเอาไว้ในตำแหน่งที่นางสมควรได้รับ..แต่สุดท้ายนางก็ไม่อาจทนความบอบช้ำที่ได้รับมาจากการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นก่อนหน้านั้นได้”



    “…”



    ดวงตาอันน่าเกรงขามของเจ้าแคว้นในบัดนี้ฉายม่านใสจางๆเมื่อเอ่ยถึงผู้ให้กำเนิดของเขา ก่อนที่วินาทีต่อมามันจะเต็มไปด้วยความจริงจังอย่างเดิมเมื่อกล่าวประโยคถัดไป 



    “หากเจ้าทำให้นางเชื่อมั่นและมองเห็นความรักของเจ้าได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด นางก็คือสตรีเพียงหนึ่งเดียวของเจ้า และมารดาแห่งใต้หล้านี้เท่านั้น” 



    โจว จื่ออวี่รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ถูกส่งผ่านฝ่ามือของผู้เป็นพ่อ เขาคลายยิ้มราวกับขจัดสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองออกไปได้เสียหมดจด ก้มศรีษะเอ่ยปากขอบพระทัยโจวหวางและอาสาเดินไปส่งที่หน้าประตูตำหนักของตนเอง ทั้งสองร่างก้าวข้ามธรณีประตูเมื่อนางกำนัลเปิดหน้าตำหนักออกมา ทว่าดวงตาคู่คมของเขากลับเหลือบมองเห็นร่างของใครบางคนที่ดูเหมือนจะยืนอยู่ด้านล่างอยู่นานแล้วเสียก่อน 



    ดวงตาของชายกลางคนฉายแววลำบากใจไม่น้อยเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่แม้แต่เขาเองยังยากจะรับมือ หันมองโอรสของตนอย่างคาดหวังทั้งยังให้กำลังใจ จื่ออวี่จึงได้หลุบดวงตาของตัวเองลงต่ำเป็นการตอบรับเพื่อให้ผู้เป็นบิดาได้เดินจากไปแต่โดยดี



    “น้อมส่งฝ่าบาท” เสียงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ดังขึ้นพร้อมกับนางกำนัลอีกสองคนที่ตามหลังเอ่ยปากทำความเคารพชายกลางคนที่เดินผ่านไป หลี่ซานหันกลับไปหาเจ้าของวังหยกหอมที่กำลังจะเดินกลับเข้าไปในตำหนักราวกับไม่อยากเห็นหน้าของตนนักจึงได้กล่าวขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีความกลัวเกรงต่อการล้ำเส้นใดๆอยู่ภายในประโยคของตัวเอง



    “พระองค์มีประสงค์จะล้มตำแหน่งที่เป็นของหม่อมฉันมาตั้งแต่ต้นแล้วกระนั้นรึเพคะ” 



    ร่างสูงโปร่งที่หันหลังอยู่นั้นเหลือบหางตากลับมามองสตรีที่เอ่ยกับเขาอย่างคาดคั้นด้วยแววตาเฉยเมย “วังนี้เป็นของข้า แต่ช่างน่าประหลาดใจนักที่นางกำนัลหน้าตำหนักของข้าไม่แม้แต่จะเอ่ยปากบอกว่ามีคนนอกมาแอบฟังอยู่ด้วย” 



    นางกำนัลทั้งสองนางที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูก้มหัวด้วยอาการสั่นเทา เป็นความจริงที่พวกตนถูกไท่จื่อเฟยที่ยืนอยู่ตรงนี้ออกปากว่าไม่ให้ส่งเสียงเรียกว่านางได้มาเยือนและรับฟังสิ่งที่โจวหวางและไท่จื่อได้สนทนากัน หลี่ซานไม่สนใจเนื้อความในประโยคนั้น นางก้าวฝ่าเท้าเข้ามาทีละเก้าขณะที่ยังคงถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ



    “นักพรตหลวงกล่าวเอาไว้แล้ว”

    “…”

    “หญิงชาวป่านางนั้นจะทำให้พระองค์ต้องตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต” 

    “…"

    “นางเป็นตัวกาลกิณี เป็นคนที่จะทำให้พระองค์ไม่อาจมีชีวิตยืนยาว แต่พระองค์ก็ยังร้องขอราชโองการ..ขับไล่หม่อมฉันออกจากการเป็นฮองเฮา?”



    จื่ออวี่หันกายของตนเองกลับมาประจันหน้ากับหญิงสาว เห็นดวงตาที่แข็งกร้าวระคนเจ็บใจจ้องมองมาก็หาได้มองเห็นความรู้สึกที่แท้จริงของนางไม่



    “ข้าไม่รู้ว่านักพรตหลวงนี้ฮัวกุ้ยเฟยสรรหามาจากที่ใด นางมิใช่พระญาติของข้า ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่ข้าจะต้องเชื่อคำกล่าวที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น” 



    ด้วยเพราะกิตติศัพท์ของสตรีกลางคนผู้นั้น ต่อให้เป็นนักพรตหลวงแต่ก็ถูกยอมรับในสถานที่แห่งนี้ได้เพราะฝีปากอสรพิษของฮัวกุ้ยเฟย เขาไม่มีทางหลงเชื่อมันเป็นอันขาด


    “พระองค์จะทรงทำเช่นนี้ไม่ได้!” นางขึ้นเสียงเพียงเล็กน้อยจนนางกำนัลที่ตามมาด้วยต่างก้มหัวและรีบย่อตัวลงกับพื้นด้วยความสั่นเทา  “พระองค์รับรู้บ้างหรือไม่ ว่าข่าวลือใดบ้างที่แพร่สะพัดไปทั้งพระราชวังแห่งนี้”



    “..."



    หญิงสาวค่อยๆกล่าวคำพูดออกมาจากลำคออย่างเจ็บแค้น “ฮัวหลี่ซาน รับราชโองการจากโจงกงหวางแห่งซีโจวอันยิ่งใหญ่ให้ดำรงตำแหน่งไท่จื่อเฟย มีทั้งรูปโฉมและตระกูลที่กระทำความดีความชอบให้แก่ราชวงศ์ของฝ่าบาท กำลังตกเป็นรองเพียงแค่หญิงสาวชาวป่าที่ทำให้องค์ไท่จื่อทรงลุ่มหลงหัวปักหัวปำ..พระองค์ทรงรับรู้ถึงความอับอายของหม่อมฉันบ้างหรือไม่เพคะ”



    “แล้วการที่เจ้ายืนต่อปากต่อคำกับเปิ่นหวางผู้นี้ต่อหน้านางกำนัล สตรีอย่างเจ้าไม่ควรที่จะอับอายหรอกหรือ ฮัวหลี่ซาน” จื่ออวี่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แม้แต่จะสะทกสะท้านกับประโยคของคนตรงหน้า ดวงตาของหลี่ซานพร่ามัวมากกว่าเก่าแต่ก็จ้องมองชายหนุ่มที่นางรักตั้งแต่ได้พบหน้าและถวิลหามาตลอดนับจากได้รับตำแหน่งไท่จื่อเฟย แต่ใบหน้าคมสวยยังคงเฉิดฉายความสง่างามไว้ดังเดิม ถึงแม้มันจะแสดงความผิดหวังที่มีต่อองค์ไท่จื่อผู้นี้อยู่ก็ตาม 



    “พระองค์ทรงมีหัวใจบ้างหรือไม่เพคะ...มีสิ่งใดกันที่นางมี และหม่อมฉันมีให้พระองค์ไม่ได้?”  



    โจว จื่ออวี่ไม่ใช่คนใจร้าย แต่เขาก็ไม่อยากจะสร้างเชือกที่กำลังถูกมัดเป็นปมอยู่แล้วในเวลานี้ให้แน่นจนแก้ได้ยากมากยิ่งขึ้นไป ร่างสูงโปร่งผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะเอ่ยตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบสงบดังเดิม 



    “นางมีหัวใจของข้าตั้งแต่ที่เราพบกัน” เขาจ้องตอบดวงตาที่ฉายแววเจ็บปวดของหญิงสาวอย่างมั่นคงและอ่อนโยน “นั่นคือสิ่งสำคัญ ที่เจ้าไม่มี”  



    สิ้นประโยคจากริมฝีปากขององค์รัชทายาท จื่ออวี่พบว่าหลี่ซานที่เงียบไปอึดใจใหญ่เพราะคำกล่าวของตัวเขาเองกำลังก้มใบหน้าของตนลงราวกับจะซุกซ่อนความอ่อนแอ ผงกศีรษะเป็นเชิงบอกแก่นางกำนัลที่ยืนอยู่อย่างไม่รู้ว่าควรจะทำการใดให้พาหญิงสาวออกไป แต่เมื่อเขาหันกายกลับเข้าสู่ประตู เสียงของนางที่เขาคิดว่าควรจะเงียบได้ไปอีกพักใหญ่นั้นก็เอ่ยขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นตามเดิม



    “ถึงแม้ชั่วชีวิตนี้หม่อมฉันจะไม่มีวันได้หัวใจของพระองค์” หลี่ซานเน้นย้ำทุกคำในประโยค ขณะที่ท่าทางและดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความเด็ดขาดอันเย่อหยิ่งของนางไม่แม้แต่จะลดน้อยลงเลย “แต่สุดท้าย..อย่างไรตำแหน่งแม่ของแผ่นดินก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากหม่อมฉัน” 



    “….”


    “รวมถึงที่ข้างกายของพระองค์ มันก็จะเป็นของหม่อมฉันเพียงคนเดียวจวบจนสิ้นนามของหม่อมฉันเอง” 



    ดวงตาคู่คมซึ่งวางที่หญิงสาวตลอดบทสนทนานั้นจบลงด้วยการที่เขาปรายตาไปที่นางอย่างเย็นชาแล้วเดินกลับเข้าไปในตำหนักของตน ความเมตตาที่เขามีต่อนางแม้จะมีอยู่เพียงน้อยนิด ในวันนี้มันถูกลบล้างไปหมดสิ้นด้วยตัวของนางเองเสียแล้ว 









    เสียงพิณไม้ที่บรรเลงอย่างไพเราะและลื่นหูทำให้เจ้าของเส้นผมสีดำยาวที่ไม่ได้เกล้าไว้อย่างเรียบร้อยซึ่งนั่งจิบถ้วยชาพร้อมกับอ่านหนังสือราชการมาหนึ่งชั่วยามกว่าๆต้องผละความสนใจจากมันออกมา ดวงตาคู่คมเห็นหญิงสาวผู้อาศัยตำหนักบัวแห่งนี้เป็นที่พักขยับกายจากที่นั่งของตนตรงไปหยิบถาดไม้ที่บรรจุมวนผ้าสีขาวสะอาดและถ้วยยาที่หมอหลวงเป็นคนจัดเตรียมเอาไว้ให้ ทวงท่ากริยาอ่อนน้อมที่ทำให้เขามักเกิดคำถามขึ้นในใจว่านางใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเพื่อปรับตัวอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร จีเซี่ยวขยับเข้ามายืนห่างจากเขาไปไม่กี่ชุน น้อมศีรษะลงราวกับกับรอคอยให้เขาได้เคลื่อนขยับไหวกายเสียที



    “ถึงคราวเปลี่ยนแล้วหรือ” 



    นางผงกศีรษะของตัวเองเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากหยักที่ซ่อนรอยยิ้มนอบน้อมเอาไว้จางๆ แม้นับจากสองคืนวานนี้นั้นท่าทางเมินเฉยของนางจะอ่อนลงเสียจนน่าใจหาย แต่การที่เขาถูกหญิงสาวที่คะนึงหามาตลอดหลายค่ำคืนมาปรนนิบัติเช่นนี้ถึงแม้จะเป็นเพราะหน้าที่ก็ทำให้เขาอิ่มใจจนแทบเก็บมันเอาไว้ภายในไม่อยู่เสียแล้ว 



    จื่ออวี่วางถ้วยชาและหน้าหนังสือที่ถูกม้วนไปแนบกับปกหลงไว้บนโต๊ะตัวกลม ลุกจากเก้าอี้ไม้ทรงเดียวกันไปหย่อนกายลงบนเตียงนอนของนางอย่างเชื่องช้า ปลดอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มตัวนอกออกและหลงเหลือผ้าลื่นสีเดียวกันเอาไว้ เขาค่อยๆพับแขนเสื้อด้านซ้ายขึ้นจนถึงหัวไหล่ เผยให้เห็นผ้าสีขาวที่บดบังเนื้อแขนส่วนหนึ่งเอาไว้ จีเซี่ยวจึงเข้าไปวางถาดยาข้างๆและนั่งลงก่อนที่จะบรรจงคลายผ้านั้นออกทีละน้อย



    ความรู้สึกตึงเล็กน้อยจากบาดแผลไม่มีผลอะไรกับชายหนุ่มมากนัก เขาปล่อยให้หญิงสาวค่อยๆใส่ยาที่หมอหลวงเป็นผู้เตรียมให้อยู่เงียบๆ แม้มันจะเป็นความเงียบแบบที่เคยได้เผชิญมาตั้งแต่ได้พบหน้ากัน แต่สำหรับตัวเขาแล้วมันกลับไม่รู้สึกห่างไกลอย่างที่เคยเป็นมาก่อนเลย 



    จดจ้องมองใบหน้าที่กำลังใส่ยาให้อย่างจริงจังและขะมักเขม้นต้องสะท้อนกับเปลวเทียนไม่กี่เล่มภายในห้อง ข่าวลือนั้นที่หลี่ซานได้กล่าวเอาไว้ว่าแพร่สะพัดไปตามเขตพระราชวังแห่งนี้ทำให้จื่ออวี่อดไม่ได้ที่จะหนักใจขึ้นมาน้อยๆเมื่อนึกถึงมันขึ้นมาได้ 



    ถึงแม้ว่าเนื้อความของมันจะถูกสร้างเรื่องขึ้นมาสองในสี่ส่วน แต่อย่างไรเรื่องที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันนี้นั้นก็มีแต่จะทำให้ผู้หญิงของเขาต้องเสื่อมเสียและกลายเป็นที่ครหาของผู้คนทั้งนางกำนัลภายในทุกฝ่ายอยู่เป็นแน่ 



    หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอนอีกครั้งเมื่อขยับนำถาดยาไปวางไว้ที่โต๊ะและหยิบม้วนผ้าสีขาวติดมือกลับมาที่เดิม จื่ออวี่ให้นางเปลี่ยนผ้าพันแผลให้แก่เขาอย่างตั้งใจจวบจนเสร็จสิ้น ทว่าดวงตาคู่คมที่จับจ้องจังหวะสุดท้ายที่นางทบและเก็บปลายผ้าให้แน่นหนาก็ส่งผลให้มืออีกข้างของเขาเคลื่อนตัวเข้าไปกระชับฝ่ามือของนางที่ยังไม่ทันได้ห่างออกไปไหนไกลเอาไว้จนหญิงสาวรู้สึกตกใจเพราะการกระทำที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว



    มองเห็นแววตางุนงงจากร่างบางตรงหน้า จื่ออวี่จึงใช้มือซ้ายที่อยู่ใกล้กายบางของอีกฝ่ายสัมผัสปลายนิ้วลงบนผิวแก้มจรดใต้เปลือกตาของนางอย่างทะนุถนอม



    “ถึงเจ้าจะไม่สนทนาหรือพบปะกับใครนอกจากข้าและหยวนจิง แต่เรื่องที่สามารถส่งต่อกันได้ผ่านสายลมอย่างนั้น เจ้าคงได้ยินมาบ้างกระมัง” 



    ดวงตากลมใสที่แสดงความงุนงงออกไปก่อนหน้านั้นค่อยๆหลุบต่ำลง อันเป็นคำตอบให้แก่องค์ไท่จื่ออย่างเขาที่พอจะรับรู้มันได้อยู่แก่ใจ   



    จีเซี่ยวไม่เคยออกห่างจากตำหนักบัวที่เขาได้พานางมาพำนัก ไม่เคยร้องขอสิ่งใดจากสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้ นางไม่เกรงกลัวแม้กระทั่งสถานะของเขาและบิดา ดวงตากลมโตใสที่มักนิ่งสงบเป็นประกายราวกับกวางน้อยอยู่เสมอนั้นกลับดูมีพลานุภาพสูงเสียจนเขาวาดภาพได้ว่าไม่แคล้วแม้แต่ราชสีห์และมังกรยังต้องสยบให้แก่มัน ดวงตาคู่นี้และจิตใจที่ไม่ทะเยอทะยานอยากนั้น ขับให้นางทั้งสง่างามและดูสูงส่งยิ่งกว่าบุตรสาวของขุนนางผู้มีชาติตระกูลคนใดในแคว้นแห่งนี้ที่ได้เคยพบเจอมา  



    “จีเอ่อร์ หากในวันข้างหน้าข้าจำเป็นต้องทำหน้าที่ของบุรุษที่ดีเพื่อแทนคุณบ้านเมือง เจ้าจะยืนหยัดอยู่ในสิ่งที่ข้าเลือกหรือไม่”  



    หญิงสาวเคลื่อนดวงตาของนางขึ้นมาสบกับเขาตามเดิม จดจ้องราวกับพิจารณาในสิ่งที่เขาได้ถามออกไปก่อนที่นางจะพยักหน้า จื่ออวี่เบิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจนัก เขาต้องการที่จะสื่อความหมายว่าในยามที่บัลลังก์มังกรถูกเปลี่ยนนาย เพื่อรักษาบ้านเมืองให้เป็นปกติสุขที่สุดของราชวงศ์เอาไว้โดยไม่ให้มีเรื่องราวทั้งนอกและในวังวุ่นวายก็จำต้องรักษากฏบางกฏเอาไว้บ้าง หากนางเข้าใจในสิ่งที่เขากล่าว ก็หมายความว่าแม้ข้างกายเขาจะเป็นคนอื่น นางก็ยินยอมที่จะอยู่เคียงข้างเขากระนั้นหรือ 




    “แม้เจ้าจะไม่ได้เป็นแม่ของแผ่นดินนี้ แต่เพียงแค่เจ้าเป็นมารดาของทายาทของข้า..เจ้าก็เข้าใจได้ใช่หรือไม่?” ถามย้ำออกไปราวกับไม่มั่นใจนัก รู้สึกได้ถึงเลือดในกายของตนที่ขยับขึ้นลงอย่างหวั่นใจ ดวงตาคู่สวยของนางยังคงเป็นประกายเช่นเดิม ทว่ามันกลับปิดลงเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัวคลายริมฝีปากหยักให้โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จีเซี่ยวยกมือขึ้นลูบปลายนิ้วมือเรียวของร่างสูงโปร่งตรงหน้าที่ประคองใบหน้าของนางเอาไว้ราวกับตอบรับ ขณะที่มองเห็นดวงตาของเขาที่ขยายขึ้นซึ่งปกปิดความรู้สึกในใจเอาไว้ไม่มิดอีกต่อไป 



    ราวกับกำบังที่ขนานความเป็นตัวตนของตัวเองได้พังทลาย จื่ออวี่ก้มลงเข้าไปหาริมฝีปากหยักที่กำลังคลายยิ้มให้แก่เขาเมื่อเห็นนางปิดเปลือกตาลงอีกครั้งในยามที่เคลื่อนเข้าไปใกล้ เคลื่อนมือที่กอบกุมมือของนางไว้ลงไปเหนี่ยวรั้งเอวบางให้เข้าหาไออุ่นจากกายของตนมากกว่าเดิม จุมพิตแผ่วเบาที่อ่อนโยนค่อยๆเก็บเกี่ยวอากาศภายในมากขึ้นทีละนิด ความหวานและนุ่มละมุนที่ซึมซับลงไปทุกจิตวิญญาณทำให้เขาดึงดันที่จะเปิดโอกาสให้ริมฝีปากของนางนั้นผละหนี จื่ออวี่เคล้าคลึงพื้นที่ทุกตารางนิ้วของมันและเคลื่อนมือทั่วกายนุ่มของร่างบางราวกับตีตราจอง ดันร่างที่อ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งลนไฟลงบนเตียงนอนของนางเองในขณะที่เขาไม่แม้แต่จะพลาดเก็บเกี่ยวความหอมรัญจวนจากตัวของหญิงสาวเลยสักนิดเดียว






    “จีเอ่อร์” เขาเอ่ยเสียงพร่าระหว่างผละจากการสัมผัสริมฝีปากหวานอย่างเอาแต่ใจ “มีลูกให้ข้าเถอะนะ”




    __________________________



    #Xslibraty

    เซาปิ่ง - 



    เปิ่นกง - ในที่นี้แทนตัวผู้หญิงที่มีสถานะสูงกว่าและระดับใกล้เคียงกัน 

    Talk : แต่งช็อตฟิค ไม่เคยช็อตเลยสิน่ะ
    ที่ช้าเพราะมัวแต่ลังเลและคิดว่าจะตัดจบยังไงดีภายในสองตอน
    สรุปคือ เพิ่มเล่มเจ้าค่ะ 


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×