คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [SHOT 2]
SHOT 2
“ต๊ายย เธอพาเด็กหน้าตาน่ารักแบบนี้มาคลับตอนกลางคืนแบบนี้ได้ไงเนี่ย” ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสสั้นสีดำพูดกับคนที่พาฉันมาพร้อมกับจับตัวหมุนตัวทั้งๆที่เจ้าหล่อนก็ตัวเล็กพอๆกัน
แถมยังส่งมือมาบีบแก้มฉันไปมาเหมือนเห็นของเล่นยังไงยังงั้นเลย
“ติดมือมา” ฉันเหลือบตามองพี่จูฮยอนโดยที่มือของบุคคลแปลกหน้ายังไม่ปล่อยจากแก้มฉัน
“ฉันชื่อมินนะ ยินดีที่ได้รู้จักเด็กน้อย~” ฉันส่งยิ้มแห้งๆให้กับพี่สาวตรงหน้า ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ที่พอฉันเดินตามพี่จูฮยอนเข้ามาในที่นั่งมุมพิเศษของไนต์คลับแห่งนี้เพื่อนๆคนอื่นของพี่เขาก็ทำเพียงแค่พยักหน้าและส่งยิ้มมาให้อย่างเลศนัยเท่านั้น
บรรยากาศรอบตัวยิ่งทำให้ฉันรู้สึกตัวลีบลงไปอีก มีแต่ผู้คนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นสนทนากันพร้อมเครื่องดื่มในมือของพวกเขา ผู้หญิงบางคนใส่สั้นซะฉันหนาวแทน ส่วนผู้ชายบางคนไม่สูบบุหรี่ก็หญิงสาวล้อมรอบกาย ยิ่งเพื่อนๆของพี่จูฮยอนที่แต่งตัวแรงไม่แพ้ที่เจ้าตัวใส่มาก็ยิ่งทำให้ฉันอึดอัดใจแปลกๆ
ก็ฉันใส่มาแค่กางเกงยีนส์กับเสื้อโค้ทปอนๆเองนี่น่า
“ซึลกี อายุเท่าไหร่แล้วเหรอครับ” ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามฉันพูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงพูดคุยและเสียงเพลงที่ดังอยู่ภายใน ฉันซึ่งกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองก็รีบขานรับก่อนจะตอบออกไป
“2…22 ค่ะ”
“โอ้ เป็นผู้ใหญ่แล้วนี่ งั้นก็ดื่มได้แล้วใช่มั้ย?” ผู้ชายที่ฉันจำได้ว่าพี่จูฮยอนเรียกเขาว่า ‘ดงอุน’ ส่งยิ้มมาให้ฉันทั้งยังขยับมือเป็นท่ายกแก้วเหล้าเข้าปากอย่างเชิญชวน ถึงแม้จะได้ยินมานิดๆว่าไนต์คลับที่นี่อยู่ภายในคอนโดแห่งนี้มีเขาเป็นเจ้าของ และหน้าตาจะพอใช้ได้ แต่ฉันก็รู้สึกได้เลยแหละว่าผู้ชายคนนี้เล่ห์เหลี่ยมไม่ใช่เล่น…
และถึงแม้ฉันจะเคยอ่านเจอในบทความที่บอกเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงผู้คนในสถานที่แบบนี้แล้วฉันก็ดันตอบเขาออกไปไม่ได้อยู่ดี..
“คือ…คือว่า”
“เด็กนี่ต้องพาฉันกลับบ้าน ห้ามดื่ม”
ขณะที่ฉันกำลังนึกถึงวิธีต่างๆนาๆในการหลีกเลี่ยง เสียงของพี่จูฮยอนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ดังขึ้นมาราวกับนาฬิกาตัวช่วย ดงอุนเหลือบมองพี่สาวข้างๆอย่างมีเลศนัยพร้อมกับพยักหน้าและพึมพำว่า ‘โอ้ว…’ ออกมาให้ได้ยิน
ฉันลอบถอนหายใจเพราะอย่างน้อยก็หลุดรอดจากการเข้าหากับบุรุษชาติชาย ก่อนจะลอบมองคนข้างๆที่เพิ่งจะช่วยชีวิตฉันไว้เมื่อกี้นี้ มองเธอยกแก้วทรงสูงให้ของเหลวนั่นไหลผ่านลำคอขาวๆของตนเองไป แต่สุดท้ายสายตาซุกซนของฉันมันก็ดันเผลอมองเรียวขาที่ตวัดกันขึ้นมาไขว้เอาไว้จนได้
“มองอะไร”
“..ป เปล่าค่ะ”
แม้ฉันจะค่อนข้างตกใจกับ…ไม่สิ ต้องพูดว่าตกใจมาก กับลุคที่เปลี่ยนไปแบบกะทันหัน เมื่อตอนเที่ยงเธอยังเป็นพี่จูฮยอนที่แสนจะเรียบร้อย สุภาพและน่ารักที่สุดในแบบที่ฉันชอบ แต่คุณต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าตั้งแต่ที่ฉันเจอพี่เขาในลุคแม่เสือสาวเมื่อตอนหัวค่ำจนเข้ามานั่งบนเก้าอี้ตรงนี้พี่เขาก็ทำให้ฉันประหลาดใจเป็นสิบครั้งๆมาแล้ว
ทั้งคอยกันท่าฉันจากเพื่อนๆของเขาที่ทำท่าจะตะครุบฉันไปปั้นเป็นก้อน ไหนจะคอยแยกเขี้ยวใส่พวกที่ส่งสายตาจากตรงอื่นๆตอนที่ฉันเดินเข้ามานั่งอีก
ฉันเปล่าคิดไปเองนะ ฉันเห็นจริงๆว่าพี่เขาแยกเขี้ยวน่ะ
แต่คิดๆดูแล้วลุคนี้มัน..ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกน่า
ส่วนซึงวานกับซูยอง เพราะฉันต้องถูก(กึ่ง)บังคับให้ตามมาฟังเหตุผลที่พี่เขามีท่าทางโกรธเคืองฉันตั้งแต่มื้อเที่ยง ฉันจึงส่งข้อความไปขอโทษที่ผิดสัญญากับสองคนนั้นและขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง ซึงวานคือคนที่รัวไลน์มาหาฉันอย่างบ้าคลั่งเมื่อกลับมาที่หน้าทางออกแล้วแต่ไม่เจอฉันอยู่ตรงนั้น ก็นะ มันกะทันหันจริงๆนี่…
“นี่ๆ ซึลกียา”
“หืม คะ?” ฉันขานรับเมื่อได้ยินเสียงกระซิบมาจากด้านขวา รุ่นพี่มิน (เขาให้ฉันเรียกแบบนั้น) ขยับมาใกล้ๆฉันก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างอีกครั้งที่ข้างๆหู
“ซึลกีเป็นอะไรกับไอรีนเหรอ”
“อ เอ่อ…ท ทำไมถามแบบนั้นล่ะคะ?” ฉันตอบพี่เขาอย่างตะกุกตะกัก เพราะตัวฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามาที่นี่กับพี่จูฮยอนในฐานะอะไร จะบอกว่าเป็นลูกค้าที่ติดสอยห้อยตามมาก็กลัวคุณเธอจะแปลความหมายเป็นอย่างอื่น
“ไอรีนน่ะไม่เคยพาใครมาให้พวกเราเจอหรอก และก็… ”
“…?”
“ไม่เคยจ้องเขม็งใส่เพื่อนแบบนี้มาก่อนเลยด้วย...” รุ่นพี่มินหัวเราะคิกคักแล้วผละออกไปหาเครื่องดื่มทิ้งให้ฉันนั่งงงเป็นหมีใช้สมองอยู่อึดใจหนึ่งก่อนที่จะได้เข้าใจ ฉันค่อยๆหันไปมองด้านข้างทางซ้ายของตัวเอง ก่อนที่จะทันเห็นสายตาคมๆของคนข้างๆใช้หางตามองมาที่ฉันราวกับจะกินหัวก่อนที่เจ้าของดวงตานั่นจะเมินหน้าหนีไปทางอื่น
.”พี่จูฮยอน..” ฉันเรียกพี่เขาเสียงอ่อน เพราะดูท่าว่าพี่เขาจะยังโกรธฉันอยู่ไม่หาย และก็ดูเหมือนว่าพี่จูฮยอนจะมีท่าทีสนใจฟังอยู่บ้างดูได้จากการหันกลับมามองหน้าฉันแปบหนึ่งแล้วก็มองไปทางอื่นเช่นเดิม
“พี่บอกว่าถ้าฉันมาที่ด้วย พี่จะบอกฉันใช่ไหมคะว่าพี่โกรธฉันเรื่องอะไร?”
ฉันขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆพี่จูฮยอนมากขึ้นเพราะกลัวว่าพี่เขาจะไม่ได้ยินและฉันก็ไม่ต้องการให้ใครคนอื่นได้ยินบทสนทนานี่อีกเหมือนกัน แต่ว่าในตอนที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดระยะห่างการนั่งระหว่างฉันกับเขา พี่จูฮยอนก็หันหน้ากลับมาโดยไม่บอกกล่าวกันทำให้ฉันที่เงยหน้าขึ้นมาทีหลังตัวแข็งทื่อเพราะใบหน้าที่ใกล้กันเกินไป
โฮลี่ มอลลี่ …ใกล้เกินไปแล้ว
ฉันเขิน…ใช่ ฉันยอมรับว่าฉันกำลังหน้าแดงอยู่ และถ้าฉันเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิล่ะก็คงจะตัวแตกไปซะตรงนี้แล้วแน่ๆ
ก็ขนาดแค่พี่เขานั่งจ้องหน้าฉันตอนอยู่ที่ร้านฉันยังเขินเลยนี่น่า!
“ข ขอโทษทีค่ะ--” เมื่อรู้ว่าใกล้กันเกินไปและตัวเองก็มัวแต่จ้องดวงตาคู่สวยคู่นั้นอยู่เป็นเวลานานฉันจึงเอ่ยปากขอโทษและจะขยับตัวเพื่อถอยห่างออกมา แต่ว่ามือของพี่จูฮยอนกลับเลื่อนขึ้นมาสัมผัสแนบแก้มของฉันเอาไว้ และมันก็ทำให้ฉันขยับไปไหนต่อไม่ได้โดยอัตโนมัติ
ใกล้…กว่าเดิมอีก
ใกล้ขนาดที่ฉันสังเกตทุกสัดส่วนของใบหน้าพี่จูฮยอนได้หมด ดวงตาที่ถูกกรีดด้วยอายไลเนอร์ทำให้ดวงตาคู่สวยดูเฉียบคมและมั่นใจในตัวเองกำลังจ้องมองฉันด้วยสานตาอ่อนโยน จมูกโด่งที่ในระยะ 2 นิ้วครึ่งฉันยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจ และไหนจะริมฝีปากบางที่แต่งเติมด้วยลิปสีเข้มนั่นก็ทำให้ฉันตกอยู่ในภวังค์ไปอีก…
พี่จูฮยอน สวยขนาดนี้เลยเหรอ…
“ซึลกียา…”
“…”
“…ทำไมเธอได้ไม่เข้าใจอะไรง่ายๆบ้างเลยนะ”
ครืดดด ครืดดด
ฉันละสายตาออกจากริมฝีปากนั่นในทันทีที่โทรศัพท์มือถือของฉันที่วางไว้อยู่บนหน้าตักสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรงทำให้เรากลับมานั่งเช่นปกติ ฉันหยิบมันขึ้นมาดูทันทีที่เห็นว่ามันขึ้นโชว์ชื่อ ‘ซึงวาน’ และรูปของเจ้าตัวที่กำลังยิ้มอยู่..ซึ่งเธอก็เป็นคนยุ่งกับมือถือของฉันเองนั่นแหละ
“ฉันขอ--”
“แฟนโทรมาแล้วนี่ เชิญตามสบาย”
และยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรให้เป็นมารยาท พี่จูฮยอนก็ลุกขึ้นจากโซฟาออกไปและพูดอะไรเอาไว้ให้ฉันงงเป็นหมีทำขวดน้ำผึ้งแตก
แฟน..?
นี่พี่เขาคิดว่าซึงวานเป็นเพื่อนของฉันงั้นเหรอ??
ฉันหลับตาและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่…นี่มันเป็นการเข้าใจผิดที่ใหญ่หลวงเลยนะเนี่ย..ให้ตาย…..
ครืดดด
โทรศัพท์ของฉันมันยังไม่หยุดดังเมื่อปลายสายโทรซ้ำเข้ามาเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้ฉันกดตัดสายซึงวานเพราะฉันคิดว่าตัวเองกำลังใช้สมองคลี่คลายความสับสนที่อยู่ในหัวของฉันและมันก็ยากลำบากเกินไปที่จะพูดคุยกับใครตอนนี้
ฉันกับซึงวานเราเป็นแค่เพื่อนกัน..
แต่ทำไม..พี่จูฮยอนถึงได้โกรธขนาดนั้นกันน่ะ?
ชอบ…
เราเหรอ….
ไม่มีทางหรอกน่า…โอ้ย หมีเครียด!
ฉันขยี้ผมตัวเองอย่างสับสนก่อนจะคว้าแก้วน้ำเปล่าขึ้นมายกดื่มเพื่อดับความร้อนที่เกิดจากความหงุดหงิดของตัวเอง
อี๋ แก้วใคร ทำไมน้ำมันขมปี๋อย่างนี้ล่ะเนี่ย
“ซึลกี! ดื่มไปเพียวๆรวดเดียวแบบนั้นได้ยังไงน่ะ?”
เสียงของรุ่นพี่มินทำให้ฉันที่หยีตาเพราะความขมหันไปมองอย่างงงๆ ก่อนที่คอและท้องของฉันจะรู้สีกแสบร้อนอย่างกับกินของร้อนเข้าไปยังไงยังงั้น
“มันก็น้ำ..เปล่าไม่ใช่เหรอคะ”
“นั่นมันวอดก้าที่พี่วางไว้!”
และก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงโวยวายของรุ่นพี่มินต่อไป ภาพตรงหน้าของฉันก็ดำมืดไปหมดแล้ว..
อ๋อย…ให้ตายสิ
ฉันค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกหนักๆที่เปลือกตา จำได้ลางๆว่าเผลอกระดกวอดก้าเพียวๆไปแก้วเดียวแล้วสลบไป ไม่นึกว่าเพราะไม่ค่อยได้กินอะไรแรงๆแบบนี้บ่อยๆจะทำให้เป็นแบบนี้ไปซะได้
ว่าแต่…ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย
“ชั้นบนของไนต์คลับ คอนโดของดงอุนน่ะ” ก่อนที่ฉันจะหาคำตอบได้ เสียงคุ้นเคยของพี่จูฮยอนก็เข้ามาในโสตประสาทของฉัน พี่จูฮยอนยืนพิงกระจกของห้องนอนที่มองเห็นแสงไฟของเมืองหลวงที่ฉันอาศัยอยู่ และนั่นมันก็ทำให้พี่เขาดูฮอตแบบไม่มีเหตุผลขึ้นมาเสียดื้อๆ
“คนที่จะไปส่งฉันดันหลับเพราะดันดื่มวอดก้าไปแบบวันช็อต ก็เลยบอกให้ดงอุนเปิดห้องไปเลยเผื่อหลับยาว”
“…”
ฉันได้แต่หลบหน้าหลบตามองนาฬิกาที่อยู่ตรงหัวเตียงที่บอกเวลา 22:15 มันรู้สึกแย่นะที่ให้คนที่เราชอบมาเห็นด้านแบบนี้ อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะฉันสลบเหมือด พี่จูฮยอนก็คงได้กลับบ้าน และไปเปิดร้านในวันพรุ่งนี้เป็นปกติแท้ๆ
“เป็นอะไร” น้ำเสียงนุ่มมาพร้อมกับการยุบตัวบนพื้นที่เตียงข้างๆตัว ฉันจึงรีบลุกขึ้นและถอนชิดผนังในทันที
“…รังเกียจเหรอ?”
“ป เปล่านะค--”
“ช่างมันเถอะ” พี่จูฮยอนที่ยังอยู่ในเดรสตัวเดิมจ้องมองฉันนิ่งจนทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง เขาขยับมาใกล้ฉันมากกว่าเดิม และส่งมือมาลูบทั่วใบหน้าของฉันช้าๆพร้อมด้วยรอยยิ้มมุมปากที่ค่อยๆยกขึ้นบนใบหน้าสวยนั่น
“พี่ไม่คิดเลยนะคะ..ว่าซึลกีจะใสซื่อขนาดนี้”
“…”
“ป้อนอ้อยให้ถึงปากแล้ว แต่ไม่รู้จักที่จะกินมัน”
ฉันรู้สึกกลัว…กำลังกลัวพี่เขา…พี่จูฮยอนเหยียดยิ้มมุมปากเหมือนตอนที่ฉันถามเหตุผลว่าทำไมพี่เขาถึงโกรธฉัน เพียงแต่สายตาในตอนนี้มันแตกต่างออกไป…ในครั้งนั้นมันฉายแววราวกับแมวที่ได้ของเล่น…แต่ว่าในครั้งนี้..
ฉันกลับเห็นว่ามันกำลังตัดเพ้ออยู่…
“พี่ไม่ได้ใสซื่อ สุภาพ เรียบร้อยหรืออินโนเซ็นท์ไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบที่ซึลกีคิดหรอกนะ”
“..”
“พี่อายุมากกว่าเราตั้งหลายปี….ไม่คิดว่าพี่จะผ่านอะไรมามากกว่าที่เราคิดหน่อยเหรอ”
“...”
ในขณะที่ฉันกำลังเงียบ พี่จูฮยอนก็เกลี่ยนิ้วลงบนริมฝีปากของฉันเบาๆ ก่อนที่เขาจะขยับเข้ามามากกว่าเดิมและทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงแรงบดเบียดที่ริมฝีปากของตัวเอง..
พี่จูฮยอนจูบฉัน.. จูบที่ฉันคิดว่าพี่เขากำลังพยายามทำให้ตัวเองเหนือกว่า…ฉันขมวดคิ้วเพราะความเจ็บที่รู้สึกได้บนริมฝีปาก…เขากัดฉัน
โกรธขนาดนั้นเลยเหรอ?
“ซึลกีน่ะ…ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย” ฉันลืมตาขึ้นเมื่อริมฝีปากนั่นถอนออกไป พบพี่จูฮยอนมองหน้าฉันด้วยสายตาเรียบนิ่ง…ก่อนที่พี่เขาจะคลี่รอยยิ้มอบอุ่นออกมาช้าๆ
“…รับไม่ได้ใช่มั้ยคะ”
“…มันไม่ใช่แบบนั้น…ค่ะ”
“…”
“ฉันแค่..ตกใจนิดหน่อย”
“อา แหงล่ะ ใครจะไปรับมือกับผู้หญิงแบบนี้ทันล่ะเนอะ จริงมั้ย”
“…”
“…”
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างฉันกับพี่จูฮยอน เพราะไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรออกมา..จนในที่สุด..คนที่ทำลายความเงียบ..ก็คือพี่จูฮยอน..
“พี่ชอบซึลกีนะ”
“..”
“ชอบมาตั้งแต่ที่พี่เห็นเราครั้งแรกที่คาเฟ่..แต่ตอนนี้ซึลกีคงไม่เห็นพี่หรอก”
พี่จูฮยอน…บอกชอบฉัน…
โฮลี่ มอลลี่…
หัวใจฉัน..เต้นแรงเกินไปแล้ว..
ความอึดอัดของฉัน..มันกำลังจะระเบิดออกมา..
“แต่ก็นั่นแหละ...เด็กที่ชื่อเวนดี้นั่นก็น่ารักดี--”
“ฉันกับซึงวานไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ!”
“…..”
โอยยย ซึลกีแกจะตะโกนทำไมเนี่ย ดูหน้าพี่จูฮยอนตกใจดิเห้ย ฮือๆ แต่ขอทีเถอะ ตอนนี้มันหยุดไม่ได้แล้วนะ..
“ซึงวานกับฉันเราเป็นเพื่อนกัน และคนที่ฉันชอบก็มีแค่พี่จูฮยอนคนเดียว เพราะอย่างนั้นถึงแม้ว่าพี่จะเป็นแบบไหนฉันก็ยังชอบพี่อยู่ดีนั่นแหละค่ะ...ก็มันชอบไปแล้วนี่...โธ่!”
ฉันยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองหลังจากที่ระบายออกไปแบบเต็มสูบเพราะความอายแบบเลเวลสิบที่ประเดประดังเข้าหน้าฉันจนทนไม่ได้ แถมที่พูดไปก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่เขาจะเชื่อหรือเปล่า….ฉันไม่ได้พูดเว่อร์ไปใช่มั้ยเนี่ย โธ่!
แต่กลับกัน…ฉันได้ยินเสียงหัวเราะดังพรืดหลังจากที่เงียบไปนาน พอฉันเอามือออกก็เห็นว่าพี่จูฮยอนกำลังพยายามกลั้นขำเต็มที่ และนั่นมันก็ยิ่งทำให้ฉันหน้าแดงมากกว่าเดิม
“พี่ไม่เคยเห็นซึลกีจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย” พี่เขายังคงกลั้นขำอยู่ จนฉันเริ่มทำหน้าไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อจนพี่จูฮยอนสูดหายใจเข้าลึกๆและยิ้มให้ฉันพร้อมด้วยสายตาอบอุ่นเช่นทุกวัน
“รู้อะไรมั้ย”
“?”
“ถ้าบอกพี่เร็วกว่านี้ เราอาจจะตื่นมาในสภาพที่ไม่มีเสื้อผ้าไปแล้วนะคะ”
พระเจ้า…ทำไมพี่จูฮยอนถึงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มแพรวพราวแบบนั้นได้หน้าตาเฉยละเนี่ย!
ฉันหน้าแดงปรี๊ดเป็นลูกแตงโม ในขณะที่พี่เขาเพียงแค่หัวเราะคิกคักและแทรกตัวเข้ามาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับฉัน ฉันขยับตัวเพื่อแบ่งพื้นที่ให้และเอนตัวลงนอนตาม ดูเหมือนว่าคืนนี้คงต้องใช้ที่นี่เป็นที่พักค้างคืนซะแล้ว แต่ยังไม่ทันหายหน้าแดงจากประโยคก่อนหน้านี้ แขนบอบบางก็เลื่อนเข้ามากอด พร้อมกับใบหน้าของเจ้าของแขนก็เข้ามาวางที่อกของฉัน
ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอม….ยอมตั้งแต่แรก
“ซึลกี…ตกใจมากเลยเหรอ?”
“คะ?”
“ที่เห็นพี่เป็นแบบนี้”
“ก็…ฉันคิดว่าพี่เป็นคนขี้อาย..ไร้เดียงสาอะไรแบบนั้น--”
ฉันยังพูดไม่ทันจะจบ มือของพี่จูฮยอนที่กอดฉันอยู่ก็เลื่อนขึ้นมาจับหน้าฉันให้ประจันหน้ากับเธอแบบไม่ทันได้ตั้งตัวจนคอแทบหลุด ฉันมองดวงตาซุกซนนั่นอย่างงงๆก่อนที่พี่จูฮยอนจะยิงลูกเบสบอลออกมาให้ใจฉันเต้นโครมครามอีกครา
“อนุญาตให้พิสูจน์ได้นะว่าไร้เดียงสาหรือเปล่า” และเจ้าตัวก็หัวเราะอย่างถูกอกถูกใจที่เห็นฉันหน้าแดง ฉันยู่ปากใส่พี่จูฮยอนเพราะรู้สึกว่าเขาจะสนุกกับการกลั่นแกล้งฉันซะแล้ว
พอหัวเราะแบบนี้ก็เป็นเบจูฮยอนคนใส่แว่นคนเดิมนั่นแหละน่า
“ยิ้มอะไรคะ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ” ฉันรีบตอบและหันหน้าหนีทันควัน แต่คนตัวเล็กกว่าก็กดฉันให้นอนหงายและเอาแขนกับหัวตัวเองขยับขึ้นมาเหนือตัวฉันแทน
นี่มันคร่อมกันทางอ้อมชัดๆ
“คิดจะโกหกพี่งั้นเหรอคะ?”
“ใครจะไปกล้าเล่า...” ฉันพูดพลางหลบสายตา ฉันคิดว่าฉันหลงรักผู้หญิงที่ชื่อเบจูฮยอนนี่สะแล้ว เพราะฉันหลบสายตาไปได้ไม่นานฉัน พี่จูฮยอนก็สั่งให้ฉันสบตากัน พอดีกับที่พี่เขาจูบฉันอีกครั้ง
จูบที่ดูดดื่มเสียจนหัวใจของฉันเต้นดังเกินไปที่จะนอนหลับต่อยันพรุ่งนี้เช้า
“คืนนี้นอนกันก่อน ไว้จะสอนอะไรที่ควรรู้มากกว่านี้ในวันหลังนะคะ” พูดพลางเกลี่ยแก้มฉันเล่นอย่างรู้ทันจนฉันอดหน้าแดงไม่ได้อีกครั้งและรู้สึกแพ้อย่างราบคาบ
“ทำไมพี่ถึงชอบแกล้งฉันจังเลยนะ”
“ก็เพราะว่าคนที่อินโนเซ็นท์น่ะ…คือคังซึลกีของพี่ต่างหาก”
end.
__________________________________________
มีสเปเชี่ยลนะคะ :D
#ฟิคหมีไร้เดียงสา
ความคิดเห็น