คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ : ดอกยี่หุบ ๕
๕
บ่ายแก่ๆ วันหนึ่งที่แสงอาทิตย์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทอง อากาศอุ่นโดยรอบเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นสบายเมื่อสายลมคอยพัดพาบรรดาแมกไม้ในสวนของวังทัตพงศ์มาลีให้เคลื่อนไหว ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดเสื้อคอระบายสีขาวกับกระโปรงลำลองตัวยาวที่เพิ่งถูกเปลี่ยนก้าวเท้าไปตามโถงทางเดินเนื่องจากตัวของเธอนั้นเพิ่งกลับจากการทำงานตลอดวันมาได้ไม่นาน หม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงเดินสวนเข้ากับสาวใช้มีอายุผู้หนึ่งที่กำลังจะหันกายมาพอดี
“เธอไม่รับข้าวมาพักใหญ่แล้วหรือ”
เอ่ยถามไปอย่างนั้นเมื่อในสองมือของสาวใช้เป็นถาดอาหารที่ดูไม่ค่อยได้รับการแตะต้องมากเท่าที่ควรนัก อีกทั้งภาพที่สาวใช้คนแล้วคนเล่าที่เคยอยู่ในสภาพนี้และมักปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องของน้องสาวคนรองในหลายวันที่ผ่านมานั้น ก็ทำให้เธอต้องผ่อนลมหายใจออกมาระหว่างรอคำตอบที่พอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว
“ค่ะคุณหญิงใหญ่ ส่วนมากที่พร่องไปจะเป็นผลไม้ หรือถึงรับก็ดูเหมือนจะแค่ไม่กี่คำ” สาวใช้ผู้นั้นกล่าวตอบแผ่วเบาด้วยสีหน้าหนักใจและค่อนข้างเป็นกังวล “ช่วงนี้คุณหญิงรองไม่ได้กลับมานอนที่วังบ่อยนัก หลายคนก็เป็นห่วง ทั้งพูดทั้งโน้มน้าวอะไรก็แล้ว...”
ถึงหญิงสาวจะเป็นอีกคนที่ไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่เพราะปัจจัยในการเดินทางที่ค่อนข้างสะดวกสบายมากกว่าแต่จินณวัตรก็พอรู้ อันที่จริงแม้น้องสาวคนรองของบ้านจะเป็นคนที่งานยุ่งเสียยิ่งกว่า แต่ก็ไม่เคยทำให้คนในบ้านนึกเป็นห่วงและกังวลได้ถึงเพียงนี้มาก่อน บรรยากาศโดยรอบจึงไม่นับว่าปกติทั่วไปนักสำหรับเธอ
สาวใช้คนเดิมหันมาพูดกับเธอต่อด้วยน้ำเสียงที่แสดงความอ่อนใจ “เห็นที จะไม่มีใครบังคับเธอได้แล้วมังคะ”
“ให้ฉันลองก่อนก็แล้วกันค่ะ”
จินณวัตรตัดสินใจบอกแบบนั้นและปล่อยให้สาวใช้เดินค้อมตัวจากไป เธอทอดสายตามองไปยังบานประตูที่ยังถูกปิดไม่สนิทดี ก่อนจะผลักมันแล้วก้าวเท้าเข้าไปยังอาณาเขตบริเวณผู้เป็นน้องสาวของเธอ
เสียงรองเท้าส้นเตี้ยที่เดินให้มีน้ำหนักพองามทำให้เจ้าของห้องผู้ซึ่งกำลังเก็บตรวจสอบเอกสารในกระเป๋านั้นรู้สึกตัว เมื่อนีราพรรณเห็นว่าผู้มาเยือนใหม่เป็นใครจึงได้ทักออกไปด้วยรอยยิ้มละมุนตามเคย
“พี่หญิงใหญ่”
แม้ใบหน้าอันคุ้นเคยที่คล้องเสื้อสีกากีไว้บนต้นแขนจะประดับด้วยรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ความอิดโรยและซูบผอมจะดูเด่นชัดเสียจนทำให้คนมองรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเมื่อนึกถึงต้นสายปลายเหตุอาการของหล่อน “เพิ่งกลับมาไม่ใช่เหรอ จะออกไปไหนอีก”
มองเห็นเรียวแขนทั้งสองข้างที่กอดอกไว้เป็นการเค้นคำตอบ และน้ำเสียงที่แสดงความไม่สบอารมณ์ออกมาก็ทำให้นีราพรรณรู้สึกไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันยังมีแฟ้มเอกสารที่ต้องจัดการอีกหน่อย เลยจะจัดการให้เสร็จภายในคืนนี้”
“หมายความว่าคืนนี้จะไม่กลับมาใช่ไหม”
เรียวคิ้วของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเลิกขึ้นทั้งรอยยิ้มมุมปากด้วยความประหลาดใจ “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หญิงจะนอนที่อื่นนอกจากวังของเรานะคะ”
อาจเพราะการโต้เถียงในแบบของหล่อนทำให้ลมหายใจของคุณหญิงจินณวัตรดูจะหนักหน่วงขึ้นทันตา ยอมรับว่านัยยะที่อยู่บนใบหน้าอย่าง ‘จะมาห่วงอะไรเอาป่านนี้’ ของน้องสาวเธอทำให้ตัวเองรู้ตัว จึงได้ผ่อนคลายท่าทางก่อนหน้านี้ด้วยการสัมผัสขอบเก้าอี้บุนวมทรงฝรั่งที่อยู่ตรงข้ามหล่อนไปพลางๆ
“ไม่มีข่าวของหล่อนเลยหรือ”
“ไม่พบร่องรอยของหล่อนในพระนครเลยค่ะ” คุณหญิงนีราพรรณตอบด้วยท่าทางคล้ายกับคนไม่ยี่หระ “อย่างไรเสีย หากจับตัวท่านชายได้ หล่อนก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ของหล่อนอยู่ดี”
...แต่กระนั้นคนเป็นพี่สาวอย่างเธอก็ยังสังเกตปฏิกิริยาที่ต่างออกไปได้
“แล้วจะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“…”
“หากจับตัวได้? แล้วถ้าเกิดคดีนี้ต้องค้างคายาวนานเป็นปี? หรือกระทั่งแย่ที่สุด...คือการที่หล่อนลาออกจากราชการไปเลยล่ะ?”
ทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงหม่อมหลวงนาราภัทรไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อม แม้อีกฝ่ายจะแสดงท่าทีคล้ายกับว่าเรื่องที่กำลังกล่าวถึงนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ดวงตาที่เคยหนักแน่นและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมนั้นมักจะไม่อยู่นิ่ง และเสมองไปทางอื่นราวกับกลัวว่าใครจะมาสัมผัสกล่องที่ใช้ซุกซ่อนความลับมากมายนั่นได้อยู่เสมอ
“ฝีมือของเธอเป็นอย่างไร ทำไมฉันจะไม่รู้...เธอคือคนที่พิสูจน์มันมาตลอดไม่ใช่หรือ ถ้าอยากทุ่มกำลังตามหาก็ทำไป ไม่ใช่ทำงานหนักจนไม่รู้วันรู้คืนแบบนี้ เคยเห็นสภาพของตัวเองบ้างหรือเปล่าว่ามันแย่ขนาดไหน”
เธอรู้ดีมาตลอดว่าน้องสาวคนรองของเธอมีประสิทธิภาพในการทำงานมากแค่ไหนแม้จะทำเหมือนไม่เอาจริงเอาจังกับมันก็ตาม ไม่ว่าจะคราวช่วยเหลือจิลลาภัทร หรือผลงานที่ทำได้ดีมาตลอดเพื่อไม่ต้องการให้พี่ชายใหญ่เป็นห่วงที่หล่อนเป็นผู้หญิงในวงการนี้ ความเก่งกล้าที่ออกจะชวนให้ผู้หลักผู้ใหญ่ปวดหัวนั้น สุดท้ายแล้วก็ยังคงมีจุดอ่อนให้ถูกทำลายลงจนได้
เพราะแบบนี้เธอจึงไม่คิดจะทำตามคำสั่งของพี่ชายใหญ่ อย่างเรื่องการแต่งงานหรือผูกมัดใดๆ กับใครคนอื่นก็ตามตั้งแต่แรกทั้งที่ควรจะเป็นเธอเสียอีกที่น่าจะเป็นฝั่งเป็นฝาไปก่อนใคร
“…”
“โตเสียทีเถอะหญิงนิ่ม อย่าหนีปัญหาด้วยการทำเป็นไม่เอาจริงเอาจังอย่างที่เคยทำเลย”
กล่าวทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นโดยไม่รู้ตัวว่าทำให้คนฟังตีความไปไกล การตำหนิที่คล้ายกับจะกระทบกับคนที่หนีห่างนั้นทำให้เชือกที่กักขังความรู้สึกอันมากมายถูกคลายลงทันตา
“แล้วพี่หญิงใหญ่จะให้ฉันทำอย่างไร?”
คำถามที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและเหนื่อยล้าทำให้หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเคลื่อนดวงตากลับมามอง น้ำเสียงที่จริงจังทั้งยังคาดคั้นอยู่ในทีทำให้ได้รับรู้ว่าตนเพิ่งกระทำสิ่งใดลงไป ความผิดหวังอันเจือแววในดวงตาโศกที่มองมา ย่ิงตอกย้ำว่าผู้หญิงคนนั้นสำคัญกับน้องสาวคนรองของตนเพียงใด...
“...ที่พี่หญิงกล่าวมานั้นถูกแล้ว เพราะตัวหญิงไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรก มันถึงได้วุ่นวายไปหมด”
“…”
“แถมหญิงยังทำให้คนสองคนต้องเสียใจอีก...รู้ทั้งรู้แบบนี้ ยังคิดจะให้หญิงไล่ตามหล่อนไปอีกหรือคะ”
“…พี่ไม่ได้จะหมายความอย่างนั้น--”
“สายแล้ว หญิงขอตัวก่อนนะคะ ขอโทษด้วยที่นั่งฟังคำพร่ำสอนของพี่หญิงต่อไม่ได้”
กว่าจะขยับริมฝีปากที่นิ่งค้างเพราะความตกใจได้อีกฝ่ายก็ก้าวเท้าจากไปเสียแล้ว ความหนักอึ้งที่ถูกวางอยู่เหนืออกถูกผ่อนออกมาเป็นลมหายใจยาวเมื่อเธอรู้ตัว แต่คำพูดก็หาใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้โดยง่ายเมื่อมันได้เปล่งเสียงออกไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
คุณหญิงจินณวัตรเพิ่งได้รู้ซึ้งเดี๋ยวนั้นเองว่า ที่ผ่านมาหม่อมราชวงศ์นีราพรรณนั้น เป็นผู้มีความอดทนมากกว่าใครในบรรดาพี่น้องทั้งหมดของวังทัตพงศ์มาลีจริงๆ
‘พี่ขอโทษค่ะ’
สิ้นคำกล่าวนั้นร่างกายของหม่อมหลวงอิลลาสินีก็คล้ายกับจะอ่อนแรง จนชายกลางคนที่อยู่ด้านหลังต้องก้าวเท้าเข้ามาคอยประคองไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงไปราวกับใบไม้ที่ปลิดปลิว หม่อมราชวงศ์เอกทัศน์เพียงปรายตามองเธอกับหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย เมื่อรู้ว่าความจริงแล้วคนที่ทำให้เธอไม่อาจรักอิลลาสินีได้นั้นเป็นเพราะลูกสาวของเขาอีกคน
‘ฉัน…ไม่เข้าใจค่ะ’ นาราภัทรเริ่มที่จะขยับริมฝีปากที่นิ่งค้างอยู่เมื่อครู่ออกไปได้ในที่สุด เธอพยายามสบตาเข้ากับคุณหญิงนีราพรรณที่บัดนี้ไม่กล้าแม้แต่จะหันมองเธอในตอนนี้ ‘หมั้น...คุณหญิงมีคู่หมั้นอยู่แล้วเหรอคะ?’
กระทั่งคำกล่าวของคุณชายเอกทัศน์ทำให้ความเข้าใจของเธอกระจ่างขึ้นมา..
‘นาง…เด็กคนนี้ คือลูกสาวอีกคนของพ่อ’
‘...คุณหญิงรู้ใช่มั้ย’
‘…’
‘ว่าคุณมีโอกาสที่จะบอกความจริงกับฉันได้ตั้งกี่ครั้ง’
หม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่พยายามกล่าวความจริงออกไปว่าความรู้สึกของเธอในตอนนี้และตั้งแต่แรกที่ผ่านมานั้นเป็นมาอย่างไร แต่คำพูดของหล่อนที่กล่าวออกมาราวกับสายฟ้าฟาดในยามดึกคืนนั้น ทำให้สองมือที่ประคองเรียวแขนของนาราภัทรไว้อ่อนแรงขึ้นมาทุกขณะ และน้ำตากับเสียงที่อดกลั้นความรู้สึกของหล่อนก็ยังคงดังก้องในหัวใจ จวบจนในทุกวันนี้เอง
‘ขอโทษนะคะ’
แม้สองสามบรรทัดในก่อนหน้านั้นในจดหมายที่ถูกทิ้งไว้จะกล่าวอ้างว่าเธอและผู้เป็นแม่รบกวนทางวังทัตพงศ์มาลีมาพักใหญ่ แต่มีประโยคที่ถูกเขียนลงท้ายบนกระดาษไม่กี่คำเท่านั้นที่ทำให้หัวใจของเธอด้านชาราวกับไร้ชีวิต
เธอมีโอกาสที่จะได้บอกหล่อนมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ
เพียงเพราะกลัวว่าการพึ่งพาและความไว้เนื้อเชื่อใจที่หล่อนมีให้จะหายไปในพริบตา
ร่างของหญิงสาวในชุดสีกากีที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนั้นเหลือบสายตาขึ้นมาร่างของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่ใช้ฝ่ามือกุมขมับและดวงตาของตนเองไว้เป็นระยะ เสียงลมหายที่ถูกทอดถอนออกมาเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอนัก เพราะถ้าไม่อย่างนั้นผู้หมวดของเธอก็จะเหม่อลอยทอดสายตาไปข้างนอกเป็นบางครั้ง แม้จะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าทั้งตัวเธอและจ่าธงชัยที่เป็นคู่หูกันนั้นก็คล้ายจะรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่แปลกไป ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างหล่อนและสารวัตรผู้เป็นเจ้านายโดยละเอียดก็ตาม
เดือนกว่าแล้วที่ไร้วี่แววของหม่อมหลวงนาราภัทรในพระนครและที่สำนักงาน กำลังคนที่วางไว้คอยตามเบาะแสของท่านชายฉัตรินตามจุดต่างๆ ก็ไม่พบเห็นทั้งผู้ต้องสงสัยหลักและผู้ร่วมรับผิดชอบของคดีนี้ ภายนอกอาจจะเหมือนสารวัตรของเธอเก็บตัวตามคำสั่งให้ออกจากราชการชั่วคราวเพื่อรอสอบความ แต่เธอก็ได้ยินคำสั่งของคุณหญิงนีราพรรณในบางครั้งที่ถามหาหล่อนกับคนที่เข้ามารายงานราวกับว่าหล่อนอันตราธานหายไปที่ใดสักที่หนึ่ง
แล้วถ้าหากหล่อนหายตัวไปจริง ก็ไม่แปลกใจเลยหากนั่นจะทำให้คุณหญิงนิ่มกลายเป็นคนไม่มีสมาธิในการทำงานขึ้นมา
หล่อนเป็นทั้งหัวหน้าและบุคคลสำคัญของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณ เก่งกาจถึงเพียงนั้นมีหรือจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้เห็นได้โดยง่าย
“ผู้หมวดคะ..”
ร่างเพรียวละฝ่ามือจากการนวดเปลือกตาที่เหนื่อยล้าของตนเองออกเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยเรียก จึงได้เห็นหญิงสาวเจ้าพนักงานอีกคนที่คุ้นเคยกันยืนอยู่ “มีอะไรคะ จ่ารวิ”
“ถึงสิ่งที่ฉันจะพูดมันไม่ใช่งานราชการก็เถอะ แต่ผู้หมวดไม่ได้้กลับไปที่พักผ่อนสี่วันสี่คืนแล้วนะคะ”
แผ่นหลังของหญิงสาวผู้เอ่ยนั้นยังคงมั่นคงตามหน้าที่ที่อยู่ในชุดทำงาน แต่หล่อนก็มองมาด้วยสายตาที่ห่วงใยอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน
“ฉันทราบค่ะ แต่ได้งีบเป็นพักๆ ไปบ้างแล้ว เพราะฉะนั้น....”
“ขออนุญาตครับ” ยังไม่ทันได้ตอบกลับหญิงสาวที่อุตส่าห์เตือนด้วยความเป็นห่วง เสียงของผู้มาเยือนใหม่ที่ปรากฏขึ้นก็ขัดประโยคเข้าเสียก่อน “ผู้หมวด มีสายของเราพบร่างของคนที่หายตัวไปเมื่อสองเดือนก่อนครับ”
ตำรวจชั้นผู้น้อยผู้หนึ่งที่นีราพรรณพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างกล่าวรายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำ และคำพูดของเขาก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องนั้นตื่นตัวแทบจะทันที
“พบที่ไหน?”
“โกดังที่หนึ่งในเขตกำแพงแสน ได้รับข้อมูลคร่าวๆ มาว่าสามารถหนีออกมาได้ แต่อยู่ในสภาพอิดโรยมากครับ”
เธอพยักหน้ารับขณะหันไปแจ้งกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูสถานที่เกิดเหตุก่อนเถอะ”
“แล้วจ่าธงชัยล่ะคะ?”
นีราพรรณคว้าอุปกรณ์คู่ใจก่อนจะหันมามอง แม้จะรู้สึกแปลกเล็กน้อยที่เจ้าหน้าที่ที่ไว้ใจได้ไม่ใช่คนมารายงาน แต่ในเมื่อคดีนี้ต่างเป็นเรื่องใหญ่ที่เจ้าพนักงานหลายคนพร้อมใจกันเป็นหูเป็นตา เธอจึงส่ายหน้าและบอกกล่าวออกไป
“เขายังยุ่งกับงานอื่น พาเจ้าหน้าที่อีกคนไปด้วยกันก่อนแล้วกัน”
ใช้เวลาเกือบพักใหญ่ๆ กว่าที่ทั้งหม่อมราชวงศ์นีราพรรรจะมาถึงสถานที่ที่ได้รับแจ้งข่าว บริเวณภายนอกโกดังมีรถยนต์และเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำเขตยืนกล่าวทักทายเธอตามวินัยก่อนจะรายงานถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า จึงได้ความว่าลูกจ้างของโกดังที่นี่ได้ยินเสียงโอดครวญจนต้องเดินมาดู ถึงได้พบร่างของหญิงสาวที่ถูกแจ้งว่าหายตัวไปขณะที่คนดูแลที่บ้านละสายตาไปได้เพียงครู่
สภาพของบุคคลที่ถูกพบนั้นดูสะบักสะบอมจากการถูกทำทรมาน ใบหน้าที่และร่างกายมีรอยช้ำเขียวจากการทุบตีโดยไม่ได้รับการรักษา อิดโรยจากการเหนื่อยสะสม ครั้นดูแล้วเหมือนสติยังไม่สมประกอบเสียด้วยซ้ำ จึงเป็นที่น่าเวทนามากขึ้นไปอีก
การที่คนหายตัวไปสามารถหลบหนีออกมาได้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่และน่าจับจ้องของชาวบ้านละแวกนั้นที่ได้ติดตาม พื้นที่บริเวณดังกล่าวโดยรอบจึงถูกกั้นและห้ามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องข้ามเข้ามาได้แต่ก็ไม่อาจปิดบังความสงสัยใคร่รู้ ยิ่งคนที่ถูกพบเป็นหญิงสาวที่มีสติไม่สมประกอบแต่กลับหนีรอดออกมาได้ บ้างจึงพูดไปต่างๆ นาๆ ว่าหล่อนยังดวงไม่ถึงฆาต และก็ว่ากล่าวสาปส่งคนทำที่ใจดำอำมหิตซึ่งกระทำกับหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อได้ลงคอ
“ฉันจะไปดูทางนี้ จ่ารวิอยู่กับเขาไปก่อนนะคะ”
เพราะเป็นการแจ้งข่าวที่นับว่าค่อนข้างกระชั้นชิด เจ้าหน้าที่ที่มายังสถานที่เกิดเหตุจึงมีไม่มากพอที่จะสำรวจทั้งโกดังได้ครบถ้วนดีจนอาจละเลยหลักฐานบางชิ้นไป ครั้นเมื่อปล่อยให้จ่ารวิภาที่มาด้วยกันคอยดูแลเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายระหว่างรอให้รถพยาบาลที่ไกลจากที่นี่นั้นมาถึง นีราพรรณจึงพยักหน้าให้นายตำรวจที่เป็นคนแจ้งข่าวนั้นมาด้วยกันกับเธอแทน
โกดังแห่งนี้คล้ายจะเป็นสถานที่ไว้กักเก็บท่อนไม้ต่างๆ ของเจ้าของกิจการส่งออกผู้หนึ่ง กลิ่นของเศษเลื่อยและชิ้นไม้ต่างๆ อบอวลเป็นการบ่งบอกถึงการปิดกั้นของโกดังที่นานครั้งจะมีคนย่างกรายเข้ามา หม่อมราชวงศ์นีราพรรณสอดส่องสายตาของตนไปรอบกายและเส้นทางที่แคบแต่ก็มีตรอกซอยเล็กๆ ให้เดินผ่านกันไปมา เพราะเธอพยายามที่จะเก็บรายละเอียดไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้กระทั่งบรรดาผนังสังกะสีที่ไม่ได้รับการดูแลเลยก็ตาม
ฟึ่บ!
เนื่องจากเส้นทางที่แคบนั้นทำให้ประสาทสัมผัสของหญิงสาวซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วทำงานได้เป็นอย่างดี ทันทีที่หางตารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างจากเส้นทางด้านขวามือ เธอก็กระชับ luger marine อันเป็นสิ่งของคู่ใจนั้นให้เข้ามืออย่างมั่นคงก่อนจะค่อยๆ ย่างกรายฝีเท้าเข้าไป..
อาจเพราะแผนผังภายในโกดังที่มีเส้นทางให้เดินสำรวจได้อย่างซับซ้อน นีราพรรณจึงไม่อาจจับต้นเสียงที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่จากทิศทางรอบกายได้ดีนัก แม้แต่นายตำรวจชั้นผู้น้อยที่เดินตามเธอมาก็ยังมีอาการละล้าละลังเป็นระยะ ราวกับว่าเจ้าของการเคลื่อนไหวนั้นจะตั้งใจหลอกล่อให้พวกเธอสับสนว่ามันอยู่ทิศทางใดกันแน่ ดวงตาของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณพลันคมกริบขึ้นตามสัญชาตญาน ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวเท้าไปยังต้นเสียงที่ตนมั่นใจด้วยความคล่องตัว
“หยุดแล้วยกมือขึ้นเหนือหัว”
ไม่นานนักการวิ่งไล่จับนี้ก็จบลงเมื่อคุณหญิงนีราพรรณสังเกตเห็นชายเสื้อของร่างนั้นได้ทัน หญิงสาวรีบก้าวตามไปยังเบื้องหลังของชายผู้นั้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพบว่าเป็นทางตันของห้องเก็บไม้ห้องหนึ่ง ชายหนุ่มต้นตอของการเคลื่อนไหวที่จงใจปั่นหัวตำรวจนั้นสวมกางเกงเก่าๆ และเสื้อลายทาง ทันทีที่ได้ยินคำสั่งจากปากของหญิงสาว เขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นระดับหัวไหล่ก่อนจะหันใบหน้านั้นมาในที่สุด
ดวงตาของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเบิกขึ้นทีละน้อยเมื่อความคลับคล้ายคลับคลานั้นทำให้เธอค่อยๆ นึกบางอย่างออก ชายหนุ่มผู้นี้หาใช่ชาวบ้านหรือผู้ต้องสงสัยหลัก แต่กลับเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่หญิงสาวเคยมีคำสั่งให้เขาย้ายไปช่วยงานที่กองเอกสารโทษฐานที่ดูหมิ่นเจ้าพนักงานลำดับสูงในคราวนั้น
“คุณ..เป็นตำรวจนี่?”
พลั่ก!!
ยังไม่ทันคลายความสงสัยภายในใจนีราพรรณก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจากทางด้านหลัง ความปวดหนึบแล่นริ้วไปทั่วศีรษะ และความหนักอึ้งนั้นก็ทำให้ร่างเพรียวล้มลงไปอย่างเสียไม่ได้
ชายหนุ่มตรงหน้าเธอลดมือลงและคลายยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำของตน “แหม..จำผมได้เสียด้วย เป็นเกียรติจริงๆ เลยครับคุณหญิง”
“..ทำไม--ทำไมถึงทำแบบนี้” ในตอนที่ความเจ็บกำลังจะทำให้ดวงตาของเธอปิดลง หญิงสาวจึงเหลือบมองไปยังด้านหลังและคำถามนั้นราวกับจะถามนายตำรวจหนุ่มอีกคนที่ตามหลังเธอมาในตอนแรก สีหน้าของเขาเรียบเฉย และไม่รู้สึกรู้สาอะไรต่อคำถามนั้นแม้แต่นิด ท่อนไม้ไม่ใหญ่มากในมือของเขามีรอยสีเข้มอยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเธอติดกับแผนของคนทั้งสองมาตั้งแต่ต้น
และสิ่งสุดท้ายที่นีราพรรณรับรู้..ก็คือคำกล่าวของชายหนุ่มผู้น้ัน และท่อนไม้ในมือของตำรวจอีกนายที่เงื้อขึ้นหมายจะทำลายมือข้างถนัดของเธอ...
“ใครใช้ให้คุณเข้าไปยุ่ง เรื่องของคนที่ไม่ควรยุ่งล่ะ”
“พี่หญิงนิ่ม!”
เสียงที่ดังขึ้นเป็นอันดับแรกปะปนไปด้วยบุคคลมากกว่าหนึ่ง ทำให้เจ้าของเปลือกตาอันหนักอึ้งที่เพิ่งจะรู้สึกตัวได้ไม่นานต้องใช้เวลากระพริบมันครู่หนึ่งเพื่อสังเกตว่าสภาพแวดล้อมรอบข้างของตนคือที่ใด
“รดาหรือ” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณได้ยินเสียงที่แหบของตนเพราะขาดน้ำระหว่างค่อยๆ หันมองผู้เป็นน้องสาวที่ขนาบข้างเตียงนอน “เจ้าจิลด้วยสินะ”
“เดี๋ยวหญิงจะไปตามพี่หญิงกับพี่ชายใหญ่มาก่อนนะคะ” คุณหญิงดารารินทร์กล่าวกับเธอดังนั้นก่อนจะหันกายออกไปยังประตูห้องโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจระคนโล่งอก ครั้นเมื่อเหลือเพียงเธอกับน้องสาวคนสุดท้องที่ส่งสายตามองมาด้วยความรู้สึกมากมาย นีราพรรณก็คลายยิ้มเบาบางตามประสาคนช่างยอกเย้าออกไป
“ทำหน้าแบบนั้นทำไมล่ะจิลลาภัทร”
คุณหญิงจิลลาภัทรถอนหายใจยาวออกมากว่าปกติ ถึงจะโล่งใจที่ยังเห็นคนที่มีผ้าพันแผลรอบหน้าผากและข้อมือด้านขวายิ้มได้ แต่เพราะเมื่อแรกได้ฟังข่าวคราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับอีกคน ความรู้สึกตกใจและหวาดกลัวอยู่ลึกๆ นั้นก็ยังคงฝังอยู่ในใจ “พี่หญิงรองหลับไปสองวัน พวกเราเป็นห่วงมากนะคะ”
น้ำเสียงและแววตาที่บ่งบอกอย่างจริงจังนั้นทำให้คนที่คลายยิ้มอยู่รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ ถึงหล่อนจะไม่ได้แสดงออกด้วยท่าทางเหมือนคนจะร้องไห้เช่นดารารินทร์ แต่เธอก็รับรู้ได้ถึงความเป็นกังวลที่แฝงอยู่ในสีหน้าของหล่อนได้เป็นอย่างดี นีราพรรณจึงค่อยๆ เคลื่อนมือที่ยังคงใช้การได้เข้าไปแตะเส้นผมของอีกฝ่ายให้คลายกังวล
“ขอโทษนะ”
หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่เอนเอียงศีรษะทุยนั้นเข้าหาฝ่ามืออุ่นของเธออย่างที่เคยชอบทำเวลาบรรดาพี่สาวพี่ชายปลอบประโลม
ไม่นานนักเตียงภายในห้องพักส่วนตัวก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอและพยาบาล รวมถึงบรรดาคุณหญิงคุณชายจากวังทัตพงศ์มาลี นีราพรรณได้รับฟังอาการคร่าวๆ ของตนว่าข้อมือด้านขวาบอบช้ำและต้องเข้าเฝือก อาจจะทำให้ใช้การไม่ได้ไปชั่วคราว กลับกันกับศีรษะของตนที่ได้รับบาดเจ็บจากการทำร้ายทางด้านหลัง แต่โชคยังดีที่ไม่ร้ายแรงจนถึงขั้นน่าเป็นห่วง จึงแนะนำให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสักพักไปก่อน
“พี่ชายใหญ่คะ...”
เมื่อเหลือเพียงสมาชิกภายในครอบครัว หญิงสาวที่นอนอยู่ก็เอ่ยปากเรียกขานชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่มีสีหน้าเคร่งขรึมมาตลอดนับตั้งแต่ที่เธอฟื้นคืนมา หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์จ้องมองคำกล่าวที่ซ่อนอยู่บนนัยหน้าของผู้เป็นน้องสาวคนรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาที่เหนื่อยล้านั้นอย่างใจเย็น
“พี่สัญญากับตัวเองไว้ตั้งแต่คราวหญิงรดาแล้วแท้ๆ ว่าจะไม่ต้องมีน้องสาวคนไหนถูกทำร้ายอีก...” เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนด้วยความรู้สึกมากมายที่อยู่ในใจ “แต่พี่คงเป็นพี่ชายที่บกพร่องมากสินะ”
“ไม่ใช่ความผิดของพี่ชายใหญ่หรอกค่ะ” คุณหญิงดารารินทร์สัมผัสไหล่ของชายหนุ่มไว้เพราะไม่อยากให้เขาโทษตัวเอง “เป็นคนพวกนั้นต่างหาก ที่ทำร้ายเธอ”
ก่อนหน้านี้เมื่อนีราพรรณฟื้นขึ้นมาไม่นานก็ประจวบกับที่จ่ารวิภาเข้ามาเยี่ยมเยียน พวกเธอทั้งหมดจึงได้ทราบเรื่องราวหลังจากนั้นที่เกิดขึ้นที่โกดังเก็บไม้จากปากของหญิงสาว โดยหล่อนกล่าวว่าเกิดเสียงโวยวายจากนายตำรวจผู้ที่ได้ติดตามคุณหญิงนิ่มไปหลังจากหายไปสำรวจครู่หนึ่ง เมื่อพวกหล่อนที่อยู่บริเวณนั้นทราบเรื่องจึงวิ่งตามเข้าไปดูถึงเห็นว่าเธอสลบไปเพราะบาดเจ็บสาหัส จ่ารวิภาจึงได้ออกคำสั่งให้ตามจับชายผู้ต้องสงสัยคนนั้นแล้วรีบส่งเธอมาที่โรงพยาบาลทันที
ครั้นเมื่อได้ฟังเหตุการณ์จากปากของนีราพรรณเอง ทั้งผู้เป็นจ่าสิบตำรวจและบรรดาพี่น้องของเธอก็มีอาการขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก พวกหล่อนแทบจะกลับไปเอาเรื่องนายตำรวจคนนั้นที่ลอบทำร้ายเธอแล้วยังแสร้งตะโกนขอกำลังเสริมให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ถูกห้ามไว้ด้วยเวลานั้นพยานปากเอกมีแค่ตัวเธอเพียงคนเดียว และหลักฐานบนร่างกายนี้ก็ยังไม่มากพอที่จะปิดช่องโหว่ใดๆ ในอุบัติเหตุครั้งนี้ได้
“พักไว้ก่อนเถอะ เรื่องนี้ไว้จัดการคราวหลังก็ยังไม่สาย” หม่อมราชวงศ์จินณวัตรเป็นฝ่ายพูดขึ้นเมื่อความคุกรุ่นในวงสนทนายังคงมีอยู่ เธอหันไปบอกกับบรรดาคนที่อยู่รอบตัวก่อนจะหันมากล่าวกับน้องสาวของตน “พักผ่อนและรักษาตัวไปก่อน คราวนี้พี่จะเฝ้าหล่อนเอง”
คุณหญิงนีราพรรณยังคงรับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในหลายวันต่อมา ร่างกายที่มักจะเคยขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดจึงค่อยๆ เริ่มคุ้นชินกับการนอนติดเตียงเพื่อพักผ่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าสะสมตลอดมา และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่พี่หญิงใหญ่ของเธอคอยดูอาการอยู่ที่นี่โดยปัดคำอาสาของบรรดาน้องสาวอีกสองคนอย่างที่ทำเมื่อหลายวันก่อนแทน
แม้บทสทนาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอทั้งคู่จะเป็นการถามไถ่อาการเล็กน้อย แต่ความกระอักกระอ่วนใจจากการมีปากเสียงครั้งล่าสุดนั้น ก็ยังคงมีผลกระทบให้เห็นอยู่เป็นระยะ เธอเคยเอ่ยปากบอกให้หล่อนกลับไปพักผ่อนที่วังเสียดีกว่าจะกินนอนอยู่ที่นี่แล้ว แต่เพราะคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่ายและศักดิ์ของคนอายุมากกว่า ทำให้เธอเลือกที่จะเชื่อฟังและไม่คิดสร้างปัญหาหรือความอึดอัดใจอะไรให้กับหล่อนเพิ่มเติม
ส่วนเรื่องคดีความของหม่อมเจ้าฉัตรินที่ถูกโยกย้ายมาอยู่ในความรับผิดชอบของตนนั้นก็ถูกยกให้ตำรวจนายอื่นรับช่วงต่อแทน และบุคคลผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากนายตำรวจที่ลอบทำร้ายเธอจากทางด้านหลัง จ่าธงชัยที่เป็นผู้มารายงานให้เธอรับรู้ไม่ค่อยพอใจนักด้วยรู้กันดีว่านี่เป็นสิ่งที่คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นต้องการ นับตั้งแต่การ ‘จงใจ’ ปล่อยเหยื่อให้หนีออกมา เพียงเพื่อผลักเธอออกจากการรับผิดชอบคดีคนหายด้วยการซื้อคนจากภายใน ให้ร่างกายของเธอไม่พร้อมที่จะดำเนินการและสั่งสอนไปในตัว..
..เพราะแบบนี้พวกเขาจึงลงมือกับเธอไม่ให้ถึงตาย
ทันทีที่คิดว่ายังคงลงมือทำอะไรไม่ได้มากหม่อมราชวงศ์นีราพรรณจึงผ่อนลมหายใจของตนให้คงที่ เมื่อปล่อยให้ความคิดที่ขมุกขมัวนั้นค่อยๆ จางหายด้วยการตัดสินใจที่จะปล่อยให้ร่างกายที่อ่อนล้าได้พักผ่อน หญิงสาวปิดเปลือกตาของตนเองลง และปล่อยให้สายลมในยามบ่ายคล้อยที่พัดผ่านหน้าต่างนั้นขับกล่อมเธอให้หลับไป
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เธอได้จมลงเข้าสู่ห้วงความฝัน ช่วงหนึ่งนั้นนีราพรรณคล้ายกับจะได้ยินเสียงคนก้าวเท้าเข้ามาในห้องพักส่วนตัวของตนและเดินเข้ามาใกล้อย่างที่บรรดาคุณหมอและพยาบาลจะคอยเวียนกันเข้ามาดูแล
แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากครั้งอื่นๆ...เห็นทีจะเป็นเพียงกลิ่นกรุ่นกายคล้ายดอกยี่หุบที่คุ้นเคยเสียกระมัง
ครั้นรู้สึกถึงมือที่แตะลงบนผ้าพันแผลบริเวณศีรษะนีราพรรณก็สั่งให้ร่างกายนิ่งเฉยไม่ขยับตัว เพราะกลัวว่าการลืมตาตื่นขึ้นมาในเวลานี้ จะทำให้ภาพจินตนาการที่วาดฝันไว้ว่าเจ้าของกำไลที่เธอยังคงสวมอยู่กับตัวมาคอยห่วงใยนั้นหายไปภายในชั่ววินาที
ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่เปลือกตาซึ่งอ่อนล้าอยู่นั้นจะค่อยๆ เปิดขึ้น สิ่งแรกที่หญิงสาวรับรู้ได้ก็คือภายในห้องที่มีเพียงหม่อมราชวงศ์จินณวัตรผู้กำลังอ่านหนังสือในมือ และเสียงพูดคุยจากบรรดาพยาบาลที่คอยเดินเท้าทำหน้าที่ของตนให้ได้ยินอยู่ไกลๆ เหมือนเช่นทุกวัน
“….”
เมื่อไม่เห็นสิ่งใดแปลกไปจากสภาพแวดล้อมปกติ คุณหญิงนีราพรรณถึงได้เสมองไปยังหน้าต่างทางหัวนอนที่ถูกเปิดไว้เพื่อให้สายลมได้พัดผ่านเข้ามา เมื่อนั้นเองเธอจึงได้เห็นอะไรบางอย่างที่ดูผิดแปลกไป...
กลีบดอกตูมสีขาวตกอยู่ไม่ห่างจากตัวตนของมันที่มีขนาดพอดีกับฝ่ามือ ยี่หุบบุปผาที่ถูกนำมาวางอย่างพอเหมาะพอดีเกินไปที่จะเป็นเพียงแค่การร่วงหล่นลงมาจากต้นที่อยู่นอกหน้าต่าง ทำให้ดวงตาที่เหนื่อยล้าของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณมีประกายความสงสัยขึ้นมาทันที
“พี่หญิงอยู่ที่นี่ตลอดหรือคะ”
เสียงที่เอ่ยถามออกมาจากปากคนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ทำให้คุณหญิงจินณวัตรผละสายตาจากตัวหนังสือในมือออกมามอง “ฉันลุกไปพูดคุยกับพยาบาลเป็นบางครั้ง มีอะไรหรือเปล่า ปวดหัวไหม”
ครั้นพอได้ยินคำตอบที่ตอกย้ำความเป็นจริง แววตาที่มีประกายความหวังและประหลาดใจนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังตามเดิม
“เปล่าค่ะ”
ถึงจะถูกวางไว้อย่างพอดีเกินไปก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในบางวันพยาบาลที่คอยดูแลภายในโรงพยาบาลมักจะนำดอกไม้เข้ามาเปลี่ยนไว้ให้ในช่วงยามบ่ายที่เธอมักจะผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาเสมอ และมันก็เป็นไปได้เช่นกัน หากพี่หญิงใหญ่จะเป็นคนที่พบมันข้างหน้าต่างและนำมาวางไว้เอง..รวมถึงคอยสัมผัสผ้าพันแผลรอบศีรษะที่ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างเดิม
ความขมขื่นภายในใจก่อตัวขึ้นมากมายเสียจนต้องข่มมันลงด้วยการปิดเปลือกตาเพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นจริง นีราพรรณหวังเพียงว่าภาพจินตนาการที่เธอรู้สึกอยู่เมื่อครู่จะไม่จางหายไปในห้วงนิทรา เหมือนกับความจริงที่ตนนั้นกำลังเผชิญ...
วันเวลาผ่านไปร่วมเดือน นับเป็นหนึ่งสัปดาห์แล้วที่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณได้ออกจากการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลและกลับมาอยู่ที่วังอีกครั้ง แม้สิทธิหน้าที่ในการทำงานจะถูกริดลอนลงไปเกือบครึ่ง แต่หญิงสาวก็ยังคงรับตำแหน่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการวางแผนยามเมื่อเจ้าหน้าที่ต่างๆ มาขอคำแนะนำ และคอยสืบความคดีของหม่อมเจ้าฉัตรินเบื้องหลังอยู่ต่อไป
แม้นายตำรวจที่กลายเป็นผู้รับผิดชอบคดีหลักนั้นจะเอาแต่รายงานว่าไม่มีร่องรอยของผู้ต้องสงสัยหลัก แต่นีราพรรณก็รู้ดีว่าถึงเขาทราบเขาก็จะยังปิดบังมันไว้กับตัว บรรยากาศในการทำงานมีทั้งการข้องแขวะและมาคุขึ้นทุกขณะ แต่เธอก็แน่ใจได้ว่าเวลานี้ท่านชายผู้นั้นคงกำลังจะใกล้เคียงกับสถานะของหมาจนตรอก จึงมีคำสั่งให้บุคคลที่เธอวางไว้ทั่วบริเวณนั้นกระทำการอย่างเงียบเชียบและคอยจับตาทุกการกระทำของคนในพระนคร และภายในสำนักงานตำรวจให้มากขึ้นกว่าเดิม
“แน่ใจหรือว่าอยากไป”
ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของวังดอกไม้เอ่ยถามหญิงสาวในชุดกระโปรงฝั่งตรงข้ามที่ห้องทำงานเขาด้วยแววตาเป็นกังวล ถึงตอนนี้น้องสาวคนรองของเขาจะใกล้เคียงกับคำว่าหายดีแล้ว แต่หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยที่อีกคนได้รับคำเชิญจากครอบครัวที่ได้ชื่อว่าเกือบจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน อย่างคุณชายเอกทัศน์ที่กำลังจะจัดงานมอบทุนการศึกษาในวิทยาลัยที่เขาเป็นอาจารย์อยู่
อีกฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่ามันคงจะเป็นโอกาสอันดีหากอยากจะแนะนำคนที่มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศแก่คนรู้จักของเขาในมหาวิทยาลัยนั้น ถึงคุณชายใหญ่อย่างเขาจะแอบนึกเห็นด้วยว่าอาจจะเป็นการเปิดเส้นทางใหม่แก่หล่อนหลังเกษียณ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าชายกลางคนน่าจะใช้มันบังหน้าเพื่อต้องการพบหน้าน้องสาวของเขาหลังเกิดเรื่องนั้นเสียมากกว่า
“คุณชายเชิญหญิงเป็นพิเศษทั้งที หญิงไม่อยากหักหาญน้ำใจเขาหรอกค่ะ”
ถึงตอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลครอบครัวอีกฝ่ายจะไม่ได้มาเยี่ยมเยียน แต่ทุกครั้งที่พี่ชายใหญ่ของเธอมาเยี่ยมก็มักจะได้รับฟังคำถามไถ่และกระเช้าดอกไม้ของคุณชายเอกทัศน์อยู่เสมอ หญิงสาวรู้ดีว่าที่เขาเลือกจะกระทำเช่นนี้คงเพราะความกระอักกระอ่วนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และตัวเขาเองก็คงคิดว่าตนเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งบานปลายขึ้นด้วย
คุณชายเจตน์พยักหน้ารับก่อนจะยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบ “ถ้าเราว่าอย่างนั้น พี่ก็จะไม่ขัดแล้วกันนะ”
งานมอบทุนการศึกษาที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้คน ขนาดงานจัดจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับว่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่เข้ามาจัดการนั้นเป็นที่รู้จักในวงสังคมอย่างไรบ้าง หม่อมราชวงศ์เอกทัศน์มีตำแหน่งในกระทรวงศึกษาธิการ ปู่ของเขาเองที่สิ้นอายุขัยไปแล้วก็มีหน้ามีตาในกระทรวงมหาดไทยจนมีคนที่ยังเกรงใจในสิ่งที่ครอบครัวเขาได้ทำ งานมอบทุนการศึกษาแก่คณะของคุณชายเจตนิพันธ์ที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายนี้จึงมีผู้ที่ให้ความสนใจอยู่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
นีราพรรณมาถึงสถานที่จัดงานที่หอประชุมพร้อมกับพี่ชายใหญ่ในยามบ่ายแก่ๆ พื้นที่โดยรอบทั้งหลายถูกจัดแจงและเตรียมไว้ต้อนรับแขกกิตติมศักดิ์มาตั้งแต่ยามเช้าตรู่ เธอยืนเคียงข้างชายหนุ่มที่สวมสูทสีครีมขับความสง่าสมกับเป็นอาจารย์ประจำคณะ ส่วนหญิงสาวนั้นก็สวมเสื้อแขนยาวสีขาวมีระบายที่บริเวณข้อมือและกลางอกอีกชั้นรับกับกางเกงขาม้าสีดำบนส้นสูง แม้จะดูเรียบง่ายไปบ้างเมื่อเทียบกับบรรดาหญิงสาวในเสื้อบุหงาและเดรสออกงาน แต่เมื่ออยู่บนกายของดอกไม้แห่งวังทัตพงศ์มาลี ย่อมทำให้เธอไม่อาจเปล่งประกายไปน้อยกว่าใคร
“พี่หญิงนิ่มคะ”
เสียงที่คุ้นเคยนั้นทำให้คนที่คาดเดาได้อยู่แล้วว่าจะต้องพบหล่อนในวันนี้หันไปมอง หม่อมหลวงอิลลาสินีในเดรสสีชมพูอ่อนที่มีส่วนฟูฟ่องช่วงล่าง ลำคอระหงส์ถูกสร้อยไข่มุกเม็ดเล็กล้อมรอบรับกับทรงผมที่ดูจะยาวขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่พบกัน ยิ่งขับให้หล่อนในวันนี้ดูเติบใหญ่ขึ้นเป็นสาวสะพรั่งเสียจนเธออดประหลาดใจไม่ได้
“น้องหลิน”
เพราะเห็นอาการประหม่าอย่างคนที่ไม่ได้พูดคุยกันมาพักใหญ่จึงกล่าวไปด้วยรอยยิ้มให้แก่คนอายุน้อยกว่า นีราพรรณนั้นเข้าใจดีเพราะในเหตุการณ์ล่าสุดนั้นเธอยังคงมีชนักติดหลังกับสิ่งที่ได้ทำไว้ และคนที่ควรจะไม่กล้าสู้หน้าหญิงสาวในวันนี้ ก็ควรจะเป็นเธอเองเสียมากกว่า
ดวงตาเซื่องที่เคยมีประกายของความสดใสและนุ่มลึกในวันนี้จึงดูแปลกตาไปสำหรับคนมอง อันที่จริงอิลลาสินีรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อยที่เห็นเฝือกอ่อนรอบมือข้างถนัดของอีกฝ่าย แต่เพราะสถานะในความเป็นจริงที่เปลี่ยนไปแล้วย่อมไม่อาจปล่อยให้เธอทำอะไรที่ไม่สมควรทำได้ไปมากกว่าถามไถ่อาการโดยรวมเท่านั้น
“ขอบคุณนะคะ ที่ยอมมา”
“ได้ยินว่างานนี้เราจะร่วมการแสดงด้วยใช่ไหม”
ระหว่างที่เอ่ยปากทักทายกับคุณชายเอกทัศน์เมื่อไม่นานมานี้เธอจึงได้ยินได้ฟังถึงหน้าที่ของหล่อนมาบ้าง งานวันนี้นอกจากจะมีการมอบทุนการศึกษาแล้วจะยังมีการแสดงที่ทางวิทยาลัยจัดให้ชายกลางคนและผู้มาร่วมงาน และหนึ่งในนั้นก็คือการแสดงฝีมือด้านเปียโนของลูกสาวของเขาด้วยเช่นกัน
“ค่ะ อีกสักพักหลินถึงจะต้องไปเตรียมตัว ตอนนี้..ยังพอมีเวลา...” เรียวมือบางที่อยู่ด้านหน้านั้นขยับไปมาราวกับกำลังตัดสินใจ “...ถ้าพี่หญิงไม่ว่าอะไร หลินอยากจะขอคุยเป็นการส่วนตัวได้ไหมคะ”
นีราพรรณพยักหน้าด้วยรอยยิ้มใจดีอย่างเคย “ได้สิ”
เมื่อตกลงกันแล้วทั้งเธอและหม่อมหลวงอิลลาสินีจึงพากันเดินเท้าไม่กี่ก้าวจากภายในหอประชุมมายังระเบียงกระจกบานใหญ่ด้านนอก บรรยากาศในช่วงบ่ายสามโมงนั้นไม่ร้อนจนน่าอึดอัด และสายลมที่คอยพัดเป็นระยะก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความห่างเหินที่ควรมีระหว่างเธอทั้งคู่มากจนเกินไป นีราพรรณจึงเป็นฝ่ายรอคอยให้หญิงสาวผู้มีอายุน้อยกว่าได้เริ่มเปิดปากพูด
“หลินอยากจะขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“…”
“หลังจากที่ได้คิดและใช้เวลาทำอะไรคนเดียว หลินก็พบว่าตลอดมา คนที่เป็นฝ่ายมอบความสุขและความสบายใจให้มาตลอดก็คือพี่หญิง”
ดวงตาของอิลลาสินีกำลังนึกถึงความหลัง เพราะความทรงจำระหว่างเธอและหม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่ผ่านมานั้นเป็นอีกฝ่ายเองที่ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมานับครั้งไม่ถ้วน ในเวลาที่หญิงสาวรู้สึกทุกข์ใจและไร้ทางออกก็มีเพียงคุณหญิงนิ่มที่เป็นดั่งคนคอยชี้นำแนวทางที่บางครั้งเธอก็ไม่ทันได้นึกถึง ความใส่ใจและการดูแลกันทุกครั้งที่ได้พบหน้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่องนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าหล่อนเป็นคนจริงจังกับความสัมพันธ์เพียงไร...เพียงแต่การกระทำเหล่านั้นเองก็คาบเกี่ยวกับคำว่าหน้าที่ของคู่หมั้นอยู่ในตัว
เพราะมันก็มีหลายครั้ง...ที่อิลลาสินีพบว่าตัวเธอยังไม่อาจครอบครองหัวใจที่แท้จริงของหญิงสาวคนนี้ได้ และคุณหญิงนีราพรรณเอง ก็ไม่ปล่อยให้ใครได้ก้าวล่วงเข้าไปยังพื้นที่ที่หล่อนได้เว้นว่างเอาไว้มาก่อนเลยสักคนเดียว
แต่อิลลาสินีก็เพิ่งประจักษ์ได้ไม่นาน...ว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุผลและข้อยกเว้นในตัว
“มันคงจะเป็นความผิดของหลินเอง ที่ไม่สามารถทำให้พี่หญิงนิ่มรู้สึกรัก ทั้งที่มีเวลาและโอกาสได้ใกล้ชิดกว่าใคร”
“เป็นความผิดของพี่ต่างหากที่ไม่มีความหนักแน่นเองตั้งแต่แรก” นีราพรรณรีบเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าดวงตาคู่สวยเริ่มคลอหน่วยไปด้วยม่านน้ำจางๆ “ถ้าเราจะไม่ยกโทษให้พี่ตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าอีกกี่สิบปี ถ้าพี่สามารถชดใช้ให้หลินได้--”
ทว่าประโยคของหญิงสาวสูงศักดิ์กลับถูกขัดไว้ด้วยฝีมือของคนอายุอ่อนกว่า เมื่อหญิงสาวตรงหน้าเธอขยับเข้ามาสัมผัสฝ่ามือที่เริ่มบีบตัวเข้าหากันอย่างไม่ได้ตั้งใจไว้ให้คลายลง พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปรามไม่ให้เธอได้กล่าวโทษอะไรตนเองต่อไป
“ถึงเรื่องของเราจะจบลงอย่างนี้ แต่หลินอยากขอบคุณจริงๆ สำหรับทุกอย่างที่พี่หญิงทำให้”
“…”
“หลินรับรู้ถึงความจริงใจของพี่มาตลอด ความเอ็นดูและความห่วงใยที่พี่มีให้ จนตอนนี้หลินก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องโกหกเลยสักครั้ง”
แม้จะไม่อยากฟังคำกล่าวที่ย้ำเตือนว่าหล่อนมีใจให้ใครคนอื่นมาตลอด แต่หม่อมหลวงอิลลาสินีก็ไม่อาจทนให้คนอายุมากกว่าได้แต่รู้สึกผิดหรือกล่าวโทษตัวเองทุกครั้งที่ได้พบเจอกันไปตลอดชีวิต และยิ่งไม่ต้องการให้ภาพเหตุการณ์ระหว่างผู้เป็นพ่อและแม่ของตนนั้นทับซ้อนลงไปในชีวิตของตัวเองจนเป็นทุกข์...หนึ่งที่ยังคงรอใครอีกคนในหัวใจ และใครอีกคนที่ต้องเจ็บปวดรวดร้าวเพื่อรอวันให้ได้ถูกรักกลับคืน
“ถ้าหลินอยากจะขอ ให้ความเอ็นดูเล็กๆ น้อยๆ นั่นมีอยู่ต่อไปในฐานะน้องสาวคนหนึ่ง...จะเป็นอะไรไหมคะ”
มองรอยยิ้มเป็นสุขที่ถูกคลายออกมาจากใบหน้านั้นหม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็รู้สึกสะท้อนในอก เธอหวังว่าหม่อมหลวงอิลลาสินีจะโกรธจะเกลียดเธอดังเช่นที่มันควรจะจบลงดังที่เธอคาดไว้ ครั้นมองเห็นสิ่งที่หล่อนแสดงออกด้วยความพยายามที่มากล้น เธอก็ทำได้เพียงแค่สัมผัสหลังมือบางนั้นอย่างปลอบประโลมและนึกขอบคุณหล่อนอย่างสุดหัวใจเท่านั้น
เสียงเปียโนคลาสสิคเครื่องใหญ่ดำเนินไปอย่างไพเราะและชวนให้บรรดาแขกเรื่อเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศ ยิ่งเคล้ากับเสียงร้องอันทรงพลังของคนที่อยู่บนเวทีก็ยิ่งคล้ายกับว่าชีวิตของพวกเขาได้เข้าใกล้กับคำว่าสุนทรียภาพ นีราพรรณเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มีรอยยิ้มพึงพอใจ เมื่อคนที่บรรเลงเครื่องดนตรีนั้นเป็นหม่อมหลวงอิลลาสินีที่เล่นได้สมกับทักษะของตนจริงๆ
ในขณะที่ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปบทเพลงและคำร้องนั้นก็ทำให้ผู้เป็นหม่อมราชวงศ์นีราพรรณต้องเหลือบมองสิ่งของที่วางอยู่บนหน้าตัก กลีบดอกไม้สีขาวตูมพอดีฝ่ามือที่ได้รับมาจากหญิงสาวที่ตนได้พูดคุยด้วยเมื่อชั่วโมงก่อนยังคงส่งกลิ่นหอมจางๆ แม้จะผ่านเวลาที่เบ่งบานของมันมาแล้ว
‘หลินเก็บได้เมื่อตอนที่มันกำลังจะบาน กลิ่นหอมมากนัก และเพราะเคยเห็นพี่หญิงมองมันบ่อยๆ นั่นแหละค่ะถึงได้นำมาให้’
หม่อมหลวงอิลลาสินีที่มีสีหน้าดีขึ้นจากบทสนทนาเมื่อครู่นั้นเอ่ยถึงเจ้าดอกไม้ที่อยู่ในมือของเธอ นีราพรรณในตอนนั้นถึงกับอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนสายตาที่เต็มไปด้วยความถวิลหาขึ้นมองคนที่มอบมันมาให้ ความรู้สึกอันหลากหลายที่ตีรวนขึ้นในอก ปลุกให้ความรู้สึกผิดที่ถูกกลบเอาไว้นั้นสั่นไหวขึ้นอีกครา..
พวกหล่อนมีสายเลือดเดียวกัน..แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้แววตาของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณสั่นไหวได้ถึงขนาดนี้
ครั้นหวนนึกถึงความรู้สึกในตอนนั้นเปลือกตาบางก็พลันข่มลงด้วยความละอายใจในตนเอง
แม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังคงนิสัยไม่ดี....คิดถึงแต่คนที่จากไปอยู่อีกหรือ
เสียงปรบมือที่ค่อยๆ ดังขึ้นกลบความเงียบหลังการแสดงบทเพลงนั้นจบลงทำให้นีราพรรณได้สติ เธอหยัดกายลุกขึ้นเดินตามหม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ไปกล่าวคำชื่นชมกับคุณชายเอกทัศน์ดังเช่นแขกเรื่อคนอื่นๆ หลังจากใช้เวลาร่วมวงสนทนาอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงขออนุญาตปลีกตัวไปยังบริเวณหลังเวทีอันเป็นห้องแต่งตัวของหอประชุมตามคำกล่าวที่หม่อมหลวงอิลลาสินีได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ให้ก่อนหน้า
‘ถ้าฉันแสดงเสร็จแล้ว รบกวนพี่หญิงช่วยมาหาที่ห้องแต่งตัวหน่อยนะคะ พอดีหลินกับคุณพ่อมีของที่ต้องมอบให้พี่กับมือให้ได้’ เจ้าของร่างบอบบางนั้นกล่าวขึ้น ก่อนที่ดวงตาคู่เรียวสวยจะปะปนไปด้วยความเศร้าในประโยคหลัง ‘..ก่อนที่พวกเราจะย้ายไปที่อื่น’
ในช่วงเวลาที่พักรักษาตัวอยู่นั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในครอบครัวของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ เรื่อองราวของภรรยาคนแรกของเขาก็มาถึงหูของมารดาหล่อนหรืออดีตหม่อมเจ้าหญิงอารินทร์ ว่านางนวลจันทร์หรือมารดาของหม่อมหลวงนาราภัทรนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ในหลายปีมานี้ ยิ่งการสืบสาวราวเรื่องเบื้องหลังที่ชายกลางคนเป็นคนจัดการทำให้รู้ว่าคุณอารินทร์มีเจตนาจะคร่าชีวิตคนทั้งคู่โดยอ้างชื่อของเขา แม้นีราพรรณจะไม่รู้รายละเอียดอะไรไปมากกว่านี้ แต่คงไม่แปลกนักหากหม่อมหลวงอิลลาสินีในวันนี้จะดูเศร้าสร้อยและคล้ายกับแบกอะไรไว้ในใจ
เดินเท้าอยู่ครู่หนึ่งร่างกายของหญิงสาวจึงหยุดอยู่เบื้องหน้าของม่านกำมะหยี่ผืนใหญ่ นีราพรรณชั่งใจอยู่เล็กน้อยเพราะไม่แน่ใจว่าภายในจะมีเพียงแค่อิลลาสินีที่เป็นผู้นัดแนะหรือเปล่า แต่ใช้เวลาไม่นานหญิงสาวจึงโคลงศีรษะน้อยๆ ก่อนจะพาร่างตนเองเข้าไปภายในม่านกำมะหยี่ผืนนั้นตามที่คิด
เมื่อพ้นม่านผืนหนาไปนีราพรรณก็พบกับห้องที่มีพื้นที่ขนาดกลางสำหรับคนสิบคน ผนังโดยรอบเป็นไม้สักเงางามและตกแต่งด้วยโต๊ะยาวไปจนสุดมุม ในสถานที่ที่ควรจะมีหม่อมหลวงอิลลาสินีอยู่ภายใน กลับมีใครบางคนที่เธอไม่ได้คาดคิดว่าจะอยู่ในที่แห่งนี้เสียเอง...
ทันทีที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกันผ่านบานกระจกครึ่งตัวที่อยู่ตรงหน้า ร่างบางที่อยู่ภายใต้เครื่องแต่งกายของพนักงานบริการจัดอาหารแบบผู้ชายที่เธอเห็นในวันนี้ก็รีบหยัดกายขึ้นด้วยความตกใจที่มีเช่นกัน กระทั่งใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นหันมาและยิ่งตอกย้ำความจริงให้กับหญิงสาวได้เข้าใจ
“คุณหญิง-”
“สารวัตรช่วยยืนอยู่ตรงนั้นสักครู่ได้ไหมคะ...”
ทันทีที่น้ำเสียงอันคุ้นเคยได้กล่าวออกมาหม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็พลันได้สติ เธอรีบเอ่ยปากออกไปแบบนั้นด้วยความพยายามที่จะปกปิดความรู้สึกซึ่งพร้อมใจพรั่งพรูจะแสดงออกมา เมื่อเห็นว่าร่างของหญิงสาวที่เป็นฝ่ายเดินจากไปนั้นกำลังจะก้าวเข้ามาหาเธอ
“…”
หม่อมหลวงนาราภัทรมีสีหน้าสับสนและรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ฝ่าเท้าที่คล้ายกับจะเดินเข้าไปหายังต้องหยุดเมื่อได้ยินคำขอร้องของหล่อน แววตาที่สั่นไหวเมื่อครู่ปะปนไปด้วยความหมายอันหลากหลายที่เธอไม่กล้าจะคิดขยายความ มันมีทั้งความรู้สึกผิด...ความปิติยินดี รวมทั้งความห่างเหินเย็นชาที่ราวกับการพบกันในวันนี้เป็นเรื่องไม่สมควรเอาเสียเลย..
แค่สรรพนามที่เปลี่ยนไปยังทำให้เธอรู้สึกใจหายได้ถึงเพียงนี้
…แต่นั่นก็มิใช่เพราะว่าพวกเธอทั้งคู่ยังคงมีสิ่งที่ค้างคาและต้องสะสางอยู่หรอกหรือ
หญิงสาวเห็นผู้มาใหม่หายใจเข้าเล็กน้อยก่อนที่สีหน้าอันแปรปรวนไปด้วยอารมณ์นั้นจะกลายเป็นสีหน้าที่ถูกวางไว้อย่างมีมารยาท “มาทำอะไรที่นี่หรือคะ”
“คุณหญิงไม่ได้เป็นฝ่ายที่รู้ดีที่สุดหรอกหรือคะ” นาราภัทรแค่นเสียงเบาอย่างนึกประชดประชันทั้งที่ยังคงเจ็บปวดกับการกระทำของหล่อนเมื่อครู่ เพราะแม้น้ำเสียงนั่นจะยังคงฟังดูสุภาพ แต่มันก็ห่างเหินเสียใจเธอรู้สึกทนไม่ได้
“หรือต้องให้ฉันลากคนของคุณหญิงมาที่นี่เพื่อเป็นการพิสูจน์คำโกหกของคุณด้วย”
ฟังหญิงสาวกล่าวความจริงออกมาสีหน้าของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก เป็นความจริงที่คำกล่าวของพี่หญิงใหญ่และหญิงสาวตรงหน้านั้นถูกต้อง เพราะตลอดมาเธอรู้ดีอยู่แล้วว่าหม่อมหลวงนาราภัทรกำลังทำสิ่งใด และอยู่ที่ไหนจากรายงานลับของคนที่ตนเองวางไว้เพื่อคอยจับตาดูร่องรอยของหม่อมเจ้าฉัตริน
กระนั้นหญิงสาวก็เพียงแต่รับรู้และไม่กระทำสิ่งใดเพราะละอายใจเกินไปที่จะขอร้องให้หล่อนกลับมา ยิ่งได้ยินคำว่าโกหกจากริมฝีปากอิ่ม หัวใจของเธอก็ปวดหนึบเสียจนแทบไม่รู้สึกอะไร...
หากในวันนี้หล่อนยังคงไม่ต้องการอีกครั้ง...นีราพรรณก็จะเต็มใจปล่อยให้หล่อนจากไปโดยไม่ลังเลแม้มันจะทำให้เธอไม่มีความสุขก็ตาม
“ไม่คิดเลยว่าเราจะได้พบกันในสถานการณ์แบบนี้เพราะท่านชาย”
เธอได้ยินจากรายงานลับๆ ของตนเองแล้วว่าพันตำรวจตรีนาราภัทรยังคงตามสืบร่องรอยของหม่อมเจ้าฉัตรินด้วยตัวเอง และวันนี้เองก็เป็นวันที่เบาะแสทั้งหลายของเธอกับหล่อนได้นำพามาบรรจบกันเพราะพวกเธอต่างได้ยินว่าท่านชายผู้นั้นจะเคลื่อนไหว แม้จะยังวาดภาพไม่ได้ว่าหม่อมเจ้าฉัตรินจะปรากฏกายที่งานนี้อย่างไร แต่นีราพรรณก็ตระเตรียมกำลังไว้รออยู่รอบงานจำนวนหนึ่งตามความรอบคอบของตนเอง
ศัตรูตัวฉกาจที่นำพาให้เธอได้พบหล่อนอีกครั้ง คุณหญิงนีราพรรณไม่รู้เลยว่าควรจะนึกขอบคุณเขาสักครั้งดีไหม...
ความเงียบครู่หนึ่งเข้าครอบงำเมื่อไร้ซึ่งการตอบกลับจากร่างของคนที่เธอไม่ได้คาดคิดว่าจะพบเจอกัน เธอมองเห็นหม่อมหลวงนาราภัทรจับจ้องที่ข้อมือซึ่งยังไม่หายดีของตนอยู่เนิ่นนานจึงได้เคลื่อนมันไปหลบไว้ตามนิสัยตน แต่การกระทำเหล่านั้นแทนที่จะทำให้คนอายุมากกว่าเลิกใส่ใจหรือเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น หล่อนกลับเริ่มขยับฝ่าเท้าเข้ามาหาจนเป็นเธอเสียเองที่ต้องถอยตามจังหวะการก้าวของหล่อนอย่างไม่มีทางเลือก
ท้ายที่สุดแล้วหม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็ไม่อาจหลบหนีเจ้าของการกระทำนั้นได้พ้น เมื่อหญิงสาวตรงหน้าได้คว้าไปยังแขนข้างที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ด้านหลังจนทำให้เธอไม่อาจหลบหลีกหรือถอยหนีได้อีกต่อไป
“คุณหญิงแค่บอกให้ฉันอยู่ตรงนั้นครู่เดียว” ดวงตาคู่สวยคู่นั้นจับจ้องมองเธอราวกับกำลังค้นหาบางอย่างที่ถูกปิดบังเอาไว้
“…”
“...ให้ฉันทำตามที่ตัวเองต้องการได้รึยังคะ”
ใครจะคาดว่าการกระทำอันเล็กน้อยเหล่านั้น กลับทำให้ดวงตาเซื่องที่ปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองมาตลอดค่อยๆ สั่นไหวอย่างรุนแรง
ริมฝีปากบางของผู้เป็นหม่อมราชวงศ์เม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงยามเมื่อรู้สึกว่าเรียวแขนที่ควรจะยึดกลับมาได้โดยง่ายนั้นไร้ซึ่งกำลัง ความหวาดกลัวที่น้อยคนนักจะได้เห็นผ่านสีหน้าของตนเองก็กลับไม่อาจควบคุมตามที่ใจต้องการได้อย่างเคย
“ถ้าสารวัตรยังเข้ามาอีก”
“…”
“ฉันไม่รับประกัน...ว่าคุณจะได้มีอิสระอีกนะคะ”
ประโยคที่ถูกกล่าวออกจากริมฝีปากบางนั้นสั่นน้อยๆ จนคนที่รอฟังรู้สึก ทั้งๆ ที่ฟังคล้ายกับจะเหมือนการผลักไสแต่หม่อมหลวงนาราภัทรกลับมองเห็นความหมายซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวพบว่าความรู้สึกที่เจ็บปวดในวันนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยความถวิลหาและอาวรณ์จนเอ่อล้น นาราภัทรจึงเลือกที่จะโอบกอดร่างของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเอาไว้ดังที่ใจของตนปรารถนามาตั้งแต่แรก..
“ขอโทษนะคะ” เสียงของคนอายุมากกว่าที่กล่าวอยู่ข้างใบหูนั้นทำให้ใครอีกคนรู้สึกตัว “ฉันขอโทษ...ที่จากคุณหญิงไปแบบนั้น”
คำกล่าวแค่ไม่กี่คำกลับทำให้โซ่ตรวนที่ถูกผูกมัดอยู่ภายในใจได้ปลดออก ความรู้สึกที่อยากจะเหนี่ยวรั้งหล่อนไว้ในวันนั้นได้ตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อนีราพรรณรับรู้ถึงความในใจที่คล้ายคลึงกันผ่านอ้อมกอดของหญิงสาวตรงหน้า เธอกระชับเรียวแขนรอบไหล่บางไว้แน่นราวกับกลัวหล่อนจะหายไปโดยที่ยังไม่ทันทำอะไรเป็นครั้งที่สอง ความหวาดกลัวที่ถูกปิดไว้เนิ่นนานค่อยคลายลงยามที่สัมผัสทั้งหลายบ่งบอกว่าภาพตรงหน้าเธอไม่ใช่แค่จินตนาการ และเธอยินดียิ่งนักที่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าที่คนอายุมากกว่าจะปลอบให้ผู้เป็นหม่อมราชวงศ์นั้นใจเย็นลง นาราภัทรทั้งลูบแผ่นหลังและเส้นผมของคนที่เอาแต่สะอื้นเสียงเบาอยู่กับไหล่ของเธอด้วยความห่วงใย ก่อนจะพบว่ายามเมื่อปลายจมูกโด่งรั้นกลายเป็นสีแดงนั้นน่ามองอยู่มากทีเดียว
“แย่จริง มันคงตลกมากในสายตาของพี่ใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกนะคะ” นาราภัทรกลั้วหัวเราะเสียงเบาเมื่อเห็นท่าทางของเธอ หล่อนใช้ปลายนิ้วข้างที่ไม่ได้กอบกุมมือเธอไว้นั้นขึ้นสัมผัสใต้ดวงตาของเธอทั้งรอยยิ้ม “แค่เพิ่งเคยเห็นว่าคุณหญิงทำตัวสมอายุแล้วก็เท่านั้น”
“กรี๊ด—!”
ยังไม่ทันที่เวลาระหว่างพวกเธอทั้งคู่จะเป็นไปได้อย่างสงบ เสียงกรีดร้องของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ดังแว่วผ่านเข้ามาภายในห้องแต่งตัวทำให้ทั้งเธอและนาราภัทรเปลี่ยนสีหน้าท่าทางเป็นการตั้งได้รับในเวลาอันรวดเร็ว
“เสียงของหลินนี่คะ?” นีราพรรณรับรู้ถึงความร้อนใจผ่านน้ำเสียงของคนที่เธอใช้ร่างกายบดบังไว้ตามสัญชาตญาณ หลังหันไปสบตากับคนอายุมากกว่าด้วยความเข้าใจ เธอและนาราภัทรจึงรีบสาวเท้าไปยังต้นเสียงที่กำลังไกลออกไปในทันที
“ออกไปให้พ้น!”
ยิ่งเข้าใกล้ต้นเสียงเหล่านั้นมากเท่าไหร่หม่อมหลวงนาราภัทรก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ตรงหน้าที่ชุลมุนมากขึ้นเท่านั้น บรรดาแขกเหรื่อที่อยู่ในงานต่างรีบสาวเท้าหนีเอาตัวรอดเมื่อเห็นชายผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าและมีร่างกายสกปรกมอมแมมคว้าตัวหม่อมหลวงอิลลาสินีไว้ได้
“ใครปล่อยคนเร่ร่อนที่ไหนเข้ามาในงานนี้!”
เสียงของผู้คนที่เริ่มเอะอะโวยวายทำให้หม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ได้สติ เมื่อครู่ใหญ่นี้เขาเพียงละสายตาจากบุตรสาวของตนไปจึงไม่ทันได้ระวัง ความร้อนอกร้อนใจที่เพิ่งก่อตัวขึ้นนั้นทำให้เขากำลังจะก้าวเข้าไปช่วยเหลือหญิงสาว แต่เจ้าคนบ้าป่าเถื่อนนั่นกลับชี้ปลายกระบอกปืนไปมาจนไม่สามารถเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้ง่ายๆ
“ออกไป--ออกไปให้ห่างกว่านี้ ไม่งั้นกูยิงจริงแน่”
ปัง! ปัง!
ลูกกระสุนที่ถูกยิงออกขึ้นฟ้าและพื้นดินเป็นคำขู่อย่างเด็ดขาดในทันทีที่เขาพูดจบ ผู้คนที่ตื่นตระหนกอยู่แล้วยิ่งไม่ต่างอะไรกับลูกนกที่ตัวสั่นเทาและได้แต่หมอบลงเพราะกลัวจะถูกวิถีกระสุนเข้า แม้แต่บรรดาคนของคุณหญิงนีราพรรณประมาณห้าคนที่กรูเข้ามาควบคุมสถานการณ์ยังไม่กล้าที่จะเสี่ยงเข้าไปใกล้ หม่อมหลวงนาราภัทรขบฟันแน่นด้วยความโกรธและร้อนใจมากที่ได้แต่ปล่อยให้ชายผู้นั้นพ้นระยะสายตาไป ทว่าระหว่างที่เธอกำลังจะก้าวเท้าไปข้างหน้า หม่อมราชวงศ์นีราพรรณกลับรั้งแขนเธอเอาไว้ด้วยใบหน้าที่จริงจังเสียจนอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“เดี๋ยวค่ะสารวัตร” หล่อนพูด “ตามฉันมาทางนี้”
“คุณหญิงแน่ใจหรือคะว่าผู้ชายคนนั้นจะมาที่นี่”
เพราะเมื่อสิบห้านาทีก่อนเธอได้ฟังจากวิทยุสื่อสารภายในรถคันเก่งของคุณหญิงนีราพรรณ ว่าร่องรอยของชายที่ฉุดหม่อมหลวงอิลลาสินีนั้นได้หายไปสิ้นสุดอยู่ในซอยตันแห่งหนึ่ง เนื่องจากพวกเขาต้องคอยเว้นระยะห่างตามคำสั่งเพื่อที่จะไม่ให้เกิดอันตรายใดขึ้นกับหญิงสาว จึงทำให้ชายเร่ร่อนผู้นั้นมีโอกาสหลบหนีไปโดยไม่ทิ้งอะไรเอาไว้ได้
จากการกระทำที่อุกอาจและข้อมูลที่ได้รับมาทำให้พวกเธอทั้งคู่สรุปพร้อมกันว่าเขาคงจะไม่ใช่คนเร่ร่อนทั่วไป อาวุธปืนที่ไม่ควรจะอยู่ในมือของคนสามัญ และการหลบหนีที่ไม่ทิ้งรอยเอาไว้นั้นย่อมหมายความว่าเขามีคนที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลังอย่างแน่นอน
และน่าบังเอิญเสียเหลือเกินที่รูปแบบเหล่านี้ไปคล้ายคลึงกันกับคนที่ชอบใช้มือของผู้บริสุทธิ์กระทำแทนตนเองอย่างเช่นท่านชายฉัตริน
“ฉันจับตาดูวังของท่านชายมาระยะหนึ่งแล้ว ถึงจะไร้วี่แววของเขาและไม่ได้รับการดูแลเหมือนเดิม แต่ก็ยังมีพวกบรรดาข้ารับใช้สองสามคนเคลื่อนไหวไม่ต่างจากตอนที่เขายังอยู่”
เมื่อเห็นตรงกันว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ผู้อยู่เบื้องหลังจะเป็นท่านชายผู้สูงศักดิ์ หม่อมราชวงศ์นีราพรรณจึงตัดสินใจที่จะพาเธอแยกมาดักรอดูความเป็นไปได้ที่นี่เสียอีกทาง เนื่องด้วยเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งที่หายไปในเงามืด บริเวณทางเข้าและวังอันใหญ่โตตามยศฐาบรรดาศักดิ์จึงมีการดูแลที่หละหลวมค่อนไปทางเกือบทิ้งร้าง เพราะส่วนมากถูกคุมตัวไว้ในบริเวณของตนเอง วังของหม่อมเจ้าฉัตรินที่บัดนี้ไร้การใส่ใจอย่างเคยจึงดูวังเวงและเปลี่ยวเหงาอยู่หลายเท่าตัว
นีราพรรณหันมองหญิงสาวที่หลบซ่อนในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ข้างกาย แม้จะคล้ายกับดูสงบนิ่งอยู่หลายส่วนแต่หล่อนก็ยังมีความกระวนกระวายใจอยู่ให้เห็น เธอจึงกระชับฝ่ามือที่กุมแน่นอยู่ข้างตัวอีกฝ่ายไว้แล้วกล่าวด้วยความรู้สึกที่มีไม่แพ้กัน
“ไม่ต้องห่วงนะคะ เธอจะต้องไม่เป็นอะไร”
ครั้นกล่าวออกไปแล้วสีหน้าของหม่อมหลวงนาราภัทรจึงค่อยดูคลายลงไป หล่อนพยักหน้ารับช้าๆ กระทั่งเสียงของเครื่องยนต์ดังจากไกลๆ เข้ามา หญิงสาวทั้งสองคนจึงลดกายและศีรษะลงต่ำขึ้นอีกด้วยความระมัดระวัง
รถยนต์ทรงยุโรปคันงามที่ดูไม่ค่อยได้รับการดูแลค่อยๆ ดับเครื่องลงจอดท่ามกลางความมืดภายในบริเวณวังของหม่อมเจ้าฉัตริน แม้แต่ไฟด้านหน้าที่ควรจะเปิดไว้เพื่อการขับขี่ก็ดูคล้ายกับจะไม่ได้ถูกเปิดมาตลอดทาง ประตูคนขับถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของชายผู้แต่งกายคล้ายคนเร่ร่อน และนีราพรรณก็จำได้ว่าเขาคือคนคนเดียวกันกับที่ฉุดหม่อมหลวงอิลลาสินีไปจากงานวันนี้
นาราภัทรจ้องมองกิริยาที่ระแวดระวังของอีกฝ่ายระหว่างค่อยๆ เปิดประตูด้านหลังแล้วแบกร่างของน้องสาวต่างมารดาของตนในอาการสลบไสลออกมา ในชั่วขณะของความรู้สึกที่ร้อนอกร้อนใจอยู่นั่นเอง เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าชายคนนั้นอดีตคือทหนายหน้าหอผู้ซึ่งคอยยืนอยู่ข้างกายของหม่อมเจ้าฉัตรินในวันท่ี่เขาไปยังบ้านของเธอโดยที่ไม่ได้รับเชิญมาก่อน
“คิดถูกจริงๆ ที่มาดักรอที่นี่” เธอกล่าวลอดไรฟันด้วยความรู้สึกโกรธขึงเมื่อเห็นว่าการคาดเดาของคุณหญิงนิ่มนั้นถูกต้อง “เราเคลื่อนไหวกันเถอะค่ะ”
หม่อมราชวงศ์นีราพรรณพยักหน้าก่อนพวกเธอจะเริ่มเคลื่อนฝ่าเท้าตามทิศทางของชายผู้นั้นไปในความเงียบ เขาไม่ได้แบกร่างบอบบางของอิลลาสินีเข้าไปภายในวังที่แสนโอ่อ่าอย่างที่พวกเธอคิด ทว่ากลับตรงไปยังเรือนเก็บอุปกรณ์เพาะปลูกภายในสวนที่ถูกปล่อยปละละเลยหลังเล็กแทน
ทนายหน้าหอผู้นั้นปลดผ้าใบรูปทิวทัศน์เก่าใบหนึ่งลงประหนึ่งคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี พริบตานั้นเองทั้งเธอและนาราภัทรจึงมองเห็นประตูไม้บานหนึ่งที่ถูกปิดเอาไว้แล้วเปิดมันหายเข้าไป หญิงสาวหันมาสบตากันกับเธอด้วยความประหลาดใจและตื่นตระหนก ด้วยรู้ดีว่าพวกตนเพิ่งจะค้นพบประตูลับของท่านชายสูงศักดิ์ผู้นั้นเข้าเสียแล้ว
หลังจากเอ่ยปากรายงานผ่านวิทยุสื่อสารที่คาดว่าคงไม่มีประโยชน์อื่นอีกหากเข้าไปภายในประตูบานนั้น นีราพรรณจึงเป็นฝ่ายเดินเท้านำเข้าไปตามบันไดที่ทอดต่ำลงไปเบื้องล่างตามหน้าที่ และโชคดีที่ความลึกของมันมีประมาณสองเมตรนับจากพื้นดินที่พวกเธอได้ก้าวเดินมา ทว่ามันก็ยังมีเส้นทางที่ให้เดินต่อไปนอกเขตวังของหม่อมเจ้าฉัตรินอยู่ดี
อุโมงค์ใต้ดินที่คล้ายกับถูกนักขุดเหมืองสำรวจมาแล้วนั้นประดับด้วยตะเกียงเจ้าพายุจำนวนหนึ่งซึ่งถูกเติมเชื้อไฟไว้อยู่ตลอดเวลาราวกับมีคนเข้าออกอยู่เป็นประจำ เมื่อนีราพรรณมองเห็นรอยเท้าที่ยุบตัวลงไปตามการก้าวเดินของคนจึงค่อยก้าวตามไปจนกระทั่งถึงบันได้ไม้เก่าที่เปื้อนดินแบบเดียวกันในทิศทางที่สูงขึ้นไป
และนั่นก็ทำให้พวกเธอพบกับประตูอีกบานที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าจะมีอะไรคอยอยู่
สิ่งที่ทำให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณต้องขมวดคิ้วและย่นจมูกเป็นอย่างแรกคือกลิ่นอับจากการที่บ้านชั้นเดียวอันมีฝากระดานสีขาวหลังนี้ไม่ได้เปิดรับอากาศจากภายนอก ยิ่งกลิ่นสนิมคล้ายกับเลือดที่แม้จะถูกทำความสะอาดไปแล้วแต่ก็ทำให้วาดภาพไม่ได้เลยว่ามีมากขนาดไหนถึงยังมีกลิ่นหลงเหลืออยู่ และสิ่งสำคัญที่ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัว ก็คือกลิ่นเหม็นสาปและราคะที่อบอวล ทั้งร่องรอยการดิ้นรนของผู้ถูกกระทำอันอยู่ทั่วสถานที่แห่งนี้ พอจะทำให้เธออนุมานได้ว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง
เส้นทางลับที่ทนายหน้าหอเปิดออกตั้งแต่เรือนเก็บอุปกรณ์อันตั้งอยู่สุดขอบรั้วนั้นหาใช่่จุดสิ้นสุดภายในวังของท่านชายฉัตริน แต่รั้วอิฐอันนั้นกลับเป็นจุดปิดกั้นที่ใช้หลบซ่อนเรือนเก่านี้ไว้ ด้วยการปลูกบรรดาไม้ใหญ่และหญ้าสูงให้ล้อมรอบเพื่อซ่อนมันจากสายตาของบุคคลภายนอกเท่านั้น
หม่อมหลวงนาราภัทรที่ตามหลังเธอมาก็มีสีหน้าขมขื่นด้วยความคิดที่ไม่ต่างกันเท่าใด “ฉันไม่อยากพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของตัวเองตอนนี้เลย”
“ถ้าเห็นมากกว่านี้ ฉันคงไม่ต่างกัน” เธอว่าก่อนจะพยักพเยิดศีรษะ “มีคนกำลังมา”
สิ้นคำกล่าวนั้นอีกฝ่ายจึงเคลื่อนไหวอย่างรู้กัน หม่อมหลวงนาราภัทรขยับกายซ่อนเร้นอยู่ข้างผนังบริเวณซุ้มไร้บานประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอที่กระชับด้ามปืนคู่ใจออกมาจากเข็มขัดที่สวม ก่อนจะนับจังหวะผ่านสายตาของกันและกันภายในใจ
ฟุ่บ!
“อั่ก--”
ทันทีที่การนับจังหวะนั้นจบลงประจวบเหมาะกับร่างของชายผู้แต่งกายคล้ายคนเร่ร่อนเฉียดพ้นกายออกมา หม่อมหลวงนาราภัทรผู้เคลื่อนไหวเป็นคนแรกก็ตวัดขาเก้กังของเขาให้ยืดออกไปข้างหน้า แล้วเธอจึงเป็นฝ่ายที่ยื่นมือออกไปปิดปากเขาเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดได้พอดิบพอดี
“บอกฉัน ว่าท่านชายของแกอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
แรกเริ่มชายหนุ่มผู้นั้นทำท่าจะไม่ยอมตอบรับ เขาพยายามจะจับมือของเธอที่่ปิดปากตนเองเอาไว้อยู่ให้หลุดออกระหว่างที่นาราภัทรกำลังพยายามยืดขาของเขาให้ฉีกออกจากกันมากกว่าเดิม หากเป็นตอนที่อีกฝ่ายมีกำลังวังชาเหมือนเดิมคงยากจะรับมือ แต่เพราะเจ้านายของตนเองยังต้องพยายามเอาชนะความกระหาย เขาเองจึงตกอยู่ในสภาพที่ซูบลงไม่ต่างกันเท่าไรนักด้วยต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ดิบเถื่อนของผู้เป็นนายแทนเหยื่อที่เขาเบื่อหน่ายไปแล้ว
กระทั่งปลายกระบอกเย็นๆ ของ luger marine จ่อลงที่ขมับ เขาจึงพยักหน้าด้วยการดิ้นรนที่น้อยลงไป
ครั้นเมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้วหญิงสาวทั้งคู่จึงไม่ต้องการเขาอีก นีราพรรณฟาดสันมือลงบนท้ายทอยชายหนุ่ม แล้วจึงช่วยกันกับนาราภัทรในการมัดตัวและปากของเขาไว้กับเก้าอี้นวมตัวเก่าที่ตั้งอยู่กลางห้องไว้เป็นอย่างดีก่อนจะทำการสำรวจโดยรอบกันอีกครั้ง กระทั่งพวกเธอได้ค้นพบห้องห้องหนึ่งจากเสียงที่เคาะลงกับบานประตูได้
ภายในห้องที่ไม่ใหญ่มากนักเต็มไปด้วยร่างของบุคคลที่ยังคงมีลมหายใจแต่ก็รวยรินทั้งหญิงและชายจำนวนหนึ่ง บางคนพิงกายกับพื้นแลผนังห้องในความมืดรอให้ความตายคืบคลานกระทั่งแสงจากภายนอกนั้นเปิดออก ร่างกายของแต่ละคนซูบผอมและบอบช้ำจากการถูกทรมานมาระยะเวลาหนึ่ง เพียงเท่านั้นหญิงสาวทั้งคู่จึงรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคือบุคคลที่ชาวบ้านหลายคนถูกหลอกใช้ให้ลักพาตัวมา คอยปรนเปรอความอยากในรูปแบบต่างๆ ของหม่อมเจ้าฉัตรินในสวรรค์ของเขาที่นี่...
แววตาของหญิงสาวที่ใช้ศีรษะเคาะลงบนบานประตูด้วยความหมดอาลัยตายยากก่อนหน้าพลันเปล่งประกายด้วยความหวังเมื่อเห็นหม่อมราชวงศ์นีราพรรณ “พวกคุณ...เป็น..ใคร”
“คุณหญิง เราต้องช่วยพวกเขานะคะ”
เธอพยักหน้าตอบกลับนาราภัทรด้วยแววตามุ่งมั่น ก่อนจะหันไปถามคนที่ยังพอมีเรี่ยวแรงจะพูดได้ “พวกฉันเป็นตำรวจ พอจะทราบไหมว่าเขาจะลงมือได้ที่ไหนบ้าง”
“ที่ประตูสลักลายสิงห์ เขา--เขาลงมือกับพวกเราที่นั่น!” หญิงสาวคนเดิมพยักหน้าเร็วๆ ด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดกลัวก่อนจะตอบ เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้ว นีราพรรณจึงหันไปกล่าวกับหญิงสาวที่อายุมากกว่าอีกคร้ัง
“พี่คอยดูแลตรงนี้ไปก่อน ฉันจะไปช่วยหลินเองค่ะ”
เมื่อกล่าวแล้วเสร็จสรรพเธอก็ทำท่าจะไปตามหาประตูบานนั้นภายในบ้านหลังนี้ แต่นาราภัทรกลับรั้งแขนของเธอไว้ก่อนจะพูดออกมาด้วยความรู้สึกห่วงใย
“ระวังตัวด้วยนะคะ”
ภายในห้องขนาดใหญ่ที่เฟอร์นิเจอร์ถูกนำออกทั้งหมด จากการคาดคะเนด้วยสายตาแล้วหม่อมราชวงศ์นีราพรรณรับรู้ได้เลยว่าภายในนี้อดีตคงจะเป็นห้องนั่งเล่นที่โอ่อ่า หญิงสาวปิดประตูสลักลายสิงห์ลงอย่างเบามือด้วยความระมัดระวัง และใช้ดวงตาคู่คมสอดส่องไปรอบห้องที่มีแสงไฟสลัวจากโคมไฟไม่กี่ดวงโดยมีเพียงกระบอกปืนคู่ใจเป็นเกราะกำบังให้ตัวเอง
กลิ่นราคะที่คละคลุ้งในอากาศยิ่งทำให้นีราพรรณเป็นกังวลและรู้สึกไม่่ค่อยดี เธอหวังว่าบุคคลที่ถูกลักพาตัวมาในวันนี้จะยังไม่ถูกแตะต้องด้วยมือคนต่ำทราม เพราะมันอาจจะเป็นฝันร้ายตลอดกาลของหล่อนไป
ระหว่างที่คิดอยู่นั้นเองเสียงคล้ายกับคนที่พยายามดิ้นรนด้วยความหวาดกลัวแต่ไม่อาจส่งเสียงไปมากกว่านั้นได้ก็ทำให้เธอตัดสินใจเดินตามมันไป แล้วก็เป็นอย่างที่นีราพรรณคาด หม่อมหลวงอิลลาสินีในสภาพที่ถูกมัดมือและเท้าเข้ากับเก้าอี้นั้นพยายามร้องขอความช่วยเหลือผ่านผ้าปิดปากอยู่ที่มุมห้องนั้น ความโล่งใจจึงเกิดขึ้นในทันที เพราะดูเหมือนทนายหน้าหอของหม่อมเจ้าฉัตรินจะเพิ่งนำหล่อนมาเตรียมการไว้ได้ไม่นาน
“หลิน พี่เองนะ”
นีราพรรณรีบเก็บอาวุธคู่ใจของตนเองแล้วตรงเข้าไปช่วยแก้มัดเชือกที่อยู่ตามข้อเท้าและข้อเข่าของหญิงสาว ขณะที่หม่อมหลวงอิลลาสินีเองก็ส่งเสียงร้องอื้ออึงในลำคอเป็นระยะด้วยความตื่นกลัว “เงียบไว้ พี่มาช่วยแล้ว”
แม้จะกล่าวไปดังนั้นแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีทีท่าจะสงบลงง่ายๆ อิลลาสินียังคงจ้องมองเธอทั้งน้ำตานองหน้าและส่ายศีรษะเร็วๆ คล้ายกับกำลังจะบ่งบอกเธอที่กำลังจะแก้เชือกที่มัดไหล่บางๆ เอาไว้ จนพอจะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่หล่อนส่งสัญญาณได้..
พลั่ก!
กว่าจะรับรู้ว่าอันตรายอยู่รอบตัวนั้นนีราพรรณก็ประมาทอีกครั้งเสียแล้ว ไม้ขนาดเท่าท่อนแขนท่อนหนึ่งฟาดลงบนศีรษะด้านหลังเธอจนเกือบจะถูกจุดสำคัญ และถึงจะหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกจุดเดิมที่เคยถูกลอบทำร้ายแต่ก็สร้างความเจ็บปวดและหนักอึ้งให้เธอพอสมควร แม้แต่อาวุธคู่ใจที่เหน็บอยู่ด้านหลังเอง ก็ถูกคว้าออกมาแล้วโยนทิ้งไปไกลมืออย่างไม่อาจขัดขืนอะไรได้
“ที่ว่ากันว่าแม่สาวน้อยคนนี้เป็นจุดอ่อนของหล่อน เห็นทีจะเป็นเรื่องจริงเสียกระมัง”
เสียงที่ไม่น่าจดจำนั้นกล่าวขึ้นราวกับตนเองเป็นคนใจกว้าง กลิ่นยาเส้นที่ฉุนมากกว่าทุกคราพร้อมกับฝ่าเท้าไม่หนักไม่เบาอันย่างกรายอยู่รอบตัวทำให้หญิงสาวต้องขบฟันกรามด้วยความรู้สึกมากมายในใจ ความรู้สึกชื้นแฉะเล็กน้อยบนปลายนิ้วที่จับตรงศีรษะ บ่งบอกว่าการกระทำเมื่อครู่ของเขาทำให้ร่างกายเธอเสียเปรียบเข้าแล้วจริงๆ
“มือข้างเดียวของหล่อนคงยังทำให้เลิกดื้อดึงไม่ได้ล่ะสิท่า?”
หม่อมเจ้าฉัตรินในเสื้อป่านคอกลมสีขาวล้วนอย่างที่บรรดาคนรับใช้ของเขาสวมยังคงเอ่ยถามเธอ เรียวคิ้วบนใบหน้าที่ไรหนวดครึ้มเขียวขึ้นอยู่ทั่วเลิกขึ้นแสดงความเหนือกว่าเมื่อเห็นเธอต้องอดกลั้นความเจ็บปวดที่กำลังชาไม่ทั่วร่าง ขณะที่ร่างกายของเขาดูซูบลงเยี่ยงคนป่วยอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญคือกลิ่นยาเส้นฉุนกึกอันเป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งใต้ดวงตาที่ดูคล้ำอย่างคนไม่ได้นอนมาหลายคืนอีกด้วย
นีราพรรณประคองฝ่ามือไว้ตรงจุดที่ถูกลอบทำร้ายก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ไม่ได้พบกันนาน ท่านก็ยังกระทำต่ำช้าเหมือนเคย”
กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและถากถาง เช่นเดียวกันกับที่ใบหน้าของท่านชายผู้อยู่ตรงหน้าเธอนั้นเปลี่ยนไปเป็นการแสดงความโกรธออกมา โดยแทบไม่ผ่านการอดกลั้นใดๆ อย่างที่ผ่านมาเลย
“โกรธหรือเพคะ? แต่ที่ฉันพูดไปมันก็เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น เพราะคนทั้งหลายที่ท่านชายพามา เขายังจิตปกติดีเสียยิ่งกว่าคนสูงศักดิ์อย่างท่านเสียอีก”
เพี๊ยะ!!
“หุบปากของหล่อนไปซะ”
แม้ชายหนุ่มจะมีรูปร่างไม่ได้ตามมาตราฐานเยี่ยงบุรุษในพระนคร แต่เพราะกำลังที่ยังคงมีอยู่ตามเพศสภาพ ก็ทำให้น้ำหนักมือนั้นมากพอที่จะทำให้นีราพรรณทรุดลงไปใหม่ได้อีกครา
“คิดว่าวันนี้ฉันอยากจะเสวนากับหล่อนนักหรือ? ไม่เลย..ฉันแค่โกรธมากๆ เสียจนอยากจะระบายใส่คนที่ทำให้ฉันต้องหนีหัวซุกหัวซุนอยู่แบบนี้ด้วยการสับมันเป็นหมื่นชิ้นต่างหากล่ะ”
หม่อมเจ้าฉัตรินกล่าวลอดไรฟันอย่างนึกโกรธตามคำกล่าวของตน ขณะโน้มกายเข้ามาใช้เรี่ยวแรงดั่งช้างสารนั้นบีบกรามของอีกฝ่ายจนหล่อนเบ้หน้าด้วยความเจ็บ เขาเกลียดนักที่หญิงสาวตรงหน้ายังกล้าวางท่าทีหยิ่งยโสทั้งๆ ที่ห่างชั้นกับเขาอยู่หนึ่งขั้น และยิ่งเกลียดมากย่ิงขึ้นที่เวลาที่ผ่านมานั้นหล่อนทำให้เขาไม่อาจออกล่าในยามวิกาลอย่างเคยได้
หากไม่ใช่หล่อนที่ปลุกกระแสให้พวกชาวบ้านกดดัน คนที่กฏหมายย่างกรายไม่ได้อย่างเขาก็ไม่ควรที่จะต้องเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนเก่าที่นี่
“ต้องขอบคุณหล่อนมากทีเดียว ที่ทำให้ฉันทนแทบไม่ไหวที่จะปลดปล่อยมัน” ชายหนุ่มเอ่ยราวกระซิบให้เธอได้ยิน ดวงตาคล้ำที่อดหลับอดนอนมานานนั้นเคลื่อนไปมองหญิงสาวอีกคนที่น้ำตานองหน้าและกำลังส่งเสียงร้องขอความเห็นใจ “แน่นอน...กับผู้หญิงของหล่อนอย่างไรล่ะ”
อุตส่าห์สู้ส่งคนแบบลับๆ ไปจับตาดูว่าอะไรคือจุดอ่อนของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณผู้ไม่ยอมลดละที่จะจับเขาเข้าตะราง แม้ข้อมูลนั้นจะน่าตกใจอยู่เล็กน้อย แต่นับจากวันนี้นั้นเขาไม่มีทางปล่อยให้คู่หมั้นของหล่อนได้มีความรู้สึกเช่นเดิมอีกต่อไปแน่
เขาจะทำให้หล่อนอยากตาย แต่ก็ไม่อาจตายได้เช่นคนอื่นๆ!
“หน้าตาแบบนี้ ฉันคงหายเบื่อได้ไปอีกเป็นเดือน”เอ่ยปากด้วยความอารมณ์ดีเมื่อแผนการณ์ของเขาในหัวนั้นยังคงจินตนาการไปไม่เป็นที่สิ้นสุด หม่อมเจ้าฉัตรินหยิบเชือกหนาออกมาจากกางเกงที่เขาสวมแล้ววาดรอบข้อมือบางของหญิงสาวที่่นอนอยู่ และฮัมบทเพลงในลำคอของตนระหว่างที่โยนเชือกนั้นให้คล้องกับตะขอบนฝ้าเพดาน ก่อนจะค่อยดึงเชือกอีกด้านให้รั้งกายของหล่อนขึ้นเป็นกระสอบทรายมนุษย์อย่างไม่รีบร้อนอันใด
ความปวดหนึบบนใบหน้าของนีราพรรณที่ค่อยๆ เบาลงทำให้เธอรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก ร่างเพรียวบางจึงถ่มก้อนเลือดที่อยู่ภายในนั้นลงพื้นแล้วหัวเราะออกมาให้ชายหนุ่มได้ยิน
“ที่ว่ากันว่าต่อให้แสร้งเป็นครอบครัวที่ผลิตผ้าขาวออกมาได้ดีขนาดไหน ก็ยังต้องมีผืนตำหนิมาปรากฏให้เห็นอยู่ดีสักผืน คงเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว”
หม่อมเจ้าฉัตรินหยุดมือที่ดึงรั้งให้แขนของหล่อนขึ้นเหนือหัวแล้วถาม “หล่อนจะพูดอะไร คงไม่ได้อยากตายดี ให้สมกับที่เกิดมาหรอกมัง?”
“รับไม่ได้เลยหรือ ที่เป็นทั้งแกะดำในสายเลือดนั้น แล้วก็ต่ำช้าเสียยิ่งกว่าโจร?” เสียงหัวเราะของนีราพรรณคล้ายกับจะก้องกังวานและถากถางขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าคำกล่าวนั้นทำให้ใบหน้าที่เพิ่งจะรู้สึกเหนือกว่าอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่่ามืิอ ตามเสียงลือภายในรั้วสีขาวนั่นมีใจความว่าแม้จะพยายามปั้นตนเองว่าสง่างามอย่างไรแต่ท่านชายผู้นี้ยามไปไหนก็มีแต่ผู้คนอยากจะหลีกเลี่ยง ด้วยนิสัยโอ้อวดและการกระทำประหนึ่งตนเป็นจุดศูนย์กลางของสังคม จึงมีแต่คนชังเสียมากกว่าจะเป็นที่รักของใคร
ชายหนุ่มย่างเท้าสามขุมเข้ามาหาเธอด้วยดวงตาที่โกรธเกรี้ยว แต่ริมฝีปากที่พยายามจะยกขึ้นอย่างบิดเบี้ยวนั่นก็กล่าวต่อไปว่า
“ก็เพราะฉันสูงศักดิ์ ฉันอยากทำอะไร ทำไมต้องให้คนที่อยู่ต่ำกว่าฉันมาสั่งสอน? ฉันจะมองพวกมันเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าใจฉันต้องการ..”
“….”
“..เหมือนถ้าฉัน อยากจะเปลี่ยนใจให้หล่อนมาเป็นทาสไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ..ก็ได้เหมือนกัน”
ดวงตาคู่นั้นฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกลขณะสำรวจเสื้อผ้าที่หญิงสาวสวมใส่ และภายใต้รอยยิ้มเยือกเย็นของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณ ความรู้สึกน่ารังเกียจและขยะแขยงก็แล่นริ้วไปทั่วกายยามที่อีกฝ่ายเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
“ท่านชายไม่อยากรู้หรือ ว่าอะไรที่ทำให้พวกเราสาวตัวมาถึงท่านได้”
ถามออกไปเพื่อหยุดชะงักปลายนิ้วที่กำลังเคลื่อนเข้ามาหมายจะสัมผัสกระดุมบนเสื้อของตน ความรู้สึกโกรธเคืองที่อยู่ภายในจิตใจทำให้เธอไม่นึกกลัวผู้ชายที่มีอำนาจมากกว่าเธอที่อยู่ตรงหน้า แววตาของนีราพรรณในเวลานี้จึงมีแต่การดูถูกเหยียดหยามที่ไม่อาจผรุสวาทออกไปได้เป็นคำพูด
“ทั้งๆ ที่วางแผนให้คนอื่นเป็นคนลักพาตัวบรรดาคนพวกนี้ให้มาเป็นทาสไม่ซ้ำหน้า โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรอย่างหมดจดเลยแท้ๆ”
“….”
นีราพรรณแค่นเสียงในลำคอ “..ไม้หัวสิงห์แก้วที่ใช้เพื่อประกาศยศศักดิ์ของท่าน กับร่องรอยที่คนสามัญเช่นเราทิ้งไว้บนตัวอย่างไรล่ะ”
กล่าวเช่นนั้นโดยไม่ได้เจาะจงถึงร่องรอยใดที่อยู่บนร่างกายของเขา แต่หม่อมเจ้าฉัตรินกลับขยับฝ่ามือมาสัมผัสหลังมือของตนราวกับเพิ่งถูกใครทำร้ายมาได้ไม่นาน
“ว่าแล้ว...พวกหล่อนนี่มันตัวสร้างปัญหาให้ฉันจริงๆ” ท่านชายรำพันกับตนเองออกมาพร้อมทั้งขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน เขาสะบัดมือไปไว้ทางด้านหลังอย่างถือตัวก่อนจะเริ่มกล่าววาจาและเดินกลับไปมาอย่างไม่รีบร้อนอันใด
“จับฉันเข้าตะรางแล้วอย่างไร? รู้ว่าฉันฆ่าพวกมันไปแล้วอย่างไรต่อ? แค่ฉันใช้ฐานะและทรัพย์สินของตัวเองนิดๆ หน่อยๆ บวกกับพวกคนที่อยู่เหนือหล่อนนับไม่ถ้วน คิดว่าฉันจะล้างมลทินให้ตัวเองไม่ได้เลยหรือ...หล่อนก็ประสบกับมันมาครั้งหนึ่งแล้วนี่?”
ช่วงท้ายประโยคเขากล่าวย้ำเตือนด้วยดวงตาที่จ้องมองมายังส่วนที่เธอถูกลอบทำร้ายในคราวนั้น รอยยิ้มบิดเบี้ยวที่ยังปรากฏอยู่บนใบหน้าเป็นเครื่องหมายว่าเขายังคงทะนงตนไว้อยู่เหนือกว่าเธอนัก
“…”
“ดาวที่พวกหล่อนประดับ...มันสกปรกจะตาย”
พลั่ก!
พริบตาที่วาจาเยาะเย้ยนั้นออกมาจากเจ้าของกลิ่นยาเส้นฉุนกึก โคมไฟสลัวที่ตั้งวางอยู่บริเวณนั้นก็ถูกหยิบยกขึ้นมากระทบกับด้านหลังศีรษะจนร่างของผู้เป็นหม่อมเจ้านั้นล้มลงดังต้นไม้ที่ถูกโค่น ดวงตาของนีราพรรณเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจไม่น้อยที่ผู้แฝงตัวอยู่ในเงานั้นลงมือได้เฉียบขาดนัก แต่ครั้นพอได้ยินคำกล่าวที่เอ่ยออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ เธอก็เริ่มที่จะเห็นใจร่างที่ล้มลงไปบนพื้นขึ้นมา
“นี่สำหรับที่ทำให้ฉันกับแม่ต้องลำบาก” หม่อมหลวงนาราภัทรพูดด้วยความโมโหขณะที่ง้างเรียวขา
ผัวะ!
“นี่สำหรับที่พรากชีวิตคนอื่นไป”
ผัวะ!
“หนนี้สำหรับที่แกกล้าแตะต้องคนสำคัญของฉันทั้งหมด”
ผัวะ! ผัวะ!
“ไอ้คนตัณหากลับ จิตวิปริต”
“พี่นาง พอแล้ว” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณเอ่ยปากออกไปในที่สุดเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเร่ิมหัวเสียมากขึ้นทุกการกระทำ และดูเหนื่อยล้าทุกครั้งที่ผรุสวาทออกไป ลมหายใจของหญิงสาวค่่อยๆ สงบลงหลังจากที่เธอกล่าวออกไปเช่นนั้น ก่อนที่นาราภัทรจะหันมาใช้มีดสั้นที่หล่อนหามาได้ตัดเชือกที่พันธนาการรอบข้อมือเธอเอาไว้
“ฉันปล่อยตัวพวกคนที่ถูกขังไว้ที่นี่แล้ว อีกไม่นานกำลังเสริมที่แยกไปคงมาถึง” หล่อนว่าหลังจากเส้นด้ายบนเชือกนั้นขาดลง แล้วโอบกายร่างของคนที่คล้ายกับจะอ่อนกำลังลงไปหลายส่วนอย่างเธอไว้ทันพอดี “คุณหญิง ไหวไหมคะ”
“ฉันยังไหวค่ะ เราช่วยเธอก่อนเถอะ” นีราพรรณว่าขณะใช้มือที่วางบนไหล่ของหญิงสาวสะกิดเบาๆ พวกเธอทั้งคู่จึงหันไปให้ความสนใจกับร่างของหม่อมหลวงอิลลาสินีที่สลบไปครู่ใหญ่แล้วด้วยความเครียดที่เกิดขึ้นมา ทว่าหลังจากช่วยเหลือและกำลังจะก้าวเท้าถึงประตูบานสลักลายสิงห์ในอีกไม่กี่ก้าว นาราภัทรกลับปล่อยมือแล้วส่งร่างของหล่อนมาให้เธอประคองไว้แต่เพียงผู้เดียว
“คุณหญิงพาเธอออกไปก่อนนะคะ”
เธอถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นเล็กน้อย “พี่จะทำอะไรคะ”
“หากจ่าธงชัยยังตามมาไม่ทันเราจะต้องเสียเวลาตามหาเขาอีกครั้ง” นาราภัทรว่า “ฉันไม่มีทางยอมให้โทษของเขาลดลงแน่”
“แต่—”
ปัง!
อาจเพราะแสงไฟภายในห้องนั้นมืดลงไปมากกว่าเดิมเพราะโคมโฟอันถูกใช้เป็นอาวุธ ประกายกระสุนที่เกิดขึ้นจึงเฉียดร่างของพวกเธอทั้งสามคนไปยังรูปปั้นที่อยู่ด้านข้าง ร่างของหม่อมเจ้าฉัตรินในสภาพศีรษะที่มีเลือดไหล ใบหน้าที่ไม่ได้น่ามองอยู่แล้วมีรอยฟกช้ำด้วยน้ำมือของหม่อมหลวงนาราภัทร สะท้อนภายในความมืดที่รับกับแสงไฟสลัวแล้วยิ่งดูน่ากลัวไม่ต่างจากปีศาจที่นีราพรรณเคยอ่านในหนังสือมาก่อนเลย
“นัดต่อไป จะเป็นหัวพวกหล่อนทั้งหมด”
ปลายกระบอกปืนในมือเขาคือ luger marine อันเป็นอาวุธคู่ใจของเธอ ท่าทางการเดินที่ไม่มั่นคงนั้นบ่งบอกได้ว่าบาดแผลที่ศีรษะมันน่ารำคาญสำหรับเขาอยู่มาก
“กล้านัก...กล้าดียังไงถึงมาทำให้คนอย่างฉันต้องตกต่ำขนาดนี้”
นีราพรรณคว้าแขนของคนอายุมากกว่าไว้ในทันทีด้วยสัญชาตญาณ
“ฉันจะปล่อยพวกหล่อนสองคนไปก็ได้..แต่คุณ ต้องอยู่ที่นี่”
ชายหนุ่มสะบัดปลายกระบอกปืนเป็นการพยักพเยิดอย่างออกคำสั่ง และเป้าหมายของปืนกระบอกนั้นก็ไม่ใช่ใครที่่ไหนนอกเสียจากนาราภัทรที่ยืนยกมือทั้งสองข้างไว้อยู่
“บอกว่าให้เดินมาไง!”
หม่อมราชวงศ์นีราพรรณขบฟันกรามแน่นด้วยความกดดันและกังวลใจ เพราะเธอรู้นิสัยของผู้เป็นสารวัตรดีว่า หล่อนจะต้องยอมทำตามคำของเขาแน่ มืิอที่กระชับเรียวแขนของหล่อนไว้จึงแน่นขึ้นเล็กน้อย ทว่าเธอกลับรู้สึกได้ถึงการที่อีกฝ่ายกำลังจะเคลื่อนไหวห่างออกไปแทน
“พี่นาง-!”
เสียงที่ลอดไรฟันของคุณหญิงนีราพรรณออกไปยังไม่ทันได้จบประโยค เจ้าของฝ่ามืออุ่นนั้นก็ตบลงบนหลังมือของเธอเป็นการส่งสัญญาณ เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากฝืนใจของตนเองด้วยการปล่อยให้หล่อนเดินจากไปช้าๆ อีกครั้งหนึ่ง
“เหอะ...ที่แท้ก็ไม่ใช่แม่นั่น แต่เป็นคุณเองสินะ”
หม่อมเจ้าฉัตรินแค่นเสียงในลำคอออกมาเมื่อได้เห็นสีหน้าที่แตกต่างไปของหญิงสาวเป็นคราวแรกหลังจากได้พบกันที่นี่ ความรู้สึกรังเกียจและเคียดแค้นที่มีต่อหม่อมราชวงศ์ผู้นี้จึงเพิ่มมากยิ่งขึ้นตามที่คิด ดูเหมือนคนที่เขาส่งไปจะทำงานผิดพลาดถึงได้ไม่รู้ว่าจุดอ่อนที่แท้จริงของหล่อนนั้นคือผู้หญิงที่เขาหมายปองไว้แต่แรก
เช่นนั้นเขาจะทำให้หล่อนทั้งคู่อยากตายแต่ก็ตายไม่ได้...แค่จินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำด้วยความตื่นเต้นเอามากๆ เสียแล้ว
นาราภัทรเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงด้วยความอดกลั้น ยามที่ชายน่ารังเกียจผู้นี้กำลังใช้ปลายกระบอกปืนไล้ไปทั่วสัดส่วนของตนเอง ก่อนที่เขานำมันออกไปและหัวเราะด้วยรู้สึกว่าตนกำลังจะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้อีกครา
“ถ้าอย่างนั้น เราก็มาตกต่ำด้วยกันเถอะคุณนาง...”
ปัง!
“อั่ก!”
ร่างของหม่อมเจ้าฉัตรินเซถลาไปด้านหลังทันทีที่ความเจ็บปวดฉับพลันนั้นเกิดขึ้นที่หัวไหล่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ร้องออกมาอย่างสุดเสียง หญิงสาวที่เขาคิดว่าจะครอบครองได้อย่างหมดจดแล้วนั้นกลับปลดอาวุธจากมือข้างเดียวกัน ด้วยการบังคับให้กระดูกของเขาหักและจำยอมต้องปล่อยมันไปให้หลุดมือ
“หญิงนิ่ม!”
“พี่หญิงใหญ่” ความโล่งใจปรากฏขึ้นภายในน้ำเสียงของนีราพรรณทันที เมื่อเจ้าของกระสุนนัดนั้นออกมาจากกระบอกปืนที่อยู่ในฝ่ามือของหม่อมราชวงศ์จินณวัตรผู้เป็นพี่สาวของเธอ หลังการปรากฏตัวของหล่อนยังมีเจ้าหน้าที่อีกสี่ห้านายที่ตรงเข้ามาล้อมร่างของท่านชายฉัตรินไว้ เพื่อไม่ให้ทำการอุกอาจอันใดได้อีกต่อไปแล้ว
“ไหวหรือเปล่า” คุณหญิงจินณวัตรแตะที่ไหล่ของเธอและสอดส่องสายตาดูคร่าวๆ
เมื่อพยักหน้าตอบกลับไปแล้วอีกฝ่ายจึงมีสีหน้าที่โล่งใจมากขึ้น นีราพรรณรู้สึกว่าตนเองตื้นตันไม่น้อยที่ได้เห็นผู้เป็นพี่ีสาวอยู่ที่นี่ แต่เพราะยังมีบางอย่างที่ต้องสะสางให้เสร็จสรรพ เธอจึงปรับลมหายใจของตนให้เข้าที่แล้วหันไปรับปืนคู่ใจที่หม่อมหลวงนาราภัทรปลดมันได้มาก่อนหน้านี้
หม่อมเจ้าฉัตรินที่ยังคงสติไว้ได้นั้นขยับดวงตาเบิกโพล่งในทันทีที่เห็นเธอเดินเข้าไปในวงล้อม “จะทำอะไร--จะฆ่าฉันหรือ ต่อหน้าต่อตานายตำรวจอื่นแบบนี้รึ!?...ไม่เกรงกลัวข้อหาทำเกินกว่าเหตุเสียบ้างเลยหรืออย่างไรฮะ คุณหญิงนีราพรรณ”
วาจาเหล่านั้นประหนึ่งไม่ได้รับการไตร่ตรองอะไรอีกแล้วจากความคิดของตน นาราภัทรเห็นหม่อมราชวงศ์นีราพรรณคลายริมฝีปากให้โค้งขึ้นด้วยรู้สึกขบขัน ขณะที่เห็นเขาตัวสั่นเทายามที่ปลายกระบอกปืนในมือหล่อนนั้นล็อคไว้ที่ร่างกายของตน
“..แค่ใช้ตำแหน่งของฉัน แถมยังไม่มีสายตาอื่นมาจับจ้องเป็นพยาน ข้อหาร้ายแรงเช่นการกระทำเกินกว่าเหตุที่จะมีในชั้นศาล ก็เปลี่ยนเป็นการป้องกันตัวได้เหมือนกัน”
แต่หญิงสาวจำต้องยอมรับ..ว่ารอยยิ้มเย็นและดวงตาที่นิ่งเฉยของหล่อนขณะกล่าวประโยคเหล่านั้นมันช่างน่าหวาดหวั่นไม่น้อย
กริ๊ก
“อย่างที่ท่านชายพูด...อาชีพนี้มันสกปรกจะตาย”
ปัง!!
สิ้นเสียงนั้นที่ดังขึ้นจนใบหูอื้ออึงไปชั่วขณะ นาราภัทรค่อยเปิดเปลือกตาของตนขึ้นทีละนิดแต่กลับไม่พบร่องรอยของโลหิตที่ควรจะซ่านกระเซ็นบนพื้น แต่กลับมีร่องรอยของประกายไฟและควันจางๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ข้างใบหูของหม่อมเจ้าฉัตริน ซึ่งบัดนี้กำลังขดตัวด้วยความกลัวอย่างถึงที่สุดแทน
หญิงสาวเคลื่อนสายตามองใบหน้านิ่งเฉยของคุณหญิงนีราพรรณ ซึ่งเธอเห็นได้ชัด ว่าหล่อนแสดงอาการเหนื่อยล้ากับเรื่องนี้ออกมาอย่างไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป
“คุณหญิง”
“…”
นาราภัทรผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเบาใจไปส่วนหนึ่ง “มันจบแล้วค่ะ”
ได้ยินเสียงที่เอ่ยบอกอย่างห่วงใยร่างเพรียวบางก็ได้สติ เช่นเดียวกับที่ความเจ็บตรงริมฝีปากกำลังแผลงฤทธิ์พอเป็นเครื่องยืนยันว่าคดีคนหายตัวไปได้สิ้นสุดลงแล้ว นีราพรรณพยักหน้ารับคำกล่าวนั้นช้าๆ ก่อนจะเดินนำเจ้าหน้าที่อีกสองนายที่แบกร่างปวกเปียกของหม่อมเจ้าฉัตรินไปสู่เสียงสัญญาณของบรรดารถตำรวจซึ่งรอคอยอยู่ด้านนอก
นี่เป็นครั้งแรกตลอดหลายปีจริงๆ...ที่หลังจากนี้นีราพรรณนึกคิดอยากจะพักงานของตนให้นานกว่าที่เคย
ข่าวคราวของท่านชายผู้สูงศักดิ์เป็นเรื่องราวที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แม้เหล่าข้าราชการภายในจะต้องการปิดให้เรื่องนี้เงียบที่สุด แต่หนึ่งวันหลังการจับกุมนั้นหนังสือพิมพ์มากมายต่างก็ใช้เส้นสายและเงินซื้อข้อมูลเหล่านั้นมาตีพิมพ์จนได้ ตัวอักษรหนาที่แผ่หราอยู่บนเนื้อกระดาษสีอ่อน ไม่อาจปิดกั้นจินตนาการและความเกลียดชังของพวกเขาที่มีต่อหม่อมเจ้าฉัตรินให้น้อยลงได้แม้แต่นิด
ช่วงแรกเกิดการประท้วงของครอบครัวของเหยื่อมากมายนอกสถานที่คุมขังชั่วคราวของท่านชาย บางคนถึงขั้นโยนเศษผักเศษปลาใส่ผนังที่คาดว่าเขาจะอยู่อย่างไม่กลัวเกรง จนคนที่เฝ้าประตูอยู่บางครั้งก็โดนหางเลขอย่างเอน็จอนาถไปด้วยเช่นกัน
แม้จะเป็นที่รู้กันว่าในช่วงเวลานี้ไม่มีกฏหมายใดที่จะเอาผิดเชื้อพระวงศ์ได้โดยตรง แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะกดดันให้ตำรวจในราชสำนักทำอะไรสักอย่างก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่าที่เป็นอยู่
นอกเหนือจากนั้นยังมีการตีข่าวลือเรื่องตำรวจรับสินบนจากผู้ต้องหาที่มีอำนาจ ครั้นบวกกับเรื่องราวที่กำลังเกิดแล้วชาวบ้านตาดำๆ ยิ่งไม่อาจทนอยู่เฉย หากเดินเท้าเปล่าไปที่ตลาด ย่อมได้ยินเสียงก่นด่าที่พวกเขาต่อว่าและลือไปต่างๆ นาๆว่าพวกนี้คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ปิดคดีได้เชื่องช้าและไม่ยอมช่วยเหลือพวกเขาเป็นแน่
หม่อมหลวงนาราภัทรและเธอเป็นบุคคลไม่กี่คนที่พอจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับผู้เป็นหม่อมเจ้า ถึงจะได้ยินผ่านๆ ว่าอีกฝ่ายนั้นเพียงถูกริบบรรดาศักดิ์และต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในเรือนที่ทางเชื้อสายสร้างขึ้นให้ใหม่ภายในนั้นโดยเฉพาะ แต่ก็ยังมีเสียงเล่าลือว่ามักมีคนได้ยินเสียงเขากรีดร้องอยู่ผู้เดียวทุกค่ำคืนจนเสียงนั้นเงียบลงไปเอง และไม่มีชาวบ้านหรือผู้ใดกล่าวนามของเขาขึ้นมาอีกเลย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปราวสองอาทิตย์ ภายในห้องทำงานประจำของตนเองในวังทัตพงศ์มาลี หม่อมราชวงศ์นีราพรรณกำลังจัดเก็บสมุดรายงานที่ตนเคยใช้เวลาเขียนมานานลงกระเป๋าหนังใบใหญ่ ขณะที่ดวงตาคู่งามพลันเหลือบไปเห็นกล่องกำมะหยี่สีเงินทรงเหลี่ยมที่ถูกวางไว้อย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาเปิดดูอีกครั้งหลังจากปล่อยมันไว้หลายวันแล้ว
ตราประดับอกสีเงินแวววับที่เธอได้มาหลังจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยากจะให้เธอและนาราภัทรรับมันไว้ ในฐานะบุคคลที่ทำความดีความชอบด้วยการปิดคดีของหม่อมเจ้าฉัตรินได้ แม้ใจจริงแล้วพวกเธอทั้งสองจะไม่อยากรับมันมาเลยสักนิด เพราะรู้แน่ว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เพียงแค่อยากจะใช้โอกาสนี้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกรมขึ้นมาใหม่อีกคร้ังเท่านั้นเอง
“หญิงนิ่ม..”
เสียงเรียกที่ฟังดูขาดความมั่นใจนั้นทำให้หญิงสาวเคลื่อนสายตาไปมอง เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่นั้นคือหม่อมราชวงศ์จินณวัตรผู้เป็นพี่ เธอจึงปิดกล่องกำมะหยี่นั้นลงใส่กระเป๋าตรงหน้าของตนเองอย่างไว้ที
“พี่หญิงใหญ่มีอะไรหรือคะ”
คงเพราะท่าทางที่ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับการมาถึงของตนจากผู้เป็นน้องสาว คุณหญิงจินณวัตรจึงเกิดอาการประหม่าไม่น้อยทั้งที่ยืนอยู่บริเวณกรอบประตูอย่างนั้น แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวคล้ายคำอนุญาต เจ้าตัวกลับเอ่ยปากในสิ่งที่นีราพรรณไม่ได้คาดเอาไว้แทนเสียนี่
“ฉันอยากมาขอโทษ”
“…”
“ตอนนั้น ฉันไม่ได้หมายจะโทษคุณนาราภัทรทั้งหมดหรอกนะ” หล่อนขยับมือที่ไขว่กันอยู่ตรงอกลงเพื่อแสดงตัวว่าเป็นฝ่ายยอมแพ้ในสงครามจิตวิทยานี้ “เป็นความผิดฉันเอง ฉัน...คิดน้อยเกินไปสำหรับคนที่กำลังเจ็บปวดเพราะความรู้สึกแบบนั้น ฉันแค่คิดว่ามันมากไปหรือเปล่าที่จะเอาแต่หนี แทนที่จะเผชิญหน้า”
“…”
“ฉันไม่ทันคิด ว่าตอนที่ทำได้เพียงแค่มองคนที่เรารักจากไปแต่ทำอะไรไม่ได้ มันทรมานมาก”
ดวงตาของนีราพรรณฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นสีหน้าของพี่สาวคนโต คุณหญิงจินณวัตรที่น้อยครั้งนักจะเปิดเผยความรู้สึกด้านที่อ่อนไหวของตัวเอง กำลังกล่าวราวกับเข้าอกเข้าใจความรู้สึกในตอนนั้นที่เกิดขึ้นกับเธอ
“เธอมองพี่เหมือนแปลกใจเป็นครั้งที่สองแล้วนะ” หล่อนเขม่นดวงตาใส่เธออย่างไม่จริงจังขณะที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม “พี่แค่ไม่สนใจ ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้จักมันเสียหน่อย”
นีราพรรณกลั้นรอยยิ้มไว้บนใบหน้า “ขอโทษค่ะ หญิงประหลาดใจเกินไปเองจริงๆ นั่นแหละ”
อันที่จริงความหวังดีที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังการกระทำของอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่สิ่งแปลกสำหรับคนเป็นพี่น้อง แต่เป็นความห่วงใยอย่างเด่นชัดต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกดีและรู้สึกประหลาดใจอยู่ลึกๆ ไม่ใช่แค่กับครั้งที่หล่อนเป็นผู้เคลื่อนไหวคนแรกที่จะมาช่วยเหลือเธอและนารภัทรในวันนั้น แต่คราวของดารารินทร์และจิลลาภัทรเอง หล่อนก็ทำหน้าที่ของผู้สนับสนุนนั้นได้ดีเหมือนกันเสียด้วย...
พี่สาวของเธอคนนี้ ช่างเป็นคนที่น่านับถือโดยแท้
“วันนั้นหญิงดีใจจริงๆ พี่หญิงใหญ่ก็มีฝีมือไม่น้อย” เธอว่าพลางปิดกระเป๋าหนังที่เปิดทิ้งเอาไว้ ขณะที่หล่อนนั้นผ่อนคลายสีหน้าลงเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำกล่าวหยอกเย้าจากเธอ
“คุยไม่ได้มากหรอก เกรงว่าจะห่างชั้นกว่าผู้หมวดแล้ว”
นีราพรรณกลั้วหัวเราะเมื่อได้ยินอย่างนั้น “จริงหรือ? พี่หญิงของฉันกลัวความห่างชั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คงเพิ่งตระหนักได้ไม่นานละมัง”
หล่อนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจนเธอต้องเคลื่อนสายตาไปมองอีกครา ดูเหมือนว่าหม่อมราชวงศ์จินณวัตรจะไม่ได้รู้ตัวเลยว่าดวงตาของตนที่ทอดมองออกไปด้านหน้านั้น กำลังทำให้เธอตีความไปได้อย่างไรบ้าง
นี่เธอคงไม่ได้คิดมากเกินไปใช่ไหมเนี่ย...?
“ทำไมถึงไม่พักผ่อนล่ะคะ”
เสียงคุ้นหูที่เอ่ยถามกันทำให้คนที่นั่งเอนกายอยู่ในห้องบนเก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือในยามบ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง หม่อมหลวงนาราภัทรผลิรอยยิ้มน่ามองหลังจากเพิ่งเดินทางกลับมาถึงที่วังทัตพงศ์มาลี แล้วตรงมายังห้องนั่งเล่นของบรรดาสี่ใบเถาของเรือนหลังนี้อย่างเช่นทุกวัน
“ฉันนอนทั้งวันแล้ว ไม่อยากตุ้ยนุ้ยไปกว่านี้หรอกค่ะ”
หลังเสร็จสิ้นคดีคนหายตัวไป คุณหญิงนีราพรรณก็ใช้เวลาพักผ่อนตามที่ได้รับการอนุญาตจากทางการด้วยเหตุว่าอยากรักษาตัวให้ดีก่อน แต่ทุกวันเธอมักจะเห็นหล่อนนั่งอ่านรายงานที่จ่าธงชัยนำมาฝากให้เสมออยู่คนเดียวมากกว่าจะเป็นการพักผ่อนจริงๆ อย่างหล่อนอ้าง แม้รอบศีรษะและข้อมือข้างที่เคยบาดเจ็บดูจะเป็นเหมือนเดิมแล้วแต่ก็ยังไม่น่าไว้วางใจสำหรับเธอนัก ถึงอย่างไรนาราภัทรก็อยากจะให้หล่อนได้พักกายจากเรื่องราวของคนอื่นจริงๆ จังๆ เสียที
มองคนตอบคำถามเธอซึ่งมีแววตาเป็นประกายและผิวแก้มที่ดูพองขึ้นเหมือนเด็กๆ แล้วหญิงสาวก็ให้รู้สึกอ่อนใจ ระยะหลังมานี้เธอมักจะมองเห็นความเจ้าเล่ห์แสนกลของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณซ่อนอยู่ในกิริยานี้เสมอ แต่ถึงจะรับรู้อย่างไร นาราภัทรกลับพบว่าเธอจำต้องยอมอ่อนโอนต่อมันเสียง่ายๆ จนบางครั้งก็ต้องแอบติเตียนตนเองในใจเงียบๆ
อย่างคราวที่เธอยืนยันจะขอใช้เรือนรับแขกกับคุณชายเจตนิพันธ์ตามคำเชิญ ทว่าแค่เพียงเห็นหน้าหล่อนเท่านั้น เธอก็กลับต้องมาอาศัยในวังดอกไม้ในฐานะของ ‘คุณผู้หญิง’ เรื่อยมาเสียแล้ว..
“งั้นถ้าคุณหญิงหายดีแล้ว ฉันจะสั่งให้คุณหญิงวิ่งรอบวังทุกเช้าเสียเลยดีมั้ยคะ”
ร่างบอบบางภายใต้เสื้อสีกากีนั้นขยับฝ่ามืออุ่นขึ้นมาประคองที่ใบหน้าของเธอ ก่อนที่หล่อนจะนั่งลงข้างกันพลางส่งริมฝีปากรูปหัวใจนั้นแนบลงที่ขมับเบาๆ ราวกับคนที่ยอมจำนนในสิ่งที่เธอร้องขอออกไป
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอคุณสารวัตร” นีราพรรณหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างชอบใจที่เจ้าหล่อนตกหลุมพรางเธออีกครั้ง “แต่ถ้าแลกกับที่พี่ปลอบฉันแบบนี้ จะยอมทำให้ก็ได้นะ"
เรียวคิ้วที่กระตุกขึ้นอย่างตั้งใจทำให้คนมองรู้สึกคับแน่นในอกจนต้องฟาดมือลงบนหน้าขาของหญิงสาวอย่างไม่จริงจัง เมื่อหยอกล้อกันพอประมาณแล้วคุณหญิงนีราพรรณจึงขยับมือขึ้นมาช่วยปลดเส้นผมที่ถูกมัดรวบไว้ในเวลางานให้คลายลงอย่างเคย “ไปส่งคุณชายกับหลินมา เป็นอย่างไรบ้างคะ”
หลังสิ้นสุดเรื่องราวนีราพรรณจึงได้ฟังความจากหม่อมหลวงนาราภัทร ว่าหลังจากที่จัดแจงที่อยู่อาศัยนอกจังหวัดให้ผู้เป็นมารดาเป็นที่เรียบร้อยและหมดห่วงแล้วจึงได้เดินทางกลับมา หล่อนเล่าว่าเวลานั้นได้ตรงไปหาหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ ด้วยต้องการทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนที่แม่และตนเองจะจากไปกันแน่
คุณชายเอกทัศน์เปิดปากเล่าเรื่องราวหมดเปลือกด้วยความละอายใจ ชายกลางคนว่าเป็นเพราะตนเองไม่อาจขัดคำสั่งของผู้เป็นปู่จึงจำต้องแต่งงานแม้จะเพิ่งพบรักที่ตามหาในเวลาที่สายเกินแก้ แล้วยังมีลูกกับหญิงสาวชาวบ้านก่อนคนที่ถูกหมั้นหมายไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ผู้รักในศักดิ์ศรีอย่างอดีตหม่อมเจ้าหญิงนั้นรู้สึกถึงการทรยศและไม่ไว้หน้า จึงได้ทำทุกวิถีทางที่จะทำให้มารดาของหล่อนรู้สึกทนไม่ได้ โดยไม่เว้นแม้แต่วิธีการจัดฉากตามล่าเอาชีวิตให้นางนวลจันทร์ต้องคอยหนีเอาตัวรอด แล้วบอกกล่าวเรื่องราวที่แตกต่างกันไปให้แต่ละฝ่ายเข้าใจกันไปเอง
หม่อมราชวงศ์เอกทัศน์เข้าใจว่าคนรักถูกบีบคั้นจนต้องหนีหายและตายจากไประหว่างนั้น ส่วนมารดาของเธอนั้นก็ถูกทำให้ฝังใจว่าชายคนรักเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดจนชิงชังผู้มียศศักดิ์เข้ากระดูกดำมาตลอดหลายปี กระทั่งผู้เป็นบิดามีปากเสียงกับภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายบ่อยครั้งเข้า และได้รับข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ จากการหลุดปากของหล่อนถึงได้เริ่มสืบเบื้องหลังมาเรื่อยๆ ด้วยตัวเอง
นาราภัทรหันมาตอบคำถามของหญิงสาว “ฉันบอกแล้วค่ะว่าคุณหญิงบอกให้เดินทางปลอดภัย”
หลังจากหม่อมหลวงอิลลาสินีหรือน้องสาวต่างมารดาของเธอได้พักฟื้นร่างกายและจิตใจให้หายดี คุณชายเอกทัศน์ก็เร่งดำเนินการการย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ที่ต่างประเทศฝั่งยุโรปตามที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้า อันที่จริงบิดาของเธอก็มีความดีความชอบในการช่วยเหลือและคอยกดดันข้าราชการชั้นสูงอยู่ไม่น้อย แต่เขาและสมาชิกในครอบครัวก็ยืนยันว่าจะยังทำตามกำหนดการเดิมอยู่ดี
แม้นาราภัทรจะอดนึกเป็นห่วงไม่น้อยเพราะรู้ดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คงไม่มีทางลบออกจากใจของอิลลาสินีไปได้ แต่ครั้นเห็นรอยยิ้มที่ส่งมาให้ ความรู้สึกผิดลึกๆ ที่อยู่ในใจก็ทำให้เธอกล่าวอะไรมากไปกว่าการสัญญาว่าจะคอยตอบรับจดหมายของหล่อนเท่านั้นเอง
“วันพรุ่ง ฉันจะกลับไปหาแม่นะคะ”
“สรุปว่าท่านจะไม่มาอยู่กับเราจริงหรือคะ” เพราะนึกเป็นห่วงขึ้นมาหลังจากที่หญิงกลางคนตั้งใจจะลงหลักปักฐานอยู่แถบบ้านนา เธอได้ยินเพิ่มเติมมาไม่นานนี้ว่าคุณชายเอกทัศน์ได้ส่งคนที่เคยดูแลบ้านของเขาส่วนหนึ่งมาช่วยดูแลหล่อนและตามอาณาเขต กระนั้นนีราพรรณก็มีใจอยากให้มารดาของอีกฝ่ายได้อยู่ใกล้ชิดกันตามประสาครอบครัวอยู่ดี
“ท่านบอกว่าที่เป็นอยู่อย่างนี้ก็หมดห่วงแล้ว แล้วยังฝากกำชับอีกว่า ต้องไปพบท่านเดือนละครั้งด้วยนะคะ” นาราภัทรคลายยิ้มออกมาอย่างเข้าอกเข้าใจ เธอรู้ดีว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในใจลึกๆ ของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณนั้นคือเรื่องที่หล่อนสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก ความโหยหายามที่ต้องห่างไกลจากบุพการี เห็นทีจะไม่มีใครเข้าใจไปมากกว่าอีกฝ่ายเลย
“แต่จะบอกฉันได้ไหมคะ ว่าสัญญาอะไรกันไว้บ้าง?”
พอเอ่ยถามออกไปแบบนั้นคนที่มีสีหน้าห่วงใยเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์แสนกล ถ้าไม่ใช่เพราะคำกล่าวที่แม่ของเธอพูดถึงหล่อนว่า ‘คนรักษาสัญญา’ ไหนเลยเธอจะนึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาได้
“เธอบอกให้ฉันดูแลพี่นางให้ดีมากๆ” นีราพรรณตอบทั้งที่กล่าวความจริงไม่หมด และหม่อมหลวงนาราภัทรก็รับรู้ดีว่ามันไม่ใช่คำตอบที่หล่อนกำลังตามหา กระนั้นก็หญิงสาวก็ยังยอมปล่อยให้เธอประคองมือเรียวนั้นขึ้นมาจุมพิตเบาๆ อย่างเอาใจอยู่ดี
“และให้รัก..ให้ดีที่สุดอีกด้วย”
เสียงแมลงยามค่ำคืนที่กู่ร้องประหนึ่งวงดนตรีหลังจากหยาดฝนได้หยุดเคลื่อนไหว ทั้งกลิ่นใบหญ้าและต้นไม้ที่เปียกปอนลอยละล่องผ่านหน้าต่างเข้ามาให้ได้รู้สึก ขับให้ร่างของหญิงสาวในเสื้อคอกลมแขนกุดนั้นละมือจากผ้าห่มที่จัดเตรียมไว้มาเปิดหน้าต่างเพื่อรอรับสายลมเย็นๆ เวลานี้เธออยู่ที่บ้านใหม่ของนางนวลจันทร์ผู้เป็นมารดา จึงค่อนข้างรู้สึกสบายตัวสบายใจจมากพอสมควร
หม่อมหลวงนาราภัทรมองเห็นซองจดหมายที่ถูกเปิดออกวางไว้ที่โต๊ะหนังสือภายในห้องนอน เธอค่อยๆ นั่งลงขณะกระชับผ้าคลุมที่วางอยู่บนไหล่บางเพื่อกันอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน และหยิบจดหมายที่ถูกเปิดไว้นานแล้วขึ้นมาอ่านทวนซ้ำอีกครา
เจ้าของลายมือนี้จะเป็นใครไปเสียอีกนอกเสียจากหม่อมหลวงอิลลาสินีที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ เนื้อหานั้นไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบหลังจากเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปราวสองเดือน หญิงสาวใคร่รู้ในความเป็นอยู่ของมารดาเธอและยังเขียนระบายการปรับตัวในระยะแรกกับบ้านหลังใหม่ ตัวอักษรที่บ่งบอกว่าความอึดอัดระหว่างเธอทั้งคู่ได้ลดน้อยลงไปกว่าครั้งล่าสุดที่พบกันแล้วนั้นทำเอานาราภัทรต้องคลายยิ้มออกมาระหว่างอ่านมันอย่างเสียไม่ได้
หญิงสาวยังจดจำความอึดอัดและกระอักกระอ่วนใจในวันที่เธอไปยังเรือนใหญ่ของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ได้เป็นอย่างดี นาราภัทรตั้งใจไปพบเขาคราวนั้นเพื่อหวังจะได้ฟังความจากมุมมองที่แตกต่างไปจากผู้เป็นมารดาของตนเอง และหวังให้ครอบครัวใหม่ของชายกลางคนปฏิบัติต่อเธออย่างลูกนอกสมรสเสียจะได้เลิกแล้วกันไป แต่มันกลับผิดคาดในเรื่องราวของคุณชายเอกทัศน์ รวมทั้งการต้อนรับอย่างเป็นมิตรจากหม่อมหลวงอิลลาสินีที่เป็นน้องสาวของเธออีกด้วย..
‘ในเมื่อนับเป็นความผิดของเราทั้งคู่ไม่ได้ แล้วจะให้ฉันเอาความรู้สึกมาลงที่คุณ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหรอกค่ะ’
ส่วนหนึ่งในเนื้อความนั้นมีชื่อของคุณหญิงนีราพรรณอยู่ไม่กี่บรรทัดซึ่งเป็นการเอ่ยถามความเป็นไปโดยรวม สิ่งหนึ่งที่ยังคงคั่นกลางระหว่างความรู้สึกภายในใจลึกๆ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ต้องคอยประคองเพราะการมีสมาชิกในครอบครัวเข้ามาใหม่ แต่เป็นบางสิ่งที่นาราภัทรรู้ดีว่าเวลาเท่านั้นที่จะช่วยผ่อนปรนมันลงได้ หญิงสาวขยับตัวและใช้ปลายนิ้วสัมผัสหมึกที่ถูกเขียนด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ยามเมื่อนึกถึงบทสนทนาระหว่างกันกับน้องสาวต่างมารดาที่เกิดขึ้นมาในความคิด
‘มันอาจจะฟังดูน้ำเน่าไปหน่อยนะคะ ถ้าฉันจะพูดกับพี่เรื่องนี้..’ หม่อมหลวงอิลลาสินีพูดขึ้นมาหลังจากที่หล่อนปล่อยให้เธอช่วยหยิบจับดอกไม้ที่ถูกห่อไว้ในกระดาษหนังสือพิมพ์ วันนี้เป็นดั่งเช่นทุกวันที่หม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ร้องขอให้เธอเข้ามาที่บ้านสามครั้งต่อสัปดาห์แลกกับการให้ความช่วยเหลือเรื่องคดีของหม่อมเจ้าฉัตริน และมันก็เป็นคำขอไม่กี่อย่างที่นาราภัทรยอมผ่อนปรนให้ได้ แม้ตอนแรกจะยังรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่จำต้องมาใช้เวลากับน้องสาวต่างแม่
‘จากที่คิดแต่แรกว่าคงทำใจได้ยาก แต่พอฉันคิดทบทวนดูแล้ว...มันคงเป็นอะไรที่ต่อให้ฉันย้อนเวลากลับไป ก็คงเปลี่ยนใจคุณหญิงไม่ได้อยู่ดี’
‘…’
‘พี่ทั้งเก่งทั้งกล้าหาญ ต่างกับฉันที่เป็นเพียงแค่ลูกสาวของคุณพ่อ...แต่กลับปกป้องดูแลตัวเองยังไม่ได้’
นาราภัทรยื่นมือออกไปสัมผัสต้นแขนของอีกฝ่ายเป็นอย่างเข้าอกเข้าใจ ‘ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะหลิน...’
เธอเข้าใจความรู้สึกของหล่อนดีในฐานะที่เป็นบุตรีของครอบครัวที่ดูจะไร้ทิศทางอื่นในอนาคตนอกจากการมีครอบครัว แต่อย่างไรเสียอิลลาสินีเองก็ไม่มีทางเข้าใจทางเลือกอันน้อยนิดที่สังคมมีให้เธอกับผู้เป็นมารดาเช่นกัน
‘ฉันคงชดใช้แทนคุณแม่ในช่วงเวลาที่พี่นางกับคุณป้าต้องทุกข์ใจได้ไม่มาก’
‘หลิน...’
หล่อนหันมายิ้มให้เธอทั้งที่ดวงตาคู่เรียวนั้นโค้งลงได้ไม่เต็มที่ มือบางของหญิงสาวขยับเข้ามาวางทับบนหลังมือเธอราวกับจะแสดงความยินดีและไม่ต้องการให้ปฏิเสธอันใด
‘สำหรับเรื่องนี้ พี่นางสมควรที่จะได้รับความรักจากคุณหญิงแล้ว’
ประตูภายในห้องถูกปิดลงแผ่วเบาด้วยน้ำมือของผู้มาเยือน แต่ก็ไม่อาจพ้นประสาทสัมผัสการได้ยินของหม่อมหลวงนาราภัทรไปได้ ทันทีที่เห็นสายตาของหญิงสาวร่วมห้องหันมามองกัน หม่อมราชวงศ์นีราพรรณจึงคลายยิ้มให้ด้วยประจักษ์ว่าตนเพิ่งจะรบกวนสมาธิของหล่อนไป
“ขอโทษค่ะ ฉันรบกวนพี่หรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ฉันอ่านจบพอดี” หล่อนว่าพลางเก็บจดหมายนั้นให้เข้าที่เดิม ทำให้เธอในเสื้อคอกลมสีขาวนั้นต้องก้าวเท้าเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ด้วยความสงสัย
“จดหมายจากหลินหรือคะ"
“ค่ะ ฉันตั้งใจว่าจะเขียนตอบเธอให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่จะเล่าให้ฟังมาก”
นาราภัทรว่าทั้งแสดงสีหน้าเสียอกเสียดาย คงเพราะไม่อยากให้ระยะเวลาที่จะได้ติดต่อกับญาติผู้น้องนั้นทิ้งห่างจนเกินไป แต่พอหล่อนนึกถึงระยะทางที่กว่ากระดาษแผ่นหนึ่งจะเดินทางไปถึงจึงได้แต่ยั้งมือเอาไว้ก่อน
“งั้นถ้าจะส่งเมื่อไหร่บอกฉันด้วยนะคะ ฉันอยากจะมอบหนังสือที่หล่อนเคยบอกว่าอยากได้ไปให้สักเล่ม”
นีราพรรณคลายยิ้มก่อนจะยื่นมือนั้นขึ้นไปลูบศีรษะของคนตัวบางด้วยความเคยชินเมื่อหล่อนพยักหน้า อันที่จริงเนื้อความในจดหมายเธอก็พอจะได้ยินมาคร่าวๆ จากหล่อนเองว่าหม่อมหลวงอิลลาสินีถามถึง แต่ก็เป็นในแง่ของการถามอย่างเป็นมารยาทเท่านั้นซึ่งเธอก็เข้าใจมันได้ดี
นีราพรรณหลุดออกมาจากความคิดของตนเองหลังจากหญิงสาวตรงหน้าได้ยืนขึ้นมาแล้วยื่นมือไปบริเวณศีรษะของเธอ “ไปทำอะไรมาถึงมีใบไม้ติดอยู่ทั้งที่อาบน้ำแล้วล่ะคะ?”
มองใบไม้ที่เกือบแห้งใบเล็กติดออกมาจากมือของนาราภัทรหญิงสาวจึงค่อยยิ้มปะเหลาะ มือข้างที่ซ่อนอยู่ด้านหลังมาตั้งแต่แรกนั้นจึงหยิบยื่นกิ่งก้านที่ยึดติดกับดอกสีขาวตูมและส่งกลิ่นหอมมาให้บุคลลตรงหน้า
“ฉันเก็บมาฝากค่ะ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มแสนกลและดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอันเป็นลักษณ์ของมันถูกหยิบยื่นมา เจ้าของริมฝีปากอิ่มรูปหัวใจก็ขยับรอยยิ้มให้โค้งขึ้นด้วยรู้สึกขบขันที่เห็นอีกฝ่ายกระทำเหมือนเด็กๆ
“ขอบคุณนะคะ”
ครั้นพอเคลื่อนมือทั้งสองข้างออกไปหมายจะรับกิ่งของเจ้าดอกยี่หุบมาเป็นของตัวเอง หม่อมราชวงศ์นีราพรรณกลับขยับปลายนิ้วขึ้นมายึดไว้ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายรับมันมา แล้วคนอายุอ่อนกว่าก็โน้มใบหน้าสวยลงมาให้ต่ำลงอีกนิด
“กำลังหอมพอดีเลย”
กล่าวเช่นนั้นทั้งแววตาเป็นประกายนาราภัทรก็คล้ายจะหายใจสะดุด ถึงคำพูดของหล่อนจะสามารถตีความไปได้ถึงช่วงเวลาที่ดอกไม้ในมือเธอเบ่งบานพอดิบพอดี แต่การที่ปลายจมูกโด่งเป็นสันนั้นจงใจเฉียดใกล้ฝ่ามือของเธอระหว่างดอกไม้ที่ประคองเอาไว้ ก็ทำให้หญิงสาวชักไม่แน่ใจขึ้นมาเสียแล้ว
“ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ” ได้ยินอีกฝ่ายกล่าววาจาราวกับพึมพำนีราพรรณก็ยิ่งรู้สึกชอบใจ แต่เมื่อรู้สึกว่าหยอกล้อจนพอใจแล้วจึงได้ปล่อยให้คนตรงหน้าเก็บฝ่ามือหนีแล้วไปนั่งอยู่ที่เตียงนอน เพราะนางนวลจันทร์เพิ่งมาอยู่อาศัยได้ไม่นานห้องหับจึงมีไม่มากนัก หญิงกลางคนจึงอนุญาตให้เธอและหม่อมหลวงนาราภัทรพักผ่อนในห้องเดียวกันได้
“ฉันเคยลองคิดเปรียบเทียบดูด้วยนะคะ”
อีกฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เธอขยับกายมานั่งลงข้างๆ ทำเอาเรียวคิ้วบนดวงหน้าที่กำลังจับจ้องอากัปกิริยาของหญิงสาวเอาไว้นั้นต้องเลิกขึ้นมาน้อยๆ
“?”
“อุตส่าห์ใช้เวลากว่าจะยอมผลิบานในช่วงเวลาหนึ่ง แต่พอบานแล้วกลับมีช่วงเวลาที่หอมกรุ่นได้เพียงสั้นๆ เท่านั้นก่อนที่จะร่วงโรยไป”
“…”
“ฉันเองก่อนหน้านี้ก็คงไม่ต่างมากนัก มีชีวิตอยู่ไปในแต่ละวันเพื่อสร้างคุณค่าให้ตนเอง แล้วก็เหี่ยวเฉาไปเหมือนมัน”
ฟังคำกล่าวของอีกฝ่ายแล้วนีราพรรณจึงได้เข้าใจ หม่อมหลวงนาราภัทรกำลังเปรียบเปรยว่าก่อนหน้านี้ตนเองเพียงแค่ใช้ชีวิตไปในแต่ละวันเท่านั้น หล่อนไม่ได้วาดฝันว่าจะต้องมีสุขอย่างใครเขา และก็ไม่ได้หวังว่าชีวิตของตนจะเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นเท่าใดนัก...จะแตกต่างอะไรไปจากดอกไม้ที่ใช้ทั้งชีวิตของมันเพื่อเบ่งบาน แล้วร่วงหล่นสู่พื้นดินไปโดยที่ไม่มีใครหวังจะเก็บเกี่ยวขึ้นมาอีกเลย
“จริงอยู่ที่ช่วงเวลาของมันสั้นนัก แต่ใช่ว่าเจ้าดอกยี่หุบนี้จะไม่มีใครเฝ้าดู...” เธอขยับปลายนิ้วไปสัมผัสเส้นผมที่เคลื่อนตัวลงมาบดบังรอยยิ้มบางๆ ของหญิงสาวยามที่หล่อนนึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ให้เจ้าของดวงตาคู่นั้นหันมามองเธอด้วยความตั้งใจ
“เพราะต่อให้ร่วงโรยสักกี่ครั้ง ฉันก็จะรอวันที่มันพร้อมจะเบ่งบานเสมอ”
นับตั้งแต่วันแรกที่พบกันนีราพรรณก็ได้ยินข่าวคราวของพันตำรวจตรีหญิงผู้นี้เสมอมา จากเพียงแค่ลอยเข้าหูเป็นครั้งคราวก็กลายเป็นเฝ้าติดตามเอาใจช่วย กระทั่งเมื่อรู้ตัวอีกที..หล่อนก็กลายเป็นคนที่เธอไม่อาจลบตัวตนของเจ้าตัวออกจากใจไปได้อย่างหมดจดเลยสักครั้ง..
ยี่หุบดอกนี้เป็นเสมือนกลอนบทนั้น ส่วนเธอคงไม่ต่างอะไรกับนักประพันธ์ที่ต้องตาเสน่ห์ของมันจนต้องหันไปให้ความสนใจ
“แม้ในยามที่ยังไม่ผลิบาน ความหอมกรุ่นใต้กลีบของมันก็ยังทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งประทับใจเสมอมา...จนหวังอยากให้มันเบ่งบานทุกวัน...”
เธอสัมผัสฝ่ามืออุ่นข้างที่่ว่างของหญิงสาว และกระชับมันไว้ประหนึ่งเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของตน
“เหมือนอย่างที่ฉันอยากเห็นรอยยิ้มจากหัวใจของพี่นางเช่นวันอื่นๆ”
ครู่หนึ่งทีเดียวกว่ารอยยิ้มจากคนอายุมากกว่าจะผลิออก แม้ความรู้สึกเขินอายจะมีอยู่ท่วมท้นหลังจากได้ฟัง วาจาและสบเข้ากับแววตาหวานของคุณหญิงนีราพรรณ กระนั้นนาราภัทรก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากหยอกล้อเจ้าตัวคืน
“คุณหญิงติดคำพูดมาจากนายเชคสเปียร์ใช่ไหมคะ ถึงได้ช่างพรรณาปานนี้”
“งั้นฉันจะปรับรูปแบบสักหน่อย ถึงจะจุดประสงค์เดียวกันก็เถอะ” นีราพรรณโคลงศีรษะตัวเองอย่างไม่ใส่ใจที่ถูกเย้าหยอก แล้วหันไปหยิบเจ้าดอกยี่หุบในมืออีกฝ่ายไว้ที่โต๊ะตัวเล็กด้านข้างก่อนจะกระชับฝ่ามือทั้งคู่ของคนตรงหน้าให้หันมาเผชิญ แล้วส่งผ่านความหนักแน่นและจริงจังออกไปผ่านดวงตาที่สะท้อนภาพของเธอ
“พี่นางจะยินดีให้ฉันรัก ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตได้ไหม”
รับรู้ได้ถึงความคาดหวังผ่านดวงตาคู่สวยและการที่อีกฝ่ายสวมบางสิ่งลงบนปลายนิ้วของเธอ เมื่อคลายออกดูจึงเห็นเป็นวงแหวนเรียวสีเงินประดับประกายเพชรขนาดเล็ก นาราภัทรเคลื่อนสายตาขึ้นมองหล่อนด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจ นี่ไม่ใช่ว่าคุณหญิงนีราพรรณเปิดโอกาสให้เธอปฏิเสธออกมา แต่กลับมีคำตอบให้ตนเองอยู่ในใจไปแล้วอย่างนั้นหรอกหรือ?
หากคุณหญิงนิ่มต้องการเช่นนั้น...นาราภัทรจะสนองให้ก็ได้
เห็นดวงตาที่ตวัดมองค้อนเพราะการกระทำเมื่อครู่ของตนนีราพรรณก็ใจหล่นลงไปชั่วครู่ ทว่าหม่อมหลวงนาราภัทรกลับขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ แล้วประทับริมฝีปากลงบนผิวแก้มเธอด้วยความรวดเร็วแทนเสียจนเกิดอาการงุนงนตามมา
“ขี้โกงนี่นา จะไม่ตอบหรอกหรือคะ” คุณหญิงนิ่มลูบแก้มตนเองป้อยๆ แล้วกล่าวเสียงง้ำงอน
นาราภัทรหัวเราะในลำคอก่อนจะแสร้งหันมาทำเป็นชื่นชมวงแหวนบนเรียวนิ้วของตนเอง “ฉันนึกว่าคนเก่งแบบคุณหญิงจะรับรู้เสียอีก”
แม้จะไม่ได้ยินคำตอบรับอย่างที่หวังแต่หัวใจของคนฟังก็พลอยแช่มชื่น หม่อมราชวงศ์นีราพรรณหลิ่วดวงตาพิจารณาหญิงสาวข้างกายอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเป็นฝ่ายยอมแพ้ให้หล่อนไปเสียดื้อๆ
“ตอนนี้ดึกแล้ว ฉันจะปล่อยพี่ไปก่อนก็แล้วกันค่ะ”
อย่างไรเสียพวกเธอก็ยังมีเวลาอีกมาก..ไว้วางแผนใหม่แล้วต้องหาทางให้หล่อนพูดออกมาจากปากเองในวันสองวันนี้ได้แน่ๆ
ทว่าในตอนที่กำลังจะเอนกายลงบนหมอนทรงสี่เหลี่ยม ร่างกายของนีราพรรณก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเรือนกายของหญิงสาวผู้ร่วมแบ่งปันที่นอนในค่ำคืนนี้ เป็นหม่อมหลวงนาราภัทรเองที่พลิกกายขึ้นมาวางเรียวแขนอยู่เหนือตัวของเธอด้วยสภาพที่กึ่งนั่งกึ่งนอนทับกันอยู่เช่นนี้ กลิ่นกายหอมดั่งดอกไม้จางๆ ของหล่อนจึงล่องลอยมาแตะจมูกของนีราพรรณได้ไม่ยาก
“คุณหญิงลืมแล้วหรือคะ ว่าฉัน...ไม่ชอบติดหนี้กับใคร”
คำพูดและท่าทางเสมือนจริงจังนั้นทำให้ผู้เป็นหม่อมราชวงศ์หลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาในที่สุด ก่อนที่ในตอนที่กำลังจะปิดเปลือกตารับสัมผัสอ่อนหวานนั้น จะมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นมาในใจ
ท้ายที่สุดแล้วหญิงสาวผู้นี้ก็ยังยอกย้อนเธอคืนได้อย่างเก่งกาจอยู่ดี
สมแล้วที่เป็นสารวัตรนาราภัทรจริงๆ
จบตอน #หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ
ความคิดเห็น