คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ : ดอกยี่หุบ ๔
๔
สายลมช่วงบ่ายที่พัดพานผ่านบรรดาแมกไม้สร้างความสดชื่นให้บริเวณตัวเรือนอาคารใหญ่ ถัดจากสวนดอกไม้อันเป็นที่รู้กันว่าคุณหญิงจิลลาภัทรนั้นให้ความสำคัญ ไม่ไกลกันนั้นเป็นลานสีเขียวกว้างขวางที่ตกแต่งด้วยบรรดาไม้ยืนต้นอายุหลายสิบปีซึ่งในอดีตเคยเป็นสถานที่วิ่งเล่นของบรรดาคุณหญิงคุณชายมาก่อน
ร่างของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณใต้ร่มไม้ใหญ่ในสวนของวังทัตพงศ์มาลีนั้นสวมเดรสลายดอกไม้แขนพุ่มพอดีตัว หญิงสาวนั่งเอนกายพิงหลังกับลำต้นแข็งแรงของต้นแก้วเจ้าจอมพร้อมกับหนังสือปกหนาเล่มหนึ่งในมือ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้เหนือตัวจึงเปรียบเสมือนเครื่องหอมที่ช่วยให้จิตใจนั้นโปร่งสบาย
หลังจากอ่านต่อไปได้ไม่กี่หน้า คุณหญิงนีราพรรณก็หวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมาภายในเวลาเกือบสัปดาห์นี้ จากวันที่พบหล่อนในวันที่ฝนตก เธอก็ช่วยให้นาราภัทรและครอบครัวได้มาอาศัยอยู่ในเรือนรับแขกของวังโดยไม่ลืมที่จะอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ให้พี่ชายใหญ่ของตนเข้าใจ แม้คุณชายเจตน์จะมีสีหน้ากังวลไม่น้อยเมื่อคู่กรณีนั้นเป็นถึงหม่อมเจ้า ทว่าเขาก็พร้อมให้ความช่วยเหลือหล่อนกับมารดาไม่ให้ขาดตกบกพร่องอะไรไป
ในตอนที่หญิงชราอีกคนต้องการจะหลีกหนีไปยังจังหวัดอื่นเธอก็ไม่ขัด ทั้งยังอาสาฝากคนที่ไว้ใจได้ไปส่งรวมถึงมอบเงินไว้ให้ใช้จ่ายระหว่างเดินทาง แม้มารดาของนาราภัทรจะไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่หล่อนก็ไม่สะดวกใจที่จะกลับไปยังบ้านเกิดทางเหนือของตนเช่นกัน
นอกเหนือจากนั้นทั้งเธอและนาราภัทรก็ตัดสินใจส่งจดหมายไปบอกแก่นางแช่มถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างอย่างครอบคลุม แม้จะแจกแจ้งเรื่องราวได้ไม่มากตามกฎหมายและขั้นตอนของการสืบคดี แต่พวกเธอก็กล่าวขอโทษและขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างแก่หญิงกลางคนไป
“ทำไมไม่ไปนั่งที่ศาลาล่ะคะ”
เสียงมีเสน่ห์อันคุ้นเคยและการก้าวเท้ามาถึงทำให้นีราพรรณที่ทอดสายตายาวไปเบื้องหน้านั้นหันไปมอง นาราภัทรในเดรสสีขาวแขนพุ่มทรงพริ้วไหวยืนห่างกันไปไม่กี่ก้าวในระหว่างที่เธอนั้นไล้สายตามองหล่อนอย่างหมดจด ทรงผมสีเข้มที่เคยยาวถูกตัดออกระต้นคอด้วยฝีมือของนักแสดงชั้นแนวหน้าอย่างโชษิตาที่อาสาอวดฝีมือที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียน แม้ว่ามันจะออกมาได้แปลกตาไปบ้าง แต่หญิงสาวก็พบว่ามันไม่ได้ทำให้หม่อมหลวงนาราภัทรดูน่ามองลดน้อยลงเลย
ระหว่างที่ใครอีกคนกำลังพินิจพิเคราะห์อยู่อย่างนั้น นาราภัทรก็อดที่จะแสดงท่าทีไม่มั่นใจออกมาไม่ได้ “มองอย่างนี้หมายความว่ามันแปลกหรือคะ”
“แปลกตา ในทางที่ดี” คุณหญิงนีราพรรณกลั้วหัวเราะ “แต่นอกเหนือจากนั้น สารวัตรยังดูดีไม่เปลี่ยน”
คล้ายกับคำกล่าวนั้นจะทำให้คนอายุมากกว่าพอใจ หม่อมหลวงนาราภัทรที่เคลื่อนเรียวแขนทั้งสองข้างไปไว้ที่ด้านหลังจึงก้าวเท้าเข้ามาหาเหมือนเด็กๆ “ถ้าฉันนั่งด้วย จะเป็นการรบกวนการอ่านหนังสือของคุณหญิงหรือเปล่า”
คุณหญิงนีราพรรณไม่เพียงปิดหนังสือที่ถูกเปิดค้างไว้ แต่ยังยื่นมือขึ้นไปให้ผู้มาใหม่ได้ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวยามเมื่อย่อตัวลงมา
“มาสิคะ”
นาราภัทรสัมผัสมือเรียวบางนั้นไว้อย่างเต็มใจก่อนจะค่อยๆ หย่อนกายลงข้างหญิงสาวผู้นี้ กระนั้นเมื่อจัดแจงที่นั่งให้สบายตัวแล้วมือของเธอทั้งสองก็ไม่ได้แยกจากกันไปไหน ประหนึ่งว่าร่างกายมันคุ้นเคยกับการกระทำเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“อ่านอะไรอยู่คะ”
“โรมิโอกับจูเลียต ของนายเชกสเปียร์ค่ะ” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณตอบเมื่อเห็นว่าเธอค่อนข้างสนใจหนังสือที่อยู่บนหน้าตักของหล่อน ก็ขนาดของมันใช่ว่าจะบางเสียเมื่อไหร่ แถมปกที่ถูกทำขึ้นจากกำมะหยี่นั่นก็ดูจะมีราคาไม่ใช่น้อย จะให้พูดว่าเคยผ่านตาผ่านมือตัวเองมาก่อนก็ยังไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
“ฉันเล่าให้ฟังเอามั้ย?”
เพราะเห็นดวงตาคู่สวยนั้นจดจ้องมองตัวอักษรฝรั่งด้วยประกายความสนอกสนใจเธอจึงเอ่ยถาม แล้วปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาก็คือการผงกศีรษะขึ้นลงราวกับเด็กน้อยที่จะได้ฟังนิทานเรื่องหนึ่ง นีราพรรณกลั้นรอยยิ้มขบขันในใจเอาไว้ ก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องราวของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ถูกกีดกั้นกันโดยมนุษย์กันเองให้ฟังต่อไป
“เป็นตอนจบที่เศร้าจังเลย”
“แต่อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรพรากจากพวกเขาไปได้อีกแล้วนะคะ”
ความเงียบบังเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อนาราภัทรใช้ช่วงเวลานั้นไปกับการสำรวจดูใบหน้าของหล่อน หม่อมราชวงศ์นีราพรรณดูเหนื่อยล้าแต่ก็ไม่ถึงกับอิดโรยนักด้วยหน้าที่การงานที่ถูกกดดัน ความอ่อนเพลียนั้นจึงมักแสดงออกมาด้วยการที่คุณหญิงนีราพรรณจะปลีกตัวไปหาที่เงียบๆ เพื่อใช้เวลาแห่งความสงบนั้นอยู่คนเดียว
“เมื่อคืน คุณหญิงไม่ได้กลับมาที่วัง ฉันถามได้หรือเปล่าคะว่าไปที่ไหนมา”
“ฝากฝังงานให้สายของฉันนิดหน่อย กว่าจะกลับพี่นาราก็น่าจะเข้านอนแล้ว”
เพราะรับรู้ว่าอีกฝ่ายต้องกลายเป็นคนรับหน้าแทนเธอ นิ้วมือของหม่อมหลวงนาราภัทรก็พลันหนักขึ้นด้วยความรู้สึกผิดและต้องการจะปลอบประโลม
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นที่หม่อมเจ้าฉัตรินลั่นวาจาว่าเธอและผู้เป็นแม่จะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข หลักฐานและเบาะแสทั้งหมดจึงถูกส่งไปยังสำนักงานตำรวจพร้อมบอกว่าผู้ต้องสงสัยหลักคือท่านชายผู้นั้น ทีแรกบรรดานายตำรวจชั้นสูงต่างก็มีสีหน้าและท่าทางที่ไม่เชื่อถือ ทว่าพอได้เห็นบรรดาข้อมูลจากปากพยานต่างๆ มันก็กลายเป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่กระนั้นก็ยังสร้างความยืนยันให้กับพวกเขาไม่ได้ที่จะเข้าไปจับกุมหม่อมเจ้าฉัตรินอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที...
..นี่จึงเป็นเหตุให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณเริ่มเป็นฝ่ายลงมือแทน
หากหม่อมเจ้าฉัตรินไร้มลทินจริงพวกเขาย่อมเสียหน้าและความเชื่อถือ หล่อนจึงเป็นฝ่ายยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด และต้องการให้ทางสำนักงานปกป้องเจ้าหน้าที่ที่ถูกข่มขู่ด้วยเช่นกัน แม้ตอนแรกพวกเขาจะอิดออดไม่ยอมเห็นด้วย แต่เพราะเหตุใดก็ไม่อาจรู้ได้ วันต่อมาหนังสือพิมพ์ของสยามก็ตีพิมพ์ข่าวคราวของความคืบหน้าและผู้ต้องสงสัยหลักออกไปทั่วซึ่งทำให้บรรดาประชาชนที่ติดตามข่าวนั้นรู้สึกเดือดดาลเข้าไปอีก ความกดดันระลอกสองที่เพิ่มพูมเช่นนี้เอง ทำให้เจ้าหน้าที่ชั้นสูงนั้นจำยอมต้องปกป้องเธอด้วยการออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอสอบวินัยเป็นการบังหน้า
แม้จะเกิดการปฏิบัติแบบนั้น แต่ความหนาวเย็นรอบๆ กายของคุณหญิงนีราพรรณก็ไม่ได้เบาลงไปเลยสักนิด
หากไม่ใช่เธอที่ห้ามเอาไว้ เกรงว่าวันนั้นที่ฝนตกคงได้มีเรื่องใหญ่ตามมาจนเป็นข่าวหน้าหนึ่งอย่างแน่นอน
“เรียกนางก็ได้ค่ะ”
“…?”
“..อย่างที่บอกนั่นแหละ”
เห็นหญิงสาวกล่าวอย่างนั้นก่อนจะเสมองไปทางอื่น คนที่จับจองที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็จ้องมองหล่อนราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ไม่นานนักรอยยิ้มของคุณหญิงนีราพรรณก็เผยออกมาอย่างพึงพอใจเมื่อหล่อนยอมให้ตนได้เข้าใกล้เข้าไปอีกนิด
“อยากจะคุยต่อเป็นเพื่อนพี่นางนะ แต่เปลือกตาฉันกำลังหนักเลยล่ะ”
“พักสายตาสักหน่อยมั้ยคะ ฉันว่าที่ศาลาน่าจะดีกว่า..” ครั้นพอจะหันไปเชิญชวนให้คนอายุน้อยกว่าลุกขึ้นจากพื้นหญ้า ศีรษะทุยก็เอนซบลงบนไหล่บางเป็นที่เรียบร้อย พอเห็นคนกระทำหลับตาพร้ิมเสร็จสรรพแล้วนาราภัทรก็พลันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างนึกอ่อนอกอ่อนใจแล้วนั่งต่อไปเพียงอย่างเดียว
กลิ่นหอมสดชื่นยังคงรัญจวนอยู่ในความคิด และสายลมที่เย็นสบายคล้ายกับจะทำให้ความสงบนี้เป็นการพักผ่อนที่ดีเยี่ยมกว่าครั้งไหนๆ นานหลายนาทีทีเดียวที่หญิงสาวปล่อยให้ใครอีกคนได้พักสายตา ก่อนที่เธอจะหันมองเจ้าของลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอข้างกาย
นาราภัทรค่อยๆ ถือวิสาสะลูบแก้มของคนอ่อนกว่าอย่างนึกห่วงใย ตรวจดูและคอยมองหาราวกับจะปัดเป่าความอิดโรยให้จางหาย กระนั้นการกระทำโดยไม่ได้ขออนุญาตนี้ดูจะทำให้หล่อนชอบใจไม่น้อย ถึงได้ขยับใบหน้าให้แนบชิดทุกจังหวะที่ฝ่ามือนั้นเคลื่อนตัวไปมาราวกับลูกแมวตัวน้อยก็ไม่ปาน
ใครจะคาดคิด ว่าภาพตรงหน้านั้นทำให้ผู้เป็นหม่อมหลวงอดไม่ได้ที่จะกดริมฝีปากลงบนหน้าผากเจ้าตัวอย่างแผ่วเบา
“ขี้โกงนี่คะ” เสียงหวานอันคุ้นหูนั้นกล่าวบอก แม้จะไม่ได้ลืมตามองแต่รอยยิ้มที่ทำให้เนื้อที่บนแก้มเพิ่มขึ้นนั่นก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความสุขของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเป็นอย่างดี
“ฉันเปล่าเอาเปรียบสักหน่อย”
“หนี้หนนี้....ฉันจะเก็บไว้ก่อนแล้วกัน”
“ว่าอย่างไรแม่ตัวดี”
ประโยคทักทายมาพร้อมน้ำเสียงที่ดูจะติดเข้มงวดหน่อยๆ ทันทีที่ก้าวเท้าผ่านห้องนั่งเล่นของบรรดาหญิงสาวสี่ใบเถา คุณหญิงนีราพรรณผู้ซึ่งเพิ่งเดินกลับมาจากใต้ต้นแก้วเจ้าจอมนั้นจึงจำต้องหยุดฝ่าเท้าแล้วหันมองพี่สาวคนโตซึ่งสวมแว่นอันเป็นภาพจำขณะอ่านงานของตัวเองสักที
“วันนี้หญิงว่าตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรไว้นะคะ”
แม้จะกล่าวออกไปด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่ที่จริงนีราพรรณก็พอรู้ว่าพี่สาวคนนี้กำลังตั้งท่าจะตำหนิเธอเรื่องอะไร ในเมื่อระหว่างทางเดินกลับเข้ามายังตัวเรือนใหญ่มักจะมีเสียงของบรรดาสาวใช้ที่พูดคุยกันเรื่องของหม่อมหลวงนาราภัทรให้ได้ยิน ถึงจะไม่ใช่ในทางลบ แต่การที่คนเป็นบ่าวนินทาเจ้านายให้ได้ยินก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเสียเท่าไหร่อยู่แล้ว
“รู้อยู่แก่ใจ” หม่อมราชวงศ์จินณวัตรปิดหนังสือในมือแล้วถอนหายใจ “หากชอบพอหล่อนมากกว่า..ก็อย่าทำเหมือนที่บรรดาน้องเราเคยทำ รีบจัดการให้เป็นเรื่องเป็นราว”
“หมายถึงคุณหลินหรือ”
“พูดแบบนี้หมายความว่ามีหลายคนหรือไง”
ครั้นเมื่อประโยคหยอกเย้าทำให้คนอายุมากกว่าคิ้วขมวดและเน้นน้ำเสียงมากขึ้น คุณหญิงผู้มากเล่ห์ก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างชอบใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม
“พี่หญิงวางใจเถอะ ฉันไม่ทำให้มันวุ่นวายเหมือนรดาหรือเจ้าจิลหรอก....แต่อนาคตข้างหน้า อาจต้องทำให้พี่หญิงใหญ่หนักใจหน่อย”
“ทำไมฉันต้องหนักใจด้วย” หญิงสาวคู่สนทนาเปิดปากตอบด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
“เพราะพี่ชายใหญ่คงไม่รามือ จนกว่าบรรดาน้องสาวสุดที่รักของเขาทุกคนจะทำให้เขาไว้วางใจน่ะซี”
“…”
“หากพี่หญิงคิดว่าจะหลีกเลี่ยงไปได้ตลอด ก็จะทำได้แค่อีกไม่นานนี้เท่านั้นล่ะ”
น้องสาวคนรองเดินเท้าจากไปเมื่อกล่าวประโยคนั้นจบด้วยรอยยิ้ม ทิ้งให้หม่อมราชวงศ์จินณวัตรผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆ ด้วยความรู้สึกอ่อนใจระคนหงุดหงิดพอสมควร
แม่น้องสาวคนนี้ เรื่องจี้จุดคนอื่นล่ะถนัดนัก...
ยามสายของอีกวันภายในเรือนรับรองที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กไปสำหรับแขกของวังดอกไม้ ปรากฏร่างของหญิงสาวต่างวัยทั้งสองที่นั่งอยู่บริเวณเก้าอี้นุ่มตัวยาวซึ่งกำลังกระทำกิริยาที่แตกต่างกัน ผู้เป็นบุตรสาวกำลังจัดวางดอกไม้ช่อเล็กลงบนแจกันที่นานๆ ครั้งจะถูกเปลี่ยนเพราะไม่ค่อยมีแขกมาค้างคืนบ่อยเท่าใดนัก ส่วนผู้เป็นมารดาอย่างนางนวลจันทร์นั้น กลับมีสีหน้ากระวนกระวายคล้ายกับโซฟาที่นั่งนั้นช่างทำให้หล่อนอึดอัดเสียเหลือเกิน
“ไปกับแม่เถอะนาง”
นาราภัทรเหลือบสายตามามองเมื่อประโยคนี้ใช่ว่าจะเพิ่งถูกกล่าวออกมาครั้งสองครั้ง หญิงสาวในเสื้อคอกลมรับกับผ้าซิ่นลายสีน้ำตาลไหม้จึงหันกายกลับมาหาผู้เป็นแม่ “แม่คะ นางบอกแล้วไงว่านางยังไปไหนไม่ได้ ถ้าคดีที่ทำอยู่มันยังไม่จบ”
“หล่อนออกหน้าทำงานนี้ให้ลูกแล้วไม่ใช่หรือ จะรั้งอยู่ไปเพื่ออะไร มันไม่ปลอดภัยสำหรับเรานะ”
ถึงจะรับรู้ดีว่ายามนี้ท่านชายอะไรนั่นหนีหายเข้ากลีบเมฆไปเมื่อมีข่าวการบุกค้นพื้นที่วังของเขาแล้วไม่เจอตัว แต่หญิงกลางคนก็อยากจะพาตัวเองและบุตรสาวจากไปที่จังหวัดอื่นเอาดาบหน้าเสียมากกว่า ด้วยเพราะยังไม่มีอะไรยืนยันว่าหม่อมเจ้าฉัตรินนั้นยังอยู่ในพระนครหรือไม่ เธอจึงไม่อยากเสี่ยงหากจะต้องอาศัยอยู่ภายในรั้ววังกระไรนี่
“แม่เห็นว่านางเป็นคนที่ควรจะทิ้งความรับผิดชอบของตัวเองแล้วหนีไปหรือคะ”
อีกอย่างหนึ่งก็คือเธอไม่อยากจะอยู่ใกล้พวกชนชั้นคุณหญิงคุณนายให้รู้สึกแย่ไปมากกว่าที่เป็นอยู่ก็เท่านั้น
“แม่แค่เป็นห่วง”
“ถ้าแม่อยากจะหาที่ทาง นางจะบอกคุณหญิงนิ่มให้ดีไหมคะ ถ้าไปแบบไม่มีที่อยู่ที่กินเลย เราจะทำอย่างไร” นาราภัทรกล่าวอย่างอ่อนใจด้วยไม่รู้จะทำเช่นไรดี ใจหนึ่งเธอก็รู้ดีถึงความคิดอคติที่ผู้เป็นแม่มีต่อเหล่าชนชั้นระดับเดียวกับผู้เป็นพ่อ แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ไม่อยากให้เราสองแม่ลูกออกไปหาที่ทางเอาดาบหน้าโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของหม่อมเจ้าฉัตรินได้จริงหรือไม่
หญิงกลางคนได้ฟังเช่นนั้นก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่ตนจะพูดในสิ่งที่ได้รับรู้และได้เห็นมาตลอดช่วงระยะที่อยู่ที่แห่งนี้ออกไปว่า
“ที่ไม่อยากไป เพราะใช่แบบที่แม่คิดหรือเปล่า”
“…”
ความเงียบที่เต็มไปด้วยนัยยะอันหลากหลายคล้ายกับคำตอบที่สมบูรณ์แบบแก่นางนวลจันทร์ นาราภัทรไม่รู้เลยว่าตัวเธอควรจะพูดสิ่งใดออกไปนอกเสียจากหยุดมือที่กำลังจะหันไปจัดดอกไม้ให้เข้าที่เข้าทาง หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ความคิดแบบใดกำลังอยู่ในใจของผู้เป็นแม่ ท่านจะรู้สึกโกรธและผิดหวังอย่างไร หากใจของเธอมันขัดแย้งกับความรู้สึกและคำพร่ำสอนของหญิงกลางคน..
“..ถ้าอย่างนั้นพูดอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว”
น้ำเสียงและคำกล่าวที่ตัดพ้อออกมานั้นยิ่งกว่าคำดุว่าที่เคยประสบ นาราภัทรได้แต่มองตามผู้เป็นแม่ยืนขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินกลับไปยังห้องพักชั่วคราว หญิงสาวได้แต่กลืนก้อนความรู้สึกผิดในใจกลับลงไปแล้วผ่อนลมหายใจน้อยๆ ออกมา
...คงต้องเป็นเวลาเท่านั้นกระมัง
“นี่เป็นผ้าพลัดใหม่ที่ฉันหามาให้ค่ะ”
หม่อมราชวงศ์นีราพรรณมายังเรือนรับรองของวังทัตพงศ์มาลีภายในเย็นวันนั้น หล่อนเอ่ยปากพร้อมทั้งอธิบายถึงสิ่งของเบื้องหน้าที่ถูกสาวใช้ยกมาลำเลียงให้เห็น ผ้าลายต่างๆ ที่แค่ดูด้วยสายตาก็รับรู้ว่ามันช่างแตกต่างจากที่พวกเธอเคยสวมใส่ แม้หญิงสาวจะอยากเป็นฝ่ายกล่าวขอบคุณและนึกเกรงใจ แต่นาราภัทรก็ได้แต่เหลือบมองผู้เป็นมารดาซึ่งยังคงสีหน้าเย็นชานับตั้งแต่สาวใช้บอกว่าคุณหญิงรองแห่งวังดอกไม้มาเยือน
หญิงกลางคนขยับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ยังคงความงดงามเอาไว้อย่างเนิบช้า “คุณหญิงก็กระไร เห็นพวกฉันขาดแคลนขนาดนั้นเชียว”
“ฉันแค่เห็นว่าลวดลายมันสวย น่าจะเหมาะก็เลยนำมาให้เท่านั้น ไม่ได้เห็นว่าคุณน้าขาดแคลนอะไรค่ะ”
แม้จะรู้สึกถึงความเย็นชาและห่างเหินอย่างไว้ตัวจากหญิงกลางคน คุณหญิงนีราพรรณก็ยังคงรอยยิ้มแกนๆ ประดับไว้บนใบหน้า แต่หากบรรดาสาวใช้สามารถพูดออกไปได้ในเวลานี้ คงไม่แคล้วเอาไปจัดลำดับในใจว่าหญิงกลางคนผู้นี้เป็นคนไม่กี่คนที่สามารถทำให้คุณหญิงรองแห่งวังทัตพงศ์มาลีกระทำตัวไม่ถูกเป็นแน่
“ขอบคุณที่อุตส่าห์มีน้ำใจ แต่พวกฉันคงรับไว้ไม่ได้หรอก”
รอยยิ้มของหญิงกลางคนเลือนหายกลับไปเป็นเรียบนิ่งดังเดิม ความเย็นชาที่มีอยู่แล้วก่อนหน้าดูจะเพิ่มมากขึ้นเสียจนผู้มาเยือนเริ่มอึดอัดและใจไม่ดี หากให้เปรียบกันระหว่างความเย็นชาของสารวัตรของเธอกับผู้เป็นมารดา หญิงกลางคนก็นับว่าเก่งกาจมากกว่าเป็นห้าเท่าเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างไร ฉันไม่รบกวนแล้วนะคะ”
“ไม่ส่งนะ”
เพราะพอจะคาดการณ์ไว้ได้อยู่แล้วว่าการจะเข้าหาอีกฝ่ายนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หม่อมราชวงศ์นีราพรรณจึงยืนขึ้นและหันหลังจากไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง
“ไม่เห็นต้องทำอย่างนั้นเลยนี่คะ” เป็นนาราภัทรเสียอีกที่อดไม่ได้ที่จะพูดออกมายามเมื่อบรรดาสาวใช้เดินหายออกไปจากห้องรับแขกจนเหลือพวกเธอแม่ลูกเพียงสองคน ท่าทีที่ถูกปั้นแต่งออกมาอย่างเย็นชาและไว้ตัวนั้นมีหรือเธอจะไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่ตั้งใจจะข่มให้คุณหญิงนิ่มรู้สึกหวั่นเกรง
“คิดจะเถียงแม่หรือไงยายนาง”
น้ำเสียงที่ดุขึ้นราวกับไม่จริงจังนั้นทำให้คนเป็นลูกสาวจำต้องก้มศีรษะลงอย่างอิดออด แม้ใจของเธอจะรู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งขึ้นเพราะอาการหน้าเสียของหล่อนก่อนจากไปนั้นยังคงติดตา
แต่ความกังวลของนาราภัทรก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ทุเลาลง เมื่อหลังจากวันนั้นหม่อมราชวงศ์นีราพรรณนั้นยังคงมาเยี่ยมเยียนกันที่เรือนรับรองหลังจากเสร็จงาน ไม่ว่าจะมีท่าทางเหนื่อยล้าจากด้านนอกขนาดไหนหล่อนก็ยังมาพร้อมรอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าเสมอ แม้บางครั้งจะเป็นการเข้ามาทักทายสารทุกข์สุกดิบในวันสองวันเพียงเท่านั้นเฉยๆ ก็ตามที
นานวันเข้าการมาเยี่ยมเยียนก็มักจะมีขนมหายากและเมนูบ้านเกิดที่มารดาของเธอเคยสัมผัสสมัยเป็นเด็กติดมือมาด้วย บางครั้งก็เป็นบรรดาผลไม้พร้อมมีดแกะสลักกับสะดึงผ้าที่ตอนแรกนาราภัทรเองก็ไม่เข้าใจว่าหล่อนจะนำมันมาให้ทำไม กระทั่งได้เห็นฝีมือของผู้เป็นแม่ที่จับมีดไปปากก็พร่ำบ่นไปว่าเพราะเบื่อกับการอยู่ในรั้ววังนี่ถึงได้ขุดเอาทักษะสมัยเป็นเด็กขึ้นมาใช้ไปอย่างนั้นเอง
“เก็บไว้กับตัวนี่เอง นางเลยไม่เป็นสักอย่าง”
พอเอ่ยเย้าไปแบบนั้นก็ได้รับค้อนวงใหญ่จากอีกฝ่ายแทบจะทันที แต่ก็ยังดีีที่สัญญาณเหล่านี้บ่งบอกถึงการเปิดใจทีละนิดของผู้เป็นแม่ และพอให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณรู้สึกใจชื้นขึ้นอยู่บ้าง
พออยู่แต่ในวังจนว่างเกินไปนาราภัทรก็ได้มีโอกาสทำหลายสิ่งหลายอย่างนอกเหนือจากที่เคยใช้ชีวิตมา ยามเช้าคุณสรภัสมักจะมาชักชวนให้เธอเข้าไปในครัวเพื่อเป็นลูกมือในการทำขนมส่งขายเป็นเพื่อนให้หม่อมจีรัญนภา ส่วนตลอดบ่ายนั้นหากไม่เป็นเธอเองที่นึกอยากร่ำเรียนวิชาที่น้อยคนนักจะได้มีโอกาส หญิงสาวก็จะพักผ่อนและฝึกปรือศิลปะป้องกันตัวที่ได้สั่งสมมานับแต่ยังวัยเยาว์
“พาฉันออกมาแบบนี้ มันจะไม่เป็นอะไรหรือคะ”
นาราภัทรเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งอยู่บนรถยนต์ทรงยุโรปข้างกัน เพราะคนขับรถนั้นเป็นคนขับรถประตำตัวของหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทร น้องสาวคนสุดท้องของวังทัตพงศ์มาลีที่ใครๆ ก็รู้จักในฐานะนักแสดงชั้นนำและแวดวงสังคมชั้นสูง เธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกรงใจและเหมือนไปรบกวนคุณหญิงผู้นั้นอยู่กลายๆ
แม้เธอจะเคยเห็นหล่อนอยู่ไกลๆ ก็ตาม แต่ความรู้สึกที่ห่างชั้นนั้นก็ทำเธอไปไม่เป็นอยู่บ่อยครั้งที่ได้พบหน้ากันเลยทีเดียว
“คุณโชบอกว่าถนนนี้อยู่ห่างจากตัวพระนคร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เป็นที่รู้จัก ถ้าอยากหาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่น้อยหน้าตลาดแถวนั้นหรอกค่ะ”
เพราะหลายนาทีก่อนหน้านี้เธอเป็นคนไปขออนุญาตออกจากวังเพื่อหาซื้อของจากหม่อมจีรัญนภา ตอนแรกบรรดาคุณเธอทั้งหลายต่างก็อยากทัดทานเพราะเรื่องราวภายนอกที่ยังคงไม่ปลอดภัย แต่พอได้ฟังเหตุผลที่เธออยากเป็นคนเลือกของ ‘สิ่งนั้น’ เองกับมือ พวกหล่อนก็เลยยืนยันว่าคนใดคนหนึ่งจะต้องออกมาเป็นเพื่อนเธอไปโดยปริยาย
“ขอโทษด้วยนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมีของที่อยากได้ คงไม่ต้องรบกวนคุณสรภัสแบบนี้”
ร่างบางได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าทั้งรอยยิ้มใจดี “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกคุณนาราภัทรนะ ก็ถ้ามัวแต่อุดอู้ซ่อนตัวอยู่ สำหรับตำรวจอย่างคุณคงอึดอัดแน่”
เพราะหม่อมจีรัญนภากำลังตั้งครรภ์ ท้องแรกของหญิงสาวนั้นก็ใหญ่ขึ้นเสียจนเดินเหินไม่ค่อยสะดวกเป็นอย่างมาก ส่วนนักแสดงที่กำลังเป็นโด่งดังอย่างโชษิตาเองก็ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีผู้คนมากนัก แม้หล่อนจะอยากมาแต่ก็กลัวด้วยอาจถูกรบกวนจนไม่มีเวลามาคอยช่วยเลือกสรรอะไร ด้วยเหตุฉะนี้สรภัสที่ไม่มีเข้าสอนในโรงเรียนสรสุนทรีย์จึงอาสาตัวเองมาด้วยกันแทน
อันที่จริงเธอไม่จำเป็นจะต้องร้องขอการออกมาข้างนอกก็ได้ หากไม่ใช่กลัวว่าถ้าฝากซื้อเแล้วจะไม่ถูกใจ ‘คุณหญิงรอง’ คนนั้นเข้าเฉยๆ
เมื่อคนขับรถจอดลงที่บริเวณถนนที่ชาวบ้านจัดสรรทำเป็นตลาดจากฝีมือขึ้นเอง ทั้งนาราภัทรและสรภัสก็ถูกร้านรวงต่างๆ ดึงดูดความสนใจไปหมด แม้จะมาด้วยกันแต่ก็ยังต้องระวังรอบข้างด้วยเสมอ เจ้าของทรงผมประบ่าระต้นคอที่เพิ่งจะเปลี่ยนไปไม่นานจึงสวมหมวกสานทรงกว้างให้กลมกลืนไปกับบรรดาชาวบ้านที่ออกมาจับจ่ายซื้อของในวันหยุดเช่นเดียวกัน
ครั้นเดินมาได้สักพัก สรภัสก็กล่าวขอเวลาครู่หนึ่งขณะที่พวกเธอทั้งสองคนกำลังเดินผ่านบรรดาร้านผ้าพับต่างๆ หญิงสาวที่ไม่ได้เร่งรีบในการเดินสรรหาของที่ต้องตาต้องใจก็พยักหน้าเป็นการตกลงก่อนที่เธอจะปล่อยให้หล่อนได้เดินเข้าไปในตัวร้าน ส่วนตนเองนั้นก็เพียงแค่จับจ้องมองผ้าเนื้อดีทั้งหลายนั่นด้วยสายตาไปเงียบๆ
ถ้าเธอได้ใส่ผ้าพวกนี้แล้ว..จะดูเหมาะสมกับหล่อนขึ้นมาบ้างไหมนะ
ความคิดทางลบที่ไม่ค่อยดีเช่นนั้นทำให้นาราภัทรส่ายศีรษะในทันทีที่มันจบลง พอผลักไสมันจนจางหายไปจึงได้เคลื่อนสายตามองไปยังบรรยากาศโดยรอบ ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาดวงตาของหญิงสาวก็ต้องหยุดลงที่ชายหญิงคู่หนึ่งไม่ไกลกันแทน
“ฉันบอกให้คุณปล่อย”
เสียงหวานเล็กที่กล่าวออกไปอย่างถือตัวช่างขัดกับดวงตาที่กำลังสั่นระริกเพราะความหวาดหวั่น กระทั่งตัวคนพูดก็รับรู้อยู่แก่ใจว่าชายกักขฬะผู้นั้นจะไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไรกับคำพูดของหล่อนเลยก็ตามที
“ผมก็แค่ชวนคุณไปทานข้าว ไม่ทราบว่ามีอะไรยากตรงไหน”
หม่อมหลวงอิลลาสินีพยายามขืนกายออกจากข้อมือหยาบกระด้างจากชายหนุ่มที่เดินเข้ามาขอทำความรู้จักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก่อนหน้า “แต่ฉันไม่รู้จักคุณ และฉันก็ปฏิเสธไปแล้ว”
“ผมถึงชวนคุณผู้หญิงไปทำความรู้จักอย่างไรล่ะ”
“ไม่ ฉันไม่ไป--”
เหล่าแม่ค้าพ่อค้าที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติได้ บ้างจึงหยุดเดินและมองดูก่อนจะเข้ามาถามไถ่กันอย่างงุนงง
“แม่หนู มีอะไรหรือเปล่า?”
“ยุ่งอะไร นี่มันเรื่องของผัวเมีย”
ใบหน้าของอิลลาสินีร้อนผ่าวทั้งด้วยความอับอายและความโกรธ เพราะไม่เคยถูกคุกคามอย่างอุกอาจหรือกระทั่งกล่าววาจาน่าอายเช่นนั้นมาก่อนหญิงสาวจึงได้มีสีหน้าปนเป ครั้นพอจะหันไปส่งสายตาหรือเริ่มเปิดปากอธิบาย บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เดินเข้ามาถามไถ่สถานการณ์ก็ถูกชายหนุ่มผู้นี้ก็ตวาดเสียงแข็งเสียจนผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้และถอยร่นไปก่อนเสียแล้ว
อย่างไร...เธอควรจะทำอย่างไร...
พี่หญิงนิ่ม....หลินควรทำอย่างไรดี
“ปล่อยมือเธอ ก่อนที่ฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ”
ในเวลาที่กำลังสิ้นหวังนั้นเสียงของคนแปลกหน้าก็ทำให้ทั้งเธอและชายหนุ่มหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเจ้าของประโยคนั้นเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา ชายหนุ่มก็ยิ่งวางท่าและขยับปากจะกล่าววาจานั่นอีกครั้งหนึ่ง
“ต่อให้เป็นเรื่องในครอบครัว ไปพูดคุยไกล่เกลี่ยในสถานีก็ไม่เป็นอะไร” หม่อมหลวงนาราภัทรพูดด้วยสีหน้าจริงจังและเรียบเฉย “แต่ถ้าเกิดสถานะของคุณไม่ใช่ คุณผู้หญิงคนนี้มีสิทธิที่จะจับคุณให้นอนในกรงได้สักสองสามคืน”
อิลลาสินีที่ยืนอยู่ตรงกลางวงสนทนานั้นรู้สึกถึงมือหยาบกระด้างที่ปล่อยเธอเป็นอิสระด้วยความลุกลี้ลุกลน เพราะชายหนุ่มรีบเดินจากไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องของบรรดาชาวบ้านที่คอยมุงดูสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงได้หันมากล่าวขอบคุณแก่บุคคลที่ได้เข้ามาช่วยขัดขวางการกระทำอันอุกอาจเมื่อครู่เอาไว้
“ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้....ฉันไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
นาราภัทรจ้องมองหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าอย่างพิจารณาอยู่ในใจ ตอนที่คาดคะเนสถานการณ์อยู่ไกลๆ เธอยังไม่แน่ใจนักถึงความต่างระหว่างหล่อนกับชายหนุ่มเมื่อครู่นี้ กระทั่งได้สังเกตถึงกิริยาที่ไม่คุ้นเคยและการบังคับฝืนใจนั้น จนได้มาอยู่ใกล้แล้วรู้สึกถึงความถือตัวลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ ยิ่งบ่งบอกอย่างแน่ชัดว่าหล่อนเป็นผู้ลากมากดีจากครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง จึงได้สาวเท้าเข้ามาช่วยไว้และโชคดีที่คู่กรณีเป็นคนไม่เอาไหนจึงยอมถอยออกไปได้แต่โดยดี
“ไม่เจ็บตรงไหนใช่หรือเปล่าคะ”
อิลลาสินีส่ายหน้าพลางลูบสัมผัสที่ยังติดอยู่บริเวณข้อมือราวกับอยากจะลบให้มันหายไป “ไม่เป็นอะไรมากค่ะ แต่ฉันต้องตอบแทนคุณ--”
“คุณหลินคะ คุณหลิน!” เสียงกระฮืดกระฮอบของหญิงกลางคนในชุดสาวใช้นั้นดังมาแต่ไกล เรียกความสนใจจากหญิงทั้งสองคนก่อนที่บทสนทนาจะได้ดำเนินต่อ “คุณหลิน เกิดอะไรขึ้นคะ ไปไหนมาทำไมไม่รอป้าเลย ป้ากับคนขับรถหาตัวคุณให้วุ่นกันหมด”
ด้วยความเร่งเร้าหรือเพราะความที่ไม่อาจรั้งกายให้อยู่ต่อได้ นาราภัทรเห็นอีกฝ่ายหันมาหาเธอเป็นระยะราวกับยังมีบางอย่างจะกล่าว แต่นอกเหนือจากหันมาเอ่ยปากขอบคุณอีกครั้งแล้วก็ไม่ทันได้กล่าวอะไรอีกนอกเสียจากรีบจากไปอีกทางเสียแล้ว
“คุณนาราคะ” ในระหว่างที่ยังคงตกค้างจากบทสนทนาก่อนหน้าอยู่ สรภัสที่หายเข้าไปในร้านพักใหญ่ก็ก้าวเท้าวิ่งสั้นๆ เข้ามาหาหลังจากกลุ่มผู้คนนั้นเริ่มจางหายไปเกือบหมดแล้ว “ขอโทษนะคะที่หายไปนาน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ ทำไมคนมุงเยอะเลย”
นาราภัทรนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “อุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ เราเดินไปกันต่อเถอะ”
“จานโปรดของคุณหญิงนิ่มหรือคะ”
จีรัญนภาเอ่ยทวนคำถามจากปากของหญิงสาวตรงหน้าที่เข้ามาพูดคุยด้วยกันที่โต๊ะน้ำชาบริเวณระเบียงชั้นสองของตัวเรือนใหญ่ของวังทัตพงศ์มาลี เห็นอีกฝ่ายในชุดเดรสแขนพองปักลายดอกไม้สวยงามนั้นพยักหน้ารับก็รู้สึกแปลกใจไม่ได้ด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามจากแขกคนสำคัญของคุณหญิงรองเช่นนี้
“ฉันไม่ค่อยได้ร่วมโต๊ะกับคุณหญิงนัก เลยยังไม่ค่อยรู้มากว่าหล่อนชอบอะไรบ้าง...”
ถามไปแล้วก็พลันรู้สึกถึงความอับอายในภายหลัง ตลอดตอนที่แฝงกายปลอมตัวอยู่ในร้านชำของนางแช่มเธอก็แทบไม่ได้สังเกตนักว่าหล่อนชอบทานอะไรหรือไม่ชอบทานอะไร อาหารที่หล่อนเป็นคนลงมือก็เป็นอาหารทั่วไปไม่ได้มีอะไรแปลกตา พอนึกได้ว่าอยากจะทำอะไรให้คุณหญิงนีราพรรณบ้าง เธอกลับต้องมาถามเอาจากคนรอบตัวของหล่อนแทนราวกับคนไม่ได้เอาใจใส่เหมือนที่หล่อนทำกับเธอเสียนี่
“ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกค่ะ ปกติคุณหญิงนิ่มเธอทานได้หลายอย่างอยู่แล้ว....” หม่อมจีรัญนภาใช้ปลายนิ้วแตะปลายคางตนเองอย่างใช้ความคิด ท่ามกลางความเงียบของเธอและสะใภ้คนเล็กของวังดอกไม้ที่เพิ่งจะนำขนมอบใหม่จากครัวมาวางที่โต๊ะและส่งกลิ่นหอมมาเป็นระยะ
“ถ้าอย่างนั้น คุณนาราภัทรอยากจะลองทำดูไหมคะ”
นาราภัทรรีบส่ายหน้าเบาๆ ให้กับสะใภ้ใหญ่อย่างเกรงใจและนึกเป็นห่วง “แต่ตอนนี้ร่างกายของหม่อมไม่เหมาะกับการเคลื่อนไหวมาก ฉันไม่อยากรบกวน..”
“เดี๋ยวให้คุณช่อสอน แล้วภัสเป็นลูกมือประกบอยู่ข้างๆ แบบนั้นดีกว่าไหมคะ” สรภัสรีบเอ่ยปากบอกแทรก เพราะก็พักใหญ่แล้วที่เธอไม่ค่อยได้ลงครัวเองนัก ส่วนมากหากไม่เป็นคนคอยช่วยทำขนมส่งขายภายใต้ชื่อของหม่อมจีรัญนภา ก็จะมีสาวใช้คอยประกบจนบางทีก็ไม่ค่อยได้ผ่อนคลายเท่าที่ควร
หญิงสาวผู้เป็นหัวเรือใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย “งั้นเราคงต้องจัดเตรียมวัตถุดิบหน่อยแล้วล่ะ”
“เอ่อ เราจะทำอะไรกันหรือคะ”
นาราภัทรเอ่ยถามออกไปด้วยความงุนงง จนกระทั่งสรภัสที่นั่งอยู่ข้างกันต้องเอ่ยปากอย่างกระตือรือร้นออกมาแทน
“สะเดาน้ำปลาหวาน กับปลาทอดกรอบของโปรดคุณหญิงนิ่มยังไงล่ะคะ”
“มาแล้วหรือหญิงนิ่ม พอดีเลย มาทานข้าวสิ”
เสียงทุ้มอันอบอุ่นของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของวังทัตพงศ์มาลีเอ่ยปากทักทายน้องสาวในชุดราชการที่กลับมาได้เวลาสำหรับมื้อเที่ยงพอดิบพอดี หม่อมราชวงศ์นีราพรรณยิ้มตอบอย่างสุภาพแล้วจึงก้าวเท้าเข้ามานั่งที่ประจำของตนเอง ให้บรรดาสาวใช้น้อยใหญ่เข้ามาจัดแจงจานและข้าวสวยร้อนๆ ให้อย่างรู้งาน
โต๊ะตัวยาวถูกจับจองด้วยคุณชายใหญ่กับภรรยาสาวที่นั่งเยื้องกัน ฝั่งตรงข้ามคุณหญิงนิ่มนั้นเป็นหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรกับคุณสรภัส ในขณะที่แนวฝั่งของเธอนั้น มักจะเป็นพี่หญิงใหญ่กับหญิงรดาและคุณโชษิตาอันเป็นภาพคุ้นตาอยู่เสมอ
ทันทีที่เธอมาถึงหม่อมจีรัญนภาก็พยักหน้าบอกให้สาวใช้นำเมนูจานลับออกมาวางในทันที ดวงตาของนีราพรรณที่ยังคงสม่ำเสมออยู่เมื่อครู่ก็พลันสั่นไหวขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“วันนี้หญิงไม่ได้แจ้งว่าจะกลับมาทานที่บ้าน ทำไมถึงมีสะเดาน้ำปลาหวานได้ล่ะคะ”
ครั้นพอได้ยินคำถามก็คล้ายกับจะมีความเงียบให้คนอื่นๆ ได้ฉุกคิด แต่หม่อมจีรัญกับสรภัสกลับมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มแล้วจึงกล่าวออกมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกันราวกับนัดหมายเอาไว้
“เพราะความบังเอิญมังคะ”
เสียงสองเสียงที่กล่าวอย่างกระตือรือร้นนั้นยิ่งทำให้บรรดาคุณหญิงนั้นลอบส่งสายตากันอย่างไม่เข้าใจนัก แม้นีราพรรณจะยังคงค้างคากับคำตอบที่คงไม่มีทางได้รับมาง่ายๆ จากทั้งสองคนแต่เธอก็เลือกที่จะเก็บมันไว้แล้วเอ่ยปากบอกสาวใช้อายุน้อยผู้หนึ่งแทน
“ช่วยจัดไว้ให้เรือนรับรองสักชุดนะ”
หลังจากนั้นสมาชิกที่มาทานมื้อเที่ยงร่วมกันก็ได้ดื่มด่ำกับอาหารตรงหน้าอย่างที่เคยเป็น บทสนทนาในห้องอาหารของวังดอกไม้ส่วนใหญ่หากไม่เป็นเรื่องทั่วไปของสมาชิกในครอบครัว ก็จะเป็นการแจกแจงบรรดางานสังคมต่างๆ ที่คุณชายเจตนิพันธ์ได้รับการเชื้อเชิญ หรือไม่ก็เป็นการฟังข่าวสารจากเครื่องวิทยุประจำห้องพร้อมถกปัญหากันไปพลางๆ
“อีกสามวัน คุณชายเอกทัศน์จะมาที่วัง หารือเรื่องทุนการศึกษาในคณะของฉัน อยากให้คุณช่อช่วยดูแลด้วย” ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับภรรยาที่พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน “แน่นอนว่าเรื่องมงคลของหล่อนเช่นกัน หญิงนิ่ม”
“…”
“หวังว่าหล่อนคงรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่นะ”
ความเงียบอันน่าอึดอัดนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยนักบนโต๊ะอาหาร แต่เมื่อใดที่มันเกิดขึ้นย่อมหมายถึงหัวข้อสนทนาที่จริงจังสำหรับครอบครัวเป็นอันมาก หญิงสาวทั้งหลายที่ร่วมโต๊ะกันอยู่นั้นสบตากันอย่างเข้าใจว่าสิ่งที่พวกตนกำลังกังวลเหมือนกันนั้นคือสิ่งใด
ถึงหม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์จะเคยออกปากว่าจะไม่บังคับบรรดาน้องสาวพวกเขาเรื่องการเลือกคู่ครองแล้ว แต่เบื้องหลังของคนที่ยังหมดห่วงจากการส่งเหล่าน้องหญิงทั้งหลายให้ถึงฝั่งที่ปลอดภัยไม่ได้ย่อมคอยจัดหาแผนสำรองเอาไว้เสมอ
ตอนน้องสาวคนเล็กเขาไม่ได้ดูนิสัยใจคอชายหนุ่มคู่ครองให้ดี น้องสาวคนกลางก็ต้องบังคับให้รับผิดชอบแล้วกลายเป็นฝืนใจเพราะไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง คราวนี้ดูเหมือนแม่น้องสาวคนรองจะเชื่อฟังไม่บิดพลิ้วการผูกบุพเพไปไหน แต่สุดท้ายก็มีเรื่องให้เขาต้องคิดหนักใจจนได้..
คาดคะเนจากการสังเกตสายตาของผู้เป็นน้องสาวแล้ว...หญิงนิ่มคงไม่คิดปีนกลับขึ้นมาจากบ่วงรัก ‘ครั้งแรก’ นั่นแน่ๆ
“หญิงเข้าใจค่ะพี่ชายใหญ่” ในระหว่างที่คนอื่นกำลังคิดเป็นกังวล แต่ดูเหมือนคำขาดกลายๆ ของคนเป็นพี่ชายนั้นจะไม่กระทบเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย
“พี่หญิงนิ่ม/คุณหญิง…”
หญิงสาวยังตอบกลับด้วยรอยยิ้มนุ่มลึกอย่างเคย “และหญิงก็มีคำตอบที่แน่นอนแล้วให้กับคุณชายเอกทัศน์เหมือนกัน”
กว่าจะกลับจากการทำงานที่สำนักงานตลอดบ่ายเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเสียดึกดื่น ยิ่งใช้เวลาอาบน้ำอาบท่าก็ดูเหมือนรอบข้างก็จะเงียบสงบเข้าไปเสียทุกที หม่อมราชวงศ์นีราพรรณสวมเดรสสบายตัวเพราะตั้งใจจะใช้เวลายามท้องฟ้าอันมืดสนิทให้เป็นดั่งเพื่อนคอยเฝ้าในเวลาที่เธอตั้งใจอ่านรายงานความคืบหน้าของคดี หญิงสาวก้าวเท้าไปตามทางพร้อมกับถาดลายที่วางบรรดาถุงอาหารตั้งแต่ตอนมื้อเที่ยงมาจนกระทั่งถึงบริเวณด้านหน้าของเรือนรับรอง ไฟสีสว่างที่ลอดออกมาจากผ้าม่านในชั้นล่างและห้องนอน บ่งบอกว่าผู้อยู่อาศัยทั้งสองเองก็ยังคงไม่ได้พักผ่อนตามเวลา
อันที่จริงคุณหญิงนีราพรรณก็ยอมรับถึงเหตุผลแรกๆ ในการเดินมายังเรือนหลังนี้ เพราะแม้ว่าค่ำคืนนี้เวลาจะล่วงเลยดึกดื่นไปอย่างไร เธอก็ยังอยากพบหน้าคนที่อยู่ชั้นบนก่อนวันนี้จะหมดไปอยู่ดี
ดั่งที่เคยกล่าววาจากับหล่อนไว้ ว่าหากได้พบหน้าก่อนนอนหรือตอนเช้าตลอดชีวิตของเธอก็คงดีไม่น้อย
“คุณหญิงคงไม่อยากถูกยุงกัดจนป่วยหรอกนะ”
เสียงราวกับจะตำหนิและห่างเหินอย่างไม่จริงจังนั้นทำให้คนที่เผลอตัวขยับรอยยิ้มอยู่คนเดียวจำต้องเคลื่ือนสายตาจากห้องชั้นบนลงมามองที่ประตู หญิงกลางคนยังคงไว้ด้วยสีหน้าที่ไว้ตัวและราวกับรับรู้ว่าก่อนหน้านี้เธอกำลังคิดอะไร นีราพรรณจึงตอบออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังกล่าวออกไปคล้ายกับคนมีความผิดติดตัว
“ฉันแค่ นึกอยากเอาอาหารมาให้ได้ชิมค่ะ”
นวลจันทร์ปรายตามองมือที่ถือถาดอาหารซึ่งควรจะเป็นสาวใช้นำมันมาให้มากกว่าก่อนจะเปิดประตูทิ้งไว้เล็กน้อย “เข้ามาสิ”
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาภายในบริเวณที่นั่งเล่นบรรยากาศของความห่างเหินที่ยังคงมีอยู่ทำให้นีราพรรณไม่ค่อยจะทำใจให้สบายได้นัก สาวใช้ที่ถูกแบ่งมาดูแลสิ่งต่างๆ ภายในเรือนรับรองเข้ามารับของจากมือเธอไปด้วยท่าทางงุนงงนระคนประหลาดใจ เมื่อหญิงกลางคนนั่งลงแล้ว จึงเป็นหญิงสาวเองที่นั่งลงตามไปบ้าง
“ยายนางเพิ่งอาบน้ำเสร็จ คุณก็รอเสียตรงนี้เถอะ”
คำบอกกล่าวจากปากของหญิงกลางคนที่กล่าวออกมานั้นทำให้นีราพรรณรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะหลายครั้งที่มาเยี่ยมเยือนกันนอกจากผู้เป็นแม่ของสารวัตรจะมีสีหน้าที่ไม่ค่อยอยากจะต้อนรับและหลบเลี่ยงบทสนทนาแล้ว นี่ก็คล้ายกับจะเป็นคราวแรกที่เธอได้อยู่ในวงสนทนากับหล่อนแค่สองคนเท่านั้นจริงๆ
“คดีเป็นยังไงบ้าง”
หญิงกลางคนถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ใช้ความเงียบก่อนหน้าไปกับการจิบน้ำที่สาวใช้นำมาให้พวกเธอทั้งคู่
“ท่านชายยังคงซ่อนตัวอยู่ในเงา แต่ตอนนี้ต่อให้เขาหลบหนีไปที่ไหน หากปรามาสทีมของฉันเมื่อไหร่ก็จะถูกตามจับเมื่อนั้นค่ะ”
แม้คำกล่าวนั้นจะดูไม่ได้แน่ชัดเท่าใดนัก แต่นวลจันทร์กลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกเบาใจยามที่ได้เห็นดวงตาและน้ำเสียงที่กล่าวออกมาอย่างสงบของคุณหญิงนีราพรรณอย่างบอกไม่ถูก
“หวังว่าคุณหญิงจะจดจำคำที่ตัวเองพูดไว้ได้”
ในบรรดาประโยคหรือคำพูดที่ได้เกิดขึ้นระหว่างเธอกับหญิงกลางคนผู้นี้ มีบางครั้งที่หล่อนแสดงความหวาดกลัวเกี่ยวกับผู้เป็นบุตรสาวออกมาโดยแทบไม่กังวลกับหนทางข้างหน้าของตนเองเลย
‘ลูกสาวฉันต้องปลอดภัย ไม่ว่าในฐานะอะไรก็ตาม’
หม่อมราชวงศ์นีราพรรณพยักหน้าด้วยท่าทางเช่นเคย “ฉันให้คำสัญญาไว้แล้ว คุณน้าไม่ต้องห่วงนะคะ”
‘เธอเป็นคนสำคัญที่สุดของฉันค่ะ’
คำตอบในทั้งสองช่วงเวลาที่คล้ายคลึงกันนั้น ยิ่งทำให้หญิงกลางคนรู้สึกวางใจได้มากขึ้นอีกไม่น้อย
“คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
เสียงหวานอันคุ้นหูที่เอ่ยถามจากทิศทางของชั้นสองทำให้หญิงสาวต่างวัยนั้นหันไปมอง คุณหญิงนีราพรรณเมื่อเห็นว่าเป็นใครแววตาที่สงบนิ่งอยู่เมื่อครู่ก็พลันเปล่งประกายในทันที
เพียงปรายตามองครู่เดียวเธอก็เห็นหม่อมหลวงนาราภัทรผู้ซึ่งชำระร่างกายเมื่อไม่นานนี้ก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องนั่งเล่น ผมสีเข้มประบ่าของหล่อนคลอเคลียไหล่บางยามที่เจ้าตัวเคลื่อนไหว ยิ่งหล่อนสวมเสื้อคอกว้างแขนกุดสีขาวทับด้วยผ้าคลุมไหล่ปักลวดลายสีเดียวกันกับผ้าซิ่นเตรียมนอนก็ยิ่งน่ามอง แม้จะเป็นการปกปิดเพื่อไม่ให้ดูเป็นที่น่าเกลียดเกินไปสำหรับต้อนรับแขกที่มาเยือนยามดึกดื่น แต่นีราพรรณก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่ามันช่างชวนให้สงสัยจนอยากเข้าไปทำความรู้จักกับหัวไหล่มนนั้นเสียเหลือเกิน
“คุณหญิงนีราพรรณนำของจากบ้านใหญ่มาให้ทานน่ะ” นางนวลจันทร์กล่าวก่อนจะค่อยยันกายขึ้นยืนจากที่นั่งฝั่งตรงข้าม เมื่อคิดว่าตนคงไม่จำเป็นจะต้องคอยเฝ้าฟังบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ “แม่จะไปนอนก่อน เราก็อย่าอยู่ดึก คุณหญิงเขามีการมีงานต้องทำ พักผ่อนน้อยไปจะไม่ดี”
นาราภัทรพยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองคนที่เพิ่งจะยกมือไหว้ส่งมารดาของเธอให้เดินจากไป หญิงสาวรู้สึกว่าบางสิ่งที่อยู่ในอกข้างซ้ายดูจะตื่นตัวในทันทีที่เห็นใบหน้าของคุณหญิงรองแห่งวังทัตพงศ์มาลี ระหว่างที่เดินเข้าไปหาจึงมีอาการละล้าละหลังกับผ้าซิ่นและเสื้อคลุมที่ใส่อยู่บ้างจนคนที่มองอยู่หัวเราะออกมาเบาๆ ราวกับนึกขบขันในใจจนเธอต้องค้อนใส่อย่างไม่จริงจัง
“ฉันไม่ได้เข้าใจผิดว่าแม่ของพี่เป็นห่วงกันหรอกใช่มั้ยคะ” เพราะนึกขำในท่าทีนั้นจนได้รับสายตาขุ่นเคืองมาก่อนจนต้องเคลื่อนฝ่ามือไปกอบกุมนิ้วมือเรียวยาวไว้ แล้วจึงเอ่ยถามออกไปให้คนอายุมากกว่าได้ส่ายหน้าทั้งรอยยิ้มเป็นการยืนยันในคำพูดของตนเองว่าหญิงกลางคนนั้นไม่ได้ผิดนัยยะอย่างที่เธอคิดไปแม้แต่น้อย
“อาหารวันนี้อร่อยไหมคะ” ทันทีที่ได้นั่งลงข้างกันนาราภัทรก็เป็นฝ่ายเอ่ยถาม แต่ดูเหมือนใครอีกคนจะไม่ทันสังเกตเห็นประกายความอยากรู้ในดวงตาคู่สวยนั้นสักนิด
“ค่ะ ฉันเอามาฝากพี่กับคุณน้าด้วย”
ร่างบางอมยิ้มพลางหลบสายตาลงเล็กน้อย “ขอบคุณค่ะ แต่ที่จริงฉันชิมไปเยอะแล้วล่ะ”
เพราะเห็นท่าทางที่อีกฝ่ายจับต้นคอของตนด้วยความประดักประเดิก นีราพรรณจึงได้หยุดและเริ่มวิเคราะห์ในประโยคคำถามเหล่านั้นอยู่ในใจครู่หนึ่ง
“พี่นางเป็นคนทำหรือคะ”
คำตอบที่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณได้รับกลายเป็นรอยยิ้มพร้อมฟันกระต่ายคู่หน้า หญิงสาวจึงเบิกตาขึ้นน้อยๆ ราวกับประหลาดใจ
“ที่ว่าสอบตกก็ไม่จริงแล้วสิเนี่ย”
นาราภัทรพลันส่ายหน้าปฏิเสธอย่างนึกถ่อมตัว “ถ้าไม่ได้หม่อมช่อกับคุณภัส ฉันคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแน่เลย”
เห็นท่าทางเหล่านั้นก็พอจะเข้าใจถึงความพยายามที่เจ้าหล่อนได้ใส่ใจลงไปในอาหารจานโปรดของเธอ อันที่จริงนอกจากความอร่อยแล้วนีราพรรณยังติดใจกับร่องรอยการแกะสลักผักที่ไม่ได้ดูเรียบร้อยนักแต่ก็พอเห็นความตั้งใจอยู่บ้างแตกต่างจากครั้งอื่นๆ
ก่อนหน้านี้เธอเคยครุ่นคิดว่าหล่อนจะเบื่อหน่ายหรือไม่ที่ต้องทนอยู่ในวังที่ไม่ต่างอะไรกับกรงทองขนาดย่อม เพราะถึงการที่พวกเธอพี่น้องทั้งห้าคนจะประพฤติตัวไม่ต่างจากบุคคลทั่วไป แต่บรรดายศศักดิ์นำหน้าที่มีมาตั้งแต่เกิดก็ใช่ว่าจะทำให้พวกเธอได้มีอิสระอย่างใจนึก บางครั้งบางคราวกฏเกณฑ์ภายในก็ยังคงระเบียบและความเข้มงวด จนได้เบาลงบ้างนับตั้งแต่พี่ชายใหญ่ของเธอขึ้นเป็นเจ้าของวังทัตพงศ์มาลี
การมาเยือนเรือนรับรองที่คล้ายกับจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันนั้นก็เป็นการตรวจเช็คดูได้เหมือนกันว่าหล่อนมีความสุขหรือไม่ในระยะเวลาที่ได้อาศัยอยู่ในระยะสายตาของตัวเอง
“ฉันดีใจที่พี่มีความสุขที่นี่”
ได้ยินคำกล่าวทั้งรอยยิ้มอบอุ่นจากหม่อมราชวงศ์นีราพรรณคนที่นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ เธอก็คลายยิ้มตอบ หญิงสาวรู้สึกถึงความจริงใจผ่านดวงตาที่ต้องสะท้อนเงาของเธอ รวมทั้งฝ่ามือนุ่มที่คอยลูบหลังมือไปมาอย่างเอาใจใส่เช่นกัน
“ยื่นแขนข้างนั้นมาหน่อยได้ไหมคะ”
คุณหญิงนีราพรรณเลิกคิ้วอย่างจงใจยียวน “นี่เป็นคำสั่งของสารวัตรนาราภัทรด้วยหรือเปล่า”
ครั้นพอถามออกไปแบบนั้นคนช่างแกล้งก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะถูกบีบมือเข้าเสียเต็มแรง ก่อนจะยอมยื่นแขนอีกข้างออกไปให้คนอายุมากกว่าขยับตัวควานหาอะไรบางอย่างจากถุงผ้าที่ติดเอวมาด้วย ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากปล่อยให้หล่อนได้ทำอะไรตามใจ นีราพรรณจึงเห็นสร้อยข้อมือนั้นกำลังโอบล้อมรอบข้อมือเธอย่างพอดิบพอดี
“ออกไปข้างนอกมาหรือคะ”
“อยู่ในวังเฉยๆ ไม่ใช่วิถีของฉันเท่าไหร่...” หม่อมหลวงนาราภัทรว่าพลางลอบสังเกตปฏิกิรยาของคนที่เธอเพิ่งมอบมันให้ “แล้วฉันก็อยากตอบแทนอะไรคุณหญิงบ้าง”
“…”
“นี่เป็นเครื่องยืนยัน ว่าคุณหญิงไม่ใช่คนเดียวที่พยายามนะ”
คำกล่าวเหล่านั้นแล่นผ่านเข้าสู่โสตประสาทของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณ หญิงสาวจ้องมองเม็ดลูกปัดที่ถูกร้อยเรียงอย่างสวยงามด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย แม้ในสายตาคนทั่วไปมันจะดูมีค่าเพียงเล็กน้อย ทว่ากลับทำให้ดวงตาของเธอสั่นไหวราวกับระลอกคลื่นเมื่อรับรู้ว่าความรู้สึกที่อยู่ภายในใจนี้ไม่ได้มีแค่เธอที่รู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว
นาราภัทรเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปหัวใจก็เร่ิมที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เมื่อไม่กี่นาทีต่อมายามที่คุณหญิงนีราพรรณยื่นฝ่ามือเข้ามาสัมผัสเส้นผมที่คลอเคลียอยู่บริเวณไหล่ เธอจึงได้มองเห็นแววตาห่วงใยและลึกซึ้งจากหญิงสาวตรงหน้าอย่างแจ่มแจ้ง
ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่ใครสักคนหนึ่งจะขยับตัว หม่อมราชวงศ์นีราพรรณโน้มตัวไปด้านหน้าจนคนที่นั่งอยู่นิ่งๆ นั้นหัวใจเต้นแรงระรัว ก่อนที่หญิงสาวผู้สูงศักดิ์นั้นจะหยิบยกให้เส้นผมสีเข้มแนบชิดริมฝีปาก ตลอดจนสันจมูกโด่งที่มีเอกลักษณ์เป็นจุดสีดำเล็กๆ ได้เก็บเกี่ยวความหอมกรุ่นของเจ้าของเส้นผมที่เพิ่งจะชำระร่างกายมาหมาดๆ เข้าเต็มปอดอย่างใจนึก
“...พี่จะทรมานใจฉันไปถึงไหนกันนะ”
เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ไม่ได้สื่อความหมายใดเป็นพิเศษกลับทำให้ผิวกายของคนอายุมากกว่านั้นร้อนผ่าวดั่งต้องมนต์ ด้วยระยะห่างที่ใกล้ชิดกันมากบวกกับน้ำเสียงติดทุ้มเล็กน้อยของคุณหญิงนีราพรรณ ก็คล้ายกับว่าอากาศที่กำลังเย็นสบายนั้นจะไม่อาจสยบความอบอุ่นจากการกระทำของหล่อนได้เลยสักนิด
“ดึกมากแล้ว..คุณหญิงควรจะพักผ่อน ให้ฉันเดินไปส่งเถอะนะคะ”
แม้คำกล่าวนั้นสำหรับผู้หญิงอย่างเธอแล้วจะเลือกทำเป็นหูทวนลมสักครั้งก็ไม่มีใครว่า แต่ครั้นเมื่อนึกถึงความรู้สึกที่อยากจะทะนุถนอมหล่อนและกองงานที่ต้องอ่านให้จบภายในคืนนี้คุณหญิงนีราพรรณก็จำต้องเชื่อฟังและยอมถอยกายห่างออกมา แล้วลุกขึ้นรอให้อีกคนได้กระทำอย่างที่ใจต้องการ
ใช้เวลาประมาณห้านาทีระหว่างการเดินเท้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตัวเรือนใหญ่ของวัง นาราภัทรแทบจะอดกลั้นรอยยิ้มของตนเองไว้ได้ยากเย็นเพราะเห็นคนอย่างหม่อมราชวงศ์นีราพรรณถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาครั้งสองครั้งโดยไม่ยอมบอกสาเหตุ แม้พอจะเข้าใจต้นเหตุของหล่อนอยู่ลึกๆ แต่เธอก็เลือกที่จะกล่าวบอกราตรีสวัสดิ์ให้คุณหญิงรองไปพักผ่อน แทนที่จะอ่อนโอนต่อดวงตาคู่นั้นที่เว้าวอนเป็นระยะอยู่ก็ตาม
“คุณหญิงกลับไปแล้วหรือ”
เมื่อก้าวเท้าขึ้นมาบนชั้นสองของที่อยู่อาศัยชั่วคราวประตูห้องนอนของผู้เป็นแม่ก็ถูกเปิดออก นาราภัทรผ่อนคลายท่าทางของเธอลงก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
“ค่ะ เธอกลับเรือนใหญ่ไปแล้วล่ะ”
“คุณคะ คุณ” ระหว่างนั้นเองสาวใช้ที่คอยดูแลเรือนรับรองแห่งนี้ก็ก้าวเท้าเหยาะๆ ขึ้นมาหาเธอทั้งสองคน ทำให้สองแม่ลูกนั้นจำต้องหันไปมองด้วยความฉงนในใจ
“มีอะไรคะพี่สรวล?”
สาวใช้ผู้นั้นกล่าวตอบอย่างกระตือรือร้นตามนิสัยเจ้าตัว “อิฉันจะมาบอกไว้ค่ะ ว่าช่วงนี้จะขอไปนอนที่เรือนใหญ่ ต้องช่วยงานแทนพวกที่หยุดไป หากมีอะไรเรียกใช้ตอนอิฉันไม่อยู่ ค่อยส่งคนมาตามอิฉันนะคะ”
เพราะเห็นว่าเป็นธุระของวังทัตพงศ์มาลีมารดาของเธอจึงพยักหน้ารับอนุญาตไปอย่างไม่ใส่ใจ กระนั้นระหว่างที่กำลังจะแตะกายเป็นการบอกให้เธอไปพักผ่อนก็ไม่วายได้ยินเจ้าตัวรำพึงออกมาตามสัญชาตญาณ
“ก็คงจะไม่พ้นงานรับแขกผู้ดีสักคนล่ะมัง”
“คุณหญิง...ต้องการยกเลิกสินะครับ”
หม่อมราชวงศ์นีราพรรณขยับกายเล็กน้อยก่อนจะยืนยันคำตอบดังเดิม “ค่ะ นี่เป็นการตัดสินใจของฉันเอง พี่ชายใหญ่ไม่เกี่ยว”
สีหน้าของชายกลางคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ทำให้หญิงสาวแปลกใจเท่าไหร่นักอย่างที่เคยได้คาดเดาไว้ กระนั้นเพราะความที่ไม่เคยพูดคุยอย่างเป็นจริงเป็นจังต่อหน้าอีกฝ่ายมาก่อนก็ทำให้นีราพรรณรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง คุณชายเอกทัศน์มักมีสีหน้าอบอุ่นยามเมื่อเขานึกเอ็นดูใครเป็นบุตรหลาน ทว่าหากเป็นเรื่องชื่อเสียงที่เกี่ยวกับวงศ์ตระกูลแล้ว หากผู้นำครอบครัวใดจะไม่รู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างก็คงแปลกประหลาดน่าดู
“อันที่จริงผมก็พอจะคาดเดาไว้ได้ แต่อยากจะขอถาม เพื่อคำตอบสำหรับลูกสาวคนเดียวของผมสักหน่อย”
น้ำเสียงและใบหน้าที่นิ่งขรึมยิ่งกว่าตอนแรกทำให้หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ที่นั่งอยู่ข้างผู้เป็นน้องสาวในฐานะผู้ใหญ่ต้องลอบส่งสายตาด้วยกันเนื่องจากคาดการณ์ว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ได้ค่ะ”
“เป็นเพราะลูกสาวของผมไม่อาจทำให้คุณหญิงตกลงปลงใจได้ตั้งแต่แรก...หรือเพราะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้หรือครับ”
เพราะสำหรับคุณชายอย่างเขาที่เห็นหน้าค่าตาคุณหญิงรองแห่งวังดอกไม้มาเป็นเวลาเกือบสองปี แน่นอนว่าต่อให้เขาศึกษาอีกฝ่ายก่อนที่จะมาเป็นคู่หมั้นของบุตรสาวก็ใช่ว่าจะเข้าใจหล่อนได้ดีนัก ในสายตาของเขาแล้วคุณหญิงนีราพรรณเป็นคนตั้งใจในหน้าที่การงาน ฉลาดและลึกลับจนไม่อาจให้ใครมาประเมินตนได้ต่ำไป แต่เมื่ออยู่ในฐานะคู่หมั้นก็ออกจะตามใจลูกสาวของเขาเสียพร่ำเพรื่อ แถมยังเอาอกเอาใจครอบครัวพวกเขาอย่างพอเหมาะพอควรเสียด้วย
พอคิดมาถึงตรงนี้ ชายกลางคนก็เพิ่งจะได้คำตอบที่ตนเองกำลังสงสัย เพราะการกระทำเหล่านั้นก็ใช่จะหมายความอย่างแท้จริงว่าหล่อนรักลูกสาวของเขาเสียหน่อยนี่..
..แต่หากหล่อนเกิดเพิ่งมาเปลี่ยนใจเพราะมีรักอื่นทีหลังล่ะก็...
“เป็นตัวของฉัน ที่มีคนในใจมาตั้งแต่แรก แต่ไม่ได้พูดมันออกไปเพราะอะไรหลายๆ อย่าง” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณตอบหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง
“…”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหลินหรือใครหรอกค่ะ”
คำตอบของหญิงสาวทำให้ชายกลางคนนิ่งไปครู่หนึ่ง แผ่นหลังที่ตั้งตรงและอากัปกิริยาที่ถูกขัดเกลาเป็นอย่างดี รวมถึงแววตาที่แน่วแน่ซึ่งเปิดเผยถึงความจริงภายในใจ ย่อมเป็นเหมือนน้ำหนักที่ทำให้เขากล่าวออกมาอย่างอ่อนใจในที่สุด
เพราะมันเป็นแววตา..ที่บอกว่าหล่อนไม่ได้เพิ่งคิด ‘เปลี่ยนใจ’ จะรักแต่อย่างใดเลย
…เห็นทีเขาต้องหาทางบอกกับลูกสาวตนเองเพื่อให้เสียใจน้อยที่สุดแล้วกระมัง
“เป็นเช่นนั้นเอง”
“…”
“คุณชายเจตน์อย่ากังวลไป ทางผมไม่มีปัญหาสำหรับคำตอบของคุณหญิงนีราพรรณ เรายังมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกมากในอนาคต แม้ไม่ใช่เรื่องทุนก็ตาม”
คำกล่าวของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ทำให้ทั้งผู้เป็นพี่ชายใหญ่และตัวเธอผ่อนลมหายใจออกมาแทบจะในเวลาไล่เลี่ยกัน อากาศโดยรอบที่คล้ายกับจะถูกกดทับไปเมื่อครู่ค่อยผ่อนคลายขึ้นเมื่อรอยยิ้มอบอุ่นของคุณชายเอกทัศน์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาดังเดิม
บทสนทนาเรื่องการหมั้นหมายถูกเปลี่ยนไปเป็นการหารือเรื่องทุนการศึกษาให้คณะที่หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ หญิงสาวเองที่เป็นตัวหลักในการสนทนาเมื่อครู่ก็คอยช่วยแนะนำความเห็นออกไปบ้างเป็นระยะ จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามเย็นมาโดยไม่รู้ตัว คนทั้งสามคนจึงเห็นว่าได้เวลาอันสมควรที่จะแยกย้ายเสียที
คุณหญิงนีราพรรณและชายหนุ่มเจ้าของวังก้าวเดินตามหลังชายที่อาวุโสกว่ามายังด้านหน้าทางเข้า แม้จะเอ่ยปากชักชวนให้เขาอยู่ร่วมมื้อเย็นด้วยกันแล้วแต่เจ้าตัวก็บอกว่ายังอิ่มเอมกับขนมฝีมือหม่อมของคุณชายใหญ่อยู่และขอตัวกลับก่อนเสียดีกว่า
“ผมต้องขอบคุณคุณชายมากสำหรับการพูดคุยวันนี้” หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์เอ่ยด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ไม่มีปัญหาครับ อย่างไรก็เป็นความตั้งใจของผมตั้งแต่แรกที่คิดจะมอบทุนการศึกษาให้คณะของคุณชายอยู่แล้ว”
ชายกลางคนยื่นมือออกมาจับกับคุณชายเจตน์ไว้ เป็นอันตกลงว่าเรื่องที่หารือนั้นผ่านไปได้ด้วยดีก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากล่าวกับเธอ “หากไม่มากเกินไป คุณหญิงจะเรียกผมว่าคุณอาเช่นแต่ก่อนก็ได้นะครับ”
นีราพรรณคลายรอยยิ้มกึ่งโล่งกึ่งยินดีออกมาหนึ่งเปราะ แม้จะไม่ได้เกี่ยวดองกันด้านอื่นแต่อย่างไรมิตรภาพที่ดีต่อพี่ชายใหญ่นั้นเธอก็ยังอยากให้มีอยู่ในชีวิต ระหว่างที่รอคอยให้คนขับรถประจำตัวของแขกผู้มาเยือนมาจอดรอรับ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกันก็ทอดสายตาไปด้านหลังเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างก่อนจะเอ่ยปากด้วยความสงสัยออกมา
“มีอะไรหรือครับ คุณนวลจันทร์?”
“!?”
นามนั้นไม่ได้เพียงแค่สร้างความฉงนให้กับเธอและพี่ชายใหญ่เท่านั้น แต่สีหน้าของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์เองก็ยังเปลี่ยนไปเสียจนพวกเธอสังเกตได้ ใบหน้าของชายกลางคนนิ่งค้าง แต่ดวงตาของเขากลับสั่นไหวราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยินกระทั่งเขาได้หันกลับไปยังทิศทางที่ว่า
“...นวลจันทร์?”
เช่นเดียวกันกับร่างของหญิงกลางคนในเสื้อคอกลมสีขาวและผ้าซิ่นลายสีน้ำตาลเข้ม หล่อนนิ่งชะงักไปแต่ก่อนหน้าเพราะเห็นว่าการมาถึงของตนกำลังจะรบกวนแขกของวังโดยไม่ทันได้ตั้งใจ ถาดสีขาวแดงลายที่นีราพรรณจำได้ว่าตนเพิ่งนำมันใส่อาหารไปที่เรือนรับรองเมื่อคืนวานในมือของหล่อนนั้นร่วงหล่น เมื่อดวงตาสีเข้มของหญิงกลางคนได้สบเข้ากับแขกของวังทัตพงศ์มาลีได้เต็มตา
“คุณชาย..”
เสียงที่เปล่งออกมาจากร่างนั้นทำให้ชายกลางคนได้สติ แต่ก็ไม่ทันที่จะรั้งไม่ให้ร่างนั้นหันกายหนีไป “เดี๋ยวก่อน---คุณนวล!”
ความตกใจระลอกแรกที่ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันทำให้ทั้งเธอและชายหนุ่มผู้เป็นพี่ได้แต่ทำอะไรไม่ถูก กระทั่งหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ได้ก้าวเท้าวิ่งตามแขกที่อาศัยอยู่ในเรือนรับรองไปโดยไม่เกรงว่าจะลื่นล้มหกคะเมน เธอทั้งสองคนจึงได้เริ่มก้าวเท้าตามออกไปบ้าง
แต่ยิ่งสาวเท้าตามไปเรื่อยๆ เท่าใด..นีราพรรณก็กลับรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีมากขึ้นเสียนี่...
ใช้เวลาครู่หนึ่งจากสถานที่ก่อนหน้ามายังบริเวณด้านหน้าของเรือนรับรอง สิ่งที่นีราพรรณเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือร่างของหญิงกลางคนในอ้อมกอดของหญิงสาวที่เธอรักซึ่งมีสายตาสับสนและไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่หลายส่วน กำลังจับจ้องมายังร่างของคุณชายเอกทัศน์ที่ไม่สนใจอาการเหนื่อยหอบของตนเลยแม้แต่น้อย
“คุณนวล ให้ผมได้พูดก่อนได้ไหม”
“ฉันไม่จำเป็นต้องฟังอะไรคุณทั้งนั้น”
น้ำเสียงและอากัปกิริยาของผู้เป็นมารดาทำให้หม่อมหลวงนาราภัทรสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม่ของเธอมีนิสัยอย่างไรเหตุใดเธอจะไม่รู้ ยิ่งน้ำตาหยดเล็กๆ ที่กำลังไหลรินนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะเคยเห็นมันเลยสักครั้งนับตั้งแต่ที่จำความได้ นาราภัทรจึงคล้ายกับคนที่ได้แต่ยืนกอดปลอบผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังตัวสั่นเทา แต่ไม่อาจเคลื่อนไหวหรือกล่าวอันใดออกมาได้มากกว่านี้
ระหว่างที่ความเงียบได้บังเกิด ราวกับเมื่อลมหายใจของตนเข้าที่เข้าทางจึงได้รู้สึก ดวงตาของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์จึงได้เคลื่อนมองหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เป็นลูกของตน แววตาของเขาออกจะฉงนเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างไม่มั่นใจว่า
“…นั่นนางเหรอ”
เรียวคิ้วของนาราภัทรขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกที่ไม่ไว้วางใจกลายๆ ทำให้เธอเผลอเอากายบังผู้เป็นแม่ที่กำลังสะกดกลั้นอารมณ์ของตนไว้ “คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไงคะ”
ในเมื่อชื่อเรียกขานนั้นมิไว้เฉพาะคนในครอบครัวของเธอ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ชายวัยกลางคนที่เธอเคยพบที่ตลาดตอนแฝงตัวเพื่อสืบคดีเพียงชั่วขณะนั้นจะรู้จักชื่อของเธอได้
“คุณชายเอกทัศน์....มีเรื่องอะไรกันครับ”
เป็นชายหนุ่มเจ้าของวังที่ตามมาสมทบทางด้านหลังนั้นเองที่อดไม่ได้ที่จะสงสัยในสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้แต่ผู้เป็นน้องสาวยังแสดงสีหน้าแบบที่เขาไม่เคยเห็นได้บ่อยนัก โดยที่ไม่รู้เลยว่าการเอ่ยขานนามของชายกลางคนนั้น จะทำให้หม่อมหลวงนาราภัทรได้เข้าใจอะไรบางอย่างได้มากโข
หม่อมราชวงศ์เอกทัศน์อย่างนั้นหรือ?...
“...พ่อเหรอคะ?”
“เขาไม่ใช่พ่อของลูก”
สิ้นเสียงที่เอ่ยออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น น้ำเสียงแข็งกร้าวและห่างเหินก็ดังขัดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังสับสนและโหยหา ดวงตาของผู้เป็นมารดาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธและคับแค้นในใจ...และมันมีมากเสียจนเธอไม่กล้าสาวเท้าเข้าไปใกล้บิดาที่ตนไม่เคยนึกหน้าออกมาก่อนเลยสักครั้งเดียว
“พ่อของลูกไม่มีทางเป็นคนที่พยายามจะฆ่าเราหรอก”
กาน้ำชาร้อนๆ ถูกวางลงบนโต๊ะทรงกลมภายในห้องด้วยเรียวนิ้วมือบาง ความเงียบงันในยามค่ำคืนปะปนไปด้วยความเหนื่อยล้าที่อบอวล ร่างของหม่อมหลวงนาราภัทรนั่งอยู่บนที่นอนและทอดสายตาไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย โดยมีหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อีกคนที่คอยลอบมองเป็นระยะด้วยความห่วงใยอยู่เงียบๆ
นับตั้งแต่เกิดเรื่องและกว่าจะปลอบให้นางนวลจันทร์ผู้เป็นมารดาของหล่อนสงบลงได้ก็ช่างฟังดูยาวนานนัก แม้คุณชายเอกทัศน์จะร้อนอกร้อนใจมากขนาดไหน แต่พี่ชายใหญ่ของเธอก็โน้มน้าวและเกลี้ยกล่อมจนเขายอมกลับบ้านของตนไปในที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะดูวุ่นวายไปมากกว่านี้
“อยากให้ฉันอยู่ตรงนี้ไหมคะ”
นีราพรรณค่อยๆ รินน้ำชาลงบนถ้วยเล็กเมื่อพบว่าความเงียบนั้นอยู่รอบกายเต็มไปหมด ถึงจะไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น แต่การที่นาราภัทรยังไม่ยอมกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจตนเองออกมาได้ให้ได้ยินนั้นก็ทำให้ภายในอกของเธอร้อนรนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
แม้ทุกครั้งที่ผ่านมาเธอจะเป็นฝ่ายร้องขอที่อยากจะอยู่ข้างหล่อนในทั้งยามสุขและทุกข์
แต่สำหรับเหตุการณ์ในวันนี้แล้ว นีราพรรณไม่รู้เลยว่าเธอจะยังมีหน้าอยู่ข้างกายหล่อนได้อีกนานเท่าใดจริงๆ
วางกาน้ำชาร้อนลงและหมายจะยกถ้วยเล็กที่เต็มปริ่มไปด้วยเครื่องดื่มที่ชวนให้ผ่อนคลายไปให้ผู้อยู่อาศัย แต่เพียงแค่ตอนที่ปลายนิ้วกำลังจะสัมผัสมัน หญิงสาวก็รู้สึกถึงกายของคนที่นั่งเงียบอยู่บนเตียงนอนเมื่อครู่มาแนบชิดก่อนพอดี
“ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกยังไง”
“…”
“สับสน โกรธ ดีใจ อะไรก็ไม่เด่นชัดสักอย่าง”
เสียงของคนที่ซบใบหน้าอยู่กับแผ่นหลังของเธอกล่าวออกมาราวกับเรื่องที่ตนกำลังพูดนั้นไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่อ้อมแขนที่โอบล้อมรอบตัวเธอกลับสั่นน้อยๆ เสียจนนีราพรรณต้องใช้มืออีกข้างประคองมันไว้อย่างปลอบประโลม ให้คนอายุมากกว่าได้โอบกอดเธอเป็นที่พึ่งอย่างที่ใจปรารถนาตลอดมา
“ฉันฟังความโกรธของแม่มาตลอด เข้าใจมาตลอดว่าคนพวกนี้ทำร้ายแม่มามากแค่ไหน...และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้ฉันรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ต่างจากที่แม่เคยพูดไว้เท่าไหร่นัก” นาราภัทรยังคงเอ่ยปาก ทั้งปล่อยให้ความอบอุ่นและกลิ่นที่คุ้นเคยจากคุณหญิงนีราพรรณปลอบประโลมตนเอง ไม่ให้ความร้อนผ่าวในดวงตานั้นได้ไหลออกมา
“แต่คำถามในใจฉันก็เกิดขึ้น ทันทีที่คุณหญิงเปิดโอกาสให้ฉันได้เรียนรู้ในมุมที่แตกต่างออกไป”
ก้อนความรู้สึกผิดพลันเกิดขึ้นภายในลำคอของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณ ดวงตาคู่สวยปิดลงด้วยความกล้ำกลืน เมื่อคิดถึงความจริงที่เธอเพิ่งได้ทราบอย่างชัดแจ้งพร้อมกันกับหญิงสาวที่เธอรักสุดหัวใจ
นีราพรรณรับรู้มาเหมือนอย่างที่ใครต่อใครครหาหล่อน เธอรู้เพียงว่าหม่อมหลวงนาราภัทรเป็นบุตรสาวนอกสมรสของหม่อมราชวงศ์ท่านหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่เคยหักล้างความรู้สึกนับแต่แรกที่เธอได้พบหล่อนลงไปได้เลยสักนิด กลับกันด้วยการเป็นตัวตนของหญิงสาว และฝีมือที่ทำให้ประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่าหล่อนพยายามเพียงใด ทำให้ความรู้สึกที่อยากค้นหานั้นแปรเปลี่ยนเป็นความรักมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที
เมื่อเกือบสองปีก่อนในระหว่างที่ลอยไปลอยมาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางวงสังคมและสำนักงานตำรวจ นีราพรรณก็ได้พบกับหม่อมหลวงอิลลาสินี แรกเริ่มที่รู้จักกันเธอยอมรับว่าหล่อนมีอะไรบางอย่างที่ตัวเธอกำลังตามหาอยู่ในใจ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกที่ยังไขว่คว้าและรอคอย เธอเคยนึกว่าหล่อนจะช่วยให้เธอลืมภาพที่พบเจอกับ ‘นักเรียนดีเด่น’ คนนั้น แต่ภายหลังไม่กี่วัน นีราพรรณก็พบว่ามันยังไม่ใช่...
หม่อมหลวงนาราภัทรยังคงมีตัวตนในความคิดของเธอเสมอเช่นเดียวกันกับตอนออกไปเที่ยวกับบรรดาหญิงสาวผู้อื่น เธอจึงปฏิบัติตัวต่อว่าที่คู่หมายของตนที่พี่ชายใหญ่พามาแนะนำให้รู้จัก ด้วยการไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธให้คุณชายเจตน์เสียหน้ามาเรื่อยๆ และหวังว่าภาพของหล่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป จนกระทั่งสิ่งที่เธอรอคอยนั้นมาถึง...ในฐานะผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบของคดีคนหายที่นี่
แต่สุดท้ายการกระทำที่ไม่ยอมรับแต่ไม่ได้ปฏิเสธก็มาบรรจบเช่นนี้...
..จบที่ผู้หญิงทั้งสองคนในชีวิตเธอ เป็นพี่น้องที่มีพ่อคนเดียวกัน
“แต่สำหรับครั้งนี้ เหมือนฉันไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหนดี”
เสียงที่ยังคงกล่าวอย่างเหนื่อยล้าทำให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกผิดและความกังวลว่าหล่อนจะหายไปคล้ายกับจะทำให้มือที่ประคองเรียวแขนของอีกฝ่ายนั้นแน่นขึ้น ลมหายใจของร่างเพรียวถูกสูดเข้าไปลึกๆ ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง กระทั่งริมฝีปากบางนั้นทำท่าจะเปล่งคำพูดออกมาในที่สุด
“…พี่นาง-”
“คุณหญิงช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่งได้ไหม”
ทว่าคำสารภาพของคุณหญิงนีราพรรณก็จำต้องเลือนหายไปเมื่อดวงตาคู่สวยของคนอายุมากกว่าที่ดูจะมีประกายความหวังขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอจึงปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นรอยยิ้มอบอุ่นดังเดิมก่อนจะเอ่ยถามหล่อนอย่างห่วงใย
“ว่ามาสิคะ”
หม่อมหลวงนาราภัทรอ้ำอึ้งก่อนจะตอบ “..พาฉันไปพบเขาเป็นการส่วนตัวได้ไหมคะ”
รถยนต์ทรงยุโรปคันงามขับเคลื่อนไปตามท้องถนนในช่วงสายของวันต่อมา ประตูสีเงินถูกเคลื่อนออกด้วยฝีมือของยามตรงหน้าทางเข้าที่คอยดูแลความปลอดภัย และเพราะคุ้นเคยกับพาหนะคันนี้ที่ขับเคลื่อนมาพอควรเขาจึงปล่อยให้มันได้เลี้ยวเข้ามาในบริเวณบ้านของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์อย่างว่องไว
หญิงสาวผู้สวมเดรสลายดอกไม้ที่ได้รับมาจากคุณหญิงที่นั่งอยู่ตรงด้านคนขับสอดส่องสายตาไปยังด้านนอกรถด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ที่นี่เหรอคะ”
“ค่ะ ที่นี่แหละ คือบ้านของคุณชาย”
กล่าวจบดังนั้นนีราพรรณจึงโน้มตัวเข้าไปช่วยปลดเข็มขัดที่รักษาความปลอดภัยระหว่างการขับขี่ให้กับหล่อนอย่างเคยชิน รอยยิ้มน้อยๆ ที่ถูกส่งมานั้น กลับทำให้หัวใจของเธอมันเบาขึ้นทีละนิด
“ช่างแตกต่างเหลือเกิน”
เมื่อออกมายืนทอดสายตามองไปทั่วเรือนสไตล์ฝรั่งหลังใหญ่ แม้ขนาดจะเล็กกว่าวังทัตพงศ์มาลีแต่นาราภัทรก็ถึงกับทอดถอนใจออกมาราวกับรำพึงรำพันถึงตนเอง ทว่ารอยยิ้มเบาบางบนใบหน้านั้น ช่างทำให้คนมองปวดใจได้อย่างประหลาดยิ่งนัก
เพราะมันมีทั้งความยินดีและความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทำให้เกิดความรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาเสียจนนีราพรรณต้องเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าไปประสานกับนิ้วมือเรียวยาวราวไว้กับกลัวว่าหล่อนจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น..
การมาเยือนยังครอบครัวที่ ‘ถูกต้อง’ ของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์นี้ ผู้เป็นมารดาของหญิงสาวไม่ได้รับรู้ ถึงคำพร่ำสอนของหญิงกลางคนจะยังคงเป็นดั่งกำแพงที่ปกป้องตนเองไว้แต่นาราภัทรกลับคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากเธออยากจะเป็นฝ่ายทำความรู้จักผู้เป็นพ่อเอง โดยที่ไม่มีอคติของผู้เป็นแม่มาเป็นตัวช่วยขัดเกลาผู้คนอย่างที่เคยผ่านมา
เพราะในเมื่อแม่ของเธอไม่อยากฟัง งั้นคงมีเพียงเธอเท่านั้นที่จะเป็นคนฟังคำอธิบายจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อทั้งหมดเอง
“หลิน ลูกจะไปไหน!?”
เสียงทุ้มที่ตวาดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคยสำหรับแขกผู้มาเยือน แต่เพราะความที่เป็นคฤหาสถ์ของคุณชายเอกทัศน์เสียงนั้นจึงเป็นของใครไปไม่ได้ ร่างของชายกลางคนในชุดลำลองก้าวเท้ายาวๆ ตามร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่คล้ายกับกึ่งวิ่งกึ่งเดินจะไปยังทิศทางของรถยนต์ประจำครอบครัว
“หลินจะไปถามพี่หญิงให้รู้เรื่องค่ะ”
ใบหน้างดงามและอ่อนเยาว์ของหม่อมหลวงอิลลาสินีปะปนไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลริน อากัปกิริยาที่เคยดูสงบนิ่งนั้นดูเหมือนจะแตกร้าวจนไม่อาจทนสำรวมเอาไว้ได้อย่างเคย ความเสียใจที่เกิดขึ้นและท่าทางที่ไม่เคยเห็นของผู้เป็นบุตรสาวนั้น ทำให้ชายกลางคนถึงกับไปไม่เป็นครู่ใหญ่เลยทีเดียว
เมื่อวานผู้เป็นพ่อของเธอกลับมาถึงก็ตะโกนและทะเลาะเบาะแว้งกับมารดาของเธอเสียยกใหญ่ อิลลาสินีที่ฟังต้นสายปลายเหตุได้เพียงครึ่งหนึ่งก็เข้าไปห้ามและถูกผลักออกมาด้วยแรงอารมณ์ของบุพการีทั้งคู่ เนื้อหาที่จับได้จึงมีแค่การที่อดีตภรรยาของเขายังมีชีวิตอยู่ และผู้เป็นแม่ของเธออย่างอดีตหม่อมเจ้าหญิงนั่นเองที่เป็นคนคิดกำจัดพวกเขาให้พ้นทางไป
ความจริงเป็นอย่างไรเธอก็ยังไม่ทันได้คาดคั้น เช้าวันนี้อีกสิ่งหนึ่งที่เธอได้รับรู้และราวกับถูกสายฟ้าฟาด ก็คือทางวังทัตพงศ์มาลีตัดสินใจที่จะยุติการเป็นคู่หมายระหว่างเธอกับพี่หญิงรองลง
แต่ตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมามันก็กำลังจะไปได้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? สำหรับอิลลาสินีแล้วช่างฟังดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่คุณหญิงนีราพรรณจะตัดสินใจยกเลิกเพียงเพราะคำว่า ‘ไม่อาจรัก’ ได้
“พ่อบอกเหตุผลกับลูกไปแล้ว...”
“คุณพ่อคิดว่าหลินจะเชื่อเหตุผลแบบนั้นจริงๆ เหรอคะ”
“…”
“ถ้าคุณพ่อบอกเหตุผลที่แท้จริงของพี่หญิงนิ่มมา หลินก็จะไม่ไปไหน”
ชายกลางคนตกอยู่ในอาการน้ำท่วมปากเมื่ออีกฝ่ายกล่าวทั้งน้ำตา เหตุผลที่เขาบอกกับลูกสาวของตนไปอาจจะฟังดูสิ้นคิดจริงๆ แต่เขาก็ไม่อาจบอกไปได้อย่างซื่อตรงว่าหัวใจของคุณหญิงนีราพรรณนั้นไม่เคยเป็นของเจ้าตัวเลย
ระหว่างที่กำลังละล้าละหลังอยู่อย่างนั้นเอง ดวงตาของคุณชายเอกทัศน์ก็เพิ่งสังเกตเห็นหญิงสาวทั้งสองคนที่มาหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านของตนพอดิบพอดี
“นาง..”
หม่อมหลวงอิลลาสินีหันกายไปยังทิศทางที่ผู้เป็นบิดาเอ่ยเรียกขาน เพราะดวงตาที่ยังพร่ามัวด้วยความเสียใจ หญิงสาวจึงเห็นเพียงร่างเพรียวบางของผู้เป็นคู่หมั้นที่กลับกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว “พี่หญิง”
สิ้นคำนั้นร่างกายของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็ถูกโอบกอดเข้าอย่างแนบแน่น เมื่อหญิงสาวตัวเล็กนั้นโถมกายเข้ามาใส่ก่อนจะพรั่งพรูคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจในทันที
“บอกหลินสิคะว่าไม่ใช่ พี่หญิงไม่ได้ปฏิเสธน้องใช่หรือเปล่า พี่ไม่ได้ยกเลิกเรื่องหมั้นหมายของเราใช่ไหม”
ความรู้สึกมากมายทั้งหลายต่างประเดประดังเข้ามาในความคิดของนาราภัทรไม่หยุดหย่อน คำกล่าวของหญิงสาวที่เธอคุ้นหน้าว่าคือคนเดียวกันกับที่ตนเองได้ช่วยชีวิตเอาไว้นั้นราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบศีรษะของเธอจนเกือบคิดอะไรไม่ออก เธอทำได้เพียงแต่มองมือของตนที่ถูกคุณหญิงรองแห่งวังทัตพงศ์มาลีจับเอาไว้แน่น ก่อนจะเห็นว่าหล่อนค่อยๆ ดันกายของหญิงสาวตัวบางที่โอบกอดตัวเองไว้ให้ออกห่างไปด้วยสีหน้าที่เธอไม่เข้าใจมันเลย
“พี่ขอโทษค่ะ”
ยามเช้าตรู่ของวันใหม่มาถึงพร้อมกับความเงียบสงบ ร่างกายของหญิงสาวผู้มีผิวขาวราวน้ำนมได้ก้าวเท้าเข้ามายังบริเวณลานกว้างสีเขียวเพื่อยืดเส้นยืดสายก่อนต้องออกไปทำงานอย่างที่เคยทำเป็นประจำ การผันตัวมาเป็นอาจารย์สอนดนตรีไปมาระหว่างโรงเรียนสรสุนทรีย์และคาบเรียนพิเศษที่วิทยาลัยไม่ได้ทำให้ชีวิตของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ตื่นเต้นเหมือนการเที่ยวคลับสโมสรต่างๆ นัก แต่กระนั้นเธอก็ยังมีความสุขกับชีวิตของตนเองที่เรียบง่ายในตอนนี้
“คุณหญิงคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
เสียงร้องบอกอย่างร้อนอกร้อนใจทำให้หญิงสาวที่กำลังตั้งท่าจะอบอุ่นร่างกายนั้นต้องชะงัก สาวใช้ผู้นั้นยกมือขึ้นปิดปากด้วยเกรงว่าเสียงของตนเมื่อครู่จะทำให้เกิดเหตุตื่นตระหนกจนเกินไป ก่อนจะเข้ามาบอกกล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างแผ่วเบา
ครั้นเมื่อได้ฟังถึงเหตุการณ์เบ้ืองต้นสีหน้าของคุณหญิงดารารินทร์ก็ผลันเปลี่ยนไป ร่างขาวรีบก้าวเท้าด้วยความรวดเร็วนำร่างของสาวใช้ไปยังเรือนรับรองที่มีแขกคนสำคัญของวังทัตพงศ์มาลี กระนั้นเมื่อเธอไปถึงยังบริเวณหน้าบ้านที่ดูจะเงียบสงัดยิ่งกว่าทุกครั้ง ก็ยิ่งตอกย้ำสิ่งที่เธอเพิ่งจะได้รับฟังมาเมื่อครู่นี้
“พี่หญิงรอง..”
ร่างของหญิงสาวที่ยังคงสวมเสื้อคลุมสำหรับเข้านอนเมื่อคืนนี้นั่งนิ่งอยู่ที่โซฟารับแขกบริเวณห้องส่วนกลาง บรรยากาศที่เคว้งคว้างและสับสนทำให้ดารารินทร์ร้อนใจจนต้องก้าวเท้าเข้าไปสังเกตดู แต่ก่อนจะได้เอ่ยถามอะไรออกไป สาวใช้ที่คอยดูแลเรือนรับรองแห่งนี้ก็ก้าวเข้ามาบอกเล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยท่าทางสำนึกผิดระคนเสียใจที่ไม่อาจห้ามปรามสองแม่ลูกนั้นได้ทัน
“ตอนเช้ามืดอิฉันเข้ามากะจัดเตรียมมื้ออาหาร ก็พบจดหมายนี้อยู่ที่โต๊ะแล้ว จึงได้รีบแจ้งคุณหญิงไปค่ะ”
เมื่อได้รับแจ้งอย่างนั้นร่างขาวจึงไม่รอช้าที่จะหยิบจดหมายแผ่นเล็กที่วางอยู่ตรงหน้าผู้เป็นพี่สาวขึ้นมาอ่านด้วยความว่องไว ครั้นเมื่อกวาดสายตาครบถ้วนทุกบรรทัด ดารารินทร์จึงนั่งลงข้างพี่สาวคนรองที่คล้ายกับคนกำลังสับสนว่าควรจะแสดงสีหน้าเช่นไรออกมาดี
“นี่มันอะไรกันคะ คุณนาราภัทรจะหนีจากพี่ไปทำไม”
เพราะไม่ทันได้รู้เรื่องราวความซับซ้อนที่เกิดขึ้นหญิงสาวจึงได้ถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ แต่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณกลับทำได้เพียงแค่ปรายตามองจดหมายนั้น แล้วจึงกล่าวออกมาถึงความจริงที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“แต่หล่อนก็หนีไปแล้ว”
“…”
“...หล่อนไปจากฉันแล้วจริงๆ”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทำให้ดวงตาที่สับสนและต้องการคำตอบของคุณหญิงดารารินทร์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความเหนื่อยล้าและเคว้งคว้างที่ซ่อนอยู่ในประโยคนั้นทำให้เธอทำได้เพียงแค่แตะไหล่ของผู้เป็นพี่สาวแล้วดึงเข้ามากอด ถึงเธอจะยังไม่อาจรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่ชัด แต่ความเศร้าที่ไม่ได้สัมผัสจากกายของหล่อนมาเป็นเวลานานแล้ว ก็ทำให้ดารารินทร์ทำได้แค่ลูบแผ่นหลังบางนั้นอย่างปลอบประโลมอยู่นานพอสมควรเลยทีเดียว
นักแสดงรับเชิญ
คุณหญิงจินณวัตร : ยูจองยอน
คุณหญิงดารารินทร์ : คิมดาฮยอน
สรภัส : มินาโตะซากิ ซานะ
โชษิตา : ซนแชยอง
หม่อมจีรัญนภา : พัคจีฮโย
นวลจันทร์ : ควอน โบอา
หม่อมหลวงอิลลาสินี : อาริน OhmyGirl
TBC.
____________________________________________________________________________________
#หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ #ฟิคแก้วตาสุมาลี
ความคิดเห็น