ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TWICE | OS/SF : #Xslibrary

    ลำดับตอนที่ #17 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ : ดอกยี่หุบ ๓

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 63


     


     

    “ขอบใจจ้ะ” 

     

    ท่ามกลางเสียงร้องเซ็งแซ่ขายสรรพคุณเครื่องคาวหวานและผู้คนที่พูดคุยกันระหว่างก้าวเท้าหลั่งไหลเข้าสู่เส้นทางตลาด หม่อมหลวงนาราภัทรเอ่ยปากแก่ชายกลางคนที่เพิ่งจะซื้อน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ชุดสุดท้ายในหาบของตนไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะจัดแจงหมวกสานที่สวมอยู่ให้เข้าที่เมื่อรู้สึกว่าสมควรที่จะกลับไปยังที่พักอาศัยได้ตามเวลา แม้วันนี้จะเป็นเหมือนวันอื่นๆ ที่ยังไม่มีอะไรผิดปกติจากรั้วอิฐขาวฝั่งตรงข้าม แต่ภาพของหน่วยลาดตระเวนที่มีให้เห็นหนาตามากขึ้นนั้นก็บ่งบอกว่าสถานการณ์ของคดีนี้ไม่ได้กำลังจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย 

    “ดูเหมือนจะเห็นโปลิศมาตระเวนเยอะขึ้นเลยนะ”

    บทสนทนาระหว่างพ่อค้าแม่ขายที่จับกลุ่มนั่งกันอยู่ไม่ไกลลอยเข้าสู่ประสาทสัมผัสของหญิงสาวระหว่างที่จัดเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ คดีคนหายที่เป็นที่โจษจันกลายเป็นบทสนทนาที่ต้องมีอยู่ในกลุ่มผู้คนทุกชนชั้นเพราะความอาจหาญไม่เกรงกลัวในกฏหมายของบ้านเมือง สองสามวันมานี้นาราภัทรจึงมีโอกาสได้รับฟังถึงความกังวลและความเห็นของผู้คนรอบกายอยู่เป็นส่วนมาก 

    “ไม่ให้เข้มงวดได้อย่างไรเล่า ก็มีคนที่นอกเขตพระนครรายงานว่าโดนผีลักพาอีกแล้วน่ะสิ” 

    “อีกแล้วรึ สรุปว่าเป็นคนหรือผีกันแน่นะ”

    “อย่างเราๆ ที่ค้าขายแต่ฟ้ายังไม่สว่างก็ระวังไว้บ้าง ไม่รู้ว่าเป้าหมายมันเป็นยังไง แต่ช่วงนี้อย่าไปขายของที่เปลี่ยวๆ คนเดียวนักเลย”

    และยิ่งได้รับฟังถึงความกังวลของผู้คนมากเท่าไหร่ ความรู้สึกโกรธภายในใจต่อผู้กระทำการอุกอาจนี้ก็ยิ่งทำให้มือของหญิงสาวสาวบีบเข้าหากันแน่นขึ้นทุกเมื่อ 

    “นังหนู” 

    นาราภัทรผละจากความรู้สึกในใจนั้นไปตามเสียงเรียก “..คะ?” 

    “ยังสาวยังสวยอย่างเอ็งต้องยิ่งระวังไว้เลยนะ ฉันเป็นห่วง” หญิงชราผู้เป็นแม่ค้าที่พอคุ้นหน้าคุ้นตากันกล่าวออกมาอย่างกังวลระคนเห็นใจ “ถ้าสามีอยู่นอกบ้านก็ให้เขารีบกลับ อยู่คนเดียวมันอันตราย”

    หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับความห่วงใยของอีกฝ่ายด้วยการส่ายหน้ายิ้มๆ “ฉันยังไม่ได้มีครอบครัวหรอกจ้ะป้า”

    “โอ้ย แบบนั้นแหละยิ่งต้องระวังตัว ฉันเอ็นดูเป็นลูกเป็นหลาน นานๆ จะมีคนมาคอยช่วยขายของเสียด้วย”

    “เข้าใจแล้วจ้ะ ฉันจะระวังตัวนะ” 

    สิ้นเสียงหัวเราะแผ่วเบาในความเอ็นดูที่มีต่อกันนาราภัทรก็หันมาสนใจข้าวของตรงหน้าของตัวเอง แต่เพียงไม่กี่อึดใจความสงบของชาวบ้านร้านตลาดก็ต้องมีอันหยุดลง เมื่อเสียงบีบแตรสูงจากรถยนต์ทรงยุโรปนั้นดังขึ้นเป็นจังหวะราวกับกำลังต่อว่าพ่อค้าชายกลางคนที่กำลังจะก้าวผ่านถนนด้วยความไม่ระมัดระวังอย่างหยาบคาย 

     “ไม่มีตารึ! ไม่เห็นหรือว่านี่รถใคร ถ้าเอ็งชนแล้วจะมีปัญญาซ่อมหรือเปล่า!” 

    มองเห็นคนขับรถแสดงอารมณ์เกินเหตุก็ทำให้นาราภัทรจำต้องเหลือบไปมองที่นั่งเบาะหลังของรถยนต์สีเขียวอ่อนเสียหน่อย เพราะเธอเกิดอาการอยากใคร่รู้ขึ้นมาว่า ‘เจ้านาย’ ของคนขับรถที่แสดงอากัปกิริยาราวกับนักเลงโตเช่นนี้จะใหญ่โตคับถนนเส้นเล็กๆ ได้มากเพียงใดหนอ 

    “พอได้แล้ว” เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากบานหน้าต่างที่ถูกเปิดลงครึ่งหนึ่งราวกับเขานั่งรับสายลมด้านนอกมาสักพักแล้วนั้นภูมิฐานและเด็ดขาด “ฉันยังไม่ทันว่าอะไร ถ้าเขาไม่เป็นอะไรก็ปล่อยไปเถอะ” 

    “--ครับคุณชาย”

    ดวงตาของหม่อมหลวงนาราภัทรที่หยุดลงบนใบหน้าของชายกลางคนมาก่อนหน้านี้พลันเกิดประกายสั่นไหว ราวกับบางสิ่งบางอย่างที่หญิงสาวเคยหลงลืมไปแล้วถูกสัมผัสให้หวนนึกถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใต้สำนึกนั้นอีกครั้ง นาราภัทรมั่นใจว่าตัวเธอไม่เคยเห็นหน้าชายกลางคนคนนี้มาก่อน แต่อะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกันบนใบหน้าของเขา กลับทำให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคยเสียจนเธอยังแปลกใจ

    …คุณชายท่านนี้...เธอเคยพบเขามาก่อนหรือไม่นะ 

     

     

     

    เสียงของวิทยุเครื่องใหญ่ที่วางอยู่ด้านข้างส่งเสียงร้องถามหาคลื่นสัญญาณเสียจนเจ้าของต้องยื่นมือออกไปกระทุ้งมัน เมื่อกลับมาเป็นปกติและมีเสียงเพลงยามบ่ายคล้อยตามแล้วนางแช่มจึงค่อยกลับมาเอนกายกับเก้าอี้ตัวโปรด ครั้นเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจที่ผ่อนออกมาจากผู้อยู่อาศัยอีกคนซึ่งกำลังนั่งพับกลีบดอกบัวสำหรับวันพระพรุ่งนี้ หญิงกลางคนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากว่า

    “มีอะไรรึเปล่า เห็นถอนใจอยู่หลายหนแล้ว” 

    ได้ยินคำถามติดห้วนจากผู้ให้ที่อยู่อาศัยหม่อมหลวงนาราภัทรก็คล้ายกับเพิ่งจะรู้สึกตัว เพราะเธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่าระหว่างที่กำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความคิดนั้นตนได้ถอดทอนใจออกไปเช่นไรบ้าง 

    “เปล่าจ้ะ...ฉันแค่รู้สึกเป็นกังวลเพราะข่าวที่คนหายไปเท่านั้น”  

    อันที่จริงแล้วสิ่งที่อยู่ในความคิดของหญิงสาวกลับเป็นใบหน้าของชายกลางคนในรถยนต์ทรงยุโรปเมื่อยามสาย แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดความสงสัยใคร่รู้ที่อยู่ภายในนี้ยังไม่จางหายไปอย่างง่ายดายหมือนการพบปะผู้คนที่ผ่านมา...ครั้นดูจากอายุอานาม คงจะเคยพบกันที่ใดสักแห่งในสมัยที่เธอเพิ่งจะเริ่มจำความได้กระมัง

     

    หลังคุณหญิงนีราพรรณกลับมา คงจะต้องแวะไปถามผู้เป็นยายและแม่ให้คลายสงสัยดูเสียที

     

    “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกทางการเถอะ เป็นห่วงน้องสาวเธอดีกว่า” นางแช่มกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ติดห้วนมากขึ้นราวกับคนกำลังหลีกเลี่ยง ซึ่งนาราภัทรก็จับใจความในน้ำเสียงนั้นได้ว่าอีกฝ่ายเองก็คงเป็นกังวลเรื่องนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นกับหม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่ไปทำงานราชการโดยการอ้างด้วยเหตุผลคล้ายคราวก่อนอยู่ไม่น้อยตามประสา

    “..จะกลับมาเย็นพรุ่งนี้ใช่ไหม มาที่ท่าคนเดียวหรือเปล่า”

    นาราภัทรเผลออมยิ้มให้ท่าทางเป็นห่วงที่เล็ดลอดออกมาของหญิงกลางคน ซึ่งเมื่อได้รับคำตอบเจ้าตัวก็ยิ่งตีหน้าขรึมขึ้นทุกที “คนพายเรือจะมาส่งถึงท่าด้านหลัง ป้าแช่มไม่ต้องห่วงนะจ้ะ” 

     “ฉันก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง” 

    เมื่อดอกบัวสำหรับการทำบุญในเช้าวันถัดไปถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้วเสร็จสรรพ นาราภัทรก็ปลีกตัวขึ้นมายังห้องพักส่วนตัวของตนเองเพื่อใช้เวลาที่เหลือของวันไปกับการพักผ่อนและอ่านรายงานข้อมูลที่มีอยู่ หญิงสาวหย่อนกายลงบนเก้าอี้ไม้ภายในห้องพักอันเป็นห้องเก่าของลูกชายหญิงกลางคนที่ป่วยตาย เธอหยิบสมุดบันทึกคู่กายที่นำติดตัวมาด้วยตั้งแต่วันแรกเปิดอ่านผ่านๆ ด้วยข้อมูลที่เคยเขียนเอาไว้นั้นแต่ละหน้าแทบจะไม่มีเบาะแสอะไรที่มากขึ้นกว่าในการแฝงตัวช่วงแรก แถมเธอก็จดจำมันได้ขึ้นใจรวมถึงได้รายงานสำนักงานใหญ่ไปเกือบหมดแล้วด้วย 

    เมื่อกระดาษในมือนั้นถูกพลิกจนมองไม่เห็นรอยตัวอักษรอีกต่อไปแล้วเธอจึงวางมันไว้อย่างเดิม ดวงตาของหม่อมหลวงนาราภัทรก็ค่อยเหลือบไปเห็นกลีบดอกตูมขนาดเกือบเท่าฝ่ามือสีขาวที่วางอยู่ตรงขอบโต๊ะหนังสืออย่างเช่นที่เคยเห็นมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ ทั้งที่มันวางอยู่ตรงนี้จนคุ้นเคย ครั้นยามเมื่อกลิ่นของมันแตะจมูกมา...นาราภัทรก็ไม่เคยหักห้ามใจที่จะไม่ให้หยิบมันขึ้นมาซึมซับกลิ่นหอมนั้นได้เสียที 

    …เพราะดอกยี่หุบนี้ถูกปลดลงมาจากมือของคุณหญิงนีราพรรณ..และมอบให้เธอไว้ก่อนที่หล่อนจะจากไปนอกพระนครเพื่อเบาะแสสำคัญเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว 

    แค่เพียงกดปลายจมูกอย่างแผ่วเบาลงบนกลุ่มดอกสีขาว หัวใจของนาราภัทรก็อุ่นวาบเพียงเพราะกลิ่นหอมนั้นชวนให้นึกถึงประโยคที่หญิงสาวได้กล่าวกับเธอเอาไว้..

    ‘จะไม่มีทางเป็นอะไร...เพราะฝากใจไว้ที่ดอกยี่หุบนี้’

    หล่อนคิดว่าตนเป็นทศกัณฐ์หรือไงนะ..ถึงคิดจะถอดดวงใจฝากไว้ที่เมืองใดก็ได้

     

     

    ภายในบ้านหลังเล็กและเก่าทรุดโทรมอันไม่เป็นที่สังเกตของผู้คนที่สัญจรเกวียนไปมา มีบุคคลสามรายที่ยืนล้อมรอบอยู่บริเวณโต๊ะสี่เหลี่ยมซึ่งทำขึ้นจากบรรดากล่องเก่าที่ถูกทิ้งร้างไว้นานเป็นเดือนๆ บรรยากาศในวันนี้อบอุ่นและไร้ซึ่งท่าทีของเมฆฝนแตกต่างจากวันอื่น ทว่าบรรยากาศระหว่างบทสนทนานั้นกลับเต็มไปด้วยความอึมครึมและอึดอัดจนรู้สึกได้ไม่ยาก 

    “เบาะแสพวกนี้ มาจากต่างที่กันทั้งหมดครับคุณหญิง” 

    จ่าธงชัยในคราบของชาวบ้านที่มาแฝงตัวอยู่ต่างจังหวัดนั้นยื่นรูปถ่ายสองสามใบรวมถึงบรรดาของกลางที่ถูกบรรจุอยู่ในถุงใสสีขาวเป็นระเบียบ โดยทั้งหมดนั้นคือเบาะแสที่ทำให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณต้องเดินทางไกลจากพระนครออกมาพบเจอกับเขา และตามไปจับตาดูสถานที่รอบๆ ที่เจ้าพนักงานตำรวจหลายนายในทีมของเธอนั้นได้แยกย้ายไปสังเกตการณ์ว่าเป็นจริงหรือไม่ในหลายวันนี้  

    “ไม่ต่างที่อย่างเดียว แต่ยังมาจากคนแต่ละคนอีกต่างหาก” หญิงสาวพูด

    จ่ารวิภาในคราบของชาวบ้านนั้นก้าวเท้าขึ้นมาเอ่ยถามเมื่อเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง “ทำไมคนพวกนี้ถึงต้องลงมือลักพาตัวล่ะ...พวกเขาไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันเลยสักนิดเดียว” 

    เบาะแสตรงหน้าของพวกเขาคือสิ่งของที่ผู้กระทำการอุกอาจในคดีลักพาตัวนั้นทิ้งเอาไว้ในแต่ละจุดที่มีข่าวลือคนหายตัวไป อาจด้วยการจงใจหรือความสะเพร่าที่ทำให้มันทิ้งหลักฐานเกี่ยวกับตนเองเอาไว้อย่างเปิดเผย ครั้นเมื่อจับตาดูและสาวตัวไปถึงเจ้าของหลักฐานเหล่านี้ เจ้าพนักงานหลายคนก็มีอันต้องงุนงงกันไปบ้าง เมื่อผู้ต้องสงสัยนั้นไม่มีอะไรเหมือนหรือเกี่ยวข้องกันเลยสักรายเดียว 

    “เป็นไปได้มั้ยครับ ที่จะเกิดจากปรากฏการณ์เลียนแบบเพื่ออะไรบางอย่าง” 

    “พวกผู้ต้องสงสัยล้วนเป็นคนที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ไร้ครอบครัว และใช้ชีวิตไปวันๆ ให้อยู่รอด....จะต้องการทำแบบนี้ไปทำไมกันคะ”

    นั่นสิ...เหตุผลอะไรกันที่คนเหล่านี้ต้องลักพาตัวคนอื่นแล้วทำให้ตนกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี 

    “สอบปากคำผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับเบาะแสพวกนี้ไปอยู่แล้วหรือยัง” 

    “เรียบร้อยครับ พวกเขาล้วนแล้วแต่ออกตัวยอมรับว่าตนเองนั่นแหละคือผู้ร้าย” จ่าธงชัยตอบกลับผู้เป็นนายของตนด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเป็นคนที่เธอเคยวางใจให้ไปเป็นสายในการจับกุมตัวเสี่ยเม้งเมื่อครั้งคราวของน้องสาวคนเล็ก ดังนั้นข้อมูลที่ได้มาจากเขาย่อมเป็นเรื่องที่มีมูลและไว้วางใจได้ไม่น้อย 

    “แล้วท่าทางการตอบคำถามของพวกเขาล่ะคะ”

    ทว่าเมื่อหม่อมราชวงศ์นีราพรรณถามไปอย่างนั้น ชายหนุ่มกลับมีสายตาเคลือบแคลง พลางสบกับหญิงสาวอีกคนราวกับจะเอ่ยถามว่าสมควรพูดออกไปหรือไม่

    “...อันที่จริงก็มีเรื่องแปลกอยู่ค่ะคุณหญิง” 

    จ่ารวิภาเป็นผู้เอ่ยปากคนแรก ก่อนที่ประโยคหลังนั้นชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวจะกล่าวเสริมมาต่อว่า 

    “แม้ปากของพวกเขาจะยืนยันหนักแน่น แต่ดวงตาของพวกเขา ซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้เหมือนกันหมดเลยครับ”

    คำตอบของเจ้าพนักงานทั้งสองคนทำให้เรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นและดวงตาอันเคร่งขรึมนั้นหยุดชะงัก ดวงหน้าของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณคล้ายกับคนมองเห็นแสงสว่างในเส้นทางที่ไร้ซึ่งถนนเส้นใดให้เดินต่อ นั่นจึงทำให้ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวชั้นผู้น้อยคาดหวังว่าสิ่งที่หล่อนกำลังจะกล่าวนั้นย้ำเตือนความคิดของพวกเขาได้แน่ชัดจริงๆ

    “เป็นไปได้มั้ย...”

    “…”

    “...เป็นไปได้มั้ยที่จะมีใครบงการพวกเขา?”

     

     

    ยามเย็นกับอากาศที่กำลังร้อนสลับหนาวนั้นทำให้ร่างของหญิงสาวผู้ซึ่งนอนอยู่บนที่นอนลืมตาตื่น แดดจากแสงอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนทำให้บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นสีโอรสขึ้นทุกขณะ หม่อมหลวงนาราภัทรลุกขึ้นจัดการตนเองเพื่อขจัดความงัวเงียที่กำลังเกิดเพราะยามบ่ายที่ผ่านมาทำให้เผลอหลับไปจนเวลาล่วงเลยมาจนเกือบเย็น ครั้นพอก้าวออกมายืนมองเห็นประตูของฝั่งตรงข้ามเบื้องหน้า นาราภัทรก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าดอกยี่หุบที่เคยวางไว้ข้างสมุดบันทึกนั้นก็ติดมือออกมาด้วย

    ก่อนหน้านี้เธอเพียงแค่สัมผัสและจ้องมองมันอย่างที่เคยทำ แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะผล็อยหลับไปพร้อมกับของต่างหน้าของหล่อนเลย

    ...คงเพราะความรู้สึกประหลาด ที่ทำให้ดวงใจของเธอรู้สึกเปราะบางอยู่ตั้งแต่คืนวานกระมัง

    เมื่อเสียงในความคิดดังขึ้นมาเช่นนั้นหญิงสาวก็ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ แล้วเธอค่อยตัดสินใจก้าวเท้าผ่านประตูเบื้องหน้า ไปยังห้องส่วนตัวของผู้อาศัยที่ไม่มีใครมาใช้มันได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว 

    ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนั้นตกแต่งเรียบง่ายอย่างไม่ได้ใส่ใจในสภาพแวดล้อม แต่ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆ ก็ยังถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบไม่มีผิดเพี้ยนตามนิสัย ที่นอนเตียงเดี่ยวนั้นถูกพับเก็บอย่างปราณีตแทบไม่มีรอยยับ ทำให้นาราภัทรอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าคุณหญิงนีราพรรณไม่เคยโดนครูฝึกสอนดุเข้าให้บ้างหรือ

    ถึงจะเป็นเพียงการคาดเดาแต่หญิงสาวกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อคิดได้ว่าคนอย่างหล่อนนั้นคงไม่มีทางให้ครูฝึกลงโทษได้ง่ายๆ เป็นแน่ 

    กลิ่นหอมเจือจางประจำตัวของผู้อยู่อาศัยชั่วคราวทำให้ร่างบางละสายตาจากเตียงนอนที่ไม่ได้ถูกใช้เป็นเวลาอาทิตย์กว่า น่าแปลกที่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้มันทำให้ภายในอกที่วูบโหวงของนาราภัทรนั้นรู้สึกตื้นเขินขึ้นทีละน้อยราวกับถูกเติมเต็ม แต่ในขณะเดียวกันนั้น ความรู้สึกห่วงหาอย่างประหลาดนี้ก็เพิ่มมากขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามกับเจ้าดอกยี่หุบในมือภายในใจ

    เย็นป่านนี้แล้ว..ทำไมยังมาไม่ถึงอีกนะ 

    “ค่อยๆ หน่อย โน่น ท่าข้างหน้าโน่น”

    เพียงไม่กี่วินาทีที่สิ้นความคิดนั้นในสมอง เสียงกึ่งโหวกเหวกปริศนาที่เล็ดลอดเข้ามาผ่านบานหน้าต่างที่ถูกเปิดแง้มออกไว้เป็นช่องน้อยๆ ก็ทำให้หญิงสาวที่เพียงหยุดยืนอยู่ขอบประตูต้องก้าวเท้าไปผลักมันออกไปข้างหน้า เพื่อที่เธอจะได้ชะโงกหน้าออกไปมองว่าใช่เรือลำน้อยของบุคคลที่เธอกำลังรอคอยหรือไม่ 

    ถัดออกไปไม่ไกลจากต้นดอกยี่หุบที่หญิงกลางคนเป็นคนปลูก เรือแจวลำน้อยอันมีผู้โดยสารทั้งสิ้นสามคนนั้นก็กำลังเคลื่อนตัวมาตามกระแสน้ำอย่างเอื่อยเฉื่อย บริเวณหัวเรือเป็นชายแปลกหน้าแต่งตัวดูคล้ายพวกอาจารย์หรือนักศึกษาอย่างไรอย่างนั้น และก็เป็นเขาเองที่เป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่ที่กำลังเอ่ยปากกับคนแจวเรือด้วยท่าทางกระตือรือร้นเกินงาม อาจจะด้วยเพราะนิสัยหรือไม่ก็เพราะ ‘คนตรงกลาง’ นั่นกระมังถึงทำให้เขาดูกระชุ่มกระชวยผิดแปลกไป 

    หม่อมราชวงศ์นีราพรรณในเสื้อคอปกสีขาวได้แต่นั่งปั้นหน้ายิ้มมาตลอดคลอง ชายหนุ่มแปลกหน้าที่โดยสารมาในเส้นทางเดียวกันเป็นเพียงแค่คนที่บังเอิญได้พบกันเท่านั้นแต่เขากลับพยายามชวนคุยตลอดเวลา แม้นีราพรรณจะทำเป็นเออออหรือรับฟังผ่านหูไปบ้างแต่เธอก็ไม่อยากหักหาญความพยายามของเขาด้วยการเมินเฉยเพราะคิดว่าจะถดถอยลงไปเอง แต่กลายเป็นว่าเขายิ่งออกตัวหนักคิดว่าเธอยังอยากต่อบทสนทนาและคอยดูแลเอาอกเอาใจ นี่ก็นับว่าดีที่ยังมีหมวกทรงฝรั่งคอยช่วยบดบังสีหน้าที่แท้จริงของตัวเองได้เป็นระยะอยู่ 

    ครั้นเมื่อมองเห็นท่าเรือด้านหลังของบ้านหญิงกลางคนใจของหญิงสาวก็ค่อยโล่งขึ้นทีละนิด ชายหนุ่มอาสายกกระเป๋าใบเล็กให้เธอขึ้นไปโดยไม่ต้องขอ ประจวบกับที่ประตูทางด้านหลังของตึกสองชั้นนั้นก็ปรากฏร่างของหม่อมหลวงนาราภัทรพอดิบพอดี 

     

    “พี่นารา...”

     

    ดวงตาของเจ้าของชื่อสั่นไหวเล็กน้อยยามที่ได้ยินหล่อนเรียกขาน ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มด้านหลังที่ยังกล้าจะย่างกรายขึ้นมาบนท่า เขามองคุณหญิงนีราพรรณด้วยแววตางุนงงระคนสงสัย แต่ประกายที่ซ่อนอยู่ในนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความคุกรุ่นในใจของหญิงสาวเบาลงเลยแม้แต่น้อย 

    “เอ่อ งั้นผมไปก่อนนะครับ”

    นีราพรรณไม่ตอบอะไรเขานอกเสียจากยิ้มแล้วโค้งให้เล็กน้อยเป็นการขอบคุณ แต่ดูเหมือนแค่นั้นก็จะเพียงพอแล้วชายหนุ่มถึงได้ยิ้มกว้างพออกพอใจแล้วก้าวเท้าลงเรือให้คนแจวจากไกลออกไป เธอจึงได้หันกลับมามองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งด้วยหัวใจที่อิ่มเอมมากขึ้นกว่าเดิม 

    “วิ่งมาหรือคะ” 

    คำถามจากหญิงสาวอายุน้อยกว่าทำให้นาราภัทรรู้สึกตัวว่าตนปิดบังลมหายใจที่กระชั้นขึ้นเล็กน้อยนั้นกับหล่อนไม่ได้ แต่เรื่องอะไรเล่าที่คนอย่างเธอจะเอ่ยปากยอมรับออกไปตามนั้นให้หล่อนได้ใจแล้วยิ้มย่องเป็นผู้ชนะ 

    “ฉันแค่คิดว่าต้องการคนช่วย แต่ที่เห็นคุณหญิงวันนี้แล้ว แค่ปรายตาเฉยๆ ก็แทบไม่ต้องเปลืองแรงแล้วมังคะ”

    ว่าอย่างนั้นเธอก็พลางกวาดสายตาต้ังแต่ศีรษะของหล่อนจรดปลายเท้า มองหม่อมราชวงศ์นีราพรรณในเสื้อคอปกสีขาวกับผ้าซิ่นเข้ารูปที่ถูกรัดเอวด้วยเข็มขัดเงิน ทรงผมอันถูกรวบเก็บอย่างเหมาะสมอยู่ภายใต้หมวกกลมปีกแบนเช่นสาวฝรั่ง แม้การแต่งกายจะเรียบง่ายดังสาวน้อยที่มองเห็นได้ทั่วไปแต่ทว่าก็ไม่อาจบดบังรัศมีต้นกำเนิดของหล่อนได้ลง นาราภัทรจึงไม่แปลกใจเลยสักนิดหากพ่อหนุ่มนักศึกษาคนนั้นจะถูกอกถูกใจหล่อนขึ้นมาเพียงเพิ่งเคยพบเจอกันแค่คราวเดียว 

    ฟังน้ำเสียงและประโยคเหน็บแนมจากอีกฝ่ายแล้วความงุนงงก็เกิดขึ้นในใจของคนที่ยืนอยู่ แม้จะแอบรู้คำตอบอยู่แล้วจากสายตาของหญิงสาวตรงหน้า แต่ก็ไม่นึกว่าความคุกรุ่นในใจของหม่อมหลวงนาราภัทรจะมากเสียจนเธอรู้สึกได้และแทบกลั้นรอยยิ้มขบขันเอาไว้ไม่ได้ปานนี้

    “พบกันครั้งเดียว ไม่นับว่าเป็นวาสนาหรอกนะคะ” เธอกล่าวทั้งถอดหมวกทรงฝรั่งที่สวมอยู่มาถือไว้ด้วยรอยยิ้มนัยหน้า “แต่ฉันนึกว่าสารวัตรจะพักผ่อนอยู่เสียอีก” 

    น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นคล้ายจะอ่อนหวานเป็นเท่าตัวยามที่ดวงตาคู่คมของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเคลื่อนลงไปมองกลุ่มดอกยี่หุบในมือของหญิงสาว ซึ่งหล่อนก็เหมือนคนเพิ่งจะเข้าใจในความหมายนั้น ถึงได้เลื่อนมันหลบไปไว้ที่ด้านหลังราวกับเด็กที่ทำผิดอะไรไว้ 

    “..ฉันก็เพิ่งตื่นเหมือนกัน แต่เดี๋ยวจะไปช่วยป้าแช่มแล้วแหละค่ะ” 

    ถึงจะรับรู้ก็ตามว่าสายตาระดับหล่อนแล้วเธอคงไม่มีทางปิดบัง แต่นาราภัทรเองก็ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเธอสาวเท้าลงมาจากหน้าต่างตอนนั้นด้วยความเร็วแบบไหน เพราะเมื่อรู้ตัวอีกทีเธอก็มายืนอยู่ตรงจุดที่ตัวเองกำลังยืนอยู่นี่เสียแล้ว

    เมื่อได้คำตอบดังนั้นคนฟังก็ทำสีหน้ารับรู้และแน่นอนว่าผู้เป็นหม่อมหลวงย่อมเข้าใจดีถึงการกระทำที่คล้ายกับจะยั่วเย้าเธออยู่กลายๆ ความรู้สึกคุกรุ่นที่มีอยู่ก่อนหน้าเหลือเพียงแค่ความขุ่นเคืองเมื่อถูกหล่อนทำให้ตกเป็นรอง นาราภัทรจึงทำท่าจะหันหลังกลับหลีกหนีรอยยิ้มซุกซนของคุณหญิงนีราพรรณ ที่ทำให้ดวงใจของเธออิ่มเอมเสียยิ่งกว่าการคำนึงหาเป็นไหนๆ 

     

    “ขอบคุณนะคะ...ที่ดูแลมันอย่างดี” 

     

    ทว่าปลายเท้าที่ยังไม่ทันได้หันไปยังทิศทางที่ตั้งใจนั้นก็มีเหตุจำเป็นต้องให้หยุดชะงัก เมื่อแว่วเสียงของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณทำให้ร่างกายของเธอตั้งใจฟังมันทุกครั้งไปโดยปริยาย  

    “กระต่ายบนดวงจันทร์คงจะได้ยินเสียงอธิษฐานของฉันอยู่ไม่น้อย”

    และคำพูดของหล่อนก็ทำให้ความอ่ิมเอมที่คับแน่นอยู่เต็มอกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหวอย่างรุนแรงได้อยู่เสมอ 

    แม้จะไม่ได้หันไปมองแต่หญิงสาวก็รับรู้ได้ถึงรอยยิ้มอันเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ของหญิงผู้สูงศักดิ์ ครั้นจะหันกลับไปก็เกรงว่าสีหน้าของตนในยามนี้คงไม่พ้นถูกหล่อนได้เย้าแหย่ แล้วจะยิ่งเป็นการทำให้หล่อนเข้าใจเสียด้วยว่าเธอนั้นห่วงใยเจ้าตัวอยู่ทุกวันจริงๆ 

    แต่จะให้ปฏิเสธความจริงที่กำลังเกิดหรือ นาราภัทรก็ไม่อาจทำได้.....ในเมื่อหัวใจดวงนี้มันกำลังมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ก็เพราะคุณหญิงนีราพรรณคนนี้ 

    รอยยิ้มที่ใครหนึ่งคนไม่อาจมองเห็นได้เกิดขึ้นช้าๆ...แม้จะไม่ได้รับประโยคใดตอบกลับมาจากคำกล่าวก่อนหน้าของตนเอง แต่เพียงแค่มองเห็นเจ้าของแผ่นหลังบางนั้นกระชับดอกยี่หุบในมือเข้าไปแนบอกแล้วจากไป หม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็ได้แต่ผ่อนอากาศออกมาอย่างเบาบาง เมื่อภายในอกนั้นบีบรัดให้ลมหายใจมันกำลังเอ่อล้นแทบจะทะลุร่างกายออกมา 

    หลังจากนี้หากเผลอปลดปล่อยความปรารถนาออกไป...หล่อนจะยังเห็นใจกันบ้างไหมนะ...

     

     

    สายฝนที่ตกลงมายังต่อเนื่องเป็นดั่งเพื่อนยามดึกของเจ้าข้องห้องนอนขนาดเล็ก ไม่ต่างอะไรกับแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่่วางตั้งตรงอยู่บนโต๊ะหนังสือที่เป็นแสงสว่างให้แก่หญิงสาวได้เขียนรายงานลงบนกระดาษ ค่ำคืนนี้นีราพรรณจำต้องอยู่ดึกดื่นเพียงลำพัง เนื่องจากวันมะรืนจะเป็นวันที่เธอและหม่อมหลวงนาราภัทรนำรายงานไปส่งเพื่อแจ้งความคืบหน้าของคดีที่สำนักงานก่อนเบาแสะเหล่านี้จะถูกแพร่งพรายออกไป  

    ปากกาหมึกสีดำหยุดเคลื่อนไหวลงเมื่อเนื้อความบนกระดาษได้สิ้นสุด หญิงสาวไล่สายตาอ่านตรวจทานความเรียบร้อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงคล้ายกับเศษแก้วบางอย่างได้ตกลงสู่พื้นจะดังขึ้นจนทำให้เธอต้องสนใจ เพียงเพราะว่าต้นเสียงนั้นเกิิดมาจากห้องตรงข้ามของผู้เป็นหัวหน้าตนเอง 

    ชั่วไม่กี่อึดใจหม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็มาถึงด้านหน้าประตูห้องของผู้อยู่อาศัยอีกคน ในมือของเธอมีตะเกียงเพื่อส่องสว่างเนื่องจากมันเป็นเวลาดึกพอสมควร ก่อนจะเคาะลงไปพอให้อีกฝ่ายได้ยินมัน 

    “สารวัตร” เธอเคาะลงบนบานประตูนั้นด้วยใจที่เพิ่มความกังวลมากขึ้นทีละน้อย แม้แรงของมือจะสวนทางกับความคิดที่เริ่มจะนึกไปถึงไหนต่อไหน แต่นีราพรรณก็ยังคงเคาะมันอยู่เรื่อยๆ เพราะเธอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในนั้น “เปิดประตูให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ” 

    ในที่สุดประตูบานไม้ตรงหน้าที่ถูกเปิดออกก็หยุดยั้งความเย็นเหยียบของหยาดฝนภายในใจของหญิงสาว เจ้าของดวงตาสีเข้มรีบกวาดมองเรือนกายของคนอายุมากกว่าด้วยความเป็นห่วงและกังวลที่จะพบเจอบาดแผล...แล้วสุดท้ายเธอก็ได้พบมันเข้าจริงๆ

    “พี่นารา” 

    ทว่านอกเหนือจากรอยเลือดที่ยังไม่แห้งดีจากปลายนิ้วใหญ่ของหล่อนแล้ว นีราพรรณกลับสังเกตเห็นดวงตาคู่สวยที่ต้องสะท้อนกับตะเกียงไฟนั้นเหมือนได้ผ่านการร้องไห้มาเมื่อครู่อีกด้วย 

    “คุณหญิงมีอะไรคะ”

    ยิ่งท่าทางที่รีบเคลื่อนฝ่ามือของตนไปทางด้านหลังและดวงตาที่หลุบต่ำแล้ว ยิ่งตอกย้ำถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้นีราพรรณแน่ใจมากนัก 

    ความเงียบงันเกิดขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งทันทีที่ได้สิ้นสุดคำถามทำให้นาราภัทรรู้สึกกระอักกระอ่วน เธอจะเสียมารยาทปิดประตูไล่หล่อนไปก็ดันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าสายเกินแก้ เพราะเจ้าของรอยยิ้มซุกซนเป็นเอกลักษณ์นั้นบัดนี้มีเพียงแค่ความนิ่งเฉยและบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้นาราภัทรคาดไม่ถึงเลยว่าคนที่เคยแย้มยิ้มข้องแขวะคนอื่นโดยไม่เกรงกลัวอำนาจอย่างหล่อนนั้นจะทำให้รู้สึกหนาวเหน็บได้เช่นนี้ 

    วินาทีต่อมาหญิงสาวก็ถูกทำให้จำยอมต้องถอยเท้าเข้ามาในห้องเปิดทางให้หล่อนอย่างง่ายดาย หม่อมราชวงศ์นีราพรรณไม่แม้แต่จะปล่อยให้เธอได้เดินหนีหรือเค้นแรงมาสอบถาม หล่อนเพียงกึ่งลากกึ่งเดินรั้งข้อมือของเธอไว้กับตัวให้ตามติด แล้วเปิดตู้ยาสามัญที่ผนังนั้นหยิบบรรดาของที่ช่วยรักษาบาดแผลเบื้องต้นออกมาแล้วพาเธอนั่งลงบนเตียงเดี่ยวไว้อย่างเดิม 

    เพราะหยดเลือดที่ยังไม่ได้แห้งดีนักจึงทำได้เพียงแค่ต้องใช้สำลีคอยเช็ดและกดมันไว้ โดยที่นีราพรรณก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเรียวคิ้วบนใบหน้าของตนนั้นกำลังขมวดมุ่นอย่างคนขุ่นเคืองและคิดพิจารณา เพราะนอกจากหยดเลือดจากปลายนิ้วของหล่อนแล้วยังมีเศษแก้วที่ยังเก็บไปได้ไม่เรียบร้อยอยู่บนพื้นห้องอีกด้วย

    เป็นคราวแรกที่นาราภัทรต้องยอมรับว่าความเป็นหม่อมราชวงศ์ของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกเกรงใจหล่อนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว อันอาจเป็นเพราะใบหน้าขุ่นมัวที่ไม่เคยได้เห็นที่ไหนนี่เองที่ทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะถอนปลายนิ้วซึ่งถูกรักษาอยู่ออกมา

    และเธอเองก็ดันรู้สึกไม่ชอบที่ทำให้หล่อนต้องทำสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้เสียด้วยสิ

    “ฉันได้ยินเสียงข้าวของหล่น----พี่ร้องไห้หรือคะ” 

    หม่อมราชวง์นีราพรรณเป็นคนพูดขึ้นทำลายความเงียบในที่สุดในตอนที่เธอกำลังจะเปิดปากอธิบายสถานการณ์ที่เกิดไป แม้น้ำเสียงนั้นจะยังคงความนุ่มนวลเอาไว้ แต่การที่หล่อนไม่แม้แต่จะเคลื่อนสายตาขึ้นมามองกันเลยนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นอกมั่นใจนัก 

     

    “ไม่ ฉันแค่เพิ่งจะสะดุ้งตื่น....” 

    “อย่าปิดบังกับฉัน”  

    “….”

    “…ให้ฉันเป็นคนบรรเทาฝันร้ายของพี่ได้ไหม”  

     

    เคลื่อนสายตามองคนตรงหน้าด้วยความจริงจังอย่างปิดบังไม่มิด นีราพรรณไม่เคยคิดว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวผู้นี้เป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเธอทั้งนั้น แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ากำแพงที่ตั้งตระหง่านไม่อาจพังทลายลงได้ในคราวเดียว แต่เธอก็กลับรู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่อาจหักห้ามอารมณ์ในตอนนี้ของตัวเองให้ได้เหมือนอย่างที่ผ่านมา 

    เหตุการณ์ก่อนหน้าเป็นเช่นไรมีเพียงแค่หญิงสาวผู้อาศัยอยู่เท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นาราภัทรเพียงตื่นขึ้นจากฝันร้ายที่ห่างหายไปนานแล้วตั้งแต่สิบขวบปีจนมีอาการเหนื่อยอ่อน ทำให้มือที่หมายจะคว้าแก้วน้ำบนหัวเตียงมาดับความแห้งผากในลำคอนั้นเผลอปล่อยมันแตก ครั้นจะก้มลงไปเก็บก็พลาดให้เศษเล็กเศษน้อยนั้นบาดเนื้อเข้าอย่างไม่ทันได้ระวังจนได้

    มองบาดแผลที่ถูกทำการรักษาจนเรียบร้อยสลับกับเจ้าของดวงตาเป็นประกายท่ามกลางแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุ หม่อมหลวงนาราภัทรก็พลันมองเห็นระลอกคลื่นแห่งความเสียใจในสายตาของหญิงสูงศักดิ์ผู้นี้ ประโยคที่ออกจากริมฝีปากบางนั้นไม่ได้บีบบังคับ แต่กลับเว้าวอนเหมือนคืนที่หล่อนหยิบยืื่นไมตรี ซึ่งเธอเองก็เป็นผู้รับมันไว้และกล่าวอนุญาตเองว่าจะให้หล่อนเป็นผู้ที่ประคับประคองไปด้วยกัน 

    นับว่าเป็นความผิดของเธอ...เพราะอย่างไรนาราภัทรก็ยังไม่กล้าพอที่จะพึ่งพาหล่อนอย่างแท้จริง

    “คุณหญิงพูดอะไรอย่างนั้น...ฉันไม่ใช่เด็กนะ” 

    มองร่างบางนั้นยกมือที่ไร้การกอบกุมขึ้นทำลายร่องรอยของคราบน้ำตาเหมือนเด็กๆ ก็ยิ่งตอกย้ำถึงการหลีกเลี่ยงน้ำใจของหญิงสาว ทำให้คนมองที่รับรู้อยู่แล้วว่าอีกไม่กี่วินาทีนี้นั้นอีกฝ่ายจะต้องผลักไสเธอออกไปอีกแน่นอน 

    “งั้นหรือคะ?”  

    เมื่อความอดกลั้นต่อความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมีไม่มากพอให้รักษากิริยา นีราพรรณจึงไม่ลังเลเลยที่จะออกแรงบังคับให้คนตัวบางที่ตั้งท่าจะหลีกหนีเธอไปไกลให้หันกลับมามองกันด้วยการรั้งให้หล่อนขยับเข้ามาใกล้กันจนช่องว่านั้นเหลือน้อยลงเต็มที...

     

    เธอไม่หวังจะให้หล่อนเป็นคนเปิดปากเล่าถึงฝันร้าย

    “...งั้นมาดูกันว่าวิธีปลอบเด็กคนนี้ จะทำให้พี่ฝันดีได้หรือเปล่า”

    แต่เธอหวัง..เพียงแค่อยากจะอยู่กับหล่อนยามที่ทั้งทุกข์และสุขเท่านั้น...  

     

    ความตกตะลึงจากการกระทำของหล่อนยังไม่ทันหายเอวบางก็รู้สึกถึงเรียวแขนที่ิเคลื่อนมากักขังไว้อยู่กลายๆ และนาราภัทรผู้ซึ่งนิ่งไปนับแต่การดึงรั้งจนแทบจะเกยตักของอีกฝ่ายนั้นก็ได้ประเมินความอ่อนล้าของตนไว้ต่ำไป เพราะนอกจากมันจะทำให้เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อล้อต่อเถียงกับหล่อนแล้ว มันยังยอมให้คุณหญิงนีราพรรณโอบกอดเหมือนเด็กๆ เสียด้วย

    นอกจากปลายนิ้วมือเรียวที่ลูบขึ้นลงบนแผ่นหลังช้าๆ อย่างปลอบประโลมแล้ว หญิงสาวยังรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นอ่อนโยนจากริมฝีปากบางของร่างเพรียวที่ประทับลงบนขมับ ก่อนที่มันจะค่อยๆ เคลื่อนลงมาใต้ดวงตาให้รู้สึกได้ถึงลมหายใจอันอบอุ่น จังหวะริมฝีปากของคุณหญิงนีราพรรณไม่ได้เนิบช้าแต่ก็ไม่ได้เร่งรีบ คล้ายกับมันจะปลอบประโลมแต่ก็แอบคอยซึมซับตามนิสัยเอาแต่ใจของหล่อนเอง 

    จุมพิตปลอบเด็กร้องไห้แบบที่ผู้เป็นมารดาเคยปฏิบัติต่อเธอและบรรดาบุตรีที่มักเล่นซนจนได้แผลถลอกปอกเปิก แม้ใจหนึ่งของนีราพรรณจะรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำนี้ไม่ต่างอะไรกับการนึกเอาเปรียบหญิงสาวตรงหน้า แต่เมื่อได้สัมผัสถึงเปลือกตาบาง ไล้สายตาตั้งแต่แพขนตาจรดปลายจมูกทรงชมพู่และมองเห็นริมฝีปากอิ่มอยู่เพียงนิด หญิงสาวก็เพิ่งจะค้นพบว่าร่างกายของเธอไม่ฟังคำสั่งจากสมองตนเองเลยแม้แต่น้อย...

     ครั้นหวังจะแนบชิดตำแหน่งเดียวกันด้วยความรู้สึกหลงใหลต่อเจ้าของกลิ่นหอมกรุ่น นีราพรรณก็รู้สึกถึงปลายนิ้วที่เพิ่งถูกรักษานั้นขยับเข้ามามาแตะปลายคางของตนเองด้วยความแผ่วเบาให้พอได้สติขึ้นมา แม้ชั่ววินาทีจะรู้สึกเป็นกังวลว่าอาจจะถูกโกรธเข้า แต่หญิงสาวก็มองเห็นดวงตาคู่สวยนั้นหลุบลงต่ำพร้อมกับที่พวงแก้มเนียนละเอียดนั้นต้องสะท้อนแสงไฟเป็นสีแดงระเรื่อ

    ส่วนริมฝีปากอิ่มนั้นก็เปล่งเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “..แถวตรงค่ะ” 

    “…?”

    “ฉันสั่งคุณหญิงในฐานนะสารวัตร” หม่อมหลวงนาราภัทรกล่าวต่อด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย “แถว-ตรง”

    จู่ๆ ร่างกายที่ชะงักไปเพราะความงุนงงก่อนหน้าก็ลุกพรวดตามคำสั่งของอีกฝ่ายราวกับเป็นสัญชาตญาน คุณหญิงนีราพรรณยืนตัวตรงทั้งยังเผลอกลั้นหายใจเพราะไม่รู้ว่าตนเองไปล้ำเส้นของหล่อนเข้าหรือเปล่า ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยปรากฏความกังวลน้อยๆ ราวกับเด็กจะถูกดุ ส่วนปากก็เอ่ยถามเพราะไม่แน่ใจว่าทำไมพฤติกรรมของหล่อนถึงสวนทางกับสีหน้าเก้อเขินที่แสดงออกเมื่อครู่เสียอย่างนั้น 

    “สารวัตร...โกรธหรือคะ” 

    “ไปยืนตรงมุมห้อง” คนอายุมากกว่ายังออกปากสั่งโดยที่เจ้าหล่อนยังไม่แม้แต่จะเคลื่อนสายตามามองกันได้เต็มที่ “เดี๋ยวนี้ค่ะ” 

    ไม่จำเป็นต้องให้คำสั่งออกจากปากของพันตำรวจตรีเป็นคราวที่สอง หม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็ก้าวเท้าไปประชิดกับมุมห้องใกล้กับบ้านประตูด้วยท่วงท่าอันเป็นระเบียบวินัยอย่างที่ได้ฝึกฝนมา เธอไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองเจ้าของคำสั่งที่ค่อยๆ หันมามองข้างหลังกันอีกด้วยเพราะเกรงกลัวว่าจะยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกไม่พอใจทั้งจะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานตำแหน่งที่สูงกว่า แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจเมื่อเข้าใจเสียทีว่าหากเผลอปลดปล่อยความปรารถนาไปตามอำเภอใจคงไม่ใช่เรื่องที่ดีอีกแน่นอน 

    ส่วนเจ้าของคำสั่งเมื่อครู่ก็เพิ่งจะรวบรวมสติของตนเองได้ให้กลับมาคงที่ นาราภัทรเผลอเม้มริมฝีปากของตัวเองเสียแน่นเมื่อคิดว่าการที่เธอ ‘ไม่เคย’ ได้รับมือกับหญิงสาวที่ก้าวผ่านเข้ามาหลังกำแพงที่เธอสร้างนั้นทำให้เธอรับมือกับมันได้ไม่ถูกต้อง ร่างบางจึงคว้าตะเกียงเจ้าพายุที่วางอยู่บนพื้นขณะที่หยันกายขึ้นจากที่นอน แล้วค่อยๆ สาวเท้าแผ่วเบาไปหาแผ่นหลังของคนที่ส่วนสูงไล่เลี่ยกันอย่างไม่มั่นใจนัก

    แสงสว่างจากตัวสร้างการมองเห็นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นีราพรรณรับรู้ถึงการสาวเท้าเข้ามาใกล้ของอีกฝ่าย แต่ที่ยังไม่หันกลับไปก็เพราะคำสั่งที่ออกมาจากริมฝีปากอิ่มนั่นที่เธอเกือบจะล่วงเกินมันเข้าเสียแล้ว ทว่าสิ่งที่คุณหญิงนีราพรรณไม่ได้คิดถึงก็พลันเกิดขึ้น เมื่อต้นแขนที่ไร้เนื้อผ้าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากลมหายใจน้อยๆ และผิวแก้มเนียนละเอียดที่ตนได้ยืนยันแล้วว่าหอมกรุ่นเพียงใดนั้นวางไว้แนบชิด 

    เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร และไม่เคยต้องเป็นฝ่ายที่ยอมอ่อนโอนมาก่อน นาราภัทรจึงไม่รู้ว่าเธอควรจะเอ่ยปากขอโทษหล่อนหรือไม่เพราะเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกแย่อะไรนัก กลับกันแล้วมันทำให้เธอแทบจะเตลิดไปไกล ยามที่ริมฝีปากบางนั้นได้ใกล้เข้ามาพร้อมกับดวงตาที่ต้องสะท้อนเพียงเงาของเธอ... 

     

    เงาที่สัญญาเป็นนัยยะ...ว่าความรู้สึกเหล่านี้จะไม่มีวันเป็นของใคร นอกจากเธอเพียงคนเดียว..

    หม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่นิ่งไปนั้นผ่อนลมหายใจหนักๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว “แกล้งฉันหรือ”

     

    “ฉันจะไปแกล้งคุณหญิงได้อย่างไร” พูดไปก็คล้ายกับแก้ตัวนัก เพราะในทันทีที่หล่อนเคลื่อนสายตามาสบกันนาราภัทรก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องสนุกไม่น้อยที่ได้เห็นใบหน้าที่ตกเป็นรองจากหญิงสูงศักดิ์ผู้นี้ แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดที่จะแกล้งหล่อนนานนัก เมื่อปลายนิ้วสัมผัสและรั้งชายเสื้อของคุณหญิงนีราพรรณไว้ได้ออกแรงผลักดันให้ร่างของหล่อนนั้นพ้นจากห้องประตูตนเองไปอย่างไม่จริงจังนัก

    “ออกไปได้แล้วค่ะ ดึกมากแล้ว คุณหญิงเดินทางมาทั้งวัน ควรจะพักผ่อนเสียที” 

    ทีแรกความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจภายในก็ยังคงมีอยู่ให้รู้สึก แต่อย่างนีราพรรณหรือจะคิดอย่างนั้นกับหม่อมหลวงนาราภัทรไปได้นาน เธอจดจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อไม่เห็นร่องรอยของความทุกข์ใจเช่นก่อนหน้านี้แล้วริมฝีปากถึงได้คลายยิ้มออกมาได้ 

    “ได้เห็นหน้าของสารวัตรก่อนนอน ฉันก็คลายเหนื่อยไปมากแล้วทีเดียว” 

    “….”

    “มันคงจะดีไม่น้อย..หากเป็นเช่นนี้ทุกคืน ชั่วชีวิตของฉัน

    แค่เพียงประโยคไม่กี่คำก็ทำสัมผัสที่หล่อนได้ฝากฝังไว้บนผิวกายก่อนหน้านี้กลับมาร้อนผะผ่าว ภายในอกเสียงดังโครมครามราวกับจะลบล้างเสียงของหยาดฝนที่ตกลงมาภายนอก หญิงสาวใช้มือที่ประคองกายตนเองไว้ผลักบานประตูให้ค่อยปิดลงช้าๆ ก่อนที่เสี้ยวหน้าหนึ่งของคุณหญิงนีราพรรณจะหายไปนั้น เธอก็กล่าวออกไปด้วยเสียงที่ไม่เบาไม่ดังเกินไปให้คนฟังได้หลับฝันดี 

    “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

    หม่อมหลวงนาราภัทรคงไม่รู้เลยว่าการที่ตนนั้นเผลอเม้มริมฝีปากทั้งฟันคู่หน้าน่ามองเช่นเมื่อครู่ทำให้คุณหญิงนีราพรรณแทบจะหายใจไม่สะดวก กลิ่นหอมกรุ่นจากน้ำปรุงของอีกฝ่ายยังคงติดปลายจมูกให้หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ ความอบอุ่นที่แพร่ผ่านไปทั่วกายเพียงเพราะได้รับรอยยิ้มและคำบอกลาจากหล่อนนั้น ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าพิศวงโดยแท้...

     

     

     

    รถยนต์ทรงยุโรปคันงามสีเขียวอ่อนเคลื่อนตัวลงมาจอดอยู่ด้านหน้าของบ้านหลังหนึ่งในยามเที่ยง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหลังพวงมาลัยรีบกุลีกุจรลงมาเปิดประตูด้านหลังที่ผู้เป็นนายได้อาศัยกลับมาจากการประชุมในที่ทำงาน รูปร่างและใบหน้าของชายกลางคนดูภูมิฐาน แม้จะมีอายุแต่ก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยตนเองเช่นผู้ที่มีครอบครัวเหมือนคนอื่นๆ  หม่อมราชวงศ์เอกทัศน์มีสีหน้าเรียบเฉยระคนไร้อารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเป็นปกติแล้วที่เหล่าสาวใช้ซึ่งเคลื่อนกายออกมารับข้าวของจากมือเขานั้นจะได้เห็นมันยามที่เจ้านายของตนเดินทางกลับมาบ้านของตนเอง 

    “คุณพ่อ ทำไมวันนี้ถึงกลับมาแต่เที่ยงล่ะคะ” 

    เสียงหวานที่เอ่ยถามในทันทีก้าวเข้าไปในตัวบ้านทำให้ใบหน้าของชายกลางคนค่อยลดความตึงเครียดลง ยิ่งได้เห็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าคล้ายเขาอยู่หลายส่วนก้าวเร็วๆ เข้ามาหากันด้วยดวงตาที่เรียวเล็กอย่างสดใส เหล่าคนใช้ต่างก็เป็นอันรู้กันว่าบุตรสาวคนเดียวของเขานั้นเป็นข้อยกเว้นสำหรับทุกเรื่อง 

    “ธุระพ่อเสร็จไวน่ะ มื้อเที่ยงใกล้จะเสร็จแล้วหรือยัง” คุณชายเอกทัศน์ถามบุตรสาวในเดรสสีชมพูอ่อนด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

    “ใกล้แล้วค่ะ ถ้าคุณพ่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็น่าจะพร้อมทานแล้ว” หม่อมหลวงอิลลาสินีเอ่ยตอบด้วยสีหน้าแจ่มใสเช่นเดียวกัน

    “แล้วแม่ของลูกล่ะ” 

    “รู้จักถามหากันด้วยหรือคะ คุณชาย”

    กระทั่งเสียงห้วนของผู้เป็นมารดาดังออกมาจากประตูห้องนั่งเล่น พร้อมกับการปรากฏกายของหญิงกลางคนที่ยังคงความงามไว้ไม่แปรเปลี่ยนไปตามเวลา การมาของคุณอารินทร์หรืออดีตหม่อมเจ้าหญิงอารินทร์นั้นทำให้ใบหน้าของชายกลางคนขรึมขึ้นเล็กน้อยรวมทั้งบรรยากาศโดยรอบกลางบทสนทนา เหล่าคนรับใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างลอบสบตากันอย่างรู้ความว่า เมื่อใดที่สองสามีภรรยาพบหน้ากันหากไม่จบด้วยการข้องแขวะกันบ้าง ก็คงเป็นการที่ต่างฝ่ายต่างถอยออกไปมากกว่าจะต่อล้อต่อเถียงด้วย

    หม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ได้ยินน้ำเสียงนั้นก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหงุดหงิดจากนายหญิงของบ้าน แม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าของใบหน้างดงามนี้จะหาเรื่องเขาเวลามีเรื่องอะไรสะกิดใจ จากคนที่เคยเป็นถึงท่านหญิงสู่สามัญชนคนธรรมดา ความทะนงตนของหล่อนก็ไม่ลดลงตามมาไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็ตามในชีวิตแต่งงานของเขาสองคน

    “ฉันก็ใส่ใจสารทุกข์สุขดิบของคนในบ้านมาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่หรือ” 

    ริมฝีปากของหญิงกลางคนกระตุกเล็กน้อยราวกับสิ่งที่ได้ฟังนั้นเป็นเรื่องตลก “กระนั้นหรือคะ นึกว่ามัวแต่จะสรรหาคน เพื่อตามหาคนที่ตายไปแล้วเสียอีก” 

    ดวงตาคู่คมของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์เบิกขึ้นในทันที เช่นเดียวกับหม่อมหลวงอิลลาสินีที่ไม่รู้ว่าบิดามารดาของตนกำลังกล่าวถึงเรื่องใดกันแน่  

    แม้หญิงสาวจะรู้อยู่แล้วว่าพ่อของตนเคยมีภรรยาอีกคนในระหว่างที่มีแม่ของเธอเป็นคู่หมั้นคู่หมาย แต่มันก็เป็นเรื่องก่อนที่อิลลาสินีจะได้ลืมตาดูโลกจึงไม่รู้ว่าเหตุใดผู้เป็นแม่จึงผูกใจเจ็บถึงปานนั้น..และทำไมคุณพ่อของเธอจึงได้ฝังใจกับหล่อนถึงเพียงนี้  

    บรรยากาศที่ไม่ได้สุขสันต์แต่ก็ไม่ได้เป็นความทุกข์ระหว่างสามคนพ่อแม่ลูกจึงแย่มากยิ่งขึ้นเมื่อทั้งเธอและมารดารู้ว่าหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์นั้น กำลังเฝ้าตามหาใครบางคนเบื้องหลังพวกเธอมาเป็นปี  

    “คุณรู้ได้อย่างไร”

    “ทำไมคะ ฉันรู้ไม่ได้หรือว่าสามีตัวเองกระทำการอะไรอยู่ข้างหลัง..คนตายไปแล้วจะสืบเบาะแสอยู่อีกทำไมก็ไม่รู้” ประโยคหลังที่กล่าวคล้ายกับรำพึงอย่างใส่อารมณ์นั้นลอยเข้าประสาทสัมผัสด้านการได้ยินของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ เขาก้าวเท้ายาวเข้าไปหาผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตนเองด้วยแววตาที่แข็งกร้าวขึ้นทีละน้อย

    “ฉันหมายถึงว่าคุณหญิงรู้ได้อย่างไร...ว่าพวกเขาตายไปแล้ว” 

    ครั้นเมื่อได้ยินคำถามพร้อมน้ำเสียงเย็นเหยียบของชายที่ไม่เคยจะยอมต่อล้อต่อเถียงกับเธอเพื่อให้เรื่องมันบานปลาย ริมฝีปากของหญิงกลางคนก็สั่นเทาก่อนมันจะเปล่งเสียงออกมาราวกับเมื่อครู่เธอไม่ได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย 

    “ถ้าหายตัวไปนานเป็นสิบปีแบบนี้ จะเป็นอะไรไปได้อีก จะให้หนีออกนอกประเทศน่ะรึ ยามมาหล่อนก็มาแต่ตัว คิดหรือว่าจะมีปัญญาไปไหนได้” 

    “คุณริน!” 

    สิ้นเสียงที่ตวาดขึ้นเล็กน้อยของชายกลางคนก็เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณ แม้แต่อิลลาสินีที่ไม่เคยเห็นบิดาเป็นเช่นนี้มาก่อนยังทำได้เพียงแค่เบิกตากว้าง เพราะถึงมารดาของเธอจะมีความเอาแต่ใจอยู่เพียงไรเขาก็ไม่เคยขึ้นเสียงใส่เลยสักครั้ง ในกรณีที่ข้องแขวะกันเขาก็ยังเป็นฝ่ายยอมมากกว่าที่จะไปถึงขั้นขึ้นตวาดใส่กัน อาจจะด้วยต้องการให้เกียรติผู้เป็นแม่ที่เคยเป็นหม่อมเจ้า..หรือไม่ก็เพราะอะไรสักอย่างที่คงจะจืดจางไปแล้วในวันนี้ 

    หญิงกลางคนเปล่งเสียงออกมาทีละน้อย “..คุณขึ้นเสียง..ใส่ฉันหรือ?” 

    “คุณพ่อคุณแม่! หยุดก่อนเถอะค่ะ” หม่อมหลวงอิลลาสินีรีบตรงเข้าไปยืนตรงกลางระหว่างทั้งสองคนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อบรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ดูท่าจะทวีขึ้นเรื่อยๆ “...อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ ได้โปรด” 

    “ก็พ่อของลูกนั่นแหละ ทั้งลูกทั้งภรรยาก็มีเป็นตัวเป็นตนอยู่แบบนี้ จะตามหาคนเก่าคนแก่ให้มันได้อะไรขึ้นมา” ผู้เป็นแม่ขึ้นเสียงทิ้งท้ายในที่สุดหลังจากทำได้เพียงแค่สบตากับชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของตนอยู่นาน เมื่อหญิงกลางคนจากไปก็ราวกับหินทั้งก้อนได้ผละจากและทำให้คนบริเวณนั้นได้หายใจกันอีกครั้ง อิลลาสินีได้แต่มองตามแผ่นหลังของมารดาที่มีแต่ความเจ็บปวด ก่อนจะหันกลับมามองชายกลางคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน

    “พ่อขอไปรับประทานข้างนอกก็แล้วกัน”

    “คุณพ่อคะ...” ยังไม่ทันได้ห้ามปรามร่างของหม่อมราชวศ์เอกทัศน์ก็ผละจากออกไปทั้งที่เพิ่งกลับเข้ามาได้ไม่นาน ฝ่ามือบางที่ยื่นออกไปอย่างเคว้งคว้างลดกลับลงมาข้างตัวตามเดิมพร้อมกับลมหายใจที่หนักอึ้ง เมื่อมื้อกลางวันที่หวังจะได้ทานพร้อมหน้าพร้อมตากลับหมดความอร่อยไปเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มดี 

    “คุณหลินคะ...” 

    “ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” เธอตอบสาวใช้เก่าแก่คนหนึ่งที่เข้ามาทักราวกับจะถามความห่วงใย แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่าชินชา แต่หญิงสาวก็ทำได้เพียงแค่ทอดถอนใจแล้วเอ่ยบอกให้จัดสำรับไว้เธอคนเดียวเป็นพอ

    ดวงตาเรียวคู่สวยมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายปลายทาง เพียงแค่ปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปแล้วปรากฏใบหน้าของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่เคยแย้มยิ้มให้กัน..ก็คล้ายกับว่าความรู้สึกหนักอึ้งเหล่านี้จะเริ่มผ่อนคลายลงเช่นทุกที..

    “หากได้เห็นรอยยิ้มพี่หญิงสักครั้ง...ในเวลาแบบนี้คงจะดีไม่น้อย”

     

     

     

    “คุณหญิงแน่ใจหรือคะว่าเบาะแสชี้นำไปแบบนั้น?” หญิงสาวในเสื้อคอกลมแขนกุดกับผ้าซิ่นลายสีเข้มเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ข้างกันภายในส่วนขายของชำเสียงเบา แม้ภายนอกจะไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมาแล้วเพราะเป็นยามหัวค่ำก็ตาม ใบหน้าของหม่อมหลวงนาราภัทรมีทั้งความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหลังจากได้ฟังรายงานที่เธอได้ไปสังเกตการณ์มานอกพระนคร

    “ค่ะ ฉันให้พวกจ่าธงชัยกับจ่ารวิภารวบรวมข้อมูลมาแล้ว” 

    นีราพรรณที่สวมเสื้อผ้าคล้ายกันพยักหน้าตอบย้ำด้วยความจริงจัง 

    “ฉันลองให้พวกเขาถามคำถามที่แตกต่างกันออกไปแล้วจบด้วยคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องเบาะแส” เธอพูดพลางสังเกตสีหน้าของผู้เป็นสารวัตรไปด้วย “ไม่มีคำตอบไหนเลยที่เหมือนกันยกเว้นคำถามเกี่ยวกับหลักฐานที่เหลืออยู่อย่างเดียว..”

    คำตอบที่ยืนยันว่าตัวพวกเขาเองนั่นแหละคือผู้ร้ายในคดี... 

    “ใครกันที่บงการให้พวกเขาทำเรื่องแบบนี้...”

    นาราภัทรกล่าวออกมาราวกับรำพึงเมื่อครุ่นคิดถึงความซับซ้อนของคดีที่กำลังดำเนินไปอย่างไม่รู้จุดหมาย ซ้ำแล้วกำหนดการที่ทางสำนักงานให้มาก็ใกล้จะมาถึงเต็มที ดวงตาของหญิงสาวซึ่งทอดไปข้างหน้าเต็มไปด้วยความคิดมากมาย...ถ้าหากตัวการที่อยู่เบื้องหลังนี้ใหญ่เสียจนกฏหมายยังเอาไม่ลง เธอไม่รู้เลยว่าตนจะยังทนทำหน้าที่ไปตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร

    “คงต้องแฝงตัวอีกสักพัก ถึงจะรู้อะไรเพิ่มเติมได้” 

    นีราพรรณที่นั่งอยู่เคียงข้างย่อมเข้าใจความรู้สึกของหล่อนในเวลานี้ หม่อมหลวงนาราภัทรเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานไม่เคยขาดตกบกพร่องไม่ว่าคดีนั้นจะหนักหนาอย่างไร แต่ยิ่งขึ้นสูงเท่าไหร่เบื้องหลังของหล่อนยิ่งมีคนรอซ้ำเติมอยู่ไม่น้อย หญิงสาวจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไปกอบกุมฝ่ามือของคนอายุมากกว่าอย่างเข้าอกเข้าใจ

    “เราต้องจับเขาได้แน่ๆ ค่ะ”

    มองปลายนิ้วมือที่ส่งคำปลอบโยนและความหนักแน่นมากมายมาให้หญิงสาวก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กๆ แต่ยังไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณออกไป นาราภัทรก็รับรู้ได้ถึงดวงตาที่จับจ้องมาไม่ขาดสาย ครั้นเมื่อหันไปมองก็พบกับเจ้าของประกายดวงตาหวานได้ขยับเข้ามาใกล้ ไหนจะยังกลิ่นหอมประปรายจากกลุ่มผมสีเข้มและเรือนกายบอบบางนั้นที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกรู้สึกร้อนรนขึ้นมาไม่น้อย

     

    “..คุณหญิง-”

    คิดถึง

    “…”

    “…ขอพูดแบบนั้นได้หรือเปล่าคะ”

     

    เกิดความเงียบชั่วขณะหนึ่งเมื่อเสียงนุ่มนวลนั้นเลือนหายไปในอากาศ หญิงสาวหลุบสายตามองมือที่ถูกอีกฝ่ายสอดประสานและกอบกุมเอาไว้แน่นก่อนจะระบายยิ้มอย่างอ่อนใจให้กับเจ้าของดวงตาเป็นประกายนั้น เป็นอันตกลงต่อคำขอกลายๆ ของคุณหญิงนีราพรรณให้หล่อนได้คลี่ยิ้มชอบใจออกมา 

    นาราภัทรจ้องมองใบหน้านั้นด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความอบอุ่นในใจอย่างแท้จริง ความดีอกดีใจที่สื่อออกมาอย่างปิดไม่มิดผ่านดวงตานั้นอดไม่ได้ที่ทำให้เธอรู้สึกเอ็นดู เธอไล้สายตาไปบนกรอบหน้าของหญิงสาวด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากวันแรกๆ ถึงเป็นผู้หญิงเหมือนกันเธอก็ไม่เคยปฏิเสธเลยว่าหน้าตาของคุณหญิงนีราพรรณนั้นโดดเด่นและสามารถทำให้มองทั้งวันก็ยังได้ เมื่อนั้นเองที่ดวงตาของเธอสังเกตเห็นรอยคล้ำสีม่วงประมาณหนึ่งข้อนิ้วบริเวณหัวไหล่ด้านซ้าย ทำให้เรียวคิ้วของตนเผลอขมวดเข้าหากันเพราะเมื่อคืนเธอไม่ทันสังเกตเห็นมันมาก่อนเลย 

    “นี่รอยช้ำหรือคะ…? ” 

    “? อ๋อ—” 

    “ได้มาตอนไหน ตอนที่ไปข้างนอกพระนครหรือเปล่า ทำไมถึงได้ช้ำม่วงแบบนี้?...”  

    นีราพรรณยังไม่ทันจะได้หันกลับมาอธิบายถึงสาเหตุ ร่างบางของคนตรงหน้าก็โน้มตัวเข้ามาใช้มือข้างที่ว่างสัมผัสหัวไหล่ของเธอด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่มีปี่ีมีขลุ่ย คนที่กำลังหันหน้าเข้าหาหล่อนก็ได้แต่อมยิ้มในท่าทางใหญ่โตแบบของตนเอง แล้วเอียงใบหน้าให้ตรงกันเพื่อให้ดวงตาสบเข้าหาเป็นการหยุดประโยคของหล่อนไปโดยปริยาย

    “สารวัตร”  

    “…”

    เพราะการโน้มตัวเข้ามาก่อนหน้าทำให้ไม่สามารถหลีกหนีดวงตาที่เคลื่อนขึ้นมากักขังกันด้วยการมอง หม่อมหลวงนาราภัทรจึงรับรู้ถึงการกระทำของตนเองที่ค่อนข้างจะเกินงามออกไป 

    “ฉันคงเผลอได้มาจากตอนเดินทาง ไม่ทันได้สังเกตเลยไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้รับอันตรายจากใครหรอกค่ะ” 

    “...แล้วไปค่ะ ฉันก็นึกเป็นห่วง--”  

    เรียวคิ้วงามของคุณหญิงนีราพรรณเลิกขึ้นสูง พอดีกับที่ริมฝีปากของเธอนั้นหยุดชะงักเมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายของเจ้าตัว

    “…ฉันหมายถึงหากคุณหญิงเป็นอะไรไป ฉันคงไม่มีหน้าไปยังวังทัตพงศ์มาลีแน่”

    ดวงตาคู่สวยค่อยๆ หลบเลี่ยงอย่างไว้ตัว แต่ผู้เป็นหม่อมราชวงศ์กลับรู้สึกอิ่มเอมไปทั้งหัวใจเมื่อเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในกิริยาของหญิงสาวตรงหน้า

    “!” 

    จู่ๆ หญิงสาวทั้งสองก็หยุดชะงักทุกการกระทำเมื่อใบหูนั้นได้ยินอะไรบางอย่างท่ามกลางความมืด นีราพรรณสบตาเข้ากับอีกฝ่ายเป็นการสื่อสารกันว่าส่ิงที่ได้ยินมาผะแผ่วเมื่อครู่นั้น เป็นเสียงกรีดร้องของหญิงสาวไม่ผิดเพี้ยนไปแน่ 

    “เฮ้ย! ไปดูเร็ว!” 

    ประจวบกับเวลาไม่กี่ิวินาทีต่อมาที่เสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่งวิ่งผ่านด้านหน้าของพวกเธอไป เป็นนาราภัทรที่รู้ตัวและรีบก้าวเท้าเข้าไปหยุดพวกเขาเอาไว้แล้วถามไถ่ถึงสถานการณ์ว่ากำลังเกิดอันใดขึ้น 

    “เสียงร้องให้ช่วยมาจากซอยข้างๆ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรแล้ว”

    เมื่อได้ฟังเพียงเท่านั้นหญิงสาวทั้งสองคนก็มาถึงบริเวณซอยข้างๆ ด้วยเวลาไม่กี่ชั่วอึดใจ และสิ่งที่นีราพรรณมองเห็นตามความมืดก็คือร่างของเด็กสาวผู้หนึ่งนั่งขาพับขาอ่อนอย่างหมดเรี่ยวแรงท่ามกลางไฟจากตะเกียงที่ชาวบ้านวิ่งเข้ามาตรวจดู ก่อนจะรับรู้ได้ว่าเจ้าของร่างที่สั่นเทานั้นคือแม่เด็กตัวสูงประจำซอยของพวกเธอนั่นเอง

    “หนึ่ง?​ หนึ่งเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น!?” 

    “ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องก็เลยเปิดประตูมาดู เห็นแม่หนูนี่มานั่งตัวสั่นอยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน”

    ชาวบ้านวัยกลางคนคนหนึ่งที่ถือตะเกียงเจ้าพายุอยู่ในมือนั้นกล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “รีบพากลับบ้านก่อนเถอะ” นาราภัทรเอ่ยปากบอกชาวบ้านที่รุมล้อมอยู่รอบๆ ด้วยความห่วงใยเช่นเดียวกัน “ฉันขอแรงพวกพี่หน่อยนะจ้ะ” 

    กลุ่มชาวบ้านค่อยประคองร่างของเด็กสาวที่อ่อนไหวไปตามแรงลมให้กลับไปยังที่พักอาศัย ระหว่างที่ความวุ่นวายกำลังจะค่อยๆ สงบลง ดวงตาคู่คมของคุณหญิงนีราพรรณก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่ต้องสะท้อนเข้ากับอะไรบางอย่างที่เป็นประกายแม้มันจะเล็กเกือบเท่าเม็ดกรวดก็ตาม 

    หากเป็นพลาสติกก็คงไม่สะท้อนแสงไฟได้ขนาดนั้น

    …หรือว่ามันจะเป็นเศษแก้ว?

    คิดได้ดังนั้นมือบางก็รีบคว้าสิ่งต้องสงสัยนั้นกลับไปยังบริเวณที่พักของเด็กสาวที่ไฟจากบ้านต่างๆ ถูกเปิดขึ้นเพื่อมาดูลาดเลา หล่อนนั่งตัวสั่นท่ามกลางอ้อมกอดของผู้เป็นมารดาที่เสียขวัญไปไม่น้อยเมื่อพบว่าบุตรสาวของตนเกือบจะถูกคนแปลกหน้าทำร้ายเข้า ชาวบ้านจำนวนหนึ่งต่างพูดกันไปอย่างคาดเดาไม่ได้ว่าสิ่งที่คนร้ายต้องการหากไม่ใช่ทรัพย์สินก็คงเป็นร่างกายและอาจทำให้เด็กสาวไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมได้อีกเป็นแน่

    “เป็นอย่างไรบ้างหรือยายหนึ่ง” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณย่อตัวลงไปนั่งข้างกายเด็กสาวร่างสูงทีี่อยู่ในอาการพูดอะไรไม่ออก ดวงหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวหลังจากเพิ่งเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด เมื่อฝ่ามือของเธอสัมผัสแผ่นหลังอีกฝ่ายอย่างปลอบประโลม เจ้าตัวถึงค่อยๆ เริ่มเปิดปากพูดอะไรได้

    “พี่นิ่ม--” เด็กสาวสัมผัสผ้าซิ่นของเธอไว้แน่นราวกับต้องการที่ยึดเหนี่ยว “พี่นิ่ม..หนึ่งกลัว--” 

    “เราปลอดภัยแล้ว” เธอดึงรั้งกายของเด็กสาวที่เริ่มร้องไห้โหอย่างเสียขวัญ “บอกพี่มาหน่อยสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” 

    ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะเริ่มมีสติ ระหว่างนั้นเองหม่อมหลวงนาราภัทรก็ได้สอบถามกับคนที่พบเด็กสาวเป็นคนแรกแล้วได้ความมาว่า ในตอนที่ตนกำลังจะปิดไฟเข้านอนนั้นตนได้ยินเสียงคล้ายกับคนกำลังทำอะไรบางอย่างจึงส่งสายตาออกมามองท่ามกลางความมืดผ่านประตูช่องเหล็ก เห็นเพียงร่างของเด็กสาวกำลังขัดขืนใครบางคนเอาไว้และจู่ๆ เจ้าของเงาดำนั้นก็คำรามในลำคอจนได้ยินเสียง กระทั่งหล่อนซึ่งล้มไปแล้วกรีดร้องถึงได้เปิดประตูออกมาแล้วร่างนั้นจึงรีบวิ่งหนีขึ้นรถคันหนึ่งลับตาไป

    เมื่อเด็กสาวเริ่มสงบลงและใช้เวลาครู่หนึ่งในการหวนนึกถึงความทรงจำ หล่อนเล่าว่าระหว่างที่กำลังกลับจากการไปซื้อของให้ผู้เป็นปู่ที่ซอยถัดไปและหวังจะรีบกลับก็รู้สึกเหมือนว่ามีใครเดินตาม ครั้นพอมาถึงกลางซอยที่บ้านส่วนใหญ่ปิดไฟมืดไปเกือบหมดแล้วก็ถูกใครบางคนปิดปากและกึ่งลากกึ่งเดินหวังจะลักพาตัว ตนเองจึงกัดเข้าที่มือของเขาจนสามารถหลุดออกมาจากการจับกุมได้ทันเวลา

    ฟังจากคำให้การของเด็กสาวแล้ว ทั้งนาราภัทรและคุณหญิงนีราพรรณต่างสบตากันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าคนร้ายที่พวกเธอเฝ้าติดตามจากรอบรั้ววังสีขาวนั้น อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่พวกเธอคิด...

    “หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก?” 

    “..ตอนที่หนึ่งกำลังสะบัดตัวออกจากแรงของผู้ชายคนนั้น หนึ่งจำได้ว่าตัวเองล้มไปเพราะอะไรสักอย่างที่ตกมาจากมือของเขา...” 

    ชายผู้นั้นรูปร่างเตี้ยกว่าเด็กสาวทว่ามีเรี่ยวแรงกำยำพอที่จะบังคับหล่อนได้ด้วยมือเดียว ทั้งการมีรถมารับยามหลบหนีย่อมบ่งบอกว่าที่ผ่านมาพวกเธอล้วนเข้าหาผู้ต้องสงสัยผิดที่ผิดทางมานาน

    “หนึ่งจำได้แล้ว...มันเป็นไม้ตะพด”

    เรียวคิ้วของคุณหญิงนีราพรรณขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย

    “แน่ใจหรือว่าเป็นไม้ตะพด ไม่ใช่พวกไม้เท้าหรือไม้หน้าสามอะไรแบบนั้น?” 

    เด็กสาวพยักหน้าทั้งตาแดงๆ “ตอนที่ล้มลงไปแล้วเหลือบไปเห็นที่พื้น มันแวววับเหมือนแก้วเลยด้วย”  

    หม่อมหลวงนาราภัทรรีบย่อตัวลงไปพูดกับเด็กสาวด้วยความกระตือรือร้น เพราะเบาะแสที่ได้จากคนที่เพิ่งพบกับคนร้ายหมาดๆ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงและอาจผิดพลาดได้ง่ายด้วยเช่นเดียวกันหากสติในเวลานี้มีไม่มากพอ แต่สำหรับนีราพรรณแล้วสิ่งที่เด็กสาวพูดมาย่อมมีมูลไม่ใช่น้อย หากนำสิ่งที่เธอเพิ่งได้มาจากสถานที่เกิดเหตุเมื่อครู่มาประกอบเข้าด้วยกัน 

    แต่ผู้ร้ายประเภทไหนกันล่ะ...ที่จะพกไม้ตะพดแก้วไปไหนมาไหนด้วยยามลงมือ ทั้งที่ที่ผ่านมาก็จงใจให้ผู้ต้องสงสัยรายอื่นทิ้งหลักฐานแบบหาได้ทั่วไปมัดตัวพวกเขาไปแล้วตั้งเยอะไม่ใช่หรืออย่างไร 

    ..หรือนี่ก็จะเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย..ที่ใหญ่กว่าผู้ต้องสงสัยคนอื่นอีกทีล่ะ? 

    “แล้วพอจะจำหน้าเขาได้หรือเปล่าจ้ะ?” 

    เด็กสาวนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “หนูจำได้แค่ว่าตอนเขาเข้ามาใกล้....มีกลิ่นอะไรสักอย่าง ที่ฉุนเอามากๆ” 

    “…กลิ่นอย่างนั้นหรือ?” 

    “ค่ะ...มันเหมือนพวกกลิ่นยาเส้น...ที่ปู่หนึ่งเคยใช้สูบอยู่เลย”

     

     

     

    “ขอฉันลงตรงนี้ค่ะคุณหญิง” 

    สิ้นคำขอของหญิงสาวที่อาศัยรถมาด้วยกันรถยนต์คลาสสิกสีเข้มก็จอดลงบนถนนดินแดงสายหนึ่งที่มีทางแยกเข้าไป แม้ผู้คนจะไม่มีให้เห็นควักไขว่แต่ก็พอรับรู้ได้ว่าภายในซอยก็มีผู้อาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง นาราภัทรในชุดลำลองที่ถูกเตรียมมานั้นปลดสายรัดความปลอดภัยออกด้วยท่าทางสบายๆ จนเจ้าของรถคันงามอดถามออกมาไม่ได้

    “แน่ใจหรือคะ ว่าจะไม่ไปด้วยกัน” 

    หม่อมหลวงนาราภัทรส่ายหน้าให้กับคุณหญิงในชุดที่พร้อมจะเข้าไปยังสำนักงานแล้ว “ฉันจะแวะไปที่บ้านเสียหน่อย แล้วคดีนี้คุณหญิงมีข้อมูลแน่นหนามากกว่าฉัน ให้คุณไปแจ้งเรื่องความคืบหน้าย่อมไม่ต่างกันนัก” 

    เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่เด็กสาวร่างสูงนั้นเกือบโดนผู้ร้ายในคดีคนหายตัวไปลักพาตัว ทำให้ทั้งนีราพรรณและหญิงสาวตรงหน้าต่างหารือกันถึงความเป็นไปได้ในการระบุตัวตนของคนร้ายตัวจริงเสียดึกดื่น ในเมื่อเบาะแสที่่ผ่านมาต่างพาการนำไปยังคนละทิศคนละทาง แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันตลอดมาก็คือหลักฐานที่ถูกทิ้งไว้ที่เกิดเหตุนั้นเป็นสิ่งของทั่วไปที่หาได้สำหรับชาวบ้านร้านตลาด วงของผู้ต้องสงสัยจึงกว้างมาก แต่สิ่งที่ถูกทิ้งไว้เมื่อคืนกลับยกระดับผู้ต้องสงสัยขึ้นไปทำให้การตามหาคนร้ายนั้นถูกบีบให้แคบลงมากว่าเดิม 

    เหมือนกับสิ่งที่ตนกระทำไว้กำลังย้อนกลับเข้าตัว เพราะดูแล้วว่าเมื่อคืนเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งหลักฐานไว้อย่างที่เคย ‘สั่ง’ ให้ใครทำมาก่อนอย่างแน่นอน

    “อีกอย่าง มันจะเป็นผลงานที่ติดตัวคุณหญิงไปตลอด คุณเป็นคนไปรายงาน ก็เหมาะควรแล้ว”

    นาราภัทรบอกหญิงสาวผู้อยู่เบื้องหลังพวงมาลัยด้วยสัตย์จริง คนเก่งๆ อย่างหม่อมราชวงศ์นีราพรรณควรจะได้ขึ้นมาอยู่ชั้นแนวหน้าตั้งแต่สองสามปีแรกๆ มากกว่าเจ้าพนักงานที่เก่งกาจเพียงเพราะมาจากการพูดคุย หากไม่ใช่เพราะระบบเหล่านี้ที่ยังคงดูแคลนหญิงสาวอย่างพวกเธออยู่พอสมควร

    “ถ้าอย่างนั้นหากรายงานเสร็จแล้ว...อีกสองชั่วโมงจะรีบกลับมารับนะคะ” 

    มองดวงตาที่มีประกายความห่วงใยจากคนตรงหน้าหญิงสาวก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง นาราภัทรก้าวลงจากลงพร้อมทั้งรอคอยให้รถยนต์คันงามพ้นสายตาไป และทอดสายตาไปยังทางเข้าบ้านที่แท้จริงของตนเองด้วยใจที่มีคำถามเกี่ยวกับชายกลางคนที่เธอเคยเห็นเมื่อคราวนั้นอยู่เต็มอก 

     

    “กลับมาแล้ว....ค่ะ” 

     

    ทันทีที่ลงจากรถลากและประตูบ้านได้ปิดลง สิ่งที่นาราภัทรได้คาดเดาไว้กลับพลิกผันไปเสียหมดเมื่อพบว่าภายในบ้านของตนไม่ได้มีเพียงมารดาหรือยายบัวสม แต่ยังมีชายหนุ่มสูงศักดิ์ ‘ผู้นั้น’ ที่เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขาจะได้เข้ามาเหยียบตัวบ้านของเธอแม้แต่น้อย

    “นาง” ใบหน้าของนวลจันทร์ฉายแววไม่พอใจระคนสับสน แต่กระนั้นก็ยังคงเก็บไว้เพื่อหวังจะถามไถ่ผู้เป็นบุตรสาวในภายหลังให้รู้ความ 

    “สวัสดีครับคุณนารา ไม่ได้พบกันเสียนานเลย” 

    หม่อมเจ้าฉัตรินกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มสบายอารมณ์ ไม่มีแม้กระทั่งท่าทางกระอักกระอ่วนใดๆ ที่เห็นสายตาของสองแม่ลูกคล้ายกับตนไม่ได้มีความผิดติดตัว 

    “นาง นี่มันเรื่องอะไร”

    นาราภัทรเม้มริมฝีปากอดกลั้นความรู้สึกมากมายที่คล้ายจะถาโถมเข้ามาเมื่อก้าวเท้าเข้าไปนั่งข้างผู้เป็นแม่ หญิงสาวเลือกที่จะจับมือหญิงกลางคนไว้แล้วเบือนหน้ามาจ้องมองบุคคลไม่ได้รับเชิญผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ “ท่านชายหาบ้านของหม่อมฉันเจอได้อย่างไรเพคะ” 

    เบื้องหลังของท่านชายฉัตรินมีชายผู้ติดตามอีกหนึ่งคนที่ทำให้นาราภัทรตัดสินใจก้าวเท้าเข้ามาปกป้องผู้เป็นมารดา การมาอย่างอุกอาจและไม่ได้รับเชิญนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความหวาดระแวงรอบกายไปหมด 

    “คนอย่างฉันคงหาคำตอบในเรื่องที่อยากรู้ได้ไม่ยากกระมัง”

    ชายผู้สูงศักดิ์กล่าวทั้งกลั้วหัวเราะอย่างผู้ลากมากดี แม้ทุกการกระทำของเขาจะดูเป็นการปั้นแต่งเสียไปหมดในสายตาของสตรีทั้งสองคนก็ตาม 

    “ถ้าอย่างนั้นต้องขอความกรุณาให้ท่านชายบอกจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของท่านอย่างตรงไปตรงมาด้วยเพคะ”

     

    “ข้าราชการตำรวจเป็นแบบนี้เสียหมดเลยสินะ” เขาว่าทั้งยังมีรอยยิ้มอยู่นัยหน้า“กระนั้นก็เถิด หากว่าที่ภรรยาของฉันมีเสน่ห์แบบนั้น ก็น่าภูมิใจไม่น้อย ใช่ไหม?” 

     

    สรรพนามที่จงใจคล้ายกับทำให้คนฟังถูกลูบคม นวลจันทร์ที่ยอมนั่งฟังอยู่เงียบๆ ถึงกับถลึงดวงตามอง ที่รักษากิริยาก่อนหน้าไว้ก็เพราะต้องการหยั่งเชิงในการมาถึงของท่านชายที่เคยทำร้ายบุตรสาวถึงได้ยอมให้นั่งอยู่แบบนี้ ไหนเลยจะคาดคิดถึงการกล่าววาจาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของต่อหน้าต่อตากันมาได้ “…ว่าที่รึ?” 

    “ยังไม่รู้หรอกหรือ? งั้นการที่ฉันมาในคราวนี้ ก็จะขอแจ้งไว้ให้ทราบก่อนเลยก็แล้วกัน”

    ท่านชายฉัตรินขยับตัวปรายตามองไปด้านหลังเพียงเล็กน้อย ชายผู้ติดตามที่ยืนอยู่เบื้องหลังของเขาจึงก้าวเท้าเข้ามาด้านหน้าแล้วจึงเปิดปากบอกกล่าวให้หญิงกลางคนได้รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางใจ 

    “ท่านชายฉัตริน มีประสงค์จะสมรสกับลูกสาวของหล่อนภายในเดือนหน้า”

    “ว่าอย่างไรนะ---” 

    “เดี๋ยวค่ะ”  ในตอนที่พบว่าผู้เป็นมารดานั้นโกรธเสียจนลุกขึ้นจากที่นั่ง นาราภัทรรีบคว้าเรียวแขนของหญิงกลางคนเอาไว้ก่อนจะรั้งกายให้หล่อนไปยังอีกมุมหนึ่งของห้องแล้วจึงกล่าว “ขอนางพูดคุยกับท่านชายเป็นการส่วนตัวก่อนได้ไหมคะ แล้วนางจะอธิบายให้ฟังทุกอย่างเอง”

    รับรู้ความกรุ่นโกรธได้จากกายของอีกฝ่ายที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะ สายตาของนวลจันทร์ที่มีแต่ความแข็งกร้าวและพร้อมจะหาเรื่องหาราวท่านชายผู้นี้ได้ตลอดเวลาทำให้นาราภัทรต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบไปก่อน ด้วยสถานะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หากเธอยอมปล่อยให้มารดาทำอะไรตามใจไปเสียงภายนอกย่อมไม่เข้าข้างพวกเธอแม่ลูกเป็นแน่ 

    “นางขอร้อง...นะคะแม่” 

    แม้จะรู้ดีว่าในน้ำเสียงที่ออกปากให้เชื่อมั่นของบุตรสาวจะมีความหวาดหวั่นอยู่ในนั้นอย่างไรหญิงกลางคนก็ยอมอ่อนลง เธอเคลื่อนสายตามองไปยังบุรุษตรงหน้าก่อนจะถอยออกไปจากห้องนั่งเล่น ให้ความเงียบอันเย็นเยือกนั้นเข้าครอบคลุมจิตใจและซึมซับไปทั่วร่าง

     “นั่นเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันในครอบครัวของคุณสินะ” ท่านชายยังคงกล่าวด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนก่อนจะกล่าวกลอน “..อรชรอ้อนแอ้นบั้นเอวบาง  หมื่นนางก็ไม่มีเหมือนนางเดียว

    คำยกยอปอปั้นให้เป็นดั่งนางพิม ทั้งสายตาที่โลมไล้ไปทั่วร่างอย่างไม่ปิดบัง นาราภัทรถึงกับต้องเม้มริมฝีปากและข่มเปลือกตาของตนเองแน่นแล้วจึงทิ้งตัวคุกเข่าทั้งสองกับพื้นบ้านอย่างไร้ความลังเลใจ

    “หม่อมฉันขอปฏิเสธเพคะ” 

    “…”

    “หม่อมฉันไม่ได้มีใจสเน่หาให้ท่านชาย และหม่อมฉันก็ไม่เคยคิดถึงการใช้ชีวิตคู่กับท่านเลยแม้แต่น้อย” 

    “…”

    “ดังนั้นได้โปรดปล่อยหม่อมฉันและครอบครัวไปเถอะเพคะ โปรดละเว้นพวกหม่อมฉันด้วย” 

    กล่าวทุกประโยคออกไปด้วยไม่แม้แต่จะชายตาขึ้นมองท่านชายผู้สูงศักดิ์ ด้วยรู้ตัวดีว่าเธออันเป็นผู้ต่ำต้อยกว่านั้นกำลังอาจหาญหักน้ำใจของเขาอย่างไม่ไว้ที ลมแห่งความเงียบขนานใหญ่ก่อตัวขึ้นภายในห้องเนิ่นนานเสียจนความกังวลที่อยู่ในใจนั้นเร่ิมแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย ครั้นเมื่อเคลื่อนสายตาจากเท้าของเขาจนถึงมือที่ประคองไม้ตะพดคู่ใจของตัวเองไว้ นาราภัทรจึงสังเกตเห็นอะไรบางอย่างได้เป็นคราวแรก

    หัวไม้ตะพดของท่านชายฉัตรินเป็นหัวสิงห์แก้วแวววับจนหากมองผ่านไปก็คงคล้ายกับไม่มีอะไรผิดแปลก ถ้าไม่ใช่ว่าร่องรอยของมันบิ่นได้รูปเหมือนผ่านการตกแตกมาก่อนหน้า หนำซ้ำบริเวณฝ่ามือด้านขวายังมีรอยช้ำเป็นจุดๆ คล้ายฟันของสิ่งมีชีวิตให้เห็นอยู่รางๆ อีกด้วย 

     

    หล่อนลองพูดอีกทีซิ?” 

     

    ระหว่างที่ข้อมูลต่างๆ มากมายกำลังไหลเข้าสู่ความคิด เสียงอันเย็นเหยียบของชายหนุ่มก็ทำให้นาราภัทรรับรู้ถึงความอันตราย แต่ยังไม่ทันได้ตั้งรับปฏิกิริยาอันใดจากเขา ลำคอของหญิงสาวก็พลันถูกบีบแน่นเสียจนเธอแทบจะหยุดหายใจไปในคราวเดียว

    “...ฉันยืนอยู่จุดไหน แล้วหล่อนต่ำกว่าเพียงใด ไม่ได้ไตร่ตรองหรอกหรือ?”

    เพราะเรี่ยวแรงที่คว้าเข้าบริเวณลำคอจนต้องหยัดกายขึ้นตามนั้นสร้างความตกใจให้เธอได้ชะงัดนัก แผ่นหลังของนาราภัทรแนบกับผนังห้องเมื่อหม่อมเจ้าฉัตรินปลดปล่อยความโกรธออกมาอย่างน่ากลัว ยิ่งเขากล่าวเน้นย้ำสถานะของตนมากเพียงใด มือที่เกาะเกี่ยวความหยาบกร้านซึ่งกำลังจะตัดลมหายใจของเธอก็ยิ่งอ่อนลงมากขึ้นเท่านั้น

    “หล่อนรู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นใคร..สายเลือดของฉันเป็นใคร ยังกล้าที่จะปฏิเสธอีกรึ?

    ตึง!

    ในระหว่างที่ลมหายใจของเธอนั้นกำลังถูกบีบคั้น ประตูที่ถูกปิดลงไว้ก่อนหน้าก็ถูกถีบออกพร้อมการปรากฏร่างของหญิงกลางคนผู้มีดวงตาอันแน่วแน่ 

    “ปล่อยลูกสาวของฉันเดี๋ยวนี้” 

    นวลจันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบทว่าดังก้องไปทั่วพร้อมกับปืนลูกซองคู่ในมือ ทวงท่าที่บ่งบอกว่ามั่นคงและหนักแน่นในการแบกอาวุธนั้นย่อมทำให้ร่างของบุรุษทั้งสองต้องชะงัก ชายผู้ติดตามเบื้องหลังอยากจะวิ่งเข้ามาช่วยเหลือผู้เป็นนาย แต่เมื่อเห็นปลายกระบอกมัจจุราชจ่อไปที่สีข้างของหม่อมเจ้าฉัตรินก็มีอันต้องลังเล 

    “หล่อนกล้าหรือ?” 

    “ต่อให้เป็นเทวดาสูงส่งมาจากไหน สายเลือดของท่านจะเป็นใคร หากทำตัวเช่นนี้กับลูกสาวของฉันก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวออกไปโดยไม่มีแม้แต่แผลเดียว” 

    ฝ่ามือของท่านชายลดน้ำหนักลงไปสามส่วนให้หญิงสาวยังพอทนหายใจต่อเข้าไปได้เมื่อรับรู้ถึงความตั้งมั่นจากหญิงกลางคน ความหวาดหวั่นพาดผ่านบนดวงตาเป็นระลอกเมื่อตนมองไม่เห็นความกลัวใดๆ จากดวงตาของหล่อนเลยแม้เพียงนิด 

    “ฮึ่ม-!” 

    “ออกไปจากบ้านของฉัน--เดี๋ยวนี้” 

    เพราะการขยับเข้ามาแนบปลายกระบอกจรดแผ่นอกของเขาอย่างคล่องแคล้วนั้นทำให้หม่อมเจ้าฉัตรินยอมปล่อยให้ร่างอรชรทรุดลงไปนั่งกับพื้น เขาและชายผู้ติดตามยอมถอยฝีเท้าออกไปหลายก้าวด้วยสายตาเฉือดเชือนแต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายคำขู่ให้สองแม่ลูกได้จดจำราวกับฝันร้ายนี้จะเกิดขึ้นทุกค่ำคืนสืบไป 

    “เรื่องมันจะไม่จบแค่วันนี้” ชายหนุ่มเอ่ยปากอย่างเลือดเย็น “อย่าหวังว่าจะมีหน้าอยู่ที่นี่ได้อีกเลย” 

     

     

    ฝนกำลังตั้งเค้าเสียแล้ว 

    ท้องฟ้าที่ส่งเสียงคำรามมาพักใหญ่ทำให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณนึกเป็นห่วงคนที่บอกให้เธอปล่อยลงบนเส้นทางหนึ่งเพื่อกลับบ้าน เพราะการรายงานความคืบหน้านั้นกินเวลาไปมากพอสมควรจนเวลาล่วงเลยจากตอนจากกันมาเกือบสามชั่วโมง จึงไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าหล่อนจะยังรอคอยเธออยู่ที่เดิมหรือเปล่า

    ไม่นานหลังจากที่คิดเช่นนั้นหยาดฝนก็ตกลงมาจนรอบข้างดูมืดลงจนดูเหมือนช่วงหัวค่ำทั้งที่เพิ่งจะเข้าช่วงเย็น นีราพรรณขับรถยนต์คู่ใจไปยังถนนหนทางเบื้องหน้าด้วยความเร็วที่ลดลงกว่าเดิมเพราะสายตาที่ต้องคอยให้ใบพัดด้านหน้านั้นเป็นตัวช่วย และในตอนนั้นเองที่ดวงตาคู่คมมองเห็นหญิงสาวพร้อมด้วยการแต่งกายที่คุ้นตาแต่หล่อนกลับเดินไปคนละทิศทาง ร่างกายของคุณหญิงนีราพรรณจึงบังคับให้พาหนะนี้จอดเทียบลงข้างทางด้วยความรวดเร็ว 

    ทันทีที่เปิดประตูออกสายลมก็พัดหยาดฝนเข้ามาปะทะกายไม่หยุดหย่อน ทว่าจิตใจที่นึกเป็นห่วงและกังวลมากกว่าว่าเหตุใดหม่อมหลวงนาราภัทรถึงได้เดินไปยังทิศทางใดก็ไม่รู้นั้นถึงไม่ยอมหาที่หลบฝนเช่นคนอื่นๆ ในเวลานี้ 

    “สารวัตร?” 

    ทันทีที่ก้าวถึงตัวแล้วสัมผัสข้อมือเรียวของคนอายุมากกว่านีราพรรณก็มีอันต้องตกตะลึง เมื่อร่างบอบบางของหญิงสาวที่คุ้นเคยนั้นเปียกปอนไปทั้งตัวราวกับหล่อนเดินท่ามกลางสายฝนนี้มาพักใหญ่ ยังไม่นับดวงตาที่คล้ายกับคนเพิ่งจะได้สตินึกคิดว่าตอนนี้ตนกำลังเดินไปทิศทางอื่นโดยไม่ได้รอเธอตามคำ ท่าทางของเธอไร้ซึ่งความแน่วแน่ไม่สมกับเป็นพันตำรวจตรีผู้เก่งกาจเลยแม้แต่น้อย

    “...คุณหญิง” 

    “เกิดอะไรขึ้นคะ? ทำไมมาเดินอยู่อย่างนี้ ทำไมไม่รอฉันตรงที่ไปส่ง....” 

    ประโยคของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณหยุดชะงักลงเมื่อดวงตานั้นพาดผ่านลงมายังลำคอระหงส์ของหญิงสาว

    “ฉัน..ฉันกำลังจะไปที่สำนักงาน” นาราภัทรตอบกลับโดยไม่ทันสังเกตแววตาของอีกฝ่าย กระทั่งฝ่ามือที่ยังอุ่นอยู่ของหญิงสาวตรงหน้าแตะลงแผ่วที่ต้นคอของเธอราวกับกลัวว่ามันจะแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา

    “เกิดอะไรขึ้น ทำไมคอของพี่ถึงได้เป็นแบบนี้” 

    เมื่อได้ยินคำถามความทรงจำก่อนหน้านี้ก็พรั่งพรูเข้ามาในความคิดไม่ขาดสาย แม้จะเอ่ยปากบอกผู้เป็นมารดาแล้วว่าเธอไม่เป็นไรและเลือกที่จะรีบจากมาเพื่อตรงไปยังสถานที่ทำงานเพื่อพบผู้หญิงตรงหน้านี่เลย แต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้ยินเสียงของคุณหญิงถามออกมานั้น ดวงตาของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นเสียแล้ว

    จู่ๆ ร่างกายของหม่อมหลวงนาราภัทรก็โอนอ่อนเข้าสู่อกของเธอราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น เจ้าของร่างนั้นส่งเสียงสะอื้นฮักออกมาน้อยๆ ให้ได้ยินยามที่หล่อนโอบกอดเธออย่างต้องการที่พึ่งพิง..

    …รวมทั้งน้ำเสียงสั่นเครือที่เว้าวอนอย่างน่าสงสารนั้น ราวกับใบมีดที่จะเชือดเฉือนเส้นความอดทนของคุณหญิงนีราพรรณทีละน้อย

     

     

    “คุณหญิง...ช่วยฉันด้วย..ช่วยพาฉันหนีไปที”

     

     

     

    TBC.

    ____________________________________________________________________________________

    #หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ #ฟิคแก้วตาสุมาลี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×