ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TWICE | OS/SF : #Xslibrary

    ลำดับตอนที่ #16 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ : ดอกยี่หุบ ๒

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 63


     

     

     

    “หมายความว่าอย่างไรหรือคะ ไม่อยู่?”

     

    เสียงหวานระรื่นหูจากริมฝีปากบางที่เอ่ยถามราวกับก้อนหินที่ถ่วงลงในจิตใจของผู้ฟัง หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่เป็นผู้รับหน้าที่ในการต้อนรับแขก ‘คนสำคัญ’ เวลานี้ถึงกับแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาอย่างปิดไม่มิดเมื่อเห็นใบหน้าหวานนั้นแสดงอาการผิดหวังผ่านกิริยาที่ได้รับการขัดเกลามาเป็นอย่างดี

    เพราะน้ำเสียงและท่าทางของหล่อนไม่ได้แสดงออกอย่างเกินงาม นั่นจึงทำให้หญิงสาวแห่งวังดอกไม้ใช้เวลาสักพักถึงจะตอบออกไปตามตรง

     

    “หมายความว่าพี่หญิงนิ่มออกไปทำงานราชการ ไม่ได้กลับวังมาพักใหญ่แล้วค่ะ”

     

    “...ทั้งที่สัญญาเอาไว้แล้ว” หญิงสาวผู้สวมเดรสคอปกลายดอกไม้สีฟ้าอ่อนหลุบสายตาลงเล็กน้อยทั้งที่แผ่นหลังของหล่อนยังคงตั้งตรงอยู่ “...ถ้าอย่างนั้นหลินขอตัวก่อนนะคะ”

    หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ลุกขึ้นยืนรับไหว้จากมือของหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังจะจากไป ก่อนจะเอ่ยปากบอกให้คนรับใช้คนหนึ่งไปส่งหล่อนยังด้านหน้าประตู เมื่อคู่สนทนาได้เดินจากไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมาด้วยความกังวลระคนเห็นอกเห็นใจ

     

    “คุณหลินมาหรือ”

    เสียงที่คุ้นหูของพี่หญิงใหญ่หรือคุณหญิงจินณวัตรทำให้ดารารินทร์ลดมือที่เผลอนำไปวางไว้บนขมับลงมา

    “ค่ะพี่หญิง” เธอตอบ “ดูเหมือนหล่อนจะผิดหวังไม่น้อยที่ไม่ได้เจอพี่หญิงนิ่มในวันนี้”

     

    คุณหลิน หรือ หม่อมหลวงอิลลาสินีเป็นบุตรสาวคนเดียวของหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์ และเพราะชาติตระกูลของหล่อนไม่ถือว่าโดดเด่นแต่ก็ไม่ได้ด้อยต่ำ รวมทั้งยังมีกิริยาเพียบพร้อมน่ามอง ดวงหน้าหวานให้ความรู้สึกอยากทะนุถนอม จึงไม่แปลกใจหากหญิงสาวผู้นี้จะต้องตาต้องใจจนพี่ชายใหญ่ของเธออยากผูกสัมพันธ์ให้กับน้องสาวคนรองจอมวางแผนเข้าสู่วังทัตพงศ์มาลี

    ส่วนเหตุผลน่ะหรือ...ก็เพราะไม่อยากให้พี่หญิงรองของเธอเที่ยวไปคว้าผู้หญิงที่ไปข้องเกี่ยวกับเรื่องซับซ้อนจนน่าปวดหัวเหมือนที่เธอกับหญิงจิลเคยทำน่ะสิ

    จะโน้มน้าวให้พี่หญิงใหญ่ที่ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจคนไข้มากกว่าการแต่งงานออกไปก็คงเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นหวยใบนี้จึงมาตกที่คุณหญิงนิ่มผู้อ่านความคิดได้ยากที่สุดแล้วในบรรดาดอกไม้ทั้งสี่ใบเถา

    แปลกก็ตรงที่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับอย่างออกนอกหน้า แม้พวกเธอจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าพี่สาวคนนี้ของเธอไม่เคยชื่นชมผู้หญิงคนไหนอย่างชัดเจนเท่าเจ้านายของหล่อนเลย

    หม่อมราชวงศ์จินณวัตรได้ยินดังนั้นก็เคลื่อนมือทั้งสองไปไว้ด้านหลังราวกับนึกไตร่ตรอง “หญิงนิ่มก็คงผลัดมาหลายรอบแล้วกระมัง ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำหน้าเศร้าออกไป”

    ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็อดคลายยิ้มเห็นอกเห็นใจออกมาไม่ได้ “ต้องมาผูกวาสนากับคนความคิดซับซ้อนอย่างนั้น ไม่รู้จะสงสารหรือว่าเห็นใจดีกว่ากันนะคะ”

     

     

    หนึ่งวันมาแล้วที่ไร้เสียงสนทนาของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อย่างหล่อน

    ปัง!

    ลูกกระสุนนัดสุดท้ายจากปืนกระบอกคู่ใจทำให้หญิงสาวในชุดสีกากีและคาดด้วยสายหนังสีดำนั้นต้องลดมือลง เรียวคิ้วสวยบนดวงหน้าอิ่มนั้นขมวดเข้าหากันร่วมยี่สิบนาทีที่เธออยู่ภายในลานฝึกยิงปืนประจำสำนักงานโดยที่หญิงสาวก็ไม่ทันได้รู้ตัว นาราภัทรเดินกลับไปยังตู้เก็บกล่องกระสุนด้วยท่าทางไม่ร้อนอกร้อนใจอะไร แต่ความคิดที่อยู่ภายในก็ทำให้เป้ายิงของเธอไม่สมบูรณ์แบบมาแล้วถึงสามสี่อัน

    ด้วยข้ออ้างที่บอกแก่หญิงกลางคนผู้เป็นเจ้าของบ้านสองชั้นในตรอกที่แฝงตัวไปสืบความ ว่าตัวเธอและหม่อมราชวงศ์นีราพรรณจะต้องออกมาทำธุระที่นอกเมืองอาทิตย์ละวันสองวันเรื่องการเงินกลับไปยังบ้านต่างจังหวัด แต่แท้จริงแล้วพวกเธอทั้งสองคนจะต้องกลับมารายงานความคืบหน้าที่สำนักงาน ซึ่งหล่อนก็ไม่ได้สอบถามอะไรมากนักด้วยนิสัยส่วนตัวและอาการป่วยตามสภาพอากาศที่ทำให้พวกเธอไม่ต้องถูกถามไถ่อะไรให้มากความ

    และแม้เธอกับหญิงสาว ‘อีกคน’ จะมาด้วยกันในวันนี้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็แทบไม่สนทนาอะไรกับเธอเลยสักคำ ทั้งที่ตัวเธอเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นฝ่ายเปิดปากก่อนเพราะยังรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดในคืนก่อนหน้านั้นอยู่ในใจ

    ปัง! ปัง! ปัง!

    นี่เธอคงไม่ได้กำลังเป็นฝ่ายที่รู้สึกผิดอยู่หรอกกระมัง?

    ควันจากปลายกระบอกปืนไม่ต่างอะไรกับลมหายใจที่ผ่อนออกมาจากริมฝีปากอิ่ม ความคุกรุ่นอันมีที่มาไม่ทราบสาเหตุทำให้นาราภัทรตัดสินใจที่จะล้มเลิกการฝึกซ้อมของตนเองในวันนี้ไป และดูเหมือนกระทั่งอากาศภายในวันนี้ก็ยังจะไม่เข้าข้างเธอเลยสักนิด ด้วยช่วงหน้าฝนที่กำลังจะมาถึงนั้นทำให้สายลมที่ควรจะมีเหมือนทุกวันหยุดนิ่งและมอบความอบอ้าวไปทั่วผิวกายมาให้ทั้งๆ ที่เพิ่งจะแวะมาได้ไม่นานนัก

     

    ผ้าเช็ดหน้าครับ

     

    ครั้นก้าวออกจากบ้านประตูไม่ทันไรเสียงของผู้มาใหม่ก็ทำให้เธอรู้สึกสะท้านไปทั่วกายท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวอย่างที่เป็นอยู่ นาราภัทรนั้นรู้สึกถึงความตื่นตระหนกที่กำลังก่อตัวขึ้นพร้อมกับความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ยามเมื่อเห็นกายของบุคคลตรงหน้า...แต่ทว่าเธอก็ไม่อาจแสดงอาการที่เกิดขึ้นอยู่ในใจออกไปได้อย่างโจ่งแจ้ง

    เพราะชายหนุ่มภายใต้ชุดสูทแบบฝรั่งนี้..จะเป็นใครไปได้เสียอีกนอกจากหม่อมเจ้าฉัตรินที่เคยคิดจะกระทำเรื่องบัดสีใส่เธอในคราวนั้น

    “ท่านชาย..” หญิงสาวหายใจเข้าลึกอยู่ห้วงหนึ่งก่อนจะตอบ “หม่อมฉันรับไว้ไม่ได้หรอกเพคะ”

    กลิ่นยาเส้นฉุนกึกรอบกายมักทำให้นาราภัทรเผลอกลั้นหายใจไปชั่วจังหวะหนึ่งเสมอ เหงื่อกาฬที่ประปรายบนผิวหน้าบ่งบอกถึงความร้อนชื้นภายใต้สูทเนื้อดีที่ดูจะถูกทับอยู่หลายชั้นเพื่อบ่งบอกถึงสถานะที่เหนือกว่าใครในทุกสถานที่ที่เขามีโอกาสได้ย่างกราย

    ท่านชายฉัตรินผู้นี้หาได้มีสิ่งใดให้สิเนหาน่ามอง ร่างของเขามีส่วนสูงต่ำกว่ามาตรฐานชายใดในพระนคร ทรงผมตัดสั้นไม่สนใจกระทั่งการใส่น้ำมันให้เรียบแปล้ หนวดเคราที่ขึ้นครึ้มเขียวตัดกับฟันสีคล้ำของหมากพลู จมูกโตเกินงามกว่าคนทั่วไปที่หญิงสาวเคยพบเจอ และเขาก็เป็นบุคคลที่มักจะหาจังหวะยกยอปอปั้นว่าตนรูปงาม โดยไม่ได้ไตร่ตรองเสียด้วยซ้ำว่าคนอื่นเขาต้องตามน้ำไปเพราะบรรดายศศักดิ์ที่มี

    ชายหนุ่มยกไม้ตะพดเพชรในมืออันเป็นสิ่งของคู่กายนั้นขึ้นแนบใต้วงแขน ก่อนมือที่หยาบกร้านจะตรงเข้าบังคับฝ่ามือที่กำแน่นอยู่ข้างกายของหญิงสาวเข้าหาตัว แล้วนำสิ่งของที่ตนยื่นออกมาให้นั้นเข้าสู่ฝ่ามือบางอย่างที่หล่อนไม่ได้เต็มใจเลยเหมือนทุกที

     

    “ฉันรู้ว่าคุณนารายังคงโกรธเคืองอยู่” เขากล่าวทั้งยังถือวิสาสะกอบกุมฝ่ามือของเธอไว้ “คราวนั้นฉันเสียมารยาทไปหน่อยก็เลยทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ฉันไม่ใช่คนใจแคบคิดอะไรเล็กน้อย จึงไม่อยากจะถือสาหาความอะไร”

     

    กล่าวด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนั้นออกมา..ไม่รู้ว่าผืนดินข้างล่างกับหน้าของเขาอะไรจะทนทานมากกว่ากัน

     

    ยิ่งปล่อยให้สัมผัสหยาบกร้านนั้นลูบไล้ฝ่ามืออยู่นานเท่าไหร่ความรู้สึกอยากอาเจียนภายในใจก็มีมากขึ้นเท่าตัว แม้นาราภัทรอยากจะเสียมารยาทโดยการสะบัดมันออก แต่ด้วยเหตุผลหลายประการ ทำให้หญิงสาวทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในใจคนเดียว

    “…เป็นพระกรุณาเพคะ”

    ยิ่งเห็นมือที่สั่นเทาด้วยความกลัวหรืออะไรบางอย่างก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มนั้นระบายยิ้มชอบใจบนใบหน้า หม่อมเจ้าฉัตรินจึงกล่าวต่อไปราวกับกำลังโน้มน้าวลูกไก่ในกำมือ

    “อย่างที่เคยบอกไปว่าความเก่งนั้นประทับใจฉัน ฝีมือของคุณไม่เหมาะจะเป็นเพียงแค่ตำรวจหญิงในสถานที่เล็กๆ แบบนี้”

    ดวงตาที่เปล่งไปด้วยประกายของความเสน่หาอย่างไม่ปิดบังราวกับกำแพงที่บีบเข้าหาให้ลมหายใจนั้นกระชั้นชิดจนแทบหายใจเข้าได้ไม่เต็มปอด ริมฝีปากของนาราภัทรหนักอึ้งราวกับถูกโอบอุ้มไปด้วยมวลอากาศที่หนาแน่น หญิงสาวรับรู้เพียงว่ายิ่งกายของเขาเข้าแนบชิดเธอเพียงไร ร่างกายของเธอก็ยิ่งถูกตอกตรึงเข้ากับผืนดิน และฝ่ามืออีกข้างนั้นก็บีบแน่นเข้าหากันจนปลายของมันแทบจะทะลุเข้าสู่เนื้อกายและอาจทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดไปอีกนาน

     

    “ข้อเสนอของฉัน หวังว่าคุณนาราจะยังไม่ลืม”

    ข้อเสนอในการแต่งงาน...ที่เธอจะไม่แม้แต่จะมีสิทธิได้เลือกอะไรเลย

     

    เพราะครั้งนั้นหม่อมเจ้าฉัตรินได้กล่าวไว้เป็นนัย ว่าหากเธอไม่ตอบตกลงมันในระยะเวลาที่เขาเคยกำหนดให้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น เธอจะไม่มีสิทธิปฏิเสธอะไรก็ตามที่เขาคิดจะมอบให้ได้อีกแล้ว

    คิดถึงตรงนั้นดวงใจของนาราภัทรก็ตกลงสู่หุบเหวไร้ทางออกอันดำมืด แต่ไหนแต่ไรมาหญิงสาวก็ไม่เคยได้คำตอบหรือสิ่งที่ตนตั้งใจอยากได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเหตุผลว่าเหตุใดบิดาผู้ให้กำเนิดถึงไม่แยแสมารดากับเธอ เหตุใดเป็นหญิงจึงไม่อาจทำอะไรได้ดั่งใจ ต้องไว้ตัวเหนียมอายเหมือนบรรทัดฐานได้ขีดไว้ ไม่อาจโดดเด่นได้เท่าเหล่าบุรุษ หรือกระทั่งจะทำการปกป้องตนเองอีกครั้งในเวลานี้ หญิงสาวก็ไม่อาจทำได้เพียงเพราะเขาเป็นชายที่มียศถาบรรดาศักดิ์และอำนาจไว้ในมือ

    ...เหตุใดจึงทำได้เพียงแค่อดกลั้นมันไว้ในใจเท่านั้น

    เหตุใดเธอจึงจะต้องเกิดมาเป็นสตรีด้วย

     

    “สารวัตรอยู่ที่นี่เอง”

     

    เสียงที่กล่าวออกมาอย่างนุ่มนวลทว่ามีอนุภาพเพียงพอที่จะทำให้กระจกที่กำลังจะกักขังหญิงสาวเอาไว้นั้นพังทลาย ดวงตาที่สั่นไหวของนาราภัทรเคลื่อนมองผู้มาใหม่ที่มาได้จังหวะเวลาพอดีก้าวเท้าจากผืนดินด้านล่างขึ้นมาหาพร้อมกับออกแรงให้กายของเธอนั้นจำต้องหันไปหาหล่อนอย่างไม่มีทางเลือก หม่อมเจ้าฉัตรินที่ยืนอยู่อีกฝากจึงต้องยอมปล่อยมือของเธอออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจเช่นนี้

    หม่อมราชวงศ์นีราพรรณกระทำการเหล่านี้โดยที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับไม่รู้สึกเสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย

    หันไปยิ้มให้หญิงสาวผู้ที่กำลังนิ่งอึ้งต่อการกระทำของตนเองอยู่สักพัก ดวงตาสีเข้มของนีราพรรณจึงเบิกขึ้นน้อยๆ อย่างเสแสร้งเมื่อพบว่ามีชายหนุ่มสูงศักดิ์อยู่อีกคน

    “ขอประทานอภัย จากมุมทางนั้นทำให้หม่อมฉันมองไม่เห็นว่าท่านชายยืนอยู่ตรงนี้”

    หม่อมเจ้าฉัตรินกระตุกริมฝีปากของเขาเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นอย่างไม่เชื่อหู “หล่อนเองหรือ”

    ร่างเพรียวบางยิ้มรับก่อนจะถอนสายบัวให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม “นีราพรรณ คือชื่อของหม่อมฉันเพคะ”

    “อะไรที่ไม่มีประโยชน์ เราไม่ค่อยจะจำหรอก” ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีการกระทำนั้นอย่างดูถูก ไม้ตะพดคู่ใจของเขาวางกั้นระหว่างตนเองกับหญิงสาวราวกับขีดเส้นแบ่งชนชั้นเอาไว้ “ขอโทษด้วยถ้าฉันจะจำชื่อหล่อนไม่ได้ คงไม่ถือสาหาความกันนะ”

    นีราพรรณต่อบทสนทนานั้นด้วยใบหน้าที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง “ไม่เป็นไรมิได้เพคะ ชื่อของหม่อมฉันจะไปสำคัญกว่าสุขภาพของท่านชายได้อย่างไร”

    “…”

    “ยิ่งเห็นว่าใบหน้าของท่านชายกลับมาเป็นปกติดีแล้ว เห็นทีในยามนี้คงไม่มีใครงามสู้ได้อีก”

    เมื่อได้ยินคำยกยอปอปั้น ใบหน้าที่หงุดหงิดของหม่อมเจ้าฉัตรินก็คลายลงถึงสามส่วน ทว่าเพราะยังคงรู้สึกอคติที่ถูกหล่อนขัดขวาง เขาจึงแสร้งทำตัวมีน้ำใจเล็กน้อยต่อประโยคนั้นให้เห็น “หล่อนชมเกินไปแล้ว ฉันไม่ใช่ญาติของพ่ออิเหนาเสียหน่อย แต่จะยอมรับไว้ก็แล้วกันนะ”

    กริยาท่าทางที่เป็นดั่งที่คาดเอาไว้ทำให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณหัวเราะออกมาเบาๆ สร้างความประหลาดใจให้ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวอีกคนซึ่งกำลังคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ว่าบทสนทนานี้จะจบลงได้อย่างไร

     

    “ท่านชายเข้าใจเช่นนั้นคงจะผิดความหมายไปหน่อย หม่อมฉันว่าหากระตูเมืองจรกาได้ยินคงไม่พอพระทัยเป็นแน่”

     

    แม้วาจาของหญิงสาวจะไม่ได้เผ็ดร้อนดั่งแม่ค้าร้านตลาด ทว่าก็ทำเอาคนฟังใบหน้าคล้ำเขียวขึ้นไปไม่น้อย เพราะหม่อมเจ้าฉัตรินถูกนำไปเปรียบกับจรกา แม้แต่เด็กสิบขวบปีก็ยังรู้ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร

    “...หล่อนกล้าดีอย่างไร”

    คนที่มักแสดงตนว่าเป็นคนใจกว้างในวงสังคมอย่างหม่อมเจ้าฉัตรินถึงกับทำได้เพียงแค่ขบฟันกรามของตน หากเขากระทำออกไปอย่างที่ใจหวังคงได้เกิดข่าวลือขึ้นอีกครั้งเหมือนเดือนก่อนจนต้องหนีหายให้มันเบาลงแน่

    แววตาที่จ้องเขม็งมายังหญิงสาวทำให้นาราภัทรหวั่นใจ แม้เธอเองจะทำได้เพียงแค่ยืนอยู่เบื้องหลังของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่ยังคงปกป้องเธออยู่ก็ตาม

    “ท่านชายขอรับ ท่านรองต้องการพบตัวท่านขอรับ” เสียงของจ่าธงชัยผู้เดินมาจากทิศทางใดก็ไม่รู้นั้นทำให้บรรยากาศตึงเครียดรอบบทสนทนาของทั้งสามนั้นลดลงเป็นเท่าตัว เจ้าของนามผู้มียศสูงส่งกว่าใครหันหน้าไปมองผู้มาเยือนด้วยความไม่พอใจที่แสดงออกยิ่งกว่าเดิม เขาทิ้งสายตาคาดโทษไว้ให้หญิงสาวเบื้องหน้า แล้วจึงกล่าวกับหญิงสาวที่เขาหมายปองเอาไว้ด้านหลังด้วยท่าทางที่ไม่เหลือเค้าความใจกว้างและอ่อนโยนดังเดิม

     

    “ฉันจะให้เวลาอีกเดือน หลังจากนั้น ฉันจะจัดการทั้งหมดด้วยตัวเอง”

     

    เมื่อเงาของชายสูงศักดิ์จากไปลมหายใจของนาราภัทรก็กลับมาเคลื่อนไหวได้คล่องตัวยิ่งขึ้น ท่าทางที่ราวกับยกภูเขาทั้งลูกออกไปในคราวเดียวตลอดจนหล่อนกล่าวตัดเพ้อโชคชะตาของตนนั้น อยู่ในสายตาของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณทุกวินาทีโดยที่หญิงสาวก็ไม่ทันได้สังเกตอะไร

    “น่าโมโหจริงๆ” เธอได้ยินเสียงแผ่วเบาของหล่อนกล่าว “...ทำไมต้องเกิดมาเจออะไรแบบนี้ด้วย”

    ดวงตาสุกสกาวของนีราพรรณสั่นไหวเบาๆ เมื่อเห็นมือของหล่อนตกลงข้างตัว ฝ่ามือเรียวยาวนั้นมีร่องรอยของการจิกเนื้อตนเองเพื่ออดกลั้นความรู้สึกมากมายต่างๆ นาๆ แม้จะยังคงลังเลว่าหล่อนอาจจะผลักไส แต่เธอก็ยังเลือกที่จะกอบกุมฝ่ามือที่ใหญ่กว่าหญิงสาวทั่วๆ ไปเอาไว้แล้วปลอบประโลมมันให้ความสั่นเทานั้นคลายลง

     

    “ปล่อยออกมาสิ”

    หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อคนตรงหน้านั้นได้หันมามองเพราะไม่เข้าใจในการกระทำของเธอ

     

    ความรู้สึกไม่พอใจที่น้อยครั้งนักจะเกิดขึ้นในใจของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณกำลังทำให้เธอที่ไม่เคยคิดอยากปลอบประโลมใครต้องกล่าววาจาที่เถรตรงเช่นนี้ เมื่อครู่ระหว่างที่ได้ยินบทสนทนาของชายหนุ่มกับหญิงสาวตรงหน้าก็ทำให้จิตใจของเธอคุกรุ่นมากพออยู่แล้ว ยิ่งเห็นว่าหล่อนหวาดกลัวมากเท่าไหร่ความหงุดหงิดในใจก็เพิ่มมากขึ้นทุกครั้ง แม้หล่อนจะแสดงท่าทีเข้มแข็งอยู่เสมอ แต่ฝ่ามือใหญ่ที่กำลังสั่นเทาอยู่นี้ก็บ่งบอกเธอมากพอแล้วว่าแท้จริงหม่อมหลวงนาราภัทรนั้นเปราะบางเช่นไรบ้าง

    “ความรู้สึกโกรธที่สารวัตรมี อย่าเก็บไว้ในใจจนมันทำร้ายตัวเอง” แววตาของหญิงสูงศักดิ์นั้นมองมาที่เธอด้วยความกรุ่นโกรธเล็กน้อย “...จะไม่มีใครรับรู้ทั้งนั้น แม้แต่ตัวฉันในวันนี้ก็จะลืมมันไป”

    หม่อมหลวงนาราภัทรจ้องมองใบหน้าสวยที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มซุกซนมองมาที่เธอด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไป ดวงตาของหล่อนสะท้อนความรู้สึกโกรธเคือง แม้จะไม่รู้ว่าหล่อนกำลังโกรธด้วยสาเหตุใดอยู่ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนความหนักอึ้งที่อยู่ในใจถูกสายลมเย็นๆ พัดพานหายไปจนหมดสิ้นเพียงเพราะคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า

     

    หรือนี่...คือสิ่งที่เรียกว่าความเข้าใจ?

    แต่คนอย่างหล่อนน่ะหรือ...จะเข้าใจความรู้สึกของเธอได้

     

    ความนิ่งเงียบที่ก่อตัวขึ้นไม่ได้สร้างความอึดอัดใจให้นีราพรรณเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเธอเห็นหญิงสาวที่อายุมากกว่าก้มใบหน้าลงเริ่มขยับตัว แล้วก้าวเท้าเข้ามาอีกหนึ่งก้าวซึ่งเพียงพอที่จะลบระยะห่างระหว่างเธอทั้งสองลงนั่นแหละที่ทำให้ความมั่นคงในการกระทำของตัวเองต้องพังทลายลงไป....

    ...เพียงเพราะหน้าผากมนของหญิงสาวตรงหน้าที่ได้สัมผัสเข้ากับบ่าของเธอราวกับต้นไผ่ที่ต้องลม

     

    “..ขอรบกวนคุณหญิง..สักครู่นะคะ”

     

    เสียงร้องขออันแผ่วเบาทำให้มือบางที่กำลังจะเลื่อนขึ้นมาปลอบประโลมจำต้องหยุดชะงักกลางคัน ร่างกายของหม่อมหลวงนาราภัทรสั่นเทาโดยที่ไม่มีใครต้องเอ่ยถามถึงสาเหตุ ความรู้สึกประหลาดใจที่กำลังเกิดนั้นทำให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณถึงกับทำตัวไม่ถูก ทว่าความรู้สึกที่ส่งผ่านการกระทำนั้นก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละนิด

    เพราะแม้จะอยากโอบกอดร่างบางตรงหน้าไว้มากแค่ไหนแต่หญิงสาวก็ทำได้เพียงแต่หักห้ามใจตัวเอง นีราพรรณเพียงบีบมือที่ตนยังคงกอบกุมเอาไว้แนบแน่นระหว่างที่รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ถูกปลดปล่อยออกมาเงียบๆ พร้อมกับพร่ำกล่าวคำขอโทษอยู่ในใจ

     

    ขอโทษที่เธอทำไม่ได้อย่างที่ลั่นวาจา..เพราะนีราพรรณไม่มีวันจะลืมน้ำตาของหล่อนได้ลง

     

     

     

    เสียงไก่ขันยามรุ่งสางกับอากาศที่เริ่มอุ่น ปลุกให้ร่างของหญิงสาวภายใต้ผ้าห่มสีน้ำเงินเข้มจำต้องผละกายออกจากเตียงนอนเพื่อทำหน้าที่ในชีวิตประจำวัน หม่อมหลวงนาราภัทรค่อยพาร่างที่ยังไม่ตื่นดีนั้นก้าวออกจากประตูพร้อมอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดร่างกาย ครั้นพอสายตาหยุดลงที่ประตูฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้องของใครอีกคน ความคิดบางอย่างก็เข้ามาให้เธอได้ไตร่ตรองในทันที

    สามวันมาแล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์วันนั้น นาราภัทรมาฉุกคิดได้ทีหลังว่าการกระทำอย่างนั้นมันช่างเป็นการกระทำที่น่าละอายนัก ทั้งอายุและตำแหน่งการงานที่มีมากกว่าแต่กลับอ่อนไหวเหมือนเด็กเสียจนไม่เป็นตัวเอง แม้หลังจากวันนั้นเธอจะไม่ได้พูดคุยอะไรเป็นจริงเป็นจังกับคุณหญิงนีราพรรณ แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่หล่อนไม่คิดจะนำมันขึ้นมาพูดอะไร

    ทว่ามือของหล่อนที่กอบกุมเธอในคราวนั้น..กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาเลยสักนิด

    นาราภัทรส่ายหน้าในทันทีที่ประโยคดังกล่าวเด่นชัดขึ้นในสมอง ความรู้สึกผะผ่าวแถบพวงแก้มบังคับให้มือข้างที่ว่างนั้นสัมผัสมันราวกับเพิ่งเคยเจอสิ่งแปลกปลอม ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าที่หญิงสาวจะจัดการความคิดที่เริ่มผิดแปลกไปให้เข้าที่เข้าทาง แล้วก้าวไปยังบริเวณท่าน้ำริมคลองด้านหลังที่พักอาศัยเพื่อใช้ชีวิตต่อไปเสียที

    สิ่งแรกที่นาราภัทรสัมผัสได้ระหว่างที่กำลังจะก้าวข้ามผ่านประตูก็คือความเย็นของอากาศที่ยังคงมีอยู่ ฝนซึ่งตกลงมาเมื่อตอนกลางคืนทำให้เช้าวันนี้ดูเย็นขึ้นกว่าสามวันที่ผ่านมา หญิงสาวกระชับผ้าสีขาวที่โอบรอบล้อมลำคอของตนเอาไว้ให้แน่นขึ้น หมายมั่นจะรีบจัดการร่างกายตนเองให้รวดเร็วที่สุดจะได้ไม่ต้องรู้สึกหนาวจนเกินไป

    “…?”

    “…”

    ทว่าพอก้าวออกห่างจากประตูมายังท่าริมน้ำได้ไม่นานนัก นาราภัทรก็จำต้องหยุดชะงักเมื่อมีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังจะเดินสวนมาในทิศทางเดียวกัน ใครคนนั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากหม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่นุ่งซิ่นแลเสื้อคอกลมสีขาวนวล คล้ายเตรียมตัวจะออกไปที่ใดสักแห่งที่เธอก็ไม่อาจรู้ได้

     

    นีราพรรณคลายรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในทันทีที่เห็นผู้มาเยือน “เพิ่งตื่นหรือคะ หลับสบายมั้ย”

    “ก็เหมือนทุกคืนนั่นแหละค่ะ” ร่างเพรียวเห็นหล่อนเสมองไปทางอื่นชั่วขณะก่อนจะหันมาถามกันอย่างใคร่รู้“แต่ทำไมคุณหญิงถึงตื่นเช้าแบบนี้?”

     

    เพราะอันที่จริงหากดูจากแสงของดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นอยู่รำไรแล้ว พวกเธอทั้งสองน่าจะตื่นก่อนเวลาที่จะนำขนมไปหาบเร่ขายเสียด้วยซ้ำ

    คนอายุน้อยกว่าเม้มริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยราวกับครุ่นคิด “ฉันว่าจะไปลาดตระเวนแถวตลาดจรดเขตรั้ววังเสียหน่อย แล้วก็...คิดจะกลับมาให้ทันตักบาตรพระด้วย”

    เพราะนี่เป็นการพูดคุยกันซึ่งๆ หน้าเพียงสองคนในรอบสามวันที่ผ่านมา แม้เธอจะทำใจไว้แล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะเกิดท่าทีกระอักกระอ่วนต่อกัน แต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นสามวันที่อับเฉาเกินกว่าที่คาดเดาไว้มาก เธอจึงไม่ลังเลเลยที่จะลองเอ่ยปากชักชวน เพื่อกระตุ้นใครอีกคนที่อาจจะมีความสนอกสนใจกันจนนึกอยากจะติดสอยตามมา

    ครั้นเมื่อเห็นดวงหน้าอิ่มของหญิงสาวอีกคนแสดงท่าทางไตร่ตรอง ความรู้สึกชอบใจภายในอกของนีราพรรณก็กลับกลายเป็นลิงโลดให้แทบเก็บอาการเอาไว้ไม่ได้

    “..ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับคุณหญิงด้วย”

     

     

    การตักบาตรยามเช้าแบบกะทันหันบริเวณปากทางเข้าตลาดทำให้คนที่เป็นตัวต้นคิดดูจะอารมณ์ดีเสียยิ่งกว่าคนที่ตามติดมาเพื่อหวังจะได้ข้อมูลข่าวสารจากการลาดตระเวน แต่กระนั้นหม่อมหลวงนาราภัทรก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นสิ่งที่แย่เท่าใดนัก น่าแปลกที่มันกลับทำให้เธอรู้สึกสบายใจที่เห็นว่าคุณหญิงนีราพรรณนั้นมีสีหน้าที่แช่มชื่นกว่าวันก่อนที่พวกเธอไม่ได้สนทนากันเสียอีก

    เมื่อรู้ตัวว่าตนเองคิดเช่นนั้น นาราภัทรก็พลันหยุดเดินแล้วแตะขมับตัวเองด้วยความสับสนไม่ได้

    นับแต่ที่เรื่องความต้องการสืบหาข้อมูลในบทสนทนาเมื่อยามเช้านั้นไม่ใช่สิ่งแรกที่ตำรวจอย่างเธอควรจะคำนึงถึง นับตั้งแต่ตอนนั้นหญิงสาวก็ค้นพบว่าตัวเธอนั้นกำลังแปลกประหลาดและแตกต่างออกไปมากขึ้นเสียทุกทีแล้ว

    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่หนอ

    “พี่นารา ช่วยฉันหน่อยได้มั้ยคะ”

    เสียงน่าฟังของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณซึ่งเอ่ยปากเรียกทำให้เจ้าของนามที่หยุดเดินจนเกิดระยะห่างประมาณสี่ห้าก้าวกลับมาได้สติอีกคราหนึ่ง นาราภัทรจึงรีบพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่มั่นคงอย่างเคยเข้าไปหาคนที่หยุดยืนอยู่หน้าแผงผักมากหน้าหลายตาตามคำ

    “วันนี้ฉันว่าจะทำน้ำพริกลงเรือ พี่คิดว่าเราควรเพิ่มอะไรอีกหรือเปล่า”

    ทั้งสรรพนามและรูปประโยคดั่งพี่น้องท้องเดียวกันไม่ได้เป็นเหตุที่สร้างความประหลาดใจอะไรให้้แก่เธอ แต่กลับเป็นประโยคคำถามง่ายๆ จากปากของคุณหญิงผู้สูงศักดิ์ตรงหน้ามากกว่าที่ทำให้นาราภัทรรู้สึกแปลกใหม่เช่นนี้

    “คุณ---..จะทำอาหารหรือคะ”

    นีราพรรณพยักหน้ารับด้วยความสงสัยเมื่อเห็นความประหลาดใจของหล่อน “ป้าแช่มไม่สบายแบบนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นน่ะสิคะ”

    เธอเห็นอีกฝ่ายอ้าปากด้วยความทึ่ง

    “—-ฉันหมายถึง ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?”

    ความประหลาดใจอย่างออกนอกหน้าของผู้เป็นเจ้านายนั้นทำให้นีราพรรณไม่เข้าใจเล็กน้อย “อยู่ในโรงเรียนเราก็ต้องทำนะคะ ยกเว้นเสียแต่ว่าจะสอบตกการเอาชีวิตรอด--”

    ประโยคของคนเป็นหม่อมราชวงศ์ไม่อาจไปต่อได้สำเร็จเมื่อหญิงสาวฉุกคิดอะไรบางอย่างออก บวกกับสีหน้าที่จะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออกของคนตรงหน้าที่แสดงราวกับว่าไม่อยากจะยอมรับในความเป็นจริงก็ทำให้นีราพรรณได้เข้าใจในที่สุด

    “…”

    “หรือว่า..พี่..”

    “…”

    เมื่อความเงียบกลายเป็นคำตอบ หญิงสาวผู้อ่อนกว่าก็อดไม่ได้ที่จะหลุดเปล่งเสียงออกมาให้คนฟังพอที่จะรู้สึกอับอาย ซึ่งการกระทำนั้นก็ตามมาด้วยฝ่ามือที่ฟาดลงมาเบาๆ ที่เอวของเธอโดยที่เจ้าตัวเหมือนไม่ทันได้ฉุกคิดถึงตำแหน่งยศศักดิ์ทางสังคมของเธอเลยสักนิดเดียว

    “หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะคะ” หม่อมหลวงนาราภัทรกล่าวทั้งดวงตาที่แสดงความขุ่นเคืองอย่างไม่จริงจังนัก “ฉันกำลังสั่งคุณอยู่นะ มันใช่เรื่องน่าหัวเราะเหรอ”

    ยิ่งเห็นท่าทางลุกลนในแบบฉบับของหล่อนแล้วนีราพรรณก็ยิ่งห้ามเสียงหัวเราะของตัวเองได้ยาก กระนั้นเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากอิ่มนั่นเริ่มจะเม้มแน่นขึ้นทุกที เธอก็จำใจจะต้องขับไล่ความรู้สึกขบขันให้จางหายลงไป

    เป็นถึงนักเรียนดีเด่นแลตำแหน่งสารวัตร..พนันได้เลยว่าใครมาได้รับรู้เข้าก็คงต้องรู้สึกขบขันเหมือนเธอเป็นแน่

    “งั้นช่วยฉันเลือกผักหน่อยได้มั้ยคะ ถ้าไม่มั่นใจอะไร...หันมาถามกันก็ได้”

     

     

    “ยังไม่หยุดอีก ฉันเตือนคุณแล้วนะ” น้ำเสียงที่เริ่มจะติดจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณซึ่งถือถุงวัตถุดิบคนละครึ่งกับหล่อนนั้นจำต้องยกมือปิดริมฝีปากที่กำลังจะส่งเสียงเอาไว้

    “ขอโทษค่ะ ฉันพยายามแล้ว”

    กล่าวตอบทั้งรอยยิ้มบนใบหน้าที่ยังคงเปล่งประกายดั่งแสงอาทิตย์ ซึ่งยิ่งเห็นดังนั้นนาราภัทรก็ยิ่งนึกไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ หากเป็นเจ้าพนักงานคนอื่นมาจ้องมองแล้วหัวเราะด้วยสายตาราวกับเอ็นดูเป็นเด็กๆ แบบนี้คงไม่พ้นถูกเธอต่อว่าไปฉาดใหญ่แน่

    แต่ในเมื่อเจ้าของการกระทำนั้นคือหม่อมราชวงศ์นีราพรรณ เธอถึงได้จำยอมทำเป็นหลับหูหลับตาไม่ยอมเอาความอะไร

     

    “เมื่อคืนเกือบจะเสร็จไปอีกคนเสียแล้ว”

     

    เสียงของบุรุษนายหนึ่งรับกับการแต่งตัวเยี่ยงข้าหลวงในวังที่เห็นผ่านตาไวๆ ทำให้ร่างของหญิงสาวทั้งสองที่กำลังเดินลัดเลาะไปใกล้อาณาเขตรั้ววังถึงกับชะงักฝีเท้า และเป็นหญิงสาวผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าอย่างนาราภัทรเองที่รู้สึกตัวจึงได้เป็นฝ่ายดึงรั้งร่างของหญิงสาวอีกคน ให้เข้าไปยังซอกตรอกระหว่างอาคารตึกแถวเพื่อดักฟังข้อมูลสำคัญในทันที

    ชายอีกคนที่มาด้วยกันกับคู่สนทนาถอนหายใจระหว่างนั่งอยู่ด้านหน้าร้านกาแฟของพ่อค้ารายหนึ่ง “ดีเท่าไหร่ที่เมื่อคืนไม่มีใครหาย แต่เสด็จก็กริ้วมากอยู่ดี”

    “ไม่ให้กริ้วได้อย่างไร อยู่ใต้จมูกท่านอย่างนี้ ไม่สั่งปิดวังก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ชายผู้เปิดบทสนทนานั้นกล่าวทั้งใส่อารมณ์ “แต่มันเป็นใครกันนะ แม่ข้าหลวงนั่นก็จำไม่ได้เสียด้วย เพราะหล่อนรู้ตัวอีกทีก็วิ่งหนีกลับไปวังของเสด็จเสียแล้วเนี่ยสิ”

    “เห็นว่าหล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เห็นน่ะคนหรืออะไร แต่ก็ทำเขาวุ่นวายกันทั้งคืนเชียว”

    ชายคนแรกโน้มตัวไปหาสหายของตนเองราวกับกลัวว่าจะมีใครได้ยิน “เอ็งว่ามันเป็นคนข้างในวังเราจริงๆ หรือวะ”

    ชายอีกคนกล่าวเสียงเบาเหมือนกัน “ถ้าไม่ใช่ก็คงเป็นผี เข้าออกข้างนอกเดี๋ยวลักคนนั้นลักคนนี้ที เลยไม่ได้กลัวโทษคอหลุดจากบ่าเท่าไหร่กระมัง”

    คู่สนทนาตบเข่าดังฉาด “เฮ้ย เอ็งก็พูดไปนั่น คืนนี้ต้องยืนเวรนะ”

    การลอบแอบฟังบทสนทนาที่พูดคุยกันอย่างออกรสนั้นเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคดีคนหายตัวไป ทว่าสมาธิของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณกลับไม่อาจมั่นคงได้อย่างใจนึก ด้วยกลิ่นหอมของน้ำปรุงคล้ายดอกไม้บางชนิดที่คอยรบกวนประสาทสัมผัสจากกายของหญิงสาวผู้ดึงรั้งเธอเข้ามาซุกซ่อน

    ดวงตาสีเข้มเคลื่อนจากบุรุษทั้งสองกลับมามองเจ้าของฝ่ามือใหญ่ที่ยังคงประคองรอบเอวและปลายนิ้วมือของตนด้วยประกายหลงใหล จมูกของหล่อนตรงเป็นสันรับกับริมฝีปากอิ่มน่ามอง พวงแก้มนิ่มระเรื่อเจือจางด้วยเลือดฝาดยามต้องกระทบแสงแดด และแค่เพียงใช้จินตนาการ นีราพรรณก็คล้ายกับจะสัมผัสถึงความหอมกรุ่นและนุ่มละมุนนั้นได้โดยการจ้องมองเพียงอย่างเดียว

    ดวงตาของหม่อมหลวงนาราภัทรเคร่งขรึมขึ้นทุกขณะที่ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นกำลังแล่นเข้าสู่ความคิด ดูเหมือนเจ้าคนร้ายในคดีนี้จะเหิมเกริมและมั่นใจในฝีือตนเองขึ้นถึงขั้นสามารถแฝงตัวอยู่ภายในรั้ววังได้โดยที่ไม่นึกสนใจว่าจะถูกจับได้หรือไม่ ยิ่งคิดถึงว่าจะต้องมีอีกกี่คนที่ต้องหวาดกลัวต่อไป ความคุกรุ่นที่เกิดขึ้นในจิตใจของหญิงสาวก็ยิ่งมีมากขึ้นทุกที

    “ก็จริงนี่หว่า เรายังไม่มีร่องรอยคนที่หายไปสักนิด ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรไปบ้างแล้ว ฉันก็ได้แต่คอยบอกให้เมียปิดประตูบ้าน อย่าไปไหนมาไหนยามดึกเท่านั้น” ชายทั้งสองลุกขึ้นทำท่าจะจากไปเมื่อเครื่องดื่มในแก้วร้อนๆ ของตนนั้นใกล้จะหมดลง

    “ก็หวังว่าตำรวจจะจับกุมมันได้เสียที ฉันล่ะอยากจะเห็นหน้าคนทำเสียจริงเลย”

    “เออ ได้ยินเรื่องที่หม่อมคนนั้นกระทำหรือไม่ ฉาวโฉ่ทีเดียวนะ”

    “โอ้ย มีใครไม่รู้บ้าง หม่อมเจ้าคนนี้เธอคว้าใครได้ตอนเมาก็ได้ไปหมด เมียเก็บกี่คนต่อกี่คนก็เห็นจะมีแต่คนในวังอย่างเราเท่านั้นกระมังที่กล้าจะนับได้.....”

    เสียงของบุรุษสองนายค่อยๆ เลือนรางไปตามทิศทางที่ได้เดินจากไป กระนั้นความรู้สึกกรุ่นโกรธในใจของนาราภัทรก็ยังไม่จางหายอย่างที่ควร ดวงหน้าสวยฉายแววเคร่งเครียดระคนตรึกตรอง หากไม่มีทางเข้าไปสืบความภายในวังได้ แล้วเหตุนี้ตำรวจอย่างพวกเธอมิต้องตกเป็นที่ครหาของประชาชนในภายภาคหน้าหรืออย่างไร

    นี่มันเป็นคดีที่ไม่มีทางไปต่อแล้วชัดๆ มิใช่หรือ?

    “สารวัตร”

    เสียงที่เอ่ยเรียกรวมทั้งสัมผัสบริเวณต้นแขนทำให้ความคิดด้านลบของหม่อมหลวงนาราภัทรหยุดลง เธอจึงมองเจ้าของฝ่ามือที่สัมผัสต้นแขนของตัวเองอย่างแผ่วเบาจรดใบหน้าสวยที่คลายรอยยิ้มเบาบางด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใย

    “ทำไมทำหน้าแบบนั้นคะ”

    “...ฉันคิดอะไรนิดหน่อย” เมื่อรู้ตัวว่าร่างกายของตนเองกำลังแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายโดยพลการ นาราภัทรก็เอ่ยปากขอโทษขอโพยทั้งละมือจากกายของหญิงสาวตรงหน้า “ขอโทษด้วยนะคะที่ดึงคุณหญิงเข้ามาแบบพลการ”

    ทว่าการกระทำของเธอกลับทำให้หล่อนหัวเราะเสียนี่ “น่าแปลกใจจังที่ฉันกลับประทับใจมากกว่า”

    “...คุณหญิงนิยมคนใช้ความรุนแรงหรืออย่างไรคะ” นาราภัทรพลันขมวดคิ้วใส่ เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีรสนิยมแตกต่างออกไปจากสตรีที่ต้องการความเอาใจใส่และทะนุถนอมมากกว่าการฉุดกระชากลากถูไปไหนมาไหนเหมือนนางบุษบาในวรรณคดี

    “ฉันนิยมความอ่อนโยนและทะนุถนอมมากกว่า...”

    คำพูดคำจาทั้งแววตาประหลาดแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไปทำให้หญิงสาวชะงักและจ้องมอง เป็นเหตุให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณใช้โอกาสนี้ในการสัมผัสเรียวแขนของหล่อนให้ขยับไปรอบกายของตนเองอย่างเชื่องช้าและแนบอิง เธอคลายยิ้มอ่อนโยนให้แก่หญิงสาวตรงหน้าที่ยังคงไม่ขยับไปไหน หวังให้ความใกล้ชิดอันเล็กน้อยนี้ทำหล่อนมองเห็นนัยในดวงตาของตนบ้าง

     

    “…โดยเฉพาะจากสารวัตรคนเดียว”

     

    ดวงตาที่ไร้ความซุกซนแต่แทนที่ด้วยความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่ออย่างเด่นชัดทำให้หม่อมหลวงนาราภัทรหายใจสะดุด ไหนจะเรียวแขนที่ถูกพาให้ล้อมรอบเอวบางอย่างจงใจของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์นั้นร้อนผ่าวราวกับต้องไฟ เธอเผลอสะดุ้งตัวและรีบถอยห่างออกมาเสียหนึ่งก้าว จนเห็นใบหน้าของคนช่างแกล้งที่กำลังแย้มยิ้มทั้งขบขันในปฎิกิริยาของเธอเมื่อครู่

    แต่แทนที่ความรู้สึกร้อนผ่าวนั้นจะสร้างความรู้สึกประหลาดและย่ำแย่ นาราภัทรกลับพบว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งยังแล่นผะผ่าวไปทั่วร่าง ซ้ำแล้วตัวเองยังทำเพียงแค่ตีหน้าเคร่งเพื่อซ่อนอาการเหล่านั้นเอาไว้แล้วกล่าวต่อไปอีกด้วย

    “เป็นคนแปลกๆ อย่างที่คนร่ำลือกันไว้จริงสินะคะ”

    แต่ไฉนเลยท่าทางที่กำลังยกมือขึ้นทัดใบหูของตัวเองเพียงชั่ววินาทีนั่นจะหลุดพ้นสายตาใครอีกคนไปได้

    “ฉันแปลกกว่าที่สารวัตรคิดอีก...” นีราพรรณเอ่ยปากตอบทั้งรอยยิ้ม ก่อนจะนึกกลั่นแกล้งหล่อนอีกครั้งด้วยการขยับฝ่าเท้าเข้าไปหาเจ้าของพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แล้วหยุดใบหน้าให้ห่างไว้กับปลายจมูกน่ารักนั้นเพียงฝ่ามือ

     

    “..ถ้าไม่เชื่อ...ก็ลองให้ฉันอยู่ในสายตาของคุณสักอาทิตย์หนึ่งดูซิคะ”

     

     

    ร่างของหญิงสาวในเสื้อแขนกุดแสนสบายกับผ้าซิ่นลายสีม่วงครามก้าวเท้าลงมาจากห้องของตนเมื่อเวลาได้ล่วงเลยเข้าไปในยามบ่าย และทันทีที่ฝ่าเท้าถึงพื้นดินโสตประสาทการได้ยินของหม่อมหลวงนาราภัทรก็สัมผัสได้ถึงการหยอกล้อไปมาของเหล่าเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในบ้านใกล้เรือนเคียง เธอเห็นหญิงกลางคนทอดกายอยู่บนเก้าอี้สานตัวโปรด ดวงตาคู่เดิมที่เคยสงบนิ่งและเย็นชามีประกายผ่อนคลายยามเมื่อเจ้าของมันได้ยินเสียงหัวร่อของผู้คนเคล้าไปกับดนตรีที่เปิดคลอจากเครื่องวิทยุไม่ไกลกัน

    “เห็นนิ่มไหมจ้ะป้าแช่ม”

    “โน่น” หญิงกลางคนตอบด้วยท่าทางผ่อนคลาย ใช้พัดใบสานในมือชี้ไปยังทิศทางที่ว่า “ตรงเสียงเจื้อยแจ้วกับพวกเด็กๆ นั่นแหละ”

    เมื่อได้รับคำตอบจากเจ้าของบ้านนาราภัทรก็ค่อยพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงแม้จะไม่อยากทำตามที่หล่อนเคยกล่าวไว้ว่าให้ ‘อยู่ในสายตา’ แต่หญิงสาวก็ค้นพบว่าเธอถอนสายตาจากหม่อมราชวงศ์นีราพรรณได้อยากขึ้นกว่าที่เคย

    ใช่ว่านาราภัทรจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามในด้านฝีมือของหญิงสาวสูงศักดิ์มาก่อน นาราภัทรจำได้ว่าคราวแรกที่ได้ยินชื่อของคุณหญิงนีราพรรณก็เมื่อตอนที่หล่อนได้บรรจุเป็นผู้หมวดในสำนักงานตำรวจพระนคร หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าคนท่าทางเปราะบางและดูเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้อย่างพวกคุณหญิงคุณนายจะสนใจอาชีพการทำงานนี้ไปทำไม แต่คาดเดาจากคำกล่าวของคนรอบข้าง และเหตุการณ์ที่หล่อนนำทีมไปช่วยเหลือน้องสาวคนเล็กแห่งวังทัตพงศ์มาลี ก็ทำให้นาราภัทรเริ่มจับตามองหล่อนเป็นระยะในฐานะเจ้านายและลูกน้องขึ้นมาบ้าง

    ทว่ายิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันในสถานะของหน้าที่การงาน นาราภัทรก็เริ่มที่จะเห็นความแปลกแตกต่างจากบรรดาหญิงสาวชนชั้นสูงทั่วไป หม่อมราชวงศ์นีราพรรณไม่เพียงทำหน้าที่ปลอมตัวเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาได้อย่างแนบเนียน หล่อนยังอาสาใกล้ชิดผู้คนในละแวกนี้ด้วยการสอนการบ้านเด็กๆ ที่มีการศึกษาและที่ไม่มีโอกาสได้รับ นวดเฟ้นเอาใจยามผู้อาวุโสปวดเมื่อยและตั้งใจเล่าเรื่องต่างๆ ให้กับหล่อน ไหนจะการตั้งอกตั้งใจทำขนมจากแป้งที่เหลือยามว่าง แจกจ่ายให้บรรดาเด็กเล็กๆ จนบริเวณร้านของหญิงกลางคนกลายเป็นสถานที่ชุมนุมย่อมๆ ไปอย่างง่ายดาย เพราะความใจดีและรอยยิ้มน่ามองของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่คอยดึงดูดผู้คนนั่นเอง

     

    ...แม้แต่เธอยังเผลอยิ้มไปกับการกระทำแสนธรรมดาของหล่อนวันละหลายครั้งเสียด้วย

     

    เดินออกห่างจากบริเวณด้านหน้าต่อไปประมาณสิบกว่าก้าวเธอก็ได้เดินทางมาถึง ซอยแห่งนี้เมื่อเข้ามาถึงด้านในสุดแล้วจะไม่มีเส้นทางให้ก้าวไปต่อเพราะถูกสร้างขึ้นเป็นกำแพงที่ถูกขีดเขียนเป็นรูปร่างต่างๆ จนกลายเป็นดั่งกระดาษส่วนตัวของเหล่าเด็กๆ ที่มารวมตัวเพื่อวิ่งเล่นกันจนเหนื่อย มุมหนึ่งของมันมีแคร่ไม้ขนาดกลางที่ชาวบ้านตั้งใจนำมันมาวางไว้เพื่อพูดคุยและนั่งพัก บางครั้งก็กลายเป็นที่เรียนหนังสือและที่นั่งเฝ้าของเด็กกับครอบครัวบางจำพวก และนาราภัทรก็เห็นหล่อนนั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับเข็ม ด้ายและสะดึงที่ตรึงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งไว้ในมือ

    หม่อมราชวงศ์นีราพรรณนั่งอยู่บนแคร่ด้วยแผ่นหลังที่ตั้งตรง เรียวขาใต้ซิ่นผืนลายนั้นไขว่กันดูสง่างาม ท่วงท่ากิริยาที่ได้รับการขัดเกลามาแต่อ้อนแต่ออก...นี่กระมังที่เป็นความแตกต่างระหว่างเชื้อสายที่ห่างกันเพียงแค่ขั้นเดียว

    เพราะคำว่าแข็งกระด้างที่เด่นชัดอยู่ภายในจิตสำนึกของนาราภัทรเป็นเครื่องย้ำเตือนชั้นดีมาแต่ไหนแต่ไร

    “พี่ต่าย” เด็กน้อยผมจุกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาเกาะที่เรียวขาของหญิงสาวซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้วยรูปประโยคที่ยังไม่ชัดเจนนักตามอายุ “เล่นกัน เล่นกัน”

    และการกระทำนั้นทำให้นาราภัทรที่จมอยู่ในความคิดของตนเองรู้สึกตัว “…หมายถึงกระต่ายหรือ”

    “ใช่ๆ เล่นกับพวกหนึ่งหน่อยนะ คนมันไม่พอ” เพราะสงสัยในสรรพนามที่เด็กน้อยเอ่ยเรียก เด็กสาวร่างสูงเกินกว่าอายุวัยสิบขวบปีก็เดินตรงเข้ามาประคองฝ่ามือของเธอไว้พร้อมกับแววตาอ้อนวอน นาราภัทรจำได้ว่าเด็กสาวเป็นบุตรของบ้านที่อยู่เกือบถึงท้ายซอยตรงนี้ แม้จะเคยเห็นหน้าค่าตากันมาบ้างเพราะหน้าตาที่คล้ายกับกระต่ายและความสูงเกินวัยอันเป็นเอกลักษณ์ แต่นาราภัทรก็ไม่ได้มีเวลามาสุงสิงอยู่ท่ามกลางบรรดาเด็กๆ แบบนี้

    “ตัวโตขนาดนี้แล้ว ยังจะไปเล่นกับเด็กๆ อีกเหรอ”

    ร่างของคุณหญิงนีราพรรณที่ลุกจากแคร่ขึ้นมาโดยที่เธอไม่ทันสังเกตหยุดยืนข้างกายของเด็กสาว ใบหน้าสวยของหล่อนฉายรอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนตามประสาผู้ใหญ่ที่กำลังเอ็นดูหลานสาวตัวน้อยก็ไม่ปาน

    “ตัวโตแล้วเกี่ยวอะไรล่ะพี่นิ่ม” เด็กสาวที่ชื่อหนึ่งนั้นเป็นเด็กตัวโตและนับเป็นหัวโจก จึงเบ้ปากใส่หล่อนได้อย่างหาญกล้า “เย็บปักถักร้อยที่พี่สอนให้มันไม่สนุกนี่นา”

    นาราภัทรที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าอยู่ท่ามกลางบทสนทนาค่อยๆ เอ่ย “เอ่อ...แต่ว่าฉันไม่สะดวก--”

    ครั้นจะเปิดปากปฏิเสธยังไม่ทันจบประโยค เธอก็พลันสบเข้ากับดวงตาเป็นประกายของเด็กสาวตัวสูงตรงหน้าที่อ้อนวอนด้วยความกระตือรือร้นจนกล่าวอันใดต่อไม่ได้

    “อย่าทำให้ผู้ใหญ่ลำบากใจสิคะ” นีราพรรณที่เห็นอีกฝ่ายกำลังแสดงท่าทีลำบากใจก็ใช้หลังมือเคาะลงข้างหน้าผากเด็กสาวเบาๆ เป็นการปราม “อยากได้การบ้านเพิ่มจากที่เรียนอยู่แล้วอีกไหม?”

    เด็กสาวร้องโอยก่อนจะปรี่ไปยังด้านหลังของนาราภัทรอย่างเร่งรีบ ขณะที่ถูกปลายนิ้วของผู้ใหญ่ช่างแกล้งที่เป็นทั้งพี่สาวข้างบ้านและครูสอนภาษาชี้มาอย่างคาดโทษ “พี่นารา ช่วยด้วย”

    “อย่าหลบหลังผู้ใหญ่หนีความผิดนะ”

    คนอายุเด็กกว่าโผล่หน้าออกมาจากหัวไหล่บางแล้วโต้แย้ง “หนึ่งไม่ได้ผิดซะหน่อย ถ้าพี่ตีหนึ่ง หนึ่งจะบอกนะว่าพี่ินิ่มน่ะชอบมอง----”

    “เอาล่ะ หยุดทั้งคู่เลยนะ” เป็นนาราภัทรเองที่ทนต่อเสียงเจื้อยแจ้วระหว่างผู้ใหญ่และเด็กทั้งสองคนไม่ได้ เธอจึงได้ยกมือปรามบทสนทนาที่กำลังจะไปต่อ โดยไม่ทันได้สังเกตแววตาโล่งอกโล่งใจของผู้ใหญ่ตรงหน้า “เดี๋ยวจะเล่นเป็นเพื่อนแล้วกัน”

    “….”

    นาราภัทรขยับมือไปดึงร่างของเด็กสาวตัวโตให้ออกมาด้วยรอยยิ้มใจดี “แต่มีข้อแม้ว่าน้องสาวฉันต้องเล่นด้วยนะ”

    “ดีๆ มาเล่นกันเลย ทีนี้จะได้แบ่งสองกลุ่มได้พอดีแล้ว”

    เมื่อข้อตกลงระหว่างผู้ใหญ่และเด็กสาวที่จู่ๆ ก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสร็จสิ้น สายตาทั้งสองคู่ก็จับจ้องมาที่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณโดยพร้อมเพรียง ความคิดที่จะปฏิเสธในทีแรกทำให้คุณหญิงนิ่มกำลังจะเปิดปาก แต่อยู่ๆ ก็มีบรรดาเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ก่อนหน้ามารอบล้อมตัวตามคำของเด็กสาวตัวโต นีราพรรณจึงทำเพียงได้แค่ถอดทอนใจออกมา

    “...อย่างนั้นก็ได้”

    สุดท้ายแล้วเธอและหม่อมหลวงนาราภัทรก็จำต้องถูกแบ่งออกไปกับกลุ่มเด็กๆ สองแถวเพื่อเดินสวนเด็กตัวโตที่จับมือของเด็กตัวเกือบเท่าๆ กันเป็นซุ้มทางเดิน นีราพรรณจับไหล่ของเด็กที่สูงระดับอกตัวเองไว้แล้วค่อยเดินตามเสียงร้องของเหล่าเด็กๆ ที่ร่วมใจกันเป็นอย่างดี ส่วนสายตาก็ประเมินจากสถานการณ์ตรงหน้า ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กตัวโตคิดจะลดแขนลงตั้งแต่ตอนไหน แต่ดูท่าทั้งเธอและนาราภัทรก็คงไม่แคล้วเป็นเป้าหมายจากพวกหล่อนเป็นแน่

    รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก.....”

    เมื่อบทเพลงประจำการละเล่นถูกร้องไปประมาณสองรอบนาราภัทรและหญิงสาวอีกคนก็ยังคงเอาตัวรอดจากวงแขนของเด็กสาวและเพื่อนไปได้อยู่ ความรู้สึกสนุกแบบที่ไม่ได้สัมผัสมานานทำให้เธอเผลอส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นบางครั้งยามเมื่อเด็กจำนวนหนึ่งถูกคัดออกไปและคอยส่งเสียงเชียร์อยู่รอบๆ

    กระทั่งในรอบที่ห้าที่เหลือจำนวนคนอยู่ไม่มากนัก ท้ายที่สุดแล้วนาราภัทรก็ไม่อาจหนีอ้อมแขนของเด็กสาวตัวโตพ้น กระทั่งคุณหญิงนีราพรรณที่เริ่มออกอาการแสดงสีหน้าเหนื่อยอ่อนที่จะหลีกหนี ก็ยังต้องถูกแม่เด็กสาวคนนี้รวบเข้ามาภายในอาณาเขตของตนไปด้วยจนได้

    “หนีไม่พ้นแล้ว~” เด็กสาวคนนั้นพูดด้วยสีหน้าล้อเลียน จนคนเป็นหม่อมราชวงศ์ถึงกับขบเคี้ยวเขี้ยวฟันใส่

    “เดี๋ยวเถอะ ยายเด็กคนนี้”

    ทว่าบทสนทนาเหล่านั้นกลับไม่เข้าสู่โสตประสาทของนาราภัทรเลยสักนิด สิ่งที่หญิงสาวรับรู้กลับเป็นอาการจะหัวเราะก็ไม่ได้จะคลายยิ้มก็ไม่ถูก เพราะครั้งล่าสุดที่ได้เข้าใกล้หล่อนจนมองเห็นจุดสีดำบนสันจมูกของคุณหญิงผู้นี้ก็เมื่อครั้งที่เธอฉุดรั้งหล่อนไว้เพื่อลอบฟังข่าวสารในวันนั้น ไม่รู้ว่าเพราะตลอดอาทิตย์ที่ได้สังเกตชีวิตด้านอื่น ๆ ของหล่อนหรือเปล่า ยามเมื่อแขนของตนเองสัมผัสผิวกายเนียนละเอียดอย่างผู้ดีของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณถึงทำให้นาราภัทรสะท้านราวกับถูกไฟฟ้าสัมผัสหัวใจก็ไม่ปาน

    ไหนจะยังใบหน้าของหล่อนที่หันมามองกันราวกับกังวลว่าเธอจะบาดเจ็บจากเรี่ยวแรงของเด็กๆ ผู้ทุ่มเท..แววตาที่อ่อนลงเพราะความกังวลใจนั้น..กำลังสั่นคลอนกำแพงที่เธอเคยขีดเส้นแบ่งระหว่างความสัมพันธ์ตามคำของผู้เป็นมารดาเอาไว้ทีละน้อย..

     

    เป็นเรื่องเข้าแล้วสิเรา....

     

     

     

     

     

    เสียงสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่ร้องอยู่ตามริมคลองราวกับจะแข่งขันกันทำให้ค่ำคืนนี้คาดเดาได้ว่าหยาดฝนก็คงจะตกลงมาเหมือนอย่างเคย หม่อมราชวงศ์นีราพรรณในชุดเตรียมเข้านอนเพิ่งจะเสร็จสิ้นการเขียนรายงานประจำวันที่ตนนั่งจัดการอยู่ด้านล่าง เมื่อก้าวเท้าไปยังด้านหลังเพื่อจะดำเนินเส้นทางสู่ชั้นบนห้องนอน หญิงสาวก็พลันเหลือบไปเห็นร่างของผู้อยู่อาศัยอีกคนหนึ่ง โดยที่ข้างๆ กายก็มีตะเกียงเจ้าพายุอยู่ข้างตัวไม่ไกล

    หม่อมหลวงนาราภัทรซึ่งนั่งอยู่บริเวณบันไดไม้นั่นก่อนจะเคลื่อนมือไปหยิบคว้ากลีบดอกสีขาวที่ร่วงหล่นลงมาบนหน้าตัก นีราพรรณเห็นหญิงสาวพิจารณามันด้วยความสนเท่ห์ก่อนจะคลายยิ้มเบาบาง แม้จะไม่รู้ว่าหล่อนกำลังคิดคำนึงถึงอะไรอยู่ แต่ยามเมื่อเจ้าตัวหยิบดอกไม้สีขาวนั้นเข้าใกล้ปลายจมูกแสนน่ารัก นีราพรรณก็นึกอิจฉามันขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยคิดจะเป็น...

    เสียงฮัมเพลงในลำคอปลุกให้ร่างของคนที่แอบมองอยู่บริเวณประตูรู้สึกตัวว่าที่กำลังกระทำอยู่นั้นไม่ถูกไม่ควร หญิงสาวจึงตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปหาเจ้าของเสียงดนตรีหวานนั้นอย่างเชื่องช้า เพื่อหวังว่าจะได้ฟังบทเพลงที่อีกฝ่ายกำลังดื่มด่ำมันขณะจ้องมองพระจันทร์สีเหลืองนวลให้นานขึ้นกว่านี้

    “นอนไม่หลับหรือคะ”

    เมื่อส่งเสียงออกไปบทเพลงนั้นก็หยุดลงอย่างน่าเสียดาย หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยที่เห็นว่าเธอก้าวเข้ามานั่งเคียงข้าง ก่อนจะพยักหน้ารับและเอ่ยถามกลับมาบ้าง “แล้วคุณหญิงล่ะ”

    เพราะเสียงหวานที่ยังคงติดอยู่ในความคิด ทำให้ใบหน้าของคุณหญิงนีราพรรณยังคงมีรอยยิ้มพออกพอใจระคนชื่นชมขณะหยุดสายตาไว้ที่หล่อนขัดกับประโยคความเป็นจริง

    “ฉันอยากมองดาวน่ะ”

    น่าแปลกที่นับวันความทนทานต่อประกายซุกซนจากดวงตาของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณจะอ่อนลงทุกที เป็นครั้งแรกในหลายปีที่นาราภัทรไม่รู้ว่าเธอควรจะวางสายตาของตนไว้ตรงไหน ความรู้สึกเก้อเขินพาลพาให้หัวใจดวงน้อยคับแน่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอจึงคิดตั้งใจจะถอยห่าง เพื่อหวังจะไปตั้งหลักทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเองในวันนี้ให้มากขึ้นกว่าเก่า

    “..ถ้าอย่างนั้น ฉันคงขอตัวก่อน”

    แต่เพียงแค่หญิงสาวลุกจากจุดที่ได้นั่งทอดกายเพื่อรับสายลมท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม หม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็เอื้อมมือไปคว้าตำแหน่งเดียวกันของอีกฝ่ายเอาไว้ให้หล่อนได้หยุดชะงัก

     

    “ถ้าสารวัตรไม่รังเกียจ..จะให้เกียรตินั่งกับฉันได้มั้ย”

     

    ประโยคเรียบง่ายทว่ามันเต็มไปด้วยความเว้าวอน น้ำเสียงนุ่มนวลอันเป็นเอกลักษณ์บวกกับแววตาที่หม่นลงเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะจากไป ดวงหน้าที่สะท้อนแสงไฟในตะเกียงและดวงจันทร์เหนือศีรษะของเธอสองคนทำให้มองเห็นทุกสัดส่วนบนใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน นาราภัทรไม่เคยเห็นหล่อนแสดงสีหน้าแบบนี้มาก่อน เธอไม่เคยรู้เลยว่าสีหน้าอ้อนวอนเบื้องหลังรอยยิ้มซุกซนและเจ้าความคิดเช่นนั้นของคุณหญิงนิ่มจะทำให้เธอรู้สึกเช่นนี้ได้

    อาจเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกถึงความแตกต่างจากการเป็นหญิงสาวชนชั้นสูง...เธอไม่เคยได้รับสายตาดูถูกดูแคลน..หรือกระทั่งความรู้สึกปรามาสจากหล่อนเลยแม้แต่น้อย

    …ในท้ายที่สุดแล้ว หญิงสาวก็พ่ายแพ้ให้แก่มันจนต้องยอมนั่งลงข้างหล่อนตามเดิม

    “ฉันไม่ได้มีเกียรติให้คุณหญิงต้องขอร้องขนาดนั้นหรอก...” เธอว่า “แต่จะยอมนั่งอยู่ต่ออีกสักพักก็แล้วกันนะคะ”

    เมื่อได้ฟังดังนั้นสีหน้าของหญิงสาวก็ดีขึ้นตามลำดับ นีราพรรณที่เงียบฟังเสียงร้องของกบน้อยรอบข้างก็กล่าวออกมาอีกครั้งหนึ่ง “เพลงเพลงนั้น...ดูไพเราะดีนะคะ”

    “แม่ฉันเคยร้องกล่อมนอนตอนเด็กๆ ค่ะ” อีกฝ่ายเข้าใจถึงสิ่งที่เธอพูด จึงกล่าวอธิบายออกมาอย่างไม่คาดคิดอะไร “เพราะเป็นเด็กหลับยาก ก็เลยต้องให้ท่านคอยร้องเพลงนี้อยู่ทุกคืน”

    แต่เมื่อสิ้นสุดประโยคนั้นก็ตามมาด้วยความเงียบ ริมฝีปากของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณค่อยเค้นออกมาอย่างเชื่องช้าขณะที่ดวงตาได้ย้อนเวลากลับไปไกล

    “ถ้าฉันได้ฟังเพลงเพราะๆ ก่อนนอนก็คงดีเหมือนกัน”

    ครั้นเมื่อรู้สึกถึงอากัปกิริยาที่แตกต่างออกไปนาราภัทรก็ฉุกคิดถึงอะไรบางอย่าง ดวงตาคู่สวยนั้นเบิกกว้างขึ้นน้อยๆ เมื่อได้รับรู้ว่าตนเองได้กล่าวเรื่องไม่ถูกไม่ควรออกไปเสียแล้ว

    ตามข่าวคราวที่เคยได้ยินจากผู้คนที่กล่าวถึงวังทังพงศ์มาลี บรรดาหม่อมของหม่อมเจ้าพลจานุกิจเกิดเจ็บป่วยจากโรคระบาดที่เกิดในช่วงเวลานั้นพร้อมกันจนสิ้นไปตั้งแต่ที่บุตรทั้งหลายยังเยาว์ ไม่นานหลังจากนั้นเอง หม่อมเจ้าพลจานุกิจก็จากไปด้วยอาการป่วยเรื้อรังเช่นเดียวกัน ทิ้งให้วังดอกไม้แห่งนั้นเหลือเพียงแต่เหล่าต้นกล้าอ่อนที่รอวันเติบโตไปตามเวลา

    ฉะนั้นหากจะพูดถึงความเสียใจที่สูญเสียมารดา...นาราภัทรก็ไม่อาจเข้าใจมันได้ดีเท่ากับคุณหญิงนีราพรรณ

    “ฉัน..”

    ร่างเพรียวที่ทอดสายตาไปในความทรงจำของตนนั้นหันมามองหญิงสาวซึ่งเงียบไปพักใหญ่อีกครั้ง “?”

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณหญิงนึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีหรอกนะคะ”

    มองเห็นสีหน้าและแววตาที่แสดงอาการรู้สึกผิดอย่างที่หล่อนไม่จำเป็น นีราพรรณก็จำต้องคลายยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกมากมายที่อยู่ภายใน หม่อมหลวงนาราภัทรเป็นตำรวจที่เธอไม่เคยเห็นหล่อนแสดงท่าทางเหล่านี้มาก่อนเลยสักครั้ง มันจึงเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ที่ตอนนี้มีเพียงเธอที่ได้รับความเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ จากหล่อนเท่านั้น

    “ที่สารวัตรพูดมาก่อนหน้านี้....”

    “….”

    “เกียรติมีไว้ให้คนรอบข้างมองและสรรเสริญ หากจะตอบว่าใครคนนั้นมีเกียรติหรือไม่...”

    ประโยคของหญิงสาวทำให้นาราภัทรจำต้องเคลื่อนสายตาขึ้นไปมอง กริยาของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเป็นเสมือนแรงดึงดูดให้ติดตาม เห็นหล่อนคว้าดอกไม้สีขาวที่ร่วงหล่นมาก่อนหน้าบนหน้าตักของเธอไปถือไว้ด้วยท่าทีอันเชื่องช้าแต่ชวนฝันทุกวินาที...หัวใจซึ่งเคยเต้นแรงอย่างไม่ฟังเจ้าของก็เคลื่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง

     

    “...ให้คนนอกสายตาสารวัตรอย่างฉัน เป็นคนตัดสินเสียเองจะดีกว่า”

     

    ท่ามกลางแสงไฟจากตะเกียงและดวงจันทร์ยามค่ำคืน ดอกยี่หุบดอกนั้นบนปลายนิ้วมือของคุณหญิงนีราพรรณถูกหยิบยื่นออกมาตรงหน้าราวกับจะร้องขอไมตรี...นาราภัทรคิดว่าในเวลานี้มันไม่มีอะไรเด่นชัดไปกว่าภาพสะท้อนของตัวเองในดวงตาของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อีกแล้ว..เจ้าของดวงตาอันมีประกายหลงใหลและเสน่หา ทว่ากลับแตกต่างจากชายหนุ่มผู้นั้นจนไม่อาจเอามาเทียบเคียงอะไรได้

    หญิงสาวผู้สื่อความหมายผ่านดวงตาที่เธอเคยปฏิเสธมันมาโดยตลอด...ในวันนี้กลับทำให้ดวงใจที่ตั้งตระหง่านไม่แม้แต่จะอ่อนไหวให้แก่สายลมนั้นเปราะบางดั่งกระจกแก้วก็ไม่ปาน..

    เมื่อความเงียบเข้าครอบคลุม เจ้าดอกยี่หุบที่รอคอยผู้รับคล้ายกับจะเริ่มเย็นเพราะการเฝ้ารอที่ดูไร้จุดหมายปลายทาง การขอไมตรีจากหล่อนในวันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการให้อีกฝ่ายไว้วางใจ แต่ยังหมายถึงการให้เธอได้ทะนุถนอม..เฝ้าดูและพร่ำบอกว่าหล่อนมีคุณค่าซ่อนอยู่มากเพียงไหน..หากยี่หุบดอกนี้ถูกปัดปฏิเสธไป นีราพรรณก็คงไม่ต่างอะไรกับเจ้ายี่หุบดอกแล้วดอกเล่าที่ร่วงหล่นด้วยหยาดฝนยามค่ำคืนที่ผ่านมา...

    แต่เมื่อปลายนิ้วของหญิงสาวตรงหน้าเธอเคลื่อนมารับมันไว้...ดวงใจที่หนักอึ้งไปก็พลันเบาขึ้นทีละน้อย

     

    “..เช่นนั้นคุณหญิง..ช่วยสอนฉันหน่อยได้ไหมคะ”

     

    รอยยิ้มอิ่มเอมใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณในทันที “...ด้วยความยินดีเลยค่ะ”

     

     

     

     

    นักแสดงรับเชิญ

    คุณหญิงดารารินทร์: คิม ดาฮยอน

    คุณหญิงจินณวัตร : ยู จองยอน

    หม่อมหลวงอิลลาสินี : อาริน Oh My Girl

    หนึ่ง : จาง วอนยอง izone

    จ่าธงชัย : แทยง nct

     

     

    TBC.

    #ฟิคแก้วตาสุมาลี #หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×