ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TWICE | OS/SF : #Xslibrary

    ลำดับตอนที่ #15 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ : ดอกยี่หุบ ๑

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 63


    ดอกยี่หุบ

         “…หอมดอกไม้ใกล้กุฏิ   สายหยุดมลิลา

    ยี่หุบบุปผา    แย้มผกากลิ่นขจร…”

                                         พระอภัยมณี : สุนทรภู่

    พ.ศ. 2507 

    หนึ่งสัปดาห์ต่อมา 

    ท่ามกลางชาวบ้านประปรายที่คอยเดินเท้าและทอดสายตามองตามยามเมื่อบางสิ่งลอดผ่านประตูซึ่งเขียนว่า ‘สำนักงานตำรวจพระนคร’ หายลับ รถยนต์คลาสสิคคันงามสีเข้มมันวาวก็เลี้ยวเข้ายังโรงจอดรถด้านหน้าอาคารสีขาวทรงฝรั่งด้วยความคุ้นเคย ก่อนจะปรากฏร่างเพรียวสง่าของหญิงสาวในเดรสสีขาวพริ้วระบายรัดรอบด้วยเข็มขัดหนังสีดำเผยสัดส่วนที่เหมาะสมอันไม่มากไม่น้อยจนเกินไป  

     

    หญิงสาวก้าวเท้าลงจากรถยนต์คู่ใจคันโปรด เส้นผมที่ยาวเลยบ่าและชุดทำงานสีกากีซึ่งพาดล้อมรอบเรียวแขนอยู่นั้นต้องสายลมในยามเช้าของวันเป็นระยะยามเมื่อเธอย่างกรายเข้าไปหาอาคารสองชั้นเบื้องหน้า ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณ หรือที่รู้จักกันสั้นๆ เพียงว่าคุณหญิงนิ่ม ผู้เป็นดอกไม้คนรองแห่งวังดอกไม้กลางพระนคร อย่างเช่น ‘วังทัตพงศ์มาลี’

     

    ร่างเพรียวบางเคลื่อนกายเข้าไปในอาคารทรงฝรั่งอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เพราะแม้จะเข้าใกล้ยามสายแล้ว แต่เจ้าพนักงานทุกคนก็ยังคงมาไม่ครบองค์ประชุม เพราะภายในห้องของหน่วยสอบสวนยามนี้ มีเพียงแค่ตำรวจหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกันสองคนที่กำลังมีสีหน้าคร่ำเคร่งระคนเหนื่อยอ่อนเพราะคู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่กำลังมาร้องทุกข์อยู่ตรงหน้า ซึ่งจากที่นีราพรรณลองฟังๆ ผ่านหูดูแล้ว หญิงสาวก็พบว่าเป็นเพียงเรื่องแบ่งผลประโยชน์หลังหย่าร้างไม่ลงรอยกันก็เท่านั้น 

     

    “มีเรื่องแต่เช้าเลยหรือจ่า” 

     

    หญิงสาวผู้สวมชุดราชการสีกากีและคาดด้วยสายหนังสีดำบนอกถึงกับแสดงสีหน้าโล่งใจออกมาเมื่อได้พบหน้าเธอ หล่อนคือจ่าสิบตำรวจรวิภา หนึ่งในเจ้าพนักงานแห่งสำนักงานตำรวจพระนครที่ตัวเธอนั้นไว้วางใจ  

     

    “นับว่าโชคดีค่ะ เพราะเวรเช้านี้ไม่ใช่ของฉัน” 

     

    หม่อมราชวงศ์นีราพรรณคลายยิ้มจางๆ แล้วกล่าวด้วยแววตาทีเล่นทีจริง “แต่ผลักภาระไปให้จ่าธงชัยคนเดียว?...อืม ฉันคงต้องคุยกับผู้กองนิชเรื่องเวรยามใหม่เสียแล้วสิ”

     

    รวิภาหน้าถอดสีเมื่อได้ยินประโยคนั้น เพราะหล่อนรีบยืนตัวตรงแทบจะทันที “คุณหญิง เมื่อครู่ฉันแค่พูด--”

     

    “สีหน้าใช้ได้ พอใจล่ะ” ไม่ทันให้ได้อธิบายนีราพรรณก็กล่าวตัดจบหญิงสาวไปดื้อๆ ทิ้งให้เจ้าหล่อนแสดงท่าทีอ้ำอึ้งอย่างกล่าวว่าอะไรเป็นคำออกมาไม่ได้ จนพนักงานอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันต้องดันให้นั่งลงและเอ่ยปากผ่านสายลมมาว่าหล่อนโดนเธอหลอกเข้าให้อีกจนได้

     

    ใช้เวลาสักพักในการกลับมาจากห้องแต่งกายเปลี่ยนเป็นชุดราชการเช่นเจ้าพนักงานคนอื่น ผมที่เคยคลอเคลียอยู่ด้านหลังและต้นคอถูกรวบมัดเป็นมวยไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและสบายตา หญิงสาวกลับมายังที่โต๊ะประจำตำแหน่งของตนเองพร้อมกับชุดที่สวมมาก่อนหน้าในอ้อมแขน ประจวบกับที่จ่าธงชัยได้จัดการปัญหาของคู่สามีภรรยาผู้ร้องทุกข์เป็นที่เรียบร้อยแล้วกำลังทิ้งตัวนั่งลงอย่างอ่อนล้าราวกับลงสนามฝึกมาอย่างไรอย่างนั้น 

     

    “ปัญหาครอบครัว ซับซ้อนจนน่าปวดหัวเหลือเกิน” ชายหนุ่มกล่าวขณะทิ้งศีรษะลงไปยังโต๊ะประจำตำแหน่งซึ่งอยู่ด้านขวาของเธอ เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วนีราพรรณจึงอดกล่าวทั้งกลั้วหัวเราะไม่ได้ 

     

    “ถ้ามันจัดการง่ายขนาดนั้น ทุกวันนี้คงไม่มีรายงานเรื่องการทะเลาะวิวาทอยู่ทุกวันหรอก”

    “คดีคนหายก็น่าปวดหัวอยู่แล้วทุกวันแท้ๆ” จ่าสิบตำรวจธงชัยกล่าวพลางถอนหายใจ “คุณหญิงพอจะทราบไหมครับว่าสารวัตรมีเบาะแสใหม่บ้างหรือยัง” 

    คุณหญิงนิ่มสายหน้าน้อยๆ 

     

    “คราวที่แล้วประชุมด่วนไปก็ยังไม่อาจลงมืออะไรได้ น่าเสียดายจริงๆ” เป็นรวิภาที่ถอดถอนใจด้วยความเสียอกเสียดาย ที่คดีซึ่งกำลังทำให้ผู้คนในพระนครไม่เป็นอันสงบจิตสงบใจนี้คนร้ายยังคงไร้ตัวตน 

    “เบาะแสคราวนั้นไม่พอ แม้มันจะมีหลายคนที่เข้าข่าย แต่เราจับใครเพราะหลักฐานเท่านั้นไม่ได้หรอก” นีราพรรณอธิบายขณะหยิบแฟ้มเอกสารในตะกร้าด้านข้างขึ้นมาวางทับกันเป็นกองพะเนิน 

    “ดูเหมือนสารวัตรจะปักใจเชื่อว่านายสีคนนั้นจะเป็นคนร้ายตัวจริงนะครับ” 

     

    พูดไปก็นึกถึงการประชุมคราวล่าสุดเมื่ออาทิตย์ก่อน หม่อมราชวงศ์นีราพรรณในวันนั้นเองก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่เห็นประกายความหวังจางๆ เมื่อได้ยินว่ามีหลักฐานในการจับกุมตัวนายสี พ่อค้าหนุ่มรายหนึ่งซึ่งไม่เคยมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง เขาเดินทางไปทั่วทั้งสยามประเทศ และเพราะถูกพบเข้ากับข้าวของของคนที่หายตัวไปรายล่าสุดในทรััพย์สินของเขา นายสีจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ไปอย่างไม่มีข้อแก้ตัว 

     

    คนที่ชี้แจงเบาะแสเหล่านี้ในห้องประชุมให้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ฟังไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหม่อมหลวงนาราภัทร เยาวภา หรือสารวัตรที่จ่าธงชัยและรวิภากำลังกล่าวถึงอยู่นี้เอง 

     

    ซึ่งด้วยหลักฐานที่มีเพียงแค่นั้น รวมถึงการให้การปฏิเสธอย่างหัวชนฝาของนายสี ว่าต่อให้ตายเขาก็ไม่มีทางยอมรับว่าเป็นผู้ลักพาตัว ผู้บัญชาการแห่งสำนักงานตำรวจพระนครจึงจำต้องปัดมันทิ้งไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก และเป็นเรื่องที่ทำให้เหล่าตำรวจชั้นสูงและกลางทุกนายตอนนี้เริ่มลดความไว้วางใจในตัวของหล่อนลงไป

     

    เสียงพูดคุยราวกับกระซิบพลันลอยเข้าใบหูของร่างเพรียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเมื่อบทสนทนาระหว่างพวกเธอทั้งสามคนได้จบลง ซึ่งคนที่กำลังกล่าวนั้น เป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อยที่หญิงสาวไม่ค่อยได้เรียกใช้ให้ออกภาคสนามด้วยเท่าไหร่นัก 

    “สำนักงานเราถูกพูดไปถึงท้ายคลอง ขายหน้าเสียไม่มีล่ะ”

    “ความมั่นใจแบบผิดๆ นั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย” นายตำรวจชั้นผู้น้อยอีกคนกล่าวอย่างสนุกปากบ้าง “อย่างว่า..ผู้หญิงแบบนี้ มีมารดาแต่ไม่รู้จักสั่งสอน”

    “จะเอาอะไรไปสั่งสอน..ก็เป็นแค่นางนกน้อยนี่นะ” 

     

    หม่อมหลวงนาราภัทรเป็นตำรวจสาวมากฝีมือที่ใช้ประสบการณ์มากมายจนตำแหน่งพันตำรวจตรีนี้ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งห่างไกล ท่ามกลางสายตาคัดค้านของเหล่าบุรุษหลายนายที่ไม่ใคร่ให้หญิงสาวมา‘ควบคุม’และออกคำสั่งกับตน ฉะนั้นมันจึง ‘เคย’ ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับจ่าธงชัยหรือรวิภาที่จะเห็นคนที่นี่ดูถูกดูแคลนหล่อนทางวาจามามากมาย

     

    ...แต่มันจะไม่ใช่อีกต่อไปหากคำพูดเหล่านั้นได้ล่วงรู้ถึงหูของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่อยู่ตรงหน้า

     

    จ่าชายหญิงทั้งสองที่อยู่ไม่ไกลก็เป็นบุคคลที่ได้ยินเสียงบทสนทนานั้นเช่นกัน พวกเขาแสดงสีหน้าหนาวเหน็บออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เนื่องจากรู้ดีว่าจุดจบของนายตำรวจชั้นผู้น้อยทั้งสองนายนี้จะอยู่ในสภาพอย่างไรบ้าง

     

    กระทั่งปล่อยให้ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นไปทั่วห้องสักระยะ ร่างสง่าของหญิงสาวผู้นั่งหลังตรงอยู่ก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้าราวกับว่าได้พบเรื่องน่าเหนื่อยหน่ายใจ 

     

    “..เมื่อคืนเหมือนฉันได้รับแจ้งว่าเหมือนคนทางกองเอกสารจะขาดนะ” นีราพรรณเอ่ยปากออกมาในที่สุดแล้วจึงตวัดดวงตาคู่งามนั้นไปยังนายตำรวจทั้งสองอย่างปรารถนาดี “พวกเธอสองคน”

     

    นายตำรวจสองนายสะดุ้งและเผลอยืนขึ้นรอรับคำสั่งอย่างไม่ค่อยเข้าใจในตัวเองนัก “ค..ครับ” 

    หญิงสาวแสดงสีหน้าวิตกกังวลและเท้าคางมองอย่างเสแสร้ง“คดีทางหน่วยสอบสวนคงจะยุ่งๆ มากกว่าเดิมอีกในวันข้างหน้า ฉันจำเป็นต้องใช้คนให้มีประโยชน์จริงๆ...เธอสองคนไปช่วยหน่วยเขาสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็แล้วกัน” 

     

    “!? แต่ว่าพวกผมเป็นเจ้าพนักงานหน่วยสืบสวน--”

     

    หนึ่งในนายตำรวจทั้งสองกำลังจะกล่าวโต้แย้งด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เนื่องจากตัวเขาและเพื่อนเป็นนายตำรวจที่มีตำแหน่งทั้งยังรู้สึกว่าถูกเหยียดยามจากร่างของหญิงสาวที่บอบบางดูปวกเปียกกว่าพวกเขาเป็นไหนๆ อีก

     

    แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ต้องหยุดลงอย่างเฉียบพลันหลังจากได้ยินน้ำเสียงสุภาพทว่าเด็ดขาดจากริมฝีปากบางนั่น

     

    “ฉันให้เลือกเอานะคะ ว่าจะไปช่วยแค่สองอาทิตย์หรือจะย้ายไปอยู่ที่ิเขตอื่น” นีราพรรณกล่าวประโยคเหล่านั้นออกมาโดยที่ไม่ได้ลดรอยยิ้มบนใบหน้าลง “โทษของการดูหมิ่นเจ้าพนักงานชั้นสูงกว่า ตามกฏแล้วบทลงโทษมันก็มีไม่น้อยเลย จริงไหม” 

     

    คลื่นความกดดันระลอกหนึ่งกระทบเข้ามาภายในความคิดของชายหนุ่มทั้งสอง แม้อีกฝ่ายจะเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่เขาไม่ควรจะมีอะไรกลัวเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรยศถาบรรดาศักดิ์และตำแน่งก็ยังทำให้เขาแตะต้องหล่อนอย่างที่ใจนึกไม่ได้ นายตำรวจทั้งสองจึงได้แต่กัดฟัน น้อมรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องด้วยความไม่เต็มใจ

     

    ความเงียบสงบเกิดขึ้นอีกครั้ง เหล่าเจ้าพนักงานที่เหลือพากันถอดถอนใจแล้วจึงตั้งใจที่จะหันกลับไปนั่งทำงานตามหน้าที่ ถ้าไม่ติดว่าร่างของตำรวจสาวนั้นจะเห็นเงาของใครบางคนอยู่ขอบประตูห้องของหน่วยสืบความเสียก่อน 

     

    “อ้ะ ท่านสารวัตร”

     

    เสียงเรียกสรรพนามนั้นทำให้จิตใจที่ยังคงคุกรุ่นของนีราพรรณมลายหายไปกับสายลมอย่างน่าประหลาด แต่หญิงสาวยังไม่ทันได้วิเคราะห์ว่าเป็นเพราะเหตุใด ร่างของบุคคลผู้มาใหม่นั้นก็ปรากฏกายภายในห้องโดยไร้ท่าทีอื่นใดนอกจากท่าทีที่มั่นคงและน่ามอง ส่งผลให้เจ้าพนักงานหลายคนในห้องนั้นยืนขึ้นทำความเคารพหล่อนด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง 

     

    “ตอนบ่ายจะมีประชุมกับทางราชสำนัก ฉันอยากได้เบาะแสที่คนร้ายคดีคนหายตอนนี้ทิ้งไว้ทั้งหมดใหม่” 

    หม่อมหลวงนาราภัทรกล่าวออกมาดังนั้นพร้อมกับที่นีราพรรณสังเกตเห็นแฟ้มบางๆ เล่มหนึ่งในมืออีกฝ่ายข้างตัว ขณะที่นายตำรวจโดยรอบต่างพึมพำออกมาเมื่อได้ยินคำสั่งที่ออกมาจากริมฝีปากอิ่มของหล่อนนั่นเอง 

    “ราชสำนักหรือ?”

     

    ผู้บัญชาการในราชสำนักคอยทำหน้าที่ดั่งที่ชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาบ่งบอก คดีเรื่องราวใดที่เกิดขึ้นภายในรั้วสีขาวนวลแข็งแรงดั่งป้อมปราการนั้นล้วนเป็นฝีมือและหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องจัดการ แต่เมื่อใดที่กรมตำรวจในราชสำนักออกมาข้องเกี่ยวกับคดีด้านนอก สิ่งที่พวกเธอกำลังรับมืออยู่นี้ก็ไม่มีทางเป็นเพียงแค่เรื่องทั่วไปแน่ 

     

    ดวงตาของหม่อมหลวงนาราภัทรซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นคงนั้นหันมามองเธอ

    “ส่วนคุณ”

    “…” 

    “..ฉันขอคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว”

     

    กล่าวจบร่างของหญิงสาวก็พากายใต้เสื้อสีกากีคาดหนังสีดำก็หายไปจากประตูห้องของหน่วยสืืบความ ลมหายใจของนายตำรวจสามสี่นายเองก็ถูกทิ้งไว้ตามหลังขณะที่นีราพรรณเป็นเพียงคนเดียวที่ได้ก้าวเดินตามหล่อนออกมา 

     

    หม่อมหลวงนาราภัทรเป็นหญิงสาวอายุมากกว่าเธอประมาณสามสี่ปี หล่อนเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสะสวย รูปร่างยังคงอรชรงามสะพรั่ง แม้จะอายุเลยวัยแต่งงานไปมากแต่เห็นทีจะไม่มีใครมองเห็นมันเป็นจุดบกพร่อง แผ่นหลังของหล่อนนั้นตั้งตรงและแน่วแน่บ่งบอกอุปนิสัย แม้จะได้ก้าวเข้ามาในหน้าที่การงานเช่นปถุชนธรรมดาทั่วไป แต่ก็น้อยนักที่หญิงสาวจะได้ทำหน้าที่นี้โดยไร้ซึ่งเส้นสาย หนึ่งในนั้นคือตัวของเธอ แล้วก็หญิงสาวตรงหน้าของนีราพรรณผู้นี้เอง 

     

    แต่นาราภัทรไร้สิ่งสำคัญที่จะปกป้องตัวเองจากโลกอันแสนโหดร้ายนี้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ หล่อนไม่มีชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลคอยค้ำหัวยามเมื่อต้องอยู่เหนือเหล่าบุรุษผู้กระหายอำนาจราวกับหมาป่าล่าเนื้อคอยจดจ้อง ไม่มีกระทั่งสิทธิและเสียงที่จะโต้แย้งพวกที่ดูถูกว่าหล่อนเป็นเพียงแค่ลูกนอกสมรสของหม่อมราชวงศ์ท่านหนึ่งเลยด้วยซ้ำ 

     

    มันอาจจะเพราะหล่อนได้ยอมรับคำครหานั้น..หรือไม่ก็คร้านที่จะเปิดปากอธิบายให้ใครต่อใครฟังก็เป็นได้

     

    ความคิดของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณหยุดลงเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ก้าวเท้าเดินต่อไปที่ไหน หล่อนเพียงหยุดเมื่อออกมาห่างจากสรรพเสียงของเจ้าพนักงานในห้องสืบความที่ไกลออกไปแล้วจึงหันกลับมามองที่เธออีกครั้ง 

     

    “ไม่ทราบว่าสารวัตรต้องการทราบอะไรจากฉันหรือคะ” 

    “คุณหญิงรู้ไหมว่าคนร้ายคดีนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับทางราชสำนัก” นาราภัทรยื่นแฟ้มคดีแสนบางให้กับหล่อนและกล่าวด้วยการให้เกียรติอย่างที่ทางสังคมได้บรรทัดฐานเอาไว้ ซึ่งนีราพรรณที่ได้รับแฟ้มบางๆ นั้นมาไว้ในมือก็ได้แต่ส่ายหน้าเมื่อความคิดในยามนี้ไร้สิ่งใดเข้ามาก้าวก่าย 

    “ขออภัย ฉันไม่ทราบค่ะ”

     

    ร่างบางผู้มียศสูงกว่าในตำแหน่งหน้าที่การงานนั้นถอนหายใจออกมาก่อนจะตัดสินใจพูดในส่ิงที่ตนก็ยังไม่อาจจะปักเชื่อได้ร้อยเปอร์เซนต์ 

    “คนร้ายเป็นคนข้างใน”  

    ดวงตาคู่สวยของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเบิกค้างอย่างไม่เชื่อหู 

    “อะไรทำให้สารวัตรคิดอย่างนั้นหรือ”

     

    “พูดได้ไม่เต็มปากว่าเกี่ยวข้อง” หล่อนยกแขนเรียวภายใต้เสื้อสีกากีขึ้นมากอดไว้ตรงอกอย่างหนักใจ “แต่ท่านผบ.ตร.แจ้งเบาะแสนี้กับเจ้าหน้าที่ชั้นสูงเป็นการส่วนตัว ว่าแม้แต่ในวังเองก็มีคนหายไปเช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่ชาวบ้านทั่วไปที่อยู่ข้างนอก...” 

     

    นาราภัทรยังคงพูดต่อขณะที่พิงกายกับเสาสีขาวราวกับเหนื่อยล้า “...ในวังนั้นเป็นคนที่สามแล้ว แต่ที่ยังปิดข่าวไว้ ก็เพราะไม่อยากให้ผู้คนได้แตกตื่น”

     

    ดวงตาเป็นประกายของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณหลุบลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ริมฝีปากบางนั้นจะกล่าวออกมาถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น “เช่นนั้นมันคงเป็นไปได้ยาก ถ้าหากจะเป็นแค่คนธรรมดาที่เข้าไปก่อเหตุถึงข้างในได้”

     

    “นายสีก็เลยต้องหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยจนได้” หล่อนกล่าวทั้งสีหน้าขุ่นเคืองและปลายลิ้นที่ดุนกระพุงแก้มอย่างไม่ปิดบัง “แต่เราจะทำอย่างไรล่ะ หากเป็นคนข้างในจริง นั่นก็เกินอำนาจของเขตของสำนักงานเราแล้ว” 

     

    “ไม่ใช่ว่าที่กดดันให้เร่งปิดคดีแบบนี้ เพราะสงสัยว่าเป็นฝีมือของคนข้างในหรือคะ” 

    นาราภัทรพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่มีทางเลือก “ถูกของคุณหญิง แต่การเข้าไปสืบสวนข้างในอย่างเปิดเผย ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่” 

     

    หากเป็นตามนั้นจริง การจะลักลอบเข้าไปสืบข่าวภายในย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสำหรับตัวหม่อมราชวงศ์นีราพรรณแล้ว ถึงจะมีเลือดเหล่านั้นอยู่สักเสี้ยวหนึ่งอย่างไรก็ไม่อาจเข้าไปย่างกรายได้อยู่ดี

     

    เมื่อเห็นสีหน้าที่คิดไม่ตกของหล่อน หม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็คลายยิ้มเล็กน้อยราวกับต้องการจะปลอบใจ “เอาไว้หารือในที่ประชุมก็ยังไม่สายหรอกค่ะ” 

     

    ฟังความนั้นแล้วศีรษะของหญิงสาวก็ตอบรับเบาๆ อย่างคล้อยตาม เมื่อบทสนทนาส่วนตัวได้จบลงอีกฝ่ายก็กำลังจะขอตัวกลับไปทำหน้าที่การงาน ทว่าริมฝีปากอิ่มของตนเองก็ได้เผลอกล่าวประโยคหนึ่งออกไป 

     

    “ขอบคุณมาก”

     

     แม้เสียงจะแผ่วเบาราวกับไม่ได้ตั้งใจแต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยังได้ยิน หม่อมราชวงศ์นีราพรรณหันกลับไปมองร่างของหญิงสาวที่สูงไล่เลี่ยกัน เธอเห็นริมฝีปากอิ่มเม้มเป็นเส้นตรง แววตาที่มั่นคงและให้ความย่ำเกรงของหล่อนอ่อนลงจากก่อนหน้านี้จนรู้สึกสั่นไหวตามระลอกคลื่นในดวงตาคู่นั้นไม่ได้ 

     

    “...ฉันหมายถึง เรื่องที่คุณหญิงกล่าวเมื่อครู่นี้ คุณหญิงไม่จำเป็นที่จะต้องห้าม หากหยุดคนนินทาได้ กฏหมายก็คงหยุดคนเลวไปได้นานแล้ว” 

     

    คำอธิบายของหล่อนทำให้นีราพรรณเข้าใจแจ่มแจ้ง บทสนทนาของนายตำรวจชั้นผู้น้อยในห้องสืบความของเธอก่อนหน้านี้ คงจะลอยเข้าหูคนที่กำลังจะเดินเข้ามาแจ้งข่าวอย่างหล่อนได้จังหวะเวลา

     

    …ช่างพอเหมาะพอเจาะได้น่าโมโหเสียนี่กระไร..

    “ฉันยินดี” 

     

    ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายทันทีที่มองเห็นรอยยิ้มสุภาพและเบาบางดั่งปุยเมฆ ก่อนจะมีท่าทีคล้ายคนเพิ่งรับรู้ถึงสถานการณ์ตรงหน้าและจึงส่ายหน้าทันควัน 

     

    “แต่ฉันไม่ยินดีค่ะ”   

     

    อากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันราวกับคนที่เพิ่งจะตั้งตัวได้นั้นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของนีราพรรณเลือนหาย 

     

    “ฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณของใคร” หล่อนกล่าวทั้งดวงตาที่มั่นคงขึ้นดังเดิม ดังกำลังกล่าวกับคนใต้อาณัติและออกคำสั่งอยู่ก็ไม่ปาน “ที่ฉันให้คุณมีส่วนร่วมในคดีนี้ เพราะข้อตกลงของเราเท่านั้น”  

     

    กล่าวจบหญิงสาวก็ก้าวเท้าจากไปยังบันไดทางด้านหลัง หมายมั่นจะกลับไปยังห้องทำงานของตนเองที่ยังคงหนักหนาไปด้วยภาระหน้าที่ที่ยังคงมีอยู่ หากไม่ติดว่าน้ำเสียงนุ่มละมุนอย่างสุภาพของหญิงสาวผู้อ่อนกว่าตนจะกล่าวขึ้นมาและแทบฉุดรั้งไม่ให้เธอได้เดินจากไป

     

    “..ไม่ว่าจะด้วยข้อตกลงของเราหรือไม่ ฉันก็ยินดีที่จะได้ช่วยเหลือคุณนะคะ”  

     

    และเพราะการที่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้จากตรงนี้เอง หม่อมราชวงศ์นีราพรรณจึงไม่อาจมองเห็นแววตาที่วูบไหว ดั่งก้อนหินที่ร่วงหล่นสู่บ่อน้ำห้วงลึกจนเกิดเป็นระลอกคลื่นจางๆ ของหล่อนเลยแม้แต่น้อย.. 

     

     


     

    บ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งห่างไกลจากถนนใหญ่ซึ่งดูไร้รถราคันใดจะเข้าถึง จึงมีเพียงเรือล่องเรือแจวคันเล็กไม่กี่ลำที่พายผาดผ่านไปตามสายแม่น้ำและมองเห็นคนสองคนซึ่งนั่งพักผ่อนอยู่บริเวณชานแพ เสียงวิทยุเครื่องเก่ากำลังเล่าถึงข่าวคราวต่างๆ ดังไปทั่วบริเวณโดยรอบ มีเพื่อนบ้านบางคนไม่ได้สนใจเพราะความเคยชิน แต่ก็มีบ้างที่จะอดเบ้หน้าและส่ายหัวไม่ได้เมื่อเสียงนั้นค่อนข้างจะก่อกวนความสงบของตนไปอยู่บ้างไม่มากก็น้อย 

     

    ชานแพริมน้ำใต้ร่มเงาของหลังคาที่สร้างขึ้นจากไม้ทางเหนือเนื้อดี มีร่างของหญิงชรานั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้โยกตัวเก่าซึ่งผ่านการใช้งานมานานนม และหญิงกลางคนอีกคนที่ดูเยาว์กว่าแม้ร่างกายจะล่วงเลยวัยสาวมากว่าสิบปีแล้วกำลังฝานผลไม้ในมือให้ลงไปในจานสำหรับเตรียมพร้อมทาน

     

    “ฟังข่าวนี่สิ” ร่างที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้โยกนั้นเปิดเปลือกตาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวขึ้นเมื่อได้ฟังเนื้อหาข่าวจากวิทยุ “แม้แต่คนที่ควรจะซื่อสัตย์ก็ยังซื่อสัตย์ไม่ได้” 

     

    ร่างของหญิงกลางคนที่สวมเสื้อคอกลมกับผ้าพื้นนั้นกระตุกริมฝีปากเบาๆ “ก็โบราณว่าไว้ไม่ผิด--รถไฟ เรือเมล ลิเก ตำรวจ ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”  

     

    “เฮอะ ข้าว่าไม่ใช่เสียแค่นั้นล่ะมั้ง” หญิงชราผู้มีนามว่าบัวสมนั้นหลิ่วตาใส่หลานของตนเองอย่างแดกดันและกระทบกระเทียบ “เพราะผัวเอ็งยังไว้ใจไม่ได้เลย” 

     

    นางนวลจันทร์ผู้ซึ่งกำลังปอกเปลือกผลไม้นั้นหยุดชะงัก เมื่อได้ยินว่าบุคคลผู้เป็นเครือญาติได้กล่าวถึงเรื่องที่ไม่บังควรอีกคราเสียแล้ว 

     

    “ป้าจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไม”

     

    ต่อให้ญาติผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวของมารดาตนนั้นจะเป็นที่เลืองลือไปทั่วคุ้งน้ำว่าฝีปากจัดอย่างไรนวลจันทร์ก็ไม่เคยนึกเก็บมาใส่ใจหรือคิดเอาความ แต่ก็มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่อาจอ่อนโอนได้ และบัวสมก็มักจะนำมากล่าวถึงให้เป็นเรื่องเป็นราวอยู่เสมอทุกครั้งที่ริเริ่มจะมีปากเสียง

     

    “ก็ไม่ใช่เพราะคุณหญิงคุณชายนั่นรึ ถึงได้มาตกระกำลำบากแบบนี้” บัวสมยังคงกล่าวด้วยแววตาดูแคลนเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาได้เบือนหน้าหนีตนไป

     

    “ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้นแหละ”

    “อ๋อ? หรือเป็นเอ็งเองที่มักใหญ่ใฝ่สูง เป็นเมียน้อยเขาสมใจแล้วถึงไม่อยากเอาเรื่องอะไรอีก”

    ปึก

     

    มีดในมือของหญิงกลางคนถูกวางลงบนเขียงด้วยความอดทนที่แทบไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป 

    “นี่ป้าจะหาเรื่องฉันรึ เรื่องมันผ่านมาเป็นกี่สิบปีแล้ว”

     

    บัวสมโน้มตัวออกมาจากเก้าอี้โยกด้วยสีหน้าจริงจัง “ก็กี่ปีมาแล้วล่ะที่ไม่บอกกล่าวอะไรข้าสักอย่าง ไม่ให้มันรู้ว่าทำไมถึงไม่มีพ่อ ให้มันจงเกลียดจงชังยศนำหน้าของมันเองอยู่ได้---นั่น พูดถึงแล้วยายตัวดีก็มาเลย”

     

    ประโยคดูถูกดูแคลนของหญิงชราเป็นอันต้องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงประตูด้านหน้านั้นถูกปิด และเป็นนวลจันทร์เองที่ไม่ต้องการต่อล้อต่อเถียงกับผู้เป็นญาติของตนอีกที่ลุกขึ้นมามองผู้เป็นบุตรสาวของตนที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานในสำนักงานตำรวจพระนครด้วยสีหน้าที่อ่อนลงเป็นส่วนใหญ่

     

    “นางไม่ขอกินข้าวนะคะ” 

     

    แต่พอฟังคำกล่าวและสีหน้าเหนื่อยอ่อนที่ไม่ต้องอธิบายก็รับรู้ได้ว่าหญิงสาวได้ยินการโต้เถียงเมื่อครู่หรือไม่ นวลจันทร์จึงได้เพียงแต่มองตามเบื้องหลังบุตรสาวของตน โดยมีเสียงของบัวสมค่อนแขวะเรื่องกิริยาท่าทางตามมาอยู่ไม่ไกล

     

    “ดูรึ เป็นหญิงเหมือนคนอื่นหรือก็ไม่เป็น ทำงานอะไรไม่ได้เหมาะ...แล้วชาตินี้มันจะได้แต่งงานเมื่อไหร่กัน หาความเป็นแม่บ้านแม่เรือนไม่มี” 

     

    ครั้นเมื่อประตูปิดลง ร่างกายของนาราภัทรก็พลันอ่อนแอขึ้นมาจนต้องทิ้งตัวนั่งอยู่บนปลายเตียงไม้ขนาดกลางราวกับได้เจอที่พักพิง หญิงสาวผ่อนลมหายใจของตนเองออกมาช้าๆ หวังเพียงว่าให้ความคิดมากมายและสิ่งที่พบเจอในวันนี้มลายหายไปจนสิ้นโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น 

     

    ‘ไม่ว่าจะด้วยข้อตกลงของเราหรือไม่ ฉันก็ยินดีที่จะได้ช่วยเหลือคุณนะคะ’  

     

    เรื่องหนึ่งที่ยังคงไม่อาจผลักไสไปจากความคิด ก็คือเจ้าของเสียงสุภาพดั่งปุยเมฆที่กล่าววาจากับเธอว่าหล่อนยินดีจะมีน้ำใจช่วยเหลือไม่ว่าเป็นเรื่องไหน จริงอยู่ที่ข้อตกลงที่อีกฝ่ายกล่าวมาจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้พูดคุยกันในทุกวันนี้ แต่นาราภัทรก็ไม่รู้เลยว่าต้ังแต่เมื่อไหร่กันที่คำพูดของหล่อนคอยจะตกตะกอนอยู่ในความคิดเธอเช่นนี้ได้

     

    ภาพความทรงจำเมื่อหลายเดือนก่อนปรากฏโลดโผนอยู่ภายในความเงียบสงบรอบห้อง ค่ำคิืนที่นาราภัทรเคยคิดว่าเธอคงไม่อาจรอดพ้นเงื้อมือของชายผู้นั้น---หม่อมเจ้าฉัตริน ท่านชายผู้มีหน้าตาธรรมดาไร้ซึ่งความสิเน่หาใดแต่ก็ยังคงทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่างจนผู้คนขยาดแต่ก็ไม่อาจแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

     

    เขาเป็นท่านชายที่แม้จะถูกปฏิเสธอย่างไรก็ไม่มีทางยินยอม ทั้งหัวรั้นมักมากและหลงใหลในรูป....เขาล่วงเกินเธอจนหญิงสาวต้องพลาดพลั้งลงมือจัดการจนเจ้าตัวบอบช้ำแล้วหนีจากมาได้ แล้วก็เป็นคืนวันนั้นเองที่นาราภัทรได้พบเข้ากับหล่อน หม่อมราชวงศ์นีราพรรณแห่งวังทัตพงศ์มาลีที่ต่อปากต่อคำด้วยไหวพริบที่มีจนหม่อมเจ้าฉัตรินต้องล่าถอยออกไป

     

    แต่ไม่กี่วันหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้นนาราภัทรก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงชายหนุ่มได้อย่างที่ใจนึก เมื่อเธอพบว่านายตำรวจชั้นสูงนายหนึ่งเป็นคนรู้จักกับเขา แล้วก็เป็นคุณหญิงนีราพรรณอีกครั้งที่ช่วยทำให้หม่อมเจ้าฉัตรินอับอายท่ามกลางสายตาของชาวบ้านเพราะการที่เขาไม่อาจรับมือกับหญิงสาวที่ทำให้ใบหน้าของเขาเป็นรอยช้ำน่าเกลียดได้อย่างที่ควรจะเป็น

     

    แล้วก็เป็นเวลานั้นเองที่ข้อตกลงของหญิงสาวทั้งสองคนได้เกิดขึ้นมา

     

    หล่อนขอให้ตนเองได้ทำงานเป็นดั่งที่ปรึกษาของเธอในคดีคนหายปริศนา ส่วนตัวหล่อนนั้นก็จะทำตัวดั่งกำแพง เพราะมีแต่คนที่ยศศักดิ์ไล่เลี่ยกันเท่านั้นที่จะสามารถทำตัวเป็นเกราะป้องกันให้เธอได้นอกเหนือจากพวกนายตำรวจชั้นสูงที่คงไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดแม้สักนิดว่าควรจะเข้าข้างใครมากกว่ากัน

     

    “นาง แม่เอง”  

    เสียงจากผู้เป็นมารดาทำให้ร่างที่วนเวียนอยู่ในความคิดของตนเองขยับตัวเล็กน้อย เธอเอ่ยปากตอบรับหญิงกลางคน ปล่อยให้หล่อนก้าวเข้ามาภายในห้องและแตะมือลงข้างขมับของเธออย่างห่วงใย

     

    “ไม่หิวจริงหรือลูก” 

    นาราภัทรส่ายหน้า “ไม่ค่ะ นางแค่เหนื่อย”  

    ได้ยินดังนั้นนวลจันทร์ก็นั่งลงข้างกายของหญิงสาวด้วยสีหน้านึกรำคาญระคนอ่อนใจ 

    “อย่าไปฟังยายบัวสมมากนัก แกแก่มากแล้ว” 

     

    การโต้เถียงในวันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นาราภัทรเคยได้ยิน นับตั้งแต่ที่จำความได้เธอก็ได้ยินเสียงของยายและแม่ของตนทะเลาะกันมาโดยตลอด แม้ตอนเด็กๆ จะไม่เข้าใจว่าเหตุเกิดจากเรื่องอันใด แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหญิงสาวจึงพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นเองได้

     

    มารดาของเธอเกิดและเติบโตโดยมีเชื้อสายของเจ้าทางเหนืออยู่ในสายเลือด เมื่อหนีจากครอบครัวเก่าคร่ำครึที่ยังถือยศถาบรรดาศักดิ์เจ้าหลวงเจ้านายมาได้ที่บางกอก หาเลี้ยงตนเองและญาติเพียงหนึ่งเดียวที่นี่ก็คือยายบัวสมด้วยการเป็นนักร้องที่ร้านอาหารทั้งกลางวันและกลางคืน จนพบกันกับหม่อมราชวงศ์เอกทัศน์และถูกต้องตาต้องใจกันจนคุณชายเอกทัศน์ยกให้เป็นหม่อมคนหนึ่งในครอบครัว

     

    ทว่าหลังจากที่นาราภัทรเกิดได้ไม่นาน..หญิงสาวและมารดาก็จำต้องระหกระเหินกลับออกมาจากบ้านหลังนั้น ไม่เคยได้พบหน้ากันอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

     

    และใจความที่เธอเข้าใจเอาเองจากยายบัวสม ก็คือการที่แม่ของเธอได้ไปเป็นภรรยาน้อยของคุณชายเอกทัศน์..เป็นแค่นางนกน้อยในกรงอย่างที่นายตำรวจคนนั้นหรือที่ใครต่อใครได้กล่าวว่าไว้ 

     

    “เรื่องอะไรที่ไม่ดี ก็อย่าเอาเข้าไปคิดให้รกสมอง” นวลจันทร์เอ่ยปากบอกเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของบุตรสาวตน “ท่านชายอะไรนั่นไม่ได้มาเกาะแกะลูกอีกแล้วใช่ไหม” 

     

    “เขาไม่ได้มาที่สำนักงานเกือบเดือนแล้ว” 

    “ดีแล้ว...อย่าไปข้องเกี่ยวให้เป็นเสนียดจัญไรเลย” 

     

    เธอจึงไม่แปลกใจเลยหากแม่ของเธอจะมีความรู้สึกชิงชังเมื่อกล่าวถึงพวกเขา..เจ้าขุนมูลนายชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ทำให้ครอบครัวของเธอต้องตกอยู่ในสถาณภาพแบบนี้ 

     

    “แล้วแม่นั่นล่ะ”

    นาราภัทรเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของผู้เป็นแม่ “แม่หมายถึงใครคะ” 

     

    “ก็ยายคุณหญิง...วังดอกไม้ที่เคยมีข่าวกระไรนั่น” เมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวจึงเข้าใจ และแสดงสีหน้าสงสัยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงเอ่ยถามถึงหล่อนขึ้นมา

     

    “คุณหญิงนิ่มค่ะ หล่อนเป็นหนึ่งในทีมที่ทำคดีนี้กับลูก”

     

    พลันนั้นสีหน้าของนวลจันทร์ก็แข็งกระด้างเมื่อเอ่ยปาก ทำให้นาราภัทรได้แต่มองใบหน้าด้านข้างของผู้เป็นแม่ที่ซุกซ่อนความเสียใจและเกลียดชังเอาไว้ไม่ได้

     

    “ฟังจากข่าวก็รู้แล้วว่าชอบก่อเรื่องกันทั้งตระกูล”   

    “…”

    “พวกคุณหญิงคุณนายน่ะตัวดี อย่าไปไว้เนื้อเชื่อใจหรือเกลือกกลั้วจนมันแทงข้างหลังเอาล่ะ...แล้วจะหาว่าแม่ไม่เตือน”

     

     


     


     

    ดวงตาคู่สวยจับจ้องมองแฟ้มคดีบางตรงหน้าที่มีเพียงแค่รูปถ่ายหนึ่งใบกับเอกสารแจ้งความคืบหน้าเพียงแค่แผ่นเดียวเท่านั้นอยู่นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจรู้ ปลายนิ้วเรียวสัมผัสปลายคางของตนเป็นจังหวะอย่างใช้ความคิด ภายในห้องส่วนตัวที่วังทัตพงศ์มาลีอันเงียบสงบนี้ ความคิดของเธอไม่ได้มีเพียงแค่การวิเคราะห์รูปคดีที่เกิดขึ้น แต่ยังรวมถึงท่าทีการปฎิบัติตัวของหม่อมหลวงนาราภัทรที่มีต่อเธอในสองสามวันนี้อีกด้วย

     

    ...ช่วงนี้หล่อนเหมือนจะอยากหลบหน้าและขีดเส้นให้ชัดเจนอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้รู้สึกก้าวก่ายเกินไปเข้าหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้

     

    หากเป็นคนอื่นนีราพรรณก็คงไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ..แต่สำหรับคนที่เธอ ‘สนใจ’ นับตั้งแต่แรกเห็นอย่างนาราภัทรคงไม่อาจปล่อยผ่านไปได้อย่างที่ควร

     

    ครั้งแรกที่หญิงสาวพบเจอหล่อนไม่ใช่คืนที่หล่อนขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มท่าทางไร้มารยาทคนนั้น แต่กลับเป็นครั้งเมื่อแรกที่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณได้ก้าวเข้าสู่หน้าที่การงาน..วันแรกที่เธอกำลังจะได้ดาวบนบ่าเพื่อจบการศึกษาจากที่ถูกฝึกอย่างหนักหน่วงของโรงเรียนนายร้อย...

     


     

    ‘คุณหญิง ยินดีด้วยนะคะ’

    ‘ยินดีด้วยนะครับคุณหญิง’ 

     

    เสียงที่แข่งกันมอบความยินดีให้กับหญิงสาวในเสื้อคอกลมสีขาวกับกางเกงเข้ารูป ผมสั้นประบ่าแกว่งไกวไปมายามที่เจ้าของร่างผงกศีรษะรับคำชื่นชมและขอบคุณคนรอบข้างที่มาร่วมแสดงความยินดี เสร็จแล้วหม่อมราชวงศ์นีราพรรณในวัยสาวแรกแย้มจึงเดินไปหาครอบครัวของตนที่ยืนรอห่างออกไปจากลานกว้างใต้เงาร่มไม้ไม่ไกล

     

    ‘เมืองนอกก็ไปคนเดียว สอบตำรวจก็สอบคนเดียว’ หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ในเวลานั้นกล่าว ‘พี่ค้านสิ่งใด  หล่อนก็ทำมันเสียทุกอย่าง’

     

    ได้ยินดังนั้นหญิงสาวอีกคนผู้มีทรงผมระต้นคอก็กล่าวอย่างขบขันไปบ้าง ‘แต่พี่ชายใหญ่มีน้องสาวเป็นข้าราชการตั้งสามคนนะ’

     

    ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวส่ายหน้าอย่างคิดไม่ตก ‘พี่ไม่ได้กังวลเรื่องนั้นเสียหน่อย...’

     

    ‘ถ้าเรื่องคู่ครองก็คงเร็วไปมังคะ’ หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ถึงกับกอดอกพูด ‘รอให้เจ้าจิลโตแล้วก็เลิกยุ่งกว่านี้ก็ยังไม่สาย’

     

    ‘ตกลงว่ามารับน้องกลับบ้านหรืออย่างไรกันแน่คะ จะได้ทำตัวถูก’ เป็นนีราพรรณเองที่หยุดบทสนทนาไว้ด้วยการกลั้วหัวเราะ เลยทำให้หม่อมเจตน์นั้นตัดสินใจมอบดอกไม้ที่นำมาติดแนบกระเป๋าอกไว้ให้กับเจ้าตัวแทน 

     

    ‘หล่อนได้เยอะแล้ว ของพี่เป็นดอกไม้ดอกเดียวกับอาหารเย็นอร่อยๆ ก็คงพอใจนะ’

     

    หลังจากนั้นสมาชิกทั้งสามก็กลับไปรอพิธีติดดาวบนบ่าอยู่ที่ห้องรับรอง หม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่ตัวเปล่าไร้ซึ่งของมอบแสดงความยินดีใดๆ ก็กำลังเดินไปยังทิศทางของโถงใหญ่ที่รองรับนักเรียนนายร้อยที่กำลังจะจบการศึกษาในวันนี้พร้อมกับคนอื่นๆ ทว่าระหว่างที่เธอกำลังเดินนั่นเอง หางตาก็เหลือบไปเห็นต้นไม้ใหญ่ขยับไหวไปมาด้วยความรู้สึกไม่ชอบกลจนทำให้ต้องชะลอร่างกายและสาวเท้าเข้าไปดู 

     

    เนื่องด้วยบริเวณนี้นับว่าสายลมเข้าถึงได้น้อยนัก แล้วมีเพียงแค่ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เพียงต้นเดียวที่ขยับไหวไปมาอย่างไม่ถูกต้อง ดวงตาคู่สวยมองเห็นกลีบดอกสีขาวร่วงหล่นที่อยู่บนพื้น แม้จะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรแต่กลิ่นของมันก็แตะจมูกของเธออยู่ไม่น้อยราวกับจะเชิญชวนทำความรู้จัก ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงของสิ่งมีชีวิตตัวน้อย ส่งเสียงแหลมหูออกมาราวกับรับรู้ว่าเธอกำลังสงสัยอยู่ว่าข้างบนนั้นคืออะไร

     

    เมี้ยว

     

    เมื่อสรุปได้แล้วว่าเจ้าตัวที่ทำให้ต้นไม้ขยับไหวแปลกๆ เป็นอะไร หม่อมราชวงศ์นีราพรรณจึงถอนหายใจออกมาและตั้งท่าจะถอยกลับไปยังเส้นทางของตนเองดังเก่า แต่ยังไม่ทันได้หันกายกลับไปโดยดี เธอก็เห็นเสื้อสีขาวกำลังจะร่วงหล่นลงมา และด้วยสัญชาตญาณหรือความเคยชินอย่างไรก็แล้วแต่ที่ได้รับการฝึกปรือ ร่างของนีราพรรณก็ตรงเข้าไปคว้ามันเอาไว้จนล้มลงนั่งกับพื้นโดยทันใด 

     

    ความว่องไวของหญิงสาวที่ได้รับการฝึกฝนนั้นทำให้นีราพรรณรู้สึกโล่งใจเมื่อรับรู้ถึงน้ำหนักที่มากเกินกว่าจะเป็นแค่แมวตัวเล็กๆ อีกทั้งเสียงหวีดร้องแผ่วๆ ก่อนหน้าก็ทำให้เธอรับรู้ว่าคงจะเป็นเด็กสาวที่ไหนสักคนที่มาซุกซนปีนต้นไม้เล่นแถวนี้ แถมเจ้าแมวน้อยก็เพิ่งจะกระโดดหนีตามลงมาหายไปอีก แต่เป็นอันว่าเธอสามารถช่วยชีวิตคนเอาไว้ได้ 

     

    ทว่าทันทีที่เปิดดวงตาขึ้นสบกับร่างที่ควรจะเป็นแค่เด็กสาว กลับกลายเป็นหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้ที่อายุอานามน่าจะมากกว่าตัวเธอ ความสูงที่ไล่เลี่ยกันทำให้ท่าทางของเธอทั้งคู่ในตอนนี้ไม่ได้ดูน่าขันเสียเท่าไหร่ หล่อนสวมเสื้อคอกลมและกางเกงสีกากีทับใน ดูก็รู้ในทันทีว่าเป็นคนของสถานที่นี้เหมือนกับเธอ

     

    สีหน้าของหล่อนดูตกใจเพราะคงคาดเดาไว้แล้วว่าจะต้องเจ็บตัว กลับกันนีราพรรณที่แม้จะยังมีความประหลาดใจไว้บนใบหน้าเล็กน้อย แต่ก็แอบพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของหญิงสาวที่ไม่ใช่นักเรียนรุ่นเดียวกันคนนี้อยู่ภายในเงียบๆ

     

    ใบหน้าเรียวได้รูป สันจมูกตรงฉายความมาดมั่นรับริมฝีปากอิ่มและฟันกระต่ายคู่หน้า ทำให้ดูน่าเอ็นดูและเป็นผู้ใหญ่ในเวลาเดียวกัน ผิวพรรณเนียนละเอียดแม้จะเพียงสัมผัสได้ด้วยดวงตา และไหนจะกรุ่นกลิ่นกำจายที่คล้ายกับดอกไม้ปริศนาก่อนหน้าซึ่งชวนเชิญ หากเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกันที่จะจบการศึกษาในวันนี้ หม่อมราชวงศ์นีราพรรณคงนึกเสียดายไปตลอดชีวิตที่ไม่ได้มีโอกาสได้ทำความรู้จักกันมาตั้งแต่แรก 

     

    ‘เมื่อกี้เสียงอะไรน่ะ---’ 

     

    เสียงพูดคุยจากผู้คนที่ตามหลังมาทำให้ทั้งสองรู้สึกตัว ร่างในเรียวแขนของหญิงสาวขืนตัวออกห่างและรีบจ้ำเท้าไปยังทิศทางของเจ้าสี่ขาตั้วนั้น นีราพรรณปล่อยให้หล่อนจากไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะเผลอเปรยคำถามกับเพื่อนร่วมรุ่นออกไปในภายหลังอย่างไม่รู้ตัวว่าหล่อนเป็นใครกันแน่  

     

    ‘อ๋อ---ถ้าลักษณะตามนั้น เห็นทีจะเป็นนักเรียนดีเด่นของสามสี่รุ่นที่แล้วกระมังคุณหญิง’

     

    นับจากวันนั้นที่ต้องย้ายไปประจำการต่างจังหวัดไม่ซ้ำที่ ชื่อของหม่อมหลวงนาราภัทรก็ยังคอยมาให้เธอได้ยินเป็นระลอกคล้ายฤดูฝนที่ผลัดเปลี่ยนไปตามเวลา ผลงานของหล่อนมีมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้รับการประกาศอะไรยิ่งใหญ่นัก และจากความประทับใจแรกในวันนั้น..ก็ทับถมกันจนกลายมาเป็นความชื่นชมถึงทุกวันนี้

     

    “มีคดีที่คิดไม่ตกหรือพี่หญิงนิ่ม” เสียงของน้องสาวคนกลางที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้ทำให้ร่างเพรียวที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองกลับมารู้สึกถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบ หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่ในมือถือแก้วทรงสูงพร้อมของเหลวสีเข้มบ่งบอกถึงอารมณ์ผ่อนคลายหลังการทำงานนั้นดินเข้ามาวางแก้วและของเหลวแบบเดียวกันลงบนโต๊ะให้เธอเป็นที่เรียบร้อย 

     

    “ก็มีอยู่คดีเดียวนั่นแหละที่ทำให้บางกอกระส่ำระส่ายขนาดนี้” เป็นหม่อมราชวงศ์จินณวัตรที่นั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งแต่งแต้มด้วยศิลปะแบบฝรั่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “แต่ยิ้มอย่างนี้คงหาทางแก้ไขได้แล้วกระมัง” 

     

    เพราะเมื่อก้าวแรกที่ก้าวเท้าผ่านห้องส่วนตัวของอีกฝ่ายแล้วพบเห็นเรียวคิ้วของน้องสาวคนรองกำลังขมวดมุ่น จินณวัตรที่นึกเป็นห่วงจึงได้ปรึกษาหารือกับหญิงรดาหรือน้องสาวคนกลางให้หาเครื่องดื่มดีๆ มาบรรเทาความคิดที่พวกเธอไม่เคยเข้าถึงได้ของหล่อนสักหน่อย แต่พอวกกลับเข้ามาในภายหลัง กลับเห็นท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวจนอดไม่ได้ที่จะพูดจาล้อเลียนหล่อนออกมา

     

    หญิงสาวถึงกับหลุดหัวเราะเมื่อจับได้ถึงประโยคเย้าแหย่ของอีกฝ่าย “หากเป็นเช่นนั้นจริง ฉันคงปลีกตัวไปสำนักงานเสียเดี๋ยวนี้ ไม่คิดดื่มเป็นเพื่อนพี่หญิงใหญ่และหญิงรดาหรอก”

     

    มองแก้วทรงสูงของอีกฝ่ายขยับเข้ามาชนแก้วแบบเดียวกันของตนเองที่มีของเหลวสีใสแตกต่างจากบรรดาผู้เป็นน้องสาวอย่างแผ่วเบา เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้กำลังรู้สึกกดดันหรือเคร่งเครียดอะไร จินณวัตรจึงเริ่มเอ่ยปากพูดเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจของผู้คนอยู่ในเวลานี้

     

    “ฉันอยากรู้รายละเอียดหน่อยได้ไหม เผื่อจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”

     

    หม่อมราชวงศ์นีราพรรณพยักหน้าตอบรับไม่คร้านที่จะปฏิเสธ ด้วยความที่พี่หญิงใหญ่ของตนก็ยังคงข้องเกี่ยวกับข้าราชการชั้นแนวหน้า ส่วนหญิงรดาแม้จะเกษียณตนเองจากการเป็นเรืออากาศมาใช้ชีวิตอย่างสงบแล้วแต่เส้นสายภายในก็ยังคงมีประโยชน์ เธอจึงเล่าทั้งเรื่องเบาะแส ผู้ต้องสงสัยทั้งหลาย และรวมถึงความคืบหน้าใหม่ล่าสุดให้ทั้งสองคนฟังโดยละเอียด

     

    “...หากเป็นคนข้างในจริง ในวังคงไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอีกแล้ว” จินณวัตรที่มีสีหน้านิ่งเงียบไปหลายอึดใจหลังจากฟังจบนั้นยกแก้วที่ชิดริมฝีปากตนเองอยู่เนิ่นนานแล้วขึ้นจิบให้ไหลลงสู่ลำคอที่แห้งผากเล็กน้อย

     

    ดารารินทร์ที่มีสีหน้าขุ่นมัวตลอดการสนทนานั้นกล่าวขึ้นบ้าง “รังแต่จะกดดันให้ปิดคดีให้ได้ แต่กลับไม่ยอมเปิดโอกาสให้คนภายนอกได้ตรวจสอบ เห็นทีจะไม่กล้าดำเนินการ เลยผลักภาระให้ตำรวจพระนครเอาน่ะสิ” 

     

    “คงเป็นใครที่แตะต้องได้ยาก” คุณหญิงจินณวัตรกล่าวต่อ “ถ้าจับผิดตัวขึ้นมา คนที่จะต้องรับผิดชอบก็ไม่ใช่พวกเขาอยู่ดี” 

     

    หญิงสาวตัวขาวนั้นวางแก้วลงด้วยน้ำหนักมือที่มากขึ้นเล็กน้อย “ไม่เสียทั้งหน้าและอำนาจ ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่องดีแท้ ข้างหลังกำแพงนั่นมีแต่ปัญหาเสียจริงๆ”

     

    “เราเป็นเพียงแค่กิ่งก้านที่แตกออกมา ย่อมไม่อาจเทียบกันได้” เธอคลายยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยด้วยความรู้สึกสมเพชจางๆ “ยังสรุปไม่ได้ด้วยว่าทางท่านผู้ใหญ่เขาจะอะลุ่มอะล่วยให้ได้มากน้อยเท่าไหร่” 

     

    ความเงียบเข้าครอบงำกลุ่มสนทนาในทันทีที่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณกล่าวจบ พี่น้องของเธอมีสีหน้าแตกต่างกันไปคนละแบบ แต่หญิงสาวก็พอจะเข้าใจถึงความรู้สึกหมดหนทางบนใบหน้าของคนทั้งคู่ จึงไม่ได้คาดหวังข้อเสนอจากริมฝีปากของผู้เป็นพี่สาวคนโตที่กำลังแย้มยิ้มขึ้นในภายหลังเลยสักนิด

     

    “...ถ้าเป็นอย่างนั้น จะลองฟังความคิดเห็นของพี่ดูไหม”


     


     


     

    ร่างหนึ่งของหญิงสาวซึ่งสวมชุดเก่าอย่างชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปนั่งย่อเข่าอยู่เบื้องหลังหาบเร่ที่เต็มไปด้วยถุงใสซึ่งบรรจุน้ำนมอุ่นและแป้งทอดกรอบสีทองที่ถูกเรียกขานตามผู้ริเริ่มว่า ‘ปาท่องโก๋’ ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของรถราและผู้คนที่สัญจรเดินทางผ่านตามช่วงเวลายามสายของวันบนถนนสายหนึ่งในย่านพระนคร

     

     ณ มุมหนึ่งของกำแพงที่ห้อมล้อมไปด้วยพ่อค้าแม่ขายที่ส่งเสียงเรียกร้องบรรยายสรรพคุณคาวหวานให้แก่ผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมา มีเพียงแค่หญิงสาวคนเดียวเท่านั้นที่แทบจะไม่ได้ส่งเสียงเรียกเชิญชวนอันใดออกไป ใบหน้าเรียวอิ่มถูกบดบังด้วยงอบใบสานเพียงครึ่งอันเป็นตัวบดบังดวงตาที่คอยจับจ้องไปยังทิศทางฝั่งตรงข้าม ในเวลานี้นาราภัทรที่เคยสวมเครื่องแบบสีกากีเมื่อวันวาน กลับต้องมาสวมเพียงเสื้อแขนยาวตัวเก่าและผ้าพื้นลายสีคราม เร่ขายสินค้าที่มีให้หมดก่อนจะกลับไปยังที่พักอาศัยโดยไร้ซึ่งเบาะแสใดเพิ่มเติมไปอีกวัน 

     

    หญิงสาวก้มมองแป้งกรอบสีทองในหาบเร่สลับกับพ่อค้าแม่ค้าบางคนที่เริ่มจะเดินจากไปยังสถานที่อื่น บ่งบอกว่าเวลาในการ ‘แฝงตัว’ ของเธอก็ใกล้จะหมดลง แล้วจึงเคลื่อนดวงตาขึ้นมองไปยังทิศทางฝั่งตรงข้ามที่มีผู้คนในชุดราชการคอยยืนเฝ้าอยู่เป็นระยะด้วยท่าทางเคร่งขรึม ประตูซึ่งถูกเจาะผ่านกำแพงอิฐสีขาวนวลและประดับด้วยป้ายชื่อกรอบทองที่ถูกเขียนว่าประตูช่องกุดอยู่เหนือมัน มีผู้คนเข้าออกอยู่ประปรายให้เห็นโดยเฉพาะเสื้อผ้าที่บ่งบอกถึงตำแหน่งหน้าที่ภายในที่แตกต่างจากคนอื่นๆ นาราภัทรแอบค่อนขอดในใจว่าเป็นเวลาเดือนกว่าแล้วก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งยังนึกต่อว่าคนต้นคิดที่เสนอแผนการณ์นี้ในที่ประชุมอีกด้วย

     

    หม่อมราชวงศ์นีราพรรณเสนอแผนการณ์เฝ้าดูเบาะแสของผู้ต้องสงสัยผ่านการแฝงตัวไปกับพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ ทีแรกนาราภัทรยังนึกแปลกใจว่าความคิดนี้คงไม่มีทางเข้าท่า แต่สุดท้ายบรรดานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ก็เห็นว่ามีทางเลือกไม่มากจึงได้ตอบตกลง อนุมัติให้เธอและคุณหญิงนีราพรรณลงสนามทำหน้าที่เสาะหาเบาะแสโดยรอบนอกเขตพระราชวัง โดยให้อีกทีมหนึ่งของเธอแยกย้ายไปประจำยังจังหวัดต่างๆ ที่มีเบาะแสล่าสุดของคนร้ายคดีลักพาตัวไป 

     

    ที่เจาะจงเป็นแม่ค้าหาบเร่ก็เพราะสามารถกลมกลืนไปกับบรรดาชาวบ้านและคนภายในวังได้อย่างแนบเนียน ยิ่งบริเวณนี้ที่จับจองเป็นพิเศษและจับตาดูมาเป็นเวลาสองอาทิตย์กว่าๆ อย่างประตูช่องกุด ประตูที่ประชาชนและคนภายในวังสามารถออกมาจับจ่ายซื้อของได้ตามอัธยาศัยก็ยิ่งทำให้เข้าใกล้ถึงเรื่องราวซุบซิบภายในได้ยิ่งกว่าจุดอื่น โดยเฉพาะความหวาดหวั่นภายในใจของคนข้างในที่มีต่อคดีที่คนร้ายยังคงลอยนวล

     

    แม้บทสนทนาที่อาจจะเป็นเบาะแสได้นั้นจะลอยผ่านหูหญิงสาวอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่มากพอ ร่างบางถอนหายใจออกมาเมื่อวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอยังคงไร้ข้อมูลใด เธอยกหาบเร่นั้นขึ้นพาดบ่าไว้ แล้วจึงก้าวเท้ากลับไปยังที่พักอาศัยชั่วคราวของตน

     

    ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีจากจุดเดิมมาถึงตึกแถวเก่าที่ชั้นสองถูกทำขึ้นด้วยไม้ เกือบจนถึงท้ายซอยอันสงบนี้มีบรรดาลูกเล็กเด็กแดงวิ่งเล่นกันเป็นกลุ่มก้อน ครั้นเมื่อเห็นเธอพวกเขาก็เข้ามาทักทายจนต้องหยิบยกลูกกวาดที่ซื้อตอนผ่านตาเมื่อครู่มาให้แล้วจึงวิ่งจากไปตามเดิม

     

    “อ้าว กลับมาแล้วหรือ”  

     

    เสียงหนึ่งที่เอ่ยทักเมื่อฝ่าเท้าของนาราภัทรก้าวมาถึงหน้าร้านของชำ หญิงกลางคนผู้เป็นเจ้าของคำถามนั้นนั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะไม้เก่าพร้อมกับพัดคลายร้อนในมือ หล่อนมีผมสั้นระต้นคอประกอบกับดวงตาคู่เรียวที่ดูดุดัน สวมเสื้อตัวโคร่งและผ้าพื้นลายสีตองอ่อนดั่งหญิงกลางคนทั่วไป หล่อนมีนามว่าแช่ม เจ้าของตึกแถวเก่าห้องนี้ที่เธอและหม่อมราชวงศ์นีราพรรณใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราวระหว่างแฝงตัวอยู่มาได้เกือบเดือน

     

    นาราภัทรพยักหน้าและกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร “วันนี้ขายได้มากกว่าเมื่อวานสองถุงเลยค่ะ”

     

    “ช่างเถอะ ของฉันไม่ได้ขายดิบขายดีอะไรอยู่แล้ว” หญิงกลางคนเบือนหน้าไปอย่างไม่ยี่หระ “ไปอาบน้ำเสียไป เรียกน้องสาวเธอจากห้องครัวไปด้วย แล้วจะได้มากินข้าวเที่ยงกัน”

     

    หญิงสาววางหาบขนมบนบ่าลงแล้วก้าวเท้าไปตามคำ อุปนิสัยของหญิงกลางคนไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดของนาราภัทรนับแต่วันแรกที่ได้พบเจอ หล่อนเพียงเปิดร้านขายของหน้าบ้านและทำน้ำเต้าหูปาท่องโก๋ขายไปเพื่อให้ได้เงินในแต่ละวัน ไม่สนใจว่าสถานการณ์ข้างนอกในเวลานี้กำลังเป็นเช่นไรบ้าง ที่หล่อนยอมรับตัวเธอและคุณหญิงนีราพรรณซึ่งแต่งเรื่องว่าเป็นคู่พี่น้องตกยากจากต่างจังหวัดเข้ามาหางานทำไว้อย่างง่ายดายก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจแล้ว

     

    ร่างบอบบางสาวเท้าเข้ายังด้านหลังส่วนของร้านขายของอันเงียบสงบ ระหว่างที่ก้าวไปยังส่วนรับประทานอาหารเพื่อหวังคลายความร้อนจากพัดลมเหนือศีรษะ ใบหูของนาราภัทรก็ได้ยินเสียงกระทบกันของเนื้อแป้งและโต๊ะตัวยาวในบริเวณเดียวกันเป็นระยะ ไม่ต้องยื่นใบหน้าหรือเอ่ยทักทายเจ้าของร่างในผ้ากันเปื้อนสีขาวทับเสื้อคอกลมและผ้าพื้นสีปีกกา นาราภัทรก็รู้ว่าคนที่กำลังนวดเฟ้นเนื้อแป้งอยู่ตรงนั้นเป็นใคร 

     

    “กลับมาแล้วหรือคะ” 

     

    เป็นหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเสียอีกที่ต้องหยุดมือไว้เมื่อเห็นว่าใครเข้ามานั่งอยู่ที่โต๊ะทรงกลมตัวเก่า หญิงสาวมองดูหน้าตาที่ค่อนข้างอิดโรยจากอากาศยามเช้าของอีกฝ่าย ผมยาวสลวยถูกปล่อยลงคลอเคลียแผ่นหลังเพื่อคลายความอึดอัด เหงื่อจางๆ ตามไรผมทำให้หล่อนดูเหน็ดเหนื่อยและควรจะตรงไปล้างเนื้อล้างตัวในทันที หาไม่เพราะต้องการพูดคุยเรื่องสำคัญอะไรบางอย่างกับเธอเสียก่อน

     

    “วันนี้ก็ยังไม่เจอใครที่พอจะทำตัวน่าสงสัยได้เลย” นีราพรรณเห็นหล่อนถอนหายใจ เห็นดังนั้นเธอจึงได้กล่าวออกไปบ้าง

     

    “ช่วงนี้ยังคงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร อาจจะกำลังรอดูสถานการณ์ก็เป็นได้”

    “….”

    “เหนื่อยหรือเปล่าคะ?” 

     

    ได้ยินคำถามจากคนที่ยังคงยืนอยู่ไม่ไกลกันนาราภัทรก็จำต้องหันมองร่างของหญิงสาวที่ส่วนสูงไล่เลี่ยกัน ร่างเพรียวแต่สัดส่วนได้รูปของคนที่ได้รับการฝึกอย่างหนักในอาชีพการงาน เส้นผมที่เลยบ่าถูกมัดรวบไว้ด้านหลังหลวมๆ อย่างไม่สนอกสนใจ หม่อมราชวงศ์นีราพรรณแม้จะไม่ได้สวมชุดราชการหรือเสื้อผ้าที่บ่งบอกถึงสถานะตั้งแต่ชาติกำเนิดของตน คราบของความเป็นสามัญชนก็ยังไม่อาจบดบังกริยาและท่าทางอันสง่างามของหล่อนไปได้เลย

     

    ..จะมีก็แต่บรรดาคราบแป้งขาวที่เประเปื้อนเสื้อผ้า แล้วก็ใบหน้าของหล่อนนั่นแหละที่ทำให้ความสวยงามนั้นไม่อาจสมบูรณ์

     

    “ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ” ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวหลุบลงเมื่อความรู้สึกขบขันอันไม่น่าให้อภัยนั้นกำลังตีตื้นขึ้นมาเล็กน้อย จะมีก็แต่คนไม่รู้ตัวเท่านั้นที่ยังคงพูดต่อไปเมื่อใช้เวลาครุ่นคิดไปสักพัก

     

    “ข้างนอกท่าทางอากาศจะร้อน วันพรุ่งฉันจะลองบอกป้าแช่มให้เปลี่ยนฉันไปขายแทนสารวัตร ดีไหมคะ”

     

    นีราพรรณเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนดวงตากลับมาอย่างคาดโทษด้วยความรวดเร็ว พลางมองไปยังจุดที่ป้าแช่มนั้นนั่งอยู่ห่างออกไปราวกับกลัวว่าบทสนทนานี้จะลอยเข้าไปให้หญิงกลางคนได้ยินมัน “ฉันบอกว่าอย่างไร...คุณหญิงจำคำสั่งของฉันไม่ได้หรือ”

     

    ท่าทางราวกับกำลังออกคำสั่ง ทำให้คนใต้อาณัติอย่างเธอกล้าที่จะอยากลองเย้าหยอกหล่อนด้วยการโน้มตัวลงไปหาร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความใจเย็น

     

    “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกชื่อฉันก่อนสิคะ..” นีราพรรณจงใจกล่าวประโยคนั้นอย่างเชื่องช้า “..แล้วฉันจะยอมเรียกว่า พี่นารา”

     

    สบเข้ากับดวงตาสีนิลเป็นประกายและรอยยิ้มซุกซนนาราภัทรก็ให้ค่อนขอดอยู่ในใจ เพราะมันหาใช่ครั้งแรกไม่ที่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณตั้งใจหยอกเย้าเธอด้วยท่าทางที่สมกับเป็นคุณหญิงแห่งวังทัตพงศ์มาลี วังดอกไม้ที่คอยปลดปล่อยเสน่ห์ของตนให้บรรดาผึ้งแมลงน้อยใหญ่ครั่นคร้ามอยากจะครอบครอง หากเป็นเมื่อใดที่หล่อนเห็นว่าเธอไม่ได้ถือสาหาความ หล่อนก็จะไม่พลาดที่จะลองล้ำเส้นเข้ามาสร้างความพออกพอใจให้กับตัวเองดูสักที

     

    ชื่อเสียงของสี่ใบเถาวังดอกไม้เป็นอย่างไรหาใช่ว่าเธอไม่รู้ แต่หากหล่อนอยากจะลองแหย่สารวัตรอย่างเธอดู ก็คงยังเร็วเกินไปอยู่ดี..

     

    …สำหรับผู้หญิง ที่ทำงานเพื่อล้วงความลับคนอย่างเธอน่ะนะ...

     

    “ถ้าอยู่กันสองคน ฉันคงไม่บังอาจหรอกค่ะ..” นาราภัทรกล่าวอย่างนั้นพลางคว้าเข้าที่สายผ้ากันเปื้อนที่อีกฝ่ายสวมใส่ เหนี่ยวรั้งร่างของคุณหญิงใจกล้าที่กล้าจะหยอกล้อนายตำรวจชั้นสูงกว่าตัวเองให้เข้าใกล้มาอีกนิด แล้วใช้มือที่ว่างนั้นปัดป่ายคราบแป้งสีขาวบนปลายจมูกของหล่อนออกเบาๆ ราวกับจงใจ

     

     “..คุณหญิงนิ่ม”

     

    กล่าวจบดวงตาคู่สวยที่ฉายแววเป็นประกายนึกสนุกก็ถอยห่างไปพร้อมกับมือทีี่ปล่อยลง ร่างอรชรของตำรวจสาวจากไปพร้อมกับกลิ่นกำจายและสัมผัสที่ยังตราตรึงบนเนื้อผ้า นีราพรรณมองตามแผ่นหลังที่ลุกจากไปยังห้องพักของตน ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ไม่อาจเลือนหายไปได้โดยง่าย

     

    ใบเตือนของหล่อน...โดนเข้าเสียแล้วสิ

     

     


     

    แสงไฟดวงเล็กไม่กี่ดวงที่เชื่อมโยงจากด้านบนต้องสะท้อนเข้ากับร่างทั้งสามที่กำลังผ่อนคลายในแบบของตนเอง เสียงแมลงในยามค่ำคืนที่วิ่งเข้าหาความสว่างนั้นเป็นดั่งความรื่นรมย์สบายใจให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปโดยไม่ช้าไม่เร็ว นาราภัทรยืนทำความสะอาดบรรดาชั้นวางขายของใกล้กับหญิงกลางคืนที่กำลังอ่านหนังสือข่าวประจำวัน ในขณะที่คุณหญิงนีราพรรณกำลังสำรวจบางสิ่งที่ตนเพิ่งเคยได้รับรู้การมีอยู่ของมัน

     

    ร่างเพรียวที่กำลังสอดส่องสายตาพลางลูบไล้ไปยังเครื่องดนตรีไทยนั้นทำให้หญิงกลางคนรับรู้ถึงความสนใจของอีกคนได้

     

    “สนใจหรือ?” 

    นีราพรรณพยักหน้ารับด้วยความสัตย์จริง “ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ฟังคนเล่นแล้ว คุณป้าเคยเล่นมาก่อนหรือคะ”

     

    “ไม่ใช่ของฉันหรอก” นางแช่มบอกพลางเอนหลังลงบนเก้าอี้อย่างไม่ใคร่สนใจนัก “ของสามีฉัน เขาเคยเล่นให้ฟังบ่อยๆ น่ะ”

     

    หญิงสาวพินิจซออู้คันดังกล่าวอยู่สักพักก่อนจะกล่าวออกมาในที่สุด “…จะว่าอะไรไหมคะถ้าหนูของลอง”

    หญิงกลางคนผงกศีรษะออกมาจากหนังสือพิมพ์ในมืออย่างใคร่รู้ “เคยเล่นรึอย่างไร” 

    “หนูเคยเล่นเครื่องสายของฝรั่ง ที่เขาเรียกว่าไวโอลินน่ะค่ะ” 

    “แล้วเด็กอย่างเธอเคยไปจับของแพงๆ แบบนั้นได้ยังไง?”

     

    ฟังคำถามที่ถูกถามขึ้นมาอีกครั้งพร้อมดวงตาคาดคั้นอย่างสงสัยในความแปลก ทำให้หม่อมราชวงศ์นีราพรรณถึงกับแสดงสีหน้าไปไม่ถูก เพราะเผลอตัวเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวออกไปจนอาจทำให้ถูกสงสัยว่าไม่ได้เป็นเพียงเด็กสาวต่างจังหวัดเข้าให้เสียแล้ว

     

    “เมื่อก่อนที่เคยทำงานอยู่บ้านของคุณนายคนหนึ่ง เธอช่วยสอนให้น้องสาวหนูยามที่เธอว่างน่ะค่ะ” เป็นนาราภัทรเองที่ก้าวเท้าเข้ามาช่วยเหลือเธอเอาไว้ ทำให้หญิงกลางคนคลายความสงสัยแล้วพยักหน้าอนุญาตไปให้หญิงสาวได้หายอกหายใจโล่งอีกครา

     

     “อย่าให้บาดหูจนข้างบ้านเขาตะโกนด่าเสียล่ะ”

     

    นีราพรรณยิ้มรับก่อนจะเคลื่อนสายตาไปสบเข้ากับใครอีกคนที่มองมาที่เธออย่างคาดโทษเนื่องจากไม่ระมัดระวัง แล้วจึงหย่อนกายลงบนแคร่ไม้ตัวยาวที่วางตั้งอยู่ใต้ขั้นบันได หญิงสาวหมุนปรับสายอย่างลองผิดลองถูกอยู่เล็กน้อย  วางคันทวนจากไม้ที่ยังคงสภาพดีอยู่นั้นตั้งลงบนตักที่เรียวขาทั้งสองข้างได้ยกขึ้นมาพับไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และจึงเริ่มขยับคันชักผ่านสายอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังทบทวนแล้วจึงได้เริ่มบรรเลง

     

    คันชักส่งเสียงยาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขยับท่วงทำนองบทเพลงที่นาราภัทรไม่เคยได้ฟังมัน แต่กลับไพเราะเสียจนมือที่กำลังทำความสะอาดยังต้องหยุดนิ่งเพื่อซึมซับความเพลิดเพลินนี้ เสียงซออู้ที่เธอเคยคิดไว้ว่าจะต้องแปลกหูเกินกว่าใครในปัจจุบันนี้จะได้ฟังมัน กลับเว้าวอนและถวิลหาอดีตอย่างแว่วหวานราวกับบทกลอน หากตัวเสียงนั้นคือประโยควาจา คงไม่แคล้วได้ออกมาจากบุรุษผู้ปั้นแต่งวาจาเพื่อเกี้ยวพาราสีนางในวรรณคดีอย่างแน่นอน

     

    ระหว่างที่บทเพลงกำลังตรึงหญิงสาวต่างวัยทั้งสอง นาราภัทรก็เผลอตัวสังเกตคนที่กำลังบรรเลงเครื่องดนตรีนั้นอยู่ด้วยรอยยิ้มนัยหน้า ผมยาวเลยบ่าเคล้าคลอเคลียให้ไหล่นั้นดูเหมาะสม แผ่นหลังและท่านั่งของหล่อนเพรียบพร้อมประหนึ่งนางไม้ คอยขับบทเพลงแสนกลให้ผู้ผ่านมาได้หยุดนิ่งฟังมันอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น

     

    ซอเสียงหวานขยับทำนองสุดท้ายและจบลงด้วยความเงียบเชียบ เหล่าแมลงที่คล้ายกับจงใจหยุดร้องไปก่อนหน้าเพื่อให้บทเพลงนั้นได้ยินกันถ้วนทั่วกลับมาร่ำร้องอีกครั้ง พร้อมกับสายลมที่พัดโบกให้ดอกยี่หุบบริเวณท่าแพด้านหลังประตูนั้นตกลงสู่โอ่งน้ำราวกับใจคนที่ได้กลับมามีชีวิต 

     

    “เก่งดีนี่” หญิงกลางคนเอ่ยปากออกมาในที่สุดหลังจากเงียบไปพักใหญ่ “นายเก่าก็สอนเพลงนี้หรือ”

    นีราพรรณสังเกตเห็นเบื้องหลังบางอย่างในน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้อยู่หลายส่วน “ทำนองนั้นค่ะ”

    นางแช่มปิดหนังสือและลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ฉันจะขึ้นนอนแล้ว พวกเธอจะทำอะไรก็อย่าเสียงดังนักล่ะ”

     

    เมื่อหญิงกลางคนได้จากไปนีราพรรณก็ไม่รู้ว่าตนควรจะทำสิ่งใดอีก เธอเก็บเครื่องดนตรีนั้นไว้ที่มุมเดิมพลางจ้องมองมันราวกับกำลังสนทนากัน เพราะมันคงเป็นคู่สนทนาเพียงไม่กี่ชิ้น ที่ทำให้หญิงกลางคนพูดคุยด้วยได้ก่อนที่พวกเธอจะมาขออาศัยอยู่ที่นี่

     

    “ไม่ยักรู้นะคะว่าคุณหญิงก็เล่นเป็น หรือหม่อมทุกคนต้องศึกษาศิลปะไปเสียหมด จะได้ไม่เสียชาติกำเนิด”

     

    ฟังคำกล่าวที่เหมือนจะชมก็ไม่ใช่จะค่อนแขวะก็ไม่เชิง หญิงสาวก็ได้แต่ขยับรอยยิ้มจางๆ เมื่อหันมามองร่างของหม่อมหลวงนาราภัทรที่นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะไม้แทนที่ของหญิงกลางคนเมื่อครู่

     

    “สารวัตรยังเลือกที่จะไม่ศึกษาเลยไม่ใช่เหรอคะ” 

    หล่อนผ่อนลมหายใจแล้วกอดอกด้วยดวงตาที่หลากหลายความรู้สึก “ฉันไม่ใช่คุณหญิงคุณนายเสียหน่อย” 

    “แล้วฉันต่างอะไรกับคุณหรือคะ” 

     

    อีกฝ่ายจ้องมองเธออย่างจริงจังก่อนจะพูด “ต่างสิ—ทั้งยศศักดิ์ และฐานะ”

     

    หม่อมราชวงศ์นีราพรรณนั่งนิ่งเมื่อรับรู้ถึงจุดหมายปลายทางของบทสนทนานี้

     

    “ถึงคุณหญิงจะปฏิเสธอย่างไร แต่สังคมมันก็แบ่งแยกอย่างนั้นอยู่แล้ว

    “….”

    “เพราะอย่างนั้นอย่าเอาฉันขึ้นไปเทียบพวกคุณเลย ใครได้ยินเข้าจะพากันพูดจาไม่ดีกับคุณหญิงเสียเปล่า”

    “แล้วสารวัตรเอง ก็ถูกทำให้เชื่ออย่างนั้นด้วยหรือ” 

    “…” 

     

    คราวนี้เมื่อมองเห็นประกายบางอย่างในดวงตาที่คอยซุกซนอยู่เสมอของอีกฝ่ายแล้ว หม่อมหลวงนาราภัทรก็เป็นฝ่ายเงียบลงไปบ้าง 

     

    ก่อนหน้านี้หญิงสาวยอมรับ ว่าเพราะความไม่เข้าใจในความรู้สึกที่สั่นไหวในอกอย่างประหลาดหลังจากเสียงดนตรีได้จบลงกระทั่งตอนนี้เอง ทำให้นาราภัทรเผลอกล่าววาจาด้วยความรู้สึกอคติที่ไม่สมควรออกไป 

     

    เธอไม่รู้หรอกว่าพวกคุณหญิงคุณนายพึงพอใจกับชาติกำเนิดของตนทุกคนหรือไม่

    เธอแค่อยากปฏิเสธความรู้สึกที่กำลังพรั่งพรูอยู่ข้างในกายของตนเองในตอนนี้เพียงอย่างเดียว

    เธอไม่อยากมีความรู้สึกคล้ายอะไรบางอย่างหล่นหายไป...ยามที่ดวงตาสีเข้มคู่นั้นปรากฏความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา

     

    “อย่าสนใจที่ฉันพูดเลยค่ะ วันพรุ่งเราต้องตื่นเช้า เราควรเข้านอนได้แล้ว” เป็นหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเองที่ปิดให้บทสนทนานี้ให้จบลงด้วยรอยยิ้มแสนกลดังเดิม ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งจะเข้าใจในความหมายของดวงตาคู่นั้นต้องเบือนศีรษะหนีด้วยความรู้สึกผิดที่ก่อตัวขึ้นมา

     

    “คุณหญิงนอนก่อนเถอะ ฉันยังมีรายงานจะต้องเขียนในคืนนี้”

    “ถ้าอย่างไรก็อย่าดึกมากนักนะคะ”

     

    กล่าวจบหญิงสาวก็ก้าวเท้าผ่านขั้นบันไดไปยังชั้นที่สองด้วยน้ำหนักที่ดูจะมากขึ้นด้วยอะไรบางอย่าง กระทั่งหม่อมราชวงศ์นีราพรรณมาถึงบานประตูห้องพักของเธอสองคน ร่างเพรียวผู้สูงส่งก็แนบแผ่นหลังลงกับมันท่ามกลางความมืดที่ไร้แสงไฟใดๆ ภายในระหว่างที่ครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆ 

     

    การรับมือกับหญิงสาวไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับหม่อมราชวงศ์นีราพรรณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบรรดาผู้หญิงที่เคยพบพานหรือน้องสาวทั้งสองเธอก็ล้วนตอบคำถามและแก้ปัญหาให้โดยไร้ซึ่งปัญหาใด แต่สำหรับหม่อมหลวงนาราภัทร นีราพรรณกลับรู้สึกเหมือนเจอทางตันบ่อยครั้งอย่างไรก็ไม่รู้

     

    หญิงสาวแค่หาคำตอบให้คำถามที่อยู่ในใจไม่ได้

     

    เหตุใดหล่อนจึงเดี๋ยวอนุญาตให้เข้าใกล้...อีกเดี๋ยวก็ผลักไสราวกับเธอเป็นไฟเสียอย่างนั้น 

     

    นีราพรรณไม่เข้าใจเลยจริงๆ 

     

     

     

     

     

    นักแสดงรับเชิญ

    จ่ารวิภา : ชิน รยูจิน

    จ่าธงชัย : แทยง NCT 

    นวลจันทร์ : ควอน โบอา

     

    TBC.

    #ฟิคแก้วตาสุมาลี #หม่อมราชวงศ์นีราพรรณ

    _________________________________________________

    คนเจ้าชู้มีที่ไหนล่ะแถวนี้ .-.

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×