ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TWICE | OS/SF : #Xslibrary

    ลำดับตอนที่ #14 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ : ดอกกาหลง ๕

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 63


     

     

    ปลายนิ้วขาวไล่เรียงไปมาบนแป้นขาวดำของแกรนด์เปียโนเพียงหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในห้องนั่งเล่นของวังดอกไม้อันสงบสุข ดวงตาทรงเสน่ห์ที่เคยแพรวพราวด้วยแสงสีและความสุขต่างๆ บัดนี้เหลือเพียงแค่ความเหม่อลอยที่ทอดยาวออกไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จบ หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จึงไม่ทันได้รู้สึกตัวคราวเมื่อผู้เป็นพี่สาวคนรองนั้นกำลังย่างกรายเข้ามา

    “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ไม่ได้ฟังเพลงทำนองอื่นจากห้องห้องนี้เลย”

    หญิงสาวผิวขาวหันมองผู้เป็นพี่เมื่อได้ยินคำกล่าวหยอกล้อดังนั้น ซึ่งหม่อมราชวงศ์นีราพรรณก็นั่งลงบนโซฟาไม่ไกลกันด้วยท่าทางสบายๆ และสุขุมอย่างที่เอกลักษณ์เจ้าตัวมี

    “พี่หญิงจะขอให้ฉันเล่นเพลงที่อยากฟังเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว”

    “พี่รู้ว่าเธอเก่งอยู่แล้ว” ร่างเพรียวตอบด้วยรอยยิ้มละมุนละไม “แต่พี่อยากให้เราเล่นมันเพราะมีความสุขจากข้างในมากกว่า”

    “…”

    ร่างขาวอดเห็นด้วยไม่ได้ในใจเมื่อได้ฟังดังนั้น สองเดือนที่ผ่านมานี้แม้ในบางวันจะแสดงสีหน้าว่าตนสุขสบายดีแต่ผู้คนในวังต่างรับรู้ดีว่าดารารินทร์ไม่ได้มีความสุขอย่างที่เคย หนึ่งนั้นเพราะเห็นได้ด้วยเสียงเพลงที่บรรเลงออกมาจากเครื่องดนตรีคู่ใจ ส่วนอีกข้อก็เพราะคนชอบสังสรรค์อย่างหล่อนนั้นกลับปฏิเสธแสงสีจากการเชื้อเชิญของเพื่อนสนิทในพระนครอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

    “พี่ชายใหญ่ให้มาถามว่าอยากจะไปร่วมงานดนตรีที่มหาวิทยาลัยอาทิตย์นี้หรือเปล่า” นีราพรรณพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มที่หม่นมอง “อาทิตย์นี้ไปมาสองสามงานแล้ว ปฏิเสธเสียบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก”

    เพราะเห็นน้องสาวตอบรับคำเชิญงานสังคมที่ตนเคยเกลียดแสนเกลียดแทบทุกงานหญิงสาวจึงอดปากพูดไปไม่ได้ แม้จะรับรู้เหตุผลที่เจ้าหล่อนเอาตัวเองไปคลุกคลีกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่สบายใจอยู่แล้วและเคยกล่าวปรามว่าไม่จำเป็นที่จะต้องฝืนใจก็ตาม

    ‘ฉันหวังเพียงแค่จะเจอหล่อน…อีกสักครั้งที่งานไหนก็ได้….ขอแค่ได้พบหน้าหล่อนก็พอแล้ว’

    แต่เหตุผลของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็หนักแน่นเสียใจพวกเธอต้องอ่อนใจอยู่ดี…

    “เมื่อไหร่พี่ชายใหญ่จะเลิกคิดว่าฉันโกรธเสียที” ดารารินทร์ผ่อนลมหายใจออกมา

    “ก็รู้นี่ว่าจริงๆ แล้วเขาอ่อนไหวง่ายขนาดไหน” นีราพรรณกล่าวทั้งกลั้วหัวเราะ “ตัวโตออกอย่างนั้น..จะเป็นพ่อคนแล้วก็ยังร้องไห้เลย”

    แม้สองเดือนที่ไร้ข่าวคราวของนวลนางอันเป็นที่รักจะนำความรู้สึกเศร้าใจให้แก่หญิงสาว แต่ก็มีไม่กี่อย่างเท่านั้นที่กำลังชักนำความเปลี่ยนแปลงให้ไปในทางที่ดีขึ้นแก่วังดอกไม้แห่งนี้ ประการแรกคือคำขาดที่มนต์นภาจะไม่ได้รับการต้อนรับให้มาที่วังทัตพงศ์มาลีอีกแม้หล่อนยังคงดื้อดึงที่จะเข้าใกล้ดารารินทร์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และอีกประการที่น่ายินดีกว่าก็คือการที่หม่อมจีรัญนภาหรือสะใภ้ใหญ่ของวังดอกไม้นั้นได้ตั้งครรภ์แล้ว

    แน่นอนว่าหม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ออกจะรู้สึกผิดไม่น้อยเมื่อข่าวคราวระหว่างน้องสาวและนักแสดงดาวรุ่งคนนั้นเป็นที่พูดถึงอื้ออึงไปทั่วพระนคร เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดคุยกับดารารินทร์ตรงๆ หรือกระทั่งจ้ำจี้จำไชเรื่องไปเที่ยวสังสรรค์ของน้องสาวเหมือนเก่า แม้เธอจะเคยพูดตอนกล่าวคำยินดีเรื่องหลานกับผู้เป็นพี่ชายแล้วว่าไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ดูเหมือนว่าสองเดือนที่ผ่านมานี้ ชายหนุ่มยังคงทำตัวกระอักกระอ่วนและคิดว่าตนเป็นต้นเหตุที่สร้างความเศร้าใจให้แก่เธออยู่ดี

    “เดี๋ยวพี่จะไปบอกพี่ชายใหญ่ให้แล้วกันว่าเราไม่ต้องไป” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณบอกพลางทำท่าจะลุกจากไป แต่ไม่ทันไรเสียงของน้องสาวคนกลางก็กล่าวฉุดรั้งกันขึ้นมา

    “รดาจะไปค่ะ”

    ร่างเพรียวชักจะตงิดใจเสียแล้วว่าความดื้อดึงนี้ต้องสืบทอดกันผ่านสายเลือดอย่างเดียวหรือไม่หนอ….

     

     

     

    สายลมพัดเป็นจังหวะประกอบกันกับกระแสน้ำที่ไหลเอื่อยอย่างเป็นธรรมชาติชักนำให้ความคิดของคนผู้หนึ่งนั้นทอดยาวไปไกลคล้ายกับจะไม่มีที่สิ้นสุด โชษิตาจึงชอบนักที่จะมายืนอยู่ริมระเบียงบ้านชั้นเดียวที่อดีตเคยเป็นเพียงแค่เรือนแพใกล้ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในยามบ่ายเช่นทุกวันนี้

    อันที่จริงแล้วก่อนหน้าหนึ่งอาทิตย์ -หญิงสาวค่อนข้างอยากจะเก็บตัวอยู่ในห้องนอนกับนั่งเล่นสลับกันเสียมากกว่า ถ้าไม่ติดว่าชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนสนิทนั้นต้องคอยหาเรื่องหาราวมาลากตัวออกไปทำอย่างอื่นบ้างเช่นการนั่งจิบชาหรือกระทั่งยืนรับลมเพื่อครุ่นคิดอะไรคนเดียว

    “เข้ามาเถอะ เดี๋ยวกับข้าวจะไม่อร่อย” เสียงของเมธาวีร้องบอกขณะที่เจ้าตัวโผล่ใบหน้าออกมาจากประตูห้องครัวเมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั้นคล้ายจะยืนถอดถอนใจไปกับกระแสน้ำที่พัดเอื่อยนานขึ้นทุกวัน

    โชษิตายิ้มน้อยๆ ที่ดูเหมือนการออกไปตลาดเพื่อซื้อกับข้าวกับปลามาทานของเพื่อนจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว ร่างเล็กจึงยอมเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่ายและไม่อิดออดเหมือนอย่างเคย

    “ซื้ออะไรมาเยอะแยะ เพิ่มขึ้นทุกวันจริงเชียว” บอกไปอย่างนั้นราวกับหยอกเย้าที่เห็นถ้วยชามมากมายที่บรรจุอาหารน่าทานเอาไว้บนโต๊ะ หากให้เทียบกับเมื่อแรกที่ย้ายมารักษาตัวรักษาใจที่นี่แล้วนั้น จำนวนช่างแตกต่างจนอดขำขันในใจไม่ได้

    เมธาวีทำสีหน้าคล้ายกับไม่รับรู้ความเหน็บแนม “นี่ต้มยำปลากะพง นั่นยำปูม้า ส่วนถุงนั้นแกงเหลืองหน่อไม้ดองไว้กินได้ถึงตอนเช้า”

    “หวังจะกินให้ปวดท้องหรือไร ของเผ็ดเยอะขนาดนี้จะร้อนท้องเอานะ” แค่ฟังชื่ออาการร้อนวูบวาบก็แล่นไปอยู่ในท้องไส้จนโชษิตาต้องเผลอขมวดคิ้วขณะมองอีกฝ่ายส่งช้อนส้อมมาให้ถึงมือ

    “ฉันก็หวังว่านอกจากทำให้ร้อนท้องแล้วจะยังทำให้ใจคนอ่อนเสียที”

    สิ้นประโยคนั้นก็ราวกับจะมองเห็นริมฝีปากของเพื่อนกระตุกยิ้มแฝงอยู่บนใบหน้าเรียบเฉย โชษิตาได้แต่ตอบรับเป็นการถอนหายใจและส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่นึกเอาความด้วยนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมธาวีกล่าววาจาค่อนแขวะเธอที่ยังไม่ยอมกลับไปที่พระนครเสียที

    “คุณวีรนนท์ให้เธอพักจนกว่าข่าวจะเงียบ และตอนนี้แม่มนต์นภาก็โดนวังทัตพงศ์มาลียื่นคำขาดแล้วด้วย” ชายหนุ่มยังคงพูดต่อเมื่อเห็นว่าเพื่อนคล้ายกับจะรับฟังเพียงเท่านั้นแต่ก็ยังคงดื้อดึงไม่เลิก

    “…”

    “ใจของเธอไม่มีทางทุเลาหรอกนะ หากยังคงค้างคาอยู่แบบนี้”

    โชษิตารู้ดีว่าบาดแผลทางใจของเธอยังคงเป็นดั่งชายหนุ่มว่า ในเมื่อเธอเลือกที่จะหลบลี้หนีภัยมาเพื่อป้องกันการตามหาของหล่อน ปล่อยให้ดวงใจนี้รับการรักษาด้วยเวลาเป็นระยะเวลาสองเดือนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่ในขณะที่คิดว่าเธอกำลังจะลืมความเจ็บปวดในวันนั้น โชษิตากลับพบว่าเธอลืมภาพสายตาที่บ่งบอกความรู้สึกของหล่อนในตอนนั้นไปไม่ได้เลยสักนิด

    หากเธอจะตัดใครก็ย่อมไม่เคยเป็นเรื่องยาก แต่มันกลับกลายเป็นข้อยกเว้นของผู้หญิงสูงศักดิ์คนนั้นอยู่คนเดียว

    เธอกลัวที่จะเจ็บปวด แต่ก็ต้องยอมรับอย่างเต็มหัวใจว่าหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็เหมือนสายลมที่พัดผ่านร่างกายเป็นระลอกในทุกวันที่ผ่านมา

    ไม่ใช่ว่าทุกวันที่เวลาผ่านไปนั้นไม่คิดถึง..หากแต่หญิงสาวยังไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจเหมือนเคย…

    เพราะเธอไม่รู้ว่านั่นคือสายตาของความเจ็บปวดเพราะเธอไม่ยอมฟัง หรือว่าหล่อนละอายใจที่ได้ทำอะไรผิดไปกันแน่

    “ฉันไม่ได้อยากจะเร่งเร้าเซ้าซี้หรอกนะโช” เขายังคงกล่าวต่อเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ขยับเขยื้อนสิ่งใด “แต่สองเดือนน่ะทรมานพอหรือยัง…สำหรับพวกเธอทั้งสองคนเลย”

    แม้จะเข้าใจดีว่าหล่อนกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่เขาเองก็เป็นเพียงแค่คนกลางที่ได้ยินเรื่องราวมาไม่ต่างจากคนอื่น ยามที่เพื่อนของเขาหายหน้าไปก็ต้องคอยรับหน้ากับหล่อนแทน แสร้งว่าไม่รับรู้ข้อมูลใด ทว่าสิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์นั้นค่อนข้างจะเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเสียมากกว่า

    ไหนจะสิ่งที่เขาได้ยินจากผู้เป็นน้องสาวคนเล็กของหล่อนว่าเจ้าตัวนั้นเทียวออกงานสังคมที่เกลียดแสนเกลียดเพื่อหวังจะเจอหน้า ทำเอาผู้ชายอย่างเขารู้สึกท้อใจแทนเสียไม่ได้เลยจริงๆ

    หากเพื่อนของเขาแสดงออกเด็ดขาดไปเลยยังพอว่า แต่นี่ยังคงคลุมเครือไปด้วยห้วงรักในแววตาก็พาลพาให้ในบางครานั้นน้ำชาก็ขมขื่นขึ้นมาในบัดดล

    “ฉันลังเล”

    “?”

    โชษิตาขยับริมฝีปากช้าๆ “ฉัน..ลังเลที่จะเกลียดหล่อน”

    เมธาวีมองหญิงสาวที่ค่อยๆ บีบมือซึ่งประคองช้อนส้อมเอาไว้อยู่ให้แน่นขึ้น “แต่ฉันกลับไม่ลังเลที่จะรักหล่อนเลย”

    “…”

    “ฉันจะทำยังไงดีธาวี” เธอเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดซึ่งอยู่ในใจ “ฉันจะทำยังไงดี…”

     

     

     

    เพี้ยะ!!

    เสียงฝ่ามือที่ปะทะเข้ากับผิวกายเรียกเสียงหวีดร้องและอารามตกใจอื้ออึงได้จากทั่วรอบบริเวณ

    ร่างน้อยของหญิงสาวผู้หนึ่งหันกลับมามองผู้กระทำที่ตรงดิ่งเข้ามาฟาดมือลงกับใบหน้าตนด้วยความเกรี้ยวกราด ไม่ต่างจากหญิงสาวผู้เคยมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นถึงนักแสดงแถวหน้าผู้มีวีรกรรมที่ฉาวโฉ่ให้ได้ยินเป็นระลอกซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเลยสักนิดเดียว

    ‘หวังจะเป็นคางคกขึ้นวอ ขึ้นไม่ทันไรก็ตกลงมาเสียละ เอาแต่ส่งเสียงร้องเรียกอยู่ได้’

    “เมื่อกี้หล่อนว่าอย่างไรนะ”

    “คุณตบฉัน?”

    มนต์นภาอยากจะผรุสวาทออกมาให้สาสมหาไม่ใช่เพราะทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่เธอทั้งคู่ หญิงสาวตรงหน้าเป็นใครหน้าไหนไม่รู้แต่ท่าทีที่คล้ายกับไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งที่ก่อนหน้าเพิ่งจะกล่าววาจาขัดหูกันอยู่หยกๆ นั้นทำให้เธออยากจะฟาดมือลงบนใบหน้าหล่อนอีกครั้ง

    “ฉันถามว่าหล่อนพูดอะไร!”

    เสียงของหญิงสาวยิ่งเรียกร้องความสนใจจากคนทุกผู้ เพราะแม้แต่นักดนตรีที่เล่นอยู่บนเวทีก็ยังหยุดเล่นนับตั้งแต่เสียงหวีดร้องครั้งแรก ยิ่งเห็นตัวเจ้าของใบหน้างดงามนั่นแสดงอาการโกรธเกรี้ยวและก้าวเท้าไล่เค้นคำตอบจากสาวน้อยที่กอบกุมใบหน้าตนเองแล้วก็ยิ่งได้แต่ทำอันใดไม่ถูกเลย

    แต่ในขณะที่แก้มอีกฟากหนึ่งกำลังจะถูกทำให้เป็นสีเนื้อเดียวกันนั่นเอง ข้อมือบางของมนต์นภาก็ถูกหญิงสาวซึ่งมองดูสถานการณ์อยู่นานแล้วนั้นยึดเอาไว้ก่อนที่แสงสีโดยรอบนั้นจะถูกทำลายลงไปเสียหมด

    “ก็ไม่คิดหรอกนะว่าหล่อนจะฤทธิ์เยอะปานนี้” กัญนิกาพูดอย่างนั้นในขณะที่รั้งข้อมือของหญิงสาวที่รูปร่างเล็กกว่าตน และด้วยความที่ร่างกายนั้นผ่านการฝึกปรือมาก่อนจะทำหน้าที่อยู่ในกรมช่างอากาศจึง ทำให้แม่นักแสดงสาวตัวร้ายไม่อาจยื้อหยุดอวัยวะของตนเองกลับมาได้ดังใจนึก “จะทำอะไรคิดถึงหน้าของคุณหญิงสักหน่อยจะเป็นไรคะ”

    “หากหล่อนจะคิด ก็ควรคิดตั้งแต่การวางตัวแล้วมากกว่ากระมัง” พรรษาที่ก้าวเท้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้นั้นช่วยพยุงให้หญิงสาวที่ถูกมนต์นภาแพลงฤทธิ์เข้าใส่ยืนขึ้นได้

    พวกเธอทั้งสองเห็นเหตุการณ์ตั้งต้นนับแต่แม่นักแสดงสาวผู้นี้ก้าวเท้าเข้ามาในร้านชาลิสาด้วยใบหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านใจเป็นที่สุด ไม่ต้องเอ่ยปากบอกก็รู้กันดีว่าคงไม่พ้นเรื่องที่เพื่อนสนิทของเธอหายหน้าไปจากทั้งที่ร้านและที่ประจำอย่างผิดวิสัย จะเข้าใกล้หรือกระทั่งไปดักรอก็ไม่ทันความลื่นไหลของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์อีก เห็นท่าทางการสั่งเครื่องดื่มและยกข้อมือให้ของเหลวร้อนนั้นไหลลงคอถี่ๆ แล้วยิ่งทำให้คนที่ลอบมองหล่อนตั้งแต่ต้นอดปากซุบซิบนินทาถึงข่าวคราวและชื่อเสียของหล่อนไม่ได้

    มนต์นภาที่พวงแก้มระเรื่อไปด้วยสีแดงก่ำของสุรานั้นยิ่งแดงขึ้นเมื่อเห็นว่าใครกันที่เข้ามาขวาง หญิงสาวสะบัดมือของตนกลับมาที่เดิม และกัญนิกาก็คล้ายกับไม่อยากจะสัมผัสมันไปมากกว่านี้จึงได้ยอมปล่อยไม่รั้งไว้อย่างเคย

    หากไม่ใช่เพราะการเล่นละครของหล่อนล้ำเส้นสหายคนสนิท มีหรือที่พวกเธอสองคนจะเข้ามาก้าวสถานการณ์อันวุ่นวายตรงหน้า

    “ก็ไม่ใช่เพราะพวกหล่อนรึ ทั้งปกปิด กีดกัน ใจร้ายได้ลงคอ” หญิงสาวเชิดหน้าถามออกไปคล้ายกับผิดหวังเสียเต็มประดา

    “ใจร้ายหรือคะ? แหม จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ยอมทบทวนตัวเองเสียจริง” พรรษาส่งเสียงให้ในลำคอ ดวงตากลมนั้นวาวโรจน์ด้วยความรู้สึกสมเพชระคนอ่อนใจ “ต้องให้ฉันเล่าเรื่องผู้หญิงดื้อด้านตรงนี้ไหมล่ะ”

    “อย่าเลยคุณพรรษา นั่นไม่ใช่สมบัติผู้ดีนะ” กัญนิกาที่ตอบรับเป็นลูกคู่ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ริมฝีปากกลับคลายยิ้มเยาะ “แต่สำหรับผู้หญิงที่คิดวิเคราะห์หรือใช้เหตุและผลไม่ได้ ก็อาจจะไม่เป็นไรกระมัง”

    มนต์นภาเผลอตัวขึ้นเสียงในทันที “หล่อนว่าใครยะ!?”

    “เพื่อนฉันก็เล่าเรื่องทั่วไปในสังคมนั่นแหละค่ะ” พรรษาหัวเราะพลางหันกลับไปหยิบแก้วทรงสูงที่มีเครื่องดื่มของตัวเองค้างเอาไว้ราวกับไม่ได้ตั้งใจพูดคุยกับหญิงสาวตรงหน้าแต่แรก “คุณมนต์นภามีอะไรหรือเปล่าล่ะคะ?”

    คำกล่าวที่ไม่ได้บ่งบอกเฉพาะเจาะจงกับใคร แต่ก็ทำเอาผู้มาใช้บริการโดยรอบต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยโดยทันทีด้วยความสามารถของเหล่านักใส่สีตีไข่ตัวยง ร้านชาลิสาเป็นแหล่งรวมตัวของหนุ่มสาวชั้นแนวหน้าจึงไม่อาจรอดพ้นกลุ่มปุถุชนมากหน้าหลายตาไปได้ ทั้งกัญนิกาและพรรษาจึงเลือกที่จะให้ธรรมชาติของมนุษย์นั้นทำความเข้าใจไปเอง

    กรามเล็กของหญิงสาวขบเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงหลุดหัวเราะออกมาจากผู้คนโดยรอบ แต่เธอทำได้เพียงแค่ส่งสายตาอาฆาตและโกรธเกรี้ยว รวมถึงเสียงกรีดร้องเล็กๆ ในลำคออย่างเหลืออดอยู่อย่างนั้นเอง

     

     

     

     

    “เธอลืมเติมน้ำมันเครื่องงั้นหรือธาวี” เสียงของหญิงสาวที่นั่งข้างคนขับรถคันงามสองที่นั่งสีเลือดหมูนั้นแสดงอาการสงสัยระคนเหลือเชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งจะได้ยินไปไม่นาน “ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องขนของเนี่ยนะ”

    “ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะไปเสียเวลาแถวบางปะอินนี่” ชายหนุ่มอย่างเมธาวีก็มีสีหน้ากระวนกระวายไม่แพ้กัน ด้วยถนนเส้นที่ยังคงใช้เป็นตัวตรงเข้าสู่ตัวพระนครนั้นไร้ซึ่งแสงไฟและบ้านเรือนอันบ่งบอกถึงถิ่นที่อยู่อาศัย ขณะที่ตัววัดระดับน้ำมันในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์นั้นอยู่ต่ำลงจนน่าใจหายขึ้นทุกที

    โชษิตาฟังแล้วก็ได้แต่ทิ้งตัวเอนหลังไปกับเบาะด้วยพยายามที่จะไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป “หวังว่าจะถึงที่ก่อนนะ”

    แต่คำพึมพำของหญิงสาวนั้นไม่อาจเติมให้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์เคลื่อนตัวไปจนถึงแหล่งเติมพลังของมัน รถยนต์สีเลือดหมูค่อยๆ จอดลงข้างทางเมื่อเจ้าของมันนั้นสบถไปด้วยและพยายามที่จะไม่ให้มันหยุดอยู่กับที่กลางถนนเช่นนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้วชายหนุ่มก็จำต้องยอมแพ้แล้วปล่อยให้เสียงจักรกลนั้นเงียบลง เหลือไว้เพียงแสงไฟทั้งสองข้างที่ช่วยไม่ให้เส้นทางในยามที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วน่ากลัวจนเกินไป

    “ทำอย่างไรเล่า แถวนี้ไม่มีโทรศัพท์ให้ขอความช่วยเหลือนะ”

    “ให้ไปหาไว้น่ะได้ แต่ฉันไม่อยากทิ้งเธอไว้คนเดียวหรอกนะ” เมธาวีตอบหญิงสาวด้วยสีหน้ากังวล ถึงอย่างไรโชษิตาก็ยังเป็นผู้หญิง และการที่จะให้หล่อนนั่งอยู่คนเดียวภายในรถระหว่างที่เขาออกไปเดินเตร่ขอความช่วยเหลือก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกเสียด้วย

    หลังจากนั่งถอดถอนหายใจและครุ่นคิดกันอยู่เกือบนาที ในที่สุดดวงตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นแสงไฟที่ถูกจุดติดอยู่เบื้องหน้า แม้ดูจากไกลๆ แล้วอาคารนั้นจะดูเล็กจนไม่เหมือนบ้านเรือนของผู้คน แต่ใจที่กำลังหาทางออกของเขาก็ค้นพบมันจนได้ “นั่น ตรงนั้นเหมือนจะมีป้อมยามอยู่ล่ะ”

    โชษิตาเองก็รู้สึกโล่งอกไม่น้อย หญิงสาวจึงหันไปทางเขา

    “ฉันอยู่ได้ ไปขอความช่วยเหลือจากเขาก่อนเถอะ”

    ชายหนุ่มพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นจะรีบไปรีบมานะ”

    มองเพื่อนชายจากไปด้วยท่าทีเร่งรีบ เห็นเขาวิ่งเหยาะๆ แล้วดวงตาของหญิงสาวก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด ภาพทับซ้อนในช่วงกลางวันสลับกับท้องฟ้าที่กำลังจะถูกความมืดมันกลืนกิน และเมื่อใช้เวลาพิจารณาอย่างโดยดี ความรู้สึกโล่งใจก่อนหน้านี้ก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้ก็ไม่ได้อยากหัวเราะก็ไม่ออกเสียอย่างนั้น…

    เพราะมันคือเขตแดนของเหล่าทหารอากาศ…ที่ทำงานของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่เจ้าหล่อนเคยพาเธอมาครั้งก่อนนี่เอง..

     

     

     

    ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ในความโชคดีก็ยังคงมีความโชคร้าย รถยนต์ของเมธาวีถูกเหล่าทหารยกเข้ามาไว้ภายในส่วนของการซ่อมแซมเครื่องยนต์ และเพราะในที่นี้ไม่มีใครมีน้ำมันเพียงพอสำหรับแบ่งปันทำให้ต้องมีคนไปนำมันมาจากข้างนอกเขตแดน จึงจำต้องใช้เวลาสักพักในการรอคอยจึงจะสามารถเดินทางเข้าสู่พระนครต่อไปได้

    ร่างเล็กนั่งทอดน่องพร้อมกับเสื้อคลุมตัวนอกที่เพื่อนชายหยิบยื่นเอามาให้จากภายในตัวรถ แม้สายลมในยามค่ำคืนให้ความรู้สึกเหน็บหนาวมากกว่ากลางวันเป็นไหนๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้โชษิตารู้สึกแปลกที่แปลกถิ่นเท่าใดนัก นอกเสียจากความคิดในหัวที่ยังคงปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีทางบังเอิญพบเจอหล่อนในเวลาอย่างนี้ได้แน่

    หล่อนคงไม่อยู่จนถึงดึกดื่นป่านนี้หรอก

    แม้จะครุ่นคิดอย่างนั้น แต่หญิงสาวก็ยังคงแอบนับให้เวลาผ่านไปอย่างเร็วไวอยู่เงียบๆ

    กระทั่งได้น้ำมันเครื่องถูกนำมาแบ่งปันแล้วเพื่อนสนิทก้าวเท้าเข้ามาบอกกล่าวนั่นแหละดวงใจที่สั่นไหวอย่างไม่มั่นคงก็ค่อยผ่อนคลายลงทีละนิด ท่าท่างของโชษิตาสบายขึ้น เธอจึงมีเวลาได้เคลื่อนสายตาสำรวจบริเวณโดยรอบหลังจากที่มัวแต่เอาสมาธิไปหาสิ่งอื่นเสียที

    เธอไม่ทันได้สังเกตว่าทีแรกที่ตนนั่งอยู่นั้นคือส่วนไหนของอาณาเขตที่เคยผ่านตามาแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อพบว่าข้างหลังเก้าอี้ที่เธอใช้รอเพื่อนสนิทนั้นเป็นโกดังขนาดกลาง และประตูทางเข้าถูกแง้มอยู่น้อยๆ พลันทำให้หญิงสาวรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง

    ร่างเล็กค่อยๆ พากายไปตามทางจนผ่านประตูที่ถูกแง้มไว้อย่างนั้น ดวงตาที่คมและมักจะคอยแสดงเสน่ห์ที่หาได้ยากจากเหล่าหญิงสาวในพระนครเบิกขึ้นน้อยๆ เมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้าของตัวเองคือเครื่องบินรบจำนวนสองลำที่ทำให้เธอเองตัวเล็กลงไปอีกมาก

    เครื่องบินลำขนาดกลางสีเขียวแก่ทั้งสองแม้จะหยุดนิ่งและจอดเอาไว้เฉยๆ ก็ตาม แต่ก็ยังแผ่บรรยากาศถึงความยิ่งใหญ่ของมันออกมาให้สัมผัสได้ด้วยตัวเอง

    ระหว่างที่กำลังวางสายตาให้หยุดนิ่งเพื่อชื่นชมเครื่องจักรตรงหน้าอยู่คนเดียว เสียงที่คล้ายกับเนื้อผ้าบางอย่างตกลงสู่พื้นจากอีกทางก็ทำให้หญิงสาวพลันรู้สึกตัวว่าตนได้เข้ามาอยู่ในเขตที่อาจจะหวงห้ามสำหรับคนนอกพื้นที่นี้เสียแล้ว แต่ทว่าเมื่อหันกลับไปมองเจ้าของต้นตอเสียงที่แม้จะไม่ดังมาก กลับทำให้หัวใจที่สงบนิ่งของร่างเล็กพลันดังก้องสะท้อนในโกดังแห่งนี้ไม่ต่างกันแม้แต่น้อย

    ดวงตาคู่เรียวเจ้าเสน่ห์ที่มักประดับประดาด้วยแววสดใสและสนุกสนานแข็งค้างราวกับถูกเวทย์มนต์บดบังเอาไว้ สิ่งที่เธอเห็นอยู่นั้นแม้จะดูแตกต่างแต่ก็คุ้นเคยเป็นยิ่งนัก หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ในชุดที่เตรียมพร้อมจะเลิกงานไม่แน่ใจว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือความใจร้ายของพรหมลิขิตหรือเปล่าที่จงใจเล่นงานให้เธอเห็นภาพของหล่อนที่เฝ้าตามหามาตลอด แต่ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจ ร่างขาวก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปข้างหน้า และภาวนาไม่ให้สิ่งที่เห็นอยู่นั้นจางหายไปต่อหน้าต่อตา

    ขณะที่โชษิตานั้นคล้ายกับลมหายใจจังหวะหนึ่งเลือนหายไปเสียดื้อๆ เมื่อได้พบหน้าคนที่เธอภาวนาว่าจะไม่บังเอิญเจอในที่นี้ เธอที่ควรจะหันกายหนีหายในทันที แต่ร่างเล็กกลับพบว่าอะไรบางอย่างนั้นมีอิทธิพลมากเสียจนฉุดรั้งไม่ให้เธอแม้แต่จะถอนสายตาออกจากใบหน้าของหล่อนได้

    ไม่รู้ว่าเพราะใบหน้าที่ไร้ชีวิตชีวาเหมือนอย่างเคยของหล่อน….หรือเพราะว่าความถวิลหาที่เธอมีให้มากกว่ากันแน่…

    ยังไม่ทันได้หาคำตอบให้แก่สิ่งที่อยู่ภายในความคิดของตนเอง โชษิตาก็รู้สึกถึงร่างกายที่ตรงเข้ามาโอบกอดกันจนแน่นขนัด…แต่มันไร้ซึ่งความอึดอัด ไร้ซึ่งความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เหลือเพียงแค่ความอบอุ่นที่แผ่ซ่าน มาจากกายของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เท่านั้นเอง

     

    “พี่หญิง..”

    “พี่ขอโทษ”

     

    ดารารินทร์ไม่อยากปล่อยให้คนตัวเล็กกว่าได้เปิดปากสิ่งใด หญิงสาวหวังเพียงแค่ต้องการให้หล่อนซึมซับความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นไปหมดทั้งใจผ่านอ้อมแขน และไม่กล้าที่แม้แต่จะปล่อยมือเพราะความกลัวที่เกิดขึ้นในใจตนเอง

    โชษิตาค่อยๆ สัมผัสไหล่บางของคนอายุมากกว่าด้วยท่าทางนิ่งสงบแม้ว่าดวงตาคู่สวยนั้นจะมีม่านน้ำจางๆ คลอหน่วยอยู่ให้เห็น

     

    “พี่หญิง…ปล่อยโชก่อนนะคะ”

    “ไม่ค่ะ” ดารารินทร์ตอบทั้งที่ยังคงหลับตาแน่น “พี่จะไม่ปล่อยโชให้หายไปแบบนั้นอีกแล้ว”

     

    ก้อนความรู้สึกในลำคอทำให้โชษิตากล่าวอะไรได้ลำบาก ครั้นจะเอ่ยปากออกไปอีกตอนนี้ก็คล้ายกับกำแพงจะพังทลายและไม่เป็นตัวเอง เธอกำจัดเสียงสั่นเครือเช่นก่อนหน้านี้ให้ราบเรียบ รวมทั้งม่านน้ำตาที่จะเคลื่อนไหวออกมาได้ทุกเมื่อก่อนจะเริ่มเอ่ยอีกครั้ง

    “พี่รดาคะ”

    เมื่อได้ยินน้ำเสียงราบเรียบและเด็ดขาดถึงหนึ่งส่วนภายในอกของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็เกิดหลุมากาศขึ้นมาอยู่ภายใน ความดื้อดึงก่อนหน้าถูกลบเลือนหาย กระทั่งอ้อมแขนและฝ่ามือซึ่งลูบประโลมศีรษะอันอบอุ่นเมื่อครู่นี้ก็ผ่อนแรงลงจนหากไม่ประคองไว้ก็คงทิ้งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

    “วุ่นวายกับเรื่องของเราอีกแล้ว” ร่างขาวเผลอตัวก้มหน้าเมื่อนึกถึงคำพูดเมื่อครั้งนั้นของหล่อนขึ้นมาได้ “..ขอโทษ--”

    ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคนที่เคยมั่นใจในตนเองอย่างหล่อนถึงได้เอาแต่หลบสายตาและกล่าววาจาขอโทษเธอ โชษิตาจึงได้หยุดคำขอโทษของคนอายุมากกว่าเอาไว้ด้วยการเคลื่อนมือขึ้นสัมผัสเนินแก้มใต้ดวงตาทรงเสน่ห์นั้นอย่างแผ่วเบาทั้งรอยยิ้มบางๆ

    “ปล่อยให้ตัวเองดูไม่ดีขนาดนี้ได้อย่างไรกันคะ”

    ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ความจริงแล้วสำหรับโชษิตาหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ยังคงดูดีไม่เสื่อมคลายแม้จะอยู่ในเสื้อคอกลมและกางเกงของกรมช่างอากาศ ไหนจะเส้นผมยาวที่ดูเหมือนจะเพิ่งปล่อยมันเพราะเวลาทำงานได้หมดลงแล้ว จะมีก็แต่แววตาที่ดูไร้ซึ่งความสุขนั่นแหละที่ขัดใจเธอเพียงอย่างเดียว

    คำถามนั้นเรียกให้แววตาที่ไร้ชีวิตชีวาไปกว่าสองเดือนฉายแววขบขันแต่ก็ยังคงไว้ด้วยสีหน้าจริงจังเป็นหนักหนา ดารารินทร์จึงกล่าวราวกับน้อยเนื้อต่ำใจขณะใช้มืออีกข้างสัมผัสข้อมือเล็กอย่างทะนุถนอม

    “หากวันนี้เรายังจะหนีพี่ไปอีก จะตรอมใจให้ดูจริงเชียว”

    รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นในทันทีที่อีกฝ่ายได้ยินเธอกล่าววาจาเกินจริง และเวลานี้เองที่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ได้พิจารณาความเปลี่ยนแปลงของหญิงสาวตรงหน้า การแต่งตัวที่ดูสบายสำหรับการเดินทาง ความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายเติบโตขึ้นอย่างประหลาดราวกับดอกไม้ที่เปล่งปลั่ง รวมถึงเส้นผมที่เคยระต้นคอนั้นยาวขึ้นจนเลยบ่างาม ยิ่งเสริมให้ดวงหน้าที่เคยดุนั้นหวานแฉล้มขึ้นเป็นเท่าตัว

    ถึงจะแปลกตาสำหรับดารารินทร์ แต่กลับทำให้เธอรู้ว่าแม้เวลาจะผ่านไปเพียงไร เจ้าของดวงใจนั้นก็ยังทำให้มันเต้นอย่างมีชีวิตอีกครั้งได้เสมออยู่ดี

    หญิงสาวสัมผัสปลายผมนั้นให้ทัดใบหูเล็กก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “แล้วเราได้ทานอะไรอร่อยๆ บ้างหรือเปล่า”

    เพราะดูเหมือนหล่อนจะผอมลงเหมือนกัน ช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านนั้นดารารินทร์หวังไม่น้อยว่าหล่อนจะได้อยู่ดีกินดีและไม่มีสิ่งใดทำให้ไม่เป็นสุขใจ

    “พี่รดา” หล่อนเอ่ยเรียกเธอหลังจากทำท่าครุ่นคิด หญิงสาวจึงตอบรับผ่านลำคอระหว่างที่ยังคงสัมผัสเส้นผมของคนที่เอ่ยตอบออกมาอย่างเอียงอาย “โช…คิดถึงขนมเสน่ห์จันทร์ค่ะ”

     

     

    คืนวันนั้นในวังทัตพงศ์มาลีเกิดความวุ่นวายแต่ทว่าหอมกรุ่นหนึ่งระลอกคลื่น เพราะหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์พาโชษิตาที่ควรจะตรงกลับไปยังที่บ้านของผู้เป็นบิดามาถึงที่วังดอกไม้ ทำให้หม่อมจีรัญนภารีบออกปากสั่งสาวใช้เตรียมกับข้าวกับปลารับแขกและน้องสามีในทันที รวมถึงขนมเสน่ห์จันทร์ที่แขกผู้น้อยเปรยให้ฟังอย่างเอาใจ

    การมาถึงของโชษิตาทำให้คุณชายใหญ่ประจำวังทำการอันใดไม่ถูกไปเล็กน้อย แต่ก็บอกให้หล่อนทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้าน จะผิดก็แต่บรรดาพี่สาวน้องสาวของดารารินทร์นั่นแหละที่เอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่มกันด้วยความชอบใจที่เห็นน้องสาวคนกลางมีชีวิตชีวาขึ้นเสียที

    “พี่รดา กลับห้องตัวเองไปได้แล้วค่ะ” ร่างเล็กเอ่ยปากบอกคนอายุมากกว่าที่อาสาเดินมาส่งเธอถึงห้องนอนชั่วคราวในวัง และเป็นหนที่สามแล้วที่หล่อนยังเทียวเดินไปมาเป็นเพื่อนไปไหนมาไหนตั้งแต่ตอนที่จิลลาภัทรแนะนำห้องและเขตต่างๆ ให้ราวกับกลัวว่าเธอจะหล่นหายไปในอากาศเสียอย่างนั้น

    “ให้พี่คุยกับเราหน่อยไม่ได้หรือคะ” หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ทำเสียงคล้ายกับจะเว้าวอน และท่าทีกระเง้ากระงอดแบบเล็กๆ นั่นก็ทำให้คนมองอย่างร่างเล็กตรงหน้าอดกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้

    “เราคุยกันเรียบร้อยดีแล้วไม่ใช่หรือคะ”

    ตลอดมื้ออาหารค่ำฉบับกะทันหันนั้นพวกเธอทั้งสองคอยพูดคุยกันในเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้มีโอกาสอธิบายในคราวนั้น แม้จะตกใจไม่น้อยกับการกระทำของมนต์นภาและรู้สึกผิดกับหล่อนขึ้นมาอยู่จับใจ

    อันที่จริงหากไม่มีคุณสรภัสกับจิลลาภัทรมากล่าวยืนยันกลายๆ โชษิตาก็คงจะไม่ใจอ่อนยวบจนยอมให้หล่อนสามารถทำท่าทางออดอ้อนอยู่อย่างนี้ได้หรอก

    คนตัวขาวขยับยิ้มขณะลูบปลายนิ้วบนหลังฝ่ามือของคนตัวเล็ก ราวกับรับรู้ว่าในตอนนี้ไม่ว่าหล่อนจะมาไม้ไหนเธอก็เป็นอันต้องยอมเสียหมด “จะไม่เห็นใจความคิดถึงของพี่หน่อยหรือ”

    ดูเถอะ…โชษิตาเคยพูดเกินจริงไว้เสียที่ไหน

    “แล้วพี่รดาจะให้โชทำอย่างไรเล่า” ความรู้สึกมากมายที่ตีรวนอยู่ภายในทำให้หญิงสาวรู้ตัวว่าตนเองกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และการที่จู่ๆ ก็ไม่สามารถสบตาเข้ากับเจ้าของดวงตาคู่เรียวทรงเสน่ห์ที่เปล่งประกายความอบอุ่นออกมาได้ ก็ยิ่งทำให้หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ขวัญกล้าที่จะเคลื่อนใบหน้าเข้าหาคนที่สูงไล่เลี่ยกันเพื่อเย้าแหย่อย่างที่ใจต้องการ

    “..คิดถึงแต่ขนมเสน่ห์จันทร์เท่านั้นหรือคะ”

    เสียงที่เอ่ยถามราวกระซิบพร้อมกับดวงหน้าเว้าวอน เรียวคิ้วงามตกลงยิ่งคล้ายกับจะผลักให้โชษิตาตกลงไปในหลุมที่หล่อนสร้างได้ลึกขึ้น เธอเผลอตัวย่นปลายจมูกใส่คนตัวขาวก่อนจะตอบกลับไปถึงแม้จะรู้ว่าคงไม่ทำให้คนอย่างหล่อนรู้สึกเอียงอายได้เลยก็ตาม

    “คิดถึงคนเจ้าเสน่ห์มากกว่าค่ะ”

    แล้วก็หวังเพียงว่าคำตอบที่ตรงกันนี้ จะทำให้ฝันร้ายในหลายวันที่ผ่านมา..ได้กลายเป็นดีเสียที

     

     

     

    ภายในห้องขนาดกลางติดกับบรรดาระเบียงที่แทรกซึมไปด้วยเงาของต้นไม้ใหญ่ ควันสีขาวเป็นหย่อมๆ เกิดขึ้นเป็นระยะเมื่อมือย่นของสาวใช้อาวุโสคอยเปิดหม้ออบร่ำขนมส่งตรงจากวังทัตพงศ์มาลีดูความเรียบร้อย ก่อนจะบรรจงเปิดหม้อที่คาดว่าได้ใช้เวลาเรียบร้อยครบถ้วนแล้วออก จึงค่อยประคองขนมกลีบลำดวนลงใส่ถาดอย่างระแวดระวัง

    “ท่านเป็นชาววังมาก่อนหรือคะ” โชษิตาที่วันนี้ปลีกตัวจากห้องนอนชั่วคราวในวังออกมาตามคำชวนของสรภัสเอ่ยถามหญิงสาวซึ่งกำลังบรรจงห่อขนมใส่ใบตองที่จีบให้สวยงามแล้ว เพราะกลิ่นควันเทียนที่หอมไม่เหมือนที่เคยหาทานได้ทั่วไป จึงได้ความจากหม่อมจีรัญนภาว่าป้าโฉมฉายที่เมื่อคืนวานเพิ่งจะได้รับการแนะนำตัวเป็นคราวแรกนั้นได้รับเสน่ห์ปลายจวักมาจากมารดาที่เป็นชาววังมาก่อนนั่นเอง

    ระหว่างที่กำลังทำความเข้าใจกับกลิ่นควันเทียนที่ยังคงความหอมแม้จะผ่อนลมหายใจออกมาแล้วก็ตาม หญิงชราก็ค่อยเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของเธอพร้อมกับถ้วยขนมกลีบลำดวน โชษิตาพลันรับเอาไว้ด้วยความเกรงอกเกรงใจก่อนจะทานไปหนึ่งคำซ้ำด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ส่งผลให้หญิงชรานั้นยิ้มตอบอย่างสุภาพและนอบน้อมก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง

    สรภัสที่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างกล่าวกับหญิงสาวอีกสองคนให้ได้ยินเมื่อถอนสายตาจากหญิงชรากลับมา “ท่านไม่เคยมีแววตาแบบนั้นมาก่อนเลยนะคะ”

    แม้แต่หม่อมจีรัญนภาที่นั่งคุมสาวใช้อยู่ไกลก็อดนึกเห็นด้วยไม่ได้ เพราะขณะที่รอยยิ้มสุภาพนั้นเกิดขึ้น ดวงตาของป้าโฉมฉายนั้นก็ฉายแววความสุขระคนดีอกดีใจอย่างประหลาด แม้แต่ตอนที่เธอแต่งเข้าวังทัตพงศ์มาลีก็ยังเทียบไม่ได้ แต่ก็คิดว่าคงเป็นความนึกเอ็นดูตามประสาผู้ใหญ่ทั่วไปจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

    “สงสัยจะถูกโฉลกกับคุณโชกระมัง”

    ได้ยินดังนั้นแล้วร่างเล็กก็พลันฉุกคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวาน กับข้าวกับปลาในมื้อกะทันหันนั้นหญิงชราแทบจะเป็นคนทำด้วยตัวเอง ซ้ำเมื่อแรกเห็นหน้ากัน หล่อนก็คลับคล้ายคลับคลาจะมีม่านน้ำจางๆ ในดวงตานั้นเอง

    “สองสามวันมานี้ต้องขอบคุณคุณโชมากเลยนะคะ” เสียงของสรภัสทำให้โชษิตากลับมาสนใจกิจกรรมทำขนมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

    “พี่ภัสขอบคุณโชทำไมหรือคะ”

    “เพราะกับข้าวกับปลาที่ทำไว้แต่ละมื้อพร่องไปเยอะน่ะจ้ะ” สะใภ้ใหญ่ประจำวังทัตพงศ์มาลีกล่าวทั้งรอยยิ้มหยอก “หญิงรดาเจริญอาหาร พวกพี่ก็เลยใจชื้นไปด้วย”

    พอเข้าใจในความหมายนั้นแล้วแก้มของหญิงสาวก็พลันแดงระเรื่อ “ไม่เห็นจะเกี่ยวกับโชเลยนี่คะ….”

    สองสามวันที่อาศัยอยู่ในวังทัตพงศ์มาลี แม้หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จะไม่ได้กระทำอะไรให้รู้สึกว่าเธอเป็นดั่งนกน้อยในกรงทอง แต่โชษิตาก็ยินดีที่จะใช้เวลาพักผ่อนก่อนกลับไปทำงานด้วยการยินยอมที่จะอยู่แต่ภายในวัง เดินดูกิจวัตรประจำของชาววังดอกไม้ที่แตกต่างกันไปในแต่ละคราว

    จะมีก็แต่คนเจ้าเสน่ห์นั่นแหละที่ช่างขยันส่งท่าทีเอาอกเอาใจและประกายความสุขมาให้อยู่เนืองๆ จนคนรอบข้างหยิบยกมาหยอกล้อกันเสียอย่างนี้ไม่เว้นแม้กระทั่งพี่สะใภ้ของหล่อนเอง

    “จริงสิ งานวันพรุ่งนี้ คุณช่อจะไปด้วยใช่ไหมคะ” สรภัสหันไปถามคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคืนวันพรุ่งนั้นคุณหญิงจิลลาภัทรเองก็มีกำหนดการที่จะไปเยือนยังงานดนตรีเช่นเดียวกัน

    “คุณชายใหญ่อนุญาตแล้วหรือคะพี่ช่อ” โชษิตาอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้เนื่องจากหญิงสาวนั้นกำลังตั้งท้องอ่อนๆ และสองสามวันที่ผ่านมาที่ก็เห็นคุณชายใหญ่หรือหม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ประคบประหงมเพราะความเป็นห่วงเป็นใยหล่อนให้ชัดเจนอยู่แล้ว

    หม่อมจีรัญนภายิ้มทั้งกลั้วหัวเราะ “อนุญาตแล้วล่ะ นานๆ ทีจะได้ขอคุณชายออกนอกวังสักครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะงานดนตรีนี้เป็นคณะของครูสุนทร คงพิจารณานานกว่านี้ พี่ได้เฉาตายแน่ๆ เลย”

    ยามค่ำวันต่อมาภายในห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ของบรรดาดอกไม้ประจำวัง หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จัดการเลือกสรรชุดราตรีที่เพิ่มจำนวนขึ้นภายในสองเดือนที่ผ่านมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้จะไม่เคยใส่ใจมันจริงจังนักด้วยความสนใจเป็นพิเศษ เมื่อได้ในส่วนของตนเองเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวก็ตรงไปยังห้องฝั่งตรงข้ามที่ขวางกั้นด้วยเพียงม่านกำมะหยี่สีแดงซึ่งใครบางคนก็กำลังเตรียมความพร้อมอยู่เช่นเดียวกัน

    “พี่ขอเข้าไปนะคะ”

    เอ่ยปากขอคำอนุญาตจากคนตัวเล็กที่อยู่เบื้องหลังด้วยความคาดหวังระคนตื่นเต้นอย่างประหลาด ระหว่างที่พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ เสียงจากหญิงสาวก็รับคำขอของเธอด้วยความไม่มั่นใจน้อยๆ ออกมาด้วย

    “พี่หญิง…” ครั้นเมื่อได้ยินเสียงของม่านที่กั้นขวางนั้นเปิดออก โชษิตาก็เริ่มแสดงความไม่มั่นใจออกมาในทันทีเพราะนี่เป็นงานสังคมคราวแรกหลังจากเหตุการณ์วันนั้น ทว่าพอกำลังจะเริ่มเอ่ยปาก หญิงสาวกลับเป็นฝ่ายต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้าของหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าแทนเสียได้

    หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่เธอรู้จักนั้นไม่สันทัดงานสังคมเท่ากับคนเป็นน้องสาวเลยสักนิด แต่กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อหล่อนเป็นถึงคุณหญิง มีหรือที่เสื้อผ้าชาวไร่ชาวสวนเช่นที่กองถ่ายละครนั้นจะไปเสริมอะไรหล่อนได้เท่ากับเดรสตัวยาวซึ่งประดับด้วยประกายเครื่องเงินแบบที่เห็นอยู่ตรงนี้กัน

    “พี่แต่งตัวแปลกหรือคะ” แม้คราวแรกดารารินทร์จะเป็นฝ่ายถอนสายตาไปจากทรงไหล่ลาดที่ต้องสะท้อนแสงไฟไม่ได้ แต่พอเห็นว่าคนที่เคยคุ้นชินกับการแต่งหน้าแต่งตัวเพื่อออกงานบ่อยมากกว่าเธอเงียบไปก็อดจะถอนสายตามามองการแต่งกายของตนเองอีกครั้ง

    “เปล่าค่ะ แค่ออกจะ…ไม่คุ้นชินมากกว่า” โชษิตาอยากจะใช้คำอื่นมากกว่าสิ่งที่เพิ่งจะเล็ดลอดออกจากริมฝีปากของตนเองไป แต่เธอไม่ใช่หญิงสาวช่างพูดคำหวานอย่างหล่อน แม้คำว่า ‘สวย’ จะไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นไปเสียทั้งหมด แต่สำหรับคนอย่างหล่อนแล้ว เธอคิดว่าเก็บเอาไว้พูดในตอนที่สบตาเข้ากับหล่อนได้เต็มที่ไม่เหมือนครั้งนี้จะดีกว่า

    นอกเหนือจากนั้น….บรรดาแมลงแมกไม้ในงานค่ำคืนนี้คงไม่แคล้วเข้ามาไต่ตอมหล่อนอย่างอดใจไม่ไหว

    คล้ายกับหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จะจับสังเกตในดวงตาที่ไม่อยู่เฉยส่วนปากก็เฉไฉไปเรื่องอื่นของคนตรงหน้าได้ ริมฝีปากบางได้รูปจึงพลันยกขึ้นน้อยๆ ราวกับจะขบขันอยู่ในทีขณะที่มือข้างที่ว่างนั้นก็ประคองหลังมือบางของคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ใบหน้าของตัวเอง

    “ด้วยเกียรติของทหารอากาศ….” เธอกล่าวพลางจ้องมองสบเข้ากับดวงตาคู่คมด้วยวาจาที่มั่นคง “…สายตาของฉัน-หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์…จะอยู่ที่คุณโชษิตาคนเดียว”

    “….”

    “ไม่ว่าจะในค่ำคืนนี้ หรือคืนวันต่อๆ ไปก็ตาม”

    บรรยากาศการพูดคุยเคล้าคลอไปกับวงดนตรีที่ตั้งขึ้นอยู่บนเวทีและรายล้อมไปด้วยโต๊ะซึ่งจัดวางอาหารมากหน้าหลายตาเอาไว้เป็นสิ่งดารารินทร์รับรู้เป็นอย่างแรกในทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามา เสียงหวานของนักร้องทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีคอยขับกล่อมให้งานในค่ำคืนนี้เป็นดั่งตัวชะลอเวลาให้เวลาในยามกลางคืนเคลื่อนไหวไปข้างหน้าด้วยความไม่เร่งรีบ

    เพราะคนอื่นๆ ต้องมาถึงที่งานก่อนเพื่อจัดการจับจองโต๊ะและลงทะเบียนตามรายชื่อ ดารารินทร์และหญิงสาวข้างกายจึงเป็นเพียงสองคนที่มาถึงที่งานช้ากว่าใครในวัง เมื่อบานประตูของห้องจัดงานเปิดออกเพื่อต้อนรับ สายตาของผู้คนทั่วทุกชนชั้นก็แทบจะละทิ้งบทสนทนาตรงหน้าเอาไว้ในทันที

    โชษิตาทำเป็นมองไม่เห็นบรรดาสายตาและท่าทางเหล่านั้น หญิงสาวเพียงแค่เดินตรงไปข้างหน้าราวกับทุกอย่างเป็นปกติ แม้ภายในใจนั้นจะเต็มไปด้วยคำถามและความกังวลมากมายก็ตาม

    ครั้นพอรู้สึกถึงฝ่ามือที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาเกี่ยวกระหวัดแนบชิดจากคนข้างกาย ความหนักอึ้งในใจของเธอก็พลันมลายลง

    “ไม่เป็นไรนะคะ” ดารารินทร์สังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่บานประตูทำท่าจะเปิดออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้ใบหน้าของคนตัวบางจะแสดงท่าทีว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสายตาที่สอดส่องเข้ามาเงียบๆ แต่หญิงสาวรู้ดีว่าความอึดอัดในใจขอหล่อนคงกำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละนิด ด้วยชื่อเสียงของหล่อนเอง และข่าวลือหนาหูต่างๆ นาๆ ของตัวเธอเช่นกัน

    ครั้นเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนได้รับการต้อนรับจากคณะอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยและแขกผู้มีเกียรติในสังคม แววตาเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนหายพร้อมด้วยหัวข้อสนทนาใหม่ที่แตกต่างกันไป

    “มากันแล้วค่ะ” หม่อมจีรีญนภาในชุดสีกรมนั้นยิ้มต้อนรับหญิงสาวทั้งสองที่เพิ่งมาถึง ดารารินทร์ก้มศีรษะลงน้อยๆ เป็นการทักทายคนรอบตัวของหล่อนกับหม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ ในขณะที่ชายหนุ่มนั้นอยู่ในท่าทางลังเลคล้ายกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ

    จิลลาภัทรที่เปิดปากขึ้นต่อด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ฉันนึกว่าพี่จะไม่ใส่ชุดนี้เสียแล้ว”

    “น้องหญิงซื้อให้ทั้งที จะหักหาญน้ำใจก็กระไรอยู่” เธอหัวเราะเบาๆ “วันนี้ขาดแค่คุณภัสกับพี่หญิงรองสินะ”

    ร่างสูงโปร่งในเดรสเข้ารูปพยักหน้า “รายหลังน่ะถ้าจับหางคนร้ายได้เมื่อไหร่ อย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยมือง่ายๆ หรอก”

    “หญิงรดา..” เมื่อแขกคนอื่นแยกตัวไปแล้ว หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ก็เอ่ยปากได้ในที่สุด เห็นท่าทางที่ยังคงลังเลว่าจะมีอคติอยู่ในใจของผู้เป็นน้องสาวหรือเปล่าของเขาแล้ว ดารารินทร์ก็อดไม่ได้ที่จะคลายยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ

    “พี่ชายใหญ่ วันนี้ดูหนุ่มลงไปอีกห้าปีหรือเปล่าคะ”

    ได้ยินประโยคเย้าหยอกอย่างไม่จริงจังของผู้เป็นน้องสาวทำให้ความลังเลในใจของชายหนุ่มหยุดนิ่ง แต่กระนั้นเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าจะพูดหรือทำสีหน้าเช่นไรอยู่ดี เห็นดังนั้นแล้วสะใภ้ใหญ่ของวังดอกไม้จึงแตะเข้าที่แขนของผู้เป็นสามีเพื่อให้บทสนทนานั้นดำเนินต่อไป

    “วันนี้หญิงรดาดูโตขึ้นมากเลยใช่ไหมคะคุณ”

    “อื้ม โตขึ้นแปลกตาเลยทีเดียว” เจตนิพันธ์สบเข้ากับดวงตาคนข้างกายแล้วก็กล่าวอย่างจริงใจ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับร่างเล็กข้างน้องสาวของตนเองด้วยจิตใจที่เบาลง “สมแล้วที่คุณโชษิตาเป็นนักแสดงดาวรุ่ง ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

    “เดี๋ยวหญิงไปหาอะไรมาให้แก้กระหายกันดีกว่า คุณโชษิตา สนใจไปด้วยกันไหมคะ”

    ร่างของคุณหญิงจินณวัตรก้าวเข้ามากลางวงสนทนาที่ทำท่าจะเงียบลงไปอีก หล่อนส่งสายตาสื่อความกับหญิงสาวข้างน้องสาวของตนเองและสะใภ้ใหญ่ ครั้นเมื่อได้รับการพยักหน้ารู้เห็นเป็นใจ หญิงสาวทั้งสามก็แยกตัวไปทางอื่นแทน

    เมื่อหม่อมจีรัญนภาแยกตัวไปคุยกับแขกที่เข้ามาทัก บัดนี้ในวงสนทนาจึงเหลือเพียงแค่ชายหนุ่มกับหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เพียงสองคนราวกับจัดการนัดแนะกันมา

    “หญิงกลาง..” ถึงความหนักอึ้งในใจจะเลือนหายไปแล้ว แต่การที่ไม่ได้พบหน้าหรือพูดคุยอย่างซึ่งๆ หน้ามาสองเดือนสำหรับเขาแล้วการสนทนาในคราวนี้ต้องใช้ความพยายามอยู่ไม่น้อย

    “มันไม่ใช่ความผิดของพี่ชายใหญ่จริงๆ นะคะ” ดารารินทร์จับมือผู้เป็นพี่ชายพร้อมดวงตาที่ซื่อตรง “โปรดอย่าถือโทษโกรธตัวเองไปมากกว่านี้เลย รดาเองต่างหากที่คิดน้อยไป จนเรื่องมันเลยเถิดแบบนี้”

    มองดวงตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังและม่านน้ำตาแห่งความถวิลหาสายสัมพันธ์เดิมทำให้ใจของหม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์อ่อนยวบ เขาปัดบรรดาความรู้สึกหลากหลายที่ขวางกั้นในใจออกในทันที ก่อนจะคลายยิ้มน้อยๆ แล้วลูบศีรษะน้องสาวที่เขาค่อนข้างจะห่วงใยและเข้มงวดมากที่สุดคนหนึ่ง

    “พี่หวังแค่ว่าเราจะเป็นน้องหญิง ที่พบเจอแต่ความสุขของพี่เหมือนเดิม”

    เครื่องดื่มต่างๆ มากมายที่เรียงรายอยู่ทำให้โชษิตาจับความสนใจของตนเองไว้ไม่ถูก เพราะคุณหญิงจินณวัตรที่เป็นคนชักชวนเธอออกมากล่าวว่าไม่แน่ใจว่าเครื่องดื่มประเภทไหนถึงจะเหมาะสมเพราะตนก็ไม่ได้สันทัดงานสังคมไปมากกว่าน้องสาวของตัวเองจึงได้ให้เธอมาเลือกสรรในส่วนนี้แทน

    หญิงสาวคัดเลือกเครื่องดื่มที่คิดว่าเหมาะสมกับคนในวงสนทนาด้วยการไล่ระดับรสชาติจากเบาไปถึงเข้มข้น ทั้งยังคำนึงถึงสะใภ้ใหญ่ที่จะกินดื่มอะไรก็ต้องให้ระวังเป็นพิเศษ เธอจึงหยิบน้ำผลไม้สีสวยไร้อันตรายนั้นขึ้นมาสองแก้วสำหรับตนเองด้วย

    “สวัสดีค่ะคุณโชษิตา”

    เสียงของแก้วที่วางกระทบไม่ไกลกันทำให้โชษิตาละความสนใจของตนเองไปมอง เมื่อไล่สายตาจากแก้วทรงสูงนั้นขึ้นไปพบเข้ากับใบหน้าของบุคคลที่สาม ความรื่นรมย์ในจิตใจของหญิงสาวก็พลันหายไปในทันที

    “พี่มน”

    มนต์นภาในเดรสสีกรมเข้มเข้ารูปกล่าวทั้งรอยยิ้มที่ไม่ถึงดวงตา “สบายดีสินะคะ”

    หญิงสาวรู้สึกถึงความแปลกประหลาดบางอย่างเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่ได้แฝงความร้ายกาจใดๆ และเหนื่อยล้าของอีกฝ่าย แต่โชษิตาก็ยังคงตั้งกำแพง ด้วยเธอไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่นี้คือใบหน้าที่เหนื่อยล้าและซูบลงจริงๆ ของมนต์นภาหรือการแสดงละครเหมือนอย่างเคย

    “ถ้าพี่มนอยากจะพูดอะไร ก็อย่าอ้อมค้อมเลยจะดีกว่านะคะ”

    เมื่อได้ยินน้ำเสียงราบเรียบและเถรตรงนั่นอีกฝ่ายก็ก้มหน้าเม้มริมฝีปากราวกับพยายามจะกลั้นไม่ให้ความอ่อนแอของตนเองนั้นพรั่งพรู

    “ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันทำผิดพลาดและไม่น่าอภัยหลายอย่าง” หล่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วง “แต่ฉันเหนื่อยมาก และอยากจะถอยค่ะ”

    คำตอบของหล่อนทำให้โชษิตานิ่งค้าง

    “ขอโทษ สำหรับเรื่องร้ายๆ ที่ฉันทำ”

    ท่าทีคล้ายกับจะอ้อนวอนและร้องขอการให้อภัยทำให้หญิงสาวนั้นกล่าวสิ่งใดออกไปไม่ถูก เธอรู้สึกถึงสายตาที่เริ่มจะจับจ้องมองมาอีกครั้งจากคนรอบข้างนับตั้งแต่ที่เห็นว่าหล่อนเข้ามาพูดคุย จึงไม่รู้ว่าควรจะถอยออกจากสถานการณ์นี้ หรือตอบรับอย่างไรดีแน่

    “ถ้ามันยากมากที่จะให้อภัยฉัน ถ้าอย่างนั้นก็จะ--”

    “ไม่ต้องค่ะ” เธอร้องห้ามคนที่ทำท่าจะย่อตัวและทำอะไรที่ให้ผู้คนจับจ้องมากกว่าเดิม โชษิตาพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักอึ้ง แม้ภายในแล้วเธอจะยังคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและสับสน แต่เธอก็ไม่อยากให้เรื่องอะไรที่มันเงียบไปแล้วนั้นกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง “…ขอแค่อย่าไปทำแบบนั้นกับใครพอค่ะ”

    “เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”

    หม่อมราชวงศ์จินณวัตรบอกหลังจากที่เห็นว่าน้องสาวคนกลางนั้นทำท่าจะเข้าไปก้าวก่ายยังสถานการณ์ที่อาจทำให้ผู้คนทั้งงานสนใจมากกว่านี้ เพราะทั้งเธอและจิลลาภัทรล้วนเห็นว่ามนต์นภาที่ไม่รู้ว่ามาที่นี่ได้อย่างไรนั้นตรงเข้าไปพูดคุยกับโชษิตาโดยเฉพาะ

    ขณะที่ดารารินทร์แม้จะรู้สึกไม่เป็นสุขในทันทีที่เห็นหล่อน ครั้นเมื่อจะปรี่เข้าไปจัดการพี่หญิงใหญ่กับน้องสาวคนเล็กก็จำต้องดึงแขนของเธอเอาไว้ก่อน ถึงคำกล่าวของอีกฝ่ายจะทำให้เธอสงบลงแต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจอะไรนัก ยิ่งเห็นท่าทางที่แปลกไปของมนต์นภาแล้ว ความกังวลในสัญชาติญาณก็ทำให้เธอไม่อาจทอดถอนสายตาจากไปได้

    “ขอบคุณนะ” มนต์นภาซึ่งค่อยๆ กล้ำกลืนก้อนบางอย่างในลำคอนั้นตอบออกมาหลังจากนิ่งไปพักใหญ่ หญิงสาวยกหลังมือขึ้นปาดที่ปลายหางตาราวกับมันได้ไหลออกมาต่อหน้าต่อตาเธอจริงๆ “มีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะขอร้องเธอ..”

    แม้จะอยากไสกายให้ออกไปจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด แต่โชษิตากลับรู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่มาเยือนจนก้าวเท้าไปไหนไม่ได้เมื่อเสียงของตนหลุดออกจากปากไป

    “..คะ”

    “…ช่วยตายให้ฉันที”

    !!

    เสียงกรีดร้องจากแขกบางคนที่ดังขึ้นเป็นดั่งชนวนให้ผู้คนโดยรอบนั้นผงะและถอยหนีด้วยความตกใจ แม้แต่มือที่ควรจะเหนี่ยวรั้งร่างขาวของคุณหญิงดารารินทร์เอาไว้ก็ยังอ่อนลง ผิดคาดกับปฏิกิริยาอันรวดเร็วของหญิงสาวที่ร้อนรนนับแต่เห็นประกายของมีคมออกมาจากด้านหลังของมนต์นภาผู้ซึ่งแววตาได้เปลี่ยนไป

    หญิงสาวผู้ถือมีดสำหรับตัดอาหารนั้นตวัดไปมากลางอากาศอย่างคุกคาม ก่อนจะถูกคว้าหมับด้วยบรรดาแขกผู้ชายที่พยายามไม่ให้หล่อนตรงเข้าไปทำร้ายร่างกายหญิงสาวที่ล้มลงไปอยู่บนพื้นก่อนหน้า

    “ทำไม!? ทำไมถึงเป็นหล่อน!!”

    ลมหายใจที่หอบถี่อย่างกระชันชิดบ่งบอกว่าตนเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาได้เพียงชั่วครู่ สติที่ยังคงมีและความเจ็บแปล๊บที่แล่นไปบนฝ่ามือนั้นทำให้โชษิตารู้ว่าชั่ววินาทีที่เธอเห็นของมีคมนั้นถูกเงื้อง่าขึ้นเพื่อหมายจะทำลายใบหน้าของเธอเองได้พลาดพลั้งจังหวะไปแล้ว

    แม้มีดหั่นเนื้อนั่นจะบาดผิวกายภายในเวลาอันสั้นได้ยาก แต่ด้วยเรี่ยวแรงพละกำลังของคนที่กำลังโมโหอย่างเต็มขั้นก็สร้างความเจ็บและรอยขีดข่วนให้รู้สึกเจ็บได้อยู่ไม่น้อย และเมื่อหงายฝ่ามือที่ใช้ป้องกันตัวเมื่อครู่ จึงได้เห็นรอยบาดที่ไม่ลึกมากและอาการสั่นเทาจากความหวาดกลัวที่เพิ่งได้รับเป็นคราวแรก…

    “ฉันมีทุกอย่างเหมือนหล่อน! มีชื่อเสียงมากกว่าหล่อน! ทำไม? ทำไม!!”

    เสียงร้องถามอย่างบ้าคลั่งนั้นทำให้คนรอบข้างไม่มีกะจิตกะใจจะขยับเขยื้อนไปไหน มองแววตาของมนต์นภาที่ไร้ความเหนื่อยล้าก่อนหน้าคล้ายเป็นคนละคน มันเต็มไปด้วยความเสียใจ เย็นชาและบ้าคลั่งในคราวเดียว แต่ถึงกระนั้นแม้จะถูกขัดขวางด้วยเรียวแขนของบุรุษถึงสามคน หล่อนก็ยังคงพยายามจะเข้าถึงตัวของโชษิตาให้ได้อยู่ดี

    “คุณหญิงรักฉัน! ไม่ใช่หล่อน--หล่อนมันก็ไม่ต่างกับอะไรกับดอกไม้ริมทาง! เหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ!”

    เพี้ยะ!

    เสียงนั้นดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางพายุที่โหมกระหน่ำ และเบื้องหลังนั้นก็คือฝ่ามือขาวของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่ตรงเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าของมนต์นภาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้

    “หยุดทำตัวไร้ความเป็นคนเสียที” เสียงจากร่างขาวนั้นราวกับหนักอึ้งลงไปในจิตใจของคนทุกผู้ ให้บ้างตรงเข้ามามุงดู บ้างก็เข้ามาช่วยประคองให้ร่างของนักแสดงสาวอย่างโชษิตายืนขึ้นมาได้

    “เห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นของหล่อนหรืออย่างไร ถึงได้เที่ยวล้ำเส้นไม่หยุดหย่อนอยู่ได้”

    แม้น้ำเสียงนั้นจะเรียบเฉยและดูไร้ซึ่งอารมณ์แห่งความโกรธ แต่แม้จะยืนอยู่เบื้องหลังของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ คนทุกผู้ก็ยังรับรู้ถึงความห่างของชนชั้นและความทระนงอย่างมีศักดิ์ศรีของหญิงสาวได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนที่มองเห็นใบหน้าของคุณหญิงอย่างผู้คนที่มุงดูและมนต์นภาในเวลานี้ที่จะสัมผัสถึงคลื่นใต้มหาสมุทรที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้ากัน

    “ค..คุณหญิง”

    ด้วยสถานภาพแล้ว มนต์นภารู้จักใบหน้านี้ของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เป็นอย่างดี เพราะแม้แต่บรรดาดอกไม้ริมทางของหล่อนยังยากที่จะเคยได้สัมผัส แม้มันจะสงบนิ่งแต่ภายใต้หน้ากากนั้นก็คือพายุลูกใหญ่ที่พร้อมจะทำลายหรือตัดเยื่อใยของใครบางคนออกอย่างไม่ใยดี ซ้ำยังสามารถทำให้ชีวิตของใครคนหนึ่งนั้นไม่มีทางจะได้โงหัวขึ้นมาในสังคมเป็นครั้งที่สอง

    และทุกวินาทีที่ดวงตาสีดำคู่นั้นจับจ้องมองมาด้วยความแข็งกร้าว ความหนาวเย็นก็คอยแทรกซึมไปทั่วผิวกายของหญิงสาว พร้อมกดให้เธอนั้นกระโดดลงสู่หน้าผาของชื่อเสียงและเงินทองได้ทุกเมื่อ

    แม้แต่โชษิตาที่กำลังถูกปลอบประโลมโดยน้องสาวของหล่อน..ยังรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ขุ่นมัวอย่างถึงที่สุดของคุณหญิงได้ไม่ยาก

    “ฉันใจดีกับหล่อนมากไปจริงๆ”

    อากัปกิริยาเดินทอดน่องเข้ามาใกล้อย่างไม่ใส่ใจนั้นทำเอาอดีตนักแสดงแนวหน้าอกสั่นขวัญแขวน ยิ่งเรียวแขนที่กรีดกรายไปมาตามจังหวะก้าวเดินราวกับตรงหน้าหาใช่มนุษย์นั้นทำเอาหญิงสาวนั้นค่อยๆ ทรุดลงหลุดออกจากพันธนาการที่ต้องใช้บุรุษถึงสามคนในการฉุดรั้งเอาไว้

    ทั้งจากการรุกล้ำครอบครัวส่วนตัวของหล่อน รวมถึงการพยายามเอาชนะโชษิตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มนต์นภาก็นึกคร้ามเกรงขึ้นมาว่าตนไม่อาจคิดถึงภาพในวันพรุ่งนี้ต่อไปได้

    “ด ได้โปรด น้องรดา--ไม่ ไม่สิ…คุณหญิง พี่ขอโทษ…ขอโทษจริงๆ”

    มองคนที่ทรุดลงอยู่บนพื้นและเริ่มยกไม้ยกมือไหว้ด้วยท่าทางนิ่งๆ ด้วยใจที่พร้อมจะคำรามและอาละวาดให้สมกับที่เก็บอยู่ในใจมานาน แต่ดารารินทร์ก็ยังคงห่วงว่าเสือน้อยของเธอจะยิ่งอกสั่นขวัญหายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ หญิงสาวจึงได้แต่เพียงเฉือดเฉือนหล่อนทางสายตา และคำพูดที่ยังดูน่าหวาดหวั่นกว่ามีดหั่นเนื้อในมือของหล่อนเมื่อครู่เสียอีก

    “ถ้าแตะต้องครอบครัวและคนของฉันอีก..” ดารารินทร์คว้าเศษแก้วที่แตกเพราะความชุลมุนวุ่นวายก่อนหน้าขึ้นมาพิจารณา “…จงรู้ไว้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเอามือไปแตะต้องสัมผัสคนอย่างหล่อน”

    “…”

    ลมหายใจของผู้คนโดยรอบคล้ายกับจะถูกสูบหายเข้าไปโดยพร้อมเพรียงกันเมื่อเห็นหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์นั้นบรรจงกดเศษแก้วลงบนฝ่ามือข้างที่ใช้มันตบลงบนใบหน้าของอดีตดาราสาว แม้จะไม่ลึกมาก แต่แค่เพียงหยดเล็กๆ ก็ทำเอาคนรอบข้างพรั่นพรึงไปไม่น้อย

    หญิงสาวไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองในวินาทีที่โลหิตนั้นไหลลงสู่พื้นต่อหน้าต่อตา มนต์นภารู้สึกได้ถึงอาการสั่นเทาของร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่หวาดกลัว แต่ยังรวมถึงความเสียใจที่ไม่อาจจะเรียบเรียงได้เป็นคำพูด

    “นี่สำหรับที่ฉันทำไม่ดีแก่หล่อนไว้…” ร่างขาวกล่าวด้วยแววตาที่สั่นไหวเล็กน้อย “…หวังว่ามันจะพอชดใช้ให้ความเสียใจของหล่อนได้”

    แม้กระทั่งในวินาทีสุดท้าย หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ยังเอาเลือดของตนเองเข้าแลกแทนผู้หญิงคนนั้น

    เมื่อเข้าใจในความหมายของกิริยาของหญิงสาว ร่างที่นิ่งเฉยอยู่บนพื้นก็สะอื้นฮัก แล้วจึงปล่อยโฮออกมาราวกับเด็กน้อยท่ามกลางสายตาที่แสดงนัยยะออกไปในความหมายที่แตกต่างกัน

    ดารารินทร์บีบมือที่โลหิตนั้นเริ่มหยุดไหล ไม่แม้แต่จะกล้าหันหลังกลับไปมองคนตัวเล็กด้านหลังเพราะไม่อยากให้เห็นอารมณ์โกรธที่ยังคั่งค้าง แม้จะปะปนไปด้วยความรู้สึกผิดในภายหลัง แต่กระนั้นหญิงสาวก็นึกโล่งใจไม่น้อยที่เรื่องราววุ่นวายได้จบลงเสียที

    เธอรู้สึกตัวเมื่อพี่หญิงใหญ่หรือหม่อมราชวงศ์จินณวัตรนั้นเดินเข้ามาสัมผัสที่ไหล่ของเธอ ก่อนจะพยักหน้าให้เบาๆ อย่างเข้าอกเข้าใจแล้วอนุญาตให้ตำรวจประจำมหาวิทยาลัยนั้นเข้าไปรวบตัวของมนต์นภาขึ้นมา

    ในที่สุดลมหายใจอันหนักอึ้งของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ถูกผ่อนออกมาอย่างช้าๆ เธอหันหลังกลับไปยังเบื้องหลังของตนเองที่ผู้คนเริ่มหันไปสนใจการจับกุมตัวของอดีตดาราสาวมากกว่า ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปหาคนที่ยังคงจับจ้องมองมาที่เธอไม่วางตาแม้คนมากมายจะเดินกันไปมาขวักไขว่อย่างไร้ทิศในการเดิน

    ฝ่าเท้าของคนอ่อนกว่าขยับเคลื่อนไหวอย่างที่ไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจคิด โชษิตาพาร่างที่คลายความตื่นกลัวลงแล้วนั้นเข้าไปหาหล่อน ก่อนจะวาดมือขึ้นล้อมรอบด้านหลังลำคอระหงส์ แล้วเหนี่ยวรั้งร่างของคนที่มีสีหน้างุนงงด้วยความประหลาดใจเข้าหาตัว

    ความประหลาดใจในตอนแรกของหญิงสาวค่อยๆ เลือนหายเมื่อเปลือกตาบางนั้นปิดลงทั้งรอยยิ้มนุ่มละมุน..เพราะไม่ว่าจะความหนักอึ้งในจิตใจหรือความรู้สึกผิดที่ยังคงมีอิทธิพลมากมายคล้ายกับได้รับการปลอบประโลมผ่านอ้อมกอดของหล่อนเอง

    “ไม่ใช่ความผิดของพี่หญิงนะคะ…” ร่างเล็กของเธอนั้นกล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจอยู่ข้างหู “..ทั้งหมดมันไม่ใช่ความผิดของพี่เลย”

    ดารารินทร์รู้สึกถึงมือที่ลูบขึ้นลงอยู่ช้าๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดแผ่นหลังเบาๆ เธอจึงไม่ลังเลเลยที่จะแนบกายเข้าสู่เรียวแขนของหล่อนราวกับเด็กตัวน้อยคนหนึ่งก็ไม่ปาน…

    ..

     

     

     

    ร่างเพรียวในชุดกระโปรงสีขาวล้วนพริ้วระบายก้าวเท้าไปตามเส้นทางเดินของวังทัตพงศ์มาลีด้วยท่าทางที่ซึ่งบ่งบอกว่าได้รับการขัดเกลาอุปนิสัยมาตั้งแต่เด็ก ดวงหน้าเรียวสวยได้รูปฉายแววอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเสียงเพลงออกมาจากห้องนั่งเล่นของเหล่าพี่น้องเจ้าของบ้าน ลำคอระหงส์ถึงกับอดใจฮึมฮัมเนื้อเพลงอยู่ในลำคอไม่ได้เพราะเจ้าของต้นเสียงนั้นเลือกสรรบทเพลงได้ถูกใจตนเองอยู่ไม่น้อย

    “ดูเหมือนว่าจะมีคนอารมณ์ดี---” หม่อมราชวงศ์นีราพรรณที่ก้าวเท้ามาถึงประตูห้องนั่งเล่นถึงกลับเปลี่ยนสีหน้าที่จะหยอกเย้าเป็นประหลาดใจในฉับพลันเมื่อเห็นภาพตรงหน้า “--แหม ความผิดพี่เอง ขอโทษด้วยนะ”

    เพราะความตั้งใจแรกที่หวังจะเข้ามาดูสีหน้ายินดีมีความสุขของน้องสาวคนกลางเล่นเปียโนคู่ใจ หญิงสาวกลับเจอภาพของผู้หญิงสองคนที่ใบหน้าอยู่ใกล้กันในระยะน่าเขินอายแทน

    “เอาอะไรที่อยู่ในหัวพี่หญิงออกไปเลย” หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เอ่ยปากด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ เพราะต้องรับมือกับคนช่างเย้าหยอกประจำครอบครัวทั้งๆ ที่เหตุการณ์ตรงหน้านี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่หล่อนคิดด้วยซ้ำ

    ตอนที่บรรเลงปลายนิ้วไปยังเครื่องดนตรีครู่ใจและปล่อยให้ความคิดนั้นล่องลอยเรื่อยไป ร่างบางของโชษิตาก็เข้ามาทักทายหลังจากที่เจ้าหล่อนกลับมาจากการทำงานช่วงเช้า และคงเพราะสังเกตถึงสีหน้าที่ยังไม่ฟื้นตัวดีจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาได้เพียงสองอาทิตย์ หล่อนจึงได้เข้ามาถามไถ่และปลอบประโลมให้หัวใจที่แห้งผากนั้นชื่นฉ่ำไปด้วยน้ำ

    ดารารินทร์น้อมรับความห่วงใยนั้นด้วยความรัก เธอให้คนอ่อนกว่าลูบไล้ใบหน้าปลอบประโลมเหมือนเด็กตัวน้อยจนรู้สึกดี ก็ประจวบเหมาะกับที่พี่สาวคนรองก้าวเท้าเข้ามาได้จังหวะเวลาพร้อมดวงตาล้อเลียน

    “ยังไงก็เวลาส่วนตัว พี่ไม่ระวังเอง” นีราพรรณยังคงโบกมือขอโทษขอโพยแล้วเดินเข้ามายื่นหนังสือเล่มบางให้ “แค่จะเอาเล่มนี้มาให้ดู เผื่อจะเจองานที่สนใจบ้าง”

    ร่างขาวรับมาก่อนจะมองนิตยสารเล่มบางที่อีกฝ่ายยื่นให้ มันเป็นเพียงนิตยสารมีชื่อในเวลานี้ที่ข้องเกี่ยวกับศิลปะและดนตรี รวมถึงความสนใจต่างๆ ของเหล่าสตรีในพระนคร แม้จะเข้าใจว่าเหล่าพี่น้องเป็นห่วงปนกังวลที่เธอลาออกจากตำแหน่งราชการที่ทำอยู่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดารารินทร์มั่นใจแล้วว่าดีที่สุดสำหรับตนเอง โชษิตา และชื่อเสียงของวังทัตพงศ์มาลีในตอนนั้น

    ส่วนของข่าวลือของโชษิตาต่างๆ นาๆ นั้นถูกงานประกาศรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดีหรือตุ๊กตาทองเมื่อสามวันก่อนลบล้างสิ่งที่ไม่ได้เป็นเรื่องจริงออกไปจนหมด สังคมจึงยกให้หล่อนเป็นนักแสดงหญิงแนวหน้าและคนทุกผู้ต่างก็รับรู้ว่าหล่อนเป็นคนของวังทัตพงศ์มาลีอย่างถูกต้องโดยไม่มีข้อกังขาใดจากความเห็นของคนอื่นรอบๆ ตัวของหล่อนเอง

    ในเวลานี้ข่าวที่เกิดขึ้นในวิทยาลัยเมื่อสองอาทิตย์ก่อนค่อยแผ่วเบาลงไปบ้าง ทั้งความชุลมุนวุ่นวายภายในงาน ชื่อของอดีตนักแสดงสาวอย่างมนต์นภาและชื่อหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์..ก็เริ่มจางหายไปจากความสนใจของชาวบ้านสามัญชนโดยปริยาย

    เพราะข่าวใหญ่ที่ขึ้นหน้าหนึ่งยิ่งกว่าก็คือคดีที่ทางสำนักงานตำรวจในประเทศนั้นไม่สามารถปิดได้เมื่ออาทิตย์ก่อน คดีคนหายตัวไปจากแต่ละตัวจังหวัดนับสิบคนในเวลานี้ทำให้ชาวบ้านหวั่นใจว่าเหตุใดทางตำรวจยังไม่สามารถหยุดยั้งไว้ได้ คนจึงเปลี่ยนความสนใจของตนไปทางนั้นแทน

    ดารารินทร์เหยียดริมฝีปากตัวเองออกเป็นเส้นตรงครั้งหนึ่งเมื่อคิดถึงอนาคตข้างหน้าก่อนจะวางนิตยสารเล่มบางไว้บนเปียโน “จริงๆ ตำแหน่งอาจารย์เหมือนพี่ชายใหญ่ก็คงไม่เลว”

    โชษิตาที่อยู่ข้างๆ เธอยกมือขึ้นมาสัมผัสไหล่กันเบาๆ “โชว่าก็ดีนะคะ...อย่างน้อยก็ยังมีอีกหนึ่งทางเลือก ให้พี่หญิงได้อยู่กับสิ่งที่พี่ชอบได้อีกครั้ง”

    หญิงสาวหันมองหล่อนด้วยแววตาอ่อนโยนพลางทาบทับหลังฝ่ามือนั้น หญิงสาวคนนั้นที่เข้มแข็งในสายตาของดารารินทร์เมื่อแรกเห็น เวลานี้ก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแค่หล่อนดูจะสุขุม และงามสะพรั่งยิ่งกว่าครั้งนั้นอยู่มากโข

    “คุณหญิงนิ่มคะ คุณหญิง” เสียงของสาวใช้ภายในวังเรียกขานด้วยท่าทางเร่งรีบ ทำให้เจ้าของชื่อและหญิงสาวอีกสองคนนั้นต้องหันไปมอง

    “มีอะไรรึ”

    “มีสายโทรศัพท์จากสำนักงานตำรวจพระนครค่ะ เธอบอกว่าเรื่องด่วนมาก” สาวใช้กล่าว

    เรียวคิ้วของหม่อมราชวงศ์นีราพรรณขมวดเข้าหากันในทันที “บอกหรือเปล่าว่าจากใคร”

    สาวใช้พยักหน้า “จากคุณนาราภัทรค่ะ”

     

     

    หญิงสาวค่อยๆ ย่อตัวหยิบดอกกาหลงที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นดินท่ามกลางหลายต่อหลายดอกที่ร่วงหล่น หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จดจ้องมองบุปผาสีขาวนวลนั้นด้วยความทรงจำบางอย่าง ก่อนที่เสียงของหญิงสาวอีกคนจะทำให้เธอละความสนใจจากมันไป

    “หล่นลงมาจากต้นหรือคะ”

    โชษิตาในเสื้อแขนยาวทับด้วยโบว์เล็กๆ ตรงอกนั้นก้าวเท้าเข้ามาหาเธอพร้อมด้วยรอยยิ้มที่บุ๋มลงไปอยู่ในหน้า

    วันนี้เธอทั้งสองมาเยี่ยมชมบริเวณสถานที่ถ่ายทำสำหรับละครเรื่องใหม่ของโชษิตาที่“ร่วงหล่นเยอะทีเดียว” ดารารินทร์ตอบพลางสัมผัสดอกไม้สีขาวด้วยปลายจมูกตนเอง “แต่ก็ยังคงมีกลิ่นหอมไม่แพ้ต้นแม่เหมือนกัน”

    “โชสงสัยมานานแล้ว” คนตัวเล็กกว่าขยับเข้ามาสอดประสานนิ้วมือกับเธอ “ทำไมถึงเป็นกาหลงตลอดเลยล่ะคะ”

    นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ไร่มนธา หล่อนกล่าวเพียงว่าเพราะมันหอมแล้วคิดว่าเธอจะชอบ แต่ในสถานการณ์ต่างๆ ระหว่างเธอกับหล่อน ก็คล้ายกับจะมีเจ้าดอกไม้สีขาวนี้เป็นตัวเกี่ยวโยงเสมอมา

    หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์นิ่งคิดไปเล็กน้อย “อันที่จริง...ตั้งแต่แรกเห็น พี่ก็ติดใจกลิ่นของมันมาตลอด”

    “…”

    ก่อนจะหันไปส่งสายตาอันมีความหมายและแนบดอกกาหลงนั้นให้บนใบหูหญิงสาวข้างกายอย่างเบามือ

    “อาจจะเพราะภพใดภพหนึ่ง พี่คงคลุกคลีกับมันมามาก...เหมือนที่ทำให้พี่ได้เจอโชในชาตินี้กระมัง”

    หล่อนผินหน้าลงเมื่อความร้อนนั้นแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย พลางว่ากล่าวเธออย่างไม่จริงจังนัก

    “ช่างปั้นเรื่องเสียจริงๆ เลยนะคะ” ถึงจะว่าหล่อนอย่างนั้น แต่โชษิตาก็เข้าสู่อ้อมกอดของอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามาให้กายนั้นแนบชิดกันกว่าเดิม

    “ถ้าพี่ปั้นแต่งจริง คงต้องโทษพรหมลิขิตแล้วล่ะ”

    คำกล่าวนั้นเรียกเสียงหัวเราะเล็กๆ จากร่างที่แนบใบหน้าอยู่แถบคางของตนได้เป็นอย่างดี หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยอย่างสุขใจก่อนจะขยับให้สันจมูกโด่งนั้นคอยคลอเคลียสัมผัสผิวแก้มและกลิ่นหอมกรุ่นจากหล่อนให้เต็มปอดขณะที่อีกมือก็ลูบคลึงหลังฝ่ามือจรดวงแหวนเรียวบางที่นิ้วมืออย่างหวงแหนไว้แนบอก ราวกับจะให้สัมผัสเหล่านั้นได้ตราตึงไปถึงชั่วนิรันดร์...

    ดั่งที่ดอกกาหลงนั้นสลักลงหัวใจ ให้กวีได้ขวนขวายถึงกายเจ้าเนื้องามมิรู้ลืม
     

     

     

     

     

     

    จบตอน #หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×