คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ : ดอกกาหลง ๔
๔
“ไม่เห็นต้องยกกันมาเป็นโขยงเลย”
หญิงสาวผิวขาวนั้นกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกขบขันพลางมองผู้คนรอบๆ เตียงนอน หลังจากตนเองเพิ่งจะลืมตาตื่นฟื้นคืนมาได้ไม่นาน
“พูดอะไรของหล่อน คนในครอบครัวถูกยิงเชียวนะ” ชายหนุ่มผู้อายุมากที่สุดในห้องนี้กล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายจะตำหนิ ทำเอาหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่พยายามสร้างเสียงหัวเราะเพราะอยากให้ความกังวลนั้นลดน้อยถอยลงไปได้แต่ยิ้มเกรงๆ เป็นการสำนึกผิดอยู่ในใจ
“มาแบบนี้คงไม่เจ็บแผลแล้วล่ะ” หม่อมราชวงศ์จินณวัตรว่าด้วยรอยยิ้ม “หลับไปตั้งสองวัน อีกเดี๋ยวก็คงถูกลมหอบไปตรงนั้นตรงนี้ของพระนครได้เอง”
“พี่หญิงใหญ่เห็นรดาเป็นอย่างไรกัน” เธอตอบพร้อมกับแสร้งยื่นริมฝีปากออกไปตรงหน้าเมื่อคล้ายกับจะถูกกระทบกระเทียบ
หม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรเห็นแล้วก็เลิกคิ้วอย่างตั้งใจยียวน “ก็เห็นเป็นคนชอบล่องลอยไปมาน่ะสิ”
หญิงสาวยกปลายนิ้วชี้อีกคนด้วยสีหน้าที่ปั้นขึ้นมาอย่างจริงจัง “เจ้าจิล พูดจาข้องแขวะพี่หญิงรองได้อย่างไร”
คนถูกพาดพิงที่ยืนอยู่แถวกรอบประตูนั้นเบิกตาขึ้นน้อยๆ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นระดับหัวไหล่เป็นการยอมจำนนซึ่งเรียกเสียงหัวเราะภายในห้องให้ดังขึ้นมาได้ไม่ยาก พลันนั้นหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีครีมก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับแจกันดอกไม้ที่เพิ่งจะนำไปเปลี่ยนมาใหม่ๆ หล่อนวางมันลงข้างเตียงนอนของผู้ป่วยที่มีจานรองขนมหลากหลายจัดวางไว้ให้สวยงามอย่างเสร็จสรรพ
“คุณจีเธอฝากขนมมายินดีที่คุณหญิงฟื้น เธออยากมาแต่วันนี้ต้องเร่งทำขนมน่ะค่ะ” สรภัสบอกเมื่อเธอจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วไปยืนเคียงข้างของหญิงสาวร่างสูงโปร่ง
ดารารินทร์หันมองกลุ่มขนม ‘เสน่ห์จันทร์’ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มชอบใจ “ขนมฝีมือสะใภ้วังทัตพงศ์มาลี ต้องอร่อยแล้วก็ทำให้แผลหายเร็วขึ้นแน่ค่ะ”
พวงแก้มของหญิงสาวทั้งสองที่ถูกเย้าหยอกแดงระเรื่อเป็นเหตุให้บรรยากาศโดยรอบอบอุ่นขึ้นทันใจ ดวงตาคู่เรียวของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ขยับเหลือบไปเห็นกลีบดอกกาหลงที่วางอยู่ข้างแจกัน พลันนั้นความสงสัยก็ได้เกิดขึ้นมาในใจ
สรภัสเห็นสายตาของอีกฝ่ายดังนั้นก็เข้าใจจึงเป็นฝ่ายตอบออกมา “คุณโชเธอกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะค่ะ อีกสักพักก็คงมาถึง”
พูดคุยกันอีกสักระยะหนึ่งสมาชิกทางฝั่งครอบครัวก็แยกย้ายกันกลับไป ดารารินทร์นั้นรู้สึกเหงาในคราวแรกเพราะต้องอยู่ที่นี่สักระยะคนเดียวจึงอดไม่ได้ที่จะเผลอทำท่าทีเด็กน้อยอ้อนวอนบรรดาพี่น้องและพี่สะใภ้ให้อยู่ต่อ แต่พอเจ้าของช่อดอกกาหลงกลับมาพร้อมกับข้าวของสำคัญไม่กี่ชิ้น หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็รีบกลับคำว่าตนสามารถอยู่ได้อย่างเร็วไวจนทุกคนพากันงุนงง
จะมีก็แต่หม่อมราชวงศ์นีราพรรณนั่นแหละที่หัวเราะแล้วกล่าวพาดพิงเธอคืน“มีคนเฝ้าแล้ว เราก็หมดหน้าที่สินะ”
ในตอนนี้หญิงสาวผิวขาวจึงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงสีขาวพร้อมกับจ้องมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว หล่อนสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงสีฟ้าอ่อน ใบหน้าแต่งแต้มอย่างเบาบางและสวมทับด้วยกรอบแวนไม่หนามากกำลังจดจ่อกับหนังสือเล่มบางๆ ในมือ ส่วนเส้นผมที่เคยประบ่านั้นก็ถูกมัดรวบขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ก็แปลกตาและน่ามองสำหรับดารารินทร์เหมือนอย่างเคย
ตัวเธอเพิ่งฟื้นในช่วงสายของวันนี้ แต่ก็มารับรู้ภายหลังว่าร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าคอยอยู่ที่นี่ด้วยกันไม่ห่างสลับกับคนในวังทัตพงศ์มาลีเป็นระยะ แม้ว่าหล่อนไม่จำเป็นจะต้องอยู่ด้วยความรู้สึกผิดใดๆ เลยก็ตามแท้ๆ
ตอนมาถึงเมื่อครู่ดารารินทร์มัวแต่ดีใจที่เห็นหล่อนยังคงมาเยี่ยมเยียนกัน เมื่ออยู่กันสองคนแล้วเลยไม่ได้พูดคุยอะไรมากนักนอกจากฟังหล่อนถามถึงอาการเจ็บปวดและเท้าความขอโทษขอโพยที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัวแบบนี้
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าโชไม่ยอมหนีไปตั้งแต่แรก พี่รดาก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้…แต่จะให้โชหนีไปแล้วทิ้งพี่หญิงไว้ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
ดูเถอะ…ฟังแบบนี้แล้วจะไม่ให้ใจเธอรู้สึกมีความสุขได้อย่างไร?
“พี่รดามีอะไรหรือเปล่าคะ”
หญิงสาวร่างเล็กอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าตนถูกจ้องมองด้วยสายตาอยู่พักใหญ่ ไหนจะรอยยิ้มชื่นอกชื่นใจของอีกฝ่ายที่พยายามจะทำเป็นมองไม่เห็นมันนั่นอีก แต่เพราะห้องพักพิเศษนี้ก็มีเพียงแค่เธอกับหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เท่านั้น บางทีหล่อนอาจจะอยากร้องขออะไรสักอย่างแต่อาจจะนึกเกรงใจกันอยู่ก็เลยต้องเป็นฝ่ายพูดเสียเอง“อยากเข้าห้องน้ำเหรอ?”
“..เปล่าค่ะ” หล่อนขยับสายตาไปมาทำท่าครุ่นคิด “พี่แค่รู้สึกว่าหิวขนมนิดหน่อย”
โชษิตาได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเป็นการตอบรับเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง เธอขยับไปนั่งบนเก้าอี้ใกล้เตียงนอนของคนเจ็บพร้อมกับหนังสือที่ถูกพับครึ่งไว้ไม่ไกลกัน แล้วหยิบบรรดาขนมที่พร่องไปก่อนหน้าเพราะบรรดาผู้มาเยี่ยมเยียนแล้วเล็กน้อยขึ้นมาใกล้ปากอีกคนด้วยปลายนิ้วมือของตัวเอง
ดวงตาของดารารินทร์เป็นประกายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำมันอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะนึกไว้ว่าคนตัวเล็กแค่จะนำถาดขนมพวกนั้นมาไว้บนตักให้เฉยๆ ซึ่งอาการที่ประหลาดใจของหญิงสาวนั้นเองที่ทำให้คนอายุอ่อนกว่ารู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
“โชเพิ่งจับหนังสือ เดี๋ยวขอ-”
ยังไม่ทันจะพาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คนที่นั่งอยู่ก็ยื่นใบหน้าขาวนั่นเข้ามาใกล้แล้วงับขนมในปลายนิ้วมือของเธอไป ก่อนจะส่งยิ้มตาหยีราวกับมันช่างเอร็ดอร่อยเสียเหลือเกิน
“มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือคะ” เธอถามเพราะท่าทางที่ดูจะเกินจริงของหล่อน
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์พยักหน้า “น้องโชลองกินดูสิคะ”
“แต่ที่วังเขาทำมาให้พี่หญิงทานนะคะ”
“พี่กินคนเดียวไม่หมดหรอก” หล่อนว่าพลางลูบหน้าท้องตัวเอง “เห็นแบบนี้ก็กินน้อยนะ”
เมื่อเห็นสีหน้าคะยั้นคะยอของคนเจ็บ โชษิตาจึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากหยิบขนมเสน่ห์จันทร์ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้รับประทานบ่อยนักเข้าปากตามคำ
“อร่อยใช่มั้ยคะ”
หญิงสาวเผลอพยักหน้าด้วยความอร่อยที่คลุ้งอยู่ในปาก “ค่ะ”
“ดีแล้วค่ะที่น้องโชชอบ” คนอายุมากกว่าบอก “แต่อย่าทานเยอะนะคะ..พี่หวง”
ประโยคสุดท้ายที่กว่าจะพูดออกมาให้ได้ยินก็ผ่านไปหลายวินาทีทั้งยังแผ่วเบาเกินกว่าจะจับถึงความหมาย แต่เพราะบรรยากาศโดยรอบที่ก็ไม่ได้มีเสียงรบกวนอะไรมากมาย โชษิตาจึงไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ตนกำลังได้ยินนั้นมันมีความหมายเหมือนที่เธอเข้าใจอยู่หรือเปล่า
…เสน่ห์จันทร์ให้กลิ่นประทินหอม…ผู้คนล้อมรักใคร่ให้สงสาร
“ถ้าหวงแล้วจะบอกให้โชลองกินทำไมล่ะคะ”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์กลับกลั้นรอยยิ้ม“พี่ว่าโชเข้าใจความหมายของพี่นะ”
ความรู้สึกระยิบระยับแปลกๆ แล่นไปทั่วหัวใจดวงน้อยของหญิงสาว โชษิตาคันไม้คันมือจนไม่อาจหักห้ามที่จะฟาดมันลงไปบนต้นขาของคนอายุมากกว่าอย่างลืมตัว ส่วนคนที่ทำให้เธอหลุดการกระทำแบบนั้นออกไปกลับเอาแต่ส่งยิ้มชอบใจเสียนี่
“โชไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ”
“หืม งั้นหรือคะ” หล่อนทำท่าคิดก่อนจะโน้มตัวเข้ามาเล็กน้อย“ต้องให้พี่ร่ายกลอนให้ฟังไหม?”
“ไม่อยากฟังหรอกค่ะ มันเชยแล้ว” ตอบไปคล้ายไม่ใส่ใจนักทั้งๆ ที่บริเวณช่วงใต้กรอบแว่นนั้นร้อนผ่าว เธอเพียงหยิบหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ขึ้นมาบดบัง ราวกับว่าจะต้องการปิดทัศนียภาพน่ามองให้พ้นไปจากสายตาของคนพี่ที่ขยันหยอกเย้ากันเสียเหลือเกิน
“อ้าว ทิ้งพี่เสียแล้วเหรอ”คนตัวขาวยิ่งมีประกายในดวงตามากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางนั้น จึงส่งปลายนิ้วเรียวข้างหนึ่งไปแกล้งกดสันหนังสือเล่มบางให้ต่ำลงก่อนจะพินิจพิจารณาดวงหน้าของหล่อนอย่างจงใจ
“ขออนุญาต--” สิ้นประโยคนั้นไม่ทันได้ครบถ้วนดีประตูที่ตัดโลกภายนอกออกไปก็ถูกเปิดออกด้วยน้ำมือของผู้มาเยือน หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ใกล้กันเพียงหนังสือกั้นหันมองยังทิศทางนั้น ก่อนจะพบดวงตาอีกสองคู่ที่ค่อนข้างจะแสดงอาการตกอกตกใจมากเกินพอควรสำหรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
“โอ้ ขอโทษที-ขอโทษ-” สองเสียงนั้นเกิดขึ้นแทบจะพร้อมเพรียงกันเมื่อรู้ตัวว่าเหมือนจะเข้ามาผิดเวลาไปหน่อย หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จึงได้แต่กลอกตาด้วยสีหน้าหน่ายใจระคนเอือมระอาให้กับท่าทางที่มากเกินไปของบรรดาเพื่อนสนิท จนกระทั่งเธอเอ่ยปากบอกเสียงแข็งๆ ให้พวกหล่อนเข้ามานั่นแหละความวุ่นวายถึงได้สงบลง
“จะไปรู้หรือ ก็คิดไปว่าคุณหญิงรดาแค่อยากบริหารเสน่ห์เหมือนเคย” หญิงสาวในชุดเดรสสีเรียบเอ่ยพลางไหวไหล่น้อยๆ ด้วยสีหน้าที่เข้าที่เข้าทางดีแล้วยังติดจะไร้อารมณ์
“ก็เกินไปกระมัง ให้คุณหญิงได้มีเวลาพักเสียหน่อยเถอะน่า” หญิงสาวอีกคนในเดรสสีขาวแขนตุ๊กตาว่าพลางถองศอกใส่เพื่อนที่ยืนอยู่ราวกับจะหยอกเย้า
คนในเดรสสีเรียบตอบพลางเลิกคิ้ว“กล้าพูดรึเปล่าว่าตอนมองแวบแรกนั่นไม่คิด”
“อยู่โรงพยาบาลยังจะบัดสีลง ถ้าไม่เห็นว่าเป็นคุณโชษิตาฉันจะเดินเข้ามาตีแน่” เจ้าของเดรสสีขาวที่อยู่ปลายเตียงกล่าวตอบอย่างไม่ต้องคิด “แต่นี่ก็น่าตกใจเหมือนกัน คุณหญิงรดาที่นานๆ ทีจะสนใจวงการบันเทิง ทำไมถึงมีนักแสดงดาวรุ่งมาดูแลถึงห้องพยาบาล?”
กัญนิกาเสริมทัพกลับอย่างไม่ต้องรอจังหวะ “ไม่เห็นต้องถามเลย ก็เพื่อนเรา‘อุตส่าห์’ ลางานรับหน้าที่ไปดูแลกองถ่ายเขาถึงที่ จะเกิดความสนิทสนมขึ้นมาเสียหน่อยก็ไม่แปลก”
ฟังความเพื่อนสนิทที่คล้ายกับจะกระทบกระเทียบกันมากกว่าเอ่ยคำห่วงใยทำให้ดารารินทร์ต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ “ขนาดนี้แล้วยังห่วงเรื่องอื่นนอกจากฉันอีกนะพวกหล่อน”
“ดูด้วยตาแล้วคุณหญิงรดาก็คงใกล้จะแข็งแรงแล้วนะ” พรรษาที่อยู่ปลายเตียงโน้มกายลงมาพูดด้วยท่าทีชอบใจ “มีคุณพยาบาลส่วนตัวดีแบบนี้ ของเยี่ยมอะไรคงไม่ต้อง”
ที่สองคนกล้าพูดจาแบบนี้ก็เพราะบุคคลที่สามได้ขอตัวออกไปก่อนหน้านี้แล้ว สองคนนี้นับว่าเป็นตัวหลักที่เวลาหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ไปร้านชาลิสาก็จะพาติดสอยห้อยตามไปด้วยความที่ชอบของสวยๆ งามๆ เช่นเดียวกันซึ่งหญิงสาวก็รู้อยู่เต็มอกว่าพวกหล่อนเป็นคนใจดีพอที่จะคบกันไปเป็นสหายได้มาเรื่อยๆ และคนตัวเล็กเองก็นับว่าเป็นที่เตะตาและเกรงอกเกรงใจของเพื่อนสนิททั้งสองคนของเธออย่างกัญนิกาและพรรษาอยู่พอควรจึงไม่กล้าหยอกเย้าเอาตรงหน้าให้หล่อนลำบากใจ
“หยุดล้อเลียนฉันเสียทีเถอะน่า” เธอส่ายหน้าพลางดื่มน้ำในแก้วโดยที่เรียวคิ้วนั้นขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว “ถ้าจะไม่มาถามสารทุกข์สุขดิบก็กลับไปเลย”
ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหล่อนเข้ามาได้ยินบทสนทนาของสองคนนี้ยามขุดคุ้ยเรื่องอดีตขึ้นมากระทบกระเทียบแล้วจะเกิดผลักไสกันขึ้นมาอีกหรือเปล่า..
“แต่บรรยากาศรอบๆ มันแปลกนะ ปกติแล้วคุณหญิงต้องใจเย็นเสียหน่อยไม่ใช่หรือ” กัญนิกาเอ่ยถาม “แต่นี่ดูเหมือนกระตือรือร้นอยากให้เรากลับจริงๆ”
พรรณษาแสร้งขมวดคิ้วไม่จริงจังคล้ายกับจะตำหนิเพื่อน แต่พอฟังดูแล้วกลับยิ่งเหมือนการเข้าคู่กันเสียมากกว่า “เธอบอกว่าอย่าล้อเลียนไง ฟังหน่อยสิ”
“มองตาขวางแล้ว หยุดก็ได้” ในที่สุดเพื่อนสนิทก็ได้ยินสิ่งที่อยู่ในใจเธอเสียที กัญนิกาลดท่าทีหยอกล้อลงก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความอยากรู้อย่างจริงจัง “งั้นตอบมาหน่อยสิว่าเรื่องจริงหรือเปล่าที่เธอทำร้ายจิตใจแม่ทูนหัวเสียยับเยิน”
ข่าวคราวใดเกี่ยวกับดอกไม้งามย่อมไม่อาจผ่านการรับรู้ของกัญนิกา ฉะนั้นดารารินทร์จึงไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจอะไร “หล่อนไม่ใช่แม่ทูนหัว แล้วฉันไม่ได้ทำร้ายอะไรมนต์นภาเสียหน่อย”
“ทำหล่อนร้องไห้มาร้องขอให้พวกฉันช่วยน่ะหรือที่ว่าไม่ได้ทำ” พรรษาตอบราวกับเรื่องที่เล่าอยู่นั้นช่างเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากเล่าต่ออีกว่าสองวันที่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์อยู่ที่นี่นั้นเกิดอะไรขึ้นในที่ทำงานของพวกเธอบ้าง
มนต์นภากลับพระนครด้วยใจที่หวาดหวั่นง่ายดายยิ่งกว่าเก่า แต่ยิ่งกว่านั้นคล้ายกับความสง่างามและความมั่นอกมั่นใจที่เคยมีได้เลือนหายไปหมดไม่หลงเหลือ หล่อนเอาแต่โวยวายและเรียกร้องให้เพื่อนทั้งสองของเธอช่วยพูดคุยและบอกที่อยู่โรงพยาบาลที่ถูกต้องของตัวเธอให้แก่ตนเสียที
ยังนับว่าดีที่มนต์นภาไม่ได้สนิทสนมกับคนอื่นๆ ในครอบครัวเธอ มิเช่นนั้นหญิงสาวคงไม่วายไปหาคำตอบถึงวังทัตพงศ์มาลีแล้วทำให้เรื่องมันบานปลายยิ่งกว่าเก่าแน่นอน
พรรณษาส่ายหน้าอย่างหวาดๆ เมื่อกล่าวจบ “ฉันพลาดบอกเรื่องที่เธอไปที่ไร่ คราวนี้เลยถอนตัวดีกว่า”
“ก็ถือว่าคิดได้ ถ้าหากหล่อนเป็นคนเปิดประตูเข้ามาล่ะก็ เธอได้โดนคุณหญิงเฉ่งเป็นสองกระทงแน่”
ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าเพื่อนทั้งสองจะบอกลาแล้วกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไม่นานหลังจากนั้นคนตัวเล็กก็กลับเข้ามานั่งในเก้าอี้ข้างเตียงนอนที่หนังสือเล่มบางยังคงวางไว้อยู่ตั้งแต่ต้น ทว่าสีหน้าที่ค่อนข้างจะแปลกไปจากก่อนหน้านี้ก็ทำให้หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์อดใจที่จะเอ่ยถามหล่อนออกไปไม่ได้
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“โชแค่คุยโทรศัพท์กับธาวีมาน่ะค่ะ” พอกล่าวจบดวงตาเป็นประกายคู่นั้นก็แสดงความอยากรู้ระคนกังวลว่าสมควรที่จะเอ่ยคำถามนี้ออกไปไหม “จริงหรือคะที่พี่รดาฝากของผ่านเพื่อนโชไปที่ไร่มนธา”
ได้ยินดังนั้นในใจของหญิงสาวก็ถึงบางอ้อ ดารารินทร์จึงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
“ค่ะ พี่ฝากคุณเมธาวีให้ไปไร่มนธาวันนี้” เธอกล่าวบอกไปตามความจริงที่ได้ติดต่อผ่านหม่อมราชวงศ์จิลลาภัทรไปเมื่อเช้าวันนี้ “พี่ให้เขาเอาเมาท์ออแกนไปคืนคุณยิ้มน่ะ”
เพราะคิดว่าหากเก็บไว้ก็คงใช้ประโยชน์อะไรได้ไม่มากนัก ไหนจะเพราะตัวหญิงสาวเองก็รู้ดีว่าลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านที่ไร่มนธานั้นรู้สึกต่อเธออย่างไร ดารารินทร์จึงตัดสินใจนำมันไปคืนผ่านมือของเพื่อนสนิทของน้องสาวคนเล็ก โดยเป็นทั้งคำขอโทษและนัยยะสำคัญว่าเธอไม่อาจตอบรับความรู้สึกสักเสี้ยวหนึ่งของหล่อนได้อีกต่อไปแล้ว
คล้ายกับความความโล่งใจเกิดขึ้นในความคิดของคนน้อง เพราะสีหน้าที่ราวกับไม่มั่นอกมั่นใจนั้นได้เลือนหายเป็นปลิดทิ้ง “เป็นแบบนั้นเอง”
แม้ดารารินทร์อยากจะหัวเราะชอบใจออกมาให้สาสมกับความน่ารักของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็เลือกที่จะคลายยิ้มชื่นอกชื่นใจออกมาเสียมากกว่า
สามอาทิตย์ผ่านไปด้วยความสุขสงบ ร่างกายของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นทีละนิดจนพอแข็งแรงและไม่จำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาลให้หมอและเหล่าพยาบาลคอยประคบประหงมอีก หากเป็นเมื่อก่อนแค่สามวันดารารินทร์ก็คงเบื่อหน่ายกับสภาพแวดล้อมและเรียกร้องจะขอกลับบ้านโดยไม่สนใจว่าพี่ชายใหญ่จะตำหนิหรือทำโทษ แต่ในเมื่อแต่ละวันผ่านไปด้วยความใส่ใจของโชษิตา มีหรือที่ดารารินทร์จะรู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนอย่างเคย
รถจักรยานยนต์โกลด์สตาร์ถังสีเงินค่อยๆ จอดลงใต้ร่มไม้ใหญ่เมื่อขับเคลื่อนพาร่างของหญิงสาวสองคนมายังริมทะเลสาบใหญ่ภายในอาณาเขตของสถานที่ทำงานของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ ร่างขาวนั้นเอี้ยวตัวหันไปด้านหลังเพื่อปลดหมวกนิรภัยให้ออกจากคนตัวเล็กที่มาด้วยกัน หล่อนก็นั่งนิ่งปล่อยให้เธอจัดการหมวกสีเทาเข้มนั้นออกแล้วค่อยใช้มือตนเองจัดเส้นผมมันให้เข้ารูปเข้าทรงดังเดิม
“เป็นไงคะ ชอบไหม?”
โชษิตาเบะริมฝีปากอย่างไม่จริงจังนักเมื่อได้ยินคำถาม “ลมเย็นดีค่ะ แต่ขับเร็วไปหน่อย”
“ก็อยากให้เห็นจริงๆ นี่คะว่าวิวมันสวย” หญิงสาวเอ่ยตอบ “ดีแล้วที่ไม่เจอพวกสากับกัญก่อนน่ะ”
ร่างเล็กในชุดลำลองเข้ารูปพร้อมกับผ้าพันคอกันลมที่มัดอย่างเรียบร้อยอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าขณะจับเส้นผมไม่ให้ปรกปลิวไปตามแรงลม “ทีแบบนี้ล่ะหน้าบางขึ้นมาเชียวนะคะ”
ดารารินทร์คลายยิ้มแกนๆ “ก็ไม่อยากให้คนมารุมล้อมนักแสดงของพี่นี่นา”
คนน้องไม่ได้ตอบอะไรอีกนอกจากกลอกตาเบาๆ ให้คำพูดคำจาของคนช่างปั้นแต่ง แม้กระทั่งคำแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของหล่อนเธอก็ไม่ได้แสดงออกไปให้เจ้าตัวเห็นเลยสักกระผีก โชษิตาหยิบตะกร้าที่วางอยู่ด้านหลังออกมาก่อนจะยืนรอให้เจ้าของรถคันงามจัดการปูเสื่อที่นำมาด้วยตั้งแต่ต้น เธอมองหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่สวมชุดลำลองทับด้วยเสื้อคลุมกันลมของกรมช่างอากาศก้มตัวลงไปจัดแจงพื้นที่ให้เหมาะสมสำหรับมื้อเที่ยงเล็กๆ ของคนสองคน ดวงหน้าขาวนั้นทับด้วยแว่นกันแดดและลมสีชารับเข้ากันกับเส้นผมยาวที่ปลิวไสวกับสายลมที่เปิดรับเข้ามาอย่างเต็มที่ ไม่นานนักร่างเล็กจึงได้เดินเข้าไปสมทบตาม
พื้นที่หน้าผาริมทะเลสาบมีเพียงสายลมระลอกใหญ่เป็นพักๆ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงของผู้คนหรือแม้แต่พระนครที่วุ่นวายไปด้วยเครื่องจักรและการขนส่ง หากไม่ใช่ว่าเพราะมากับคนที่เกี่ยวข้องกับที่นี่ ก็คงไม่อาจได้จับจองพื้นที่นี้ได้แม้เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม
“ทำไมถึงพาโชมาที่นี่ล่ะคะ?”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์มองคนที่กำลังจัดการของหวานอย่างผลไม้ไม่กี่อย่างที่นำติดตะกร้ามาก่อนหน้านี้ ดวงตาที่ปราศจากสิ่งใดทาบทับนั้นไม่ฉายประกายความหมายใดเป็นพิเศษก่อนที่เจ้าของมันจะเอ่ยปากตอบออกไป
“คงเพราะไม่ว่ายามที่พี่ทุกข์เศร้าหรือเหนื่อยล้าอย่างไร พี่ก็จะมาที่นี่คนเดียวกระมัง”
“…”
ดารารินทร์ส่งยิ้มอ่อนโยนให้หล่อน “แล้วน้องโชผิดหวังไหมคะ ที่พี่พามาที่นี่?”
หญิงสาวได้ยินคำถามแล้วก็นิ่งไปอย่างนึกคิด ก่อนจะตอบออกมาราวกับมั่นใจในคำตอบดีแล้ว “โชต้องผิดหวัง ที่พี่รดาพาโชมาในสถานที่ที่มีความหมายของพี่หรือคะ?”
“…”
“ทั้งๆ ที่ที่นี่คือสถานที่ที่เป็นส่วนหนึ่งให้เป็นพี่รดาทุกวันนี้ เป็นสถานที่ที่พี่จะสามารถปลดระวางเรื่องทุกอย่างได้ แล้วทำไมโชจะต้องรู้สึกผิดหวังด้วยล่ะคะ”
“…”
“มันทั้งสงบแล้วก็ทำให้รู้สึกสบายใจด้วย ถ้าโชมีที่ที่สำคัญแบบนี้ไว้บ้าง น้อยคนเหมือนกันแหละค่ะที่โชจะยอมแบ่งปันด้วย”
คำพูดมากมายรวมทั้งความรู้สึกที่ตระเตรียมไว้พลันเลือนหายไปเมื่อคำตอบที่ได้รับไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวนั้นคาดคิด แม้เธอจะรับรู้อยู่แก่ใจดีว่าหล่อนไม่เหมือนคนอื่น แต่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ที่โชษิตายังคอยทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับได้ค้นพบสิ่งใหม่ตลอดเวลาอยู่เสมอ
แถมหล่อนยังเข้าใจถูกเสียด้วยว่าตอนนี้ระดับความสำคัญของตนเองนั้นอยู่ในระดับไหนโดยที่ดารารินทร์ไม่ได้แม้แต่จะกล่าวออกไปตรงๆ
โชษิตายังหันมาถามอีกด้วยดวงตาซื่อ “ทำไมหรือคะ พี่รดาไม่เคยพาใครมาก่อนหรือ”
คนที่คล้ายกับจะตกไปในภวังค์ก่อนหน้านั้นขยับกายตัวเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างกับเด็กซุกซนไม่มีผิด
“เคยสิคะ”
พวงแก้มที่กำลังรับรสชาติของผลไม้หวานพลันเคลื่อนไหวช้าลงโดยอัตโนมัติหลังเจ้าของมันเปล่งเสียงด้วยความเนิบช้าอย่างจงใจ “..อ๋อ?”
“ล้อเล่นค่ะ น้องโชน่ะคนแรก” คนพี่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจเพราะได้รับปฏิกิริยาที่คาดหวังไว้ตอบกลับมา “คิ้วขมวดไวเลยนะ”
โชษิตาจึงรับรู้ว่าตนหลงกลคนช่างแกล้งเข้าอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความคิดเมื่อครู่ หญิงสาวจึงทำเพียงแค่ส่งสายตาเป็นค้อนวงใหญ่ให้คนตัวขาวที่ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ต่างอะไรจากพระอาทิตย์ที่อยู่ด้านบนแล้วหยิบผลไม้หนึ่งชิ้นเข้าใส่ปากอีกฝ่ายแทน
“ถ้าตามอย่างที่บอก งั้นพี่ก็ไม่ขัดนะคะที่จะแบ่งปันมันให้กับเรา” คนอายุมากกว่ากล่าวขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเคี้ยวสิ่งที่เธอเพิ่งจะป้อนไปให้เป็นคำที่สามจนหมด ทำให้หญิงสาวที่นั่งรับลมอยู่นั้นหันมามองด้วยความสงสัยในประโคที่กล่าวออกมา
“ที่นี่น่ะหรือคะ?”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ส่ายหน้าเบาๆ แล้วจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้งนับตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมา “ไม่ว่าจะเป็นสถานที่นี้ หรือวังทัตพงศ์มาลีก็เหมือนกัน…”
“…”
“แม้แต่หัวใจดวงนี้เอง พี่ก็อยากจะแบ่งให้น้องโชเป็นคนใช้เหมือนกัน…จะได้ไหมคะ?”
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงเป็นระยะเมื่อหน้าที่ของแสงสว่างได้หมดลง รถยนต์โกลด์สตาร์ถังสีเงินคันเดิมก็ค่อยๆ จอดลงบนหน้าตึกอาคารที่เป็นส่วนผสมระหว่างที่อยู่อาศัยและตึกพานิชย์แห่งหนึ่งในพระนคร บริเวณโดยรอบนั้นตกแต่งด้วยสวนดอกไม้และน้ำพุหินอ่อนสองชั้น แม้จะรายล้อมไปด้วยบ้านเรือนของผู้คน แต่ก็มีความสงบและเป็นส่วนตัวอยู่พอควรด้วยเจ้าของบ้านที่เติบโตขึ้นในฐานะของอดีตพ่อค้าผู้มากฝีมือ
หม่อมราชวงศ์ดารินทร์ช่วยให้คนตัวเล็กเคลื่อนตัวลงจากพาหนะเมื่อมันจอดสนิท บ้านของอีกฝ่ายในยามนี้มีเพียงแค่แสงไฟจากห้องของผู้เป็นบิดาของหล่อนที่น่าจะพักผ่อนอยู่ในห้องทำงาน และบริเวณส่วนหน้าบ้านที่พวกเธอเพิ่งจะมาถึงกันเท่านั้นเอง
“ขอโทษนะคะ ตั้งใจว่าจะพามาส่งก่อนฟ้ามืดแท้ๆ”
“ยังไม่มืดเท่าไหร่หรอกค่ะ แล้วโชก็ไม่ได้จะว่าอะไรด้วย” โชษิตาตอบหล่อนพร้อมกับยื่นหมวกป้องกันภัยคืนให้แก่หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของที่ยืนอยู่ “ที่พูดไว้ก็เพราะไม่อยากให้พี่หญิงขับตอนกลางคืนก็เท่านั้นเอง”
ฟังความห่วงใยที่ส่งผ่านมาหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ให้รู้สึกอิ่มเอมแม้คำพูดเหล่านั้นคล้ายอีกคนจะแค่พูดไปตามมารยาท แต่หากคนนอกมองเห็นดวงตาสีเข้มที่เคยซุกซนนั้นเปล่งประกายไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ ก็คงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้มันมักจะเพิ่มพูนความสุขให้แก่หญิงสาวได้ไม่ยาก
“ถ้าอย่างนั้น วันนี้ก็คงจะผ่านไปอีกวันแล้วสินะคะ”
ฟังปลายน้ำเสียงที่คล้ายกับจะแสดงความเสียอกเสียดายโชษิตาก็นึกขันในความคิด แต่หญิงสาวก็ทำเพียงแค่ส่งรอยยิ้มให้คนอายุมากกว่าเพราะไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปจนท้องฟ้านั้นมืดสนิทลงและเป็นอุปสรรคของอีกคนในการเดินทาง “ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
“เหมือนกันนะคะ”
กล่าวตอบไปด้วยใจที่คล้ายจะล่องลอยตามเจ้าของมันจบความเงียบนั้นก็พลันบังเกิด เมื่อดารารินทร์ยังคงจ้องมองลงมาที่หญิงสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลายภายในใจและไม่ต้องการที่จะลาจาก ส่วนโชษิตาก็ได้แต่จ้องตอบดวงตาสีเข้มคู่นั้น..ที่กำลังพยายามจะสื่อสารและเหนี่ยวรั้งเธอไว้อยู่ในเวลานี้
เนิ่นนานทีเดียวกว่าหม่อมราชวงศาดารารินทร์จะหยุดซึมซับดวงหน้าน้อยนั้นไปไว้ในความทรงจำและเริ่มเอื้อนเอ่ยคำใด หญิงสาวขยับฝ่าเท้าของตนเองเข้าไปใกล้คนน้องอีกเพียงนิด ให้ดวงตาประกายคู่นั้นที่มักจะเต็มไปด้วยความมั่นใจเสมอช้อนขึ้นมองกันเพราะความใกล้ชิดที่เพิ่มขึ้นมา
“คือ..”
“…”
“…จะว่าอะไรไหมคะถ้าพี่ขอทำอะไรอย่างหนึ่ง?”
ดวงใจดวงน้อยของคนอ่อนกว่าพลันเต้นแรงเมื่อสิ้นประโยคร้องขอนั้น ความคิดที่ไม่อาจหยุดนิ่งว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปทำให้โชษิตาแทบไม่ขยับเขยื้อนเมื่อสันจมูกงามนั้นกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ดวงตาที่เรียบสงบของดารารินทร์ฉายระลอกคลื่นในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ปลายจมูกนั้นจะเฉียดเข้ากับเจ้าของกลิ่นรัญจวน หญิงสาวก็ส่งเรียวแขนทั้งสองข้างเข้ากอดรอบเอวบางใต้เนื้อผ้าที่อีกคนสวมใส่แล้วจึงรีบซุกซ่อนใบหน้าที่กำลังสับสนลงบนไหล่เล็กแทน
ส่วนสาเหตุที่ไม่ทำน่ะหรือ..
..ก็เธอรู้สึกอยากจะทะนุถนอมหล่อนยิ่งกว่าใครขึ้นมาน่ะสิ
โชษิตารู้สึกประหลาดใจในตอนแรกที่จู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายสวมกอดเข้าเต็มรัก แต่เมื่อคิดได้ว่าตอนนี้คนอายุมากกว่าคงจะมีสีหน้าที่กอดกลั้นอดใจเอาไว้อยู่ก็พลันหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาในลำคอแล้ววาดเรียวแขนรอบแผ่นหลังเจ้าตัวไป แต่เพราะอาการเหล่านั้นเองที่ทำให้คนเป็นฝ่ายเริ่มก่อนบ่นพึมพำออกมาราวกับจะขุ่นเคือง
“มีอะไรหรือตลกคะ” ดารารินทร์ถามออกไปด้วยความขุ่นเคืองที่ไม่ได้จริงจังนัก หล่อนช่างไม่รู้อะไรเสียเลยว่ากว่าจะละความสนใจออกจากริมฝีปากหยักมาได้นั้นมันยากเย็นอย่างไร ความหักห้ามใจที่โผล่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้หาใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ กับหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์คนนี้เลยนะ
“โชก็แค่นึกอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ” ร่างเล็กตอบอย่างนั้นขณะที่เปลือกตาบางนั้นปิดลงด้วยใจที่เป็นสุขและนึกขบขันในขณะที่พยายามบ่งบอกว่าเธอก็เข้าอกเข้าใจหล่อนดี หญิงสาวซึมซับอ้อมกอดอุ่นและลูบหลังปลอบคนแสนดีอยู่พักใหญ่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละกายออกมาแล้วยอมให้เธอเดินไปยังประตูในที่สุด
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์มองร่างนั้นจากไปด้วยความอ้อยอิ่งแล้วจึงตัดใจกลับไปยังพาหนะคู่ใจของตน แต่ในขณะที่กำลังจะสวมหมวกที่ให้อีกฝ่ายหยิบยืมไปทั้งวัน ร่างน้อยนั้นก็หันกายเดินกลับมาก่อนจะปลดผ้าพันคอกันลมที่ตนเองก็เป็นเจ้าของออกมาคืน
“พี่หญิงลืมของนะคะ”
ร่างขาวที่นั่งอยู่บนเบาะหนังนั้นพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วกำลังจะยื่นมืออกไปรับ “จริงด้วยค่ะ…”
แต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วขาวจะได้สัมผัสผ้ากันลมของตนเองคืน ปลายผ้าสีแดงอ่อนนั้นก็เคลื่อนขึ้นมาตวัดรอบลำคอของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ด้วยฝีมือของคนที่เพิ่งจะยื่นมันคืนมา เพราะโชษิตานั้นโน้มตัวเข้ามาบรรจงจัดแจงให้ผ้ากันลมนั้นโอบล้อมลำคอของหญิงสาวให้เรียบร้อยและมั่นใจว่ามันจะไม่หลุดลอยไประหว่างที่เดินทางกลับที่พักของตนเอง
“เสร็จแล้ว”
ร่างขาวก้มมองผ้าพันคอด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ราวกับมันไม่ใช่ของตน “ขอบคุณนะคะ”
“…พี่ยังลืมอีกอย่างนะคะ”
สิ้นความสงสัยผ่านสีหน้าของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ คนอายุมากกว่าก็รับรู้ถึงปลายนิ้วเล็กซึ่งสัมผัสลงบนใบหน้าของตนเอง แล้วตามมาด้วยริมฝีปากอุ่นที่กดลงบนผิวแก้มถัดไปจากตำแหน่งเดียวกันอย่างน่าเสียดายท่ามกลางเสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นของหญิงสาวเอง
โชษิตารับรู้และสุขใจที่หล่อนให้เกียรติและนึกทะนุถนอมเธอไว้สำหรับเวลาอันควร ไหนจะความกังวลที่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จะต้องแบกรับเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อให้เธอนั้นสบายใจและรู้สึกปลอดภัยไม่ต่างจากพระอาทิตย์ หญิงสาวเคยคิดว่าหากอยู่ใกล้คนเช่นนั้นคงไม่ต่างอะไรกับนกที่ถูกแสงของมันแผดเผาจนร่วงหล่น แต่สำหรับหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาและรู้จักกัน โชษิตากลับค้นพบว่าภายใต้แสงที่ทอลงมาในใจของเธอนั้นมันเย็นสบาย
และเธอเองก็ค่อนข้างจะเป็นสุภาพสตรีที่เถรตรง ฉะนั้นการแสดงออกอย่างชัดเจนให้หล่อนเห็นสักครั้งคงจะไม่เป็นอะไรกระมัง
“กลับดีๆ นะคะ”
ก็กังวลแต่ว่าอีกฝ่ายจะเหม่อลอยจนกลับบ้านไม่ถูกเท่านั้นแหละ
ความรู้สึกอิ่มเอมใจแบบประหลาดที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในระยะหลังเป็นสิ่งที่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์นั้นเสพติดเข้าไปแล้ว
หญิงสาวกำลังก้าวเท้าขึ้นชานบันไดของวังทัตพงศ์มาลีด้วยเสียงเพลงแผ่วเบาที่อยู่ในลำคอมาตลอดทาง เวลานี้พี่ชายใหญ่ของเธอคงเพิ่งจะกลับมาจากการทำงานและพี่สะใภ้อย่างหม่อมจีรัญนภาและคุณสรภัสก็คงกำลังเตรียมเครื่องครัวอยู่ ฉะนั้นดารารินทร์จึงยังพอมีเวลาที่จะอาบน้ำทำความสะอาดกายเสียก่อนมื้อเย็นของวันได้
“น้องรดา”
แต่แล้วเสียงที่คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินที่นี่ก็ดังขึ้น หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ชะงักมือที่กำลังจะพับแว่นกันลมของตนเข้ากระเป๋าเสื้อและฝ่าเท้าที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าในทันทีที่เห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งตรงเข้ามารวบกอดและทรุดกายลงกับชานบันไดราวกับคนจะขาดใจ
“…พี่มน? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“ขอร้องเถอะนะคะน้องรดา พี่สำนึกในสิ่งที่พี่ทำแล้ว ได้โปรดอย่าผลักไสพี่ออกจากชีวิตของน้องรดาเลยนะ” หญิงสาวกล่าวทั้งหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูจนหากใครมาเห็นเข้าก็คงสงสาร มนต์นภากอดเรียวขาของหญิงสาวที่เพิ่งมาถึงด้วยความเสียใจจนไม่เหลือคราบของนักแสดงที่เคยผลงานชั้นดี “พี่ขอโทษค่ะ พี่จะไม่เรียกร้องอะไรแล้วจริงๆ”
“ทำไมถึงเข้ามาที่วังได้? รดาบอกว่าไม่ได้ให้ใครมาหาที่นี่ตามอำเภอใจนะ”
สิ่งเดียวที่ดารารินทร์เข้มงวดมากที่สุดในความสัมพันธ์คือการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวไม่ว่าจะทางใจหรือทางกาย ที่ผ่านมาหญิงสาวอนุญาตให้คนอื่นทำอะไรก็ได้ที่เธอไม่ได้ห้าม แต่เมื่อสิ่งใดที่เธอห้ามพวกหล่อนก็ต้องทำตาม แล้วถ้าพวกหล่อนจะเรียกร้อง หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็จะตัดออกและไม่ทิ้งเยื่อใยใดๆ ไว้ให้ตามติดมาได้ทั้งนั้น
แม้วังทัตพงศ์มาลีจะเป็นที่สนใจของชาวพระนครไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครหน้าไหนก็ตามที่จะเข้ามาได้ ครอบครัวเป็นสิ่งที่ดารารินทร์หวงแหนและไม่ต้องการให้ใครก็ตามนำความลำบากใจมาให้ เช่นนั้นแล้วสุภาพสตรีที่เคยผ่านมาล้วนแล้วแต่ไม่เคยเข้าถึงพี่น้องที่เหลือของเธอมาก่อน แล้วสิ่งที่มนต์นภากำลังทำอยู่นี้ ก็ทำให้ความรู้สึกของหญิงสาวเย็นเหยียบลงไม่น้อยเลยทีเดียว
“พี่เป็นคนให้หล่อนเข้ามาเอง”
เสียงทุ้มอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นเมื่อดารารินทร์กำลังประมวลผลในอารมณ์ของตนเอง “…พี่ชายใหญ่?”
ใบหน้าคมของชายหนุ่มฉายแววคล้ายจะตำหนิแต่ก็ยังคงไว้ด้วยความใจเย็นในแบบฉบับของเขา หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์คล้ายกับจะไม่ได้ตัดสินสิ่งที่เห็นในทันที แต่กระนั้นก็ทำเอาดารารินทร์รู้สึกหนาวที่สันหลังขึ้นมาไม่ได้อย่างเคย
“พี่จะให้คนไปส่งคุณมนต์นภาก่อน ส่วนเราก็มานั่งคุยกับพี่สักหน่อยแล้วกัน”
“สรุปว่างานด่วนเข้าสินะคะ”
ลำคอขาวที่เคยกล่าวคำพูดอย่างเป็นธรรมชาตินั้นพลันชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงผ่านสายโทรศัพท์ประจำบ้าน “ค่ะ ขอโทษด้วยนะที่พี่ผิดสัญญาอีกแล้ว..”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ตอบอย่างนั้นโดยที่มือก็ลูบไล้ที่ขมับจรดหน้าผากอย่างไม่รู้ตัวเมื่อจำใจต้องพูดปดในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้หญิงสาวปลายสายฟัง เมื่อพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายฟังว่าเหตุใดจึงไม่สามารถไปตามนัดหมายที่ได้ให้ไว้ว่าจะพาหล่อนไปทานอะไรอร่อยๆ หากเธอทั้งสองมีเวลาว่างหลังจากที่ครั้งล่าสุดนั้นถูกขัดขวางด้วยโทรศัพท์จากกัญนิกาเข้าเสียก่อน
โชษิตาที่อยู่ปลายสายแนบใบหน้าเข้ากับตัวรับเสียงในขณะที่มือทั้งสองนั้นเปิดนิตยสารร้านอาหารค้างเอาไว้ก่อนหน้านี้ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็มันเรื่องงาน เย็นนี้ก็มีธาวีอยู่เป็นเพื่อน สบายอยู่แล้วค่ะ”
หญิงสาว ณ วังทัตพงศ์มาลีค่อยๆ วางสายโทรศัพท์เครื่องใหญ่ลงเข้าที่เดิมด้วยใจที่หนักหน่วง ความรู้สึกอึดอัดที่ถวิลหาเพราะไม่ได้พบหน้ากันมาสองอาทิตย์และความกังวลจากคำขอของผู้เป็นพี่ชายนั้นกำลังกัดกร่อนดวงใจของดารารินทร์ให้ผุพังทีละน้อย
เย็นวันนั้นที่มนต์นภาเข้ามาก่อความวุ่นวายด้วยการบ่งบอกสถานการณ์ที่มีอยู่ของตนเองให้พี่ชายใหญ่ของเธอรับรู้ แน่นอนว่าแม้หล่อนจะไม่ได้ใส่ความอะไรที่เกินจริงแต่การที่หม่อมราชวงศ์เจตนิพันธ์ต้องมาเห็นสุภาพสตรีร้องไห้น้ำตาท่วมย่อมไม่ใช่เรื่องที่เขาชื่นชอบ อีกอย่าง แม้ข่าวคราวเรื่องบรรดาดอกไม้ของพวกเธอพี่น้องจะลอยเข้าหูชายหนุ่มเป็นเนืองๆ เขาก็ยังคงหลับตาปิดหูข้างไม่ยอมว่าอะไร จนกระทั่งคราวนี้ปัญหาของเธอมาอยู่ตรงหน้า ดารารินทร์จึงได้ยินคำคาดโทษจากปากของผู้เป็นพี่ชายเกี่ยวกับเรื่องสุภาพสตรีเป็นคราวแรก
‘รับผิดชอบความรู้สึกของหล่อน อย่างไรเสียก็ต้องคุยกัน ไม่ใช่ปัดปัญหาทิ้งด้วยการหนี เข้าใจไหม’
หลังจากวันนั้นงานที่กรมช่างอากาศก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยการขนย้ายอุปกรณ์สำหรับเครื่องบินชุดใหม่อีกจนหญิงสาวและเพื่อนแทบไม่มีเวลาว่างที่จะไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ในพระนครอย่างเคย พอจะมีเวลาพักหายใจก็ไม่รู้ว่ามนต์นภาเอากรรมสิทธิ์พิเศษมาจากไหนถึงได้อ้างชื่อพี่ชายใหญ่ของเธอขึ้นมาให้ตนเองมาตามติดกัน หากไม่ยอมปล่อยให้เลยตามเลยก็จะต้องคอยมาเจอสายตาตำหนิของเขา ไหนเลยที่เธอจะหาเวลาไปพบเจอคนตัวบางอย่างที่ใจต้องการได้
แม้แท้จริงหญิงสาวจะสามารถยกชื่อของโชษิตาขึ้นมาเป็นการปฏิเสธและบอกปัดความรับผิดชอบนี้มาได้ก็ตาม แต่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์รับรู้ดีว่าเวลานี้พี่ชายใหญ่ของเธอคงไม่พอใจหากรู้ว่าเธอมีส่วนข้องเกี่ยวกับหญิงสาวทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน และรู้ดีว่าสิ่งที่ทำไว้ในอดีตนั้นมันกำลังเริ่มที่จะขยับขยายเข้ามาส่งผลต่อปัจจุบันจนอาจทำให้หล่อนที่กำลังเป็นดาวรุ่งในตอนนี้ร่วงหล่นเพราะชื่อเสียของเธอเอาก็ได้…
…ก็หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้โดยเร็วนะ..
“คุณหญิงติดงานอีกหรือ? วันนี้ก็ด้วยหรือนี่?” ชายหนุ่มร่างเพรียวที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่บนโซฟาก่อนหน้านี้เอ่ยถามในทันทีที่เห็นว่าเพื่อนสนิทนั้นวางโทรศัพท์ประจำบ้านลงด้วยสีหน้าที่ซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ไม่มิด
“อื้ม ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะต้องทำการบูรณะที่ทำงานเป็นพิเศษ”
เมธาวีหันกายครึ่งบนของตนมามองด้วยความรู้สึกประหลาด “แล้วอย่างนี้จะไม่เป็นปัญหากับงานเปิดตัวหนังหรือ? เธอคาดหวังว่าคุณหญิงจะมานี่”
“ฉันคาดหวังฉันก็ต้องรับผิดชอบ ในเมื่อหล่อนไม่สะดวกเพราะงาน ฉันก็ไม่ควรจะไปบังคับสิ” แม้หญิงสาวจะไม่ได้แสดงอาการอันใดออกไปอย่างเด่นชัด แต่ในเมื่อกับคนอย่างเมธาวีแล้วโชษิตาจึงไม่คิดจะปิดบังสิ่งที่รู้สึกอยู่ออกไป “แค่คนที่ไม่ชอบเข้างานราตรีอย่างหล่อนเกริ่นนำว่าจะพยายาม ก็ดีมากแล้ว”
ชายหนุ่มเป็นฝ่ายทิ้งตัวลงบนโซฟาดังเดิมแล้วถอนหายใจออกมาราวกับจะเบื่อหน่ายแทน “แล้วเรื่องข่าวลือที่แม่มนต์นภาปล่อยใส่เธอเล่า จะทำอย่างไร? ไม่อยากให้หล่อนช่วยจริงๆ หรือ”
ได้ยินดังนั้นสีหน้าที่ครุ่นคิดของหญิงสาวก่อนหน้าก็พลันเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เธอได้ยินเรื่องไร้สาระบางอย่างเกี่ยวกับตนเองผ่านหูอยู่ไม่น้อยตอนที่ไปทำงานตามตารางแล้วพบเจอคนอื่นๆ เรื่องราวที่เธอประพฤติตัวไม่เคารพคนที่มีประสบการณ์มากกว่าหรือกระทั่งไม่ไว้หน้าใครหน้าไหนทั้งนั้น ซึ่งพอให้ชายหนุ่มช่วยเหลือสืบหาต้นตอ โชษิตาก็พบว่ามันเป็นฝีมือของมนต์นภาที่กลับเข้ามาทำหน้าที่ให้สมกับอาชีพของตนเองได้เสียที
ถึงฝีมือการแสดงของหล่อนจะทำให้ตัวเธอเป็นที่พูดถึงในวงของช่างแต่งหน้าและนักแสดงตัวประกอบ แต่ก็มีคนที่เคยร่วมงานกับเธอมาก่อนที่ไม่เชื่อในข่าวลือพวกนั้นและดูเหมือนว่าจะปล่อยมันให้ซาลงไปในไม่กี่วัน แต่หลังจากนั้นก็มีอีกเรื่องหนึ่งเหมือนกันที่ถูกบอกเล่ากันปากต่อปากแทนที่จากคนที่โชษิตาเชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของหล่อนอีกแน่นอน
เพราะมันคือข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของเธอและหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์
แม้มันจะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง แต่เรื่องระหว่างเธอสองคนยังไม่ได้เปิดเผยแก่เหล่าสาธารณะชนที่แน่นอนว่าจะต้องถูกแบ่งออกเป็นสองสาย หนึ่งคือบุคคลที่เข้าใจ และอีกหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดที่คนอย่างหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ถึงได้เลือกผู้หญิงอย่างเธอที่เพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียงเข้ามา
หรือที่เลวร้ายมากกว่านั้น…คงไม่แคล้วมีคนคิดว่าเราทั้งสองต่างหวังผลประโยชน์..ไม่ร่างกายของหญิงสาวที่เริ่มสะพรั่ง ก็หวังชื่อเสียงและบารมีของทางวังทัตพงศ์มาลีที่ใครต่างก็อยากจะครอบครอง..
“เร็วสิคะน้องรดา”
ร่างสะโอดสะองค์บนรถเปิดประทุนสีไข่มุกในชุดสีสันที่บ่งบอกถึงรสนิยมและฐานะรวมถึงลักษณะนิสัยที่ปรารถนาจะอยู่เหนือผู้อื่นนั้นเอ่ยบอกเสียงหวานแต่ก็เร่งเร้าอยู่ในที หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์กลอกตาพยายามที่จะไม่ปล่อยให้อารมณ์ควบคุมเหนือความคิด เธอสวมเพียงแค่ชุดทางการเรียบๆ และภูมิฐานก่อนจะเดินไปยังรถที่รอรับส่งเธอและมนต์นภาไปยังสถานที่ที่หล่อนต้องการอย่างเคย
เวลาว่างจากงานที่ควรจะเป็นการพักผ่อนหรือเที่ยวอย่างอิสระเหมือนเมื่อก่อน เธอก็ต้องคอยพาหล่อนไปที่นั่นที่นี่อย่างที่เจ้าตัวต้องการจะไปในตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งในรูปแบบของการไม่เต็มใจและทำไปอย่างนั้นเพื่อให้วันๆ หนึ่งจบลง ถึงแม้หญิงสาวอยากจะปฏิเสธแล้วโยนทุกอย่างทิ้งโดยไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดแต่ก็ทำไม่ได้ ดารารินทร์ไม่รู้เลยว่าทำไมหล่อนถึงยังจะกล้าที่จะเอาพี่ชายของเธอขึ้นมาคอยขู่แบบกลายๆ ทั้งๆ ที่พี่ชายใหญ่ไม่ได้แสดงออกว่ายอมรับหล่อนเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ให้เข้ามาที่วังได้เท่านั้นเอง
“ยังไงรดาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมต้องไปพบคุณอารยะด้วย” หญิงสาวผิวขาวกล่าวในขณะที่ใบหน้านั้นตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเรียวคิ้วที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
วันนี้เธอรู้เพียงว่าโชษิตามีงานที่ต้องไปทำต่อหน้าสื่อมวลชนหรือการเปิดตัวภาพยนตร์ใหม่ แต่ดารารินทร์ก็ไม่ทันได้ถามผู้จัดการส่วนตัวหล่อนผ่านน้องสาวคนเล็กดีว่ามันจัดขึ้นที่ไหน ทั้งที่วันนี้หญิงสาวควรจะได้ไปอยู่กับหล่อน แต่กลับถูกมนต์นภาบีบบังคับให้ไปพบคนคนหนึ่งแทนจนเธอต้องตัดสินใจที่จะเขียนจดหมายเล็กๆ ผ่านคนดูแลสวนไปยังบ้านของโชษิตาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่ขึ้นจากฟ้าเท่านั้นเอง
“ก็คุณอารยะเป็นคนชักจูงพี่เข้าวงการนี้ เขาจึงเป็นผู้มีพระคุณของพี่ยังไงล่ะคะน้องรดา” มนต์นภาตอบด้วยสีหน้าเป็นสุขใจเพราะหล่อนกำลังอยู่ในสถานะที่รู้อยู่แก่ใจว่ากำลังเหนือกว่าเธอ “แล้วเขาก็มีความรู้เรื่องเครื่องบินด้วย เผื่อวันข้างหน้าจะได้คุยกันถูกคอไงคะ”
เหลือบมองร่างที่เข้ามากระเง้ากระงอดต้นแขนของตนเองด้วยหางตาอย่างนึกขุ่นเคือง สุดท้ายหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ทำเพียงแค่ถอนหายใจและไม่พูดอะไรไปตลอดทาง
“ดอกไม้จากคุณหญิงจิลอยู่นี่ แล้วของคุณหญิงรดาเล่า?” ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตและกางเกงเข้ารูปสีสันสดใสเอ่ยปากออกมาเมื่อสายตาสอดส่องไปยังหน้ากระจกแต่งหน้าภายในห้องรับร้องของสถานที่นี้ เขาเห็นช่อและกระเช้าดอกไม้สามสี่อันที่มีทั้งประโยคแสดงความยินดีรวมถึงให้กำลังใจจากผู้ที่เคยร่วมงาน แต่กระนั้นก็ไร้วี่แววชื่อของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่ควรจะวางอยู่รวมด้วยเช่นเดียวกัน
“ไม่มีหรอก” โชษิตาในชุดเดรสเปิดไหล่เข้ารูปสำหรับออกงานตอบในขณะที่ตนเองกำลังตรวจสอบเครื่องแต่งกายอยู่หน้ากระจกเงานั้นด้วยสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วเพราะความแปลกประหลาดนี้เสียเอง
“อะไรกัน มันควรจะมีสักช่อสิ”
หญิงสาวส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอก หล่อนอาจจะยังไม่ว่างจริงๆ ก็ได้”
เมธาวียกมือไขว้ขึ้นมากลองอกก่อนจะพิงกายกับขอบบานกระจกที่เพื่อนสาวใช้ตรวจความเรียบร้อยอยู่ “ถ้าเป็นคนไม่สันทัดเรื่องบริหารเสน่ห์ฉันก็จะเชื่อหรอก แต่นี่คุณหญิงดารารินทร์เชียวนะ เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะพลาดนี่นา”
“เธอก็เลิกตั้งแง่กับหล่อนเสียทีเถอะน่า ใช่ว่าคนประเภทนี้จะเป็นเหมือนกันไปหมดเสียหน่อย” ตอบประโยคที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงคล้ายกับจะจับผิดกันด้วยท่าทางปรามๆ โชษิตารู้หรอกว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นห่วงเธอเพราะไม่ได้เจอหน้าหล่อนหรือบุคคลที่สามในประโยคมาหลายวันแล้ว
ชายหนุ่มฟังแล้วก็ได้แต่ผลิยิ้มน้อยๆ จริงที่เขาเป็นห่วงหล่อนเพราะตอนแรกก็แอบกลัวว่าเพื่อนน้ำตาจะเช็ดหัวเข่าในภายหลังหลังจากที่รู้ว่าคุณหญิงดารารินทร์รู้สึกกับหญิงสาวอย่างไร แต่ในเมื่อเห็นคนที่ไม่เชื่อใครง่ายๆ อย่างโชษิตาตอบออกมาแบบนั้นแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้ามาหวังจะล้อเลียน
“ตกหลุมรักเข้าแล้วจริงๆ นะรู้ตัวหรือเปล่า”
ได้ยินดังนั้นริมฝีปากหยักก็เผลอส่งเสียงออกมาน้อยๆ ให้กับคนช่างเย้าหยอก โชษิตาจึงรีบหยิบแปรงแต่งหน้าขึ้นมาชี้อย่างคาดโทษใส่อีกฝ่าย
“ออกไปหน้างานได้หรือยัง จะอยู่กระแหนะกระแหนฉันจนเลิกงานเลยหรือไร”
เมื่อเพื่อนสนิทขอตัวออกไปแล้วเหลือทิ้งท้ายไว้เพียงเสียงหัวเราะ หญิงสาวก็เริ่มที่จะส่ายหน้าและค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงสิ่งของที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าส่วนตัวของตน เธอหย่อนกายลงบนที่นั่งที่ไว้สำรองสำหรับบรรดาแขกพิเศษที่รอเวลาเปิดตัวต่อหน้าสื่อมวลชน แล้วหยิบซองจดหมายสีฟ้าอ่อนที่ถูกเขียนด้วยลายมืออันบ่งบอกถึงความใส่ใจของผู้เขียนออกมา
‘ยินดีด้วยนะคะ ขอโทษด้วยที่ตัวไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่หลังจากจบงานนี้ พี่หวังว่าโชจะอนุญาตให้เราคุยเรื่องของเราให้ผู้ใหญ่ได้ฟังกัน’
เนื้อความจดหมายจากตอนเช้าตรู่มีเพียงไม่กี่บรรทัด แม้ตอนแรกโชษิตาจะสงสัยว่าใครกันที่นำมันมามอบให้เธอผ่านมือของผู้ดูแลความสะอาดประจำบ้าน แต่เมื่อได้อ่านแล้วหญิงสาวก็รับรู้ในทันทีว่าความอบอุ่นที่มอบให้ผ่านลายมือนี้เป็นของใคร
แล้วมันก็ทำให้เธอยิ้มได้เสียยิ่งกว่าช่อดอกไม้ใดๆ เสียอีก
อีกด้านหนึ่งที่รถยนต์คันสีไข่มุกมาจอดลง ณ อาคารที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้นกำลังเดินสวนกันไปมา บ้างก็กำลังจดจ้องมองภาพโฆษณาภาพยนตร์ที่กำลังฉาย บ้างก็กำลังสนอกสนใจกับข้าวโพดคั่วที่ส่งกลิ่นหอมชวนชิม ศาลาเฉลิมไทยเป็นสถานที่หนึ่งที่คล้ายกับจะเป็นจุดศูนย์รวมยอดนิยมของชาวพระนคร จึงไม่แปลกอะไรหากจะมีผู้คนที่มาเยี่ยมชมมันจนดูแออัดไปในบางคราว
เป็นมนต์นภาเองที่ทนไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าวันนี้ผู้คนกำลังยืนจับกลุ่มคล้ายกับรอคอยอะไรบางอย่าง และทำให้ดูแปลกตากว่าทุกวันจนความรู้สึกรำคาญนั้นเพิ่มพูน
“ทำไมคนเยอะแบบนี้ ไม่ได้มีแค่งานของผู้อำนวยการหรอกรึ” หล่อนกล่าวออกมาอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงที่แหลมขึ้นเล็กน้อยระหว่างกวาดดวงตาเบื้องหลังแว่นสีดำไปรอบๆ ระหว่างทางของการนั่งรถมาหญิงสาวเอ่ยปากพูดถึงงานเลี้ยงบนชั้นสองของศาลาเฉลิมไทยให้หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ฟังอยู่บ้างว่ามีการทานอาหารกลางวันกับเหล่านักลงทุนและผู้อำนวยการภาพยนตร์ เธอไม่ใช่คนที่สันทัดงานสังคมเหมือนจิลลาภัทร ฉะนั้นจึงไม่แน่ใจนักว่าขนาดสัดส่วนงานที่มนต์นภาพาเธอมานี้มันเป็นอย่างไรบ้าง
“ดูเหมือนจะมีงานอื่นด้วย” ดารารินทร์พูดเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของชาวบ้านและบางคนที่ถือกล้องฟิลม์ตัวใหญ่พร้อมไฟในมือนั้นคล้ายกับจะตื่นเต้น พวกเขาทั้งพูดคุยกันอย่างดีอกดีใจที่จะได้เห็นคนมีชื่อเสียงตัวเป็นๆ และกลุ่มนักข่าวที่ตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ของตนอย่างดิบดีเพื่อหวังจะได้นำข่าวภาพยนตร์ใหม่ไปขึ้นหน้าหนึ่งก่อนใคร
…แต่ข่าวภาพยนตร์ใหม่หรือ?
หรือว่า…
“ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อย เดี๋ยวนักแสดงจะลงมาแล้ว” ชายคนหนึ่งในชุดพนักงานของทางโรงภาพยนตร์ก้าวเท้าเข้ามาห้ามปรามไม่ให้ประชาชนและสื่อจับจองพื้นที่จนล่วงล้ำอาณาเขตมากเกินไป บรรดาผู้คนจึงต่างพยายามเกาะกลุ่มกันไว้ให้มากที่สุดกระทั่งมีปากเสียงเล็กน้อยมาถึงพวกเธอสองคนที่อยู่รอบนอก
“หลีกๆ อย่าเบียดกัน อย่าเหยียบกันด้วย”
ไม่นานหลังจากความวุ่นวายด้านหน้าขั้นบันไดวนอันสวยงามของสถานที่แห่งนี้จบลง บริเวณโดยรอบก็พลันเงียบลงคล้ายกับพุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังผู้ที่กำลังจะมาเยือน เบื้องล่างมีชายผู้หนึ่งคอยกล่าวเปิดตัวผู้มีส่วนร่วมในผลงานนี้ทีละคนโดยที่สมาชิกช่วงแรกไม่ใช่ความสนใจของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เลยแม้แต่น้อย
กลับเป็นคนตัวเล็กในเดรสเปิดไหล่เข้ารูปที่กำลังเดินลงมาจากบันไดนั่นต่างหาก…
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์กำลังรู้สึกปั่นป่วนเป็นที่สุด เธออยากจะร้องไห้ที่โชคชะตาช่างเลือกสรรสถานที่เปิดตัวผลงานของอีกฝ่ายได้แย่นัก โรงหนังสำหรับจัดงานในพระนครแม้มีไม่มากแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นสถานที่เดียวกันกับวันที่เธอถูกมนต์นภาพามาในวันนี้ ส่วนอีกความรู้สึกก็คือความภาคภูมิใจเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้นเพราะความสวยสง่าของโชษิตาที่ค่อยๆ ก้าวเดินลงมาด้วยความมั่นใจในตัวเอง แต่ดารารินทร์ไม่รู้เลยว่ามันจะอยู่ไปได้นานแค่ไหนหากหล่อนเห็นเธอเข้าท่ามกลางฝูงชน..
ดังนั้นดวงตาที่เบิกค้างของหญิงสาวจึงเต็มไปทั้งความพอใจและร้าวรานในเวลาเดียวกัน
หญิงสาวในเดรสเปิดไหล่นั้นไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจอะไรออกไปให้เห็นเมื่อพบว่าสื่อและมวลชนมาที่งานเยอะกว่าที่คาดเอาไว้ โชษิตาคาดว่าคงเพราะข่าวลือที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จึงทำให้มีใครหลายคนคอยจับตามองอยู่ แม้เมธาวีจะแอบเตือนมาบ้างแล้วก็ตามว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร แต่หญิงสาวก็คิดว่าไม่ควรลดการป้องกันของตนเองลงแม้แต่น้อย
กระทั่งบรรยากาศโดยรอบนั้นเปลี่ยนไปเมื่อคำถามเกี่ยวกับผลงานของเธอถูกเบนความสนใจไปเรื่องอื่นตามที่คาด
“คุณโชษิตา ไม่ทราบว่าข่าวลือที่คุณประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับคนอื่นจะปฏิเสธไหมครับ”
“แล้วข่าวลือที่ว่ามีปัญหากับรุ่นพี่ในวงการจะอธิบายอย่างไรคะ”
แม้จะคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าคำถามจากสื่อย่อมไม่ใช่เพียงแค่งานในวันนี้ แต่โชษิตายังโชคดีนักที่ทีมงานที่มาด้วยกันยังพอมีน้ำหนักในการตอบคำถามที่เชื่อมโยงเข้ากับเธอ คำตอบของพวกเขาล้วนทำให้ผู้มาเยือนมีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไปคนละแบบ และนั่นก็ทำให้หญิงสาวนึกขอบคุณพวกเขาอยู่ในใจมากจริงๆ
“แล้วเรื่องของคุณหญิงดารารินทร์จากวังทัตพงศ์มาลี ไม่ทราบว่าพวกคุณเกี่ยวข้องกันอย่างไรรึครับ”
ในที่สุดคำถามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงก็มาถึง ครั้นเมื่อคนรอบข้างช่วยเหลือเธอเรื่องอื่นไปแล้ว ถึงเวลาที่โชษิตาที่จะต้องตอบมันออกไปโดยที่ไม่มีฝ่ายใดจะต้องเสียหายก่อนเวลาอันควรเสียที
“เรารู้จักกันเป็นการส่วนตัวค่ะ เพราะว่าตัวโชก็เป็นเพื่อนกับคุณหญิงจิลลาภัทรอยู่แล้ว-”
คำตอบที่ควรจะกล่าวออกมาด้วยความเป็นธรรมชาติกลับเลือนหายไปในทันทีที่หญิงสาวมองเห็นร่างของใครคนหนึ่ง ท่ามกลางเสียงของสิ่งแวดล้อมด้านนอกและแสงสว่างวาบของกล้องเก็บภาพตัวใหญ่ที่ประดาประดัง โชษิตามองเห็นเพียงร่างของหญิงสาวคนนั้น ร่างของคนที่เธอไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับหล่อนในวันนี้..
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์..ที่ข้างกายของหล่อนก็คือต้นตอทั้งหมดของข่าวลือ
ก้อนอากาศในลำคอเคลื่อนขึ้นมาอยู่ภายในจนไม่อาจขยับเขยื้อน โชษิตาเชื่อมาตลอดอาทิตย์ที่แทบไม่ได้มีเวลาพูดคุยกันว่าหล่อนติดงาน เธอเชื่อมาตลอดจนกระทั่งเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและสับสนของหล่อน
เธอเชื่อว่าหล่อนจะไม่มีวันหักหลังกันอย่างที่เคยลั่นวาจาไว้..
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างมากมายทำให้โชษิตานิ่งเงียบไปจนนักข่าวที่ถามคำถามนั้นต้องเอ่ยเรียกซ้ำอย่างสงสัย “แล้วอย่างไรครับ?”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เพราะคุณหญิงดารารินทร์กำลังคบหาอยู่กับดิฉันเอง” ในเวลาที่ผู้คนกำลังรอคอยคำตอบจากปากของนักแสดงดาวรุ่งแห่งวงการ เสียงหวานที่จงใจปั้นแต่งขึ้นมาก็เรียกความสนใจทั้งหมดไปยังเจ้าของมันได้
อันที่จริงมนต์นภาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะพบเจอหล่อนที่นี่ เพราะอย่างนั้นสถานการณ์ตรงหน้านี้จึงเป็นจังหวะดีที่หญิงสาวควรจะคว้ามันเอาไว้ก็เท่านั้น
กล้องตัวใหญ่และปลายปากกาต่างก็กักเก็บสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ากันควักไขว่ แสงสีขาววาบที่เป็นระยะอย่างบ้าคลั่งต่างสาดส่องไปที่หญิงสาวทั้งสองคนที่กลายเป็นจุดสนใจของฝูงชน ดารารินทร์ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนกายเพื่อทำอะไรได้ เพราะดวงตาที่ยังคงจับจ้องร่างน้อยที่อยู่ไม่ไกลกันตรงหน้า
เวลานั้นเองที่โชษิตาได้กล่าวออกไปในที่สุด “แล้วเราก็รู้จักกันในฐานะพี่น้องเท่านั้นค่ะ”
จบประโยคที่คล้ายกับจะเป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจหม่อมราชวงศ์ก็พลันได้สติ เธอเห็นคนตัวเล็กหันกายกลับไปยังทิศทางอื่นโดยที่ทุกคนรอบข้างต่างหันไปสนใจมนต์นภาและทำอันใดไม่ถูกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดารารินทร์ใช้จังหวะที่ชุลมุนนี้ในการออกวิ่งตามหลังบางนั้นไปด้วยใจที่แกว่งไกวจนน่ากลัว
“น้องโช หยุดก่อน ฟังพี่ก่อนค่ะ”
ใช้เวลาไม่นานนักในการวิ่งตามร่างน้อยนั้นจนเจ้าตัวยอมหยุด ท่ามกลางโถงทางเดินเก็บของที่ไร้ซึ่งผู้คนและเสียงใดที่จะเล็ดรอดเข้ามา ดารารินทร์เห็นเพียงหล่อนหยุดฝ่าเท้าของตนเองห่างกันไม่กี่ก้าว หญิงสาวจึงไม่รีรอที่จะก้าวเท้าเข้าไปเพื่อลดระยะห่างของมันโดยที่ไม่ได้สนใจว่าลมหายใจของตนจะสงบลงหรือยัง
“…”
“พี่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น พี่ไม่ได้เป็นอย่างที่มนต์นภาพูดเลยนะคะ”
สิ้นประโยคนั้นความเงียบก็เกิดขึ้นจนรู้สึกวูบโหวง นานเกือบนาทีทีเดียวกว่าที่หญิงสาวที่ดารารินทร์วิ่งตามจะหันมามองกัน ด้วยดวงตาที่พราวระยับไปด้วยหยาดน้ำแห่งความเสียใจที่ไม่เคยทำให้เธอสั่นไหวกับมันมากเท่าครานี้มาก่อน…
“ถ้าอย่างนั้นพี่รดาโกหกโชทำไมคะ?”
ดารารินทร์รู้สึกว่าริมฝีปากของตัวเองหนักอึ้ง
“ที่บอกว่ามีงาน ก็โกหกเหมือนกันใช่มั้ย?”
ร่างขาวรีบส่ายหน้าเมื่อได้สติกลับคืน เธอโกหกโชษิตาจริงแต่มันไม่ใช่ทั้งหมด เพราะอย่างนั้นจึงต้องรีบอธิบายแล้วไม่อาจปล่อยให้หล่อนเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ได้ “งานมันก็มี แต่-”
“แต่ต้องไปไหนมาไหนกับหล่อน ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลย?”
ดวงคาคู่สวยคู่นั้นกำลังตัดพ้อ..แลไร้ซึ่งวี่แววแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจที่เคยมี
“โชษิตา”
ร่างเล็กเป็นฝ่ายที่ทนมองหน้าหล่อนต่อไม่ได้ หญิงสาวเช็ดหยาดน้ำตาด้วยหลังมือของตนเองราวกับไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้เกิดเหตุอะไรขึ้น “ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ โชเข้าใจแล้ว”
“ไม่ค่ะ โชไม่เข้าใจ”
ยิ่งเวลาผ่านไปดารารินทร์ก็ยิ่งเข้าใจว่าสิ่งที่เธอตั้งใจทำให้อีกฝ่ายมาตลอดกำลังจะพังลง ความรู้สึกและความเชื่อใจที่กำลังสั่นคลอนผ่านแววตาคู่นั้นทำให้อกของหญิงสาวร้อนระอุเหมือนใครมาก่อไฟเอาไว้อยู่ภายใน เธอก้าวเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยน้ำหนักเท้าที่หนักขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุและหมายจะแตะข้อมือบางที่ตอนนี้ก็สะบัดเธอออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ได้โปรด อย่าเพิ่งยุ่งกับโชตอนนี้ได้ไหมคะ”
โชษิตากล่าวกับหญิงสาวตรงหน้าด้วยร่างที่สั่นเทาเล็กๆ
“..”
“ขอร้องนะคะ…ความรู้สึกของโชเอง ให้โชจัดการกับมันก่อน”
เห็นความเจ็บปวดและอ้อนวอนในดวงตานั้นดารารินทร์ก็ให้รู้สึกขมขื่น ความรู้สึกโกรธเพียงเล็กน้อยที่ก่อขึ้นในใจบ่งบอกถึงสถานการณ์ที่เธอเริ่มจะยอมรับมันไม่ได้ ความชาหนึบตั้งแต่ปลายนิ้วทำให้ดารารินทร์หวาดกลัวที่จะต้องเสียหญิงสาวตรงหน้า แต่เธอก็อยากให้หล่อนอยู่ฟังอธิบายก่อนที่มันจะช้าเกินไปกว่านี้ ร่างขาวจึงก้าวข้ามความรู้สึกนั้น แล้วสัมผัสข้อมือเอาไว้อย่างแน่นหนาเพราะความหวาดกลัว
“แต่ไม่ว่าอย่างไรโชก็ต้องฟังความพี่ก่อน”
คนที่กำลังจะเดินจากไปตรงนี้หันกลับไปมองดวงตาที่เคยมอบความอบอุ่นให้มาเสมอ เธอจดจ้องมองหล่อนอยู่นานราวกับจะมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ตนเองต้องการ ท้ายที่สุดในตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด โชษิตาก็เลือกที่จะตัดบทมันเสียก่อนที่มันจะทำให้ตัวเธอเองนั้นอ่อนแอลงไปกว่าเดิม
“ถ้าให้ฟังมากกว่านี้ โชจะกลายเป็นคนที่โง่กว่าเดิมไหมคะ?”
“…”
“ความรู้สึกที่โชมีต่อพี่หญิงตอนนี้ จะทำให้โชกลายเป็นคนที่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ ก็ตามที่พี่พูดออกมาไหม”
ในเมื่อความรักมันบังตามีหรือที่จะไม่ดลบันดาลให้มืดมน ทั้งโชษิตาและดารารินทร์ต่างเข้าใจในนัยยะสำคัญที่ซ่อนอยู่ในความคิดของกันและกัน หนึ่งคนกลัวที่จะเชื่อในรักหมดหัวใจจนกลายเป็นคนที่โง่งม อีกหนึ่งคนก็พลันหวาดกลัวที่จะปล่อยให้สิ่งที่อีกฝ่ายกังวลมันเกิดขึ้นจนต้องเสียใจเพราะสิ่งที่เคยทำไว้ของตัวเอง
ในยามที่ไม่สามารถใช้ความเชื่อใจให้อีกฝ่ายรู้สึกปลอดภัยแล้วมั่นคงได้..ไฉนเลยดารารินทร์จะทำให้โชษิตาในตอนนี้ฟังคำพูดอะไรก็ตามที่อาจจะกลายเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวของคนอย่างเธอ..
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ได้ยินและคิดดังนั้นมือที่เหนี่ยวรั้งคนตัวบางเอาไว้ก็อ่อนแรง
นักแสดงรับเชิญ
กัญนิกา : คังฮเยวอน
พรรษา : มิยาวากิ ซากุระ
เกร็ดเล็กน้อย : เรื่องขนมเสน่ห์จันทร์ โบราณเขาว่าถ้ากินมากๆ คนจะมารุมชอบและเกิดเหตุรถไฟชนกันได้
TBC.
#ฟิคแก้วตาสุมาลี #หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์
___________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น