คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : [แก้วตาสุมาลี] หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ : ดอกกาหลง ๓
๓
“เจ็บก็บอกนะคะ”
หญิงสาวผิวขาวเอ่ยปากบอกขณะนั่งอยู่ที่ศาลาไม้กลางสวนผลไม้แลพืชพรรณของไร่มนธา หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์สวมเสื้อลายทางกับเสื้อคอกลมสีขาวและกางเกงขาก๊วยสีตัดกัน เบื้องหลังเรือนผมนั้นมีหมวกสานที่ไม่ได้สวมไว้รอบคอเพื่อป้องกันเงาแดดอุ่นๆ ในช่วงเที่ยงของวัน มือคู่ขาวที่เพิ่งจะพ้นพันธนาการจากถุงมือก็ประคองสำลีก้อนนุ่มที่เปียกชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์ขึ้นมา
คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพยักหน้ารับหงึกๆ โชษิตาในชุดที่คล้ายคลึงกันนั้นหลุบตามองแผลวงใหญ่ที่ปรากฏรอยถลอกและเลือดเป็นซิบๆ บริเวณเกือบถึงข้อศอก แม้หน้าตาจะแสดงอาการเหยเกและกลัวเจ็บออกมา แต่ร่างเล็กก็ยังจ้องมองมันเป็นระยะๆ ตอนที่คนอายุมากกว่าค่อยๆ เช็ดคราบดินและเลือดเหล่านั้นออกไปช้าๆ
ดารารินทร์เลื่อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะหลุบตาลงอีกครั้ง “ถ้ารู้ว่าจะเจ็บแบบนี้แล้วปีนขึ้นไปทำไมกัน”
“ก็ธาวีบอกว่าตรงนั้นมันมองเห็นสวนทั้งหมดเลยนี่คะ” หญิงสาวตอบน้ำเสียงติดสำนึกผิดเล็กน้อยและก็โทษความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองในใจ ระหว่างที่พักเอาเรี่ยวเอาแรงอยู่ดีๆ ไม่ว่าดี เธอก็ดันอยากปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่เพื่อมองเห็นทิวทัศน์เหมือนที่เพื่อนสนิทคุยโวแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาให้เห็นเสียอย่างนั้น
วิวสวย..แต่แลกมาด้วยบาดแผลบนกาย..โชษิตาก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่ามันไม่คุ้มเอาเสียเลย
ถ้าหายไม่ทันวันกลับไปพระนคร เธอคงไม่พ้นต้องถูกหัวหน้าสั่งให้พักงานแน่
“โชทำเองดีกว่าค่ะ..”
ขณะที่ระลึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้อยู่ในสถานที่จะลดตัวลงมาทำแผลให้สามัญชน ทั้งอายุและยศศักดิ์ที่มีทำให้ร่างเล็กค่อยถดแขนของตนเองกลับคืนอย่างเจียมตัว
ทว่าคนอายุมากกว่ากลับไม่ได้ยอมให้เธอทำดั่งที่ใจคิด หล่อนกระชับแขนเหนือรอยแผลที่กำลังทำความสะอาดให้อยู่เอาไว้แล้วใช้ดวงตาทั้งสองนั้นตำหนิเธออย่างไม่จริงจังนัก
“ถ้ากลัวจะเจ็บจนร้องออกมา ก็บีบแขนพี่ไว้แล้วกัน”
เพราะฟังคำกล่าวออกมาแล้วโชษิตาจึงจำต้องยอมเซคืนแขนของเธอให้แก่หล่อนทำตามใจ ดูท่าพี่สาวของเพื่อนสนิทที่เคยถือระยะห่างกันมาก่อนนั้นก็มีมุมมองที่ดื้อรั้นอยู่เหมือนกัน
สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งพาอีกฝ่ายจนได้…
หลังจากจบบทสนทนาที่ใต้ต้นไม้นั้นก็ผ่านมาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ งานของโชษิตาจบลงและปิดกล้องไปด้วยดี ทีมงานและนักแสดงนำเกือบครึ่งหนึ่งกลับพระนครไปก่อนเพราะต้องใช้เวลาในการจัดการกับเรื่องเสียงและภาพในภายหลัง ที่ไร่มนธานี้จึงเหลือเพียงแค่ผู้กำกับและทีมงานไม่กี่คนที่ตัดสินใจจะอยู่จนกว่าวันงานเก็บเกี่ยว สองวันมานี้พวกเธอที่ยังอยู่จึงได้ลงแรงช่วยเหล่าคนสวนคนงานเก็บผลผลิตตามฤดูกาลไปเป็นหน้าเป็นตาให้แก่ไร่มนธาเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
แม้จะรู้สึกแสบจากบาดแผล แต่ร่างเล็กก็เคลื่อนสายตามองใบหน้าขาวที่รวบผมยาวของตนเองไว้ด้านหลัง ใบหน้าจริงจังที่ตั้งใจทำแผลให้กันนั้นน่ามองมากกว่ารอยยิ้มแพรวพราวที่หล่อนมักจะมีให้คนอื่นเสียอีก
โชษิตารู้ตัวว่าเธอลังเล ใจหนึ่งของหญิงสาวก็พร้อมจะมอบความจริงใจให้กับหล่อน แต่อีกใจหนึ่งนั้น ก็ยังทำให้เธอไม่อาจตกลงปลงใจกับสิ่งที่ตนเองเห็นได้ง่ายๆ
ให้มองเป็นผู้หญิงธรรมดางั้นหรือ..คนระดับหล่อนน่ะนะ…
แม้ไม่ต้องมียศศักดิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์มีชื่อเสียงอย่างไรใครต่อใครก็รู้ ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเพราะเรือนผิวขาวดั่งดอกมะลิ และดวงตาที่ขยับโค้งขึ้นดูเป็นมิตร ไม่แคล้วทำให้คนที่มีจิตใจอ่อนไหวง่ายตกหลุมพรางของมันได้แน่ๆ ฉะนั้นแล้วโชษิตาจะไม่มีวันเชื่อ จนกว่าเธอจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นที่หล่อนทำให้เธอมันแตกต่างออกไป
“ขอบคุณค่ะ”
ร่างเล็กเอ่ยปากบอกเมื่อสำลีถูกแปะปิดตรึงบาดแผลเอาไว้ไม่ให้โดนความชื้น เธอถอยเรียวแขนที่สร้างความรู้สึกตึงเล็กน้อยกลับมาหาตัว
“ถ้ายังไง ไว้พี่จะไปทำแผลใหม่ให้อีกครั้งนะ”
“ไม่ต้องถึงมือพี่หญิงหรอกค่ะ โชทำเองได้จริงๆ นะ”
ดารารินทร์รู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายยังคงมีท่าทีเกรงอกเกรงใจกัน พลันรู้สึกว่าหัวใจของตนนั้นคันหยุกหยิกอย่างไรบอกไม่ถูกที่ “พี่บอกแล้วไงคะ ว่าอยู่ที่นี่ พี่ไม่ได้เป็นคุณหญิงที่ไหน”
“แต่อย่างไรในสายตาของคนอื่นพี่รดาก็เป็นหม่อมราชวงศ์นะคะ” อย่างน้อยหล่อนก็ควรจะคิดถึงวงศ์ตระกูลของตนเองเสียบ้าง โชษิตาเป็นลูกสาวของพ่อค้าที่เพิ่งตั้งตัวได้ไม่นาน ตำแหน่งหน้าที่ในวงการก็เพิ่งจะมาอยู่ในจุดนี้ได้ไม่กี่ปีต่างจากน้องสาวของเจ้าตัว…โชษิตาไม่ใช่คนห่วงภาพลักษณ์ของตนเองขนาดนั้น แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงสิ่งที่สู้มันมานานไปกับการผูกใจของตนเองไว้ที่ใครบางคนจริงๆ
“พี่ไม่ได้สนใจว่าใครจะมองพี่ยังไง” ดารารินทร์ตอบด้วยดวงตาที่เธออ่านไม่ออก “พี่แค่อยากให้เราคนเดียวที่มองพี่แตกต่างจากคนอื่น”
ความลังเลที่เกิดขึ้นนั้นมักจะทำให้โชษิตาสับสนอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่ความคิดหนึ่งทำให้หญิงสาวหวั่นไหว..ทว่าอีกความคิดหนึ่งก็คอยจะฉุดรั้งมันเอาไว้ได้ตลอด
“น้องรดา อยู่ที่นี่เองหรือคะ”
ดารารินทร์หยุดชะงักมือที่กำลังเคลื่อนเข้าไปหลังฝ่ามือของคนตัวเล็ก เพราะเสียงของมนต์นภาที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างผิดเวลาทำให้เธอต้องหันมองอีกฝ่าย หล่อนไม่แม้แต่จะชายตามองอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน กลับเดินนวยนาดในชุดที่ไม่ได้เข้ากับสถานที่อย่างไร่พืชไร่ผักเข้ามาหาเธอแล้วจัดแจงวาดแขนรอบตัวเธออย่างคุ้นชิน
“พอดีเลย พี่ว่าจะมาขอให้รดาพาพี่ไปในตัวเมืองหน่อย อยู่ที่นี่ทั้งวันไม่มีอะไรสนุกๆ ทำเลย ขัดหูขัดตาไปหมด”
ความรู้สึกด้านลบก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเสียงกระเง้ากระงอดนั้นลอยผ่านหู โชษิตาไม่ได้หันไปมองทั้งสองคนเลยตั้งแต่ที่หล่อนปรากฏตัวขึ้นมา แต่ความรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่มีเหตุผลนี้ ก็ทำให้มือทั้งสองที่วางอยู่หน้าตักของเธอเผลอบีบเข้าหากันอย่างไม่ทันได้ตั้งใจ
ผ่านไปเกือบนาที มนต์นภาถึงตวัดสายตาไปยังร่างของใครอีกคนด้วยท่าทางที่แฝงความนัย “อ้าว นึกว่ารดาอยู่คนเดียวเสียอีกนะคะเนี่ย”
พลันนั้น โชษิตาก็ลุกขึ้นจากที่นั่งในทันที
“น้องโช..” ดารารินทร์เอ่ยเรียกคนที่กำลังลุกขึ้นด้วยใจที่ไม่สงบ เธอไม่ชอบในการกระทำของมนต์นภาในหลายวันที่ผ่านมานัก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะให้เอ่ยปากกล่าวตักเตือน ด้วยความที่ตัวของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เองก็ไม่ใช่คนที่จะเอ่ยปากแย้งเรื่องการกระทำกับใคร
ร่างเล็กหันมามองพร้อมกับคลายยิ้มที่ไม่ถึงดวงตานัก
“โชจะไปช่วยคนอื่นเขาเก็บผลไม้ต่อน่ะค่ะ ไปหาอะไรทำ จะได้ไม่มีอะไรมาขวางหูขวางตา”
เสียงพูดคุยเกิดขึ้นเป็นย่อมๆ จากตัวบ้านของชายกลางคนผู้เป็นผู้ใหญ่บ้านและเจ้าของพื้นที่สวนทั้งหมด คนทั้งหลายแยกออกเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้อาหารพื้นบ้านทั้งหลายได้แจกจ่ายอย่างทั่วถึงแก่ทุกคน บางวงก็มีเหล้าหมักของพิเศษที่ชายกลางคนเอาออกมานำเสนอ ส่วนบางวงก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระและคลายความเหนื่อยล้าจากการลงแรงเก็บเกี่ยวผลผลิตมาจนปัจจุบัน
“พรุ่งนี้ไร่ของผู้ใหญ่ต้องได้เป็นผู้ชนะแน่ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเก็บเกี่ยวผลไม้ได้เยอะขนาดนี้เลยนะ” ผู้กำกับเอ่ยปาก เรียกเสียงหัวเราะของวงอาหารมื้อค่ำวงใหญ่ที่สุดให้ดังเป็นระลอกอย่างคนถูกอกถูกใจ
พวกผู้คนอายุน้อยขยับตัวนั่งแยกออกมาไม่ได้ห่างมากนัก ปะปนไปด้วยทีมงานชายและหญิงที่ยังเหลืออยู่ไม่มากนัก ในวงหนึ่งนั้นมองมนต์นภาคอยเฝ้ากระเง้ากระงอดหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์และวิจารณ์อาหารตรงหน้าไปไม่ขาดสาย แม้ไม่ต้องเอ่ยถาม พวกทีมงานก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าการที่เจ้าหล่อนมักแสดงท่าทีเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหญิงสาวนั้นเพราะด้วยสถานะอันใด
ดารารินทร์รู้สึกอัดอึดใจเป็นที่สุด เธออยากพูดคุยกับโชษิตาและสลัดตัวออกจากมนต์นภาแต่ทำไม่ได้อย่างที่ใจนึก เลยทำได้แค่ส่งสายตาไปยังอีกวงสนทนาที่อยู่ไม่ไกลกัน มองเจ้าคนตัวเล็กคอยต่อเรื่องราวจากปากของชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชายของผู้ใหญ่บ้านด้วยแววตาที่หม่นหมองและหาความสนุกไม่ได้
เมธาวีที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอเริ่มเป็นฝ่ายที่จะแสดงอาการทนไม่ไหวออกมาแทน “ถ้าจะบ่นนู่นนี่นัก จะมานั่งกินทำไมให้เสียบรรยากาศ”
มนต์นภาที่นั่งพับเพียบติดหนึบอยู่ข้างแขนของดารารินทร์ถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า “ปากก็ปากฉัน ไม่ทราบว่าคุณช่างแต่งหน้ามีปัญหาอะไรหรือไง”
ชายหนุ่มวางชามข้าวลงพลางมองหญิงสาวด้วยแววตาเยาะเย้ย “งั้นฝากบอกให้ปากคุณฟังด้วยนะครับ ว่าช่วยมีมารยาทตอนกินอาหารสักหน่อย”
“นี่-!”
“พี่มน” ดารารินทร์ปรามหญิงสาวข้างๆ เมื่อการโต้เถียงนั้นคล้ายจะบานปลาย
สถานการณ์ของทั้งสามคนอยู่ในสายตาของหญิงสาวที่มีท่าทีคล้ายจะไม่ใส่ใจ โชษิตาเองก็อดไม่ได้ที่รู้สึกว่าภาพที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ทำให้รู้สึกไม่ค่อยเจริญอาหารนัก นอกจากคอยตอบรับบทสนทนาจากชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลกันแล้ว ข้าวในจานก็แทบจะไม่พร่องลงไปเลย
“คุณโช ไม่ทานแล้วหรือคะ” หญิงสาวที่อยู่ในวงเดียวกันนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย หล่อนเองก็เป็นอีกคนที่คอยหันไปมองวงสนทนาด้านหลังที่อยู่ไม่ไกลเช่นเดียวกัน แต่กระนั้นโชษิตาก็ไม่ได้สังเกตเห็น เธอเพียงพยักหน้าและกล่าวตอบด้วยสีหน้าที่ปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้เหมือนดังเดิม
“อิ่มแล้วล่ะค่ะ แต่อร่อยเหมือนเคยเลย”
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ รู้เพียงว่าเจ้าตัวมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจเพราะสังเกตจากท่าทางในการรับประทานที่ไม่ค่อยจะพร่องลง แต่ไม้ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปให้เป็นกิจลักษณะ แต่เขาก็คิดไปเพียงว่าเจ้าตัวนั้นคงจะเหนื่อยล้าจากการทำงานในไร่เท่านั้นเอง
ร่างเล็กวางอุปกรณ์ในการกินลงเมื่อรู้สึกว่าท้องรับอาหารลงไปในท้องไม่ได้อีกต่อไป เธอครุ่นคิดถึงเพียงว่าอยากจะออกไปจากจุดที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ระหว่างที่กำลังใช้สมองทบทวนความรู้สึกของตนเอง โชษิตาก็เผลอปล่อยให้ดวงตาของหญิงสาวผู้หนึ่งที่เคยเปล่งประกายคู่นั้นจับจ้องมองมาเสียได้
ทว่าหนนี้กลับมีแต่ความรู้สึกมากมายอยู่ในนั้น..ชวนให้ค้นหาแลรู้สึกห่วงใยไปในตัวเป็นที่สุด
โชษิตาหลุบตาลงหนีก่อนจะเอ่ยปากบอกผู้คนโดยรอบ “ถ้าอย่างไร โชขอตัวกลับที่พักก่อนนะคะ”
ได้ยินอย่างชายหนุ่มก็รีบวางชามข้าวของตนเองลงและทำความสะอาดรอบริมฝีปากลวกๆ เพราะที่พักที่อยู่ห่างไกลหากจะให้เดินไปในยามค่ำคืนเช่นนี้มันก็กระไรอยู่ “คุณโช เดี๋ยวผมขับรถไปส่งครับ”
เห็นดังนั้นคนที่ยังไม่ได้ถอนสายตาจากไปไหนไกลก็หลุบตาลง หญิงสาวผู้เป็นหม่อมราชวงศ์นั้นไม่สนว่าแก้วตรงหน้าที่มีของเหลวอยู่นั้นจะเป็นสิ่งใด เพราะเจ้าตัวเพียงแต่มันหยิบมันขึ้นมาดื่มแล้วดื่มเล่าคล้ายกับจะปลอบประโลมตนเองโดยไม่สนใจว่าคนรอบข้างนั้นจะชื่นชมอย่างไร
เพราะกลับมาก่อนที่งานเลี้ยงหลังเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวจะเลิก เรือนพักผ่อนที่โชษิตาและคนอีกสองคนใช้นั้นจึงมีเพียงแค่เธอคนเดียวที่อยู่ในตอนนี้ หญิงสาวจัดการธุระส่วนตัวเองให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็หยิบหนังสือที่เอาติดตัวมาด้วยตั้งแต่ออกจากพระนครขึ้นมาอ่าน ไม่ได้สนใจนักว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วจนกระทั่งเปลือกตาเริ่มจะบ่งบอกถึงอาการที่ง่วงงุน ขณะที่กำลังคิดว่าจะพักสายตาลงสักหน่อย เสียงเมาท์ออร์แกนที่ดังขึ้นเป็นทำนองในยามค่ำคืนก็ทำให้โชษิตาต้องลืมตาตื่นขึ้นเสียไม่ได้
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้มีเพียงคนเดียวที่ครอบครองมันเอาไว้อยู่ และตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เคยได้ยินคนที่อยู่ห้อง ‘ตรงข้าม’เล่นมันบ้างเป็นบางเวลา แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่มันจะฟังดูไพเราะและบ่งบอกอารมณ์เว้าวอนระคนเดียวดายได้เท่านี้
ความสงสัยใคร่รู้ทำให้หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้วค่อยๆ โผล่หน้าออกไปมองจากหน้าต่างที่เพิ่งถูกเปิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยความครุ่นคิดอยู่ในใจ
มองเห็นคนๆ หนึ่งอยู่ใต้แสงจันทร์บนขั้นบันไดเรือน เรียวคิ้วเข้มทระนงของโชษิตาก็พลันขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ “พี่รดา นั่นพี่หรือคะ?”
เจ้าของชื่อนั้นหันมองมายังทิศทางที่เอ่ยเรียก พอเห็นเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยและมักวนเวียนอยู่ในสติสัมปชัญญะ หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็คลายยิ้มเผล่ออกมาอย่างยินดี “พี่เองค่ะ”
พอเห็นว่าเป็นเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามที่มาถึงแล้วแต่ดันไม่ยอมกลับเข้าห้องของตนเอง โชษิตาจึงก้าวออกจากห้องนอนแล้วเดินเข้ามาสังเกตอากัปกริยาของอีกฝ่ายทันที
“..ทำไมพี่กลับมาคนเดียวล่ะ? แล้วธาวี-”
“คุณธาวียังอยู่ที่งานค่ะ พอดีพี่ออกมาเดินเล่น..” คนผิวขาวตอบพลางยกนิ้วชี้ไปทิศนั้นทิศนี้ “…แต่รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว แหะ”
แม้ลึกๆ จะอยากถามว่าแล้วเพื่อนสาวของหล่อนที่ตัวติดกันอย่างกับกาวนั่นไม่มาด้วยหรือ แต่เพราะเห็นท่าทางแปลกๆ คล้ายพวกคนโซเซและไร้ทิศทางก็ทำให้โชษิตาต้องย่อตัวนั่งลงเพื่อมองคนที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดขั้นบนสุดพร้อมรอยยิ้มที่ดูจะมากเกินผิดปกติไป
“นี่พี่หญิงเมาแล้วใช่ไหม?”
ด้วยความเผลอตัวและความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน ร่างเล็กจึงส่งหลังมือออกไปแตะแก้มขาวที่ขึ้นสีแดงระเรื่อจรดลำคอเพื่อตรวจสอบดูว่าหล่อนไม่ได้เกิดอาการพิษไข้ฉับพลันแต่อย่างไร
ส่วนคนที่นั่งอยู่นั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แม้ว่าการมองเห็นของตนจะไม่ได้ชัดแจ่มแจ้งเช่นปกติก็ตาม ดารารินทร์ยอมรับว่าเป็นเพราะสุราจริงที่ทำให้เธอแสดงอาการแปลกๆ แต่กระนั้นหญิงสาวก็ได้ยินในสิ่งที่ตนเองได้พูดออกไปอย่างชัดเจนพอสมควร
“…ถ้าเมาแล้วน้องโชเป็นห่วง พี่ยอมรับก็ได้ค่ะ”
มองตอบรับกับดวงตาที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เองหรือเปล่าที่ทำให้มันหวานหยาดเยิ้มจนน้ำตาลที่อยู่ใกล้มดยังไร้รสชาติ ทว่าพวงแก้มของคนฟังก็ปรากฏร่องรอยของความร้อนผะผ่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ฟังและรับรู้ถึงความหมายที่อีกฝ่ายจงใจชักนำให้ตกหลุมพราง “ใช่เรื่องที่จะมาพูดแบบนี้ตอนนี้มั้ยคะ”
“ก็ถ้าพูดตอนปกติ เราจะฟังพี่โดยที่ไม่แย้งเลยได้ไหมล่ะ” เจ้าของรอยยิ้มตาหยีนั้นแสดงอาการน้อยอกน้อยใจจนโชษิตาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว ทวงท่าที่แทบแยกไม่ออกว่านี่ใช่พี่สาวของเพื่อนสนิทเธอแน่หรือทำให้หญิงสาวรู้สึกร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออกขึ้นมาเสียจริงๆ
“ค่ะ โชจะไม่แย้งแล้ว พี่รดาอยากจะพูดอะไรโชก็จะฟังเงียบๆ แล้ว”
ดวงตาคู่นั้นของคนแก่กว่าฉายแววชอบใจที่ได้ยิน ก่อนที่มันจะหรี่ลงแล้วเจ้าตัวค่อยใช้มือข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าปลายคางกับชานเรือนอย่างสนเท่ห์
“พี่มีคำถาม”
โชษิตาเลิกคิ้ว “อะไรคะ”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จ้องมองริมฝีปากหยักได้รูปอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถือวิสาสะใช้ปลายนิ้วโป้งสัมผัสปลายคางของอีกฝ่ายแล้วโน้มตัวเข้ามาเล็กน้อยอย่างต้องการพิจารณา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้คนที่อยู่ตรงหน้านั้นตัวเกร็งขึ้นมาอย่างฉับพลันเลยทีเดียว
ทั้งดวงตาเป็นที่เหมือนกับคอยดึงดูด..ไหนจะสันจมูกโด่งที่รับกับริมฝีปากน่ามองนั่นอีก..
“อืม…น้องโชมีแบบนี้กี่เม็ดกันนะ”
ว่าแล้วก็ใช้ปลายนิ้วที่แตะอยู่นั้นลูบวนจุดเม็ดสีเข้มใต้ล่างริมฝีปากของอีกคนราวกับจะค้นหาคำตอบจากมันให้ได้ ส่วนหญิงสาวอีกคนพอรู้สึกตัวแล้วมือทั้งสองข้างก็เผลอตัวผลักอีกฝ่ายออกไปเมื่อพบว่าเธอและหล่อนนั้นอยู่ใกล้กันเกินมากกว่าที่ควร
“โอ้ย”
แม้โชษิตาจะรู้ว่าตัวว่าเธอไม่ได้ลงแรงไปมากขนาดนั้น แต่เธอก็ลืมคิดไปว่าคนเมามักจะเรี่ยวแรงอ่อนลงอยู่เสมอจนน่าตกใจ ทำให้ก้นของคนที่นั่งอยู่บนบันไดชั้นบนสุดร่วงลงพื้นดินชื้นๆ แทนซะได้
“พี่รดา!”ร่างเล็กรีบก้าวเท้าลงไปหาคนที่นั่งลูบหลังตัวเองด้วยสีหน้ามึนงง “เจ็บมั้ยคะ”
ดารารินทร์ก็หลุดหัวเราะแห้งๆ ออกมาในที่สุดขณะที่รู้สึกว่ายังมึนงงไม่หายดี “พี่เซเอง ขั้นบันไดมันเยอะไปหมดเลย”
คนฟังถอนหายใจพลางเหลือบเห็นคราบดินบนท้องแขนและด้านหลังของหล่อนเป็นดวง “เดี๋ยวโชจะไปเอาผ้ากับน้ำมาเช็ดตัวกับล้างหน้าให้ รออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ”
ใช้เวลาไม่นานนัก โชษิตาก็กลับมาพร้อมกับขันใส่น้ำและผ้าสะอาดสีขาวที่พอจะหาได้แล้วนั่งลงตรงหน้าของคนอายุมากกว่าที่ค่อยเริ่มแสดงอาการเจ็บออกมาให้เห็นบนแคร่ เธอมองหล่อนกวักน้ำเปล่าขึ้นล้างใบหน้าขาวราวน้ำนมของตนอย่างไม่กลัวว่าเสื้อผ้าและทรงผมนั้นจะเปียกปอนอย่างไร ระหว่างที่มือของหญิงสาวนั้นก็ถือผ้าสะอาดรอคอยไว้ไม่ให้คนเมาหันไปเอาเสื้อที่สวมใส่อยู่ขึ้นมาเช็ดสุ่มสี่สุ่มห้า
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ผ่อนลมหายใจทางริมฝีปาก “เหมือนจะชัดขึ้นมาหน่อย”
เห็นหยาดน้ำยังคงปะปนอยู่บนใบหน้าและลำคอตามทิศทางของแรงโน้มถ่วง โชษิตาก็ยื่นมือที่ครอบครองผ้าสีขาวอยู่นั้นออกไปหยุดมันเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกเหนอะหนะตัว
ไหนทีมงานว่าคอแข็งนัก..ทำไมวันนี้ถึงอ่อนปวกเปียกขึ้นมาได้
“ปกติเมาแล้วเดินไปไหนมาไหนแบบนี้หรือคะ”
“แหะ ไม่รู้สิ”
คนมึนเมา..จะไปรู้สึกตัวได้อย่างไร..เนอะ
โชษิตาฟังคำตอบแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรอีก หล่อนลงมือเช็ดลำคอและใบหน้าที่ยังชื้นอยู่อย่างเบามือ แล้วค่อยนำผ้าที่ถูกบิดใหม่แล้วนั้นทำความสะอาดแขนของหญิงสาวที่ทำลายความเงียบลงด้วยการจับจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวที่ต้องสะท้อนแสงจันทร์ในความมืด
…แล้วดวงตาของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ค่อยโค้งลงอย่างเป็นสุข
ราวกับว่าเนิ่นนานนักกว่าที่เศษดินเศษทรายจะออกจากกายของเธอจนหมด คนตัวเล็กถึงได้เคลื่อนสายตาขึ้นมามองกันแล้วเอ่ยถามถึงสาเหตุเสียที
“มองทำไมคะ”
“เปล่าค่ะ”
โชษิตาคล้ายจะมองเห็นสิ่งที่ซ่อนในดวงตาหยีที่เปล่งประกายแวววับ หัวใจของเธอที่เต้นไม่เป็นจังหวะอยู่แล้วก็สั่นไหวเสียจนเกือบเก็บอาการบนใบหน้าเอาไว้ไม่ได้ จึงได้รีบออกแรงดันไหล่คนที่นั่งหน้าชื้นหน้าเปียกอยู่ตรงหน้าให้ไปอาบน้ำเสียที
“หลังเสื้อพี่เปื้อนหมดแล้ว รีบไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ”
พอได้กลั่นแกล้งสมใจแล้ว หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็อมยิ้มพลางมองคนอายุน้อยกว่ารีบเก็บขันอุปกรณ์ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยได้พบเจอ ก่อนจะเตรียมกายลุกขึ้นยืนขึ้นเต็มความสูงอีกครั้ง
กรอบ
“โอ้ย-..”
โชษิตาเคลื่อนสายตามองคนที่ยังไม่ทันได้ยกร่างขึ้นจากที่นั่งทันทีที่ได้ยินเสียงโอดครวญ “เป็นอะไรไปคะ?”
“คือ…พี่ว่าเสียงลั่นๆ เมื่อกี้มาจากหลังพี่นะ”
ร่างเล็กขมวดคิ้วเตรียมจะตำหนิ “ลูกเล่นเดิมใช้กับโชไม่ได้ผลหรอกนะคะพี่รดา”
ทว่าคราวนี้เจ้าตัวกลับส่ายหน้าแล้วเอ่ยปากปฏิเสธ หากไม่เกรงใจว่าคนอายุมากกว่ากำลังแกล้งเธอก็คงจะมองว่าสีหน้าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้มันตลกขบขันเสียจริง “แต่คราวนี้พี่ไม่ได้จะแกล้งนะ”
โชษิตานิ่งอึ้งเมื่อได้ฟัง แล้วค่อยหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้จนเห็นดวงตาขุ่นเคืองระคนน้อยอกน้อยใจ ก็เลยจำต้องเข้าไปพยุงหล่อนด้วยการเอาแขนโอบรอบคอแล้วพาเดินขึ้นไปส่งจนถึงห้องนอน
..โดยที่ไม่รู้ว่าได้มีดวงตาคู่หนึ่งนั้นจับจ้องมองอยู่เบื้องล่างด้วยความริษยาอยู่เลย
เช้าวันต่อมากว่าหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จะปลีกตัวจากไร่มนธามายังตัวเมืองได้ก็ปาเข้าไปยามสายเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ๆ มนต์นภาก็นึกรั้งตัวเธอไว้กว่าทุกวันทั้งที่ชวนให้มาด้วยกันก็ไม่ยอม แต่ออกปากเป็นเชิงคำสั่งว่าช่วงเย็นที่เริ่มมีการแสดงสนุกๆ นั้นจะไม่ยอมให้เธอห่างไปไหนไกล อาจจะเพราะหล่อนไม่ถูกกับบรรดากลิ่นสาปสัตว์และพืชไร่พืชสวนกระมัง ดารารินทร์จึงได้มายังสถานที่จัดงานพร้อมกับหญิงสาวผู้เป็นบุตรีของเจ้าของไร่และเมธาวีแทน
ส่วนคนตัวเล็กที่เฝ้านึกถึงตั้งแต่ตื่นนอนนั้นมาพร้อมกับทีมงานอีกกลุ่มหนึ่งตั้งแต่รุ่งสาง คิดมาถึงตรงนี้ดารารินทร์ก็ให้โทษตัวเองในใจนัก เพราะไม่อย่างนั้นระหว่างที่คอยช่วยคนอื่นจัดแจงซุ้มประจำไร่มนธานี้ เธอก็คงจะได้มีโอกาสใกล้ชิดหล่อนเช่นทุกวันบ้าง
งานเก็บเกี่ยวของชาวไร่ชาวสวนมีขนาดปานกลาง ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าเท่ากับงานวัดในตัวพระนครที่มักจะเคยเห็นเป็นประจำ แต่ความสงบและเรียบง่ายของคนต่างจังหวัดนั้น ดารารินทร์ยังต้องคิดว่านานแค่ไหนแล้วที่ตัวเธอไม่ได้พบกับสิ่งเรียบง่ายและสงบสุขเช่นนี้
คงเพราะยังเป็นตอนกลางวัน แสงสีและผู้คนก็เลยไม่สู้กับยามที่เที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่วในพระนคร กระนั้นหญิงสาวก็นับว่ามันเป็นเสน่ห์ที่น่าพิศวงอย่างหนึ่งจริงๆ
“คุณรดา ดูนี่สิคะ ลูกใหญ่มากเลย”หญิงสาวตัวเล็กอีกคนที่อาสา ‘เต็มใจ’ พาเธอเดินชมซุ้มต่างๆ ที่เต็มไปด้วยผลหมากรากไม้ซึ่งล้วนแล้วแต่คัดสรรมาเป็นพิเศษสำหรับคณะกรรมการ แม้ความกระอักกระอ่วนใจที่มีต่อหล่อนจะเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย แต่ดารารินทร์ก็คอยปั้นสีหน้ายินดีและเป็นมิตรต่อผู้มีน้ำใจเสมอ
“ค่ะ ในพระนครยังหาแบบนี้ได้ยาก”
ได้ฟังแล้วหญิงสาวก็ยิ้มชอบใจมีความสุข แม้จะไม่ได้เกิดจากการที่หล่อนตอบรับ แต่เพราะเป็นความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันขึ้นมาอีกเล็กน้อยต่างหาก
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์มองคนข้างๆ เอ่ยทักทายชาวบ้านคนอื่นๆ รวมถึงคอยแนะนำจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละที่ จนกระทั่งหยุดที่หน้าร้านที่นำผลไม้ประเภทมีหนามออกมาแข่งขันเพราะหญิงสาวข้างๆ ต้องการรับรู้ข้อมูลที่ตนเองสนใจ เมื่อมีเวลาได้พักหายใจหายคอกับตัวเอง ดารารินทร์ก็หันกลับไปมองยังทิศทางที่เพิ่งจะเดินวนผ่านมาอีกรอบตามที่ใจต้องการ
ที่ซุ้มไม่ไกลมากนักเป็นของไร่มนธาที่นำเครื่องดื่มรสเลิศกับผลไม้ที่เลือกมาเป็นพิเศษสำหรับกรรมการ มีร่างของหญิงสาวร่างเล็กกับชายหนุ่มยืนคอยแนะนำเกี่ยวกับไร่ของตนเองอยู่
วันนี้คนตัวเล็กสวมเสื้อแขนกุดลายดอกกับกระโปรงที่มีสีเข้ากัน ดวงหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสดใสทุกครั้งยามที่มีชาวบ้านชาวช่องเข้ามาไถ่ถามเกี่ยวกับผลผลิตที่ถูกคัดสรรออกมาแล้ว หล่อนดูสนุกกับการสนทนากับคนแปลกหน้าต่างจากผู้หญิงทั่วไปนัก อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ดารารินทร์ไม่ค่อยได้สนใจวงการบันเทิงเช่นคนอื่นก็คงเพราะความถือตัวของเหล่านักแสดงกระมัง แม้บางจำพวกจะเคยเป็นคนธรรมดามาก่อนเหมือนโชษิตา แต่ส่วนมากก็มักจะหลงลืมกำพืดของตนเองเมื่อได้รับการปฏิบัติตัวที่แตกต่างออกไป
เจ้าหล่อนอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่ากำลังพุ่งสูง แน่นอนว่าชื่อเสียงนั้นดึงดูดผู้คนและเงินทอง แต่ในหลายๆ ครั้งที่หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์รู้สึกได้ ทำให้รู้ว่าเสือน้อยของเธอนั้นเป็นคนที่แตกต่างออกไปจริงๆ
ครั้นกำลังผลิยิ้มกับสิ่งที่คิดถึงอยู่นั้น เสียงหลุดร้องอย่างตกใจเบาๆ ก็ทำให้เธอต้องหันไปมองคนที่พูดคุยกับเจ้าของซุ้มอยู่เมื่อครู่ ทันทีที่เห็นหยดเลือดสีแดงจากปลายนิ้วซึ่งเพิ่งผละจากด้ามมีดทำให้ดารารินทร์รู้สึกตกใจไม่น้อย
“คุณยิ้ม เป็นอะไรไหมคะ?”
เจ้าของปลายนิ้วที่เธอสัมผัสอยู่มีสีหน้าเหยเกอย่างเห็นได้ชัด “เลือดออกนิดหน่อยน่ะค่ะ”
เห็นดังนั้นแล้วดารารินทร์จึงไม่รอคอยที่จะคิดล้างแผลให้เจ้าหล่อนตามนิสัย “ฉันว่าเราไปล้างแล้วก็ทำแผลกันก่อนเถอะค่ะ”
แน่นอนว่าระยะทางที่ไม่ห่างไกลกันมากทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงซุ้มไร่มนธามองเห็นได้เป็นระยะ แม้สีหน้าจะไม่ได้บ่งบอกอะไรมากยามที่เห็นคนผิวขาวคว้ามือที่เป็นแผลของหญิงสาวอีกคนให้เดินตามไป แต่หากมีผู้ใดสังเกตดีๆ ก็คงจะตีความหมายของประกายดวงตาที่หม่นหมองลงไปได้แน่
เมื่อไหร่หล่อนจะรู้ตัวเสียที? ว่าการทำอะไรที่เกินหน้าที่ของตนเองมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย…
ผ่านไปพักใหญ่หลังจากที่ทำแผลให้ลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านได้เสร็จสรรพและเป็นเธอเองที่ขอปลีกตัวออกมาหาทั้งเครื่องดื่มและอาหารเพื่อต้อนรับยามเมื่อเที่ยงของวันนั้นมาถึง เพราะอยากจะทดแทนเวลาช่วงเช้าที่ขาดหายไปกับเจ้าเสือน้อย หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ผู้ถือถุงน้ำอัดลมและขนมขบเคี้ยวยามว่างมาด้วยอย่างละสองก็เดินเท้ามาถึงหน้าซุ้มไร่มนธาพร้อมรอยยิ้มเมื่อพบหน้าของหญิงสาว
“พี่ซื้อน้ำกับขนมมาให้ค่ะ”
ทว่าหล่อนกลับโบกพัดในมือพลางชายตามองกันเพียงเล็กน้อยและพยักพเยิดไปทางเก้าอี้ตัวข้างๆ ด้วยท่าทางเรียบง่ายจนไม่ได้ดูผิดสังเกต “วางไว้ตรงโต๊ะนั้นแล้วกันนะคะ”
รอยยิ้มยินดีของเธอค่อยเลือนหายและแทนด้วยความสงสัย “ไม่กินตอนนี้มันจะหายอร่อยเอานะคะ”
“พอดีโชยังไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ ขอบคุณพี่รดาที่เป็นห่วง”
น้ำเสียงที่ไม่ได้บ่งบอกทั้งความยินดียินร้ายทำให้หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์พูดอะไรต่อไม่ออก นอกจากค่อยๆ วางของที่ตั้งใจนำมาให้ไว้ตรงจุดที่อีกฝ่ายว่า
“คุณโช ผมเห็นว่าผลไม้ของไร่นั้นน่าทานดี ก็เลยอยากเอามาให้คุณโชลองดูเสียหน่อยน่ะครับ” ร่างของชายหนุ่มที่เมื่อครู่ไม่ได้อยู่แถวนี้ปรากฏตัวขึ้นราวกับตั้งใจไว้อยู่ก่อนแล้ว เขาเดินเข้ามาพร้อมกับถุงผลไม้จิ้มเกลือหลากหลายชนิด แม้ใจหนึ่งจะแอบคิดว่าถ้าหากขนมของเธอยังทำให้โชษิตาสนใจไม่ได้ แล้วผลไม้น่ากินของเขาจะไม่กลายเป็นหมาหัวเน่าหรอกหรือ
ทว่าคำตอบของหญิงสาวดันกลับตาลปัตรเสียนี่
“กำลังหิวพอดีเลยค่ะ”
ทั้งสีหน้าที่คลายยิ้มอย่างขอบคุณและสองมือที่รีบยื่นออกไปรับไว้ทำให้ดวงตาที่ฉายแววสงสัยของดารารินทร์ชะงักค้าง หลายอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกันมาทำให้หญิงสาวรู้ว่าหล่อนไม่ใช่คนไร้เหตุผลพร่ำเพรื่อหรืออารมณ์แปรปรวนจนตามไม่ทัน แต่บรรยากาศที่คุ้นเคยนี้ทำให้เธอรู้สึกย้อนความไปเหมือนวันก่อนหน้าที่ช่วยเหลือหล่อนำไว้ไม่ให้ร่วงลงมาจากหลังของฝูงควายเลย
แต่ว่าคราวนี้…ดารารินทร์ทำอะไรผิดไปอีกล่ะหนอ
ท้องฟ้าผลิกกายเป็นสีดำมืดเมื่อเวลาผ่านไป แล้วจึงถูกแทนที่ด้วยบรรดาแผงไฟหลากสีที่บ่งบอกถึงความสนุกได้เริ่มต้นขึ้นมาแล้ว เพราะงานจัดอยู่ในตัวเมือง เวลานี้จึงมีบรรดาผู้คนแวะเวียนมาเล่นสนุกกับบรรดางานรื่นเริง ทั้งหนังกลางแปลง ซุ้มสาวน้อยตกน้ำและเวทีเต้นรำกันไม่ขาดสาย ชาวไร่ชาวสวนที่อยู่ประจำซุ้มกันตั้งแต่เช้าบางคนก็ได้เวลาปลีกตัวออกมาเที่ยวเล่นเอาสนุก เช่นเดียวกันกับกลุ่มของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่แยกออกเป็นสามคู่ แล้วพากันกระเตงไปเที่ยวเล่นตั้งแต่ซุ้มสอยดาวจรดจับฉลากของรางวัล
และแม้จะมีผู้คนอยู่โดยรอบ มนต์นภากับเมธาวีที่ขนาบข้างตัวเธอไว้ก็ยังไม่แคล้วที่จะลับฝีปากกัน
“ไม่เห็นจะสนุกเลยสักนิด” หล่อนกล่าวเช่นนี้นับตั้งแต่ที่มาถึง สำหรับดารารินทร์ที่ฟังคำนี้มาบ่อยครั้งจนเลิกสนใจไปเองแล้วไม่อาจจะทำให้เธอถอนสายตาออกจากร่างของคนตัวเล็กที่อยู่ถัดไปจากชายหนุ่มได้
“เรื่องมากนักแล้วจะมาทำไม”
จับแขนเพื่อนชายเป็นการปรามอย่างขอไปทีเมื่อได้ยินบทสนทนา บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงเฮฮาโดยรอบดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้โชษิตารู้สึกสนุกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ในคราวแรก จริงอยู่ที่มีชายหนุ่มอย่างลูกชายของผู้ใหญ่บ้านคอยถามว่าอยากได้นั่นได้นี่จากซุ้มของเล่นบ้างหรือเปล่า แต่หญิงสาวก็พยายามหลีกเลี่ยงการสบตากับเจ้าของดวงตาที่ไม่รู้ว่าจะมองกันไปถึงเมื่อไหร่ให้มากที่สุด จนพวกเธอมาหยุดอยู่ที่ร้านไอติมหลอดหลากสีนั่นแหละ โชษิตาถึงได้ละความสนใจจากคนที่อยู่อีกฝากหนึ่งได้บ้าง
“คุณรดาอยากทานรสไหนไหมคะ เดี๋ยวยิ้มสั่งให้เอง” เจ้าของเสียงที่เงียบหายไปพักใหญ่เพราะการมาถึงของแม่สาวชาวกรุง ดารารินทร์ส่งยิ้มที่แฝงความเห็นอกเห็นใจให้อีกฝ่ายก่อนจะยอมให้เจ้าตัวจัดการตามใจชอบ
ณ มุมหนึ่งของงานที่กำลังจัดขึ้นอย่างรื่นเริง ชายผู้หนึ่งในชุดซอมซ่อมองไปรอบๆ เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสม เขาสบตาเข้ากับชายในชุดชาวไร่ชาวสวนผู้หนึ่งที่กำลังเดินสวนทางมา แล้วจึงผงกศีรษะแผ่วเบาให้กันอย่างรู้ความ…
ในระหว่างที่กำลังให้ของหวานตรงหน้าได้เตรียมความพร้อมให้รอรับประทาน ความรู้สึกคล้ายกับมีบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้ทำให้โชษิตารู้สึกไม่ดีนัก กระทั่งถูกมือขาวมือหนึ่งคว้าหมับเข้าที่แขนของตัวเองแล้วกึ่งลากกึ่งเดินให้ไปยังเส้นทางอื่นโดยไม่แม้แต่จะให้โอกาสเปิดปากปฏิเสธเลย…
ออกห่างจากจุดเดิมมาจนเกือบถึงลานกว้างที่เป็นที่ตั้งของบรรดาชิงช้าสวรรค์ขนาดกลางที่ประกอบขึ้นจากเหล่าไม้ไผ่ให้แน่นขนัด เก้าอี้ที่ทำจากวัสดุที่ให้ความรู้สึกแข็งแรงอย่างครึ่งๆ กลางๆ เป็นจุดเด่นที่ทำให้ใครหลายคนอยากจะลองขึ้นนั่งมันดูสักครั้งหนึ่ง แต่โชษิตาที่ถูกกึ่งลากกึ่งเดินอยู่ ณ เวลานี้ ไม่ได้มีความคิดที่อยากจะขึ้นนั่งมันเลยแม้แต่น้อย
“พี่รดา ปล่อยโชนะคะ” เธอบอกคนที่กอบกุมมือข้างหนึ่งของตนเองเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้นเล็กน้อย เพราะตัวอีกฝ่ายก็ไม่ได้สูงใหญ่ไปมากกว่าเธอแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมเรี่ยวแรงในการพยายามให้หลุดจากการเกาะกุมนี้ถึงได้ยากเย็นนัก
“เชิญเลยจ้า”
ผู้คมชิงช้าสวรรค์เอ่ยปากต้อนรับหญิงสาวอีกสองคนด้วยท่าทางเป็นมิตรและยินดี ทั้งยังเปิดและปิดไม้กั้นป้องกันความปลอดภัยอีกชั้นไว้ให้อย่างเพรียบพร้อมราวกับคนอายุมากกว่าได้ไปซื้อตัวเขาเอาไว้แล้ว
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ขยับไปกระซิบบอกคนที่มีสีหน้าไม่พอใจและยังพยายามจะแกะมือของเธอออกจากกายตน “นั่งดีๆ สิคะ ถ้าที่กั้นมันหลุดเราจะแย่เอานะ”
เพราะที่นั่งของชิงช้าสวรรค์เป็นแบบเปิด จะถามหาหลังคาหรือพื้นให้เท้าสัมผัสก็ไม่ได้ แม้ใจหนึ่งของโชษิตาก็หวั่นๆ แต่ก็เพราะมือที่กอบกุมเอาไว้นั่นด้วยที่ทำให้หญิงสาวกล้าพอที่จะหันมามองหล่อนด้วยสายตาตำหนิติเตียน
“ทำไมทำแบบนี้คะ โชไม่ชอบรู้มั้ย”
“ค่ะ รู้ แต่ถ้าพี่ไม่ทำ เราก็คงจะต้องเมินพี่ไปจนหมดวันแน่ๆ” หญิงสาวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง แค่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้น..ในใจของดารารินทร์ก็อยู่ไม่สุขเสียแล้วจริงๆ
ความไม่พอใจทั้งหลายที่พร้อมจะก่อตัวขึ้นพลันมลายหายอย่างไม่มีสาเหตุ โชษิตาไม่อาจมองดวงหน้าที่ติดหยอกล้อทว่าดวงตากลับไม่อาจปกปิดความจริงจังได้เพียงนิด จึงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้มัน แล้วค่อยกล่าวออกมาเสียงเบา “ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย”
และเพราะระยะห่างที่ไม่ได้มีอยู่มากมายนัก ไฉนเลยจะพ้นการได้ยินของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ไปได้ “ถ้าอารมณ์ดีแล้ว ก็ถือเสียว่าเรามานั่งชมวิวสวยๆ ด้วยกันสองคนอย่างไรเล่า”
เครื่องเล่นไม้ไผ่ค่อยเคลื่อนตัวขึ้นช้าๆ ตามเข็มนาฬิกาและหยุดเป็นระยะ ไม่รู้ว่าเพราะเวลาที่พอเหมาะพอเจาะเกินไปหรือเปล่า จุดชมวิวขั้นบนสุด ก็กลายเป็นเก้าอี้ของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ไปซะได้
“มีอะไรติดหน้าโชอยู่หรือยังไงคะ” หญิงสาวหันไปถามคนข้างกายหลังจากเกิดความเงียบไปได้สักพักใหญ่แล้วเจ้าตัวก็หาได้สนใจท้องฟ้าที่อยู่ด้านบนเช่นเธอหรือคนอื่นๆ ไม่
คนถูกทักท้วงยกยิ้ม “พี่แค่มองวิวเฉยๆ เอง”
“ไม่มองข้างบนแล้วจะเห็นอะไรล่ะคะ”
“เห็นสิคะ” หล่อนว่าพลางไม่ถอนสายตาไปไหน “ก็ที่พี่เห็นอยู่นี้ สวยกว่าด้วยซ้ำ”
อีกแล้วสินะคุณหญิงรดา…
“…”
สมองของโชษิตากลั่นออกมาได้เพียงคำๆ นั้นอย่างเสียไม่ได้ เธอรู้หรอกว่าสิ่งที่หล่อนทำอยู่ทุกวันมันมีจุดประสงค์อะไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคำหรือการกระทำที่หล่อนตั้งใจส่งมานั้นมีผลกระทบต่อจิตใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งนานวันที่เธอยิ่งเกิดความสองจิตสองใจ ก็คล้ายกับว่าหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์นั้นจะยิ่งแทรกซึมผ่านกำแพงที่ตั้งไว้เป็นส่วนตัวมากขึ้นทุกขณะเลยทีเดียว
“ว่ากันว่าผู้หญิงนั้นยิ่งกำแพงสูงยิ่งน่าค้นหา พี่รดามีเพื่อนเป็นผู้ชายเยอะ คิดเห็นอย่างไรบ้างหรือคะ”
“โบราณว่าหญิงผู้รักนวลสงวนตัวนั้นมีคุณค่าเสียยิ่งกว่าทอง ไม่แปลกหากพวกผู้ชายจะคิดว่าจะขอลองเสี่ยงดูสักครั้ง” หญิงสาวผิวขาวเลิกคิ้วมองเจ้าของคำถามอย่างนึกสนใจ “น้องโชถามทำไมหรือ”
“แค่ถามเป็นความรู้ค่ะ” หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าหางเสียงและดวงตาที่เคลื่อนหนีไปด้านหน้านั้นออกจะบ่งบอกความรู้สึกไม่พอใจอยู่ “จะได้จำเอาไว้ว่าความอยากเอาชนะ มันไม่ใช่ความรัก”
ราวกับจะเข้าใจความหมายในสิ่งที่คนอ่อนกว่าต้องการจะสื่อ ดวงตาที่ต้องสะท้อนของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เป็นประกายนั้นฉายแววลึกล้ำระหว่างที่ค้นหานัยยะที่ถูกต้องจากคนข้างกาย
“พี่ก็พอรู้ว่าสิ่งที่เราได้ยินมาคงทำให้เราคิดว่าคนอย่างพี่ไม่ได้น่าคบหา..แต่พี่กล้าพูดได้เต็มปาก..ว่าพี่ไม่ได้กำลังพยายามเพื่อจะเอาชนะใคร”
มือที่ถูกกอบกุมอยู่ตั้งแต่แรกนั้นคล้ายกับจะแนบแน่นขึ้นกว่าเก่า หลังฝ่ามือของโชษิตาเกิดความอุ่นร้อนตามจังหวะที่ปลายนิ้วขาวนั่นปลอบประโลม “พี่แค่อยากให้เรารู้ว่าที่พี่ทำอยู่นี้ เป็นความจริงใจของพี่ทั้งนั้น….”
“…และพี่ไม่ได้กำลังขอโอกาสจากน้องโช…แต่พี่อยากให้เรามองเห็นมันด้วยตัวของเราเอง”
“…”
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์จ้องมองหญิงสาวตรงหน้า “มองในฐานะผู้หญิงธรรมดา ที่ตั้งใจมอบความรู้สึกให้กับผู้หญิงอีกคนก็พอ”
คนอ่อนกว่ามีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายเกินกว่าที่จะรู้ตัว โชษิตาผ่านบทบาทที่เป็นฝ่ายร้องขอและถูกอ้อนวอนเรื่องความรักมาไม่น้อยในอาชีพของตนเอง หรือแม้กระทั่งคำพูดมากมายของเหล่าบรรดาคนที่คิดว่าชื่อเสียงของเธอนั้นหอมหวาน ที่ผ่านมาก็คล้ายกับพูดจากับกำแพง ไม่มีสักครั้งเลยที่หญิงสาวจะรู้สึกหวั่นไหวไปกับมัน…
แต่เมื่อมันออกจากปากของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์..บุคคลที่เธอเคยคิดว่าคงไม่มีทางได้เข้ามาอยู่ในวงจรชีวิตของตน ดวงใจกลับสั่นไหวเสียจนราวกับว่าที่ผ่านมาเธอนั้นไม่เคยเป็นเจ้าชีวิตของมันมาก่อน
หากไม่ใช่เพราะเธอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน..ก็คงเพราะหล่อนนั้นเป็นบุคคลอันตรายที่สุดเท่าที่โชษิตาเคยพบเจอมาแล้วนั่นแหละ..
ดวงตาของคนฟังทอประกายแวววับ แม้ใบหน้าจะปกปิดความรู้สึกไว้แทบไม่อยู่ กระนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้อยากให้คนเจ้าคารมได้ใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงเก็บมือที่ถูกกอบกุมอยู่คืนมาไว้กับตัวแล้วกล่าววาจาเป็นเชิงข่มขู่เอาไว้เสียก่อน
“โชไม่ใช่คนที่หลงเชื่อแค่คำพูดของคนหรอกนะคะ”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาคล้ายกำลังเอ็นดูเด็กตัวน้อยๆ ออกจากลำคอขาวของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ เธอค่อยหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านหน้าแล้วบรรจงวางมันลงบนหลังใบหูของเจ้าเสือน้อย ดอกไม้สีขาวช่อเล็กส่งกลิ่นหอมในทันทีที่มันแนบอยู่กับบรรดาเส้นผมนุ่มสีเข้มอย่างนั้น ดอกกาหลงที่พบเจอระหว่างเดินทางในวันนี้ นับว่าเป็นดอกไม้นำโชคสำหรับตัวเธอเสียแล้ว
“งั้นพี่ก็หวังเพียงว่า..หลังจากนี้น้องโชจะใช้เวลาซึมซับความหมายของมันนะคะ”
ท่ามกลางผู้คนที่เริ่มหันไปสนใจการแสดงบนเวทีมากกว่าซุ้มความบันเทิงต่างๆ ร่างของหญิงสาวผู้ทรงเสน่ห์ภายใต้เดรสเข้ารูปสีฉูดฉาดหยุดเดินอยู่ท่ามกลางเส้นทางนั้นด้วยแววตาขุ่นเคืองและกระวนกระวายใจ จนกระทั่งมองเห็นร่างของคนคุ้นเคยมาจากทิศทางของชิงช้าสวรรค์ คนที่เธอเดินตามหาเจ้าตัวจะเป็นจะตายเพราะอยู่ๆ ก็ถูกทิ้งไว้กับพวกไม่เข้าตาเข้าหู กลับเดินมายังทิศทางนี้พร้อมจับมือถือแขนกับนักแสดง ‘ดาวรุ่ง’ ผู้อ่อนกว่าด้วยความสนิทสนม พลันนั้นเท้าก็เริ่มออกเดินอีกครั้งพร้อมด้วยความความขุ่นเคืองที่ยิ่งทวีมากขึ้นทุกก้าวเดิน
ผู้ที่สังเกตเห็นก่อนใครนั้นเป็นคุณหญิงดารารินทร์ เมื่อมองเห็นว่ามนต์นภากำลังก้าวเข้ามาด้วยแววตาที่บ่งบอกอารมณ์เป็นที่สุด เธอก็รีบหยุดเดินแล้วเอาตัวบังกายอีกคนไว้ก่อนที่หล่อนจะเข้ามาถึงตัว “พี่มนจะทำอะไรหรือคะ?”
“ทำอะไรหรือคะ? พี่ต้องเป็นคนถามเองหรือเปล่าว่าน้องรดากำลังทำอะไรอยู่” มนต์นภากล่าวตอบคนที่เข้ามาขวางหน้าด้วยแววตาขุ่นเคืองระคนเจ็บใจ ก่อนจะสาดความชิงชังที่มีไปยังคนที่อยู่ด้านหลังของดารารินทร์ “นังเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
ด้วยเพราะความโกรธเคืองที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างเท่าทวี และหญิงสาวก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่สามารถควบคุมอารมณ์ขุ่นเคืองของตนเองได้ในยามปกติอยู่แล้ว ทุกสายตาโดยรอบจึงหันมาให้ความสนใจแก่ทั้งสามคนไปโดยปริยาย
รวมถึงบุคคลอีกสามคนที่ได้หายไปก่อนหน้านี้เพราะกำลังตามหาคนทั้งสอง ยิ้มมองเห็นฝ่ามือของหญิงสาวผิวขาวที่กอบกุมคนข้างหลังเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง..เพียงเท่านั้น ร่างบางก็พลันเข้าใจทุกอย่างแล้ว
“พูดว่าอะไรนะ?”
เป็นเพราะอารมณ์ที่กำลังพรั่งพรูของตนเอง…มนต์นภาจึงไม่ทันได้สังเกตถึงแววตาที่เคยแสดงความใจดีของคนตรงหน้านั้นที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย..
“รู้ทั้งรู้ว่าเด็กนี่เพิ่งจะไต่เต้าขึ้นมาได้ไม่เท่าไหร่ ไม่คิดบ้างหรือว่าหล่อนก็หวังที่จะใช้น้องรดาเพื่อให้ตัวเองอยู่สูงมากกว่านี้เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ นั่นแหละ” หล่อนยังคงว่า “ทำไมต้องเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับเด็กไม่มีมารยาทแบบนี้ด้วย”
ร่างเล็กที่ฟังอยู่ก็เริ่มรู้สึกว่าหญิงสาวเริ่มจะล้ำเส้นมากเกินไป ให้หล่อนด่าเธอเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ว่าอะไรนักนอกจากให้เต้นเป็นริ้วๆ อยู่อย่างนี้ แต่ในเมื่อหล่อนลามปามไปถึงผู้ที่เป็นถึงหม่อมราชวงศ์ โชษิตาถึงรู้สึกว่าเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว
หมับ
ทว่าทันทีที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปโต้แย้ง ก็คล้ายกับว่ามือของเจ้าของแผ่นหลังนี้นั้นจะแนบแน่นมากขึ้นอีกครั้ง
“แล้วทำไมถึงจะทำไม่ได้?”
กว่าจะรับรู้ถึงสายตาที่มองมา มนต์นภาก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไป “ก็น้องรดาคบอยู่กับ-”
“ที่ห่างหายไปก่อนหน้านี้ ยังเป็นคำตอบให้หล่อนไม่ได้อีกหรือ คุณมนต์นภา” หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่หนักไม่เบาถึงความนัย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความกระทบกระทั่งไม่ได้ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นกัน “ใครกันแน่ที่ตามติดไม่ห่าง ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสิทธิอะไรในตัวของฉันแล้วแท้ๆ”
ผู้คนทั่วบริเวณต่างจ้องมองบทสนทนานั้นอย่างสนอกสนใจ บ้างก็คิดวิเคราะห์ว่าหัวข้อประเภทใดกันหนอที่ทำให้หญิงสาวทั้งสามคนออกมาโต้เถียง บ้างก็อึ้งตกตะลึงกับคำกล่าวที่ค่อนข้างจะแสบสันแก่ผู้ฟังไม่ใช่น้อย
“ส่วนคำว่าไม่มีมารยาทนั้น ฉันว่าหล่อนเก็บไปคิดเอาเองดีกว่าว่าควรใช้กับใครมากกว่ากัน”
โชษิตามองคนที่อยู่ด้านหน้าด้วยแววตาตกตะลึง จริงอยู่ที่ความลังเลในใจส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากการกระทำของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่มีต่อบรรดาดอกไม้ของเจ้าตัว แต่หญิงสาวนั้นก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่า..บทที่เจ้าหล่อนจะทำมัน..ก็ทำได้ใจร้ายใจดำเสียจริงๆ
มนต์นภาคล้ายกับสูญเสียสติที่มีอยู่ หล่อนจ้องมองเจ้าของดวงตามีเสน่ห์คู่นั้นวาวโรจน์ด้วยความตื่นตระหนกระคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน
ในระหว่างที่กำลังเกิดความตึงเครียดไปทั่วบริเวณ ร่างของชายผู้หนึ่งก็พุ่งเข้ามาโอบรัดร่างของหล่อนเอาไว้เป็นตัวประกันในทันที!
“ว้าย!”
การบุกรุกกะทันหันทำให้ไม่มีใครในที่นั้นได้ตั้งตัว ดารารินทร์พาหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังถอยออกไปหลายก้าว เมื่อเห็นว่าในมือของชายผู้แต่งกายซอมซ่อคนนี้มีมีดใบแหลมอยู่ใกล้ใบหน้าของมนต์นภาอยู่
“ถ้าไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้มีแผลบนหน้า ก็อยู่เฉยๆ กันให้หมด”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเหี้ยมพร้อมกับแววตาเอาจริงเอาจัง ระหว่างนั้นก็มีเสียงร้องออกมาอย่างตกใจอีกหนในกลุ่มฝูงชนโดยรอบ ผู้คนอีกสองสามคนถูกจับให้นั่งคุกเข่าโดยที่มีปืนกระบอกดำจ่ออยู่ด้านหลัง และหนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มเจ้าของไร่มนธาผู้นั้นเอง
“เฮ้ย มีคนถูกจับเป็นตัวประกัน!”
“นี่มันอะไร-”
ปัง!
สิ้นเสียงดังลั่นและตามด้วยลมหายใจที่หวีดร้องออกมาอย่างตกอกตกใจกันทั่วหน้า ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งในท่วงท่ามีเสน่ห์และมั่นอกมั่นใจเกินกว่าจะเป็นเจ้าของเสียงปืนที่ยิงขึ้นฟ้านั่น เขาสวมหมวกและเสื้อผ้าแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็บ่งบอกได้ว่ามันไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษมาเป็นเวลานาน มือหนึ่งของเขายังคงถืออาวุธสีดำสนิทที่เพิ่งส่งเสียงไปเมื่อครู่ และดวงตาคู่นั้นก็ฉายแววสนุกสนานแต่แฝงไปด้วยความเย็นชาตามชื่อเสียงเรียงนามของตน
“ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ” เขากล่าวขณะออกมายืนอยู่ข้างชายหนุ่มที่ล็อคตัวของมนต์นภาไว้ “อย่าได้กังวลไปเลย”
ชาวบ้านผู้นั่งย่อตัวลงเนื่องจากเสียงปืนที่ดังขึ้นคล้ายกับจะจดจำบางสิ่งบนใบหน้านั่นได้ “ส…เสือโจม”
แม้จะยังดูหนุ่มแน่น แต่ใบหน้ากลับมีรอยแผลตั้งแต่ริมฝีปากยาวจนเกือบถึงดวงตา เอกลักษณ์ที่โดดเด่นขนาดนี้ ไฉนเลยจะไม่ใช่เสือโจมผู้นำการปล้นครั้งใหญ่ที่ตำรวจต้องการ!
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าด้วยสติสัมปชัญญะขณะย่อตัวลงตามคนอื่นๆ ระหว่างที่สองมือกำลังใช้มันปกป้องร่างเล็กของหญิงสาวที่แม้จะมีท่าทางตื่นกลัวแต่ก็ยังคงมีสติดีอยู่
เสือโจมก้าวเท้าไปมาคล้ายกับคนที่กุมชัยชนะ ในเมื่อโดยรอบมีชาวบ้านถูกจับเป็นตัวประกัน ย่อมไม่มีใครกล้าผลีผลามเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน “ข้าขอให้ทุกคนเพียงแค่ส่งของมีค่าที่อยู่กับตัวออกมาไว้ข้างหน้า สัญญาว่าเอ็งทุกคนจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย”
“อยากได้อะไรก็จะให้ ปล่อยฉันสิ ไม่รู้หรือว่าฉันเป็นใคร!” กลับกันแล้วกับมนต์นภาที่ยังคงพูดจาดูถูกดูแคลน ราวกับสตินึกคิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนนั้นจะไม่หลงเหลืออยู่แต่อย่างใด
ชายที่ถือมีดรัดคอเจ้าหล่อนอยู่กล่าวเสียงเหี้ยมในทันที “เงียบปาก”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกคุณผู้หญิง แค่ให้คนของข้าใช้เวลาเก็บของสักหน่อย…” เสือโจมเดินเข้ามากล่าวกับหล่อน “..หรือถ้าอยากไปด้วยกันข้าก็ยังจะพอมีพื้นที่ว่างให้ผู้หญิงสวยๆ สักคนอยู่ล่ะนะ”
หญิงสาวพลันแสดงสีหน้ารังเกียจเป็นที่สุด “โจรทรามๆ แบบแกอย่ามาจับฉัน…มันน่าขยะแขยง!”
เพียะ!
และแน่นอนว่ามันก็เลือนหายไปโดยง่ายด้วยหลังมือกร้านของชายหนุ่มเช่นเดียวกัน
ไม้ที่ถูกจับคุกเข่าเอาไว้อยู่ข้างกายผู้เป็นน้องสาวของเขาขบกรามแน่นก่อนจะกล่าวออกมาอย่างทนไม่ได้ “เสือโจม เอ็งมันกำเริบนัก กล้าเข้ามาปล้นโดยไม่กลัวคุกกลัวตะราง!”
ผัวะ! กล่าวจบประโยคได้ไม่นานนัก ร่างของชายหนุ่มก็ล้มเผละออกมายังดินข้างหน้าด้วยแรงถีบของลูกน้องของเสือโจมที่หันปลายกระบอกปืนไปยังร่างของน้องสาวของเขาแทน
“พี่!”
“ไม่ปากเก่งเหมือนเมื่อครู่แล้วหรอกหรือ” เจ้าของรอยแผลเป็นบนใบหน้าค่อยๆ ย่อตัวลงสบกับชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมองตนด้วยความแค้นใจ “ข้าล่ะชอบคนใจกล้าเสียจริง”
ร้องเท้าหนักไม่ต่างอะไรกับเหล็กเหยียบลงบนใบหน้าของชายหนุ่มจนเกิดเสียงร้องไปทั่ว ความหดหู่และความกลัวพลันแล่นเข้าสู่จิตใจของคนทุกผู้ได้ไม่ยาก ดารารินทร์รู้สึกว่าตนต้องทำอะไรสักอย่างเพราะคนที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นชาวบ้านและชาวสวนผู้ย่อมไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น จึงหันไปกระซิบบอกกับหญิงสาวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันว่า
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น เราต้องเอาตัวรอดก่อนนะ”
โชษิตาขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พี่รดาจะทำอะไรคะ”
เธอบอกหล่อนอีกครั้งระหว่างเตรียมตัว “เสียงปืนดังขนาดนี้ คงไม่ไกลจากนายตำรวจสักคน ถ้าพี่ถ่วงเวลาไว้ได้ โชต้องพาตัวเองกับเพื่อนหนี”
“--!”
ยังไม่ทันจะได้ตอบรับคนที่กล่าวประโยคนั้นจนจบ หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็ลุกขึ้นยืน เรียกความสนใจจากคนทั้งหมดโดยรอบรวมทั้งกระบอกปืนจากเสือโจมผู้นั้นด้วย
“ฉันขอแลกตัวประกัน”
“งานเก็บเกี่ยวที่นี่ช่างชวนให้ประหลาดใจเสียจริง” ชายหนุ่มเจ้าของรอยแผลเป็นกล่าวอย่างชอบใจ เขาถอนเท้าออกจากศีรษะของชายที่นอนอยู่ แล้วเดินเข้าไปใกล้คนที่เพิ่งจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับปลายกระบอกปืนที่กำลังเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อย่างต้องการจะข่มขู่ “สาวน้อยต้องการสิ่งใดหรือ”
ดารารินทร์ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย “แลกตัวฉันคนเดียวกับทุกคนที่นี่”
“!”
ทั่วอาณาบริเวณต่างตกอกตกใจเป็นที่สุด ในทีแรกพวกเขาก็ตกตะลึงกับการก้าวออกมาของหญิงสาวผู้มีท่าทางแตกต่างจากบรรดาชาวบ้านชาวสวนอยู่แล้ว ยิ่งได้ฟังคำกล่าวเจรจาระหว่างหญิงสาวและโจรป่า แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะมั่นใจจริงๆ หล่อนก็คงโง่เง่าจนคิดจะทำอะไรเกินตัว
เสือโจมเดาะลิ้นไปมา ก่อนจะใช้ปลายกระบอกปืนที่ยังอุ่นร้อนนั้นสัมผัสหัวไหล่เล็กราวกับพิจารณาสินค้าชิ้นหนึ่ง “ใจกล้าเสียจริงๆ คิดไม่ถึงว่าตัวเท่านี้จะกล้าตั้งข้อเสนอกับข้า”
“….”
“เจ้าคิดว่าตนเองมีค่าเท่าไหร่หรือ?...ผู้หญิงตัวเล็กๆ ใจกล้าแบบนี้ไม่ค่อยใช่แบบที่โจรอย่างข้าชอบเสียด้วยสิ”
“ฉันเป็นหม่อมราชวงศ์” หญิงสาวกล่าวช้าๆ ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ถึงดวงตา “แค่‘เท่านี้’ ก็คงมีค่าพอสำหรับโจรอย่างแกกระมัง”
คำกล่าวนั้นไม่ได้ดังจนสะเทือนฟ้าสะเทือนดินสำหรับชาวบ้าน แต่สำหรับพวกโจรที่กำลังหนีทางการอย่างหัวสุกหัวซุนแล้ว นี่มันคือขุมสมบัติอย่างดีเลยทีเดียว
หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เคลื่อนสายตามองเจ้าของมือที่เผลอสั่นระริกไปชั่วครู่ พลางสิ่งยิ้มให้อย่างสนุกสนาน “ไม่ต้องถามถึงค่าตัว อยากจะเรียกเท่าไหร่ก็ย่อมได้”
หล่อนบ้าไปแล้วหรือ!
คำกล่าวเชื้อเชิญนั้นย่อมทำให้ความคิดคนแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนั้นคาดไม่ถึงว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นจะเป็นถึงคุณหญิงด้วยขัดซึ่งการแต่งตัวที่ไม่ต่างอะไรจากผู้คนอื่นๆ ทั่วไป กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหล่อนใจกล้ามาจากไหนถึงได้เอาชื่อเสียงของครอบครัวมาเสี่ยงแบบนี้
เสือโจมคลายยิ้มเหี้ยมก่อนจะออกคำสั่งและกระชับอาวุธในมือไว้แน่น “ได้ ปล่อยมัน!”
พลันนั้นชาวบ้านที่ย่อหมอบด้วยความกลัวก็วิ่งเตลิดไปคนละทิศละทาง แม้แต่มนต์นภาก็ถูกปล่อยตัวและวิ่งหนีไปตามกระแส ความโกลาหลขนาดย่อมเกิดขึ้นกระทั่งเสียงดนตรีมากมายยังเงียบหาย ระหว่างนั้นหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ส่งสายตามองหาใครอีกคนที่ยังคงเป็นห่วง ก่อนจะต้องเบิกตาขึ้นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ยอมจากไปไหนนอกจากช่วยให้บุตรทั้งสองของผู้ใหญ่บ้านได้เคลื่อนตัวออกมา
หล่อนอยู่เฉยทำไม…เหตุใดถึงไม่วิ่งไปด้วยกันกับพวกเขา
และคำตอบจากการส่ายหน้าอย่างหนักแน่นของคนอายุอ่อนกว่าก็ทำให้หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ต้องขบกรามของตัวเอง…
เป็นแบบนี้แล้วเธอจะละความสนใจจากหล่อนได้ยังไง!
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นฟ้าอีกครั้งอย่างอาจหาญ ทำให้ชาวบ้านบางคนล้มลุกคลุกคลานด้วยความตกใจ และตามมาด้วยคำสั่งของชายหนุ่มผู้มีรอยแผลเป็นน่ากลัวบนใบหน้า
“จับไว้สามสี่คน ข้าจะเก็บพวกมันไปใช้งาน!”
สิ้นคำสั่งนั้น ชาวบ้านชาวสวนประมาณสามสี่คนก็ถูกลากตัวกลับมาอยู่ในจุดที่เพิ่งจะผ่านพ้น ความกลัวพาดผ่านใบหน้าของพวกเขามากกว่าเดิม เพราะโอกาสรอดครั้งที่สองนั้นช่างริบหรี่ยิ่งกว่าอะไร
ยิ่งหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เห็นหญิงสาวที่ถูกจับกุมอีกครั้ง ความรู้สึกกรุ่นโกรธก็ยิ่งค่อยๆ คล้ายจะถูกปลุกออกมา
“ไม่มีสัจจะในหมู่โจร”
“แน่นอน คุณหญิงก็ไม่ต้องคาดหวังใดๆ หรอก” เสือโจมหัวเราะชอบใจในความชั่วช้าของตนเอง ในเมื่อเขาเป็นโจร จะเอาอะไรมากกับคำพูดคำจาที่ใครก็ตามสามารถปรุงแต่งออกมาก็ได้
ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะจ้องมองดวงตาที่ยังสบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว และขยับปลายกระบอกปืนตั้งแต่หัวจรดเท้าของอีกฝ่ายช้าๆ…
“เอาล่ะ..มาดูสิว่าเราจะได้จากคุณหญิงเท่าไหร่-”
ทว่ายังไม่ทันได้ลำพองใจอย่างที่ต้องการ คนที่ชายหนุ่มคิดว่าควบคุมได้นั้นกลับเริ่มขยับตัวและแย่งชิงอาวุธคู่ใจของเขาไปไว้ในมือของตนได้
“วางปืน”
ไม่ต้องให้เอ่ยปากเป็นครั้งที่สองเป็นการย้ำเตือน ทวงท่าการจับประคองที่มั่นคงและแน่วแน่อันหมายจะปลิดชีวิตผู้นำของตนย่อมทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ต่างพากันลดปืนลงโดยอัตโนมัติ เมื่อเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนที่มีแค่เพียงยศศักดิ์คุณหญิงนำหน้าไปวันๆ อย่างใคร
“เอากระสุนออกให้หมด แล้วคุกเข่าลง” ดารารินทร์จดจ้องเป้าหมายของกระสุนในมือที่ค่อยๆ ย่อตัวลงอย่างเชื่องช้าราวกับจะชั่งใจอะไรบางอย่าง “บอกให้พวกของแกออกห่างจากชาวบ้านด้วย”
ถึงตัวหญิงสาวจะไม่สันทัดอาวุธเฉกเช่นเดียวกับพี่สาวคนรอง แต่เมื่อครั้งยังต้องฝึกฝนเพื่อให้คุ้นชินมันย่อมออกมาเองโดยปริยาย เธอใช้สองมือที่ประคองมันขยับไปมาเป็นการบ่งบอกจุดยืนให้กับพวกชายฉกรรจ์ แม้ว่าพวกมันจะมีปืนที่พร้อมปลิดชีวิตตัวเองได้ทุกเมื่อ แต่ผู้เป็นลูกน้องนั้นไม่กล้าที่จะเสี่ยงชีวิตของหัวหน้าตนไปกับการกระทำตรงหน้า จึงพร้อมใจกันถอยออกห่างไปหลายก้าวพร้อมกับถอนปลอดกระสุนออกจนเกิดเสียงตกกระทบเป็นระยะ
เมื่อเห็นว่าวงนอกไร้ซึ่งอาวุธแล้ว หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ก็หันไปส่งสายตาให้แก่คนตัวเล็กเตรียมเคลื่อนย้ายชาวบ้านทั้งหมดให้หนีไปโดยไร้ข้อโต้แย้ง “ไปก่อน ไม่ต้องห่วงพี่”
แม้ใจจะยังคงห่วงแต่สุดท้ายก็ต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เท้าของโชษิตาออกวิ่งเหมือนคนอื่นๆ แต่ดวงตาก็ยังคงคอยหันกลับมามองอย่างระแวดระวังอยู่เสมอ
ส่วนชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่นั้นก็จับความรู้สึกและความสัมพันธ์ผ่านประโยคนั่นได้ไม่ยาก เสือโจมเห็นจังหวะและจุดอ่อนที่จะแย่งชิงความได้เปรียบออกมาอีกครั้งจึงโถมร่างของตนเข้าสู่กายของหญิงสาวที่ยังคงพะวงอยู่กับระยะทางของชาวบ้านที่เพิ่งไปได้ไม่ไกล
ดารารินทร์ล้มลงกับพื้นกลายเป็นฝ่ายอยู่ใต้ล่าง แม้มือจะยังยื้อแย่งไม่ยอมปล่อยกระบอกปืนนั้นแต่เธอก็ใช่จะสู้แรงของชายหนุ่มได้ เขาเพียงสะบัดหลังมือทีเดียวกระทบใบหน้าของหญิงสาว ความเจ็บและชาทั้งหลายก็พลันแล่นริ้วไปทั่วจนสติแทบจะเลือนราง มีเพียงแค่รสฝาดของโลหิตในปากกับชุดของหญิงสาวร่างเล็กคนนั้นเท่านั้นที่พอจะยังคงดึงสติของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์เอาไว้ได้ในตอนนี้..
…หล่อนเพิ่งจะเปิดใจให้แท้ๆ…ต้องมาจบลงแบบนี้จริงหรือนี่
ชายหนุ่มหายใจเข้าออกอย่างคนโมโหระคนขัดใจ แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงแต่ก็เรี่ยวแรงมากกว่าบรรดาคนที่เคยผ่านมือมา เสือโจมหยิบกระบอกปืนขึ้นจากพื้นโดยไม่สนใจร่างที่กำลังใช้กำลังที่เหลือพาตนเองออกจากตรงนั้นไปด้วยความรู้สึกยากลำบาก
โชษิตาเองเมื่อรู้สึกถึงระยะห่างที่น่าจะมีมากขึ้นอยู่แล้วพอสมควรก็หันกลับมามองว่าคนอายุมากกว่านั้นเอาตัวรอดสำเร็จหรือไม่ ครั้นมองเห็นปลายกระบอกปืนที่ตรงมายังทิศทางของเธอ หัวใจของหญิงสาวก็คล้ายกับจะดิ่งลงสู่พื้นและเย็นเหยียบไปทั่ว
ปัง!
ร่างเล็กหดตัวลงเมื่อเสียงนั้นดังขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่ที่ปิดรับความเจ็บปวดค่อยๆ เปิดออกเมื่อไม่รู้สึกถึงความเย็นเหยียบของกระสุนปืนที่เข้าสู่ร่างกาย…ทว่าโชษิตากลับมองเห็นร่างของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ที่เมื่อครู่ยังพยุงร่างกายของตนให้ลุกขึ้นยืนได้ยาก…ค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นพร้อมด้วยโลหิตที่ซึมซับออกมาจนมองเห็นได้โดยที่เสื้อผ้าของหล่อนยังอยู่ครบ…
“พี่รดา!!”
ในตัวอาคารสีขาวทรงยุโรปที่ผสมระหว่างการตกแต่งเป็นสากลและป้ายชื่อที่เขียนด้วยอักษรไทยได้อย่างลงตัว รอบทางเดินด้านหน้าประตูเริ่มมีผู้คนออกมาเดินกันควักไขว่เมื่อพระอาทิตย์เริ่มส่องสว่างขึ้นทีละน้อย ภายในตัวอาคารแม้จะให้ความรู้สึกสะอาดและรู้สึกปลอดภัยแต่ข้างในก็มีเพียงบุคคลที่ต้องการรับความรักษาจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสิ้น
รถยนต์คลาสสิกคันหนึ่งจอดลงที่ด้านหน้าบันไดด้วยความเร่งรีบ ร่างของหญิงสาวสองคนที่แตกต่างทางส่วนสูงพร้อมใจกันก้าวลงจากรถคันนั้นแล้วตรงเข้าไปด้านใน โดยที่ฝีเท้าของพวกหล่อนมิได้ช้าลงด้วยใจที่ยังคงตื่นตกใจจากข่าวที่ได้รับมาเมื่อวาน
หม่อมราชวงศ์จินณวัตรสอบความได้จากพยาบาลด้านหน้าเมื่อถามถึงคนไข้ที่เพิ่งจะย้ายมาจากโรงพยาบาลในต่างจังหวัดเมื่อคืน เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วร่างเพรียวจึงพาคนรักของน้องสาวคนเล็กไปยังทิศทางตามคำด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ กระทั่งมาถึงห้องหมายเลข ๒๘๕ หญิงสาวทั้งสองคนจึงได้พบใครบางคนเข้าเสียก่อน
เป็นหม่อมราชวงศ์นีราพรรณเองที่เดินออกมาจากห้องพยาบาลแล้วพบเข้ากับพี่สาวคนโตและหญิงสาวอีกคนที่มีสีหน้าคาดหวังรออยู่
จินณวัตรไม่รอช้าที่จะถามถึงอาการล่าสุด “เจ้านิ่ม รดาเป็นอย่างไรบ้าง”
“กระสุนเข้าที่ด้านหลัง แต่ไม่โดนจุดสำคัญ เมื่อคืนหมอฉุกเฉินผ่าออกไปแล้ว ถือว่าปลอดภัย”นีราพรรณตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ค่อยคลายกังวล “แต่คงใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้น”
หญิงสาวผู้เป็นหมอเพียงหนึ่งเดียวอดถอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่ได้ จินณวัตรไม่ได้ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้เป็นหลักเป็นแหล่งฉะนั้นตอนที่เธอได้ยินข่าวก็แทบจะร้องขอให้ทางหน่วยของตนส่งเฮลิคอปเตอร์ออกไปรับผู้เป็นน้องสาวแทนแล้ว หากมิได้น้องสาวคนรองที่ติดต่อสื่อสารข้ามจังหวัดกับกรมตำรวจทางโน้น จินณวัตรคงจะหายใจหายคอได้ลำบากกว่านี้
“แล้วคุณโชษิตาล่ะคะ?” สรภัสนึกเป็นห่วงคนคุ้นเคยที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จิตใจจะเป็นอย่างไรบ้าง เธอรู้ข่าวคราวอีกฝ่ายจากคุณหญิงจิลลาภัทรเป็นระยะว่าหล่อนกำลังไปได้ดีกับการถ่ายทำโดยที่มีพี่สาวของหล่อนคอยดูแลความเรียบร้อยหรือเหตุสุดวิสัยที่อาจเกิดขึ้น แม้จะรู้ว่าโชษิตามีจิตใจที่เข้มแข็งยิ่งกว่าตน แต่การที่ต้องกลับพระนครมาพร้อมกับร่างของคนที่เพิ่งถูกยิงนั้น สรภัสที่เคยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ที่คล้ายกันมาแล้วยังรู้สึกว่าก้าวข้ามผ่านไปได้ยากไม่น้อย
หม่อมราชวงศ์นีราพรรณค่อยบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุโกลาหลที่งานเก็บเกี่ยวให้หญิงสาวทั้งสองคนฟัง แน่นอนว่าหลังจากเสียงปืนที่ดังขึ้นเป็นครั้งแรกก็ทำให้นายตำรวจตามกองกำลังเสริมมาถึงในภายหลัง เสือโจมและพวกที่เหลืออยู่น้อยนิดเพราะการหนีหัวซุกหัวซุนอยู่แล้วก็แตกฮือกันเข้าไปในป่าด้านหลังงาน ไม่นานนักก็เกิดการยิงปะทะจนเจ้าเสือผู้มากเล่ห์และอาคมสิ้นฤทธิ์ในที่สุด
สรภัสเข้ามาพูดคุยกับหญิงสาวที่ยังนั่งอยู่ห้องตรวจร่างกาย เธอมองโชษิตาที่ยังคงมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้าคล้ายกับไม่คิดจะใส่ใจมันเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะกล่าวว่าคนของวังทัตพงศ์มาลีที่เหลือยังติดงานด่วนเดี๋ยวจะตามมาในภายหลัง แล้วก็ชวนหล่อนพูดคุยเรื่องราวทั่วไปเพื่อหวังให้จิตใจของเจ้าตัวรู้สึกดี
แต่ก็อย่างที่หญิงสาวได้คาดการณ์ไว้ โชษิตาเข้มแข็งและไม่ได้มีความหวาดกลัวเหลืออยู่ให้เห็นแม้แต่น้อย ฉะนั้นจึงรอกระทั่งคุณหญิงดารารินทร์ถูกจัดเข้าห้องพักเป็นที่เรียบร้อย เธอและหม่อมราชวงศ์จินณวัตรจึงขอตัวกลับเพื่อไปบอกเล่าความคืบหน้าให้กับคนอื่นๆ เสียก่อน
หญิงสาวร่างเล็กในชุดตัวเดิมก้าวเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมขาวสะอาดชวนให้รู้สึกสงบ ผ้าม่านร่ายรำตามกระแสลมที่พัดผ่านให้ความรู้สึกเย็นสบายและไม่มีความอึดอัด โชษิตามองคนที่นอนหลับอยู่ด้วยใบหน้าผ่อนคลายในชุดของโรงพยาบาล จึงค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงที่ปรับระดับขึ้นไม่สูงมากนักด้วยสีหน้าที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
เธอมองมือสีขาวของหล่อนที่วางอยู่บนอก ก่อนจะขยับไปนำมันมากอบกุมด้วยความแผ่วเบาราวกับกลัวว่าคนที่นอนอยู่จะตื่น แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่โชษิตาคาดหวังจะให้เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่หญิงสาวก็ไม่ได้อยากให้หล่อนฟื้นขึ้นมาในตอนที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่แล้ว
ร่างเล็กค่อยหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากระโปรง ดอกกาหลงสีขาวที่หล่อนมอบให้เธอที่งานเก็บเกี่ยวยังคงอยู่ในสภาพดีแม้มันจะผ่านความโกลาหลมาแล้วก็ตาม หญิงสาวนำมันเข้าไปในฝ่ามือขาวของหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์ แล้วกอบกุมฝ่ามือนั้นมาแนบริมฝีปากราวกับจะอ้อนวอนให้มันนำความโชคดีให้แก่ตน
พลันนั้น..ดวงหน้าที่ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวหรือความกังวลมาตลอดนับตั้งแต่ที่มาถึง…ก็ปรากฏหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยช้าๆ โดยที่เจ้าของมันก็ไม่ได้คิดจะปาดมันออกเลยด้วยซ้ำ
“รีบตื่นขึ้นมานะคะ”
…ที่เคยคิดว่าจะไม่แพ้..สุดท้ายโชษิตาก็ไม่อาจก้าวข้ามมันไปได้
เธอน่ะแพ้แล้ว..แพ้ให้กับหม่อมราชวงศ์ดารารินทร์แล้วจริงๆ
อีพีนี้ คุณหญิงก็จะค่าตัวเยอะ
นิดหนึ่งนะคะ
TBC.
#ฟิคแก้วตาสุมาลี #หม่อมราชวงศ์ดารารินทร์
___________________________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น