ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TWICE | OS/SF : #Xslibrary

    ลำดับตอนที่ #1 : SF : A fallen Faith | Tzuyu x Jihyo - Vol.1[Rewrite]

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 61




    *หมายเหตุ เพื่อให้เข้ากับช่วงเวลานั้น จึงได้ทำการเปลี่ยนสรรพนามเป็นบางส่วน แต่เนื้อหายังเหมือนเดิม <3 


    หากเปรียบเปรยคนผู้หนึ่งให้กลับกลายเป็นดอกไม้


    นางก็คงคล้ายคลากับดอกกล้วยไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอยู่หน้าตำหนักของเขาอยู่มากนัก



    ร่างสูงโปร่งภายใต้ชุดคลุมตัวยาวสีน้ำเงินเข้มคิดอย่างนั้นขณะหยุดยืนบนทางเดินไม้ข้ามสระบัวและวางดวงตาสีเข้มของตนไปยังทิศทางด้านหน้า เส้นผมจำนวนหนึ่งถูกเกล้าไว้ด้วยเครื่องประดับลายหยกมังกรอยู่กลางศีรษะและปล่อยให้เส้นผมสลวยที่เหลือได้คลอเคลียอยู่ยาวจนถึงกลางหลัง ดวงหน้าคมคายและงดงามราวกับอิสตรีนั้นเปิดเผยความชื่นชมราวกับกำลังรื่นรมย์กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และมันก็เป็นเช่นนี้มาได้เวลาระยะประมาณหนึ่งแล้ว


    “เรียนองค์รัชทายาท” ชายผู้ดูมีอายุมากกว่าเอ่ยขึ้นหลังจากได้วาดมือไปด้านหน้าและกลับเข้าหาตัวเป็นการแสดงตัวว่าขออนุญาตเอ่ยคำพูด “หากยืนอยู่อย่างนี้ จะทรงปวดเมื่อยเอาได้นะพะย่ะค่ะ” 


    รัชทายาทหนุ่มผ่อนลมหายใจให้กับขันทีที่ก้มหน้าอยู่แล้วให้ต่ำลงเพราะน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาราวกับจะตัดรำคาญ “ข้ารู้แล้ว” 


    “ให้กระหม่อมเรียกตัวนาง มาถวายพระพรพระองค์ดีกว่าหรือไม่พะย่ะค่ะ” 


    “เจ้าคิดว่านางจะยอมพูดคุยกับข้าหรือ” ดวงตาใสขององค์รัชทายาทถอนสายตาจากภาพของหญิงสาวที่อยู่ในทิศทางด้านหน้ามาปรายตามองขันทีคนสนิทของตน   “ตั้งแต่ที่นางได้ก้าวเข้ามาในดินแดนของข้า เจ้าเคยได้ยินเสียงของนางสักครั้งหรือไม่” 


    ขันทีหยวนก้มหน้าตอบออกมาโดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิดให้มากความ “กระหม่อมมิเคยได้ยินนางสนทนากับใครเลยพะยะค่ะ” 


    “ใช่..แม้แต่กับข้า” อดไม่ได้ที่ลมหายใจแผ่วเบาจะถูกถอนออกมาทางปลายจมูกของอีกคน เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่แม้แต่กระทั่งกับคนอย่างเขา โจวจื่ออวี่  ผู้ถูกขนานนามว่าเป็นโอรสสวรรค์แห่งแคว้นซีโจว องค์ไท่จื่อ*ผู้สืบทอดบรรลังก์โจวกงหวาง*ซึ่งเพรียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมและความสามารถด้านสติปัญญา แต่กระนั้นก็น้อยคนนักที่จะรับรู้ว่าเขาได้ผ่านพ้นอะไรมาบ้าง เพราะความยากลำบากในการที่ต้องเตรียมตัวตั้งแต่เด็กๆที่ไม่เคยได้แสดงออกผ่านใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย


    อย่าว่าแต่จะแสดงออกว่าเจ็บป่วยเลย แม้แต่จะแย้มสรวลสักครั้งก็ยังเป็นเรื่องที่หายากของคนในแคว้นซีโจว*เลยด้วยซ้ำ


    ขันทีหยวนได้แต่ลอบส่งสายตากับนางในที่ก้มหน้ารับใช้อยู่ด้านหลัง เพราะต่างก็รับรู้ว่าอารมณ์ขององค์รัชทายาทในเวลานี้นั้นช่างอ่อนไหว แล้วก็จะเป็นแบบนี้อยู่ทุกครั้งเมื่ออีกฝ่ายได้อยู่ต่อหน้าของหญิงสาวผู้ที่กำลังโอบพิณไม้ไว้แนบอกและบรรเลงออกมาเป็นท่วงทำนอง ณ ที่ตำหนักตรงข้ามกันกับสระบัว 


    หญิงสาวผู้ที่ไม่มีทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ หรือแม้กระทั่งชื่อสกุลของตระกูลใหญ่ตระกูลใดของแคว้นซีโจวอยู่เลยสักนิดเดียว



    “เตรียมน้ำชาไว้ให้ข้าที่ห้องหนังสือด้วยนะหยวนจิง” ร่างสูงโปร่งเอ่ยออกมาในที่สุดหลังจากได้ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ “ข้าอยากจะอ่านราชกิจของบ้านเมืองให้เสร็จแต่โดยไว” 










    ควันสีขาวจางๆได้เคลื่อนตัวอยู่เหนือปลายปากของกาน้ำชาสีเขียวหยกที่ถูกประดับลวดลายศิลปะแบบจีนเอาไว้ มันถูกวางลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีทรงกลมที่ตั้งวางอยู่กลางห้องเหนือพรมสีน้ำตาลอ่อนด้วยลวดลายประหลาดๆ แต่กระนั้นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของการกระทำเหล่านั้นก็หาได้สนใจกับสิ่งที่อยู่รอบๆตัวของตนเองมาตั้งแต่ได้ถูกพาตัวมาที่นี่ไม่ ขยับร่างกายภายใต้ชุดคลุมที่ยาวกระทั่งปลายแขนเสื้อสีเนื้ออ่อนไปยังเชิงเทียนที่ตั้งอยู่บนเสา ริมฝีปากหยักค่อยๆเป่าให้เปลวเทียนที่สะท้อนต้องกับดวงตาของนางดับลง ก่อนที่ร่างกายทั้งร่างจะหยุดชะงักไปเมื่อได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นรอบๆตำหนักที่นางได้ยืนอยู่นี้เอง




    หันฝ่าเท้าไปยังทิศทางของประตูด้วยการลงน้ำหนักที่เบาลงและหันหน้าเข้าหากับประตูที่ทำขึ้นจากกระดาษและไม้ไผ่ ดวงตากลมปรากฏความระแวดระวังภัยแก่ตัวเอง ก่อนที่ฝ่ามือของนางจะวางลงบนที่ยึดเหนี่ยวของประตูบานนั้น และเลื่อนมันออกด้านข้างแทบจะทันทีราวกับจะให้เจ้าของความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่ทันได้มีโอกาสให้ตั้งตัว 


    เพราะเหตุผลที่ว่าตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียนแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวคำใดเพื่อขอให้นางได้เปิดประตูและยินยอมให้เขาได้ก้าวเข้าไป ซ้ำยังเป็นครั้งแรกเสียอีกที่เขาได้มาถึงหน้าตำหนักแห่งนี้หลังจากห่างหายไปเนิ่นนาน ร่างสูงโปร่งของโจวจื่ออวี่จึงผงะไปเล็กน้อยเมื่อจู่ๆประตูที่เขากำลังจดจ้องมองมันอย่างใช้ความคิดนั้นถูกเปิดออก ดวงตาคู่คมจึงได้สบเข้ากับกวางน้อยในตำหนักบัวนี้เข้าเต็มๆ 


    เช่นเดียวกับเจ้าของห้องที่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่พร้อมกับขันทีแค่หนึ่งคน แต่กระนั้นความตกใจก็ถูกแทนที่ด้วยท่าทีเฉยเมยในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ทำให้ผู้มีศักดิ์ใหญ่เป็นถึงรัชทายาทได้ผ่อนคลายริมฝีปากลงก่อนที่จะเอ่ยปากออกมา 


    “เหตุใดทำหน้าเช่นนั้นเล่า” 


    หญิงสาวไม่ตอบอะไรนอกเสียจากหันกายกลับเข้าไปในห้อง ขันทีหยวนซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากเขามากนักเห็นดังนั้นก็ชักสีหน้าแทบจะทันทีและกำลังจะขยับตัวเข้ามาเพื่อเอ่ยปากเอ่ยเสียงอย่างต้องการตักเตือน แต่เมื่อมองเห็นฝ่ามือใต้แขนเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มที่ยกขึ้นเป็นการห้ามปรามแล้วก็ได้แต่กลับไปยืนสอดมือไว้ใต้แขนเสื้อยาวพร้อมกับดับตะเกียงที่อยู่ในมือตั้งแต่ต้นให้ดับลง


    จื่ออวี่ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูห้อง ทอดสายตามองไปรอบๆที่มีร่องรอยการทำความสะอาดแต่กระนั้นก็ยังไม่ได้รับการดูแลที่มากพอ เพราะตำหนักบัวแห่งนี้เคยถูกทิ้งร้างมาหลายปีและถูกปิดตาย มันจึงยังไม่ได้รับการดูแลและรักษาเป็นอย่างดีเท่าที่ควร


    “เจ้าหลับนอนสบายดีใช่ไหม” 


    อดไม่ได้ที่เอ่ยถามหลังจากที่ถอนสายตาลงมา เดินผ่านร่างบางที่ยืนอยู่ห่างจากเขาออกไปประมาณห้าชุนและสะบัดแขนเสื้อที่ตัดขึ้นจากผ้าเนื้องามก่อนจะหย่อนร่างกายของตัวเองลงไปบนเก้าอี้ทรงกลมตรงหน้ากาน้ำชาลายหยกกาเดิม  เมื่อไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมาตั้งแต่ที่ได้พบหน้า เขาจึงเคลื่อนดวงตาคู่คมขึ้นมองอีกฝ่ายที่ถึงแม้จะไม่ได้หันหน้าหนีหรือกระทำกริยาอันเสียมารยาท แต่การที่เจ้าตัวยังคงหลุบสายตาลงต่ำด้วยแผ่นหลังที่ตรงสง่า นั่นก็นับว่าเป็นการป้องกันตัวและหลีกเลี่ยงบทสนทนาได้อย่างเช่นทุกทีไป 


    เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ที่จื่ออวี่ได้พบหน้านางในอาณาเขตล่าสัตว์ของแคว้นซีโจว ท้องฟ้าที่แปรปรวนในเวลานั้นไม่เหมาะสมสำหรับการลงสนามของรัชทายาทและองค์ฮ่องเต้เป็นอย่างมาก ทหารนายหนึ่งก็เข้ามารายงานว่าเขาพบหญิงชาวบ้านที่ไม่ควรจะเข้ามาอยู่ในป่าและกำลังรอคอยคำสั่งจากบิดาของเขา เพราะไม่ว่าจะถามไถ่ชื่อแซ่และที่มาอย่างไร นางก็ไม่ยอมขยับริมฝีปากของตนเองเลยแม้แต่น้อย






    ‘ให้ลูกเป็นคนไปสังเกตการณ์เถอะท่านพ่อ’ 


    เจ้าแผ่นดินแห่งแคว้นในคราวนั้นซึ่งกำลังวางแผนการล่าสัตว์อยู่บนโต๊ะจึงไม่คิดจะใส่ใจเรื่องเล็กๆเท่าใดนัก ชายกลางคนจึงยกมือของตนขึ้นมาลูบที่เคราดำบนปลายคางก่อนจะเอ่ยปากว่า ‘ฝากเจ้าด้วยแล้วกันนะ'


    และทันทีที่ได้ก้าวเข้าไปในกระโจมด้านนอกที่ห่างออกไป องค์รัชทายาทแห่งแคว้นซีโจวเช่นเขาก็ไม่อาจลืมเลือนภาพแรกที่เขาได้เห็นมาตั้งแต่ในตอนนั้น


    ทุกสิ่งที่เขาเห็นคือเรือนร่างภายใต้อาภรณ์ที่เก่าจนดูสกปรก ร่องรอยดินโคลนติดอยู่บนผิวพรรณขาวเนียนและพวงแก้มที่ทำให้ใบหน้าของเจ้าตัวดูอิ่มเอิบ ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับวิ่งหนีหรือพลัดตกบางสิ่งบางอย่างมาก่อนหน้า ริมฝีปากหยักที่มีสีแดงเพียงน้อยนิดยิ่งขับให้ใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้คล้ายกับจะเป็นชามกระเบื้องที่ดูจะแตกหักได้ง่ายเพียงเพราะรอยช้ำเล็กๆตรงมุมปาก ยังไม่นับดวงตากลมโตที่จ้องมองผู้มาใหม่ซึ่งนั่นถึงกลับทำให้คนที่ไม่เคยพลาดพลั้งให้กับสิ่งใดเช่นเขาต้องตกอยู่ในภวังค์อยู่เป็นนาน..


    แม้จะอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าสะบักสะบอมและถูกมาคุมตัวเอาไว้โดยทหารมากหน้าหลายตา กระนั้นดวงตาของนางก็ยังใสสุกวาวดั่งเช่นพระจันทร์ที่ได้ปรากฏขึ้นแม้พระอาทิตย์จะยังไม่ได้ดับลงไป ซ้ำแล้วยังไร้วี่แววหวาดกลัวแก่ผู้มาใหม่หรือกระทั่งความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยเลยส้กนิดเดียว






    “รังเกียจหรือ”    


    จื่ออวี่กล่าวขึ้นมาในที่สุดเมื่อไม่เห็นว่านางแม้แต่จะขยับตัวหรือแสดงท่าทีใดๆ ราวกับว่าความเงียบงันที่ได้จบลงไปเมื่อครู่เป็นเพียงการแข่งขันเอาชนะที่เขาได้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็เท่านั้น แต่ทันทีที่เอ่ยถามประโยคนั้นและมองเห็นดวงตากลมขยับเขยื้อน เขาก็ตัดสินใจว่าไม่ว่าคำตอบจะเป็น ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’ มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่จะได้ยินนางเอ่ยมันออกมาเป็นคราวแรก


    ร่างบางนั้นไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับมาดั่งที่ใจของเขาคิด กลับก้าวเท้ากลับเข้ามาเพียงสามชุนและยื่นฝ่ามือบางจากปลายเสื้อสีเนื้ออ่อนและบรรจงรินน้ำชาอุ่นๆที่ส่งกลิ่นหอมลงบนถ้วยตรงหน้าของผู้มาเยือน โจวจื่ออวี่หรี่ตาข้างหนึ่งลงเพื่อมองการกระทำเหล่านั้น นางเลือกที่จะไม่เอ่ยปากอะไรและใช้การกระทำเพื่อเป็นคำตอบให้แก่เขาแทนอย่างนั้นหรอกหรือ?



    “ไม่งั้นหรือ เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเสียงของเจ้าเลยสักครั้งกัน” 


    ปึก  

    การตอบกลับของคู่สนทนาคือการวางกาน้ำชาลงที่เดิม องค์รัชทายาทแห่งซีโจวจึงกระตุกริมฝีปากอย่างกับยอมแพ้ ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาที่อีกฝ่ายเพิ่งจะรินมันให้ด้วยมารยาท ในเมื่อนางไม่แม้แต่จะเอ่ยปากเพื่อพูดกับบิดาของเขา แล้วเรื่องอะไรกันที่เขาจะทำให้นางพูดด้วยได้ง่ายๆกันล่ะจริงไหม 



    “อยู่ในห้องหนังสือมานาน ไหล่ของข้าค่อนข้างจะใช้งานหนักไปบ้าง” จื่ออวี่วางถ้วยน้ำชาที่เพิ่งจิบไปได้สองอึกลงก่อนที่จะเอ่ยปากพูดอย่างผ่อนคลาย  “เจ้าจะช่วยสงเคราะห์ให้ข้าได้หรือไม่” 



    ถึงแม้นางจะไม่เคยพูดหรือโต้ตอบสนทนากับใคร แต่เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของเชื้อพระวงศ์อย่างเช่นบิดาของเขา ก็ถือว่านางยังคงปราณีและมีน้ำใจแก่บัลลังก์อำนาจของผู้นำแห่งแคว้นด้วยการทำความเคารพเอาไว้อยู่บ้าง



    ไหล่ของหญิงสาวกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัวผ่อนลมหายใจออกมาทั้งๆที่ยังก้มหน้าราวกับขุ่นเคืองใจ ถึงแม้ว่านางจะไม่ยอมสนทนาด้วยกับใคร แต่ถ้าหากเป็นคำสั่งตรงๆจากผู้เป็นใหญ่ในแคว้นแห่งนี้นางก็ได้แต่จำยอมทำตามคำสั่งโดยไม่เต็มใจเท่านั้น ร่างบางก้าวฝ่าเท้าด้วยท่าทางนิ่งสงบมาหยุดยืนที่ด้านหลังขององค์รัชทายาทก่อนจะใช้เวลานานหลายวินาทีเพื่อตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรในเวลานี้ จื่ออวี่ซึ่งนั่งอยู่ด้วยท่าทางที่มั่นคงนั้นจึงค่อยๆรู้สึกว่ามือบางของหญิงสาวได้ค่อยๆบีบนวดลงบนไหล่ของเขา และแค่เพียงเท่านั้น รอยยิ้มมุมปากของรัชทายาทผู้มีสติปัญญาอันดีเลิศจึงปรากฏขึ้นมาทันที


    หมับ!


    มือบางที่กำลังบีบนวดอย่างเก้ๆกังๆบนไหล่ของอีกฝ่ายถูกคว้าไปอย่างถือวิสาสะ ทำให้หญิงสาวผู้ตกหลุมพรางไปแล้วนั้นรู้ตัวช้าไปจังหวะหนึ่ง และด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษที่มีมากกว่าก็ส่งผลให้ร่างกายของนางโซเซโดยพยายามที่จะหาที่ยึดเหนี่ยวอันไม่ใช่ร่างกายของร่างสูงโปร่งตรงหน้า แต่เพราะว่าจู่ๆแรงแขนทั้งสองข้างก็ถูกเหนี่ยวรั้งเอาไว้ด้วยเพียงฝ่ามือเดียว ผลของการกระทำเหล่านั้นจึงทำให้นางทรุดนั่งลงบนตักขององค์รัชทายาทไปโดยปริยาย


    ถึงแม้นางจะกำลังตกอยู่ในอำนาจของตัวเขา จื่ออวี่ก็พบว่ากวางน้อยไม่ได้ยอมเชื่อฟังและอ่อนข้อแต่โดยง่าย นางยังคงขยับตัวขัดขืนและพยายามจะหลีกหนี ใบหน้าอิ่มดั่งดวงจันทร์แสดงความขุ่นเคืองและหงุดหงิดอย่างเด่นชัดทั้งๆที่เขาเองก็แทบไม่ได้ออกแรงอะไรในการเหนี่ยวรั้งนางไว้มากด้วยซ้ำไป


    “จีเอ่อร์”  จึงเอ่ยเรียกขานนามที่เขาเป็นคนสร้างด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน จีเซี่ยว คือชื่อที่เขาตั้งให้กับนางเองยามเมื่อได้พานางมาถึงอาณาเขตพระราชวังผู้ปกครองดินแดนแห่งซีโจว เพราะไม่อาจรู้ถึงชื่อแซ่และตระกูลต้นกำเนิด เขาจึงได้เป็นคนตั้งชื่อนี้ให้แก่นาง


    และนั่นเองก็หมายความว่า นางก็ได้เป็นคนของเขาไปแล้วเช่นเดียวกัน  


    “เจ้ากลัวเปิ่นหวาง*หรือกระไร” 


    เมื่อเอ่ยถามด้วยความขบขันร่างนั้นจึงได้หยุดขยับเขยือน ลมหายใจหนักสั้นๆเกิดขึ้นเมื่อเจ้าตัวคล้ายจะหมดแรง ดวงตากลมโตของนางหันขวับมามองค้อนด้วยความไม่ชอบใจซึ่งหมายถึงการกระทำในขณะนี้ของเขา และยังหมายถึงคำตอบที่ได้ถามออกไปก่อนหน้านี้อีกด้วย


    “ช่างเป็นสตรีที่แปลกนัก” นิ้วมือเรียวของร่างสูงโปร่งแตะลงเบาๆที่ปลายจมูกของนางอย่างเอ็นดูและขยับเข้าไปมองใบหน้าของนางในระยะอันใกล้ “เหตุใดจึงทำให้เปิ่นหวางรู้สึกต่ำต้อยด้วยดวงตาคู่นี้”


    “..."


    “แต่ข้าก็ไม่ขอปฏิเสธว่าข้าชื่นชอบมัน เมื่อมันอยู่บนใบหน้าของเจ้าล่ะนะ” 



    ทิ้งท้ายด้วยการจดจ้องมองดวงตาอันใสสว่างของนางเต็มๆตา ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือร่องรอยความซุกซนของเขาที่ปรากฏอยู่บนนั้น นางจดจ้องมองดวงตาคู่คมที่ไม่มีแววว่าจะถอดถอนออกไปได้ง่ายๆอย่างไม่อ่อนข้อ แต่จู่ๆก็เพราะรู้สึกถึงความร้อนแปลกประหลาดจากร่างกายอันอบอุ่นที่แผ่นหลังสัมผัสมันได้ เพราะความแตกต่างกันทั้งเพศสภาพ ส่วนสูงและพละกำลัง ฉะนั้นแล้วนางจึงเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ไปในการแข่งขันแบบฟันต่อฟันนี้เสียเอง


    แววประหลาดใจเกิดขึ้นบนใบหน้าขององค์รัชทายาทเมื่อดวงตากลมโตนั้นหลุบหนีและมีท่าทีลุกลิกอย่างทำอันใดไม่ถูก ความพึงพอใจที่ปรากฏขึ้นก็ทำให้เขาตัดใจจากกลิ่นหอมกรุ่นจากเรือนกายของหญิงสาวจนได้ ถอดถอนใบหน้าให้ออกห่างออกมาเล็กน้อย และเท้าแขนกับโต๊ะทรงกลมเพื่อมองดูคนที่ยังนั่งอยู่บนตักของตนด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายมากกว่าเดิม



    “เอาเถอะ ข้าเข้าใจว่าเจ้าคงจะตื่นกับสถานที่ใหม่” กล่าวอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าคมคาย  “เช่นนั้น ข้าจะนอนที่นี่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน”



    ดวงตากลมโตฉายแววแข็งกร้าวอีกครั้งเมื่อได้ยิน แต่ยังไม่ทันแสดงท่าทีขุ่นเคืองอะไรออกไปร่างกายของนางก็ถูกปล่อยจากการรัดกุมที่เกิดขึ้นด้วยมือข้างเดียว จีเซี่ยวจึงรีบดีดตัวออกจากร่างกายของอีกฝ่ายและยืนห่างออกไปอีกหลายชุน*ที่มากกว่าเดิม


    โจวจื่ออวี่ส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอเล็กน้อยก่อนจะยันกายขึ้นจากเก้าอี้ตัวเดิม และหันหลังย่างกรายเข้าไปหย่อนกายลงบนที่นอนสี่เหลี่ยมที่ผูกมัดด้วยม่านสีเขียวอ่อนบริเวณเสาทั้งสี่ด้าน ก่อนจะใช้มือที่อยู่ภายใต้อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มตบลงบนผ้าปูสีนวลเบาๆสองครั้งอย่างสุขใจ


    “จีเอ่อร์ มาเร็วเข้าสิ” 


    ราวกับจงใจที่จะปลุกปั่นความอดทนของนาง มองเห็นจีเซี่ยวตวัดดวงตาไม่ไหวใจและขุ่นเคืองมาให้อย่างนั้น ไท่จื่อเช่นเขาจึงยิ่งรู้สึกพออกพอใจอยู่เงียบๆไม่น้อย


    “ด้วยสัตย์ของเปิ่นหวาง ข้าจะไม่ทำการล่วงเกินอันใดกับร่างกายของเจ้าอย่างแน่นอน”


    เรียวคิ้วบนใบหน้ากลมนั้นเลิกขึ้นนิดๆเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของผู้มีศักดิ์สูงกว่า ซึ่งถ้าหากเขาทำเกินเลยอย่างที่ว่าเอาไว้ก็ถือว่านั่นเป็นการหยามเกียรติขององค์รัชทายาทด้วยตัวเอง จีเซี่ยวจึงผ่อนคลายความระแวดระวังของตนลง และค่อยๆก้าวเข้าไปยังที่นอนของนางด้วยท่าทางสงบนิ่งที่เป็นมาอย่างเคย 



    ร่างสูงโปร่งเอนกายลงบนหมอนอีกใบที่ถูกตั้งเอาไว้ตบแต่งมารองเรือนผมสีน้ำหมึกของเขา ระหว่างนั้นเองก็มองดูหญิงสาวขยับหมอนอีกใบให้ออกห่างและนอนลงด้วยรอยยิ้มแม้ว่านางจะหันหลังเข้าสู่ใบหน้าของเขาอยู่ก็ตาม


    หากเป็นหญิงอื่นกระทำก็คงจะถือเป็นการหยามหน้าสถานะของเขา แต่กระนั้นจื่ออวี่ก็ไม่ได้มีความโกรธอยู่ภายในเลยแม้แต่น้อย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าจี่เซี่ยวที่เขาได้พบในป่านั้นไม่เห็นด้วยกับการที่ถูกพามาในสถานที่อันวุ่นวายแห่งนี้เอาเสียเลย


    เหม่อมองเส้นผมสีหมึกที่ไม่ต่างกันอย่างใช้ความคิด เพราะเบาะแสที่เขามีเกี่ยวกับจีเซี่ยวมีอยู่ไม่กี่อย่าง เขารู้จากนายทหารคนสนิทแค่ว่านางไม่ใช่ลูกหลานของใครในเมืองนี้ ราวกับว่าเป็นเพียงบุคคลต่างเมืองที่พลัดหลงเข้ามาในอาณาเขตล่าสัตว์ของพวกเขาเท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังมีเกี่ยวกับรูปพรรณสันฐานที่แปลกตาไปในสายตาของชาวบ้าน เพราะไม่ว่าจะสอบถามผู้คนในตลาดแห่งหนใดก็พากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยพบเห็นนางอยู่ในตัวเมืองมาก่อนเลย 


    ราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรต์ ที่พลัดตกลงมาอยู่ในป่าอย่างไรอย่างนั้นเชียว.. 


    คิดอย่างนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าคมคายก็มีมากยิ่งขึ้นซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากที่ใครจะได้พบเห็น และผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง “ตั้งแต่เกิดมา ข้าก็ไม่เคยบกพร่องและต้องการสิ่งอื่นใด” 


    แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะจมเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว แต่ว่าโจวจื่ออวี่ก็ยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม


    “แต่ความคิดเล็กๆที่ข้าหวังว่าจะสามารถทำให้เจ้าเอ่ยนามของข้าและยิ้มออกมาได้ ก็คงนับว่านั่นเป็นความปรารถนาครั้งแรกในชีวิตนี้เลยกระมัง”








    “ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทำอันใดพะย่ะค่ะ” ขันทีหยวนเอ่ยถามรัชทายาทหนุ่มผู้กำลังง่วนอยู่กับการยัดเยียดหมอนและผ้าคลุมกายให้แก่เขาด้วยน้ำเสียงลุกลน ทั้งยังมีกองมวนหนังสือไม้ไผ่อีกจำนวนหนึ่งที่ส่งมาวางทับไว้ให้ในอ้อมแขนจนตั้งตัวรับไม่หวั่นไม่ไหว เมื่อได้ทุกอย่างครบเท่าที่ต้องการแล้ว จื่ออวี่จึงได้หันมาตอบคำถามคนรับใช้คนสนิทอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรอีกครั้ง


    “เก็บของ”  รอยยิ้มซุกซนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ข้าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องหนังสือเสียบ้าง”


    กล่าวอย่างนั้นก่อนจะก้าวเท้าออกไปทางประตูโดยไม่หันกลับไปสนใจขันทีประจำกายที่โซเซเพราะข้าวของของตน ประจวบเหมาะกับที่นางในเปิดประตูออกให้และปรากฏตัวของผู้มาใหม่  ฝีเท้าของร่างสูงโปร่งจึงได้หยุดชะงักลงไว้ในทันที 



    “หลี่ซาน” 



    จื่ออวี่เอ่ยนามของหญิงสาวภายใต้อาภรณ์สีดอกบ๊วยด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป ราวกับว่ารอยยิ้มแห่งความสุขของเขาได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าไร้อารมณ์เมื่อได้พบหน้า หญิงสาวผู้นี้คือ ฮัวหลี่ซาน บุตรสาวของแม่ทัพฮัวผู้ที่บิดาของเขาไว้ใจที่สุดเมื่อต้องรบราและออกศึก เรือนผมสีหมึกของนางตวัดขึ้นเก็บเป็นมวยเล็กๆตรงกลางและประดับด้วยเครื่องตบแต่งที่ถูกทำขึ้นจากทอง สันจมูกโด่งรั้นได้รูปนั้นแสดงออกถึงความสูงส่งทั้งฐานะและชื่อเสียงของตระกูลที่มีมานมนาน ทั้งรูปหน้าและเรือนร่างที่ราวกับถูกสรวงสวรรค์บัญชา นางจึงหนีไม่พ้นกับสถานะที่ผู้อื่นมอบให้ว่าเป็นหญิงสาวที่เหมาะสมกับตำแหน่งอันสูงส่งในพระราชวังนี้เลยทีเดียว



    หลี่ซานขยับริมฝีปากสีสดของตนเองเมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของเขาเหล่านั้น “ช่วงนี้ดูท่านจะมีราชกิจรัดตัวเสียเหลือเกินนะเพคะ” 



    “เปิ่นหวางเป็นผู้สืบทอดคนต่อไป หากไม่เรียนรู้แล้วจะดูแลประชาชนในแคว้นซีโจวให้ปลอดภัยได้อย่างไรกัน" ร่างสูงโปร่งเอ่ยตอบด้วยท่าทีเช่นเดิมก่อนจะใช้ดวงตาคู่คมที่เรียบเฉยเพื่อมองคู่สนทนา “หากเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัว”  


    “พระองค์รู้จักหน้าที่ของตนเอง นั่นก็นับเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว"


    จื่ออวี่เดินผ่านร่างของหญิงสาวและก้าวข้าวผ่านธรณีประตู แต่ยังไม่ทันได้เดินจากไปไหนไกล น้ำเสียงหนักแน่นของผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็กล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน 


    “แต่องค์รัชทายาทก็รู้จักหน้าที่ของไท่จื่อเฟย*เช่นหม่อมฉันใช่หรือไม่เพคะ” หลี่ซานกล่าวขณะที่ลำคอของนางยังตั้งตรงอย่างสง่างาม แม้คำพูดที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีสดจะไม่ได้แข็งกร้าวอะไร แต่สำหรับโจวจื่ออวี่แล้ว มันก็คือการป่าวประกาศถึงสถานะของตนเองเพื่อย้ำเตือนการกระทำของเขาทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างชัดเจนก็เท่านั้น 


    “ทั้งตระกูลและตัวของผู้ครองตำแหน่งนี้ ต้องเหมาะสมและสูงส่งมากเพียงพอสำหรับการขึ้นเป็นแม่ของแผ่นดินในภายภาคหน้า” 


    “…"


    “และสำหรับสตรีนางอื่นที่คิดจะเข้ามาผูกมัดองค์รัชทายาทเอาไว้ ก็เป็นได้แค่กุ้ยเฟย*ในอนาคตก็เท่านั้น”


    ดวงตาคมของร่างสูงโปร่งปรายหางตามองหญิงสาวผู้ค่อยๆหันมามอบรอยยิ้มหวานอันเบาบางให้แก่เขาขณะที่นางได้ย่อกายของตัวเองลงและประสานมือเอาไว้ใต้แขนเสื้ออาภรณ์ของนาง


    “ขอให้มีพลานามัยที่แข็งแรงเพคะ หลี่ซานทูลลา” 








    “กู่เหนียง*จีเซี่ยว ขันทีหยวนเข้าไปนะขอรับ”  


    เสียงนั้นทำให้หญิงสาวผู้กำลังโอบอุ้มพิณไม้เอาไว้ต้องชะงักปลายนิ้วซึ่งกำลังสรรสร้างบทเพลงอันรื่นหูออกมาไปชั่วขณะ ดวงตากลมอันสงบนิ่งนั้นฉายแววขุ่นเคืองและฉงนสงสัยเล็กน้อยว่าครานี้ผู้มาเยือนนั้นจะใช้เหตุผลกลใดเพื่อเข้ามาในห้องของเธออีกเช่นเดียวกันกับหลายวันที่เคยผ่านมา 


    เมื่อไม่ได้รับคำตอบหรือสัญญาณที่ดูเหมือนจะเป็นการปฏิเสธ ขันทีหยวนจึงเดินเข้ามาโดยมีนางในหน้าประตูเปิดมันออกให้พร้อมกับกองข้าวของที่อยู่ในอ้อมแขนตั้งแต่ตำหนักขององค์รัชทายาทจนได้เดินทางมาถึงที่นี่ 


    เรียวคิ้วของจีเซี่ยวขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งเหยิง ทั้งกองหนังสือ หมอน และไหนจะยังนางในที่ไม่เคยมีมาตั้งแต่ได้ก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่นางยังไม่ทันได้เข้าใจว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ต้นเหตุของสถานการณ์เหล่านี้ที่นางคิดว่าต้องใช่แน่ๆก็ปรากฏตัว 


    “หยุดเล่นทำไมกัน ข้ากำลังจะตั้งชื่อเพลงนั้นได้พอดี” 


    ร่างสูงโปร่งใต้อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มเดินเข้าไปใกล้ขันทีคนสนิทของเขาที่เพิ่งจะวางข้าวของทั้งหมดลงตรงมุมหนึ่งของห้องและหอบแฮ่กๆ รอยยิ้มราวกับเด็กน้อยผู้ภาคภูมิใจในการกระทำของตนปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายและงดงามราวอิสตรี เขาตบลงบนข้าวของของตัวเองเมื่อเห็นว่าดวงตากลมสวยของหญิงสาวแสดงท่าทีคาดคั้นคำตอบที่ต้องการออกมา 


    “ข้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศทำราชกิจบ้านเมืองบ้างน่ะ”


    เรียวคิ้วของเจ้าตัวเลิกขึ้นราวกับเพิ่งได้รับฟังเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล กระนั้นก็ยังคงใช้สายตาในความหมายเดิมตวัดไปทางนางในที่คอยทำหน้าที่เพื่อเปิดประตูให้ขันทีหยวนเมื่อครู่นี้ด้วย


    “อ๋อ ก็ข้าเข้าออกที่นี่มาหลายวันแล้ว เจ้าจะได้ไม่ต้องคอยลุกออกมาเปิดประตู และยังเรียกใช้พวกนางได้บ้างอีกด้วย” ว่าอย่างนั้นพลางสะบัดปลายแขนเสื้อและนั่งลงบนโต๊ะตัวหนึ่งที่ขันทีคู่ใจเป็นคนจัดหามาให้ และทันทีที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง จื่ออวี่ก็หยิบมวนไม้ไผ่มวนหนึ่งออกมากางก่อนจะผายมือไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ในมุมตรงข้ามกันซึ่งยังคงความรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บนดวงตาใสไว้เช่นเดิม


    “หากมีดนตรีเสียหน่อย กิจการบ้านเมืองที่เปิ่นหวางต้องจัดการวันนี้ก็คงสำเร็จโดยไว”  


    จีเซี่ยวกลอกดวงตากลมของนางราวกับเอือมระอาในท่าทางเหล่านั้น เขารู้ว่านางคงจะแอบโต้เถียงอยู่ในใจว่านางไม่ใช่นักดนตรีที่ต้องคอยสร้างความบันเทิงอย่างเช่นคณะดนตรีในที่ประชุมขององค์ฮ่องเต้หรือเหล่าราชวงศ์คนใด แต่คงเพราะนางตั้งใจจะเล่นมันอยู่ก่อนหน้านี้ หญิงสาวจึงได้ไม่สนใจถึงการมีอยู่ในห้องของเขาและเริ่มบรรเลงเสียงไพเราะจากพิณที่ตนได้โอบอุ้มเอาไว้ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง



    ในชั่วขณะหนึ่งของความคิด ท่ามกลางท่วงทำนองที่เผลอไผลให้เข้าไปตกอยู่ในภวังค์ โอรสสวรรค์เช่นก็เขากลับนึกอิจฉาเครื่องดนตรีชนิดนั้นขึ้นมาเสียเฉยๆ



    ร่างกายอันมีเนื้อมีนวลภายใต้อาภรณ์ที่ไม่ได้มีราคามากนัก ดวงหน้ากลมอิ่มและผิวพรรณเนียนนุ่มจนน่าจับต้อง ริมฝีปากหยักที่หากได้สัมผัสก็เท่ากับว่าได้กลืนกินความเป็นตัวตนของผู้เชยชิมมันโดยง่าย เรือนผมสลวยที่ถูกจับให้พาดบ่าอีกข้างหนึ่งนั้นก็ดูลื่นมือ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากนางไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านที่พลัดหลงเข้ามาในอาณาเขตของซีโจวจนมาเจอกับเขา ก็คงจะได้ตบแต่งจนกลายเป็นภริยาของท่านอ๋องคนใดคนหนึ่งเป็นแน่



    และแค่เพียงคิดเช่นนั้น องค์รัชทายาทผู้ไม่มีสิทธิตัดสินความเป็นส่วนตัวใดๆของตนก็น้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาเสียดื้อๆ



    ภายในตำหนักบัวที่ไร้สุ่มเสียงของบทสนทนาใดๆ เพียงไม่นานก็ถูกเติมเต็มไปด้วยท่วงทำนองของเครื่องดนตรีเพียงหนึ่งเดียว เช่นเดียวกันกับที่เวลาได้ผ่านพ้นเลยไปจนเกือบจะถึงหนึ่งก้านธูป รู้สึกตัวอีกทีจีเซี่ยวก็กำลังจะหยุดมือที่กำลังบรรเลงไปบนสายต่างๆมานานเพราะความเมื่อยล้า แต่ทันทีที่เคลื่อนสายตาไปมองใครอีกคนที่ควรจะนั่งทำราชกิจของตนอยู่ในห้องนั้นด้วย หญิงสาวก็กลับมองเห็นร่างสูงโปร่งขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์กำลังฟุบกายอยู่เหนือโต๊ะหนังสือที่ได้พกพามันมาด้วยเสียอย่างนั้นแทน





    จีเซี่ยวจดจ้องมองอีกฝ่ายราวกับเด็กตัวน้อยๆที่ผล็อยหลับไปเพราะเล่นซุกซนมาทั้งวี่ทั้งวัน ใบหน้าคมคายวางอยู่เหนือแขนในขณะที่พู่กันแต้มหมึกสีดำนั้นก็ถูกวางเอาไว้อยู่ด้านข้าง ดูท่าทางแล้วเขาคงคิดที่จะพักผ่อนไปเพียงชั่วครู่เท่านั้นแต่คงคิดไม่ถึงเอาว่าตนเองจะหลับไปเสียอย่างนี้ ทำเอาเกิดคำถามขึ้นภายในจิตใจของหญิงสาวผู้กำลังแสดงสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้ ว่าตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาได้พักผ่อนโดยไม่คำนึงถึงประชาชนอย่างจริงๆจังๆเสียที ? 




    ลมหายใจที่ถูกผ่อนออกบ่งบอกถึงอาการตัดสินใจบางอย่าง ปลายนิ้วมือที่หยุดชะงักไปก่อนหน้านี้จึงได้เริ่มที่จะบรรเลงบทเพลงอื่นๆอีกครั้ง ดวงตากลมที่เคยนิ่งสงบนั้นก็ฉายแววขบขันเพียงชั่ววินาที พอดิบพอดีกับริมฝีปากหยักที่ได้กดโค้งลงมาเพื่อแย้มยิ้มหลังจากที่ได้ถอนสายตาออกมาจากร่างกายขององค์รัชทายาทผู้ที่ได้จมเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว




    _______________________

    #Xslibrary

    แคว้นซีโจว - ราชวงศ์โจวตะวันออก เป็นหลังช่วงจีนห้องสิน(กำเนิดเทพจีน)ได้กำเนิดขึ้นแล้ว
    ไท่จื่อ - รัชทายาท
    โจวกงหวาง - หวาง มีตำแหน่งเป็นเจ้าแค้วน ในสมัยซีโจวยังไม่มีตำแหน่งฮ่องเต้ แต่เทียบเท่า
                        กันได้ในสมัยโบราณ / พระเจ้าโจวกง กษัตริย์ลำดับที่ 6 ของราชวงศ์โจว
    ชุน - หน่วยนิ้ว
    เปิ่นหวาง - คำแทนตัวองค์ชาย
    ไท่จื่อเฟย - ว่าที่พระชายาของรัชทายาท
    กุ้ยเฟย - (สมัยราชวงศ์โจว) มีพระสนมยศ เฟย สามพระองค์ กุ้ยเฟย เป็นรองหวงโฮ่วลงมา
    กู่เหนียง - ใช้เรียกแม่นาง (ที่ยังไม่ได้แต่งงาน)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×