คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SHOT 1]
SHOT1
“เธอจะไปร้านนมอีกแล้วเหรอ?” ฉันพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับเพื่อนสนิทของฉันที่อิมพอร์ตมาจากแคนาดาซึ่งกำลังขมวดคิ้วใส่ฉันหลังจากที่บอกว่าจะไปยังคาเฟ่ที่อยู่ด้านหน้ามหาลัยของพวกเรา
“ฉันเห็นเธอไปกินของหวานที่นั่นมากกว่าจะเป็นข้าวที่โรงอาหารมาสามวันติดแล้วนะ จะกินแทนข้าวจริงดิ?” ซึงฮวานยังคงถามฉันไม่เลิก จริงๆแล้วเธอจะพยักหน้าแล้วเดินกลับไปเหมือนซูยองก็ยังได้ แต่พอดีว่าเธอค่อนข้างจะเป็นพวกชอบใส่ใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง
“ก็ฉันไม่อยากอาหารเท่าไหร่นี่น่า”
“เธอควรจะเอาโปรตีนใส่ร่างกายบ้างสิ”
“ค่าแม่”
“คังซึลกี! ฉันเป็นห่วงนะ” พอเห็นซึงวานทำหน้ายุ่งแบบจริงจังฉันก็หลุดขำออกมาอย่างเอ็นดู ซึงวานมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ทั้งร่าเริง และเป็นห่วงคนอื่นอยู่บ่อยๆ ไม่แปลกที่ใครๆจะหลงรักยัยแสนดีคนนี้ ฉันกับเธอเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ม.ปลายยันปี 2 แล้ว ฉันรู้ดีหรอกน่า
“โอเคๆ ฉันสัญญา เย็นนี้ฉันจะไปเอาโปรตีนใส่ตัวตอนเย็นกับพวกเธอ โอเคมั้ย?” หลังจากพูดแบบนั้นซึงวานก็ดูจะพอใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ฉันโบกมือให้เธอก่อนจะบอกว่าไว้ค่อยเจอกันเมื่อถึงเวลาเรียนคาบบ่ายแล้วตรงไปยังประตูทางออกของมหาลัยของตัวเอง
คาเฟ่ที่ฉันพูดถึงตรงอยู่ตรงข้ามกับมหาลัยของฉันเยื้องๆไปตรงหัวมุมถนน ร้านตกแต่งด้วยบรรยากาศคลาสสิกแบบที่ฉันชอบ…ฉันไม่ได้โบราณอะไรขนาดนาฬิกาคุณปู่หรอกนะ แค่ชอบสะสมอะไรที่มันเก่าๆ เพราะมันดูเก่าแบบมีราคาต่างหาก
กรุ้งกริ่ง~~
เสียงกระดิ่งที่คุ้นเคยสำหรับฉันดังขึ้นทุกครั้งที่ฉันเปิดมัน ก่อนที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆตัวร้านที่ไม่ใช่แค่ฉันมานั่งในนี้ นักศึกษาหลายคนก็มานใช้เวลาพักเที่ยงที่นี่อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน และมันก็เหมือนทุกๆวันที่จะมีนักศึกษาผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเพราะนักร้องชายที่กำลังดีดกีต้าร์อยู่บนแท่นโชว์เล็กๆนั่นร้องเพลงให้ลูกค้าฟังเช่นเคย
“กรี๊ด จองกุกหล่อชะมัดเลยเธอ”
“คนอะไรจะขยับไปทางไหนก็ดูน่ารักไปหมด~~”
นั่นเป็นประโยคเคยชินที่ฉันได้ยินมาตั้งแต่เข้ามาในคาเฟ่นี้เมื่อขึ้นปีสองใหม่ๆ จอนจองกุก เป็นที่รู้จักกันในฐานะนักศึกษาปีหนึ่งที่มีความสามารถเป็นเลิศเกี่ยวกับดนตรี เขาค่อนข้างจะป็อปทีเดียวแหละ แต่ก็นะ นี่ไม่ใช่คนที่ฉันเล็งเอาไว้สักหน่อย
คิดถูกแล้วค่ะ ที่ฉันมาคาเฟ่นี่บ่อยๆจนซึงวานบ่นเพราะฉันแอบชอบคนๆหนึ่งอยู่
คนที่ฉันชอบเขาเป็นเจ้าของร้านค่ะ ชื่อว่าเบ—
“อ้าว ซึลกี”
“พ..พี่จูฮยอน” ฉันตอบเสียงสั่นไปเล็กน้อยเพราะตกใจเนื่องจากว่าฉันไม่ได้รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายเข้ามายื่นเงยหน้ามองฉันในระยะ15 เซนติเมตรตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างบางตรงหน้ายิ้มน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางของฉันซึ่งคิดดูแล้วมันคงจะตลกสิ้นดี
“มายืนบื้ออยู่หน้าประตูร้านพี่ทำไม จะไม่ให้คนอื่นเข้าร้านหน่อยเหรอคะ?”
ประโยคของเธอทำให้ฉันระลึกสติได้ว่ายืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว จึงส่งยิ้มแหะๆไปให้ก่อนจะไปหาที่นั่งมุมเดิมที่ฉันและพรรคพวกเคยมานั่ง
“เอาขนมปังเนยกับชามะนาวใส่น้ำผึ้งเหมือนเดิมใช่หรือเปล่าคะ” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้จัดแจงท่านั่งหรือเอ่ยปากอะไรออกไปผู้หญิงที่สวมผ้ากันเปื้อนสีแดงทำเสื้อเชิ้ตสีขาวก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเล็กๆเช่นเคย ฉันพยักหน้ารับและนั่งมองพี่เขาไปรับออเดอร์จากโต๊ะอื่นๆระหว่างรอมื้อกลางวันของตัวเอง
พี่เบจูฮยอน หรือ ไอรีนในแบบที่ฝรั่งอย่างซึงวานเรียก เป็นเจ้าของร้านคาเฟ่ที่ฉันกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ อายุมากกว่าฉันและเรียนจบแล้ว เพราะก่อนหน้านี้คาเฟ่ที่นี่เมื่อตอนปีหนึ่งคุณนายเบมารับช่วงแทนเพราะลูกสาวของเธอยังคงเรียนมหาลัยอยู่ และทันทีที่เธอเรียนจบก็มารับช่วงต่อกลายเป็นเจ้าของร้านเต็มตัวเมื่อได้ไม่นาน และฉันก็เพิ่งได้พบพี่เขาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองแหละ..
หน้าตาภายใต้กรอบแว่นกลมๆดูน่ารักจนผู้หญิงตาชั้นเดียวอย่างฉันแอบอิจฉา รวบผมสีเข้มขึ้นไว้เป็นหางม้าไหวไปมาเกลี่ยกับแผ่นหลัง ริมฝีปากเล็ก สันจมูกโด่งเข้ากันดี เรือนร่างบอบบางเข้ากับส่วนสูงได้พอดิบพอดีดูน่าถะนุถนอม แต่ถึงแม้จะตัวเล็ก ฉันก็แอบจินตนาการอยู่บ่อยๆว่าใต้เนื้อผ้าพวกนั่นมันคงจะมีของดีอยู่แน่ๆ
หวาย….ซึลกี เอาอีกแล้วนะ!
“ไม่สบายเหรอคะ?” เสียงของพี่จูฮยอนทำให้ฉันลืมตาและเอามือที่ลูบหน้าตัวเองเพราะความเขินออก กระพริบตาปริบๆหมองหน้าพี่เขาหลังจากที่เสิร์ฟจานขนมปังสองแผ่นและชามะนาวใส่น้ำผึ้งให้กับฉัน เพราะแทนที่พี่เขาจะกลับไปรับออเดอร์คนอื่นๆ พี่จูฮยอนดันนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับฉันแทน
“อ อ๋อเปล่าค่ะ ฉันแค่มัวคิดอะไรนิดหน่อย” ตอบกลับไปส่งๆเพราะพี่เขาคงจะไม่นึกสงสัยหรือถามอะไรอยู่แล้ว
แต่ผิดคาด เมื่อพี่จูฮยอนเท้าคางและเอียงคอนิดๆ พร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานนิดๆ จ้องหน้าฉันแทนเสียอย่างนั้น
“ม มีอะไรเหรอคะ” ฉันพูดเมื่อมันเกิดความเงียบนานเกินนาทีเพราะพี่จูฮยอนเอาแต่จ้องหน้าฉันและยิ้มอยู่แบบนั้นจนฉันแอบปวดกล้ามเนื้อตรงแก้มแทน ก่อนจะคว้าขนมปังเข้าปากเพราะไม่รู้ตัวว่าควรจะทำยังไงในตอนนี้ดี
“พี่แค่สงสัยน่ะ…ซึลกีมากินขนมร้านพี่แทบจะทุกมื้อ แต่ซึลกีไม่อ้วนเลยนะคะ” นี่พี่เขาแอบมองฉันหรือไงถึงได้รู้ว่าฉันไม่มีพุงน่ะ ยัยซูยองกับซึงวานใช้มันเป็นหมอนออกบ่อยจะตาย
“ฉันไม่ได้ผอมขนาดที่พี่คิดหรอกค่ะ ฉันเป็นพวกออกแก้มน่ะ”
“…แต่พี่ชอบแก้มแบบนี้นะ” ไม่พูดเปล่า พี่จูฮยอนยังยื่นมือมาหยิกแก้มฉันเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือมาปาดอะไรบางอย่างที่มุมปากของฉัน
และส่งนิ้วที่เปื้อนเนยน้อยๆนั่นแตะลงบนลิ้นเล็กๆของตัวเองช้าๆราวกับรู้ว่าฉันกำลังมองอยู่ เล่นเอาขนมปังทาเนยที่อยู่ในปากฉันเกือบไม่ขยับลงไปที่กระเพาะเลยทีเดียว
...ฉันพนันได้เลยว่าหน้าฉันมันต้องเผลอแดงออกมาแน่ๆ
“ดูท่าว่าที่นั่งตรงนี้จะค่อนข้างร้อนนะคะ” ฉันสาบานได้ว่าฉันเห็นพี่จูฮยอนกำลังหัวเราะเยาะฉัน และฉันก็ทำได้เพียงแค่หยิบชามะนาวมาจิบแก้อาการฟืดคอไปเท่านั้น แต่พอเห็นพี่จูฮยอนพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจังก็พอทำให้บรรยากาศตะกุกตะกักแบบนี้คลายลงไปได้
“แต่ว่า เราน่ะ กินของหวานเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพหรอกนะ”
“พี่พูดเหมือนซึงวานเลยนะคะ นี่ก่อนมาก็ฉันก็โดนว่าเรื่องนี้เหมือนกัน ฮ่ะๆ” ฉันหัวเราะเพราะว่านึกถึงเพื่อนสนิทที่ชอบทำตัวเป็นเหมือนคุณแม่ แต่อยู่ๆบรรยากาศรอบตัวของฉันก็เงียบลงสะเฉยๆเกินนาที ราวกับใครมาปิดสวิตซ์เครื่องทำความร้อน ทำให้ฉันเงยหน้าจากแผ่นขนมปังขึ้นไปมองคู่สนทนาคนสวย แต่ก่อนที่จะได้พูดหรือสงสัยอะไร พี่จูฮยอนก็ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วหันกลับไปรับออเดอร์คนอื่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ลูกค้าคงจะเข้าร้านเยอะเลยไม่มีเวลาพูดสักวิเลยล่ะมั้ง…
“เนื้อย่าง~~เนื้อย่าง~~” ซูยองและซึงวานร้องเพลงอย่างมีความสุขหลังจากที่เราเรียนคลาสสุดท้ายของวันเสร็จเรียบร้อยและตรงไปที่ร้านเนื้อย่างกัน
เฮ้อ~
แต่ในหัวของฉันยังคิดถึงเรื่องของพี่จูฮยอนอยู่เลย
เพราะตั้งแต่ตอนนั้นแม้กระทั่งตอนจ่ายเงินพี่จูฮยอนยังไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ
คงไม่ได้ทำอะไรผิดไปใช่มั้ยเนี่ย
“อ้ะ!!” จู่ๆซูยองก็อุทานออกมาเสียงดังในตอนที่เราเดินออกมาใกล้กับทางออกมหาลัยแล้ว และมันก็ทำให้ฉันสะดุ้งหลุดจากภวังค์ความคิดในที่สุด
“ฉันลืมแท็บเล็ตไว้ที่คลาสของอ.ฮ่าฮ่า เวนดี้ ไปเป็นเพื่อนฉันที” ไม่ได้ถามไถ่ความสมัครใจของเพื่อนสนิทเธอเลยสักนิด เพราะซูยองคว้าข้อมือของซึงวานแล้วดึงไปโดยที่เจ้าตัวไม่ลืมโวยวายเสียงดัง
“ทำไมฉันต้องไปด้วยเล่า!”
“ก็ฉันกลัวสายตาอ.ฉันถึงได้ให้เธอไปกลัวเป็นเพื่อนกันไง รอตรงนี้ก่อนนะตึลกี แปบเดี๋ยว!” ฉันทั้งโบกมือให้ซูยองและพยักหน้ายิ้มๆให้ซึงวานอย่างนึกสงสาร เตะเท้ารอเพื่อนทั้งสองคนและกวาดสายตามองนักศึกษาที่พูดกันเรื่องเรียนหนักจนเวลาล่วงเลยถึงหกโมงเย็นเช่นวันนี้
แต่ว่าสายตาของฉันดันมองไปยังคาเฟ่ที่ถ้าเป็นปกติตอนเย็นฉันคงจะไปนั่งเล่นที่นั่นก่อนกลับบ้านเพื่อมองหน้าพี่จูฮยอนก่อนนอนให้หลับฝันดี แต่เพราะว่าวันนี้คาเฟ่ที่น่ารักนั่นกลับปิดก่อนเวลานั่นแหละที่ทำให้ฉันนึกสงสัย
มีอะไรหรือเปล่านะ?
แต่ยังไม่ทันที่ฉันได้คิดถึงคำตอบ ผู้หญิงคนหนึ่งกลับเดินออกมาจากประตูทั่วไปในชุดเดรสสั้นสีแดงเพลิง และเธอกำลังชะเง้อหน้ามองหาแท็กซี่สักคัน
พระเจ้า คนอะไรสวยขนาดนี้
แต่ว่า…
นั่นมันพี่จูฮยอนไม่ใช่เหรอ!!
โฮลี่ มอลลี่ เกิดอะไรขึ้นกับพี่จูฮยอน
ไวกว่าความคิดฉัน ฉันรู้สึกได้ว่าขาของฉันกำลังวิ่งไปที่หน้าร้านคาเฟ่นั่นโดยไม่มีเหตุผล เพียงแต่ต้องการจะดูให้แน่ใจว่านี่คือคนคนเดียวกันกับพี่จูฮยอนที่ฉันรู้จัก
หมับ!
“อ้ะ!...ซึลกี” เมื่อฉันคว้าหมับเข้าที่แขนและเจ้าของแขนหันหน้ามา มันก็ทำให้ฉันต้องหยุดนิ่ง เพราะใบหน้าที่ถึงแม้จะถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์แบบเต็มยศฉันก็รู้ทันทีว่านี่แหละใช่!
“พี่จูฮยอน นี่พี่กำลังจะไปไหนคะ? แล้วทำไม..ถึงได้…” ฉันไล่มองพี่เขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องผิดมารยาทแต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ ผมสีเข้มที่เคยรวบหางม้าเอาไว้ตลอดถูกปล่อยคลอเคลียกับซอกคอขาวและแผ่นหลังที่เดรสสีแสบตานี่แหวกให้เห็น เรียวขาที่ฉันเคยชื่นชมผ่านกางเกงสกินนี่แบบยืดในเวลาทำงานตอนนี้ฉันก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ริมฝีปากเล็กๆที่ฉันเคยแอบมองถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีเข้ม และความมั่นใจที่แผ่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้ของผู้หญิงคนนี้…
…นี่คือเบจูฮยอน…ตัวจริงเสียงจริงงั้นเหรอ
ในระหว่างที่ฉันกำลังมองการแต่งกายและลุคที่เปลี่ยนไปของเธอ เจ้าของแขนก็สะบัดมือฉันออก เลื่อนมันไปไขว้กันไว้ตรงหน้าของอกตัวเองแล้วหันหน้าหนี
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ ฉันจะไม่ตอบอะไรทั้งนั้น”
น้ำเสียงแบบนี้คงจะโกรธอยู่แน่ๆ ว่าแต่มันเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย..เฮ้อ
“ก็ได้..ฉันไม่อยากรู้เรื่องนั้น แต่อยากรู้เรื่องนี้”
“…”
“พี่โกรธอะไรฉันคะ?”
นิ่งไปอึดใจใหญ่กว่าผู้หญิงตรงหน้าฉันจะหันกลับมา และสาบานได้เลยว่าฉันไม่เคยเห็นพี่จูฮยอนเหยียดยิ้มแล้วรู้สึกกลัวขนาดนี้มาก่อนเลย…
“อยากรู้…ก็ไปกับฉันสิ”
___________________________________
ผลงานอื่นๆเกี่ยวกับrvvอยู่ในบอร์ดค่ะ :D
#ฟิคหมีไร้เดียงสา
◊ SQWEEZ
ความคิดเห็น