คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2 ความศรัทธาที่หายไป
บทที่2 ความศรัทธาที่หายไป
เช้าวันจันทร์ที่เหมือนจะเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ฉันต้องตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงแตกของกระจกหน้าต่าง ที่อยู่ถัดจากเตียงนอนของฉันไป 1 เมตร ฉันสะดุ้งตื่นและลุกขึ้นโดยอัตโนมัติพร้อมกับหันหน้าไปมองบริเวณที่เกิดเสียงอันไม่น่าพิศมัยขึ้น ด้วยคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวว่า ‘นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย!’ แต่คำตอบที่ได้รับจากการมองสำรวจกระจกหน้าต่างที่แตกเป็นรูโหว่ รวมถึงเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แตกกระจายอยู่บนพรมสีฟ้าบนพื้นห้อง โดยมีก้อนอิฐสีน้ำตาลวางเด่นเป็นสง่าอยู่ที่พื้นห้อง ทำให้ฉันมีคำตอบที่น่าฉงนอยู่เพียงข้อเดียวในหัวคือ มีใครบางคนขว้างก้อนอิฐก้อนนั้นมาที่หน้าต่างห้องนอนของฉัน เพื่อปลุกให้ฉันตื่นขึ้น ไม่ใช่ สิ ใครคนนั้นอาจจะมีจุดประสงค์อื่น แต่ที่แน่ๆ คือไม่ได้หวังดีต่อฉันหรือกระจกหน้าต่างของฉันแน่ๆ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะรู้ได้ว่าใครคือผู้ประสงค์ร้ายคนนั้น ประตูห้องนอนของฉันก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว
“เอิร์น!! เป็นอะไรรึเปล่าลูก!!”
แม่ของฉันดูจะตื่นตกใจพอสมควร แล้วยิ่งเห็นสภาพหน้าต่างในขณะนี้แล้ว ก็ทำเอาเธอถึงกับอึ้งไป 2-3 วินาที ก่อนที่จะหันหน้ามาถามฉันด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่าลูก”
“ไม่เลยค่ะ”
ฉันตอบพลางสำรวจตัวเอง
“ใครขว้างก้อนอิฐขึ้นมาอย่างนี้นะ!!แย่จริงๆเลย!!นี่ถ้าโดนหัวใครเข้า คงต้องพาเข้าโรงพยาบาลแน่ๆ!!”
แม่บ่นไปขณะที่เก็บเศษกระจกลงในถังขยะขนาดเล็กที่ตั้งไว้มุมห้อง
ฉันลุกขึ้นยืนบนเตียงพร้อมกับพับผ้าห่มเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้ววางไว้ที่ปลายเตียงก่อนที่จะก้าวขาลงมาเพื่อจะไปอาบน้ำในห้องน้ำ แต่ถึงแม้จะตั้งใจเดินด้วยความระมัดระวังเพียงใดก็ดูจะไร้ความหมาย เพราะกว่าที่ฉันจะเดินไปถึงห้องน้ำ เท้าของฉันก็มีแผลจากการที่โดนเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยบาดอยู่ 2-3 แผล ถึงแม้แผลเหล่านี้จะเป็นแผลเล็กๆ แต่เลือดก็ดูท่าจะไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ สุดท้ายฉันก็ต้องหาพลาสเตอร์มาปิดที่แผล ถึงแม้มันจะสร้างความรำคาญให้ฉันพอสมควรก็ตาม
หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคในยามเช้าเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็ดูจะเริ่มเป็นปกติ ฉันหยิบขนมปังที่นำมาจากบ้านออกมาจากกระเป๋า เพื่อรับประทานเป็นอาหารเช้าระหว่างการเดินเท้าไปโรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก การที่มีบ้านอยู่ใกล้กับโรงเรียนเป็นเรื่องโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตสำหรับฉัน เพราะการที่ไม่ต้องตื่นเช้ามาก ทำให้ฉันดูค่อนข้างจะสดชื่นกว่าใครๆในชั้นเรียนหรือบางทีอาจจะรวมถึงใครๆหลายคนในโรงเรียน อีกทั้งการที่สามารถเดินมาโรงเรียนได้เองโดยไม่ต้องรู้สึกหม่นหมองต่อการจราจรที่ไม่เคยราบรื่น ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กผู้โชคดีคนหนึ่ง โดยเฉพาะในวันที่ยุ่งเหยิงเช่นวันนี้ เพราะฉันแน่ใจว่าฉันจะยังไปโรงเรียนทันเวลาเข้าแถว หรืออาจจะไปถึงก่อนด้วยซ้ำไป
แต่ความรู้สึกโชคดีของฉันก็จางหายไปแทบจะในทันที เมื่อฉันเริ่มรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่จากทางด้านหลัง ฉันเกลียดความรู้สึกนี้จริงๆเพราะมันจะทำให้ฉันประสาทเสียทุกครั้งที่ต้องระแวงอยู่อย่างนี้ และในวันนี้ก็เป็นวันที่ฉันฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ฉันกำลังจะมีอายุครบ 16 ปีในวันพรุ่งนี้ การที่ยังเป็นเด็กขี้ระแวง ขี้สงสัย และชอบจินตนาการไร้สาระ คงจะไม่เป็นผลดีต่อความตั้งใจที่เปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเป็นแน่ เพราะการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ฉันจำเป็นที่จะต้องตัดนิสัยแบบเด็กๆทิ้งไป แล้วหันมาจริงจังกับชีวิต จริงจังกับการเรียน จริงจังกับอนาคตให้มากขึ้น รวมถึงการเลิกจินตนาการถึงเทพนิยายเพ้อฝันและการผจญภัยกับสัตว์ประหลาดโดยมีดาบคู่ใจ นั่นก็ควรเลิกเสียที เพราะในความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์ที่จะมีผีชีวะออกมาอาละวาดในเมืองยังดูน่าจะเป็นจริงมากกว่าที่จะมีนกยักษ์ขนสีทองบินอยู่บนท้องฟ้าโดยมีเจ้าชายรูปงามเป็นผู้ควบคุมนกยักษ์ตัวนั้น
ฉันนึกขำกับความคิดไร้สาระของตัวเองได้สักพักหนึ่งแต่ก็ต้องหยุดชะงักไป เมื่อสายตาของฉันได้เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนพื้นซีเมนต์ มันเป็นเงาขนาดใหญ่ประมาณ 3 เมตร และ ถ้าสายตาของฉันไม่ได้ฝาดไปในชั่วขณะ เงานั้นกำลังสยายปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้างออกมาข้างลำตัว และเสียงร้องที่เหมือนเหยี่ยวนั้นก็ทำให้ฉันฝืนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีอะไรอยู่บนนั้น มีเพียงท้องฟ้าที่ว่างเปล่ากับเมฆกลุ่มบางๆที่เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ ฉันพยายามตั้งสติ สลัดความคิดเรื่องนกยักษ์ออกไปโดยใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการยัดเยียดความคิดเรื่องเครื่องบินเข้าไปแทน เพราะบางที ไม่ใช่สิ ที่จริงแล้ว เงาที่ฉันเห็นคือเงาของเครื่องบินต่างหาก ไม่ใช่นกยักษ์หรอก มันต้องเป็นอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่นกยักษ์แน่ๆและการที่เงาที่ฉันเห็นจะเป็นเงาของเครื่องบินมันก็ดูจะสมเหตุสมผลดี ฉันพยายามดึงตัวเองให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเอาเสียเลยเพราะในวันนี้ ขณะที่ฉันกำลังเขียนบันทึกเพื่อเล่าเรื่องราวย้อนหลังให้ฟังอยู่นี้ ฉันอยากจะบอกเลยว่า ถ้าฉันสามารถย้อนเวลาไปได้ในวันนั้น สิ่งที่ฉันจะทำเป็นอย่างแรกคือเชื่อใจตัวเอง แล้ววิ่งกลับไปเอาตำราสัตว์ประหลาดที่ฉันเคยสะสมและรวบรวมข้อมูลขึ้นมาเอง มาจากที่บ้านทั้งหมดนำมาใส่กระเป๋าเป้พร้อมกับวิ่งไล่ตามนกยักษ์ตัวนั้นไป แต่ในเมื่อโอกาสได้หลุดลอยออกไปแล้วสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ในตอนนี้ ก็คงจะมีแต่การจดบันทึกและนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ฉันจำได้
หลังจากที่ฉันดึงตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้แล้ว ฉันก็เริ่มมตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปเพื่อที่จะได้ไปถึงโรงเรียนเสียที โดยออกจะมีอาการหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะเริ่มรู้ตัวว่า ตนเองได้ทำขนมปังที่กัดไปได้เพียงคำเดียวตกพื้นไปตอนที่กำลังช็อกเรื่องเงาขนาดยักษ์อยู่ แต่ในที่สุดฉันก็มาถึงโรงเรียนและเข้าห้องเรียนได้โดยสวัสดิภาพ
การเรียนในห้องเรียนชั่วโมงแรกทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็นเพราะการประกาศคะแนนสอบในวันนี้มีรายชื่อฉันติดอยู่ในอันดับคนที่ได้คะแนนระดับดีเยี่ยม ซึ่งทำเอาฉันยิ้มหน้าบานอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เพราะการที่เด็กที่หัวไม่ดีอย่างฉันจะทำข้อสอบได้คะแนนดีเยี่ยมเป็นเรื่องที่นานๆทีจะเกิดขึ้นหนึ่งครั้งและมันก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าการอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนให้มากกว่าคนอื่นหลายเท่า สามารถช่วยให้ฉันมีคะแนนดีขึ้นได้จริงๆเสียด้วย แต่นั่นก็คงยังไม่ทำให้ฉันสามารถเทียบเท่ากับเพื่อนคนหนึ่งของฉันได้ เธอคนนั้นชื่อ ’ปอล’ ลักษณะโดยรวมแล้วเธอดูค่อนข้างจะเป็นคนที่คล่องแคล่วและมีความอดทน ถึงแม้จะไม่ได้มีหน้าตาที่สระสวยโดดเด่นอะไรนัก แต่เธอก็เป็นเพื่อนผู้จริงใจคนหนึ่งและสามารถรับได้กับทุกรูปแบบการพูดของเพื่อนๆ ถึงแม้ภาษาที่คุณพูดจะฟังดูหยาบคายสักแค่ไหน โดยเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ที่เจ้าระเบียบหลายๆคน แต่เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการจะใช้ภาษาที่ว่านั่นพูดกัน เราก็เพียงแค่หาที่เหมาะๆที่ห่างไกลจากผู้ใหญ่เจ้าระเบียบก็เท่านั้นเอง แล้วการพูดคุยของพวกเราก็จะมีอรรถรสยิ่งขึ้น
และในช่วงพักเที่ยงของวันนี้ การหยิบยกเรื่องคะแนนสอบออกมาพูดกันก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยดีเพราะทุกคนค่อนข้างจะทำคะแนนได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่เรื่องสุดท้ายที่ฉันยกขึ้นมาพูดในวงสนทนานั้น ก็ไม่พ้นเรื่องหนึ่งที่ฉันค้างคาใจมานาน
“นี่ ถามหน่อย เรียนจบแล้วจะทำอาชีพอะไรกัน”
“ทันตแพทย์มั้ง”ปอลตอบ
“นักเขียนการ์ตูนไส้แห้ง หรือไม่ก็นักแต่งนิยายมั้ง ฮะฮะ” เบลล์ตอบอย่างไม่จริงจังอะไรมากมายนั
“แล้วเอิร์นหละ อยากเป็นสถาปนิกไม่ใช่เหรอ”เบลล์หันมาถามฉันบ้าง
ฉันนั่งครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่จะเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับฉันในตอนนี้
“มันก็ใช่หรอกนะ แต่มาตอนนี้ชักเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจซะแล้วสิว่าชอบจริงรึเปล่า เพราะที่เราตอบใครๆว่าอยากเป็นสถาปนิกก็เพราะคิดว่าอาชีพสถาปนิกคงเหมาะกับเราที่สุดแล้วก็แค่นั้น”
ฉันตอบกลับด้วยอาการที่เรียกว่าสับสนในชีวิต แต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดของฉัน เพราะความจริงแล้วฉันมีอาชีพที่อยากเป็น และเคยคิดว่าฉันสามารถทำได้ นั่นก็คืออาชีพอัศวินผู้คอยคุ้มครองเหล่าเชื้อพระวงค์ หรือ นักเวทย์ผู้คอยปราบปีศาจร้ายและช่วยเหลือผู้คน มันคงจะเป็นเรื่องตลกอย่างที่สุดถ้าหากวันนึงฉันบอกความจริงนี้กับทุกคนว่าฉันอยากเป็นจะอะไรในอนาคต แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ฉันเคยหวังอย่างจริงจังว่ามันจะเป็นไปได้ ครั้งหนึ่ง ฉันเคยทำถึงขนาด ไปยืนอ้อนวอนอยู่ที่ระเบียงบ้านในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเพื่อขอร้องให้ฉันได้เจอการผจญภัยที่เหมือนกับในนิยาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในคืนนั้น แต่ฉันไม่รู้หรอกว่า การผจญภัยได้ถูกตระเตรียมไว้หรับฉันโดยเฉพาะแล้วตั้งแต่คืนนั้น และมันก็กำลังใกล้เข้าโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลย
เมื่อกริ่งเตือนเวลากลับเข้าห้องเรียนดังขึ้น พวกเราจึงพากันเดินกลับไปที่อาคารเรียนเพื่อจะเรียนวิชาต่อไปแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินขึ้นบันได ชายคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาฉันและดึงแขนขวาของฉันไว้ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสีหน้าซีดเซียว
“อ.....เอิร์น.....ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย....” ชายคนนั้นพูดในขณะที่ยังหอบอยู่
“เปล่านี่....เอิร์นไม่ได้เป็นอะไร แล้วพี่เชนหละเป็นอะไรไป ทำไมถึงวิ่งมาแบบนี้..”ฉันถามชายผู้ที่อยู่ตรงหน้าฉันด้วยความเป็นห่วง
“แล้วเอิร์นไปทำอะไรที่หลังโรงเรียนมาบ้างรึเปล่า”พี่เชนถามฉันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“เปล่านะ เอิร์นอยู่กับเพื่อนที่ข้างตึกนี่แหละ ไม่ได้ไปไหนเลย มีอะไรรึเปล่า” ฉันเริ่มสงสัยและรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
“ก็พี่เห็นเอิร์นอยู่ที่หลังโรงเรียนนี่นา แล้วก็มีเลือดโชกเลยนี่” พี่เชนก้มหน้าพูดด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนจะพูดอยู่กับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับฉัน แต่ฉันและเพื่อนก็ยังพอจะได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“ห๊า!!!” ฉันและเพื่อนตะโกนด้วยความตกใจทันทีที่พี่เชนพูดจบ
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก..........ขอโทษนะที่พูดอะไรแปลกๆไป.........ขอตัวก่อนนะ”พี่เชนทำหน้าเคร่งเครียดถึงแม้ปากจะปฏิเสธว่าไม่มีอะไรก็ตาม แต่ดูจากสีหน้าที่เหมือนกำลังไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ขณะที่เดินจากไปนั้น ทำให้ฉันรู้สึกใจเสียไม่น้อย และเป็นผลให้การเรียนในช่วงบ่ายของฉันแทบจะไม่มีสมาธิเหลืออยู่เลย
เมื่อถึงเวลาสี่โมงเย็น ฉันร่ำลาเพื่อนแล้วเดินตรงไปที่ประตูโรงเรียนเพื่อจะกลับบ้าน แต่เมื่อเดินพ้นประตูไปได้เพียง 4 ก้าว ฉันก็ไม่กล้าที่จะเดินต่อไป แต่กลับเดินกระสับกระส่าย วนไปวนมาอยู่ตรงนั้นด้วยความกลัวว่า จะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับฉันอีกครั้ง และฉันก็ค่อนข้างจะเป็นกังวลเรื่องความเข้าใจผิดของพี่เชน ที่เห็นฉันอยู่หลังโรงเรียนในตอนกลางวันด้วย เพราะสำหรับคนที่รู้จักพี่เชนดีอย่างฉัน ย่อมรู้ดีว่า พี่เชน เป็นชายคนหนึ่งที่มีสัมผัสพิเศษที่ดีเยี่ยม แต่มักจะไม่ค่อยได้นำออกมาใช้นัก และการที่อยู่ดีๆมีคนที่มีสัมผัสพิเศษมาบอกฉันว่า เห็นฉันมีเลือดท่วมตัว ไม่ว่าใครก็ตามก็คงจะกลัวไปตามๆกัน ฉันครุ่นคิดและชั่งใจตัวเองอยู่สักพักก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งเรียกฉันมาจากทางด้านหลัง
“จะกลับบ้านแล้วเหรอ” พี่เชนถามพร้อมกับเดินมาทางฉัน ฉันหันกลับมายิ้มให้ก่อนที่จะถามกลับไป
“ค่ะ แล้วพี่หละ กำลังจะกลับบ้านเหรอคะ” ฉันถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่ได้
เสแสร้งแต่อย่างใด ฉันมักจะเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง เมื่อได้เจอพี่เชนในช่วงที่ฉันมีเรื่องทุกข์ใจหรือรู้สึกไม่สบายใจ แล้วส่วนมากเขาก็มักจะปรากฏตัวอย่างถูกเวลาเสมอ(ยกเว้นเมื่อตอนเที่ยงของวันนี้)
พี่เชนจะเป็นผู้ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล ใจเย็น มีอารมณ์ขัน และอบอุ่น ครั้งหนึ่งฉันเคยรวบรวมความกล้าที่จะบอกกับเขาว่า ฉันรู้สึกอย่างไรกับเขา แต่ก่อนที่ฉันจะทันพูดอะไรออกไป พี่เชนก็ยิ้มให้ฉัน เหมือนกับว่าเค้ารู้แล้วว่าฉันกำลังจะพูดอะไร และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเขาได้พูดขึ้นมาก่อนว่า ‘ขอบคุณนะ พี่เองก็รู้สึกเหมือนกับเอิร์น แต่พี่คิดว่า รอให้เรารู้จักกันดีกว่านี้ก่อนจะดีกว่ามั้ย อย่าเพิ่งปิดกั้นตัวเองจากคนดีๆคนอื่นที่อาจจะผ่านเข้ามาในชีวิตเอิร์น และขอให้พี่ได้เป็นเพียงตัวเลือกคนหนึ่งสำหรับเอิร์นดีกว่านะ’ แล้วฉันก็ตอบรับคำพูดนั้นด้วยอาการงงนิดๆ แต่ก็พอจะเข้าใจในคำพูดและความรู้สึกของเขา หลังจากนั้นฉันก็เหมือนจะมีพี่ชายที่แสนดีมาคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่สุดท้ายคำขอโทษ การให้อภัย และการปรับความเข้าใจก็ทำให้เราคืนดีกันได้เสมอ
แล้วในขณะนี้ความกังวลของฉันก็เริ่มจะจางหายไป โดยถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดีๆจากชายผิวขาว ร่างสูง หน้าตาคมเข้ม ที่อยู่เบื้องหน้า
“ ขอโทษนะ ที่เมื่อตอนเที่ยงพี่พูดอะไรแปลกๆออกไป พี่ขอเดินไปส่งเอิร์นกลับบ้านได้มั้ย” พี่เชนกล่าวและทำให้ฉันพอจะเดาได้ว่า เขาคงตั้งใจมารอฉันที่หน้าโรงเรียนได้สักพักหนึ่งแล้ว ฉันยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะตอบตกลง
“ได้สิ บ้านเอิร์นอยู่ใกล้นิดเดียวเอง” พี่เชนยิ้มก่อนที่จะเดินเข้ามาลูบผมฉันเหมือนกับที่พี่ชายลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้ถือสาอะไรแต่กลับรู้สึกดีขึ้นด้วยซ้ำไป
ฉันและพี่เชนเดินกลับบ้านตามทางเดิมที่ฉันเดินมาโรงเรียนในตอนเช้า เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่ฉันเคยเจอเงาประหลาด ฉันเริ่มแกะหนังยางที่มัดผมออกแล้วใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงแล้วรวบมัดกลับเข้าไปใหม่ ทำให้ฉันไม่ทันสังเกตว่าพี่เชนไม่ได้เดินอยู่ข้างฉันแล้วในขณะนี้ เมื่อฉันเดินต่อไปอีกสักพักจึงเริ่มรู้สึกตัวแล้วหันหนังกลับไปดู ซึ่งในขณะนั้นพี่เชนกำลังมองดูอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือ
“มีอะไรเหรอคะ” ฉันถามพลางเดินกลับไปหาพี่เชน
และพบว่ามีขนกสีทองแซมด้วยสีชมพูอ่อน ซึ่งมีความยาวประมาณ 2 ฟุต อยู่ในมือขวาของเขา ฉันมองดูขนนกเส้นนั้นด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกับพี่เชน ฉันยกมือขวาขึ้นเพื่อจะลองสัมผัสขนนกเส้นนั้นดูว่ามันเป็นของจริงหรือไม่ แต่เมื่อนิ้วมือของฉันอยู่ห่างจากขนนกประมาณ 1 เซนติเมตร ก็เกิดเสียงดังเหมือนประทัดขึ้นโดยที่ขนนกเส้นนั้นแตกกระจายออกเป็นฝุ่นละอองสีเงินเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ฉันสะดุ้งและชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ฉันใช้มือทั้งสองข้างปัดฝุ่นที่ฟุ้งอยู่ในอากาศให้พ้นจากตัวเพราะมันเริ่มจะทำให้ฉันแสบตาจนน้ำตาไหลและหายใจไม่ออก ฉันสำลักอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะพยายามขยับตัวและมองไปรอบๆพร้อมกับเรียกชื่อพี่เชน แต่ไม่มีเสียงใดๆตอบรับ หรือแม้เสียงรถที่วิ่งอยู่บนถนน
สักพักหนึ่งฝุ่นละอองที่กระจายเป็นหมอกหนาก็เริ่มจะเบาบางลง ฉันเพ่งมองสำรวจไปรอบๆแต่ก็ยังเห็นอะไรได้ไม่ชัดนัก ไม่นานฉันก็เริ่มจะรู้สึกร้อนขึ้นมาจนหน้ากลัว ไม่เพียงแค่ความรู้สึกร้อนเท่านั้นแต่ยังมีกลิ่นของเหล็ก ขี้เถ้า และเสียงอะไรบางอย่างที่เหมือนกับเสียงของสัตว์ป่าที่ดุร้ายที่ทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อฝุ่นละอองได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว ฉันใช้มือขยี้ตาที่แสบจนน้ำตาไหลอย่างช้าๆเพราะกลัวว่าการขยับตัวมากเกินไปจะเป็นที่สังเกตของอะไรก็ตามที่เป็นเจ้าของเสียงนั้น
แต่ในวินาทีที่ฉันมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้นั่นเอง หัวใจของฉันก็เหมือนกับจะหยุดเต้น ตาของฉันเบิกกว้างและจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึง เพราะสิ่งที่ฉันกำลังจับจ้องอยู่ในขณะนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะอยู่บนโลกนี้ มันสมควรจะเป็นนิยายหลอกเด็กที่หน้าสะพรึงกลัวเท่านั้น เสียงคำรามของมัน ดังก้องเหมือนเสือที่หิวโหยอย่างน้อยสิบตัวที่คำรามขึ้นพร้อมกัน ร่างใหญ่สูงเท่าตึก 3 ชั้น กำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่งโดยมีโซ่ตรวนพันทนาการมือทั้ง 4 ข้างและขาที่มีลักษณะเหมือนสิงโตเอาไว้กับเสาหินขนาดยักษ์ 2 ต้น ฟันแหลมคมและเขาสีดำที่สลักตัวอักษรอะไรบางอย่างไว้โดยรอบเขาทั้ง 2 คู่ ที่กวัดแกว่งไปมาอย่างดุร้าย ร่างกายสีแดงฉานมีลักษณะเหมือนคนที่มีขนสีแดงสดทั่วลำตัวแต่กลับมีศีรษะเป็นเสือที่มีรอยสักสีดำตัดกับดวงตาสีแดงที่เบิกโพลงอยู่ในขณะนี้ และเมื่อมองไปที่ด้านหลังของเจ้าสัตว์ร้ายนั้น ฉันก็เข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุของความร้อนระอุในขณะนี้ เพราะด้านหลังของเจ้าสัตว์ร้ายนั้น คือ สายธารของลาวาที่ไหลลงมาเหมือนน้ำตกขนาดยักษ์
ฉันยืนตัวแข็งนิ่ง ดวงตาเบิกโพลง ไร้การขยับเขยือนใดๆอยู่นานหลายนาที ก่อนที่จะได้ยินเสียงหวดแซ่ลงมาที่พื้นจากทางด้านขวามือของฉัน ฉันสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงหวดนั้นดังก้องไปทั่วทั้งอุโมงค์ขนาดยักษ์แห่งนี้ ฉันลนลานมองหาที่หลบซ่อนจนกระทั่งเจอก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง ฉันวิ่งไปหลบด้านหลังของหินก้อนนั้นและเฝ้ารอด้วยเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะจนทำให้ฉันเริ่มหายใจไม่ออก พลางคิดในใจและทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสับสนว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!! ฉันอยู่ที่ไหนกัน!!! และฉันจะต้องทำอะไรต่อไปเนี่ย!!! และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการผจญในนครเวทย์ใต้พิภพแห่งนี้
ความคิดเห็น