ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นครเวทย์ใต้พิภพ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2 ความศรัทธาที่หายไป

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 49


    บทที่2 ความศรัทธาที่หายไป

                                    เช้าวันจันทร์ที่เหมือนจะเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง    ฉันต้องตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงแตกของกระจกหน้าต่าง   ที่อยู่ถัดจากเตียงนอนของฉันไป 1 เมตร  ฉันสะดุ้งตื่นและลุกขึ้นโดยอัตโนมัติพร้อมกับหันหน้าไปมองบริเวณที่เกิดเสียงอันไม่น่าพิศมัยขึ้น   ด้วยคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวว่า ‘นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย!’    แต่คำตอบที่ได้รับจากการมองสำรวจกระจกหน้าต่างที่แตกเป็นรูโหว่  รวมถึงเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แตกกระจายอยู่บนพรมสีฟ้าบนพื้นห้อง   โดยมีก้อนอิฐสีน้ำตาลวางเด่นเป็นสง่าอยู่ที่พื้นห้อง    ทำให้ฉันมีคำตอบที่น่าฉงนอยู่เพียงข้อเดียวในหัวคือ   มีใครบางคนขว้างก้อนอิฐก้อนนั้นมาที่หน้าต่างห้องนอนของฉัน  เพื่อปลุกให้ฉันตื่นขึ้น   ไม่ใช่ สิ  ใครคนนั้นอาจจะมีจุดประสงค์อื่น   แต่ที่แน่ๆ  คือไม่ได้หวังดีต่อฉันหรือกระจกหน้าต่างของฉันแน่ๆ      แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะรู้ได้ว่าใครคือผู้ประสงค์ร้ายคนนั้น   ประตูห้องนอนของฉันก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว
    “เอิร์น!! เป็นอะไรรึเปล่าลูก!!” 
                         แม่ของฉันดูจะตื่นตกใจพอสมควร  แล้วยิ่งเห็นสภาพหน้าต่างในขณะนี้แล้ว   ก็ทำเอาเธอถึงกับอึ้งไป 2-3 วินาที   ก่อนที่จะหันหน้ามาถามฉันด้วยความเป็นห่วง
    “เจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่าลูก”
    “ไม่เลยค่ะ”
    ฉันตอบพลางสำรวจตัวเอง
    “ใครขว้างก้อนอิฐขึ้นมาอย่างนี้นะ!!แย่จริงๆเลย!!นี่ถ้าโดนหัวใครเข้า   คงต้องพาเข้าโรงพยาบาลแน่ๆ!!” 
                     
                           แม่บ่นไปขณะที่เก็บเศษกระจกลงในถังขยะขนาดเล็กที่ตั้งไว้มุมห้อง   
    ฉันลุกขึ้นยืนบนเตียงพร้อมกับพับผ้าห่มเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า   แล้ววางไว้ที่ปลายเตียงก่อนที่จะก้าวขาลงมาเพื่อจะไปอาบน้ำในห้องน้ำ   แต่ถึงแม้จะตั้งใจเดินด้วยความระมัดระวังเพียงใดก็ดูจะไร้ความหมาย   เพราะกว่าที่ฉันจะเดินไปถึงห้องน้ำ   เท้าของฉันก็มีแผลจากการที่โดนเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยบาดอยู่ 2-3 แผล   ถึงแม้แผลเหล่านี้จะเป็นแผลเล็กๆ   แต่เลือดก็ดูท่าจะไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ    สุดท้ายฉันก็ต้องหาพลาสเตอร์มาปิดที่แผล   ถึงแม้มันจะสร้างความรำคาญให้ฉันพอสมควรก็ตาม
                              
                              หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคในยามเช้าเรียบร้อยแล้ว   ทุกอย่างก็ดูจะเริ่มเป็นปกติ    ฉันหยิบขนมปังที่นำมาจากบ้านออกมาจากกระเป๋า  เพื่อรับประทานเป็นอาหารเช้าระหว่างการเดินเท้าไปโรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก   การที่มีบ้านอยู่ใกล้กับโรงเรียนเป็นเรื่องโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตสำหรับฉัน    เพราะการที่ไม่ต้องตื่นเช้ามาก  ทำให้ฉันดูค่อนข้างจะสดชื่นกว่าใครๆในชั้นเรียนหรือบางทีอาจจะรวมถึงใครๆหลายคนในโรงเรียน    อีกทั้งการที่สามารถเดินมาโรงเรียนได้เองโดยไม่ต้องรู้สึกหม่นหมองต่อการจราจรที่ไม่เคยราบรื่น ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กผู้โชคดีคนหนึ่ง   โดยเฉพาะในวันที่ยุ่งเหยิงเช่นวันนี้   เพราะฉันแน่ใจว่าฉันจะยังไปโรงเรียนทันเวลาเข้าแถว   หรืออาจจะไปถึงก่อนด้วยซ้ำไป   
                           
                              แต่ความรู้สึกโชคดีของฉันก็จางหายไปแทบจะในทันที   เมื่อฉันเริ่มรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่จากทางด้านหลัง   ฉันเกลียดความรู้สึกนี้จริงๆเพราะมันจะทำให้ฉันประสาทเสียทุกครั้งที่ต้องระแวงอยู่อย่างนี้   และในวันนี้ก็เป็นวันที่ฉันฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่   ฉันกำลังจะมีอายุครบ  16  ปีในวันพรุ่งนี้   การที่ยังเป็นเด็กขี้ระแวง   ขี้สงสัย   และชอบจินตนาการไร้สาระ   คงจะไม่เป็นผลดีต่อความตั้งใจที่เปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเป็นแน่    เพราะการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น    ฉันจำเป็นที่จะต้องตัดนิสัยแบบเด็กๆทิ้งไป   แล้วหันมาจริงจังกับชีวิต   จริงจังกับการเรียน   จริงจังกับอนาคตให้มากขึ้น  รวมถึงการเลิกจินตนาการถึงเทพนิยายเพ้อฝันและการผจญภัยกับสัตว์ประหลาดโดยมีดาบคู่ใจ   นั่นก็ควรเลิกเสียที   เพราะในความเป็นจริงแล้ว   เหตุการณ์ที่จะมีผีชีวะออกมาอาละวาดในเมืองยังดูน่าจะเป็นจริงมากกว่าที่จะมีนกยักษ์ขนสีทองบินอยู่บนท้องฟ้าโดยมีเจ้าชายรูปงามเป็นผู้ควบคุมนกยักษ์ตัวนั้น   
                        
                                     ฉันนึกขำกับความคิดไร้สาระของตัวเองได้สักพักหนึ่งแต่ก็ต้องหยุดชะงักไป    เมื่อสายตาของฉันได้เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนพื้นซีเมนต์    มันเป็นเงาขนาดใหญ่ประมาณ 3  เมตร  และ ถ้าสายตาของฉันไม่ได้ฝาดไปในชั่วขณะ   เงานั้นกำลังสยายปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้างออกมาข้างลำตัว    และเสียงร้องที่เหมือนเหยี่ยวนั้นก็ทำให้ฉันฝืนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว  ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว   แต่ไม่มีอะไรอยู่บนนั้น  มีเพียงท้องฟ้าที่ว่างเปล่ากับเมฆกลุ่มบางๆที่เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ    ฉันพยายามตั้งสติ    สลัดความคิดเรื่องนกยักษ์ออกไปโดยใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการยัดเยียดความคิดเรื่องเครื่องบินเข้าไปแทน   เพราะบางที   ไม่ใช่สิ   ที่จริงแล้ว   เงาที่ฉันเห็นคือเงาของเครื่องบินต่างหาก   ไม่ใช่นกยักษ์หรอก  มันต้องเป็นอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่นกยักษ์แน่ๆและการที่เงาที่ฉันเห็นจะเป็นเงาของเครื่องบินมันก็ดูจะสมเหตุสมผลดี    ฉันพยายามดึงตัวเองให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง   
                        
                                  ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเอาเสียเลยเพราะในวันนี้   ขณะที่ฉันกำลังเขียนบันทึกเพื่อเล่าเรื่องราวย้อนหลังให้ฟังอยู่นี้   ฉันอยากจะบอกเลยว่า   ถ้าฉันสามารถย้อนเวลาไปได้ในวันนั้น   สิ่งที่ฉันจะทำเป็นอย่างแรกคือเชื่อใจตัวเอง   แล้ววิ่งกลับไปเอาตำราสัตว์ประหลาดที่ฉันเคยสะสมและรวบรวมข้อมูลขึ้นมาเอง   มาจากที่บ้านทั้งหมดนำมาใส่กระเป๋าเป้พร้อมกับวิ่งไล่ตามนกยักษ์ตัวนั้นไป   แต่ในเมื่อโอกาสได้หลุดลอยออกไปแล้วสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ในตอนนี้   ก็คงจะมีแต่การจดบันทึกและนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ฉันจำได้   
                              
                                   หลังจากที่ฉันดึงตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้แล้ว ฉันก็เริ่มมตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปเพื่อที่จะได้ไปถึงโรงเรียนเสียที   โดยออกจะมีอาการหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะเริ่มรู้ตัวว่า ตนเองได้ทำขนมปังที่กัดไปได้เพียงคำเดียวตกพื้นไปตอนที่กำลังช็อกเรื่องเงาขนาดยักษ์อยู่   แต่ในที่สุดฉันก็มาถึงโรงเรียนและเข้าห้องเรียนได้โดยสวัสดิภาพ
                               
                                  การเรียนในห้องเรียนชั่วโมงแรกทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็นเพราะการประกาศคะแนนสอบในวันนี้มีรายชื่อฉันติดอยู่ในอันดับคนที่ได้คะแนนระดับดีเยี่ยม  ซึ่งทำเอาฉันยิ้มหน้าบานอย่างเก็บอาการไม่อยู่   เพราะการที่เด็กที่หัวไม่ดีอย่างฉันจะทำข้อสอบได้คะแนนดีเยี่ยมเป็นเรื่องที่นานๆทีจะเกิดขึ้นหนึ่งครั้งและมันก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าการอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนให้มากกว่าคนอื่นหลายเท่า สามารถช่วยให้ฉันมีคะแนนดีขึ้นได้จริงๆเสียด้วย   แต่นั่นก็คงยังไม่ทำให้ฉันสามารถเทียบเท่ากับเพื่อนคนหนึ่งของฉันได้   เธอคนนั้นชื่อ  ’ปอล’  ลักษณะโดยรวมแล้วเธอดูค่อนข้างจะเป็นคนที่คล่องแคล่วและมีความอดทน     ถึงแม้จะไม่ได้มีหน้าตาที่สระสวยโดดเด่นอะไรนัก   แต่เธอก็เป็นเพื่อนผู้จริงใจคนหนึ่งและสามารถรับได้กับทุกรูปแบบการพูดของเพื่อนๆ    ถึงแม้ภาษาที่คุณพูดจะฟังดูหยาบคายสักแค่ไหน  โดยเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ที่เจ้าระเบียบหลายๆคน   แต่เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการจะใช้ภาษาที่ว่านั่นพูดกัน   เราก็เพียงแค่หาที่เหมาะๆที่ห่างไกลจากผู้ใหญ่เจ้าระเบียบก็เท่านั้นเอง  แล้วการพูดคุยของพวกเราก็จะมีอรรถรสยิ่งขึ้น   
                                
                                   และในช่วงพักเที่ยงของวันนี้   การหยิบยกเรื่องคะแนนสอบออกมาพูดกันก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยดีเพราะทุกคนค่อนข้างจะทำคะแนนได้ดีขึ้นกว่าเดิม  แต่เรื่องสุดท้ายที่ฉันยกขึ้นมาพูดในวงสนทนานั้น   ก็ไม่พ้นเรื่องหนึ่งที่ฉันค้างคาใจมานาน
     “นี่ ถามหน่อย   เรียนจบแล้วจะทำอาชีพอะไรกัน”
    “ทันตแพทย์มั้ง”ปอลตอบ
    “นักเขียนการ์ตูนไส้แห้ง   หรือไม่ก็นักแต่งนิยายมั้ง ฮะฮะ” เบลล์ตอบอย่างไม่จริงจังอะไรมากมายนั
    “แล้วเอิร์นหละ   อยากเป็นสถาปนิกไม่ใช่เหรอ”เบลล์หันมาถามฉันบ้าง
                               ฉันนั่งครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่จะเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับฉันในตอนนี้
    “มันก็ใช่หรอกนะ  แต่มาตอนนี้ชักเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจซะแล้วสิว่าชอบจริงรึเปล่า เพราะที่เราตอบใครๆว่าอยากเป็นสถาปนิกก็เพราะคิดว่าอาชีพสถาปนิกคงเหมาะกับเราที่สุดแล้วก็แค่นั้น”
                               ฉันตอบกลับด้วยอาการที่เรียกว่าสับสนในชีวิต     แต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดของฉัน   เพราะความจริงแล้วฉันมีอาชีพที่อยากเป็น   และเคยคิดว่าฉันสามารถทำได้  นั่นก็คืออาชีพอัศวินผู้คอยคุ้มครองเหล่าเชื้อพระวงค์  หรือ นักเวทย์ผู้คอยปราบปีศาจร้ายและช่วยเหลือผู้คน   มันคงจะเป็นเรื่องตลกอย่างที่สุดถ้าหากวันนึงฉันบอกความจริงนี้กับทุกคนว่าฉันอยากเป็นจะอะไรในอนาคต  แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ฉันเคยหวังอย่างจริงจังว่ามันจะเป็นไปได้  ครั้งหนึ่ง  ฉันเคยทำถึงขนาด  ไปยืนอ้อนวอนอยู่ที่ระเบียงบ้านในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเพื่อขอร้องให้ฉันได้เจอการผจญภัยที่เหมือนกับในนิยาย  แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในคืนนั้น   แต่ฉันไม่รู้หรอกว่า   การผจญภัยได้ถูกตระเตรียมไว้หรับฉันโดยเฉพาะแล้วตั้งแต่คืนนั้น  และมันก็กำลังใกล้เข้าโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลย 
               
                                เมื่อกริ่งเตือนเวลากลับเข้าห้องเรียนดังขึ้น  พวกเราจึงพากันเดินกลับไปที่อาคารเรียนเพื่อจะเรียนวิชาต่อไปแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินขึ้นบันได   ชายคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาฉันและดึงแขนขวาของฉันไว้   ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสีหน้าซีดเซียว
    “อ.....เอิร์น.....ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย....”  ชายคนนั้นพูดในขณะที่ยังหอบอยู่
    “เปล่านี่....เอิร์นไม่ได้เป็นอะไร   แล้วพี่เชนหละเป็นอะไรไป  ทำไมถึงวิ่งมาแบบนี้..”ฉันถามชายผู้ที่อยู่ตรงหน้าฉันด้วยความเป็นห่วง
    “แล้วเอิร์นไปทำอะไรที่หลังโรงเรียนมาบ้างรึเปล่า”พี่เชนถามฉันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
    “เปล่านะ  เอิร์นอยู่กับเพื่อนที่ข้างตึกนี่แหละ ไม่ได้ไปไหนเลย  มีอะไรรึเปล่า”  ฉันเริ่มสงสัยและรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
    “ก็พี่เห็นเอิร์นอยู่ที่หลังโรงเรียนนี่นา  แล้วก็มีเลือดโชกเลยนี่” พี่เชนก้มหน้าพูดด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนจะพูดอยู่กับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับฉัน  แต่ฉันและเพื่อนก็ยังพอจะได้ยินสิ่งที่เขาพูด
    “ห๊า!!!” ฉันและเพื่อนตะโกนด้วยความตกใจทันทีที่พี่เชนพูดจบ
    “เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก..........ขอโทษนะที่พูดอะไรแปลกๆไป.........ขอตัวก่อนนะ”พี่เชนทำหน้าเคร่งเครียดถึงแม้ปากจะปฏิเสธว่าไม่มีอะไรก็ตาม  แต่ดูจากสีหน้าที่เหมือนกำลังไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ขณะที่เดินจากไปนั้น  ทำให้ฉันรู้สึกใจเสียไม่น้อย  และเป็นผลให้การเรียนในช่วงบ่ายของฉันแทบจะไม่มีสมาธิเหลืออยู่เลย  
                               
                                  เมื่อถึงเวลาสี่โมงเย็น   ฉันร่ำลาเพื่อนแล้วเดินตรงไปที่ประตูโรงเรียนเพื่อจะกลับบ้าน  แต่เมื่อเดินพ้นประตูไปได้เพียง 4 ก้าว  ฉันก็ไม่กล้าที่จะเดินต่อไป   แต่กลับเดินกระสับกระส่าย  วนไปวนมาอยู่ตรงนั้นด้วยความกลัวว่า   จะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับฉันอีกครั้ง และฉันก็ค่อนข้างจะเป็นกังวลเรื่องความเข้าใจผิดของพี่เชน ที่เห็นฉันอยู่หลังโรงเรียนในตอนกลางวันด้วย  เพราะสำหรับคนที่รู้จักพี่เชนดีอย่างฉัน   ย่อมรู้ดีว่า  พี่เชน เป็นชายคนหนึ่งที่มีสัมผัสพิเศษที่ดีเยี่ยม  แต่มักจะไม่ค่อยได้นำออกมาใช้นัก    และการที่อยู่ดีๆมีคนที่มีสัมผัสพิเศษมาบอกฉันว่า เห็นฉันมีเลือดท่วมตัว ไม่ว่าใครก็ตามก็คงจะกลัวไปตามๆกัน  ฉันครุ่นคิดและชั่งใจตัวเองอยู่สักพักก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งเรียกฉันมาจากทางด้านหลัง
    “จะกลับบ้านแล้วเหรอ” พี่เชนถามพร้อมกับเดินมาทางฉัน   ฉันหันกลับมายิ้มให้ก่อนที่จะถามกลับไป
    “ค่ะ  แล้วพี่หละ  กำลังจะกลับบ้านเหรอคะ” ฉันถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่ได้   
    เสแสร้งแต่อย่างใด   ฉันมักจะเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง เมื่อได้เจอพี่เชนในช่วงที่ฉันมีเรื่องทุกข์ใจหรือรู้สึกไม่สบายใจ   แล้วส่วนมากเขาก็มักจะปรากฏตัวอย่างถูกเวลาเสมอ(ยกเว้นเมื่อตอนเที่ยงของวันนี้)   
                              
                                  พี่เชนจะเป็นผู้ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่   มีเหตุผล ใจเย็น มีอารมณ์ขัน และอบอุ่น ครั้งหนึ่งฉันเคยรวบรวมความกล้าที่จะบอกกับเขาว่า ฉันรู้สึกอย่างไรกับเขา   แต่ก่อนที่ฉันจะทันพูดอะไรออกไป  พี่เชนก็ยิ้มให้ฉัน  เหมือนกับว่าเค้ารู้แล้วว่าฉันกำลังจะพูดอะไร  และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  เพราะเขาได้พูดขึ้นมาก่อนว่า  ‘ขอบคุณนะ  พี่เองก็รู้สึกเหมือนกับเอิร์น  แต่พี่คิดว่า รอให้เรารู้จักกันดีกว่านี้ก่อนจะดีกว่ามั้ย   อย่าเพิ่งปิดกั้นตัวเองจากคนดีๆคนอื่นที่อาจจะผ่านเข้ามาในชีวิตเอิร์น  และขอให้พี่ได้เป็นเพียงตัวเลือกคนหนึ่งสำหรับเอิร์นดีกว่านะ’  แล้วฉันก็ตอบรับคำพูดนั้นด้วยอาการงงนิดๆ  แต่ก็พอจะเข้าใจในคำพูดและความรู้สึกของเขา  หลังจากนั้นฉันก็เหมือนจะมีพี่ชายที่แสนดีมาคนหนึ่ง  ถึงแม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง  แต่สุดท้ายคำขอโทษ การให้อภัย  และการปรับความเข้าใจก็ทำให้เราคืนดีกันได้เสมอ   
                          
                                  แล้วในขณะนี้ความกังวลของฉันก็เริ่มจะจางหายไป   โดยถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดีๆจากชายผิวขาว   ร่างสูง  หน้าตาคมเข้ม  ที่อยู่เบื้องหน้า
       “ ขอโทษนะ   ที่เมื่อตอนเที่ยงพี่พูดอะไรแปลกๆออกไป พี่ขอเดินไปส่งเอิร์นกลับบ้านได้มั้ย”  พี่เชนกล่าวและทำให้ฉันพอจะเดาได้ว่า   เขาคงตั้งใจมารอฉันที่หน้าโรงเรียนได้สักพักหนึ่งแล้ว   ฉันยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะตอบตกลง
    “ได้สิ บ้านเอิร์นอยู่ใกล้นิดเดียวเอง”   พี่เชนยิ้มก่อนที่จะเดินเข้ามาลูบผมฉันเหมือนกับที่พี่ชายลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู   ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้ถือสาอะไรแต่กลับรู้สึกดีขึ้นด้วยซ้ำไป
                                  ฉันและพี่เชนเดินกลับบ้านตามทางเดิมที่ฉันเดินมาโรงเรียนในตอนเช้า    เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่ฉันเคยเจอเงาประหลาด  ฉันเริ่มแกะหนังยางที่มัดผมออกแล้วใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงแล้วรวบมัดกลับเข้าไปใหม่    ทำให้ฉันไม่ทันสังเกตว่าพี่เชนไม่ได้เดินอยู่ข้างฉันแล้วในขณะนี้   เมื่อฉันเดินต่อไปอีกสักพักจึงเริ่มรู้สึกตัวแล้วหันหนังกลับไปดู   ซึ่งในขณะนั้นพี่เชนกำลังมองดูอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือ  
    “มีอะไรเหรอคะ” ฉันถามพลางเดินกลับไปหาพี่เชน

                               และพบว่ามีขนกสีทองแซมด้วยสีชมพูอ่อน  ซึ่งมีความยาวประมาณ 2 ฟุต อยู่ในมือขวาของเขา  ฉันมองดูขนนกเส้นนั้นด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกับพี่เชน   ฉันยกมือขวาขึ้นเพื่อจะลองสัมผัสขนนกเส้นนั้นดูว่ามันเป็นของจริงหรือไม่   แต่เมื่อนิ้วมือของฉันอยู่ห่างจากขนนกประมาณ 1 เซนติเมตร   ก็เกิดเสียงดังเหมือนประทัดขึ้นโดยที่ขนนกเส้นนั้นแตกกระจายออกเป็นฝุ่นละอองสีเงินเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ฉันสะดุ้งและชักมือกลับอย่างรวดเร็ว  ฉันใช้มือทั้งสองข้างปัดฝุ่นที่ฟุ้งอยู่ในอากาศให้พ้นจากตัวเพราะมันเริ่มจะทำให้ฉันแสบตาจนน้ำตาไหลและหายใจไม่ออก    ฉันสำลักอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะพยายามขยับตัวและมองไปรอบๆพร้อมกับเรียกชื่อพี่เชน   แต่ไม่มีเสียงใดๆตอบรับ  หรือแม้เสียงรถที่วิ่งอยู่บนถนน  

                               สักพักหนึ่งฝุ่นละอองที่กระจายเป็นหมอกหนาก็เริ่มจะเบาบางลง    ฉันเพ่งมองสำรวจไปรอบๆแต่ก็ยังเห็นอะไรได้ไม่ชัดนัก   ไม่นานฉันก็เริ่มจะรู้สึกร้อนขึ้นมาจนหน้ากลัว   ไม่เพียงแค่ความรู้สึกร้อนเท่านั้นแต่ยังมีกลิ่นของเหล็ก  ขี้เถ้า และเสียงอะไรบางอย่างที่เหมือนกับเสียงของสัตว์ป่าที่ดุร้ายที่ทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก  เมื่อฝุ่นละอองได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว   ฉันใช้มือขยี้ตาที่แสบจนน้ำตาไหลอย่างช้าๆเพราะกลัวว่าการขยับตัวมากเกินไปจะเป็นที่สังเกตของอะไรก็ตามที่เป็นเจ้าของเสียงนั้น   
                          
                              แต่ในวินาทีที่ฉันมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้นั่นเอง  หัวใจของฉันก็เหมือนกับจะหยุดเต้น   ตาของฉันเบิกกว้างและจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึง     เพราะสิ่งที่ฉันกำลังจับจ้องอยู่ในขณะนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะอยู่บนโลกนี้  มันสมควรจะเป็นนิยายหลอกเด็กที่หน้าสะพรึงกลัวเท่านั้น   เสียงคำรามของมัน  ดังก้องเหมือนเสือที่หิวโหยอย่างน้อยสิบตัวที่คำรามขึ้นพร้อมกัน    ร่างใหญ่สูงเท่าตึก 3 ชั้น   กำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่งโดยมีโซ่ตรวนพันทนาการมือทั้ง 4 ข้างและขาที่มีลักษณะเหมือนสิงโตเอาไว้กับเสาหินขนาดยักษ์ 2  ต้น   ฟันแหลมคมและเขาสีดำที่สลักตัวอักษรอะไรบางอย่างไว้โดยรอบเขาทั้ง 2 คู่ ที่กวัดแกว่งไปมาอย่างดุร้าย  ร่างกายสีแดงฉานมีลักษณะเหมือนคนที่มีขนสีแดงสดทั่วลำตัวแต่กลับมีศีรษะเป็นเสือที่มีรอยสักสีดำตัดกับดวงตาสีแดงที่เบิกโพลงอยู่ในขณะนี้   และเมื่อมองไปที่ด้านหลังของเจ้าสัตว์ร้ายนั้น ฉันก็เข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุของความร้อนระอุในขณะนี้  เพราะด้านหลังของเจ้าสัตว์ร้ายนั้น  คือ สายธารของลาวาที่ไหลลงมาเหมือนน้ำตกขนาดยักษ์
                      ฉันยืนตัวแข็งนิ่ง ดวงตาเบิกโพลง ไร้การขยับเขยือนใดๆอยู่นานหลายนาที  ก่อนที่จะได้ยินเสียงหวดแซ่ลงมาที่พื้นจากทางด้านขวามือของฉัน   ฉันสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงหวดนั้นดังก้องไปทั่วทั้งอุโมงค์ขนาดยักษ์แห่งนี้   ฉันลนลานมองหาที่หลบซ่อนจนกระทั่งเจอก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง   ฉันวิ่งไปหลบด้านหลังของหินก้อนนั้นและเฝ้ารอด้วยเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะจนทำให้ฉันเริ่มหายใจไม่ออก  พลางคิดในใจและทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสับสนว่า  นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!! ฉันอยู่ที่ไหนกัน!!! และฉันจะต้องทำอะไรต่อไปเนี่ย!!!    และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการผจญในนครเวทย์ใต้พิภพแห่งนี้
       

                                                                 

                     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×