คณะแพทย์เชียงใหม่ - คณะแพทย์เชียงใหม่ นิยาย คณะแพทย์เชียงใหม่ : Dek-D.com - Writer

    คณะแพทย์เชียงใหม่

    ถึงน้องๆทุกคนที่อยากเป็นหมอครับ มารู้จักคณะแพทย์เชียงใหม่บ้

    ผู้เข้าชมรวม

    33,718

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    33.71K

    ความคิดเห็น


    341

    คนติดตาม


    21
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 ส.ค. 48 / 01:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ลอกมาให้อ่านครับ:  ( จำที่มาไม่ได้ครับ หากเจ้าของกระทู้เข้ามาอ่านพบ ช่วยบอกด้วยนะครับ แล้วจะระบุที่มาให้ครับ )


      ถึงน้องๆทุกคนที่อยากเป็นหมอครับ
      ได้อ่านกระทู้น้องๆพี่ก็เข้าใจความรู้สึกตรงนั้นดี เพราะพี่ผ่านตรงจุดนั้นมาได้หมดแล้ว เอาเป็นว่าพี่ขอถ่ายทอดประสบการณ์ให้น้องๆบ้างละกัน......(มารู้จักคณะแพทย์เชียงใหม่บ้างดีกว่า)
      พี่เป็นเด็ก กทม.โดยกำเนิด และก็เรียนใน กทม.มาตลอด ตอนมัธยมปลายพี่ก็เรียนในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อเรื่องเด็กเก่ง
      ตอนนั้น พี่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ออกมาอยู่ ตจว. พี่คิดว่าตัวเองคงได้อยู่ในรั้วพระเกี้ยวหรือมหิดล คณะอะไรยังไม่ได้คิด
      แต่พอพี่เริ่มค้นพบตัวเอง พี่พบว่าพี่อยากเป็น \"หมอ\" จริงๆ เพราะตรงกับอุปนิสัยและความถนัด ทำให้ตอนเลือกคณะพี่เครียดมาก เพราะคะแนนของพี่ได้ประมาณ 530 กว่าๆ(รวมจีพีเอ) ซึ่งคงไม่พอที่จะติดหมอใน กทม. แต่ถ้าทันตะคงเป็นไปได้ ....ใจหนึ่งก็อยากอยู่ใกล้บ้าน อยากอยู่ในรั้วพระเกี้ยว(เพราะเพื่อนเยอะ) แต่อีกใจหนึ่งก็อยากทำตามความฝัน คือการได้เป็น \"หมอ\"
      ในที่สุดพี่ก็ตัดสินใจเลือกหมอ 3 อันดับ ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากเรียนหมอจริงๆ ไม่ว่าจะจบจากไหนก็เป็นหมอที่ดีได้ ถึงมันจะห่างไกลหรือยากลำบากแค่ไหน ในวันที่ได้สวมชุดครุย ได้เป็น นพ.เต็มตัว คงเป็นวันที่เราภูมิใจที่สุด แต่ถ้าเราขืนทนเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ เพียงเพราะเหตุผลว่า \"อยากติดพระเกี้ยว\" หรืออยากอยู่ใกล้บ้าน แต่พอเรียนจบ ก็ไม่มีใครมาแขวนป้ายบอกว่า ผมจบจากที่นุ่นที่นี่.....\"อนาคตย้อนกลับไม่ได้ อย่ามานึกเสียใจทีหลังละกัน\" เป็นคำพูดที่แม่พี่พูด ทำให้พี่ตัดสินใจได้
      โดยอันดับแรก พี่เสี่ยงเลือกหมอรามาอันดับหนึ่ง และตามด้วย มช. มข. ตามลำดับ....ในที่สุด พี่ก็ไม่ได้รามา แต่กลับได้ มช.แทน (ดีใจนะที่ติดหมอ แต่ก็แอบเสียใจนิดๆที่ต้องจากบ้าน)
      ตอนนั้น ถ้าพูดถึงเชียงใหม่ พี่แทบไม่รู้อะไรเลย (คล้ายๆกับคุณเจ้าของเรื่องนั่นแหละ) พี่สร้างภาพคณะแพทย์เชียงใหม่ไว้ค่อนข้างทุรกันดาร แต่พอมาถึงจริงๆ......โอ้โห เจริญกว่าที่คิดไว้เยอะ อยู่ในเมือง มีทุกอย่างที่เราต้องการ โรงหนัง เมเจอร์ซินิเพล็กซ์ คาราโอเกะ บุฟเฟ่ต์ ร้านอาหาร(ถูกมากๆ) ร้านเกมออนไลน์ ศูนย์กีฬา...ไม่ลำบากเลย รถไม่ติดด้วย (เวลานัดกับใคร ออกจากที่พักไม่เกิน 15 นาที ถึงแน่ ต่างจาก กทม.เยอะ เมื่อก่อนต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เดี๋ยวนี้ตื่นเกือบ 8 โมง อิอิ)...เพราะความที่รถไม่ติดนี่แหละ ทำให้พี่ติดนิสัยตื่นสาย(อย่าเอาแบบอย่างนะ)
      เรื่องเพื่อนใหม่....พี่ได้เพื่อนใหม่มากมายจากที่นี่ เริ่มตั้งแต่รับน้อง กทม. รับน้องรถไฟ จนมาถึงหอพักในมอ....เพื่อนกลุ่มแรกของพี่ก็จะเป็นกลุ่มเด็ก กทม.และจังหวัดใกล้เคียงที่ไปรับน้องด้วยกันซึ่งเยอะกว่าที่พี่คิดไว้มาก ทั้งหมดนี้ต้องมาร่วมชะตากรรมเดียวกับเราซึ่งต้องจากบ้านมาอยู่ในที่ที่ไม่เคยไปเหมือนกับเราทำให้พี่หายเหงาไปเยอะเชียว.....แต่พอเปิดเทอมมา พี่ก็เริ่มได้รู้จักเด็กเหนือ ซึ่งมีอยู่มากมาย (ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเชียงใหม่) ที่ได้มาจากโควต้าภาคเหนือ และก็เด็กโครงการแพทย์ชนบท ซึ่งจะเรียนรวมกับเรา 3 ปี ส่วนชั้น clinic ก็จะแยกไปเรียนที่ รพ.ศูนย์ลำปาง
      พอมาถึงที่เชียงใหม่ ก็เดินทางมาถึงหอในมอ (ในปี 1 จะยังไม่ได้เรียนที่คณะแพทย์ แต่จะเรียนในคณะวิทย์ก่อน แต่ปี 2 จะได้ย้ายเข้าหอคณะแพทย์และเรียนในคณะแพทย์...ซึ่งคณะแพทย์จะแยกตัวออกจากในมอไปอยู่ต่างหาก ซึ่งอยู่ในเมืองกว่า...เรียกว่าฝั่งสวนดอก) เห็นหอในมอครั้งแรกถึงกับ \"โอ้โห\" จะอยู่ได้มั๊ยเนี่ย ห้องละ3คนแคบๆ ห้องน้ำรวม ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น(แล้วหน้าหนาวจะทำไงเนี่ย) แต่ในที่สุดพี่ก็ผ่านมาได้ อิอิ อยู่หอในมอมันส์มาก รู้จักเพื่อนคณะอื่นๆเยอะมาก แล้วก็มีเรื่องหน้าตื่นเต้นเป็นประจำ เช่น การรวมตัวของแก๊งกระเทย เทศกาลไฟดับ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งนับว่าเป็นสีสันของชีวิตปี 1 ได้เป็นอย่างดี
      พูดถึงบรรยากาศในมอชอ....รับประกันเลยว่า สวยโคตรๆๆๆๆ เพราะทำเลที่ตั้งของมอชอจะอยู่เชิงเขา ถนนในมอก็จะเล่นระดับขึ้นๆลงๆ ต้นไม้เยอะมาก ยิ่งหน้าหนาวนะ อากาศจะหนาวสุดๆ (พี่ไม่อาบน้ำตอนเช้าเลย) มีหมอกบางลง ใบไม้ก็จะเปลี่ยนสีและก็ร่วง บรรยากาศประมาณหนังเกาหลียังงั้นเลย (ไม่ได้โม้นะ เด็กมอชอรู้ดี) แฟชั่นเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอก็จะเริ่มระบาด....ธรรมเนียมของที่นี่ ทุกคณะก็จะทำเสื้อกันหนาวรุ่นออกมาอวดกันอย่างต่อเนื่อง อย่างคณะแพทย์ก็มีเหมือนกัน เท่ห์เชียว(ไม่ค่อยอวดเลยนะเนี่ย)
      ก่อนเปิดเทอมก็จะมีกิจกรรมที่พี่ๆจัดให้เราอย่างต่อเนื่อง เช่น
      walk rally เยี่ยมชมสถานที่ต่างๆในมอ (เข้าฐาน เต้นแร้งเต้นกากับพวกพี่ๆ) สนุกมาก ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ โดยเฉพาะเด็กโควต้าภาคเหนือ (ที่ไม่ได้มาจากEnt) ได้ทำอะไรที่น่าอายด้วย แต่สนุกอย่าบอกใครเชียว
      freshy night เป็นการแสดงที่พี่ๆทำให้น้องชม และเปิดตัวพี่รหัสด้วย วันนั้นพี่รหัสตั้งแต่ปี 6 ยันปี 2 จะขนขนมถุงใหญ่มาให้น้องๆกินกันแทบไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว
      พอเปิดเทอมก็มีอีกหลายกิจกรรม
      เช่น รับน้องขึ้นดอย (น้องจะได้วิ่งขึ้นดอย เพื่อสักการะพระธาตุดอยสุเทพ) เป็นธรรมเนียมของ นศ.มช.ทุกคณะ...เหนื่อยและมันส์มาก
      sportday งานใหญ่ที่สุดของชีวิตปี1 เพราะน้องจะได้ขึ้น stand cheer แปรอักษร ได้ชมหลีดเดอร์ของแต่ละคณะประชันกัน
      ค่ายชนบทสัมพันธ์ และค่ายพัฒนาอนามัยชนบท...เป็นค่ายที่ดีมาก ทำให้น้องได้เรียนรู้ชีวิตของคนในชนบทว่าเค้าลำบากเพียงไร น้องจะได้บำเพ็ญประโยชน์ ได้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วย...สิ่งเหล่านี้เองจะทำให้น้องมีใจที่เสียสละ เมตตากรุณา ทำให้น้องเป็นหมอที่ดีในอนาคตด้วยครับ
      พูดถึงเรื่องเรียนบ้าง เปิดเทอมปี1 ก็เริ่มเรียน ก็จะเรียนวิชาพวกพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลายๆวิชาน้องจะได้เรียนกับพวกทันตะ สัตวแพทย์(ใครอยากหาแฟนต่างคณะก็รีบหาซะ) อย่างในปีพี่ก็เรียน Zoology(สัตวะวิทยา) Phy Chem (มีแลปด้วย) Behavioral sci Eng Elective(วิชาเลือก) ....แต่รุ่นของน้องทางคณะจะเปลี่ยนหลักหลักสูตรใหม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องจะได้เรียนอะไรบ้าง.....ปี 1 เรียนไม่หนัก มีเวลาว่างเยอะสุดๆ บางวันมีเรียนแค่ครึ่งวัน บางวันก็โดดเรียนไปเดินเที่ยวกับเพื่อน ดูหนังบ้าง เล่นเกมส์บ้าง หน้ามอหลังมอ เมเจอร์ เซ็นทรัล โรบินสัน รวมถึงหนีไปเที่ยวบนดอย....พี่ทำมาหมดแล้ว
      ใกล้สอบครั้งแรก พี่ก็ยังทำตัวเอื่อยเฉื่อยเช่นเดิม...ส่วนหนึ่งในขณะนั้นพี่ยังแอบคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ (เพราะถือว่าตัวเองเป็นเด็ก กทม. เป็นเด็ก Ent) และพี่ก็คิดว่าพวกเด็กโควต้า เด็กเชียงใหม่คงเก่งสู้เด็กเอ็นท์ไม่ได้หรอก(แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์)
      แต่พอคะแนนสอบออกมา....มันตรงกันข้ามกับที่พี่คาดไว้โดยสิ้นเชิง Top20 เกือบทุกคนจะเป็นเด็กเชียงใหม่ คะแนน Hiso มาก ส่วนเด็กEnt เนี่ยคะแนนจะตกมีนซะเป็นส่วนใหญ่(สมน้ำหน้า อิอิ) ถามไปถามมาพบว่าเด็กโควต้าพวกนี้คะแนนเอ็นท์สูงมาก บางคนคะแนนถึงแพทย์จุฬา คะแนนดิบเอ็นท์ครั้งแรกเกิน 500 เลยด้วยซ้ำ....แต่เพราะความอยากอยู่ใกล้บ้าน ทำให้เค้าไม่ไป กทม.และก็เรียนที่เชียงใหม่(เยอะมากๆด้วยนะ confirm) ทำให้ความคิดอันผิดๆของพี่เกียวกับเด็กตจว.ได้เปลี่ยนไปและทำให้พี่รู้ว่า...ไม่ใช่คนเก่งทุกคนที่อยากจะเข้าจุฬาและศิริราช ตอนแรกพี่ก็สงสัยว่าทำไมคะแนนโควต้าถึงต่ำจัง จริงๆหารู้ไม่ว่าที่บอกว่าได้ 360 ก็ติด...นั่นคือคะแนน 6 วิชาของการสอบโควต้าซึ่งเป็นข้อสอบทีมหาลัยแต่งขึ้นเอง ไม่ใช่เอ็นท์ 7 วิชาอย่างที่เราเข้าใจ
      ดังนั้นน้องๆ กทม.ทั้งหลายอย่าไปดูถูกเด็กตจว.เชียวนะ แล้วก็อย่ามัวเที่ยวจนหลงระเริง อย่าคิดว่าตัวเองเก่งละกัน...พี่ขอเตือน
      .....จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พี่มีสติมากขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น ส่วนเพื่อนๆที่เก่งๆก็มีน้ำใจกับทุกคน คอยอธิบายสิ่งที่เราไม่เข้าใจ และก็ทำ Sheet สรุปมาแจกเพื่อนๆเป็นประจำ....ทำให้เราได้รู้ว่า คณะแพทย์ก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเรียนและแข่งกันอย่างเดียว เรายังช่วยเหลือกันอยู่เสมอ
      ส่วนเรื่องกิจกรรมที่นี่นับว่ามีกิจกรรมเยอะพอสมควร แต่น้องจะได้อะไรจากกิจกรรมมากกว่าที่น้องคิด น้องจะได้ทั้งมิตรภาพ ความสามัคคีจากเพื่อนๆ ความรักจากพี่ๆ อะไรหลายอย่าง เราอยู่กันด้วยเหตุผลความเข้าใจ ไม่มีว้ากนะครับ(ไม่ต้องห่วง) พี่รหัสก็จะคอยดูแลน้องๆ พาน้องไปเลี้ยงข้าวเป็นประจำ (บ่อยจริงๆ)
      เวลาผ่านไป 1 ปี พี่จบปีหนึ่งแล้ว 1 ปีนี้พี่ได้อะไรมากมาย มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มค่าจริงๆ น้องจะได้เจออะไรที่น้องไม่เคยเจออีกเยอะ
      คราวนี้มาพูดถึงชีวิตชั้น preclinic กันดีกว่า(ซึ่งพี่กำลังจะเจออีกไม่กี่เดือน)
      พอขึ้นปี 2 (อีกไม่กี่เดือน) พวกพี่ก็ต้องย้ายเข้าไปในคณะแพทย์ ไปอยู่หอคณะ ซึ่งคราวนี้หละ ที่พี่จะได้เรียนวิชาแพทย์จริงๆ ทั้งการผ่าอาจารย์ใหญ่ (Gross Anatomy) Biochem Neuro Histo อะไรอีกมากมาย ซึ่งปี2จะเป็นปีแห่งวิชาการอย่างแท้จริง เรียนหนักมากๆๆๆๆ สอบทุก 2 อาทิตย์ วันๆเจอหน้าแต่พวกเดียวกัน หอคณะก็จะเจอแต่รุ่นพี่ เงียบกว่าหอในมอเยอะ แต่ความเป็นอยู่ในหอคณะค่อนข้างสะดวกสบาย น้องเอาตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี คอมพิวเตอร์มาได้ตามใจชอบ อยู่ห้องละ 2 คน แต่น้องคงได้นอนน้อยกว่าเดิมแน่ๆเพราะบางวันน้องอาจจะต้องอ่านหนังสือโต้รุ่งเพราะพรุ่งนี้สอบ Gross ทำ Lab ไม่เสร็จ ต้องเอาไฟฉายไปนั่งส่องอาจารย์ใหญ่ตอนดึกๆ(ใครกลัวผีก็ไม่รู้ด้วยนะ)......น้องอาจจะคิดถึงชีวิตปี1 อันแสนสบาย แต่นี่คือความจริงที่น้องจะเจอไปตลอดชีวิตต่างหาก(อย่าเพิ่งท้อนะ)
      ปี3...ปีนี้จะเรียนเบากว่าปี 2 ลงบ้าง แต่จะมีกิจกรรมมากมาย เพราะปี 3 จะเป็นปีที่ต้องจัดกิจกรรมให้น้อง ทั้ง sportday งานรับน้องขึ้นดอย อีกมากมาย ส่วนเรื่องเรียนก็จะได้เรียนพวกความผิดปกติต่างๆภายในร่างกาย Pharmaco แล้วก็วิชาพื้นฐานเตรียมขึ้นชั้น clinic
      แต่เรื่องหลักสูตรรุ่นน้องจะได้เรียนระบบใหม่ เป็น block sys ซึ่งจะไม่ค่อนเหมือนกับรุ่นพี่...เป็นยังไงก็ลองไปเปิดดูในเว็บไซต์คณะแพทย์ มช.ดูได้...เห็นเค้าว่ามันดีในระยะยาว เป็นการสร้างกระบวนการคิด และค้นคว้าแก่ นศพ. พี่ก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเหมือนกัน
      ปี4-5 น้องจะได้ขึ้นปฏิบัติงานใน รพ. ซึ่งรพ.ประจำคณะแพทย์ของเราคือ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เป็นรพ.ขนาดใหญ่มาก (ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ) บรรยากาศก็คล้ายๆศิริราชที่คนเดินกันเหยียบกันสุดๆ ดังนั้นน้องไม่ต้องห่วงเลย เพราะ case น้องจะหลากหลายและเยอะสุดๆ ซึ่งพี่ว่าดีมากๆ น้องจะได้ปฏิบัติเยอะจริงๆ (เยอะกว่าพวกใน กทม.ด้วยซ้ำ) ซึ่งน้องจะมีเวลาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด บางวันต้องเข้าเวร เป็นต้น...แต่นี่คือชีวิตจริงของแพทย์ครับ ซึ่งถ้าน้องจบไปจะเจออะไรที่มากกว่านี้อีกเยอะ
      ปี6 ก็คือ Extern น้องจะได้ทำอะไรเกือบเหมือนแพทย์จริงๆทุกอย่าง น้องอาจจะได้ไป extern ที่ตจว.แล้วแต่เค้าจัดให้ แต่ปีนี้จะเป็นปีที่น้องหาประสบการณ์อย่างเต็มที่ก่อนที่น้องจะได้ออกไปทำหน้าที่แพทย์เต็มตัวในอนาคต
      คณะแพทย์ มช.มีโครงการพิเศษซึ่งต่างจากที่อื่นอย่างหนึ่งคือ หากน้องทำคะแนนดีๆในชั้น clinic น้องมีโอกาสได้เรียนต่อเฉพาะทางได้เลยทันทีที่น้องจบปี 6 พร้อมกับใช้ทุนที่ รพ.มหาราชไปพร้อมๆกับเรียน กล่าวคือน้องไม่ต้องไปใช้ทุนก่อน 3 ปีแล้วค่อยกลับมาเรียน....แต่มีข้อแม้ว่าน้องต้องคะแนนดีจริงๆ ซึ่งอาจารย์ในแต่ละภาควิชาจะเป็นผู้เลือกเอง มีจำนวนไม่มาก ในขณะที่อื่นๆเช่นจุฬา ศิริราช น้องต้องไปใช้ทุนก่อนจึงจะมาเรียนต่อได้....แต่ข้อดีของการที่ได้ไปใช้ทุนก่อน ก็คือน้องจะมีประสบการณ์ในการรักษาโรคทั่วไปใน รพ.ชุมชน ซึ่งถือเป็นทักษะที่ดี(บางคนเรียนต่อเฉพาะทางเลย รักษาโรคทั่วไปไม่ค่อยเป็นก็มี) และน้องยังได้ช่วยเหลือสังคมอีกต่างหาก (ได้ทำบุญด้วย)
      เห็นรึยังครับว่าเรียนแพทย์ไม่ง่ายเลย และพอจบไปก็ยิ่งเหนื่อยกว่าเดิมอีก ดังนั้นจึงขอให้น้องคิดให้ดีก่อนเรียนแพทย์ กล่าวคือต้องมีใจรักด้วยนะครับ รักที่จะช่วยคน รักษาคน ยอมมีเวลาว่างน้อยกว่าผู้อื่น ยอมเสี่ยงต่อการโดนฟ้องร้องเอาผิด แต่สิ่งที่น้องได้กลับมา มันคือความภาคภูมิใจสูงสุดที่น้องได้ช่วยให้ชีวิตอีกหลายชีวิตหายเป็นปกติ
      พิมพ์มาตั้งเยอะแล้ว....สุดท้ายนี้พี่อยากจะบอกว่า พี่ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้มาอยู่เชียงใหม่ เพราะที่นี่ทำให้พี่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง ได้เรียนรู้ที่จะหนักแน่น มั่นคง ได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบ(ซึ่งอีกหน่อยต้องรับผิดชอบมากกว่านี้อีกเยอะ) และพี่ยังได้เที่ยว ได้ประสบการณ์ซึ่งแน่นอน ถ้าอยู่ใน กทม.ไม่มีวันรู้
      สุดท้ายนี้ก็ขอให้น้องทุกคนสมหวังในคณะที่ต้องการนะครับ....แล้วถ้าใครเลือกแพทย์ มช.ขอให้ได้มาเจอกันที่คณะนะครับ พวกพี่จะรออยู่

      ....เค้าเขียนได้ดีมากๆเลยครับ เกี่ยวกับคณะแพทย์ มช. ก็เอามาแบ่งๆกันให้อ่านครับ
      อืม ลืมบอกไป คณะแพทย์ มช.เป็นคณะแพทย์ซึ่งเก่าแก่เป็นแห่งที่ 3 ของประเทศ รองจากศิริราชและจุฬา มีหลักสูตรและมาตรฐานอยู่ในชั้นแนวหน้าของประเทศ (ได้เครดิตพอๆกับจุฬากับรามาเลยนะ...แต่ว่าคะแนนต่ำกว่าเพราะอยู่ตจว.)......ให้ข้อมูลเป็นทางเลือกละกัน ใครที่คะแนนไม่สูงมาก แต่อยากได้เข้าเรียนแพทย์ในสถาบันที่ได้รับการยอมรับและได้มาตรฐาน แพทย์ มช.ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งนะครับ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×