ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Massage 1 วันที่ฝนตก โชคชะตา มิตรภาพและความรู้สึกที่หายไป
เสียงฝนและลมพัดกระหน่ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ลมพัดแรงมากจนได้ยินเสียง คลื่น~~คลื่น และแล้วไฟในบ้านก็ดับลงพร้อมเสียงบ่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแม่ของผม ว่า “จะมาดับอะไรกันตอนนี้นะงานบ้านก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วเมื่อไร มันจะหยุดตกนะตกมาได้ 3 วันแล้วเนี่ย” เสียงแม่ของผมก็ยังบ่นไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่สำหรับผมในตอนนี้แล้วไม่ว่าไฟจะดับหรือไม่ดับมันก็ไม่มีค่าอะไรเลยในเมื่อผมไม่อาจจะมองเห็นมันได้ ผมไม่ได้ตาบอดนะ แต่ผมต้องรักษาดวงตาเนื่องจากหักโหมใช้งานหนักมากจนทำให้แสบตามากเวลาที่ลืมตา หมอ จึงให้ผมพันผ้าปิดตาไว้ แล้วจะมาหยอดยาที่โรงพยาบาลเท่านั้น
“สวัสดีครับคุณหมอ” ผมเอ่ยทักคุณหมอที่โรงพยาบาลที่ผมมาได้เดือนกว่า ๆ แล้ว
“สวัสดีครับ วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ ยังมีอาการเคืองหรือแสบตาหรือปล่าว” หมอถามผมในขณะที่กำลังใช้กรรไกรตัดผ้าพันแผลที่พันรอบตาผมอยู่ ถึงผมจะมองไม่เห็นแต่ผมก็สัมผัสมันได้ มันเป็นความรู้สึกถึงโลหะที่มาแตะที่แถว ๆ บริเวณหน้าของผม แถมยังมีเสียงดัง ‘ชับ ชับ’ อยู้ข้าง ๆ หูผมอีก พอหมอถอดผ้าพันตาแล้วกอะไรสักอย่างที่ใช้คลอบตาออก ผมก็ลองพยายามที่จะค่อย ๆ ลืมตาออก
“โอ้ย แสบตาครับหมอ”
“ไม่ต้องรีบลืม ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ เพราะเราไม่ได้เห็นแสงมาเป็นเวลาเดือนกว่า ๆ ทำให้การมองเห็นไม่สมารถลืมตาขึ้นได้เหมือนเดิมค่อย ๆ ลืมรอให้สภาพตาปรับเข้ากับสภาพแวดล้อมก่อน”
ผมก็พยายามทำตามที่หมอพูด แล้วแต่ผมก็ยังลืมตาไม่ขึ้นเนื่องจากผมไม่อาจทนต่อแสงสว่างของหลดไฟได้ ผมจะได้แต่หลับตาต่ออย่างเดิม
“แล้วตาของลูกดิฉันจะกลับเป็นเหมือนเดิมได้ไหมค่ะ คุณหมอ” แม่ถามหมอในขณะที่มองผมเนื่องจากผมยังไม่สามารถลืมตาไม่ขึ้น
“คงต้องใช้เวลาหน่ะครับ อีกสัก 2-3 วันก็น่าจะมองเห็นได้ตามปกติแล้วนะครับ เพราะหมอเองก็ตรวจดูแล้ว ตอนนี้สายตาของน้องเขาก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่คงต้องใช้เวลาเนื่องจากน้องเขาไม่ได้ใช้สายตาเป็นเวลานาน คงต้องให้รอการปรับสภาพนะครับ แล้วถ้ามีอาการปวดหมอก็ได้สั่งยา แกอักเสบไว้ให้แล้วนะครับ แล้วก็มีวิตตามินบำรุงสายตาด้วยครับ”
“ค่ะ ๆ งั้นขอตัวลาคุณหมอเลยนะค่ะ สวัสดีค่ะ/สวัสดีครับ” ผมและแม่ลาหมอก่อนออกจากห้องตรวงแล้วเดินไปห้องจ่ายยาแต่ในขณะที่เดินผม หลับตาแล้วเดินก้มหน้าจับมือแม่ตลอดเหมือนเด็ก ๆ ที่จับมือแม่เวลาเดินเที่ยวแล้วจะกลัวหลงอะไรอย่างงั้นเลย
“คุณศุภสิทธิ์ เชิญมารับยาที่ช่องรับยาหมายเลย 3 ค่ะ”
“ป้อมรอแม่ตรงนี้นะ เดี๋ยวแม่ไปเอายาแปป” แม่พูดกับผมแล้วเดินออกไปทางไหนผมไม่อาจรู้ได้แต่จากเสียงคงจะเป็นด้านหน้าผมเป็นแน่ เอะทำไมผมถึงได้ทำเหมือนคนตาบอดหว่า
เมื่อถึงบ้านแม่ก็ได้พูดกับผมว่า “ป้อมนี่ก็ใกล้จะสอบคัดตัวเข้าเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ครับแม่ แต่ยังไงผมก็น่าจะเข้าได้สบายอยู่แล้ว ยังไงผมก็อยู่ห้องคิงนะเเม่”
ผมจบมัธยมต้นจากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่พอทุกคนได้ยินแล้วก็ต้องรู้จักแต่เนื่องจากผมเป็นคนขี้เกียจจึงไม่ค่อยส่งการบ้าน มีแต่คะแนนที่สอบสะส่วนใหญ่เกรดที่ได้เลยออกมากลาง ๆ แล้ววันนั้นผมกะเพื่อนจะไปสมัครสอบที่โรงเรียนแห่งหนึ่งผมกับเพื่อนเกิดดันทะลึ่งหลงทางกันผมเลยกลับมาสมัครเรียนโรงเรียนพาณิชย์ที่มีชื่อแห่งหนึ่งในกทม.ทิ้งไว้ก่อนที่ตาผมจะมองไม่เห็น
“ทำเป็นพูดดี ถ้าไม่ผ่านแล้วจะทำยังไง”
“โถ่แม่ถ้าไม่ผ่านก็ไปเข้าเอกชนที่ไหนก็ได้สิแม่” ตอนนั้นผมได้ยินเรื่องที่แปลกอยุ่อย่างระหว่างเรื่องโรงเรียนของรัฐบาลกับโรงเรียนของเอกชน เด็กโรงเรียนเอกชนมักจะดูถุกเด็กของโรงเรียนรัฐบาลเพราะเด็กโรงเรียนรัฐบาลส่วนใหญ่จะไม่ได้มีฐานะที่รวยเหมือนเด็กเอกชน แต่ในขณะเดียวกันเด็กรัฐบาลก็มักจะดูถูกเด็กเอกชนว่าไม่มีปัญญาสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลเลยต้องไปเข้าเอกชนมั่งแหละ
“แล้วแต่แกแล้วกัน แกก็โตแล้วนี่เดี๋ยวแม่ไปด้วยละกัน”
“ไม่ต้องไปหรอกแม่ อายเขาโตป่านนี้แล้วยังเอาแม่ไปนั่งรอสอบอีก”
“จะอายอะไรที่พี่แกนะขนาดเรียนปริญาตรีนะ เวลาสอบยังให้แม่ไปนั่งรอหน้าตึกห้องสอบเลย”
“ก็ผมไม่ใช่พี่นี่น่าเป็นลูกแหง่ติดแม่หน่ะ”
โป๊กกกกกก
“โอ๊ย เจ็บนะเนี่ยปุ้มทำไรอ่ะ” ผมนั่งจับหัวผมในขณะที่ผมยังหลับตาอยู่
“ไม่ได้ลูกแหง่เว้ย เขาเรียกลูกรักแม่ต่างหาก”
“ว่าแต่ตายังไม่หายจะไปยังไงคนเดียว” แม่ผมเริ่มพูดต่อหลังจากฟังสองพี่น้องนั่งเถียงกันอยู่นาน
“อืมค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน”
วันนี้เมฆฝนตั้งเค้าจะตกทำให้บรรยกาศอึม ครึม แสงสว่างจากแดดไม่ค่อยมีเหมือนบรรยากาศเป็นใจให้ผมเป็นอยากมากเนื่องจากตาของผมที่เริ่มมองเห็นได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถโดนแสงได้มากเท่าไรนัก แต่ที่ผมบอกว่าวันนี้บรรยากาศเป็นใจเพราะวันนี้เป็นวันสอบคัดตัวของผม วันนี้ผมพกเอาความตั้งใจไปอย่างเต็มเปี่ยมเพราะแต่ก่อนนั้นผมดูถูกสายอาชีพมาก เพราะผมจบจากมัธยมที่มีชื่อเสียงบวกกับที่ผมอยู่ห้องคิงจึงมีความเชื่อมั่นสูงแต่พอผมเข้ามาในโรงเรียนได้สักพักนั่นเอง ผมก็เห็นเด็กหลายคนนั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้บ้าง ในโรงอาหารบ้างจนผมอดคิดในใจว่าสงสัยจะมากินหนังสือในโรงอาหารหรือไงเนี่ย ในขณะที่ผมเดินได้สักพักก็มีประกาศดังขึ้น
“ขอให้นักเรียนทุกคนมารวมตัวกันที่ลานหน้าเสาธงชาติ ณ เวลานี้ด้วยครับ”
“ขอให้นักเรียนทุกคนมารวมตัวกันที่ลานหน้าเสาธงชาติ ณ เวลานี้ด้วยครับ” เสียงประกาศซ้ำพอเห็นนักเรียนมาเข้าแถวครบครูจึงพุดต่อว่า
“วันนี้ครูมีข่าวดีจะมาบอก ว่าปีนี้ไม่มีการสอบเข้าเหมือนปีก่อน ๆ ปีนี้เป็นปีแรกที่วิทยาลัยของเราจะรับนักเรียนทุกคนเข้าเรียนด้วยไม่มีการสอบ แล้วก็ขอให้นักเรียนมาตรวจสอบรายชื่อห้องได้ในอีก 3 วันข้างหน้านะครับ ขอบคุณครับ”
‘อ้าวเฮ้ย ไหงจะเปลี่ยนกำหนดการไม่มีการบอกหรือประกาศสักคำทำไมทำงานกันได้ห่วยงี้นะ’ ในขณะที่ผมบ่นในใจ แต่หลายคนก็มีท่าทียินดีเมื่อไม่ต้องสอบ แล้วทุกคนก็พากันกลับบ้าน
“อ้าวป้อมทำไมกลับมาเร็วนักล่ะ วันนี้สอบคัดตัวไม่ใช่เหรอ”
“ครับพอไปถึงเข้าบอกให้มาใหม่อีก 3 วัน เพราะว่าปีนี้เขารับเข้าหมด แต่ป้อมว่านะทำงานห่วยมากไม่บอกอะไรเลย มาบอกวันที่คนเขาสอบเนี่ยนะ”
“ก็ดีแล้วไงจะได้มีที่เรียนไม่ต้องไปเรียนเอกชนให้เปลือง”
“อืมสงสัยมันจะเป็นโชคชะตาล่ะมั้งที่ต้องได้เรียนที่นี่” ผมก็ได้แต่นั่งคิดตรงหน้าต่างว่านี่มันเป็นแค่เรื่องบัญเอิญหรือโชคชะตากันนะที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่นี่
วันนี้เป็นวันที่ ผมต้องไปดูรายชื่อว่าอยู่ห้องไหนของวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ว่าวันนี้เหมือนฟ้าจงใจจะแกล้งผมหรือไงก็ไม่รู้เมื่อฝนดันตกหนักสะงั้นแต่ที่วิทยาลัยเขานัดไว้ 9.00 น. นี่สิ แต่ก็ดีอย่างหนึ่งที่จากบ้านผมไปวิทยาลัยนี้
“เมื่อไรฝนมันจะหยุดตกนะนี่ก็ 7.45 แล้วนะ” ผมได้แต่บ่นให้แม่ฟัง
“ก็รออีกสักแปปสิ ถ้าไม่หยุดก็นั่งแท็กซี่ไป”
“ไม่เอาอ่ะมันเปลือง คิดดุนะแม่นั่งวินเสีย 20 นั่งเซ็กซี่เสีย 75 แหน่ะเก็บเงินไว้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า”ที่ราคามันต่างกันก็เพราะถ้านั่งวินมันจะมีทางลัดไปวิทยาลัยซึ่งไม่ไกลมากนัก แต่ถ้านั่งแท็กซี่มันต้องอ้อมออกไปถนนใหญ่อีก
“เออแล้วแต่แกเลยถ้า 8.30 ไม่ไปก็ไม่ต้องไปละเพราะเขาคงไม่รับแกแล้วล่ะ”แม่ผมบ่น
“รู้แล้วน่า” ทันทีที่ผมพูดเสร็จฝนก็เริ่มซาลง อ๊ะเหมือนบรรยกาศจะเป็นใจให้ผมอีกละหรือว่านี่มันคือโชคชะตาจริง ๆ หว่าที่ผมต้องเรียนที่นี่
แต่เรื่องไม่คาดคิดเมื่อผมจ่ายเงินวินปุ้ปฝนที่หยุดกลับตกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยสะงั้น เอาล่ะสิครับกว่าจะไปถึงอาคารผมคงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำก่อนแน่ ๆ แล้ว อยู่ดี ๆ ทำไมผมไม่เปียกกันนะ เอ๊ะฝันก็ตกอยู่นี่น่าแต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรเพ้อเจ้อมากกว่านี้ก็มีเสียงหวาน ๆ ถามมาว่า
“ไม่ได้เอาร่มมาเหรอค่ะ เดินไปกับฉันก่อนก็ได้”
“ครับขอบคุณครับ” ผมไม่ปฏิเสธหรอกที่อยู่ดี ๆ จะมีหญิงน่ารัก ๆ มาเดินเบียดกันอยู่ในร่มคันเดียวกัน เธอเป็นผู้หญิงที่รุปร่างดี เธอไม่ถึงกับสวยเหมือนใคร ๆ แต่เอก็เป็นคนน่ารักมากคนหนึ่งเลยทีดียวแถมนิสัยดีอีกต่างหาก
“ขอบคุณมากนะครับที่เดินมาส่ง” ผมขอบคุณเธอเสร็จผมก็เดินเข้าอาคารเรียนในตึกเรียนทันที
ผมเดินหารายชื่อของตัวเองซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับการหารายชื่อของตนเองจากักเรียนเป็น 1500 กว่าคนในตอนแรกผมเดินหาชื่อตัวเองตั้งแต่หาไม่เจอครับผมเดินหาชื่อตัวเองเลยครับ ผมเดินหาชื่อตัวเองพร้อมกับใจที่เสีย ๆ หน่อย ๆ อีกครั้งแต่แล้วก็มีเสียงหวานทักผมมาอีก
“หาชื่อไม่เจอหรือค่ะ ให้เราช่วยหาไหม”
พอผมหันกลับไปดุก็เป็นเธออีกแล้ว เธอที่เดินมาส่งผมถึงอาคารเรียนแห่งนี้ แล้วเธอคนนี้ยังจะช่วยผมหาชื่ออีกหรือ ผมช่างเป็นคนที่ไม่ได้ความเลยนะเนี่ย
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หา 2 คนดีกว่าหาคนเดียวนะค่ะ อีกอย่างเราก็เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกันแล้วนะว่าแต่ว่าชื่ออะไรเหรอค่ะ”
“ศุภสิทธิ์ ครับ” ผมตอบเธอไปเพราะผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธได้อย่างไร
“อ๊ะเจอแล้วค่ะ นี่ใช่ชื่อเธอหรือปล่าว” เ
“ใช่เลย แต่เราก็เดินหามาเป็น 10 รอบแล้วนะแถวนี้ทำไมหาไม่เจอ”
“สงสัยนายอยากจะให้เราช่วยหาหรือปล่าว”
“ปล่าวแต่ไงก็ขอบคุณมากนะ เราต้องกลับก่อนละ บาย ๆ” ผมกล่าวขอบคุณเธออีกครั้งแล้วก็เดินไปขึ้นวินกลับบ้าน
“ป้อมเป็นไงบ้างลุก เห็นว่ากลับช้าแม่กำลังจะไปหาอยู่เลย”
“ปล่าวแม่ไม่ได้เป็นไรแค่หารายชื่อไม่เจอแต่พอดีมีคนมาช่วยหาเลยเจอ”
“ก็ดีนะที่ยังมีคนมาช่วยหาจนเจอ”
“แต่เขานัดให้ไปถ่ายรูปพร้อมเสียเงิน 120 บาทนะแม่ตอนวันที่ 4 เดือนหน้าอ่ะ”
“แล้วแกอยู่ห้องไหนละ”
“ห้อง 127 ครับแม่”
“แน่ใจเหรอตาแกยิ่งมองไม่ค่อยจะเห็นอยู่”
“ผมไม่ได้ตาบอดนะแม่ แค่โดนแสงจ้า ๆ ไม่ได้เท่านั้น” ผมตอบแม่พร้อมกับเขาห้องไปนอนในใจก็เริ่มคิดอะไรเรื่อยเปื่อยว่า ‘การที่คนเราเคยมองเห็นได้ดีกว่าคนอื่นในตอนนั้นเราไม่เคยคิดที่จะถนอมดวงตาคู่นี้เลย จนกระทั้งเมื่อเรามองไม่เห็น ผมเพิ่งจะรู้สึกและนึกถึงความสำคัญของดวงตาคู่นี้ แล้วเริ่มเข้าใจถึงความท้อแท้ของคนตาบอด ผมเคยคิดว่าคนพวกนี้แค่ตาบอดแล้วก็น่าจะทำอย่างอื่นได้ ไม่ใช่นั่งรอให้คนอื่นมาช่วยเหลือ จนกระทั้งเมื่อผมได้มาประสบกับตัวเองถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ทำให้ผมได้รู้สึกถึงความท้อแท้ โลกที่เราเคยมองเห็น และคิดว่าอะไรมันก็ง่ายไปหมด แต่พอโลกนี้มือสนิดเราไม่อาจจะเห็นสิ่งใดได้นอกจากความท้อแท้ และหวาดกลัวต่อตนเองและคนรอบข้าง’ แล้วผมก็ปล่อยให้ตนเองเข้าสู้ห่วงนิทราอันแสนสุข
เมื่อถึงวันที่ผมจะไปถ่ายรุปที่วิทยาลัย ผมก็เรียบตื่นมาแต่เช้ารีบอายน้ำ อย่างเร็วแต่คำว่าเร็วของผมไม่ใช่การวิ่งผ่านน้ำนะครับแต่มันประมาณ 30 นาที เลยทีเดียว แล้วในขณะที่ผมกำลังจะออกจากบ้านแม่ก็ได้บอกผมว่า
“ป้อม เมื่อกี้แม่โทร.ไปเช็คที่โรงรียนแกแล้วเขาบอกว่าแกไม่ได้อยู่ห้อง 127 แต่อยู่ห้อง 117”
“ห่ะ ได้ไงอ่ะก็คราวก่อนผมอยุ่ไปดุยังอยุ่ห้อง 117 ผมว่านะวิทยาลัยนี้มันห่วยแน่ ๆ เลย ทำอะไรก็ไม่เคยบอกกันเลย ตั้งแต่วันที่ไปสอบละ” ผมบ่นด้วยความโมโหพร้อมกับออกนอกบ้าน
เมื่อมาถึงก็เดินขึ้นไปอาคาร 8 ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่ทางวิทยาลัยได้นัดให้ไปถ่ายรูป แต่จะถ่ายรวมกันเป็นห้องเพราะฉะนั้นเราจึงต้องไปรวมกันในห้องที่นัดแล้วจ่ายเงินกับเจ้าหน้าที่ประจำห้อง เมื่อผมเดินมาถึงผมก็ได้เจอกับหญิงสาวคนที่เขาช่วยผมหาชื่อ แต่ผมเลือกที่จะไม่ทักจนเธอหันมาเห็นผมแล้วจึงเดินมาทัก
“สวัสดีจ้า ว่าแต่มาทำอะไรที่ห้องนี้ล่ะ เออยุ่ห้อง 127 ต้องมาถ่าย่รูปพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ” เธอบอกพร้อมกับยื่นใบตารางให้ผมดู
“สวัสดี เราโดนย้ายห้องน่ะ”
“อ๊ะหรือว่าอยากเจอกับเรากันแน่จ๊ะ ถึงได้ย้ายตามมา คิดอะไรกับเราหรือปล่าวเนี่ย”
“ปล่าว แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าเธออยู่ห้องนี้ ถ้ารู้ผมคงไม่มาหรอก”
“อ้าวสะงั้น นึกว่าจะพูดซึ้ง ๆ ให้สาวน่อยน่ารักอย่างเราได้ดีใจเล่นสะอีก”
“ไม่มีคนชมล่ะสิว่าน่ารักอ่ะ ถึงได้ชมตัวเองงั้นเดี๋ยวเราช่วยชมให้ก็ได้ทีหลังจะได้ไม่ชมตัวเองอีก” จริงผมชมจากใจจริงนะแต่ไหงปากพุดไปงั้นก็ไม่รู้ ปากไวกว่าความคิดอ่ะ
“เชอะ งอลละผู้ชายเย็นชา”
“อย่าเชอะเลย คนน่ารักเขาทำกัน”
“อ่ะงั้นเธอก็หาว่าฉันไม่น่ารักอ่ะดิ”
“ปล่าวฉันไม่ได้พูดแต่เธอพูดเองต่างหาก” ผมยังทำหน้าเรียบเฉยในขณะที่เธอกำลังคิดจะทำร้ายผมแต่เพราะหน้าผมมันไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ไหนล่ะมั้งเธอถึงไม่ตีผม
“แล้วนายชื่ออะไรล่ะ”
“ป้อม” ผมตอบสั้น ๆ
“เราชื่อเนม ยินดีที่ได้รูจักนะ”
“อืม” ผมตอบสั้นๆ
แล้วเราก็เดินเป็นแถวเพื่อไปถ่ายรุปที่ชั้น 3 โดยแยกชายและหญิงแต่พอแยกปุ้ปผมก็เพิ่งรู้ว่าผู้ชายทั้งห้องมี 8 คน แล้วเราก็เริ่มทำความรู้จักกัน
“ป้อมนี่ป้อมกลับยังไงอ่ะ” เนมหันมาถามผม
“นั่งวินอ่ะ”
“อ้าวเหรอนึกว่าจะนั่งรถเมย์จะได้กลับด้วยกัน”
“บ้านเรานั่งวินกลับมันใกล้กว่า เพราะกกลับทางลัดถ้านั่งรถเมย์มันจะอ้อมน่ะ”
“อืมงั้นเนมขึ้นรถกลับก่อนนะ กลับดี ๆ ละ แล้วเปิดเทอมเจอกัน”
“อืม บาย ๆ”
‘ถ้าเป็นปรกติเราก็น่าจะจีบเนมไปแล้วนี่ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าใครจะทำอะไรหรือพูดอะไรเรากลับไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกสนุกเมื่อพวกนั้นพูดตลก ๆ ไม่รุ้สึกชอบเมื่อมีคนมาทำดีด้วย ไม่นะความรู้สึกของเรามันหายไปไหนกันล่ะเนี่ย’ ชายหนุ่มคิดได้ดังนั้นก่อนเข้านิทราอันแสนสุข
‘การที่คนเราเคยมองเห็นได้ดีกว่าคนอื่นในตอนนั้นเราไม่เคยคิดที่จะถนอมดวงตาคู่นี้เลย จนกระทั้งเมื่อเรามองไม่เห็น ผมเพิ่งจะรู้สึกและนึกถึงความสำคัญของดวงตาคู่นี้ แล้วเริ่มเข้าใจถึงความท้อแท้ของคนตาบอด ผมเคยคิดว่าคนพวกนี้แค่ตาบอดแล้วก็น่าจะทำอย่างอื่นได้ ไม่ใช่นั่งรอให้คนอื่นมาช่วยเหลือ จนกระทั้งเมื่อผมได้มาประสบกับตัวเองถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ทำให้ผมได้รู้สึกถึงความท้อแท้ โลกที่เราเคยมองเห็น และคิดว่าอะไรมันก็ง่ายไปหมด แต่พอโลกนี้มือสนิดเราไม่อาจจะเห็นสิ่งใดได้นอกจากความท้อแท้ และหวาดกลัวต่อตนเองและคนรอบข้าง’
**** ****
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น