คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : (kai /sehun) Security Guard 1 (completed)
inspirated by #บอดี้การ์ดตัวร้ายปกป้องหัวใจยัยขี้เซา hashtag on twitter
and kaihun's sweet moment 8/21/2015 at airport
note: ฟิคสั้นไคฮุนค่ะ โมเม้นต์แอทแทคแรงมาก ฟินจนมือสั่นไปหมดล๊าวววววววว
บ้านหลังเล็กสีขาว2ชั้นที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เนินสูง
บ้านของผม
ผมอาศัยอยู่กับพ่อแค่2คน แค่สองคนเท่านั้น
พ่อทำงานเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง เขาทำงานไม่เป็นเวร่ำเวลา ไม่ใช่แค่นอนดึกหรือต้องตื่นเช้า บางวันพ่อถึงขั้นไม่ได้นอน แต่บางวันพ่อก็นอนทั้งวัน นั่นแหละ มันก็แค่บางวันเท่านั้น
วันนี้ทุกอย่างดูแปลกไป ผมเห็นพ่อนอนอยู่บนโซฟาหลังจากที่ผมกำลังจะไปโรงเรียน พ่อมานอนแบบนี้เพราะว่าต้องเตรียมอาหารเช้าและอาหารกลางวันให้ผมไปทานที่โรงเรียน
ผมพยายามทำตัวไม่ให้เป็นภาระของพ่อ ใช้จ่ายเงินอย่างประหยัด งดกินงดเที่ยว และหลายครั้งที่ผมพยายามจะเข้าครัวฝึกทำกับข้าวง่ายๆ อย่างเช่น ข้าวผัด หรือราเมง แต่ทุกอย่างในบริเวณนั้นสำหรับดูจะยุ่งยากไปซะหมด ไอ้ทำน่ะมันทำได้ แต่คิดว่าซื้อกินน่าจะสะดวกกว่า พ่อพูดแบบนั้น
“ไม่ได้ไปไหนเหรอครับ” ผมถามพ่อออกไป พ่อยังนอนหลับตานิ่งอยู่บนโซฟาสีเทาตัวนั้น
“ไม่” ผมรู้ว่าเขาไม่เคยหลับหรอก เขามีอาชีพที่ต้องระแวดระวังอันตรายให้คนอื่นอยู่ตลอด บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าเคยหลับสบายสักคืนรึเปล่า
“ไปโรงเรียนแล้วนะครับ” หลังจากเก็บกล่องอาหารเช้าและอาหารกลางวันใส่กระเป๋า ผมสวมถุงเท้าสีเทาพร้อมจะเดินออกไป
“แล้วจะปิดเทอมตอนไหน” ปีนี้คงเป็นปีสุดท้ายที่ผมเป็นเด็กมอปลาย อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ต้องเรียกว่าเด็กมหาลัย
“อาทิตย์หน้าครับ” พอปิดเทอมผมก็จะช่วยพ่อทำงานแบ่งเบาภาระ ผมคิดแบบนั้น
“ตั้งใจเรียน” พ่อพูดทุกประโยคกับผมในขณะที่เขากำลังนอนหลับตาอยู่ ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงเข้าไปนั่งใกล้ๆแล้วหอมแก้มสักฟอด
“ครับ” ผมพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ผมเห็นบนใบหน้าของตัวเองโดยที่ไม่ต้องส่องกระจก และเช้าวันนี้ในบ้านหลังเล็กก็ผ่านพ้นไปเหมือนกับทุกวัน
ชีวิตนักเรียนมอปลายปีสุดท้ายและสัปดาห์สุดท้ายคือหนึ่งสิ่งที่คนหลายคนเฝ้าฝันเพราะมันแทบจะไม่มีคลาสเรียนเลย แต่สำหรับบางคนแล้วเขาก็ไม่อยากให้มันมาถึงสักนิด
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
ชีวิตมอปลายก็เหมือนกัน
เคยมีคนเล่าว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมันลำบาก ต่างจากมัธยมอย่างงั้นอย่างงี้ ถึงจะได้ยินมาแบบนั้นแต่ผมอยากสัมผัสอยู่ดี อยากเรียนจบเร็วๆ พ่อจะได้สบาย ไม่ต้องไปทำงานอยู่ท่ามกลางอันตรายแบบนั้น
“หางานพิเศษได้รึยัง” หันตามเสียงคนที่ถามผม ซึ่งก็ยืนอยู่ด้วยกันนี่แหละ
“ยัง กำลังพยายาม”
“ถ้าหาไม่ได้ก็มาช่วยขายซีดีที่ร้านดิ” ใช่ ร้านขายซีดีของจือเทา
“ขอบใจ” แต่ผมไม่อยากเจอหน้าจือเทา ผมไม่อยากทำร้ายเค้าอีกแล้ว
เพื่อนก็คือเพื่อน
หวังว่าเขาคงจะเข้าใจ
ช่วงเวลาที่แสงสว่างหายไปจากท้องฟ้า
และผืนนภาที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสีดำเข้ม
สิ่งที่คุณชอบทำที่สุดคืออะไร
“ทำไม รสชาติกับข้าวไม่เหมือนเดิมเหรอ” ผมส่ายหน้า
“ก็เหมือนเดิม” อร่อยเหมือนเดิม
“แล้วทำไมไม่กินให้หมดล่ะ” พ่อก็เป็นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ บังคับกินข้าวตลอดเลย
“ก็อิ่มแล้ว ก่อนมากินชานมไข่มุกเลยไม่ค่อยหิว” พ่อพยักหน้า ผมก็เป็นแบบนี้ตลอด
“ยังกินแต่รสเผือกเหมือนเดิมเหรอ” เขาพูดพลางซดน้ำซุปเข้าปาก
“ก็ไม่รู้ว่าจะกินรสอะไรถ้าไม่ใช่รสนี้ คนขายเคยถามผมด้วยนะว่าอยากลองกินรสอื่นไหม เขาบอกว่ารสช็อคโกแลตก็อร่อยนะ” ผมพูดพลางเขี่ยข้าวในถ้วยของตัวเองไปด้วย เงาบนช้อนก้นลึกทำให้ผมรู้ว่าตัวเองกำลังยิ้ม
“ก็สมควรที่เขาจะพูดนั่นแหละ กี่ปีแล้วล่ะที่แกกินเฉพาะไอ้รสเผือกหอมอะไรเนี้ย ”
“ถ้ามันดีอยู่แล้วผมก็ไม่รู้จะไปเปลี่ยนมันทำไม” ผมซดน้ำซุปกระดูกวัวเข้าปากบ้าง
“เขาเรียกเรียนรู้ต่างหาก” พ่อนี่พูดอะไรเข้าใจยากชะมัด
อีกหนึ่งวันที่ผมต้องตื่นแต่เช้า ถึงวันนี้จะปิดเทอมแบบเต็มรูปแบบแล้ว ผมก็มีภารกิจที่จะต้องไปหางานพิเศษทำอยู่ดี
“ไปไหน” วันนี้พ่อนั่นดูทีวี ก็ไม่แปลกเพราะวันนี้พ่อคงไม่ได้ทำอาหารกลางวันให้ แกเลยไม่เหนื่อยจนเผลอหลับไป
“ไปหางานพิเศษไง” ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดเรื่องนี้ พูดตามตรงผมก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ผมต้องปิดพ่อเลย
“ไม่ต้องไปหรอก” เหมือนจะได้ยินคำว่าห๊ะเบาๆออกมาจากลำคอของตัวเอง
“ทำไมอ่ะ”
“ก็บอกว่าไม่ต้องไป”
“แล้วทำไมต้องห้ามอ่ะ”
“แกก็มาทำงานกับพ่อสิ”
“ไม่เอาอ่ะ ผมไม่ชอบงานแบบพ่อ มันเหนื่อย เสียงดัง” ผมยกรีโมทมาเบาเสียงทีวีและมองมาทางผมที่พร้อมจะกระโจนออกไปนอกบ้านทุกเมื่อ สายตาของพ่อตอนนี้ผมอ่านไม่ออกเลยจริงๆ พ่อผิดหวังรึเปล่าที่ผมยอกย้อน หรือพ่อเสียใจที่มีลูกช่างเถียงคนนี้
“เซฮุน” แต่ตอนนี้ผมว่าผมอ่านสายตาของพ่อออกแล้ว
“ครับ”
“พ่อไม่อยากเสียแกไป ” สายตาแห่งความอ้อนวอน
“…”
“ไม่อยากให้มันเหมือน..แม่” ผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกเหมือนกัน
ผมอายุแค่19ปี จะมาทำงานเป็นรปภได้ยังไง ผมบอกกับพ่อแบบนั้น แต่เขาตอบแค่ว่า ก็ไม่ได้ให้มาเป็นรปภ
พ่อก็เป็นรปภ. ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงพูดแบบนี้กันล่ะ
“นี่ลูกชายผมเองครับ จะเอามาฝึกงานด้วย”
“โหว หล่อนะเนี้ย หน่วยก้านดี” ผมเดาว่าลุงคนนั้นคงเป็นเพื่อนร่วมงานของพ่อ แต่กับคำชมที่บอกว่าหล่อเนี้ยผมควรตอบกลับไปยังไงดี จะพูดว่า ขอบคุณครับ ก็ดูมั่นใจในตัวเองจนเกินไป ไม่เอาดีกว่า
“แต่ผิวมันขาวเนอะ ไม่เหมือนแกเลย” ลุงตบไหล่พ่อผมปุๆ พ่อผมยิ้มแล้วก็ก้มหน้าเชิงนอบน้อม
“ผิวเซฮุนเหมือนแม่เขาน่ะ”
“เออว่ะ ฉันก็คิดงั้นล่ะ เซนาเนี้ยไม่น่าจะอยู่บนนั้นเร็วเลยเนอะ พูดแล้วก็คิดถึง สมัยก่อนเค้าชอบทำกับข้าวกลางวันให้นาย ฉันเห็นแล้วยังแอบอิจฉาเลย เคยนินทานายกับเพื่อนด้วยว่ามันได้เมียดี” พ่อผมไม่พูดอะไร พ่อผมแค่ยิ้ม ผมก็ยิ้มเหมือนกัน ผมกับพ่อเราทั้งคู่คิดถึงแม่ อยากจะยิ้มให้กว้างๆกว่านี้ แต่พอนึกดูอีกทีมันก็ยิ้มไม่เต็มแก้มสักที
คิดถึงแม่เหลือเกิน
“แรกๆตึกบริษัทยังเล็กๆอยู่เลย ดูตอนนี้สิ เจริญรุ่งเรืองกิจการขยายใหญ่โต แต่ก็ดี บริษัทรวยเราก็รวย ฮ่าฮ่าฮ่า” ลุงคนนั้นหัวเราะจนเห็นตีนกา พ่อผมก็เหมือนกัน บางทีก็สงสัยนะว่าทำไมคนแก่ถึงชอบคุยกันเรื่องอดีตนัก แต่วัยรุ่นอย่างเรากลับชอบพะวงถึงเรื่องอนาคต
“ตอนนั้นมีแค่ผมกับพี่ ทำงานกันจ้าละหวั่นไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ตอนนี้เรามันก็หนุ่มแน่น งานดีเงินดี ใครบ้างจะไม่สู้ แต่ดูตอนนี้สิ” แล้ว2คนแก่ก็หัวเราะไปด้วยกัน ผมล่ะไม่ข้าใจจริงๆว่าเรื่องมันน่าหัวเราะตรงไหน แต่ผมก็หัวเราะไปกับเขานะ
“จะให้ไปวิ่งในเวทีคอนเสิร์ตมันไม่ใช่แนวอีกแล้ว” แล้วคนแก่2คนนั้นก็ยิ้มให้ผม
ผมพึ่งมารู้ทีหลังว่าบริษัที่พ่อทำงานอยู่เป็นค่ายเพลง พ่อไม่ได้เป็นรปภ. แต่เป็นอะไรสักอย่างที่เขาเรียก security guard หรือที่เรียกยาวๆว่า หน่วยรักษาความปลอดภัย แอบกระซิบถามพ่อว่า แล้วจะให้ผมมาทำอะไร ยิงปืน วิ่งไล่จับผู้ร้ายไม่เป็นหรอกนะ พ่อมองผมอย่างเอือมแล้วบอกว่า ดูแลคนเฉยๆ ไม่ได้ให้ยิงปืน หรือวิ่งไล่จับ แค่ทำให้เขาไม่โดนข่วนก็พอแล้ว
การดูแลคนไม่ให้โดนข่วนคือหน้าที่ของผมเหรอ แค่นี้เหรอ ผมถามพ่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่มันมีมากเหลือเกิน พ่อบอกว่าจริงๆมันก็มีหลายอย่าง แต่เป็นงานเบาๆ แล้วงานเบาๆของพ่อมันคืออะไรบ้างล่ะทำไมต้องไม่ยอมบอก
ชีวิตการทำงานพิเศษวันแรกเริ่มต้นเร็วกว่าที่คิด ผมไม่ได้ออกภาคสนามเดี่ยวๆหรอกนะแต่มาเป็นลูกมือพ่อ เราขับรถตู้สีดำทึบออกมาในเวลาตีสี่กว่าๆ ซึ่งมันโคตรง่วงเลย
“ตื่นรึยังล่ะนั่น” พ่อพูดพลางยกกาแฟร้อนที่ชงมาจากบ้านขึ้นดื่ม
“เอาไหมล่ะ” ผมส่ายหน้า ผมไม่ชอบกาแฟ
“ตีสี่ร้านชานมยังไม่เปิดหรอกนะ” พ่อนี่ตลกไม่ดูเวล่ำเวลาจริงๆ ตาผมลืมจะไม่ขึ้นอยู่แล้ว
“เรื่องที่มหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ผมพยักหน้าอีกที
“ดีๆ อีกไม่กี่ปีจะได้มีลูกเป็นครูแล้ว” พ่อพูดอย่างอารมณ์ดีและเอื้อมมือไปเปิดเพลง เป็นจังหวะเดียวที่ผมยกขวดน้ำเย็นดื่มแก้ง่วง
Hey playboy
!!!
“เห้ย เอาทิชชู่มาซับให้แห้งเลยนะเว้ย” วินาทีที่ได้ยินเสียงเพลงท่อนแรกน้ำในในปากแทบจะพุ่งออกมาจากรูจมูก
“พ่อฟังเพลงแบบนี้ด้วยเหรอ”
“มันแปลกเหรอ” แล้วพ่อก็ยิ้ม
“เพื่อนในห้องชอบเต้นตอนกลางวันอ่ะ ผู้หญิงด้วยนะ เต้นทีกะโปรงพลิ้วเชียว แมนกันมาก” แล้วผมก็หัวเราะไปพร้อมกับพ่อ ผมอยากบอกพ่อด้วยว่าเพลงนี้มีท่าจับก้นกันด้วย แต่กลัวพ่อด่าว่าผมแอบอ่านกินผู้หญิงไม่เอาดีว่า สายตามันเผลอไปเห็นเฉยๆหรอก
“เคยดูคลิปเขาเต้นไหมบนเวทีไหมล่ะ”
“ไม่เคยอ่ะ แต่เพื่อนผู้หญิงผมเต้นตามแล้วมันตลกมาก เลยไม่กล้าดูต้นฉบับ”
“ไม่กล้าก็ต้องกล้าแล้วล่ะ”
เรามาถึงคอนโดหรูในเวลาเกือบจะตีห้า ยังมืดๆอยู่เลย ทันทีที่รถจอดพ่อยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใครสักคน ซึ่งน่าจะเป็นคนที่อยู่บนคอนโดนั่นแหละ
“เราต้องรอนานแค่ไหนเหรอ” พ่อกรอกตาขึ้น แล้วก็หรี่ตา สักพักก็หลับตา เขาทำอะไรของเขา
“ก็แล้วแต่ว่าเขาจะแต่งตัวเสร็จกันรึยัง อีกสักหน่อยเขาก็จะโทรมาให้เราไปช่วยขนของ เฉลี่ยแล้วก็ประมาณ20นาทีนั่นแหละ แต่มันก็มีคลาดเคลื่อนบ้าง”
“…”
“ถ้าจงอินไม่ยอมตื่น” จงอินเหรอ
“ใครอ่ะ คนที่เราต้องมาคุ้มครองเขาเหรอ”
“แกก็ใช้คำพูดเกินจริงไป เรียกว่าดูแลความเรียบร้อยอำนวยความสะดวกก็พอ”
“คุ้มครองแหละดีแล้วมันสั้นดี ฮ่าฮ่าฮ่า ” แล้วพ่อก็ยื่นมือมาผลักหัวผมเต็มแรง ผลักแบบผลัก ผลักแบบกระจกจะแตกอยู่แล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมเอียงหน้าไปตามเสียงเคาะประตู พ่อผมกดเลื่อนกระจกประตูรถลงและคุยกับใครคนนั้น ผมเห็นหน้าเค้าไม่ชัดเท่าไหร่เพราะใส่เสื้อปิดหน้าปิดตา
“ไปกันเถอะ”
“ไปไหน”
“ขนของไง”
30นาทีให้หลังกับภาพที่ผมนั่งหอบบนเบาะข้างคนขับ พ่อมองผมด้วยรอยยิ้มมเล็กๆกับแววตาที่สื่อความเป็นนัยๆว่า กะไว้เชียวต้องเป็นแบบนี้
“ไม่ค่อยออกกำลังกายก็เป็นแบบนี้แหละ” เหอะ อยากจะสบถใส่คนแก่คนนี้จริงๆ ต่อให้ว่ายน้ำทุกวัน ซิทอัพทุกเย็นกับการที่ต้องมาขนกระเป๋าเดินทางใบเขื่องใครไม่เหนื่อยให้มันรู้ไป
“แล้วเมื่อไหร่เขาจะลงมาสักทีล่ะ” ไอ้เราก็อุตส่าห์ขึ้นไปเผื่อว่าจะได้เห็นหน้าค่าตากันสักหน่อย แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่โผล่หน้าออกมาให้เห็นเลย มีเฉพาะคนที่พ่อเรียกว่า ผู้จัดการ ลากกระเป๋าเกือบ10ใบมาวางไว้หน้าแล้วหน้าที่ของพวกเราก็คือยกมันลงมา
“ก็บอกว่าประมาณ20นาที”
“ถ้าจงอินไม่ตื่นสาย” ผมพูดต่อกับพ่ออย่างเซ็งๆ
“นั่นไง มากันแล้ว” ไม่ทันที่ผมจะได้หันมองไปทางลิฟต์ชั้นล่างสุดของอาคาร เสียงเปิดปิดประตูรถก็ดังขึ้นในช่วงห่างไม่กี่วินาที คนพวกนี้ทำอะไรกันเร็วๆจริงๆ บางทีผมก็คิดว่าเร็วเกินไป
“เรื่องธรรมดา พวกเขาก็เป็นแบบนี้แหละ”
แบบนี้ล่ะแบบไหน ใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ หลบๆซ่อนๆ
มีคำถามผุดขึ้นในความคิดมากมาย มันง่ายมากถ้าผมจะอ้าปากถามผู้เป็นพ่อ หมายถึงถ้าเราอยู่กันแค่2คน
รถเคลื่อนตัวไปตามถนนเส้นสีดำด้วยความเร็วคงที่ แวบหนึ่งมีผมมีความคิดว่าอยากลดกระจกลงเพื่อสูดกลิ่นอากาศภายนอก ถ้าได้ปล่อยให้ลมปะทะหน้าคงจะดีมาก มองไปด้านนอกสังเกตเห็นพระอาทิตย์ที่ขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกกำลังส่องแสงแรกของวันออกมา ถ้าได้ลมเย็นๆกับแสงอาทิตย์อุ่นๆคงจะฟิน
“พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว”
“ไม่เปิดกระจกรับลมเหรอ” พ่อพูดอีกครั้ง ซึ่งคำพูดนั้นแทบจะทำให้ผมหันไปมองพ่อในทันที
“แล้วพวกเค้าจะไม่ว่าเราเหรอ” ผมกระซิบถามพ่อ ที่ต้องกระซิบเพราะกลัวว่าพวกเค้าจะรู้ว่าผมนินทา
“มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบให้มาอยู่ในห้องแอร์หรอกนะ”
“แล้วเกี่ยวกันตรงไหน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แกจะเรียนในมหาลัยรอดไหมเนี้ย สมองช้าแบบนี้” คำพูดของพ่อทำให้ผมติดจะอารมณ์เสียนิดหน่อย พ่อพูดเรื่องนี้หลายครั้ง มหาลัยน่ะ ผมเรียนจบแน่ๆ แต่ไม่รู้จะใช้เวลากี่ปีแค่นั้นเอง
เอี้ยวตัวมองกลุ่มคนด้านหลังรถที่กำลังหลับคอตกเหมือนปลาทูที่นอนอยู่ในเข่ง ไม่รู้ว่าพวกเค้าหลับสนิทหรือพ่อผมขับรถนิ่มกันแน่ถึงทำให้คนเหล่านั้นไม่ขยับเขยื้อนได้ แม้เสียงงัวเงียสักนิดก็ไม่มี
เอาล่ะ!
ฟืดดดดดดดดดดดดด!
ผมกดปุ่มที่ประตูรถเพื่อลดกระจกลง ผมเย็นๆปะทะเข้ากับหน้าโดย เผาเผ้าปลิวแทบจะหลุดออกจากหนังศีรษะ พลางในใจนึกอยากจะยื่นแขนไปสัมผัสกับสายลมที่แล่นลิ้วอยู่ด้านนอก แต่ผมไม่ได้แขนสั้นแบบตอนประถมแล้ว ในตอนนี้ถ้าทำแบบประถมคงโดนพ่อบ่นเละแน่
ฟืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !
อีกครั้งที่ผมกดปุ่มเดิมแต่มันทำให้กระจกเลื่อนขึ้นจนไม่มีช่องว่างให้มวลอากาศภายนอกผ่านเข้ามาได้ แค่นี้ก็พอแล้ว..
“เปิดไว้เลยก็ได้ครับ” เสียงทุ้มต่ำแบบผู้ชายดังมาจากห้องผู้โดยสารด้านหลัง เป็นเหตุให้ผมหันไปมอง ยิ้มเจื่อนๆให้เขาและก้มหัวทักทายอย่างสุภาพ
“อะ..รุณ..สวัสดิ์ครับ” ผมพูดตะกุกตะกัก คนแก่ข้างๆก็เอาแต่ยิ้มจนตีนกาเห็นชัดขึ้นทุกที
“เซฮุนใช่ไหม เปิดหน้าต่างไว้เลยก็ได้ พอใกล้จะถึงค่อยปิดนะ” ผมยิ้มให้คนด้านหลังอีกทีรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก คนที่เราไม่เคยรู้จัก จู่ๆก็โพล่งชื่อเราออกมา จะให้รู้สึกดีมากก็ไม่ใช่ คงเป็นฝีมือของพ่อผมแน่ๆ
I wanna be a billionaire so fucking bad
Buy all of the things I never had
Uh, I wanna be on the cover of Forbes magazine
Smiling next to Oprah and the Queen
Oh every time I close my eyes
I see my name in shining lights yeah
A different city every night alright
I swear the world better prepare
For when I'm a billionaire
ผมได้แต่ป้องปากและก้มหน้าหัวเราะอยู่คนเดียว เพลงนี้ผมก็รู้จักนะ ขอชมเลยว่าผู้ชายตาโตคนนั้นร้องเพลงได้เพราะมากแต่แอบเสียดายที่เขาไม่ร้องท่อนแร็ป นั่นแหละสาเหตุที่ผมหัวเราะ ผมโคลงศีรษะเบาๆไปตามจังหวะเพลงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ของคนตาโต แอบมองลอดผ่านช่องของเบาะรถและเห็นว่าบุคคลคอปลาทูทั้งหลายได้กลายมาเป็นคอแมวหง่าวแล้ว ตาปรือๆดูเบลอๆกันทุกคนเลย เหมือนแมวพึ่งตื่นนอนไม่มีผิด
สายลมกับเสียงเพลงเบาๆคงทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกในทุกๆเช้า
ผมก็แค่เดาน่ะ
เนื้อเพลงจาก https://www.youtube.com/watch?v=8aRor905cCw
ความคิดเห็น