คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : kai/sehun (sf) What did you say ? [1]
Chapter 01
“นายไม่ชอบกินผักเพราะรสจืดสนิทของมัน ไม่ชอบดื่มนมเพราะกลิ่นคาว ไม่ชอบง้อใครเพราะรู้สึกเหมือนจะอ้วกเวลาง้อ ไม่ชอบดูหนังรักเพราะมันทำให้นายปวดหัว พี่จำได้หรอกน่า”
ผมจรดปลายปากกาบันทึกข้อความเหล่านั้นลงบนกระดาษแผ่นเล็ก และใช้หมุดปักมันเข้ากับฟิวเจอร์บอร์ดที่แปะบนผนังห้อง ทุกครั้งที่ผมฝันถึงเขาคนนั้น ผมมักจะเก็บเอารายละเอียดต่างๆเท่าที่จำได้มาเขียนเอาไว้เสมอ
ซึ่งเช้านี้ก็เป็นหนึ่งในหลายๆวันที่ผ่านมา…ผ่านมาแล้ว2ปีเศษ
ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดกับผมมานานแค่ไหนแล้ว แต่ความทรงจำของผมพึ่งเริ่มต้นเมื่อ2ปีก่อน เหตุการณ์ที่ผมนึกย้อนกลับไปได้ลึกที่สุดคือภาพหลอดไฟวงกลมดวงใหญ่ที่ติดอยู่กับฝ้าเพดานสีขาว ผู้ชายกับผู้หญิงที่ใส่ชุดสีขาว พวกเขาพึมพำ เขาฟื้นแล้ว
หลังจากพักฟื้นและการฟื้นฟูกล้ามเนื้อด้วยการทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอทำให้ผมกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ใน1เดือน ทุกคนบอกกับผมว่าสภาพร่ายกายของผมปกติ ทุกคนยิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบ ผมจำได้ว่าทุกอย่างเป็นแบบนั้น
มันคงจะดีมากถ้าผมปกติทั้งร่ายกาย
“พวกคุณคือใครเหรอครับ”
และความทรงจำ
ผมก็ไม่อยากทักทายคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครอบครัวด้วยคำพูดแบบนั้นเลย
ร่ายกายของผมปกติสมบูรณ์เหมือนเดิม เว้นเสียแต่ความทรงจำ ที่ไม่หลงเหลือแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งให้หวนคิดถึง
กระทั่ง คืนแรกที่ผมเจอพวกเขาในความฝัน
ผู้ชายคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร หลายต่อหลายครั้งที่ผมฝันถึงเขา ในตอนแรกผมคิดว่ามันคงเป็นแค่ความคิดฟุ้งซ่าน หรือไม่อาจเป็นแค่อุปทาน แต่พอนานเข้าผมกลับไม่แน่ใจว่ามันแค่นั้นจริงหรือเปล่า หลายครั้งที่ผมพยายามหาคำตอบว่าเขาเป็นใครจากรูปถ่าย ไดอารี่ ประวัติส่วนตัวที่เคยเขียนส่งอาจารย์ อีเมลล์ เฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ ทุกอย่างแล้วแต่ผมจะผมนึกออก บางทีก่อนเกิดอุบัติเหตุผมอาจจะเคยเขียนอะไรเอาไว้บ้าง แต่ทุกอย่างกลับถูกลบออกไปหมด ผมไม่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมอะไรเลย
พวกเขาอาจจะอนุญาตให้ผมรู้แค่นั้น
ผมพยายามถามครอบครัวถึงเรื่องนี้ พวกเขาบอกเพียงแค่ว่า คงเป็นคนที่เคยรู้จัก หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพื่อนสนิท ผมถามต่อว่า ผมสามารถติดต่อเขาได้ในทางไหนบ้าง พวกเขาบอกเพียงว่า ผมไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง พวกเขาอยากช่วยแต่ก็จนปัญญาจริงๆ
ถ้าเป็นเพื่อนก็คงต้องสนิทกันมาก
แต่ความรู้สึกของผมมันบอกว่ายังไงรู้ไหม
เขาเป็นมากกว่าที่ผมคิด
เมื่อก่อนสิ่งที่ผมฝันเห็นมันเป็นแค่ภาพ บางครั้งก็เหมือนฉากที่ถูกตัดออกมาจากวีดีโอม้วนใหญ่ ทุกอย่างที่ผมจำได้จากในห้วงของความฝันมันทำให้มั่นใจได้แค่ว่า นาน นานเหลือเกิน ไม่อาจคำนวณออกมาเป็นตัวเลขว่ามันประมาณไหน กี่วัน กี่เดือน กี่ปี แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ มันคงนานพอที่ทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับเขาขนาดนี้
Rrrrrrrrrrrrrrrrr
‘ไง วันนี้สัมภาษณ์งานนะเว้ย แต่งตัวเรียบร้อยหรือยัง’
“กำลังน่ะ”
‘รีบๆนะ เดี๋ยวอีก1ชั่วโมงไปพร้อมกัน เดี๋ยวขับรถไปรับ’
“โอเค”
‘เสียงไม่ค่อยดีเลย เมื่อคืนเปิดแอร์เย็นเหรอ เป็นหวัดรึเปล่าเนี้ย’
“เปล่า ”
‘เห็นแบบนั้นอีกแล้วเหรอ’
“อือ คราวนี้มันเกิดบ่อยกว่าเดิม ”
‘ไปหาหมอดีไหม นายดูเครียดมาก’
“กำลังหาโอกาสเหมาะๆอยู่”
‘โอเค แต่ตอนนี้นายไปอาบน้ำได้แล้ว’
“เคยประสบอุบัติเหตุรุนแรงตอนอายุ20ปี” ผู้หญิงซึ่งผมเดาว่าเธอน่าจะอายุ30ต้นๆ อ่านทวนในใบประวัติของผม ซึ่งตอนนี้ผมเข้ารับการสัมภาษณ์เพื่อฝึกงานในปีสุดท้ายของการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย
“รุนแรงนี่คือยังไงคะ ช่วยอธิบายให้เราฟังได้หรือเปล่า” เธอเอ่ยถามผม ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องปิดบัง
“โดนรถชนครับ รักษาตัวที่โรงพยาบาล1เดือน ทำกายภาพบำบัดต่ออีก1เดือน แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมพอดีเลยไม่มีปัญหาเรื่องเวลาเรียนครับ”
“โอเค นอกนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เอาเป็นว่าเริ่มงานตามที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดเลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มออกมาได้
“แต่ถ้าพี่จะขอถามอะไรสักอย่างนอกจากเรื่องงานจะเป็นการละลาบละล้วงเราไปรึเปล่า”
“อ๋อ ไม่เป็นอะไรครับ ผมยินดีตอบ”
“พี่ขออนุญาตนะ แต่ว่าเราเป็นเกย์รึเปล่า”
ตึง!
นั่นสินะ ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยมีแฟนมาก่อนหน้า ที่ผมจะประสบอุบัติเหตุรึเปล่า หรือถ้าเคยมีผมมีแฟนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่
รู้แค่ว่า ตลอด2ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยมีความรู้สึกให้ใครในเชิงชู้สาวเลย
คำตอบของผม….คือ
“เป็นครับ”
เพราะผู้ชายในฝันคนนั้น
“ฉันแค่รู้สึกว่ามันนานกว่าเดิม ชัดขึ้นกว่าเดิม”
“แล้วรู้อะไรเพิ่มบ้างไหม” แบคฮยอนนั่งอยู่ตรงหน้าของผม พวกเราอยู่ในร้านคอฟฟี่ช็อปหลังจากที่เสร็จจากการสัมภาษณ์งาน ซึ่งมันก็ผ่านไปด้วยดี
“ก็เหมือนเดิม เห็นแค่2คน ในห้องโทนสีมืด ”
“ห้องโทนสีมืด? นายกำลังหมายถึงเหตุการณ์ที่นายฝันถึง เกิดขึ้นในห้องนั้น ซึ่งเป็นห้องโทนสีมืด
ใช่ไหม” เขาพยายามรวบรวมข้อมูล แววตาของเขาดูจริงจังกับเรื่องนี้
“ใช่ ห้องพัก หรือห้องเช่าอะไรสักอย่าง โทนสีมืด มีโซฟา”
“นายพอจะนึกออกไหมว่าสีมืดที่นายพูดถึงคือสีอะไร” ผมหลับตา พยายามย้อนความคิดให้ถึงห้วงของความฝัน กระทั่งรู้สึกได้ถึงอาการเกร็งมากเกินไปที่บริเวณเปลือกตาของตัวเอง
ผมบอกแบคฮยอน ว่าผมพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว
“ฉันไม่รู้”
‘นมสดร้อนค่ะ’ พนักงานร้านคอฟฟี่ช็อปบรรจงวางแก้วทรงเตี้ยที่เต็มไปด้วยนมสดลงตรงหน้าผม อ่า เธอคงคิดว่าผมเป็นคนสั่งหรือเปล่านะ
“ขอโทษนะครับ คือของเค้าน่ะ ไม่ใช่ของผมหรอก” ผมผายมือไปทางแบคฮยอน พนักงานยิ้มแหยๆ และย้ายแก้วไปวางไว้หน้าแบคฮยอนแทน
“รับๆแล้วส่งมาให้ฉันเลยก็ได้นะ ใครมันจะไปรู้มาก่อนล่ะว่านายไม่ชอบดื่มนม”
“นายก็พูดถูก” ผมได้แต่ยิ้มให้กับสถานการณ์แบบนี้
นั่นสิ ใครมันจะไปรู้มาก่อนล่ะว่าผมไม่ชอบดื่มนม
ใคร จะ รู้
‘นายไม่ชอบดื่มนมเพราะกลิ่นของมันคาว’
ใครกันนะที่น่าจะรู้
“เฮ้ เซฮุน” แบคฮยอนโบกมือไปมาตรงหน้าของผม
“อะไร”
“นายใจลอยนะ”
“แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“ไม่มีอะไรเรื่อยเปื่อยหรอกนะ”
“….”
“ถ้ามันทำให้คนเราใจลอยคิดถึงได้ก็แสดงว่าต้องสำคัญ”
“….”
“นายคงกำลังนึกถึงคนในความฝันของนายสินะ ฉันเดาไม่ผิดใช่ไหม”
“อือ ไม่ผิด”
“เซฮุน นายเคยเชื่อในพรหมลิขิตไหม”
“ขอโทษที่ต้องตอบแบบนี้นะ คือฉันไม่ชอบอะไรที่มันเพ้อฝันน่ะ ”
“แต่นายกลับเชื่อในความฝันของตัวเอง มันดูขัดแย้งกัน ว่าไหม”
“…”
“นี่อาจไม่ใช่แค่ความฝัน และคนคนนั้นคงสำคัญกับนายมาก”
“….”
“ฉันหมายถึงในอดีตน่ะ”
“….”
“นายอาจจะยังไม่เคยเชื่อในพรหมลิขิต แต่ฉันเชื่อ”
“….”
“ว่าฟ้าจะกำหนดให้เขากับนายได้เจอกันอีกครั้ง”
แบคฮยอนพูดคำว่าอีกครั้ง
ผมแยกกับแบคฮยอนหลังทานมื้อเที่ยงด้วยกันเสร็จ กลับมาที่ห้องพักของตัวเอง ซึ่งเวลาที่ผมเบื่อที่สุดคือตอนที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะทำอะไรแบบนี้นี่แหละ
แต่ที่เบื่อยิ่งกว่านั้นคือการที่ผมเอาแต่คิดเรื่องที่เกิดในคอฟฟี่ช็อป
‘นายเชื่อในพรหมลิขิตไหม’
‘นายอาจจะยังไม่เคยเชื่อในพรหมลิขิต แต่ฉันเชื่อ’
‘เชื่อว่าฟ้าจะกำหนดให้เขากับนายได้เจอกับเขาอีกครั้ง’
ตลอด2ปีที่ผ่านมาเขาเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ผมสาบานได้
เขาเป็นคนรอบคอบและฉลาด …ซึ่งผมคิดว่ามันมากพอ
มากพอที่เขาจะไม่หลุดปากเรื่องนี้
หรือว่าที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ..
เขาตั้งใจจะบอกอะไรบางอย่างกับผมหรือเปล่า
บางอย่างที่มัน
‘อีกครั้ง’
เคยเกิดขึ้นกับผม
‘ อย่ายื่นมือออกไป เดี๋ยวโดนรถเฉี่ยว’
‘ผมชอบฉากนี้ ผมชอบสายตาที่เล็ตตี้ที่มองดอม’
‘…’
‘มันบอกทุกอย่างเลย’
‘มันบอกว่าอะไรบ้างล่ะ’
‘บอกว่า..ฉันรักคุณ’
‘ผมก็รักคุณ’
ความฝันในครั้งนี้ช่างแจ่มชัด แต่ทว่าครั้งนี้ผมไม่ได้เห็นเฉพาะในห้องสีมืดเท่านั้น ผมเห็นรถ รถที่เปิดประทุน กำลังวิ่งอยู่บนถนนโล่งๆ ลมพัดแรง มีผ้าสีฟ้าอ่อนกำลังลู่ลม
ซึ่งผมเป็นคนถือมัน
‘ อย่ายื่นมือออกไป เดี๋ยวโดนรถเฉี่ยว’
และผมก็หันมายิ้มให้เขา
‘ผมชอบฉากนี้ ผมชอบสายตาที่เล็ตตี้ที่มองดอม มันบอกทุกอย่างเลย ’
เขายิ้มตอบกลับมา รอยยิ้มของเขานั่นมัน…
‘มันบอกว่าอะไรล่ะ’ ช่างสวยงาม
‘บอกว่า..ฉันรักคุณ’
และผมก็ถูกรั้งให้เข้าไปซบที่ไหล่ของเขา
‘ผมก็รักคุณ’
ผมจำได้ในทันทีว่าฉากที่ผมเจอในฝันมันคล้ายกับฉากจากวีดีโอตัวหนึ่งที่ผมบังเอิญเหลือบไปเห็นที่ร้านขายหนัง ตอนไปกินข้าวในห้างสรรพสินค้ากับแบคฮยอน มันเป็นฉากจากหนังเรื่องหนึ่งที่มีภาคล่าสุดคือภาค7ซึ่งผมพึ่งไปดูมาในช่วงบ่ายของวันนี้นี่เอง แต่ฉากนั้นไม่ใช่ฉากที่ถูกตัดออกมาจากภาคล่าสุดของหนัง มันถูกตัดออกมาจากหนังสักภาค
อาจจะเป็น 6
หรือ 5
ไม่ก็ 4
3 หรือเปล่า
หรือว่าจะเป็น 2
หรือ 1 กันแน่
ผมไม่แน่ใจเรื่องตัวเลขหรือช่วงเวลา ทว่าโดยเฉลี่ยแล้วแต่ละภาคจะเข้าฉายห่างกันประมาณ2ปี แต่ถ้าเป็นเมื่อ2ปีก่อน มันก็น่าจะอยู่ในช่วงหลังประสบอุบัติเหตุ แต่ในฝันนั่นมีเขา แสดงว่าฉากนั้นต้องฉายในภาคที่อยู่ก่อนหน้าภาค6แน่ๆ อาจจะเป็นภาค5 หรือน้อยกว่านั้น
ถ้านับย้อนกลับไปจากวันนี้ ผมน่าจะรู้จักกับเขามาไม่น้อยกว่า 4 ปี
..นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งสมมติไว้
และอย่างน้อย2ปีก่อนที่ผมจะเกิดอุบัติเหตุ…ที่เรารู้จักัน
แต่สิ่งหนึ่งที่พึ่งรู้ซึ้งคือ..
ความทรงจำผมจะตีรวนขึ้นมาถ้ามันถูกกระตุ้น
“ฮัลโหล แม่ครับเดี๋ยววันหยุดสัปดาห์นี้ผมจะกลับไปนอนบ้านนะครับ”
ผมได้แต่หวังว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมบ้าง
“คิดยังไงถึงมานอนบ้านล่ะเนี้ย ” พี่สาวคนโตของผมถามขึ้น ระหว่างที่เรานั่งทานอาหารเย็นด้วยกัน พร้อมหน้าพร้อมตา
“ผมแค่อยากมาพักที่บ้านน่ะ ความจริงแล้วที่ทำงานของผมอยู่ใกล้กับบ้านมากกว่าหอพักอีก”
“อ้าว แล้วทำไมไม่ย้ายกลับมาอยู่บ้านเลยล่ะ”
“กำลังคิดๆอยู่น่ะครับ ”
“ถ้ามาอยู่นี่มันจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่านะ แล้วก็ไม่เปลืองเรื่องเรื่องค่าเดินทางด้วย ก็ลองคิดดูนะ พี่ไม่บังคับหรอก ” พี่ของผมเธอค่อนข้างซีเรียสเรื่องค่าใช้จ่ายพอสมควร เหตุผลหนึ่งที่ผมไม่อยากกลับมาอยู่ที่บ้าน เพราะผมรำคาญเธอนี่แหละ
“แล้วที่ฝึกงานเป็นยังไง โอเคใช่ไหม” พ่อที่นั่งตรงหัวโต๊ะถามขึ้น ท่านยังคงแสดงท่าทีสุขุมเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่ผมรู้จักท่านจนถึงวันนี้ ท่านไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวให้ผมเห็นเลย
“โอเคครับ น่าจะได้เริ่มงานวันจันทร์ที่จะถึงนี้เลย”
“แล้วแกไปทำงานตำแหน่งอะไร”
“ผู้ช่วยเลขาครับ”
“ห๊ะ เรียนบริหารมาได้ไปเป็นผู้ช่วยเลขาเนี้ยนะ บริษัทคิดบ้าอะไรอยู่เนี้ย” เธอแสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“ก็น้องเป็นแค่เด็กฝึกงาน แกจะให้เค้าให้งานอะไรที่มันใหญ่ๆให้น้องแกทำมันก็คงไม่เหมาะ” ใช่ ผมก็คิดแบบแม่
“รีบกินเถอะจะได้ไปพักผ่อนกัน”
“ครับพ่อ”
ห้องนอนของผมเป็นห้องขนาดกลาง มีเตียงสีขาวขนาดใหญ่ ตู้กระจกทรงสูงที่ใช้เก็บหนังสือการ์ตูน โต๊ะที่มีคอมพิวเตอร์จอแบนสีดำตั้งอยู่ข้างบน และโต๊ะเขียนหนังสือที่ตั้งอยู่ข้างๆกัน บนโต๊ะหนังสือมีโคมไฟซึ่งมีสติกเกอร์โดเรม่อนแปะที่ปุ่มเปิดสวิชต์
ดูท่าว่าตัวผมตอนเป็นวัยรุ่นคงเป็นเด็กชายที่คลั่งไคล้การอ่านการ์ตูนเอามากๆ เห็นได้จากในตู้กระจก ซึ่งนอกจากหนังสือเรียนแล้วก็มีเพียงแค่การ์ตูนกับนิตยสารเกี่ยวกับฟุตบอลสองสามเล่ม ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมเคยชอบทีมฟุตบอลทีมไหน แต่น่าจะเป็นเชลซีมั้ง
เพราะหน้าปกของนิตยสารนั่นมีแต่ทีมนี้นี่น่า
ข้อมูลมันก็มีแค่นั้นแหละที่พอจะให้ผมสำรวจได้ ผมพยายามเดินดูรอบๆห้อง กวาดสายตาไปในทุกทีที่จะพอกวาดถึง เผื่อว่ามันจะเข้ากระตุ้นความทรงจำที่ถูกกดไว้ในสมองของผม
อ่า คงได้เวลานอนแล้วล่ะ
‘ไม่ได้นะเซฮุน ลูกทำแบบนี้ไม่ได้’
‘เซฮุน ไปนอนเถอะ ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ พ่อกับแม่เราจัดการได้น่า’
‘แต่ผมคือทางออกเดียวสำหรับปัญหานี้นะครับ’
‘….’
‘เค้าต้องการผมแค่คนเดียว’
ผมสะดุ้งตื่นหลังจากที่ผมหลับไปได้ไม่นาน ประมาณ30นาที ปกติแล้วแม้ผมจะฝันถึงเขา แต่ผมมักจะตื่นเมื่อเช้าแล้วเท่านั้น อาจเป็นเพราะวันนี้แปลกที่ละมั้ง
แปลกที่เหรอ
แล้วคำพูดเหล่านั้นมันเกี่ยวกับเรื่องอะไรกันแน่ ผมเห็นพ่อ แม่ พี่สาว พวกเรานั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน เหมือนจะกำลังทะเลาะกัน เกี่ยวกับเรื่องอะไรบางอย่าง ผมไม่ทันจะได้ฟังว่าเรื่องอะไร พี่สาวของผมก็ลากผมขึ้นมาบนห้องซะก่อน
และผมเห็นเธอใส่ชุดนักเรียนมอปลาย
มีอยู่หลายอย่างในบ้านหลังนี้ที่ทำให้ผมแปลกใจ อย่างแรกคือผมไม่ฝันถึงเรื่องราวในห้องนอนของผมเลยทั้งๆที่มันคือจุดมุ่งหมายเดียวของผม อย่างที่สองคือผมแทบจะไม่รู้สึกผูกพันธ์กับห้องห้องนี้ ผมไม่รู้แม้กระทั่งว่าห้องน้ำอยู่ส่วนไหนของห้องนอน
แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น
ไร้ซึ่งเหตุผลใดๆรองรับ
พี่สาวของผมอายุมากกว่าผม1ปี และหากถ้าวันนั้นเธอใส่ชุดมอปลายจริงๆ ผมก็น่าจะกำลังเรียนมอปลายอยู่เหมือนกัน ครอบครัวเรามีปัญหากันในช่วงที่ผมเรียนมอปลาย มีปัญหากันในเรื่องที่เกี่ยวกับผมเต็มๆ
‘เขาต้องการตัวผมคนเดียว’
แล้วเขาจะต้องการตัวผมไปทำไมกันล่ะ ผมมีคุณสมบัติพิเศษอะไรที่คนอื่นไม่มีงั้นเหรอ
‘ไม่ได้นะเซฮุน ลูกทำแบบนี้ไม่ได้’
เกี่ยวกับเรื่องที่ผมเต็มใจแต่พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยงั้นเหรอ
‘พ่อกับแม่เราจัดการได้น่า’
‘แต่ผมคือทางออกเดียวของปัญหานี้ เขาต้องการตัวผมคนเดียว’
เขาอยากให้ผมไปกับเขา ผมแค่คนเดียว แล้วเขาจะให้ผมไปทำอะไรถ้าในเมื่อตอนนั้นผมเป็นแค่นักเรียนมอปลายคนหนึ่งที่ไม่ได้รวยล้นฟ้า หรือมีพรสวรรค์ใดๆ
ไม่ได้รวยล้นฟ้า
‘ถ้ามาอยู่ที่บ้านจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่านะ’
‘แล้วก็ไม่เปลืองเรื่องเรื่องค่าเดินทางด้วย ก็ลองคิดดูนะ ไม่ได้บังคับหรอก’
บางทีผมก็คิดความคิดผมฟุ้งซ่านเกินไปจริงๆ ถึงได้นำเอาเรื่องต่างๆนานามาปะติดปะต่อกันให้ยุ่งเหยิงไปหมด ผมคิดแบบนั้นหลังจากที่ผมได้ข้อสรุป
บ้านเราเคยติดหนี้
และ
‘เขาต้องการผมแค่คนเดียว’
quit
don't quit
noodle
don't noodle
กังฟูแพนด้าภาคแรกสนุกมาก
#ยังคิดแท็กไม่ออกเช่นเดิม
ความคิดเห็น