คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : CHAPTER 11 [ 100 ส่วน100 ]
CHAPTER 11
JONGIN PART
“มึงว่ากีฬาสีปีนี้จะเป็นไงว่ะ” ลู่หานถามผมในขณะที่มันใช้พัดกระดาษพัดลมใส่หน้าที่ต้องทำแบบนี้เพราะตอนนี้แม่งโคตรร้อน วันนี้เป็นแข่งกีฬาสี ผมในฐานะรุ่นพี่ชั้นม.5 ก็ต้องทำหน้าที่ทุกอย่าง คุมสแตนด์ จัดการแข่งขัน หาตัวนักกีฬา จัดขบวนพาเหรด ขนาดตอนนี้ตอนเช้านะยังวุ่นวายขนาดนี้แล้วต่อไปผมกับพรรคพวกจะไม่ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตไปเลยรึไง
“ก็คงจะเหมือนปีก่อนๆล่ะมั้ง”
“ไม่เหมือนนะกูคิดว่า เพราะปีนี้โรงเรียนเราอนุญาตให้นักเรียนต่างโรงเรียนเข้ามาดูกีฬาได้ งานนี้กูต้องหาแฟนให้ได้เลยโว้ย”
“กูพึ่งรู้ว่าโรงเรียนเราเปลี่ยนกฏใหม่”
“ก็มึงเล่นขลุกอยู่แต่ห้องสมุด จะไปรู้อะไร๊” ได้ทีล่ะแม่งแซะเลยเนอะ
“อ๊อ ลืมไป มึงมีแฟนแล้วนี่น่า คงไม่สนใจการบ้านการเมืองแล้ว” แล้วมึงจะประชดกูทำห่าอะไรเนี้ย
“ใครมีแฟน” ผมหรี่ตามองมันอย่างเคืองๆ
“ใจเธอรู้ดี” มันใช้นิ้วจิ้มมาที่หน้าอกของผม ไอ้ห่า อย่าทำ กูขนลุก
“ไปจัดขบวนพาเหรดไปมึง แยกกันตรงนี้แหละ”
“เห้ยย จงอิน มึงรีบไปไหนว่ะ” เหมือนมันจะรั้งผมไว้ ทั้งๆที่ผมก็เดินออกมาจากตรงนั้นแล้ว
“จะไปกินข้าวเช้า กูยังไม่ได้กิน”
“เออว่ะ งั้นไปเหอะ เดี๋ยวโรคกะเพาะถามหา” ในที่สุดผมก็สลัดไอ้ลู่ออกจากตัวผมได้แล้ว เรื่องกินคงกินข้าวน่ะ ผมล้อเล่น ความจริงผมก็แค่อยากจะออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ………………….เรื่องนี้ผมก็ล้อเล่นอีกนั่นแหละ ผมเดินลัดเลี้ยวเข้ามาในห้องของเด็กม.4ซึ่งทางโรงเรียนใช้เป็นห้องแต่งตัวของเด็กที่ต้องไปเดินขบวน ผมถือถุงพลาสติกจากเซเว่นที่ข้างในมีขนมปังกับนม อย่างละ2อัน ถือไปให้ใครคนนึงที่โทรมาบอกว่าหิวข้าวยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงคืน คนที่ได้แต่งตัวเป็นเจ้าชายไปเดินขบวน ก็ตามที่คาดนั่นแหละ ผมกำลังมาหาเซฮุน แต่ว่าอย่าได้หวังว่าผมจะพรวดพลาดบุกเข้าไปถึงห้องแต่งตัวเลย แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะตอบคำถามคนอื่นยังไงแล้ว ผมจึงจัดเซฮุนมาที่ห้องริมสุดของอาคารเพื่อที่จะคุยกันได้สะดวกหน่อย ซึ่งถือเป็นโชคดีของผมที่ตอนนี้มันยังเช้า นักเรียนยังมาไม่เยอะเท่าไหร่ ผมมานั่งรอในห้องแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้ใครคนนั้นมาหา ก็ไม่เข้าใจทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ เป็นแฟนรึเปล่าก็ไม่ใช่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“จะเปิดก็เปิด เคาะทำไม” พอผมพูดจบไอ้คนที่เราพูดถึงก็เดินเข้ามา เซฮุนก็แต่งตัวงั้นๆแหละ เหมมือนเจ้าชาย ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะ แต่ว่ามันเหมือนเจ้าชายในเทพนิยายที่คุณแม่ผมเคยอ่านให้ฟังตอนยังเด็ก
“ไม่คิดว่าพี่จะมา”
“กลัวคนแถวนี้เป็นโรคกระเพาะตาย ไม่อยากทำบาป” ผมพูดออกไปแบบนั้นเพราะต้องปิดกั้นความเป็นห่วงที่ซ่อนเอาไว้ข้างใน เซฮุนเดินมาแล้วหยิบแซนวิชในถุงงับอย่างเร็ว สงสัยน้องแกจะหิวจริงๆแฮะ
“ค่อยๆกินดิ เดี๋ยวก็ติดคอ อีกอย่างตัวเองอุตส่าห์แต่งหน้ามาซะขนาดนี้ กินเต็มปากเต็มคำไม่กลัวลิปสติกหลุดรึไง” เหมือนมันไม่สนใจคำเตือนของผมเลย มันเอาแต่กิน กิน แล้วก็กิน พอแซนวิชหมดคำก็เจาะหลอดดูดนมเข้าไปไม่กี่อึกนมก็หมดอีก เมื่อคืนไปทำไรมาเนี้ย ถึงได้หิวขนาดนี้
“อิ่มแล้วง่า มีความสุขจุงเบย” พอหนังท้องตึง ปากก็เปิดเชียวนะ มันยิ้มตาหยีมาให้ผม
“เลิกยิ้มแบบนั้นสักทีเถอะ กูเคยบอกแล้วไงมันตลก”
“แต่เพื่อนผมบอกว่าน่ารัก” ผมหัวเราะให้ความโอ้อวดกับความหลงตัวเองระดับแม็กซ์ของมัน
“ใครบอกมึง ถ้าไม่บ้าก็คงเมาแหละ”
“นัมแทพูดบ่อยจะตายว่าผมน่ารัก” นัมแทอีกแล้วเหรอ คุยกับนี่ไม่มีชื่อมันโผล่มาสักครั้งมันจะตายให้ได้ใช่มั้ย มันจะชักใช่มั้ยถ้าไม่ได้พูดชื่อมัน แล้วผมควรตอบมันไปว่าอะไรดีล่ะ จะพูดว่า เออ กูรู้ หรือบอกว่า อ๋อเหรอ เอาไงดี
“พี่เงียบทำไม เป็นไรรึเปล่า” แหนะ ยังมีหน้ามาย้อนถาม หน้าตากูเหมือนคนไม่เป็นอะไรเหรอ
“55555555555 ผมล้อเล่นอ่ะพี่ นัมแทไม่ค่อยชมหรอก ผมอำพี่เล่นเฉยๆ ” มันเดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมยืนหน้าเข้ามาใกล้ๆหน้าผม หน้าตาของผมมันก็ยังคงยิ้มตาหยีอยู่แบบนี้ น่าเกลียดชิบหาย ผมได้แต่เอามือผลักหน้ามันออกไปใกล้ๆ อยู่ใกล้ๆแบบนี้ทำอะไรไม่ถูก
“พี่อารมณ์เสียรึเปล่า” ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนโต๊ะเรียน ส่วนเซฮุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก็หันหน้าเข้าหากันอ่ะนะ
“อะไร”
“ก็ตามที่ถามนั่นแหละ อารมณ์เสียรึเปล่า”
“ตอนไหนล่ะ”
“ตอนที่ผมบอกว่านัมแทชมผมว่าน่ารัก”
“เฉยๆ” โกหกมาก แหลที่สุด
“พี่โกหกไม่เนียน พี่รู้รึเปล่า” มันเขยิบเก้าอี้ตัวที่มันนั่งเข้ามาใกล้ๆผม กลายเป็นว่าตอนนี้เข่าของผมอยู่ระดับลำตัวของมัน แทบจะติดกันอยู่แล้ว ก็บอกอยู่ว่าอย่ามาใกล้กันเกินไป ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“ขยับออกไปหน่อยดิ อย่ามาชิดมากมันร้อน”
“ร้อนหรือเขินกันแน่”
“กวนตีน” ผมทำท่าจะยกตีนถีบมัน แต่ผมก็ไม่ทำหรอก เพราะถ้าทำชุดมันก็เปื้อนอ่ะดิ พอผม ทำท่าจะยกตีนนั่นแหละ มันถึงรีบสะดุ้งตัวลุกจากเก้าอี้และไปลากโต๊ะมานั่งข้างหน้าผมแทน ไม่เคยกลัวอะไรเลยใช่มั้ยเนี้ย
“กินเสร็จแล้วก็กลับไปดิ” มันส่ายหน้า เอาแต่อมยิ้มพร้อมมองหน้าผม แล้วผมควรทำหน้ายังไงเหรอ ยิ้มดีรึเปล่า หรือจะเก๊กหน้าขรึมดี
“ยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย”
“แล้วรออะไร รอฤกษ์อยู่เหรอ”
“รอกำลังใจ”
“ไปเอาจากคนอื่นดิ”
“ใจร้ายอ่ะ อุตส่าห์ขอ ยังผลักไสไปให้คนอื่นอีก”
“….”
“ผมโกรธพี่ได้ไหมเนี้ย”
“อยากโกรธก็โกรธไปเลย ไม่ง้อหรอกเว้ย”
“งั้นไม่โกรธ” มันลุกขึ้นและลากโต๊ะของมันมาชิดกับเข่าของผม และมันก็นั่งขัดสมาธิบนโต๊ะ มันนั่งจ้องหน้าผม อยากถามเหลือเกิน ทำแบบนี้ทำไม
“ลิปสติกมึงจางอ่ะ” คงเป็นเพราะมันสวาปามแซนวิชคำใหญ่ไปล่ะมั้ง ลิปติกสีอ่อนก็เลยยิ่งอ่อนเข้าไปใหญ่ จนตอนนี้มันค่อนข้างแห้งไปแล้ว
“ทาให้หน่อยดิพี่”
“จะบ้าเหรอ กูทำไม่เป็น”
“ง่ายๆเอง พี่แค่ใช้ลิปแตะๆลงบนปากผมก็ได้ แล้วต่อไปผมทำเอง เห็นมั้ยเนี้ยใส่ถุงมือมาแล้วมันทาเองไม่ถนัด” ผมรับแท่งลิปสติกมาอย่างจนปัญญา
“เม้มปากดิ” เอาล่ะ ช่างแต่งหน้ามือสมัครเล่นจะละเลงลิปแล้วนะ
“แล้วถ้าเม้มปากแล้วจะทาได้ไง พี่นี่ใช้ศัพท์ไม่เป็นหรือยังไงเนี้ย”
“งั้นยิ้ม” ผมบอกมันไปอีกครั้ง มันก็ยิ้มจริงๆ ยิ้มแบบที่ว่ายิ้มเหมือนคนมีความสุข กูไม่ได้หมายถึงยิ้มตาหยีแบบนั้น กูหมายถึงยิ้มแบบที่สามารถทาลิปให้ได้ ไม่ต้องทำตาหยีด้วย เห็นแล้วรำคาญลูกตา
“โอเคครับ” พอรับปากแล้วมันก็ยิ้มแบบแหยๆ ผมต้องการให้มันยิ้มแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทำดีก็ทำได้หนิ แล้วทำไมไม่ทำตั้งแต่แรก #วิญญาณประธานเชียร์เข้าสิง พอมันทำได้ดีผมก็จัดการเอาลิปแตะเข้าที่ริมฝีปากของมัน มืออย่าสั่น มืออย่าสั่น มือกูมึงเลิกสั่นสักทีได้มั้ย เพราะว่าอยู่ใกล้กันมากทำให้ผมเห็นริมฝีปากของมันในระยะที่โคตรใกล้ ผู้ชายอะไร ทำไมปากบางงี้ว่ะ แถมยังสีชมพูอ่อนเหมือนผู้หญิงอีก พอผมทำเสร็จมันก็เม้มปากเข้าหากันเพื่อให้ลิปสติกกระจายไปทั่วทั้งริมฝีปาก จังหวะนี้แหละ ทำเอาหัวใจผมสั่นเลย ตอนแรกแค่มือสั่น แต่ตอนนี้สั่นไปหมด
“กูไปก่อนนะ ขบวนพาเหรดจะเริ่มแล้ว” ผมต้องรีบออกไปจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด ไม่งั้นเกิดเรื่องงามหน้าแน่ๆ จึงตัดสินใจกระโดดลงจากโต๊ะให้เร็วที่สุด
“เดี๋ยวสิครับ” ผมรั้งข้อมือของผมเอาไว้ทั้งที่ตัวมันยังนั่งอยู่บนโต๊ะ แต่ตอนนี้มันเลิกนั่งขัดสมาธิแล้ว คงเป็นเพราะกลัวกางเกงยับ
“ขอกำลังใจหน่อยสิ”
“สู้ๆล่ะกัน” ผมพูดออกไปอย่างรีบๆ ก็ให้แล้วไงกำลังใจน่ะ ก็ปล่อยสักทีสิ
“แบบนี้มันไม่พอ”
“ได้แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ปล่อยเลย เดี๋ยวไปจัดขบวนไม่ทัน”
“ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้นแหละ”
“อย่างอแงตอนนี้ดิ”
“ตะกี้ไม่เห็นรีบไปเลย แล้วตอนนี้พี่จะรีบไปไหน มันก็ยังไม่สายอะไรขนาดที่จะต้องรีบขนาดนี้หนิ” กูรีบหนีเพราะมึงนั่นแหละ จะปั้นหน้าไม่เก็บอาการไว้ได้นานแค่ไหนยังไม่รู้เลย ตอนนี้ผมเหมือนซินเดอเรล่าที่ต้องหนีไปจากที่แห่งนี้ก่อนเวลาที่กำหนดจะมาถึง ไม่อย่างนั้น เจ้าชายแถวนี้คงรู้ความจริงแน่ว่าผมเป็นอะไร
จากที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนโต๊ะในตอนแรกมัน มันปล่อยขาของตัวเองลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ผมยืนอยู่ตรงหน้า และมันกำลังจับข้อมือผมอยู่ และจุดพีคมันอยู่ที่มันกำลังอ้อนผมให้อยู่กับมันนี่สิ
“อยู่อีกแป๊บนึงก็ได้” มันยิ้มตาหยีอีกแล้ว
“แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นนะ”
“ได้ครับ ขอแค่แป๊บเดียวก็ได้” มันส่งมือมันมาจับแขนผมอีกข้างนึงเอาไว้ พร้อมดึงเพื่อให้ผมรู้ว่าให้ขยับเข้าไปใกล้ๆมันอีกนิด ผมก็เลยได้แต่ไหลไปตามน้ำ นี่สินะที่เขาเรียกว่าบรรยากาศพาไป
“พี่เหนื่อยมั้ย เมื่อคืนได้นอนรึเปล่า แล้วกินข้าวเช้ารึยัง”
“กินแล้วอีกอย่าง ม.5มันก็ยุ่งๆแบบนี้แหละ”
“หน้าพี่ดูเหนื่อยๆนะครับ ดูแลตัวเองบ้างสิ อย่ามัวแต่อ่านหนังสือจนเกินไป”
“รู้แล้ว” พอมันได้ยินผมพูดแบบนั้นมันก็ปล่อยมือมันออกจากข้อมือของผม ทำไมผมรู้สึกเสียดายพิกล แต่มือของมันก็ยังอยู่ไม่สุขหรอก ตอนนี้เลื้อยมาโอบคอผมเรียบร้อยแล้ว
“อ่อยขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ” มันพูดพลางช้อนตามองผม
“ผู้ชายมันรู้ตัวทุกคนแหละว่าใครอ่อยไม่อ่อย” ทำไมผมจะไม่รู้ แต่ผมรู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา…ก็เท่านั้นเอง
“ถ้ารู้แล้วทำไมไม่ทำ”
“เป็นเด็กลามกตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ผมไม่เด็ก”
“ก็เพราะชอบเถียงแบบนี้ไงถึงถูกมองว่าไม่โตสักที”
“ผมเถียงแค่พี่คนเดียวนะ”
“ไม่เชื่อ” ผมโยกหัวไปมาเพื่อกวนตีนมัน
“พูดจริงๆนะ”
“เด็ก เด็ก เด็ก” ผมย้ำอีกรอบ พอเห็นหน้าตามันแบบนั้นก็อดแกล้งไม่ได้ แต่ว่าผมคงคิดผิดผมยังไม่ทันได้พูดว่าเด็กคำที่สี่เลยมันก็รั้งคอผมลงไปจูบ เอ่อ จูบ จูบบบบบบบบบบบบบบบเลยนะ ตอนแรกผมก็ตกใจเพราะผมแค่รู้สึกว่าริมฝีปากของผมแตะกันเฉยๆ แต่ไปๆมาๆเซฮุนก็เริ่มขยับริมฝีปากของตัวเองเพื่อที่ครอบครองริมฝีปากของผม แต่ฝันไปเถอะ ผมจัดการครอบครองริมฝีปากของมันซะก่อน นวดคลึงช้าๆเบาๆพยายามใช้ความนุ่มนวลเข้าช่วย ผมพึ่งได้รับรู้ว่าการดูดปากคนคนนึงมันรู้สึกดีมากแค่ไหน ดวงตาเรียวเล็กของมันหลับลงเพราะความรู้สึกของผมส่งผ่านไปให้มันจนหมดผ่านทางผิวหนังบางของปากที่เชื่อมติดกัน ไม่มีการผละออก ไม่มีการรุกล้ำ มันเอียงหน้าให้ผมได้ทำกิจกรรมนี้ในองศาที่เหมาะสม และผมก็ตอบสนองมันได้อย่างเต็มที่ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปหัดจูบมาจากไหน ถึงได้เชี่ยวชาญขนาดนี้ ตอนนี้ผมแค่รู้สึกว่าผมไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไป มันตื่นเต้น เร้าใจ รู้สึกเหมือนเลือดในกายกำลังสูบฉีดอย่างเต็มกำลัง มันมีความสุขจริงๆนะ แม้ว่าผมกับมันจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็เถอะ และผมก็เชื่อว่าอีกคนก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ว่าไม่นานหลังจากนั้นคนเริ่มกลับเป็นคนผลักอกของผมออกเมื่อมันรู้สึกว่าผมได้ทำนานเกินไปแล้ว…..ก็ผมควบคุมตัวเองไม่ได้หนิ
“พะ..พอแล้ว” พอผมถอนริมฝีปากออกมันก็ไม่ยอมมองหน้าผม มาอายตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ
“ลิปจางหมดแล้ว เอามาดิจะทาให้ใหม่”
“ไม่เป็นไร ผมทาเองได้”
“ไหนตอนแรกบอกไม่ถนัดไง” ผมเอียงคอลงไปมองหน้ามันที่เอาแต่ก้มหน้า ทีตอนอ่อยล่ะไม่อายมาอายอะไรตอนนี้
“ก็กูเคยบอกแล้วไง ว่ายังไม่ถึงเวลา”
“….”
“ไม่เชื่อเอง มันน่าสมน้ำหน้ามั้ยล่ะ” ผมหัวเราะเบาๆและเดินออกจากห้องนั้นด้วยความสบายใจ
“ไอ้พี่บ้า ตอนแรกว่าจะแค่จุ๊บเบาๆ ไม่คิดว่าจะทำให้เคลิ้มได้ขนาดนี้”
“น่าอายจริงเลย มึงทำอะไรลงไป เซฮุนนนนนนนน” ผมได้ยินเสียงใครบางคนบ่นให้กับตัวเองออกมาจากในห้องนั้น คนอะไรว่ะ พูดคนเดียวก็เป็น น่ารักซะไม่มี หวังว่าคนข้างในคงได้กำลังใจไปแล้วนะ และวันนี้ผมเองมีแรงแข่งกีฬาเหลือเฟือแน่ๆ ก็อย่างที่เห็นแหละ คนมันได้กำลังใจดี
“กูว่าต้องให้น้องม.4มาขึ้นสแตนว่ะ ตอนนี้มันยังไม่เต็ม มึงไปเรียกพวกมันมาขึ้นเลย” ลู่หานกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องแข่งเชียร์บนสแตนกันแล้วแต่สีของผมยังไม่เต็มเลย เลยต้องให้เด็กม.4มาขึ้นสแตนเสริม ก็พวกที่เป็นตัวแทนไปเดินขบวนนั่นแหละ สงสารอยู่เหมือนกันเดินขบวนมาเหนื่อยๆยังจะต้องมานั่งเชียร์บนสแตน จะเหนื่อยมากมั้ยก็ไม่รู้
“อ้าว มาแล้วก็ขึ้นเลยครับ อย่าอู้” ไอ่ลู่ตะโกนสั่งเด็กม.4ให้รีบขึ้นไปนั่งบนสแตนให้เต็ม ผมพึ่งเห็นเซฮุน มันก็มากับเค้าด้วยเหรอเนี้ย ไม่เหนื่อยเลยรึไง
“รีบขึ้นเลยครับ เดี๋ยวพี่จะแจกไอติม” ไอ่ลู่พูดเหมือนกำลังหลอกให้เด็กน้อยตายใจ แต่นี่มันไม่ใช่เด็กแล้ว พวกมันม.4แล้วเว้ย แต่เหมือนผมจะคิดผิด ทันทีที่ไอ้ลู่พูดเรื่องไอติมออกไปรุ่นน้องทุกคนก็ดูจะเชื่อฟังมันมากกว่าเดิม เห็นแก่กินจริงๆไอ้เด็กพวกนี้ โดยเฉพาะไอ้คนที่นั่งอยู่สแตนชั้นล่างสุด นั่งอยู่ข้างหน้าผมตอนนี้ โอเซฮุน
“มานั่งทำไมตรงนี้” ผมพยายามก้มหน้าไปคุยกับเซฮุน ที่ต้องพยายามเพราะต้องเนียนไม่ให้คนอื่นผิดสังเกต
“ไม่อยากขึ้นไปอ่ะ มันสูง” ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างมันจะกลัวความสูง
“โกหกขอให้ไม่ติดค่ายโอลิมปิกชีวะค่ายต่อไป”
“อยากมานั่งข้างล่างจะได้กินไอติมไง”
“จะบอกไม่บอก”
“ก็บอกไปแล้ว พูดจริงแล้วทำไมพี่ไม่เชื่อกันบ้างอ่ะ”
“ก็เพราะกูดูออกไงว่ามึงโกหก” มันมองหน้าผมและชักสีหน้าใส่เล็กน้อย เป็นเด็กเป็นเล็กทำมาเป็นอารมณ์เสียใส่ เดี๋ยวโดนเลย
“โอ๊ย” เหมือนมันจะหมั่นไส้ผม มันเลยใช้นิ้วที่มีกระดูกของมันบิดเข้าที่เนื้อตรงบริเวณต้นขาผมเต็มๆ
“เจ็บ” ผมพยายามกระซิบเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“หมั่นไส้พี่อ่ะ ไปยืนที่อื่นหน่อย จะกินไอติม มายืนขวางทำไม”
“ เดี๋ยวนี้หัดไล่ล่ะเหรอ ” ผมพูดล้อมันเฉยๆอ่ะ แต่ไม่คิดว่าจะทำให้มันนิ่งได้ขนาดนี้ นี่เขินหรือจะร้องไห้ มันเอาแต่ก้มหน้าบ้างก็เสหน้าไปทางอื่น ไม่มองหน้าผมสักที ไอ้ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ไปไหนสักที ก็ไม่รู้เหมือนกันจะมาเฝ้าอะไรนักหนา
“เป็นไรเนี้ย” ผมใช้เท้าของผมเขี่ยเท้าของมันเบาๆ แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง สงสัยนางคงงอน หรือไม่ก็เป็นเหี้ยอะไรสักอย่าง
“เป็นไรเนี้ย ไม่บอกไม่ให้กินไอติมนะ” ผมพยายามพูดโน้มน้าวมันเหมือนคุยกับเด็กอนุบาล พยายามเอาเท้าเขี่ยเท้ามัน เผื่อว่ามันจะตอบอะไรกลับมาหาผมบ้าง แต่ก็ไม่เกิดผล
“เห้ย” ทนไม่ไหวผมก็เลยเอาแท่งไอติมที่เย็นจัดแตะเข้าที่แก้มของมัน มันรีบเงยหน้ามามองผมอย่างเร็วเลย ทำหน้าเหมือนจะโกรธ แต่ผมรู้ว่ามันกำลังอมยิ้ม ตกลงที่ก้มหน้าอยู่เนี้ยเขินกูใช่มั้ย
“ไม่ต้องมาทำเขินตอนนี้” ช่วงที่ผมยื่นไอติมให้มันก็เลยฉวยโอกาสบอกไปแบบนั้น
“รอเขินตอนอยู่กัน2คนดีกว่า” ยิ่งผมแกล้งให้มันก็เหมือนผมแกล้งตัวเองเข้าไปทุกทีทุกที
“เห้ย จงอิน มึงจะขลุกอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย ออกมาเอาน้ำไปเสิร์ฟให้นักกีฬาทีดิ๊ มึงนี่อู้ตลอด” จะเป็นเสียงใครไปไม่ได้นอกจาก ไอ่ลู่
“ครับ กูไปแล้วครับ”
“จงอินมึงเอาน้ำไปให้นักบอลที่อยู่ฟากโน้นของสนามดิ” ไอ้ลู่ชี้ไปที่อีกฝั่งนึงของสนามบอล ซึ่งมันอยู่ตรงข้ามกับสแตนพวกผมเลย
“ให้เด็กไปช่วยก็ได้ คนนึง มึงถือไปคนเดียวคงไม่ไหว”
“โอเค”
“รีบๆเลยมึง” ไอ้ลู่ยื่นกล่องที่ข้างในบรรจุน้ำแก้วพลาสติกให้ผมถือ และถาดอีกถาดนึง
“เอาถาดมาทำไมว่ะ”
“ก็ตอนเสิร์ฟน้ำไง มึงจะยกลังกระดาษนี่ไปให้นักบอลแดกเลยรึไง ก็ต้องทำให้มันดูดี สะอาด ถูกหลักอนามัย เก็ทมั้ยครับ ท่านจงอิน” ไอ้ลู่ด่าผมซะยกใหญ่ ความจริงถึงมีถาดไม่มีถาดนักบอลก็คงแดกน้ำได้อยู่ดีนั่นแหละ ว่ามั้ยล่ะ
“เซฮุน”
“ครับ?”
“ช่วยถือน้ำหน่อยไปให้นักบอลหน่อยดิ” เซฮุนมองผมอย่างงงๆ แต่มันก็เข้าใจโดยดี งี้แหละผมชอบนิสัยอย่างนึงของมัน คือมันเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ ความรู้สึกไม่ซับซ้อน มันลุกเดินตามผมมา โดยหน้าที่ของมันมี2อย่างคือ หนึ่ง ถือถาด สอง กางร่มให้ผม ลังกระดาษที่บรรจุน้ำนี่ขอให้เป็นหน้าที่ผมคนเดียวเลยถอะ หนักนะแต่ก็ไม่อยากให้มันช่วยถือเท่าไหร่หรอก
“พี่จะให้ผมเสิร์ฟเหรอ” พอไปถึงที่พักของนักบอลมันก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองและถามผมออกมาแบบนั้น
“ใช่ กูจะเป็นคนยกลังเอง มึงแค่ถือถาดน้ำไปให้นักบอล ก็แค่นั้น”
“เอางั้นเหรอ” เหมือนมันยังคงลังเล ไอ้ผมก็งงว่ามันเป็นอะไร
“ก็เออ ทำไม มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ไม่นะพี่ ผมไม่มีปัญหาอะไรเลย” ท่าทางมีพิรุธนะ ผมบอกเลย แต่ผมก็ทิ้งความงุนงงไว้เพียงเท่านั้นแหละ ไม่นานเซฮุนก็ถือถาดเข้าไปในดงของพวกนักบอลซึ่งก็นั่งเหยียดแขนเหยียดขาผ่อนคลายกล้ามเนื้อกันตามระเบียบ แต่ผมลองมาคิดดูอีกที ผมรู้แล้วแหละว่าทำไมเซฮุนถึงมีท่าทีอิดออดว่าไม่อยากเข้าไป ก็แม่งโดนมองโดนแซวซะขนาดนี้ใครมันจะชอบว่ะ แล้วผมทำอะไรได้ล่ะ ก็ยืนดูอยู่ห่างๆให้เซฮุนบุกเข้าไปในดงนั้นคนเดียวน่ะสิ ไอ้ผมก็พึ่งนึกได้นะว่าหน้าที่นี้มันหน้าที่ของผู้หญิง แล้วเนี้ยสวัสดิการนักบอลไปไหน ทำไมไม่มาเสิร์ฟน้ำเองว่ะ ปล่อยให้คนอื่นทำแทนได้ไง พวกนี้บกพร่องในหน้าที่ เดี๋ยวแม่งจะฟ้องอาจารย์ให้หมด
“ซังฮุนโว้ยยยย กำลังใจมึงมาเสิร์ฟน้ำโว้ยยย” นักบอลคนนึงตะโกนขึ้นเพื่อเรียกเพื่อนของเขาให้หันมาสนใจเซฮุน ผมเห็นแค่ผู้ชายคนนึงหน้าตาก็พอดูได้ ผิวก็เข้มน้อยกว่าผมนิดนึง ส่วนสูงก็สูงกว่าผมนิดนึง ไม่ต่างอะไรกันหรอก แต่มันมองมาทางเซฮุนและมันก็…….ยิ้ม มันแค่ยิ้มไม่ได้เอ่ยปากอะไร มีแต่นักบอลคนอื่นเท่านั้นแหละที่โห่แซวเป็นขบวนขันหมากอยู่ได้
“อิจฉาแสรสสสสสสสส นัดนี้มีลุ้นโว้ย กำลังใจไอ้กัปตันมันดี”
“เขินครับเขินนนนแทน น้องเซฮุนครับ ขอกำลังใจให้กัปตันทีมหน่อยครับ”
“สักแก้มสองแก้มให้ซังฮุนมันหน่อยนะครับ ถือซะว่าช่วยสี”
“อ้าวเห้ย น้องแกหน้าแดงหมดแล้ว เลิกแซวๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“รักหรอกจึงหยอกเล่นนะครับน้องฮุน หนุ่มน้อยหน้ามนคนน่ารัก”
เซฮุนก็ยังคงยืนงงๆเบลอๆอยู่ในนั้น จะมองซ้ายมองขวาทำซากอะไร ทำไมมันไม่รีบเดินออกมาสักที เสิร์ฟเสร็จหมดหน้าที่แล้วก็ออกมาดิ ยืนให้เขาแทะโลมอยู่ได้ บ้าป่ะเนี้ย แต่พอมันเห็นหน้าผมมันก็รีบวิ่งออกมา ผมอาจคิดไปเองก็ได้นะว่ามันเกรงใจผม หรือไม่ก็กลัวผมโกรธ แต่ผมไม่โกรธหรอกนะ ผมไม่ได้เป็นคนงี่เง่าขนาดนั้น
“พี่ครับ พี่ไม่โกรธนะ” นั่นไง ว่าแล้ว
“ทำไมต้องโกรธด้วยอ่ะ” พูดเสร็จก็กลับหลังหันเดินจากดงนักบอลมา ผมถือลังกระดาษเปล่าและรีบเดินนำเซฮุนออกไป มันก็วิ่งตามมาติดๆ ในมือของมันยังถือถาดพลาสติกที่ใช้เสิร์ฟน้ำฟุตบอลตะกี้อยู่แล้ว เห็นถาดล่ะแม่งก็หมั่นไส้ ไปไหนมาไหนผู้ชายมองตลอด ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งี่เง่า แค่ไม่ชอบ ความรู้สึกของคนเรามันห้ามกันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ แต่ผมจะไม่แสดงออกหรอกเพราะถ้าทำแบบนั้น….คนอื่นก็คงรู้กันหมด
“พี่ไม่คิดมากนะครับ เค้าแค่แซวเล่นเฉยๆ” ระหว่างเดินด้วยกันข้างสนามบอลมันก็อธิบายและพยายามเดินมาชิดไหล่ผมมากขึ้น ผมก็ขยับออกบ้างรีบเดินบ้าง ก็ไม่อยากให้ใกล้กันมาก
“ก็ไม่ได้โกรธ อะไรนักหนาเนี้ย”
“ถ้าไม่โกรธแล้วเดินหนีทำไมอ่ะ ใส่อารมณ์ทำไม ตะกี้ยังอารมณ์ดีอยู่เลย”
“หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ”
“พี่ครับ มันไม่มีอะไรจริงๆ พี่เชื่อผมนะ”
“เออๆ รู้แล้ว” ผมพูดแบบตัดความรำคาญและรีบเดินจากมันมัน รู้สึกเหมือนตัวเองโดนง้อเลย แต่ผมไม่ได้งอนมันนะ ผมแค่รู้สึกนอยด์ๆ ก็ไม่ชอบอ่ะ แค่นั้นแหละ
“จงอิน”
“อะไร”
“มึงไปแข่งวิ่งให้สีหน่อยดิ นักกีฬาที่ตกลงว่าจะแข่งให้ ขาเดี้ยงอ่ะ ปั่นจักรยานล้มตะกี้”
“กูวิ่งช้าอย่างกะหอยทากเมายาเบื่อ มึงก็น่าจะรู้”
“เออ ช่วยสีหน่อย แพ้เพราะแข่งแพ้ กับแพ้เพราะยอมแพ้ ความรู้สึกมันต่างกันนะมึง”
“…..”
“เพื่อศักดิ์ศรีของสีเขียวนะมึง ” บางทีผมก็ว่าไอ้ลู่มันเว่อร์ไป ศักดิ์สงศักดิ์ศรีอะไร ก็แค่กีฬาสีเล่นกันสนุกๆ
“แล้วจะแข่งตอนไหนล่ะ”
“มึงแข่งภาคบ่ายนะ พอเค้าวิ่งผลัดรุ่นมอต้นเสร็จ ก็จะมีวิ่งผลัดมอปลาย แล้วต่อไปก็เป็นทีของมึงเลย มึงไปเตรียมตัวได้ล่ะ” ไอ้ลู่ดันหลังผมให้ออกไปวอร์มร่างกาย จะให้ผมวอร์มอะไร ยังไงๆผมก็คงที่โหล่อยู่ดี
“พี่จะแข่งวิ่งเหรอ” ตอนนี้มันตอนใกล้พักเที่ยงแล้วเซฮุนเลยลงมาจากสแตนได้ มันก็มานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างสนามบอลนั่นแหละ มันก็ทำตัวเนียนๆเหมือนพวกรุ่นพี่เหมือนพวกสตาฟอะไรทำนองนั้นแ เพื่อที่จะไม่ให้เป็นจุดสังเกตว่าทำไมมันเกาะติดผมนักหนา
“อือ”
“พี่เล่นกีฬาไม่เป็นไม่ใช่เหรอ”
“ก็เอออีกนั่นแหละ”
“แล้วจะชนะเหรอ”
“พูดตรงๆเลยนะ โอกาสชนะค่อนข้างติดลบ”
“…”
“แข่งให้สีเฉยๆ ไม่ได้หวังอะไรหรอก แต่ถ้าได้ทีโหล่ก็คงน่าอายมากๆ”
“พี่ก็ทำให้ได้ที่หนึ่งสิ” ทำไมน้องเซฮุนพูดเหมือนมันทำง่ายอย่างนั้นล่ะครับ
“……” ผมไม่รู้จะตอบอะไรไปดี ความหวังของสีอยู่ที่ผมเลยนะ ถึงแม้ปากจะบอกว่ายังไงก็ได้ แต่เรื่องความเครียดความกดดันมันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะ
“นี่พี่เครียดขนาดนี้เลยเหรอ ไม่เอานะครับ ไม่ต้องคิดมาก” เซฮุนมันจับมือผมไปบีบๆนวดๆเหมือนปลอบใจ
“แค่ทำให้เต็มที่ แค่นี้ก็ถือว่าโอเคมากแล้ว แพ้ชนะถึงได้มา แค่แป๊บเดียวเดี๋ยวคนก็ลืม แต่จิตใจที่เสียสละของพี่ พี่จะไม่มีวันลืม ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่คนอื่นมองว่าเล็กน้อยก็เถอะ”
“….”
“ ถ้าโตขึ้นแล้วพี่มองกลับมา พี่จะภูมิใจในตัวพี่เอง เหมือนที่ผมกำลังเป็น”
“ไม่ได้เครียดอะไรขนาดนั้นสักหน่อย พูดอย่างกะกูจะออกรบอย่างงั้นแหละ”
“ก็เห็นพี่นิ่งๆ ก็เลยนึกว่าเครียดมาก”
“จะทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน แต่ถ้ากูแพ้หรือวิ่งไปแล้วล้มมึงห้ามหัวเราะเด็ดขาด”
“แค่เห็นพี่วิ่งผมจะกลั้นหัวเราะไหวรึเปล่านี่ยังไม่ตอบไม่ได้เลย 55555”
“เออ ให้มันได้งี้ดิ” ขอแค่นี้ก็ไม่ได้
“เอางี้ ถ้าพี่ชนะ พี่จะขออะไรผมก็ได้ ผมยอมทำให้พี่จนกว่าพี่จะขึ้นม.6เลย”
“จริง?”
“ชนะให้ได้ก่อนเถ๊อะ”
“อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะ”
“ไม่ลืมๆ แล้วพี่จะขออะไรล่ะ”
“ขอคิดแป๊บ” ผมให้สมองคิดไปคิดมา ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะขออะไร
“คิดไม่ออกภายในหนึ่งนาทีเป็นอันยกเลิกสัญญานะ”
“โกงว่ะ”
“เริ่มจับเวลาแล้วนะ”
“ขอให้”
“60”
“เห้ยอย่านับเร็วดิว่ะ”
“58”
“59 หายไปไหนวะ”
“56”
“คิดออกแล้ว”
“ว่า” ผมมองมันด้วยสายตาที่ผมคิดว่าเจ้าเล่ห์ที่สุด และก็พูดออกมาด้วยความมั่นใจ เซฮุนครับตายแน่ๆเลยครับ
“ถ้ากูชนะมึงต้องแทนตัวเองว่าน้องฮุน แล้วต้องเรียกกูว่า ป๋า”
“คำขอบ้าบออะไรของพี่เนี้ย” เซฮุนหหัวเราะให้กับคำขอของผม เห้ย มันตลกตรงไหน ผมแค่มีความฝันอยากมีแฟนเด็กถ้ามีคนมาเรียกว่า ป๋า หนูอย่างงั้นหนูอย่างงี้ คงฟินมาก แต่ถ้าจะให้เซฮุนแทนตัวเองว่าหนูมันก็น่าขนลุกไม่น้อย ผมก็เลยคิดว่าแบบนี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว
“โอเคกะด้ะ” เซฮุนเบะปากและทำหน้าแหงๆเล็กน้อย มันคงคิดถึงตอนมันเรียกผมว่าป๋าล่ะมั้ง อย่าว่าแต่มึงขนลุกคนเดียวเลยกูก็ขนลุก แต่ก็นะ ผมคงไม่ชนะหรอก
ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
หลังจากที่กรรมการเป่านกหวีดผมออกตัวและพยายามวิ่งให้เร็วที่สุด มันเป็นการวิ่งแค่ระระยะทางสั้นๆ ดังนั้นจึงต้องแข่งกันเรื่องเวลา ใครใช้เวลาไปน้อยที่สุดคนนั้นแหละชนะ เอาว่ะกู ไม่ได้ก็ต้องได้ เพื่อความฟินเสมือนมีแฟนเด็กตามความฝันในวัยเยาวว์ เซฮุนยืนอยู่ไหนไม่รู้ ผมบอกมันเองแหละว่าไม่ต้องมาดูใกล้ๆ ถ้ามันอยู่ใกล้ๆแล้วผมอาย กลัวจะวิ่งไม่เร็วเท่าที่ควร ผมคิดอยู่แบบนี้ ตามองเส้นชัยเร่งฝีเท้าเต็มที่ ตอนนี้คู่แข่งอยู่ไหนผมก็มองไม่เห็น รู้แค่ว่าผมต้องวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใกล้แล้วคิมจงอิน ใกล้แล้วววว ยืดอกเข้าไว้ จะได้แตะเส้นชัยก่อนใครเพื่อน
ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ผมวิ่งช้าลงเรื่อยๆหลังจากที่รู้ว่าตัวเองเข้าเส้นชัย หยุดและยืนหอบแฮ่กๆ เห็นแค่ไอ้ลู่วิ่งมาด้วยหน้าตาตกใจ
“ไอ้เหี้ย จงอิน มึงแม่งเจ๋งว่ะ ไปฮึดมาจากไหนว่ะ”
“เดี๋ยวคนนี้พี่เลี้ยงนมปั่นครับ ” ไอ้ลู่ตบไหล่ผมและใช้ฟิวเจอร์บอร์ดพัดให้ผมแรงๆ เย็นสบายดีจัง ตกลงนี่ผมชนะใช่มั้ย ขอบคุณสวรรค์จริงๆ สงสัยท่านคงอยากให้ผมฟิน ว่าแต่ตอนนี้เซฮุนอยู่ไหนนะ มาหาป๋าซะดีๆ 55555
ความคิดเห็น