ตอนที่ 23 : จีบคนเถื่อน : 22
Marut Part :
06.14 นาฬิกา
“มาแต่เช้าเชียวนะคะ” เดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ที่คุ้นเคยประหนึ่งว่าเป็นบ้านของตัวเองก็เจอกับคุณป้าแม่บ้านใจดีที่กำลังเดินสำรวจความเรียบร้อยภายในบ้านอยู่
“สวัสดีครับ รัชช์ตื่นหรือยังครับ?” ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้าอย่างนอบน้อม ทำตัวให้น่าเอ็นดูเข้าไว้ จะได้มีพรรคพวกคอยสนับสนุน แค่รู้ว่ารัชช์มีพี่ชายถึงสองคนผมก็กุมขมับแล้ว ไม่รู้ว่าพี่ๆ ของรัชช์จะหวงน้องชายคนเล็กของบ้านหรือเปล่า แต่พูดได้เลยว่าถ้าผมเป็นพี่รัชช์แล้วมีน้องอย่างนี้นะผมจะโคตรหวงเลย ความมึนความกวนหน้าตายของรัชช์มันดูน่าบีบน่าขย้ำมากๆ บางทีเขาอาจจะไม่รู้ตัวว่าไอ้นิสัยมึนๆ แบบนี้แหละที่ทำให้เขาดูน่ารักจนลืมไปว่าหน้าเขาหล่อมากแค่ไหน
“ตื่นแล้วค่ะ อยู่ที่ห้องอาหาร คุณจะรับมื้อเช้าด้วยไหมคะ?” ผู้ใหญ่ตรงหน้าเอ่ยถามอย่างใจดีและเป็นกันเอง
“อ่า ขอรบกวนด้วยครับ” ตอนแรกตั้งใจว่าจะชวนรัชช์ออกไปหาอะไรกิน แต่ถ้ารัชช์กำลังกินข้าวอยู่ผมก็คงต้องขอฝากท้องไว้ที่นี่แล้วล่ะครับ
“ได้ค่ะ” คุณป้าแม่บ้านยิ้มรับแล้วเดินแยกเข้าไปในห้องครัว
“กินไม่รอเลยนะ คุณเล็ก” เดินเข้ามาในห้องอาหารก็เจอกับลูกชายคนเล็กของบ้านนั่งกินข้าวแก้มตุ่ยมือข้างหนึ่งถือช้อนส่วนอีกข้างก็ถือโทรศัพท์เหมือนกำลังพิมพ์คุยกับใครอยู่
“ทำไมมาเช้า?” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำละขึ้นมามองผมด้วยความสงสัย
“ก็มารับคุณไปซ้อมบาสไง” รัชช์มีซ้อมบาสวันเสาร์ ที่รู้เพราะคุยไลน์กันเมื่อคืนครับ ไม่ต้องถามหรอกว่าใครทักก่อน ผมนี่แหละ แค่ทักไปบอกเฉยๆ ว่าถึงห้องแล้วจากนั้นก็หาเรื่องชวนคุยจนรู้ว่าอีกฝ่ายมีซ้อมบาสตอนเช้าวันนี้ด้วย เมื่อวานเจ้าตัวเขาก็ออกไปซ้อมตอนเย็นหลังผมกลับห้องไปแล้ว ส่วนผมไม่ได้ไปซ้อมบอลหรอกครับ ขี้เกียจเลยโดด
“กลับไปพูดหยาบเหมือนเดิมเถอะ” มือเรียวสวยยื่นไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบปากก็พูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงสายตาไม่โฟกัสที่หน้าของผมตรงๆ แต่เบี่ยงมองไปทางอื่นแทน
“ทำไม?” ท่าทางแบบนี้มัน
“รู้สึกแปลกๆ”
“เขิน?” แน่ๆ เลย
“เปล่า มันไม่ชิน” อีกฝ่ายตอบเฉไฉแสร้งทำเป็นตักข้าวเข้าปากกินกลบเกลื่อน
“เขินก็พูดดิคุณ ผมไม่ล้อหรอก” เห็นแล้วก็อดจะแหย่กลับไม่ได้ คนอะไรฟอร์มเยอะจังวะ
“นี่ก็ล้ออยู่ไม่ใช่เหรอ?” เขาว่าผมด้วยสีหน้ายุ่งๆ
“ฮ่าๆ น่ารักว่ะ” แบบนี้เขาเรียกว่างอแงหรือเปล่าครับ?
“ประสาท” เห็นแบบนี้แล้วผมอยากจะพูดเพราะๆ ให้เขาเขินทุกวันเลย
“แล้วนี่จะไปกันยังไงคะ? จะไปมอเตอร์ไซค์อีกแล้วหรือคะคุณรัชช์?” บทสนทนาระหว่างผมกับรัชช์หยุดชะงักลงเพราะคุณป้าแม่บ้านเดินเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
“ไปมอเตอร์ไซค์ก็เร็วดีนะครับ” รัชช์หันไปยิ้มซื่อ
“รู้ว่าคุณริคไม่ชอบก็ยังจะดื้ออีกนะคะ เดี๋ยวถ้าคุณท่านกลับมา ป้าจะฟ้องให้โดนดุเลย” แต่ก็ได้รับสายตาดุๆ จากคนอายุมากกว่าตอบกลับมา
“ป้าครับ” จู่ๆ รัชช์ก็นิ่งไป
“มีอะไรหรือเปล่ารัชช์?” อดจะถามออกไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมคุณป้าแม่บ้านถึงพูดทำนองว่าไม่อยากให้รัชช์นั่งรถมอเตอร์ไซค์ แต่ที่ผ่านมารัชช์ก็ไม่เคยบอกอะไรผมเลย
“เปล่า ไม่มีอะไร” รัชช์เลี่ยงที่จะสบตากับผม เขาหันกลับไปกินข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมเชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรมากกว่าที่คิดแน่ๆ
“รถก็ออกจากอู่แล้วนะคะ เอารถยนต์ไปเถอะค่ะ”
“ทราบแล้วครับ”
“รีบทานเถอะค่ะ เดี๋ยวไปสาย”
“ครับ” รัชช์ขานรับแล้วก็เงียบไป ผมเองก็ได้แต่นั่งกินข้าวไปเงียบๆ แล้วลอบเก็บข้อมูลจากการที่ทั้งสองคนคุยกัน รัชช์ดูไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ส่วนคุณป้าแม่บ้านก็ดูจะเป็นห่วงรัชช์มากเหลือเกิน
“ไปเอากระเป๋าก่อนนะ” หลังจากที่รัชช์กินข้าวเสร็จเขาก็หันมาบอกผม
“อือ” ผมขานรับแล้วรีบกินข้าวเช้าของตัวเองต่อให้หมด
“เอ่อ ป้าครับ” พอรัชช์เดินหายออกไปได้พักหนึ่งแล้วผมก็รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหาคุณป้าแม่บ้านที่กำลังเก็บข้าวของในห้องครัวอยู่
“ว่าไงคะ?”
“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”
“เรื่องคุณรัชช์ใช่ไหมคะ?”
“ครับ”
“คุณรัชช์เคยเกิดอุบัติเหตุตอนขี่รถมอเตอร์ไซค์ค่ะ ตอนนั้นอาการสาหัสมาก พวกคุณๆ เลยไม่อยากให้คุณรัชช์นั่งมอเตอร์ไซค์อีก มันเหมือนเป็นเรื่องที่ฝังใจทุกคนน่ะค่ะ” คุณป้าแม่บ้านเล่าอย่างรวบรัดเพราะกลัวว่าคุณชายคนเล็กของบ้านจะลงมาเจอเสียก่อน
“คือ...ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย” ผมตอบกลับไม่เต็มเสียงนัก รัชช์ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังและเขาเองก็ไม่เคยแสดงอาการอะไรเวลาที่ผมให้เขานั่งซ้อนท้าย อ่า จริงสิ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าครั้งแรกที่รัชช์ให้ผมไปรับเขาที่โรงยิมตอนนั้นเขามีท่าทางแปลกๆ ตอนที่เห็นรถของผมด้วยนี่ คงเพราะเรื่องนี้ล่ะมั้งเขาถึงได้มีท่าทางแบบนั้น
“คุณรัชช์เธอไม่ใช่คนคิดมากหรอกค่ะ เธอเองก็ไม่ได้กลัวหรือฝังใจกับอุบัติเหตุครั้งนั้นสักเท่าไหร่ หลังจากที่หายดียังแอบเอารถออกไปขี่เล่นอยู่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ๆ ขอเอาไว้ก็นู่นแหละค่ะ ซนอีกตามเคย”
“เขาเป็นแบบนี้มานานแล้วเหรอครับ? หมายถึง นิสัยมึนๆ” ตีหน้าซื่อ ดื้อเงียบ ชอบตีมึนทำเนียนไปเรื่อย
“ชอบตีเนียนค่ะ คนนี้น่ะแสบสุดในบรรดาสามพี่น้องแล้ว” คนสูงวัยว่ายิ้มๆ อย่างเอ็นดู
“พี่ๆ เขาคงโอ๋น้องน่าดูเลยนะครับ” ขอใช้โอกาสนี้เก็บข้อมูลของครอบครัวนี้หน่อยก็แล้วกัน
“ค่ะ โอ๋กันหนักมาก ตามใจกันสุดๆ แต่คุณรัชช์เองก็ใช่ย่อย ชอบอ้อนให้พี่ๆ หลงตลอด”
“ผมยังไม่เคยเจอโมเม้นนั้นเลย” อยากโดนอ้อนบ้างจัง
“แต่ตอนคุณรัชช์อยู่กับคุณก็ดูสบายดีนะคะ คือป้าหมายถึง คุณรัชช์ก็ดูเป็นตัวของตัวเอง”
“งั้นเหรอครับ” ผมเม้มปากแน่นพยายามกลั้นรอยยิ้ม ถ้าคุณป้าแม่บ้านว่าอย่างนั้นก็คงจะจริงแหละครับ จากการที่เรียกไอ้เหี้ยมารุตเมื่อวานนี้ก็รู้เลยนะครับว่าสนิทกันขนาดไหน
“มารุต” เสียงหวานที่ผมเริ่มชอบมันมากขึ้นเรื่อยๆ ดังมาจากทางหน้าประตูของห้องครัว ทำเอาผมกับคุณป้าแม่บ้านรีบหันไปมองทันที ไม่รู้ว่ารัชช์ได้ยินเรื่องที่พวกเราคุยกันหรือเปล่า
“เสร็จแล้วเหรอ?” ผมหันไปถามพร้อมเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“อือ”
“ไปก่อนนะครับ” ผมหันไปลากับคุณแม่บ้าน
“เดินทางปลอดภัยค่ะ” แล้วก็ได้รับคำอวยพรกลับมา
“คุณเล็ก”
“หืม?”
“ขอกุญแจรถหน่อยครับ” เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านผมก็คว้าต้นแขนเรียวเอาไว้แล้วแบมือขอกุญแจรถยนต์ของอีกฝ่ายเพื่อที่จะเป็นคนขับรถเอง มือเรียวเล็กยอมส่งกุญแจรถมาให้อย่างว่าง่าย หรือต่อให้เขาไม่ยอมผมก็จะแย่งกุญแจรถมาขับเองให้ได้ ผมไม่ยอมให้รัชช์ขับเองหรอก ก็ตอนนี้เราเป็นคนคุยกันอยู่ ผมก็ต้องเทคแคร์เขาให้เต็มที่สิ
“ทำไมไม่บอกว่าที่บ้านไม่ชอบให้นั่งรถมอเตอร์ไซค์” ขับรถออกมาจากบ้านได้สักพักหนึ่งผมก็เอ่ยถามคนข้างตัวที่นั่งเงียบมาตลอดทางตั้งแต่ขึ้นรถมา ผมไม่ได้อึดอัดกับการที่รัชช์เงียบ เราก็รู้จักกันในระดับหนึ่งแล้ว ผมเองก็พอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนพูดมากอะไร ถึงตอนแรกมันจะรู้สึกแปลกๆ ไม่ชินเพราะตลอดเวลาที่ผมคบกับไอริสอีกฝ่ายจะเป็นคนชวนผมคุยตลอด ไอริสเป็นคนที่พูดเก่งมาก ผมถึงได้บอกไงว่ารัชช์กับไอริสต่างกันมาก
แต่ผมชักจะเริ่มชอบความแตกต่างของรัชช์มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิครับ
“เขาแค่ไม่ชอบ แต่ไม่ได้สั่งห้าม” เหรอรัชช์เหรอ?
“ดื้อว่ะ” แบบนี้นี่มันดื้อเงียบชัดๆ
“เปล่า แค่คิดว่านายคงไม่พาเราไปตายหรอก”
โอ้โห ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองชนะคนทั้งโลกเลยวะ?
“ก็เป็นซะอย่างนี้ ต่อไปมีอะไรให้บอกกันตรงๆ นะ เข้าใจไหม?” เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าดุว่ะ คือรัชช์แม่งเป็นข้อยกเว้นของทุกอย่างบนโลกใบนี้เลยหรือเปล่า? ไม่แปลกใจเลยทำไมคนถึงได้อวยได้โอ๋กันนักก็เป็นแบบนี้ไง บางทีก็น่ารักน่าเอ็นดูแบบไม่รู้ตัว คือแค่ยืนเฉยๆ คนก็หลงรักแล้วเชื่อผมสิ เพราะตอนนี้ผมก็เริ่มจะชอบเขามากขึ้นๆ ในทุกวันแล้ว
“ครับ”
“อย่าพูดครับ” ผมชะงักด้วยความตกใจจนเกือบหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าข้างทางเมื่อได้ยินเสียงหวานตอบกลับมาสั้นๆ แม้มันจะเป็นเพียงแค่คำว่าครับแต่โคตรจะมีพลังทำลายล้างสูงเลยว่ะ
“ทำไม?” รัชช์หันมาถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจทั้งที่เมื่อกี้เขาเพิ่งทำผมใจเต้นแรงไป มันแรงมากจนผมกลัวว่าคนที่นั่งข้างๆ จะได้ยินมัน
“ใจบางว่ะ”
“ประสาท”
“เขินแล้วปากดีเนอะ เดี๋ยวขยี้ให้ปากช้ำ” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปบีบปากเล็กๆ ที่ชอบด่าชอบว่าผมอยู่บ่อยๆ ด้วยความมันเขี้ยวหนึ่งที
“โรคจิต”
เนี่ย! ก็เป็นแบบนี้ไงถึงได้บอกว่าน่าขยี้ให้ปากช้ำ
ขับรถต่อมาอีกสักพักก็มาถึงมหา’ลัย เช้าๆ แบบนี้รถไม่เยอะเท่าไหร่แถมยังเป็นวันเสาร์อีกด้วย ผมขับตรงไปยังโรงยิมเพื่อไปส่งรัชช์
“ผมเอารถไปนะ เดี๋ยวเลิกแล้วมารับ” ผมบอกกับเจ้าของรถ เพราะวันนี้ผมเองก็มีซ้อมเหมือนกันเลยคิดว่าจะเอารถของรัชช์ไปจอดที่สนามบอลแล้วพอเลิกก็มารับเขา
“อืม” รัชช์พยักหน้ารับเบาๆ แล้วเดินลงจากรถไป
ผมมองตามแผ่นหลังบางเดินเข้าโรงยิมไปแต่แล้วก็ไปสะดุดตาเข้ากับใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินลงมาจากรถของตัวเอง ร่างสูงที่คาดว่าน่าจะไล่เลี่ยกันกับผมเดินมุ่งตรงเข้าไปหารัชช์อย่างรวดเร็ว ผู้ชายคนนั้นคือคนที่รัชช์เรียกว่าพี่นิลและถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นกัปตันทีมบาสของนิติศาสตร์ด้วย แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือสองคนนั้นเขามีความสัมพันธ์มีส่วนเกี่ยวข้องกันยังไง? คิดว่าผมดูไม่ออกเหรอว่าสายตาที่ผู้ชายคนนั้นมองรัชช์มันไม่ธรรมดา มันดูเกินกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกัน แล้วผมก็เคยเห็นรัชช์มองเขาคนนั้นด้วยสายตาแบบเดียวกัน จำครั้งที่ผมกับรัชช์บังเอิญเจอกันที่ร้าน MK ได้หรือเปล่าครับ? ผมจำได้ดีว่าสายตาที่รัชช์มองนิลกาฬมันเป็นยังไง
แต่ผมไม่สนใจหรอกนะว่าทั้งสองคนจะเคยเป็นอะไรกันหรือเคยมีความรู้สึกยังไงให้กันมาก่อน เพราะตอนนี้และอนาคตรัชช์จะต้องเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น
Rach Part :
“เคลียร์กันแล้วเหรอ?” ก้าวลงจากรถของตัวเองมาได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอกับพี่นิลที่ลงมาจากรถพอดี
“ครับ”
“สรุป?”
“ก็ลองคุยๆ กัน” ผมตอบไปตามความจริง แม้รู้ว่าหลังจากพูดออกไปแล้วอะไรหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไป แต่ผมก็ตัดสินใจแล้ว ถ้าผมเลือกที่จะให้มีมารุตอยู่ในชีวิต ผมก็ต้องเสียใครอีกคนไป มันเป็นกฎการแลกเปลี่ยนของโลกใบนี้ ผมไม่สามารถยึดคนสองคนไว้กับตัวได้
“...”
“พี่นิล” ผมเอื้อมมือไปแตะที่แขนแกร่งเพื่อเป็นการเรียกอีกฝ่าย ใจไม่ดีเลยที่เห็นพี่นิลนิ่งเงียบไปอย่างนั้น
“กูอยากด่ามึงนะรัชช์ แต่ในเมื่อมึงตัดสินใจไปแล้วก็แล้วแต่มึง” ดวงตาคมเลื่อนมามองสบกับผมด้วยแววตาที่สั่นไหว ขอบตาแดงก่ำอย่างคนที่กำลังอดกลั้นกับอะไรสักอย่าง
“ขอโทษนะครับ” ผมได้แต่เอ่ยคำเดิมๆ ออกไปอย่างคนโง่ ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ผมพูดคำนี้และมันไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น ไม่เคยเลย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่สิ มันดูแย่ลงเสียด้วยซ้ำ
“มึงไม่ผิดรัชช์ มึงไม่เคยผิดเลย” เขาบอกกับผมด้วยดวงตาที่เศร้าหมอง ยิ่งมองมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือหัวใจของผมที่มันบีบรัดแน่นจนปวดร้าวไปหมดทั้งใจ เป็นอีกครั้งที่ผมได้ทำร้ายผู้ชายคนนี้ ทำร้ายทั้งที่ไม่ต้องใช้อาวุธอะไรเลย และเขาก็ไม่เคยโกรธผมเลยสักครั้ง
“พี่นิล” ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ส่วนพี่นิลเดินแยกออกไปแล้ว เดินออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
ไม่มีอีกแล้วนิลกาฬคนที่เข้มแข็ง ผมเป็นคนทำลายความเข้มแข็งนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมันไม่เหลืออะไรเลย
เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขา
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนอะไรๆ ถึงจะกลับมาดี
13.09 นาฬิกา
“เป็นอะไร?”
“เปล่า” ผมผงะเอนหลบด้วยความตกใจเมื่อมารุตยื่นมือมาแตะที่ข้างแก้มของผมด้วยความเป็นห่วง
“คิดอะไรอยู่?” แต่เมื่อเห็นท่าทางของผมเขาก็ชะงักนิ่งไป ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับเพราะรู้สึกไม่ดีที่เผลอทำท่าทีที่ไม่ดีใส่อีกฝ่ายออกไปเมื่อกี้
“รัชช์” มารุตเอ่ยเรียกผมอีกครั้ง ผมยื่นมือไปจับฝ่ามือใหญ่เอามาแนบแก้มของตัวเองเพื่อไถ่โทษกับการกระทำที่ไม่ดีก่อนหน้านี้ ผมมัวแต่คิดเรื่องของพี่นิลมากเกินไปจนเหม่อลอยทำให้ไม่ได้สนใจคนที่อยู่ด้วยกันในตอนนี้
“พรุ่งนี้ไปเที่ยวกัน” ผมช้อนสายตาขึ้นมองเสี้ยวใบหน้าคมของคนที่ตั้งใจขับรถอยู่
“อยากไปไหน?” เขาละสายตาจากถนนมามองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปขับรถต่ออย่างตั้งใจ
“เอเชียทีค” พอได้ยินผมบอกออกไปแบบนั้นมารุตก็หันมามองหน้าผมอย่างแปลกใจทันที โชคดีที่รถติดไฟแดงพอดี ไม่อย่างนั้นได้ชนรถคันข้างหน้าแน่เลย คิ้วหนาเลิกขึ้นคล้ายจะถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ
“โอเค” เมื่อผมพยักหน้ายืนยันเขาก็ยกยิ้มบางๆ ก่อนจะเอามือมาขยี้หัวผมเบาๆ อย่างหยอกล้อ
มารุตพาผมมาหาอะไรกินกันที่ห้างก่อนกลับบ้าน เหมือนว่าชีวิตเราจะวนเวียนกันอยู่แต่ห้างสรรพสินค้านะครับ ครั้งนี้ผมให้มารุตเป็นคนเลือกร้าน และหวยก็มาออกที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ ผมกับมารุตเองก็ไม่ใช่คนติดหรูอะไร เราแค่หาที่เย็นๆ อยู่เท่านั้นเองครับ ถึงจะอาบน้ำหลังซ้อมเสร็จมาแล้วก็เถอะ แต่ช่วงเวลาบ่ายๆ แบบนี้ไม่ว่าจะไปไหนก็ร้อนทั้งนั้นแหละครับ ถ้าไม่หมกตัวอยู่ในห้องแอร์ก็ต้องเดินห้างนี่แหละ เมื่อกินเสร็จเราก็เดินเล่นดูนั่นดูนี่กันสักพักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจกลับบ้าน แต่คนตัวสูงขอแวบเข้าห้องน้ำแปบหนึ่งก่อน ผมเลยยืนรอแถวๆ ทางเข้าแทน
“คุณรัชช์”
“เชน” ระหว่างที่ยืนรอมารุตเข้าห้องน้ำผมก็หันมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยจนกระทั่งไปสะดุดตาเข้ากับใครบางคนที่ผมรู้จักดี เชนยืนอยู่ไม่ไกลจากผมนัก
“มาทำอะไรเหรอ?” เขามองผมอย่างแปลกใจก่อนจะเดินเข้ามาถามผม
“มากินข้าว” ผมตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร
“มากับใคร?” แม้มันจะเป็นคำถามทั่วไปแต่กลับทำผมพูดไม่ออก กลัวว่าถ้าตอบออกไปจะทำให้เชนไม่พอใจ
“จะกลับเลยหรือเปล่าเล็ก?” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไปเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ที่คุ้นหูก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของมารุตที่เดินเข้ามาประชิดตัวผม
“มึง!” เป็นไปอย่างที่คิด เพียงแค่เห็นหน้ามารุต เชนก็มีท่าทางที่เปลี่ยนไปทันที แม้ใบหน้าจะยังคงเรียบนิ่งแต่ดวงตากลับวาวโรจน์อย่างน่ากลัว
“อ้าว ว่าไงครับ? รุ่นพี่” คนข้างตัวผมก็ไม่น้อยหน้า ดวงตากลมโตตวัดมองเพื่อนสนิทของผมด้วยแววตาท้าทายพร้อมกับริมฝีปากได้รูปที่กระตุกยกยิ้มบางๆ อย่างกวนประสาท
“มาด้วยกันเหรอ?” ดวงตาเรียวมองจ้องใบหน้าของผมนิ่งอย่างรอคอยคำตอบ
“ใช่ มาด้วยกัน” แต่ผมก็ตอบไม่ทันมารุตอีกเช่นเคย แขนแกร่งยกขึ้นโอบรอบเอวของผมพร้อมดึงเข้าหาตัวเขาแผ่วเบาคล้ายกับกำลังแสดงสิทธิ์ในตัวผมอยู่ ผมเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวใบหน้าคมสลับกับใบหน้าของเชนอย่างลำบากใจ
“คบกันแล้วเหรอ?” น้ำเสียงทุ้มฟังดูแข็งกระด้างกว่าปกติหลายเท่าอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีเข้มจับจ้องที่การกระทำของมารุตไม่วางตาและมันก็ดูจะแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องสะกิดคนข้างตัวให้หยุดปั่นหัวอีกฝ่ายเสียที
“ยัง คุยกันอยู่ แต่เดี๋ยวก็คงคบ” มารุตตอบกลับด้วยท่าทางสบายๆ หากแต่แฝงไปด้วยความมั่นใจและแววตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่า สีหน้ามั่นอกมั่นใจราวกับว่าตนนั้นเป็นผู้ชนะในสงครามประสาทครั้งนี้
“ก็ขอให้ได้คบนะ” เชนเบนสายตามามองสบตากับผมแวบหนึ่งก่อนจะตวัดกลับไปมองหน้ามารุตด้วยสีหน้าที่เย้ยหยันอย่างที่ใครเห็นเป็นอันจะต้องหัวร้อนทุกราย
“มึง!” โดยเฉพาะคนข้างตัวผม
“เราไปก่อนนะคุณรัชช์ เจอกันวันจันทร์” เพื่อนสนิทของผมเลือกที่จะเมินท่าทางไม่พอใจของใครอีกคนแล้วหันมาเอ่ยบอกลากับผมนิ่งๆ แทน
“อืม” ผมนิ่งไปเสี้ยววินาทีเมื่อเผลอไปสบตากับอีกฝ่าย แววตาที่ว่างเปล่าของเชนทำเอาผมทำตัวไม่ถูก ตั้งแต่คบกันมาเชนไม่เคยใช้สายตาแบบนี้มองผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่เป็นครั้งแรกซึ่งผมไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
“แม่งเอ๊ย!” คล้อยหลังเชนไปมารุตก็สบถเสียงดังอย่างหัวเสีย
“รุต” ผมร้องเรียกเตือนสติคนตัวสูงกว่าอย่างใจเย็น
“อยากซัดแม่งสักหมัด”
นี่ก็ขึ้นง่ายจริง ทีตัวเองไปหาเรื่องเขาก็เห็นดูสนุกดีไม่ใช่หรือไง? พอถูกเขาเล่นกลับก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงเชียว
“กลับเถอะ” ว่าพร้อมดึงแขนยาวให้เดินตามมา ปล่อยไว้ไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวเป็นบ้าวิ่งไปหาเรื่องใครเขา
“เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะ?” แต่ยังเดินไปได้ไม่ทันพ้นสองก้าวก็เป็นผมเองที่ถูกดึงให้เซถลาเข้าไปหาคนที่ตัวสูงกว่า ก็รู้ว่าแรงผมสู้ไม่ได้ก็ยังจะชอบเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ อยู่อีก
“รุต” พอตั้งหลักได้ผมก็ตอบกลับไปอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดมากนัก
“เรียกแบบนี้แล้วดูสนิทเนอะ” จากใบหน้าที่บึ้งตึงก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้างจนหน้ายับ
“แล้วเมื่อกี้เรียกเล็กเฉยๆ เลยเหรอ?” ผมย้อนถามกลับ ก่อนหน้านี้บอกว่าจะเรียกคุณเล็กไม่ใช่หรือไง?
“ก็ไม่อยากเรียกซ้ำกับพี่คุณไง” ว่าพร้อมยิ้มหน้าระรื่นอย่างอารมณ์ดีผิดกับก่อนหน้านี้ลิบลับทั้งที่เพิ่งผ่านไปยังไม่ถึงห้านาทีเลยด้วยซ้ำ
“ตามใจ” ผมเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อเป็นการเลี่ยงที่จะสบตากับคนตรงหน้า กับแค่คำเรียกแทนตัวจะต้องตื่นเต้นดีใจอะไรขนาดนั้น แปลกคนจริงๆ เลย
แล้วทำไมผมจะต้องมาใจเต้นกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ด้วย
วันอาทิตย์ 20.39 นาฬิกา
“คนเยอะจัง” ผมกวาดสายตามองภาพเบื้องหน้าด้วยความประหม่าเล็กๆ ผมไม่ชอบสถานที่ที่คนเยอะๆ แต่ตอนนี้ผมกลับยืนอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยผู้คน หลากหลายช่วงอายุ หลากหลายเพศและหลากหลายสัญชาติ
“ก็อยากมาเองนะ” คนที่มาด้วยกันอย่างมารุตยกยิ้มขำนิดๆ กับสีหน้ากระอักกระอ่วนของผม สืบเนื่องจากเมื่อวานที่ผมบอกว่าอยากไปเอเชียทีค วันนี้มารุตเลยพาผมมาอย่างที่คุยกันไว้ และตอนนี้ผมก็อยู่เอเชียทีคแล้ว
“ก็ไม่เคยมานี่” ผมพึมพำเสียงแผ่ว เพราะไม่เคยมาเลยอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง ถึงผมจะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมาตลอดแต่ผมก็ไม่ค่อยได้เที่ยวอะไรแบบนี้หรอก ยิ่งเป็นตอนกลางคืนยิ่งไม่เคยเลย ผมชอบที่จะเก็บตัวอยู่ในห้องและอ่านหนังสือเรื่องโปรดสักเล่มมากกว่าการออกมาในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายและเสียงที่ค่อนข้างดัง
“พูดจริง?” มารุตหันมามองผมอย่างแปลกใจ สีหน้าเหมือนไม่เคยเจอคนแบบผมมาก่อน
“อืม”
“อยากได้อะไรไหม?”
“ยัง เดินดูไปก่อน” ผมไม่ได้คิดไว้หรอกว่าอยากได้อะไรหรือจะทำอะไร แค่อยากมาลองเดินเล่นดูเฉยๆ ฝ่ามือใหญ่ดันแผ่นหลังของผมให้เดินนำหน้าเขาไป
“นี่”
“อือ” ผมขานรับทั้งที่สายตายังคงสอดส่ายมองสิ่งรอบข้างอย่างสนใจ
“บลูเบอร์รี่ชีสเค้กวันนั้นน่ะ ทำเองหรือเปล่า?”
“อ่า ใช่ ทำไมเหรอ?” ผมชะงักไปกับคำถามนั้นเพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดมันขึ้นมาอีก ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะสนใจกับเค้กชิ้นเล็กๆ ที่ตกอยู่บนพื้นวันนั้น วันที่ผมกับเขาต่อยกัน มันรุนแรงมากจนถึงขั้นที่สามารถแตกหักกันได้ แต่น่าแปลกที่ในตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“ขอโทษนะ” เขาว่าเสียงแผ่วอย่างคนรู้สึกผิดจริงๆ
“ขอโทษทำไมอีก?” เห็นท่าทางซึมๆ เหมือนโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ถูกดุแบบนั้นก็อดจะสงสารปนเห็นใจไม่ได้
“ขอโทษที่เข้าใจผิด ขอโทษที่ทำร้าย ขอโทษที่พูดไม่ดี ขอโทษที่ทำให้รู้สึกแย่ ขอโทษทุกๆ เรื่องเลย” เขาว่าพร้อมจับมือของผมเอาไว้แน่น
“มันผ่านมาแล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอก” เห็นแบบนั้นแล้วผมเลยยื่นมือไปลูบหัวคนอายุน้อยกว่าเบาๆ ทีอย่างนี้ล่ะทำตัวน่าสงสารเชียว ก่อนหน้านี้ก็ห้าวเหลือเกิน
“ใจดีจริงๆ ด้วยนะ” รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นแทนใบหน้าเศร้าซึม ไหนจะสายตาอ่อนโยนนั่นอีก
“ไปตรงนั้นกันเถอะ” ผมเบนสายตาหลบก่อนจะแกล้งเฉไฉชี้ชวนไปทางอื่นแล้วออกเดินนำออกไปโดยไม่รอคนที่เอาแต่ยืนยิ้มเหมือนคนบ้า
“เล็ก”
“หืม?” ระหว่างกำลังมองนั่นมองนี่เพลินๆ เสียงทุ้มต่ำจากคนข้างหลังก็ดังขึ้นเรียกให้ผมหยุดเดิน
แชะ!
“รุต” และเมื่อผมหยุดเดินเขาก็ขยับมายืนซ้อนข้างหลังแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปของผมกับเขาเอาไว้อย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย
“ชอบว่ะ เอาลง IG ดีกว่า” เขายื่นภาพที่เพิ่งถ่ายเมื่อกี้ให้ผมดูด้วยรอยยิ้มซนๆ ตั้งท่าเตรียมจะอัพโหลดรูปภาพลงในแอพพลิเคชั่นชื่อดังอย่างที่ปากว่าจริงๆ ผมเองก็ยกมือขึ้นกะจะห้ามเขาเหมือนกัน
Rrrrr
แต่ยังไม่ทันที่ผมหรือเขาจะได้ทำอย่างที่ตั้งใจเสียงโทรศัพท์ของมารุตก็ร้องดังขึ้นเตือนว่ามีสายเข้าขึ้นมาเสียก่อน
“ฮัลโหล” คนตัวสูงกว่าหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะยื่นมือมาดึงผมให้หลบออกไปที่มุมหนึ่งแล้วกดรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอที่ผมเห็นแวบๆ คือเบอร์ของไอริส
“เกิดอะไรขึ้นกับไอ!? มึงเป็นใคร!? มึงทำอะไรไอ!?” จู่ๆ มารุตก็ตวาดใส่ปลายสายเสียงดัง ผมที่ยืนมองเขาอยู่เงียบๆ ก็พลอยตกใจตามไปด้วย
“อย่าทำอะไรไอ กูจะรีบไป” ใบหน้าที่ทะเล้นก่อนหน้านี้ตึงเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้พูดคุยกับคนปลายสาย
“มีอะไรเหรอ?” อดจะถามออกไปอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ท่าทางของมารุตทำเอาผมเริ่มเป็นกังวล ไหนจะคำพูดของเขาอีก ต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับไอริสแน่ๆ
“ไอโดนจับตัวไป ผมต้องรีบไปช่วยไอ” เขาหันมาบอกผมด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แววตาที่ฉายชัดถึงความห่วงใยทำเอาผมชะงักนิ่งไปนิด นิ่งไปเพราะหัวใจที่กระตุกวูบ ความรู้สึกที่ไม่ดีตีตื้นขึ้นมาจนผมต้องบีบมือตัวเองแน่นเพื่อข่มอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้
นอกจากความห่วงใยที่ผมเห็นชัดเจนในดวงตาคู่สวยนั่นแล้ว ผมยังเห็นถึงความรู้สึกที่มารุตมีต่อไอริสอีกด้วย
Rrrrr
“อะไรอีก!?” นิ้วเรียวกดรับสายแล้วเปิดลำโพงให้ผมได้ยินด้วย คนตัวสูงดูหัวเสียมากจนผมไม่กล้าพูดอะไร
(“รีบมาก่อนที่มันจะตาย”) เสียงที่ดังลอดมาจากปลายสายทำผมนิ่งค้างไปหลายวินาที
ทำไมเสียงนั่นถึงคุ้นจัง
“โธ่เว้ย!” มือใหญ่ยกขึ้นขยี้หัวตัวเองอย่างแรงหลังจากที่อีกฝ่ายกดตัดสายไป
“มันจำเป็นใช่ไหม?” ผมหลุบตาลงต่ำก่อนจะเลื่อนขึ้นสบกับนัยน์ตาสีเข้ม ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ไอริสกำลังเดือดร้อน และมารุตต้องไปช่วย ชีวิตคนคนหนึ่งมันสำคัญมากกับการตัดสินใจในตอนนี้
“ผมขอโทษ แต่ผมต้องไป” เขาว่าออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“อะ อืม” อย่างน้อยมารุตก็แคร์ผมในระดับหนึ่ง คิดว่านะ
“ถึงบ้านแล้วโทรหาผมนะ ผมจะรีบกลับไปหาคุณ” เขาว่าอย่างรีบๆ แล้ววิ่งออกไป
“อืม” ทิ้งให้ผมขานรับคำค้างอยู่เพียงลำพัง
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้มารุตกำลังรู้สึกยังไง แต่สิ่งที่ผมเห็นและเข้าใจได้เป็นอย่างดีเลยคือมารุตเป็นห่วงไอริสมาก ความรู้สึกที่คงไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ คำที่เขาเคยย้ำนักย้ำหนา แม้ผมจะรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ผมก็แสร้งมองข้ามมันมาตลอด จนกระทั่งวันนี้ที่ผมได้รู้แล้วว่ามารุตไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ผมหมายถึงใจของเขาน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นไอริสอยู่ดีสินะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หลายเรื่อง ปวดหัวแทน
คุณรัชช์แย้ววว
ไม่รู้สิ แบบมันบอกไม่ค่อยถูกแต่ครส.คือรุตก็แคร์รัชอะ รุตแคร์เธอนะ ในจุดที่คุยๆกันอยู่คือเราว่ามันน่ารัก อบอุ่น ดูห่วงกันด้วย รัชก็คือรัชที่เป็นแบบนี้อะใจดี ทะเลาะกันครั้งนั้นคือมันแรงมาก แตกหักเลิกคบกันได้เลย แต่นี่ใครนี่คุณรัชไง ไม่คิดมากนะคะคนดี
// ปั่นได้แต่อย่าทิ้งให้ค้างนานไม่งั้นจะตามไปเผาบ้านไรต์เลยยย ^^