ตอนที่ 21 : จีบคนเถื่อน : 20
วันพุธ วันที่หกของการห่างกัน
Rrrrr
ผมที่มัวแต่เหม่อลอยสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่ในล็อกเกอร์ตรงหน้าส่งเสียงร้องดังลั่น ทำเอาสมาชิกในทีมคนอื่นๆ ที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่หันมามองผมเป็นสายตาเดียว ผมยื่นมือที่ค้างอยู่กับการเช็ดผมไปกดรับสายโดยที่ไม่ได้ใส่ใจจะมองว่าใครเป็นคนโทรมา ยังไงก็ไม่ใช่คนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ตอนนี้หรอก ก็ผมเป็นคนบอกเขาเองนี่ว่าไม่ให้โทรหาน่ะ ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันถูกหรือเปล่า แต่ก็ทำได้แค่อดทนให้มันผ่านไปในแต่ละวัน
ไม่คิดเลยว่าผมจะเป็นเอามากขนาดนี้
“ฮัลโหล” ผมตอบรับเสียงเนือยๆ พลางเก็บของในล็อกเกอร์ใหม่ของตัวเองไปด้วย เหลือบมองล็อกเกอร์ข้างๆ ที่มันเคยเป็นของผมแล้วก็รู้สึกวูบโหวงในอกแปลกๆ ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ใช้ล็อกเกอร์อันนี้หรอกครับ ล็อกเกอร์เก่าของผมมันเละไปหมดจนผมไม่สามารถใช้ต่อได้แล้วล่ะ
(“คุณรัชช์อยู่ไหน?”) เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นหูดีดังปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิด อ่า นี่ผมเหม่ออีกแล้วเหรอ?
“โรงยิมมหา’ลัย” ลอบถอนหายใจกับตัวเองก่อนจะตอบคนปลายสายกลับไป
ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แฝดคนน้องที่เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของผมเอง เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับกรินแล้วครับ รายนั้นเขาตัวติดกับว่าที่คุณหมอมาก เวลาว่างแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็แวบออกมาเจอกันได้ ยอมใจในความพยายามของทั้งคู่เลยครับ พี่ปัถย์เรียนหนักมาก แต่ก็ยังคอยนัดเจอกับกรินอยู่บ่อยๆ ส่วนกริน ถึงพี่ปัถย์จะขับรถมาหาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ เพื่อนผมสามารถพาตัวเองไปหาว่าที่คู่หมั้นได้ ไม่ต้องถามแล้วล่ะครับว่ารู้สึกยังไงต่อกัน
(“โอเค เดี๋ยวเข้าไปรับ”)
“อืม”
ผมกดตัดสายแล้วเร่งมือเก็บของของตัวเองให้เสร็จ มืออีกข้างก็เอาผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกชื้นไปด้วย รถผมน่ะได้แล้วล่ะครับแต่เมื่อเช้าผมติดรถคุณใหญ่ออกมาเพราะไม่อยากขับรถเอง ผมรู้ตัวเองดีว่าผมชอบเหม่อและไม่มีสติมากแค่ไหน การจะให้ขับรถทั้งที่สภาพจิตใจไม่พร้อมมันคงไม่ปลอดภัยนัก ผมเลยเลือกที่จะไม่ขับรถเองดีกว่า เย็นนี้ผมไม่ได้คิดว่าจะกลับกับกริชหรอกครับ แต่เผอิญว่าอีกฝ่ายว่าง
จริงๆ ก็ว่างตลอดแหละ ก็คนรอบข้างเขามีคู่มีคนรักกันหมดแล้ว ทั้งพี่เมเบล ทั้งบรู๊คลิน และกริน ที่เหลืออยู่ก็มีแต่ผมกับกริชนี่แหละ คนที่ดูเหมือนจะเหงาเพราะหาเพื่อนเล่นไม่ได้เลยทักแชทผมมารัวๆ ว่าจะมารับแล้วไปหาอะไรกินกันตามประสาเพื่อนตาย ก็ไม่อยากจะขัดหรอกนะ แต่บางทีผมก็คิดว่ากริชมีเพื่อนน้อยเกินไป ผมหมายถึงเพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป หรือเข้ามาแค่ครั้งคราวอะไรแบบนี้ สงสัยผมจะต้องเตือนกริชเรื่องคบเพื่อนบ้างแล้วล่ะ
หลังจากที่เก็บของเสร็จผมยังคงยืนอยู่ที่เดิมยืนมองล็อกเกอร์เก่าของตัวเองด้วยสายตาเรียบนิ่งพร้อมกับคิดอะไรหลายอย่างในหัวไปด้วย แต่ยิ่งคิดมันก็ยิ่งบั่นถอนจิตใจของผม ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่
“รัชช์”
“ครับ?” ผมขานรับพร้อมหันไปตามเสียงเรียกของพี่นิลที่เดินเข้ามาใกล้
“สีหน้าไม่ดีเลยนะ”
“กังวลนิดหน่อยครับ” ผมยิ้มรับบางๆ อย่างไม่สู้ดีนัก ช่วงนี้ผมรู้สึกเหนื่อยล้ามากเหลือเกิน
“ไม่มีใครรู้ใช่ไหม?” พี่นิลเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลไม่ต่างกัน ตาเรียวคมเหลือบมองไปยังล็อกเกอร์เจ้าปัญหาเล็กน้อยก่อนจะลากผมให้ขยับเดินออกห่างจากกลุ่มรุ่นน้องในทีมที่ยังยืนเปลี่ยนเสื้อผ้าและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ไม่ไกล
“ครับ ไม่ได้บอกใคร” ผมหรี่เสียงของตัวเองให้เบาลงแต่ก็ไม่ได้เบาถึงขนาดที่คนข้างๆ จะไม่ได้ยิน
“แล้วจะเอาไงต่อ? มันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะ สองครั้งแรกเป็นรถ ตอนนี้มันมาถึงตัวแล้วนะรัชช์” คนที่เดินอยู่ข้างกันว่าเสียงติดหงุดหงิด
“เป็นเพราะผมหาเรื่องเองนั่นแหละ” ผมตอบปัดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดมาก ทั้งหมดมันเกิดจากตัวผมเอง ถ้าผมไม่หาเรื่องให้ตัวเองก็คงไม่เจอเรื่องแบบนี้หรอก
“อยากต่อยไอ้ไทม์ฉิบหาย”
“ถ้าผมไม่ทำ ไทม์ก็บังคับผมไม่ได้” ผมไม่ต้องการให้พี่นิลโยนความผิดทั้งหมดไปหาไทม์ แม้เรื่องนี้จะเริ่มที่ไทม์ก็เถอะ แต่คนที่สานมันต่อคือผม และการที่ผมจะได้รับผลของการกระทำก็คงไม่แปลก การจะมีใครสักคนหรือมากกว่านั้นเกลียดผมมันก็เป็นเรื่องธรรมดามากๆ ถ้าไม่มีเรื่องน่ะสิน่าแปลก
“มึงมันใจดีเกินไปรัชช์” กัปตันทีมคนเก่งหันมาถลึงตาดุใส่ผม
“นั่นเป็นข้อดีและข้อเสียของผม” ใครๆ ก็บอกแบบนั้นมาตลอด ซึ่งผมก็คิดว่ามันจริง
“ก็รู้ตัวนี่”
“ครับ” ผมตอบรับด้วยรอยยิ้มบางเบาก่อนจะเงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เหตุการณ์ที่ผมเจอมาตลอดเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ห่างกับมารุตนี้ทำเอาผมนอยด์กับชีวิตไปเลยล่ะครับ
“มึงควรบอกมารุต” มันก็ควรจะเป็นอย่างที่พี่นิลแนะนำ
“ไม่รู้จะบอกไปทำไม” แต่ผมคิดว่าบอกไปก็เท่านั้น มันจะยิ่งพาลให้มารุตรู้สึกไม่ดีด้วยซ้ำ ซึ่งผมคิดว่าไม่พูดออกไปจะดีกว่า
“รัชช์ คนของมันมาทำร้ายมึงนี่มันต้องรับรู้” เป็นอีกครั้งที่คนใจเย็นอย่างพี่นิลเริ่มหัวร้อนไม่ต้องถามหาถึงต้นเหตุหรือสาเหตุเลย ก็ผมนี่แหละที่ทำให้พี่นิลเป็นแบบนี้
“เขาเองก็คงไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ตลอดช่วงเวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์มานี้ผมเจอเรื่องที่หนักหน่วงมาก
หลังจากผ่านเรื่องรถไปก็มาที่ล็อกเกอร์ของผม แรกๆ มีกระดาษขู่ทำร้ายผมสอดไว้ในล็อกเกอร์ มีบอกให้เลิกยุ่งกับมารุตและบอกว่าจะเล่นงานผมถ้ายังไม่เลิกวุ่นวายกับมารุต ผมจำไม่ได้ว่ามันมีกี่ฉบับเพราะไม่ได้ใส่ใจกับคำขู่หลอกเด็กมากนัก แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็ถูกใครบางคนขังไว้ในห้องน้ำของตึกคณะ ดีที่พี่มาวินพี่รหัสที่ไม่ค่อยสนิทกันนักมาช่วยเอาไว้ได้ แต่การกลั่นแกล้งไม่ได้จบอยู่แค่นั้น ผมถูกขังอยู่ในห้องน้ำของตึกเรียนถึงสองครั้งติด และดูเหมือนว่าดวงผมจะสมพงศ์กับพี่รหัสตัวเองเหลือเกิน ครั้งที่สองผมก็ได้รับความช่วยเหลือจากพี่มาวินอีกเช่นเดิม มันมีอีกหนึ่งครั้งในห้องน้ำของโรงยิม รอบนี้ฮีโร่ก็คือพี่นิลครับ
เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้นเมื่อวันนี้ที่ผมมาถึงโรงยิมและกำลังจะไปไขกุญแจล็อกเกอร์เพื่อเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ผมก็พบว่ากุญแจล็อกเกอร์ถูกงัดและประตูตู้ก็เปิดอ้าออก น้ำสีแดงข้นที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวไหลเปรอะเปื้อนเต็มภายในตู้ล็อกเกอร์ของผมไปหมด ข้าวของที่มีอยู่ข้างในก็ถูกรื้อออกมาตกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ชุดบาสของผมขาดวิ่นจนไม่เหลือเค้าเดิม ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรืออะไรที่ผมกับพี่นิลเป็นคนมาถึงโรงยิมก่อนคนอื่นๆ ผมจัดการทำความสะอาดเท่าที่จะทำได้โดยมีพี่นิลคอยช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถใช้ตู้เดิมของตัวเองได้ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าให้เดาถึงเหตุจูงใจก็คงไม่พ้นเรื่องของมารุต เพราะที่พื้นก็มีกระดาษที่บอกว่าให้ผมเลิกยุ่งกับมารุตตกอยู่ เลือดที่ถูกนำมาใช้ก็ดูเหมือนจะเป็นพวกเลือดหมูหรือไม่ก็เลือดไก่นะครับ ผมไม่รู้หรอก แยกมันไม่ได้ รู้แค่ว่ามันเหม็นจนอยากจะอาเจียนเลย
“กูเหนื่อยจะคุยกับมึงแล้วรัชช์ มึงมันดื้อ” พี่นิลว่าออกมาอย่างอ่อนใจ มือหนาเอื้อมมาผลักหัวผมเบาๆ คล้ายกับว่ากำลังหมั่นไส้ผมอยู่
“ขอโทษครับ” ผมทำหน้าเศร้าอย่างคนรู้สึกผิด
“ไปๆ กลับไปได้แล้ว เกะกะลูกตา” แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่อินตามผมเอาเสียเลย
“ใจร้ายจังครับ”
“รัชช์!”
“ครับๆ กลับแล้วครับ” ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอก่อนจะบอกลาแล้วเดินแยกไปอีกทาง
รถยนต์คันหรูที่ผมจำได้ดีว่าเป็นของกริชจอดรออยู่ไม่ไกล ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นและรีบก้าวขึ้นรถอย่างไว กริชหันมาทักทายผมนิดหน่อยแล้วออกรถไป ระหว่างที่รถเคลื่อนผ่านสนามบอลผมก็อดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปข้างในสนาม แม้จะรู้ดีว่ามันมองอะไรไม่เห็นหรอก แต่ผมก็ยังวางสายตาอยู่ที่ตำแหน่งนั้นพร้อมกับคิดไปด้วยว่าตอนนี้มารุตจะซ้อมเสร็จหรือยัง
วันพฤหัสบดี วันที่เจ็ดของการห่างกัน
“อาหารไม่อร่อยหรือคะ?” เสียงร้องทักของคุณป้าแม่บ้านคนสนิทดึงเรียกสติของผมให้กลับมาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“อร่อยครับ แต่ผมเหนื่อยๆ เลยกินไม่ค่อยลง” ผมก้มมองจานข้าวของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ออกมาเมื่อเห็นว่ามันแทบจะไม่พร่องลงเลยทั้งที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้มาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว
“ช่วงนี้คุณรัชช์ทานน้อยมาก ผอมลงจนเห็นกระดูกแล้วค่ะ ถ้าคุณริคมาเห็นจะต้องโดนบ่นแน่ๆ” มือเรียวเล็กที่เริ่มเหี่ยวย่นไปตามวัยยื่นมาแตะที่ข้างแก้มของผมแผ่วเบาอย่างห่วงใย
“เพราะช่วงนี้ซ้อมบาสหนักต่างหากครับ” ผมเลือกที่จะเลี่ยงตอบความจริง ก็ใครมันจะกล้าบอกว่าเครียดเรื่องผู้ชายล่ะครับ เดี๋ยวก็ได้เห็นคนแก่เป็นลมเป็นแล้งกันพอดี
“เสียดายนะคะ ในเมื่อรักบาสขนาดนี้ ไม่น่าถอนตัวจากทีมชาติเลยนะคะ” ใบหน้าใจดียกยิ้มบางเบาส่งมาให้
“นั่นสิครับ” ผมทำได้แค่ตอบรับสั้นๆ พร้อมรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
แม้จะไม่อยากนึกถึงมันแต่สุดท้ายผมก็ห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้ ภาพวันวานที่ครั้งหนึ่งผมเคยได้เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลยังคงติดตา ตำแหน่งตัวจริงของทีมชาติในรุ่นเยาวชนเป็นสิ่งที่ใครๆ หลายคนใฝ่ฝัน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นและผมก็สามารถพาตัวเองไปถึงจุดนั้นได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งสำคัญของการเล่นกีฬาแบบทีมที่ทุกทีมต้องมีก็คงไม่พ้นทีมเวิร์ก ซึ่งผมทำมันไม่ได้ ผมเข้ากับเพื่อนร่วมทีมไม่ได้ พวกเขาไม่ยอมรับผม อาจเป็นเพราะนามสกุลของผม ที่เพียงแค่ได้ยิน หลายๆ คนก็คิดว่าผมใช้เส้นเข้ามา
ระหว่างการแข่งรายการสำคัญ ผมแทบไม่ได้จับบอลเลยเพราะเพื่อนร่วมทีมไม่ส่งบอลให้ และทุกครั้งที่ผมจะได้บอลผมก็ถูกเพื่อนทีมเดียวกันแย่งไปตลอด การเล่นที่ไม่เข้าขากันทำให้ทีมเราแพ้ หลังจากที่จบการแข่งในครั้งนั้นเราต้องเก็บตัวและซ้อมอย่างหนัก ใครจะไปคิดล่ะว่าระหว่างเก็บตัวผมจะโดนกลั่นแกล้งสารพัดจนสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทนไม่ได้และถอยออกมา ไม่มีใครรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมผมถึงได้ตัดสินใจอย่างนั้น แต่เพราะก่อนหน้านั้นผมถูกผลักตกบันไดทำให้ข้อเท้าของผมได้รับบาดเจ็บรุนแรง ทุกคนเลยคิดว่าเพราะอุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้ผมเลือกที่จะถอนตัวออกมา แต่หลังจากที่ผมหายดี ผมก็ไม่กลับไปเล่นบาสอีกเลย จนกระทั่งที่ได้กลับมาเจอกับพี่นิลอีกครั้ง จากคู่แข่งในนัดสำคัญตอนนั้นกลายเป็นคนที่ดึงผมออกมาจากมุมมืดในตอนนี้
“เอ่อ ป้าขอโทษนะคะ” พอเห็นผมเงียบไปนานคุณป้าแม่บ้านก็ละล่ำละลักเอ่ยขอโทษถึงคำพูดที่ไม่ตั้งใจในก่อนหน้านี้ ใครๆ ในบ้านรู้ดีว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะมันไม่ต่างจากบาดแผลที่อยู่ในใจของผม
“ไม่เป็นไรครับ ผมอิ่มแล้ว ขอขึ้นไปพักเลยนะครับ” ผมวางช้อนลงแล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม อย่าพูดว่าอิ่มเลย บอกว่ากินไม่ลงจะดีกว่า ผมไม่อยากกินอะไรแล้ว จิตใจผมตอนนี้ก็ไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ด้วย
“ค่ะ” ถึงอยากจะรั้งผมเอาไว้แต่คุณแม่บ้านก็ทำไม่ได้เลยต้องปล่อยให้ผมเดินขึ้นห้องไป
ขึ้นห้องมาได้ผมก็เอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์ของตัวเอง วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการที่ผมบอกให้ตัวเองและมารุตได้กลับไปทบทวนกับความรู้สึกที่แท้จริง ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อไปดี ไม่ใช่ว่าไร้เดียงสาจนไม่รู้ความรู้สึกของตัวเองหรือเป็นพวกไม่ยอมรับความจริง ผมโตพอที่จะกล้าคิดและกล้ายอมรับมัน แต่ผมกลับไม่กล้าที่จะจัดการเรื่องราวต่อจากนี้ ทั้งที่เป็นคนบอกกับมารุตว่าให้ความรู้สึกเป็นตัวตัดสินเรื่องระหว่างเราแท้ๆ แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้าที่จะทำอะไรสักอย่าง ไม่กล้าที่จะทักหรือโทรไปหา ไม่รู้ว่าควรจะเข้าหาเขายังไง และจะเริ่มตอนไหน ต้องรอให้หมดวันนี้ก่อนหรือเปล่า?
ผมนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาแล้วกดโทรทางไกลออกไปยังเบอร์ของคนที่ผมรักมากที่สุดในโลกใบนี้เพื่อกลบอารมณ์ฟุ้งซ่านในตอนนี้
“ออมม่า” ทันทีที่รู้ว่าคนปลายสายกดรับแล้วผมก็ส่งเสียงเรียกออกไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
(“ไงคนเก่ง”) ออมม่าตอบรับเสียงหวานด้วยภาษาไทยที่ค่อนข้างจะชัดเจน
“คิดถึงครับ” จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พูดภาษาเกาหลีกับครอบครัวคือตอนไหน แต่เพราะอยู่เมืองไทยกันมาตลอดภาษาที่ใช้ในครอบครัวเป็นหลักจึงเป็นภาษาไทย แต่ถึงอย่างนั้นครอบครัวเราก็พูดได้หลากหลายภาษานะครับ ไทย เกาหลี จีน และอังกฤษ เพราะเคยไปเรียนอยู่ที่จีนกัน แล้วก็เที่ยวต่างประเทศกันบ่อย จำได้ว่าตอนเด็กๆ นี่งงเรื่องภาษามาก ใช้ปนกันมัวไปหมด แต่ก็ยังคุยกันรู้เรื่องได้ เป็นเรื่องที่น่าประทับใจจริงๆ เลยล่ะครับ
(“คิดถึงเหมือนกันครับ”) ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยิ้มจนแก้มแทบปริ เสียงออมม่านี่ฟังสบายหูมากๆ เลยครับ
“อาปาล่ะครับ?” ผมถามหาผู้ให้กำเนิดอีกคนที่ไม่ยอมติดต่อกลับมาหาลูกชายบ้างเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกว่าจะรีบกลับมาแท้ๆ แต่พอเอาเข้าจริงก็หายไปเกือบสองเดือนแล้ว แถมล่าสุดยังมาให้คุณใหญ่ไปทำงานแทนตัวเองอีก ชอบทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวตลอดเลย
(“นั่งดูซีรี่ส์อยู่ครับ”) โอ้โห สบายสุดๆ ไปเลยครับอาปา
“ฝากบอกอาปาว่าคิดถึงนะครับ”
(“ครับ มีแค่นี้เหรอครับ?”)
“...ครับ...” ผมเงียบไป ลังเลอยู่นานก่อนจะตอบกลับไม่เต็มเสียงนัก
(“คุณเล็ก ถ้าอะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะครับ การทำเพื่อตัวเองมันไม่ใช่การเห็นแก่ตัวหรือเอาแต่ใจนะครับ อย่าเอาแต่คิดถึงคนอื่นมากไปจนมันทำร้ายตัวเอง อย่าให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยอีกเลยนะครับ”)
“ออมม่า...ครับ...เข้าใจแล้วครับ” ผมอึ้งไปพักหนึ่งเพราะไม่คิดว่าออมม่าจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ไม่คิดเลยว่าออมม่าจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับผมบ้างในตอนนี้
(“ถ้าอย่างนั้นก็ฝันดีนะคนเก่งของออมม่า”)
“ฝันดีครับออมม่า” ผมยิ้มรับบางๆ กับเสียงหวานของผู้หญิงที่ผมรักมากก่อนจะเลื่อนโทรศัพท์ลงแล้ววางไว้ที่เดิม
ผมทิ้งตัวลงนอนอยู่บนเตียงอย่างไร้อารมณ์ คำบอกเล่าของออมม่ายังคงวนเวียนอยู่ในหัว พร้อมกับเรื่องของมารุตที่วิ่งเข้ามาปะปนจนผมเริ่มจะปวดหัว สายตาโฟกัสอยู่บนเพดานสีสว่างเบื้องบน ส่วนมือก็กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมนอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากคิดและคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมารุต
00.00 นาฬิกา วันศุกร์
Rrrrr
ผมสะดุ้งตื่นจากห้วงของนิทราเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ผมวางเอาไว้ไม่ไกลจากตัว ไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ไม่มีเวลามาคิดมากนัก ผมรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู แค่เพียงชั่วครู่เดียวหัวใจของผมก็เต้นถี่รัวเร็ว เพียงแค่ได้เห็นว่าใครโทรมา หัวใจของผมก็ทำงานอย่างหนักทันที
“ฮัลโหล” ผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหนในตอนที่เห็นเบอร์ของใครบางคนที่ทำผมคิดมากมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา
(“นึกว่าจะไม่รับสายซะแล้ว”) เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวดังขึ้นมาตามสาย คำทักกวนๆ ยังคงเป็นเรื่องปกติที่เขาชอบทำ
“ดึกแล้วนะ” ผมเหลือบตามองนาฬิกาที่อยู่บนฝาผนังห้อง เที่ยงคืนแล้วล่ะ
(“แค่อยากได้ยินเสียง”) เขาว่าออกมาอย่างนั้นแล้วก็เงียบไป
“ได้ยินแล้วนี่” ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว ก็ไม่คิดว่าเขาจะปล่อยหมัดฮุคขนาดนี้
(“อยากเจอ”) น้ำเสียงทุ้มต่ำที่มักจะแข็งกร้าวอยู่เสมอเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่เราได้กลับมาพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์ในครั้งนี้
“พรุ่งนี้” เดี๋ยวก็เช้าแล้ว แค่หลับตาแล้วตื่น เราก็จะได้เจอกัน
(“อยากเจอตอนนี้”) อีกฝ่ายว่าอย่างเอาแต่ใจ
“เที่ยงคืนแล้ว” ผมย้ำถึงเวลาในตอนนี้ มันดึกเกินกว่าที่เราจะออกไปเจอกันที่ไหนสักแห่ง
(“เปิดประตูให้หน่อย”)
“อะไรนะ?” ผมลุกพรวดขึ้นจากเตียงนอนอย่างตกใจ
หมายความว่าไง?
ให้ผมเปิดประตูห้องนอนของตัวเองเหรอ?
(“เปิดประตู”) น้ำเสียงของคนปลายสายมันจริงจังเกินกว่าที่ผมจะคิดว่าเขาล้อเล่นได้ แต่บางทีเขาอาจจะล้อผมเล่นอยู่ก็ได้ หันไปมองทางประตูห้องอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปเปิดดูให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
แกร๊ก!
แอ๊ด~
“ไง”
“มาได้ยังไง?” ผมยืนนิ่งด้วยความตกใจที่เห็นร่างสูงที่คุ้นตาดียืนเก๊กหล่อถือโทรศัพท์เครื่องหรูแนบหูอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนของผม ใบหน้าคมคายดูอิดโรยเล็กน้อยใต้ตาก็ขึ้นสีคล้ำอย่างคนพักผ่อนไม่เพียงพอ ดวงตากลมโตสวยมีประกายระยิบระยับดีใจซ่อนอยู่ ถึงจะยังทำหน้าตายียวนกวนประสาทใส่ผมก็เถอะ
“นอนด้วย” ไม่ว่าเปล่า ร่างสูงยังเดินหน้าตายเข้ามาในห้องนอนของผมอย่างถือวิสาสะ
“เดี๋ยว” ผมพยายามดึงรั้งแขนแกร่งเอาไว้แต่มันก็ไม่เป็นผล อาจเป็นเพราะช่วงนี้ผมกินข้าวน้อยด้วยล่ะมั้งผมถึงได้ไม่มีแรงมาต่อกรกับอีกฝ่ายได้ นอกจากจะรั้งให้มารุตหยุดไม่ได้แล้วผมยังถูกเขาลากให้เดินตามไปที่เตียงอีกด้วย
“ค่อยคุยพรุ่งนี้นะ ง่วงแล้ว” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของผมหน้าตาเฉย
“มารุต” ผมยืนอ้าปากค้างด้วยความมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
“...” แต่เรียกแล้วอีกฝ่ายก็ไม่หือไม่อือ ไม่มีการขานตอบใดๆ กลับมาทั้งสิ้น
“มารุต” ผมเดินเข้าไปดึงแขนคนที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์บนเตียงเป็นการเรียก
“ฟรี้~” แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงเสียงร้องฟรี้ๆ ที่ฟังยังไงก็รู้ว่าแกล้งทำ เขาไม่ได้หลับจริงๆ สักหน่อย!
“เด็กบ้า!” อดจะยกมือขึ้นฟาดไปที่แผ่นหลังกว้างด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้
หันมองซ้ายมองขวาอย่างคิดหนัก แต่ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบผมก็ไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาได้เลยต้องปัดเรื่องทั้งหมดทิ้งแล้วล้มตัวลงนอนยังอีกฝั่งของเตียงแทน ทันทีที่ล้มตัวลงนอนได้แขนยาวๆ ของผู้บุกรุกก็ยื่นมาเกี่ยวเข้าที่เอวของผมอย่างรวดเร็ว อยากจะหันกลับไปด่าแรงๆ สักทีแต่เพราะแรงที่กอดรัดมันแน่นจนขยับไปไหนไม่ได้ผมเลยทำได้แค่นอนนิ่งๆ แล้วหลับตาลง ปล่อยให้ใครอีกคนซุกหน้าอยู่ที่ต้นคอของผมไปอย่างนั้นตลอดทั้งคืน
08.36 นาฬิกา
“ตื่นได้แล้ว จะขี้เซาไปถึงไหน?”
“อือ~”
“รัชช์ สายแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำที่ติดแหบนิดหน่อยจากการเพิ่งตื่นนอนดังขึ้นอยู่ไม่ไกลจากใบหูของผมเท่าไหร่นัก มันใกล้มากจนผมคิดว่าอีกฝ่ายกำลังกระซิบอยู่ที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดที่ข้างแก้มยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความใกล้ชิดนี้
“อือ มากอดทำไม?” ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้า สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าคมของผู้บุกรุกยามวิกาลเมื่อคืนนี้ลอยเด่นอยู่ในระยะประชิด ผมผงะถอยหนีด้วยความตกใจ แต่ก็ต้องชะงักเพราะแขนยาวๆ ที่รัดอยู่รอบเอวของผม
“มือมันไปเอง” อีกฝ่ายว่าออกมาอย่างนั้นด้วยใบหน้าซื่อๆ ที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ
“ปล่อย” ผมยกมือขึ้นดันหน้าอกกว้างให้ขยับออกห่างเพราะรู้สึกถึงความไม่เหมาะสมในตอนนี้
“กินข้าวบ้างหรือเปล่า? ทำไมเอวเล็กเหลือแค่นี้?” ไม่พูดเปล่าฝ่ามืออุ่นยังเลื่อนมาลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบาที่ช่วงเอวของผมอีกด้วย
มันจะคุกคามกันเกินไปแล้ว!
“ก็ซ้อมบาสทุกวัน” ผมปัดมือใหญ่ออกแรงๆ พร้อมตวัดมองหน้าอีกฝ่ายตาดุ
“แค่งานมหา’ลัย จริงจังเหมือนแข่งทีมชาติ”
“ไม่ชอบทำอะไรเล่นๆ” ผมพยายามงัดตัวเองให้หลุดออกจากวงแขนแข็งแรงของคนตรงหน้า แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน
“ซ้อมหนักหรือไม่ยอมกินข้าว?” เขาตอบกลับมาราวกับว่ารู้ดีถึงสิ่งที่ผมเป็น
“กิน แต่บางทีก็กินไม่ลง” เวลาเครียดมันก็กินอะไรไม่ลงทั้งนั้นแหละครับ
“คิดถึงกูเหรอ?” คิ้วหนาเลิกขึ้นพร้อมรอยยิ้มกวนๆ บนใบหน้าหล่อที่แม้จะเป็นช่วงเวลาเพิ่งตื่นนอนแต่เขาก็ยังคงดูดีไม่ต่างจากปกติ
“ฝันอยู่?” ผมชกไหล่หนาไปหนึ่งทีเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้
“กูก็เป็นเหมือนมึง กินอะไรไม่ลง คิดถึงมึงว่ะ”
“!!!” ผมชะงักตาโตด้วยความตกใจที่อยู่ดีๆ มารุตก็พูดขึ้นมา
“มึงคิดว่าช่วงเวลาแค่เดือนกว่าๆ จะทำให้เราสามารถชอบคนๆ หนึ่งได้มากขนาดไหนกันวะ?” เขาหันมาสบตากับผมตรงๆ ท่าทางจริงจังที่ต่างจากก่อนหน้านี้ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก ปรับอารมณ์ตามไม่ทันเลย
“แน่ใจแล้วเหรอ?” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้มารุตมั่นใจในความรู้สึกและคำตอบอีกครั้ง
“ถึงกูจะยังรักไอริสอยู่และยอมรับว่ายังลืมไม่ได้เพราะแผลมันยังใหม่ แต่กับมึง กูว่ากูชอบมึงแล้วว่ะ”
“…”
“กูรู้แหละว่าตัวเองแม่งก็ไม่ใช่คนดี แต่กูก็อยากทำให้เรื่องระหว่างเรามันดีกว่าที่เป็น”
“พูดมาเลย” ในเมื่อมันมาถึงขนาดนี้แล้ว วันนี้แหละที่จะตัดสินว่าเรื่องระหว่างผมกับมารุตจะเดินไปในทางไหน
“เรามาลองคุยกันไหม? แบบศึกษาดูใจกันอะไรแบบนี้” ตากลมโตที่เคยสบตากับผมอย่างตรงไปตรงมาก่อนหน้านี้เบนออกไปทางอื่นแวบหนึ่งพร้อมกับใบหูที่เริ่มขึ้นสีแดงเข้มเรื่อยๆ
“…” ผมมองการกระทำนั้นอย่างแปลกใจพลางคิดไปด้วยว่า
เขากำลังเขินอยู่เหรอ?
“อย่ามาเงียบใส่นะ!” พอเห็นผมเงียบไปพักใหญ่เขาก็ร้องโวยออกมาเสียงดังจนผมเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจ
“โทษที แค่สงสัยว่าคนอย่างนายพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ?” จู่ๆ ก็ดูมีสาระขึ้นมา ผมเลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่
“แค่ตอบตกลงหรือไม่ตกลงมันยากมากเหรอ? กวนตีนเก่งจังวะ” แปบๆ ก็ทำหน้าหงุดหงิดใส่ผมอีกแล้ว
อะไรของเขากัน? เป็นคนอารมณ์เหวี่ยงขึ้นลงตลอดเวลาจริงๆ เลย
“ไม่ถามความรู้สึกเราก่อนเหรอ?” อดไม่ได้ที่จะย้อนถามกลับ ตั้งแต่ที่พูดมานี่เขายังไม่ถามความรู้สึกของผมสักคำเลย มีแต่พูดๆ อยู่คนเดียว แถมพอไม่พอใจก็เหวี่ยงใส่ผมอีก เป็นเด็กที่เอาแต่ใจมากๆ เลยนะครับ
“ถามทำไม? กูรู้ว่ามึงก็รู้สึกไม่ต่างจากกู” เขาว่าอย่างมั่นใจ
“ใครบอกเหรอ?” มั่นหน้าไม่มีใครเกินเลย
“ถ้ามึงไม่รู้สึกอะไรมึงไล่กูกลับตั้งแต่เมื่อคืนแล้วรัชช์”
“…” ผมนิ่งไปเพราะเถียงอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ไม่คิดว่าคนอย่างมารุตจะจับจุดผมได้ บ้าจริงๆ เลย ผมน่ะคงประมาทมารุตมากเกินไปจนเผลอปล่อยให้อีกฝ่ายจับทางถูก
“ยอมรับมาเถอะว่ามึงก็ชอบกู” พอผมจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อหลบเลี่ยงการสบตากันก็ถูกมารุตจับให้หันหน้ามามองกันอีกครั้ง และดูท่าครั้งนี้เขาคงจะไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ แล้วล่ะ
“ก็แค่รู้สึกดี” ในตอนนี้ผมคงให้เขาได้แค่นี้ ถ้ามากกว่านี้แล้วทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่หวัง ผมคงต้องมานั่งเสียใจอีก ตราบใดที่ความรู้สึกของมารุตยังไม่เทมาที่ผมคนเดียว ผมก็คงยังเททั้งใจให้เขาไม่ได้เช่นกัน ถึงรู้ดีว่าคนเราห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ แต่ผมก็ต้องคอยเซฟความรู้สึกของตัวเองด้วย เพราะถ้าถึงเวลาที่จะต้องมีคนเจ็บจริงๆ ก็คงไม่พ้นตัวผมเอง
“ปากมึงนี่จะแข็งไปไหนวะ?” คนเถื่อนสบถอย่างหัวเสียพร้อมทำท่าจะจู่โจมเข้ามาจูบผม
“อย่า!” แต่ผมก็ร้องห้ามเอาไว้เสียงดังแล้วหันหน้าหลบเลยกลายเป็นว่าทั้งปากได้รูปและจมูกโด่งๆ ของมารุตเลยพุ่งชนกับแก้มของผมเต็มๆ แทน
“หึ! ลุก กูเมื่อยแขน” เขากดปากกับจมูกของตัวเองแช่ทิ้งไว้พักหนึ่งก่อนจะถอยออกไปแล้วดันไหล่ผมเบาๆ ให้ลุกออกจากแขนของเขา ผมที่เพิ่งรู้สึกตัวว่านอนทับแขนของอีกฝ่ายมาตลอดรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นมาด้วยความตกใจหันมองคนที่ยกมือนวดแขนตัวเองไปมาอย่างเหลอหลา
“มึงพลิกมานอนทับแขนกูเองนะ” เขาว่าเมื่อเห็นผมยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“โทษที คงชินน่ะ” ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทายตัวเองอย่างเก้อเขินพร้อมยิ้มแห้งๆ กลบเกลื่อน
“ชิน?” ตากลมโตตวัดมามองผมทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“เมื่อก่อนนอนกับพี่ชายแล้วติดนิสัยชอบนอนหนุนแขนพี่” เพราะเป็นน้องเล็กของบ้านผมเลยชอบอ้อนพี่ๆ อยู่เสมอ ยิ่งกับคุณกลางที่อายุห่างกันแค่ปีกว่าๆ ผมยิ่งอ้อนหนัก เพราะความที่เราสนิทกันทั้งแบบพี่น้องและเพื่อนทำให้ไม่ว่าจะทำอะไรหรือพูดคุยอะไรมันก็เข้าใจกันหมด ส่วนกับคุณใหญ่ ผมก็อ้อนนะ แต่ต้องอ้อนเวลาอยู่บ้านหรือในที่ที่เป็นส่วนตัว ออกไปอ้อนที่อื่นแล้วคนชอบมองแปลกๆ ขนาดกริชยังบอกว่าเหมือนเสี่ยกับเด็กเสี่ยเลย
ตั้งแต่เด็กแล้วที่ผมมักจะหมุนเวียนไปนอนห้องคุณใหญ่บ้างห้องคุณกลางบ้าง สลับไปมาจนแทบไม่ได้นอนห้องตัวเองเลย พอถูกนอนกอดผมก็ชอบขยับไปนอนหนุนแขนอีกฝ่ายเพื่อที่จะได้รับไออุ่นจากคนที่กอดให้ได้มากที่สุด คุณใหญ่กับคุณกลางก็ชอบให้ผมนอนหนุนแขนด้วย ผมเลยชิน เวลาถูกใครสักคนนอนกอดจึงชอบพลิกไปนอนหนุนแขนเขา
“อย่าไปทำนิสัยแบบนี้ใส่คนอื่นอีกนะ เดี๋ยวเขาหาว่าอ่อย”
“ประสาท” ตวัดตามองคนพูดอย่างเคืองๆ ที่อยู่ๆ ก็มากล่าวหาว่าผมอ่อยเขา ตอนหลับมันไม่รู้สึกตัว แค่เผลอตัวไปนิดเองไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ทีเขามากอดผมไว้ทั้งคืนยังกล้าแถว่ามือมันไปเองได้เลย
ถ้าอย่างผมเรียกอ่อย เขาก็คุกคามทางเพศแล้ว!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รรอออออคะ
เเต่ก็ยังไม่เเน่ใจใครุกใครรับเนี่ย55555