ตอนที่ 17 : จีบคนเถื่อน : 16
Marut Part :
01.23 นาฬิกา
ผมนอนไม่หลับ หลังจากที่กลับมาถึงห้องและทำแผลเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินเข้ามาในห้องนอน ส่วนรัชช์ยังนั่งอยู่ตรงโซฟากลางห้องนั่งเล่น ผมนั่งเล่นนอนเล่นรออยู่นานอีกคนก็ไม่ยอมเข้ามาในห้องสักที สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ต้องเดินออกไปดูแขกผู้มีเกียรติ มัวทำอะไรอยู่ดึกดื่นขนาดนี้แล้วไม่เข้ามานอนสักที พอออกไปดูก็เจอเข้ากับร่างโปร่งบางของหนุ่มลูกครึ่งไทย – เกาหลีนอนหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟาตัวยาว ผมถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นมาเพื่อที่จะให้เข้าไปนอนบนเตียงดีๆ ผมอดจะแปลกใจไม่ได้ที่คนตรงหน้าผมตัวเบากว่าที่คิดไว้ ถึงจะสูงถึง 180 เซนฯ แต่เท่าที่จำได้เหมือนรัชช์จะหนักไม่ถึง 60 กิโลฯ เลยด้วยซ้ำ ที่บ้านเลี้ยงยังไงถึงได้ตัวเล็กแบบนี้วะ?
ผมวางคนที่ตัวเล็กกว่าลงบนเตียงอย่างเบามือ กลัวจะไปทำให้เขาตื่น ไม่รู้ว่าถ้าถูกรบกวนตอนนอนจะเป็นคนดุร้ายหรือเปล่า? ผมเลยต้องระวังเป็นอย่างมาก พอจัดแจงให้รัชช์ได้นอนบนเตียงสบายๆ แล้วผมก็เดินอ้อมมาอีกฝั่งของเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนบ้าง หันมองคนข้างตัวอย่างพิจารณาเล็กน้อย รัชช์เป็นคนที่ดูดีมากจริงๆ ยิ่งมองจากมุมด้านข้าง ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาเขาก็ดูดีมาก เป็นผู้ชายที่หล่อจนผู้ชายด้วยกันยังอิจฉา แต่ยกเว้นผม เพราะผมหล่อกว่า หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ให้กับความคิดของตัวเองแล้วเอี้ยวตัวไปปิดไฟหัวเตียงเมื่อนึกได้ว่าพรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้าและตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว
“เฮือก!” ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องของคนข้างตัว
“ฝันร้ายเหรอ?” หันไปเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วรีบลุกขึ้นไปดูคนที่นั่งหน้าซีดเหงื่อซึมด้วยความตกใจ
“ปะ เปล่า” รัชช์ส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็นิ่งเงียบไป
“หน้าซีด ตัวร้อน ไม่สบาย?” ผมยื่นมือไปเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าขาวเนียนออกก่อนชะงักเมื่อรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิในร่างกายของอีกฝ่ายมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
“ปวดหัวนิดหน่อย” เขายกมือขึ้นนวดที่ขมับตัวเองเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“นอนต่อเถอะ นี่ยังตีสามกว่าอยู่เลย” ผมพูดพร้อมขยับผ้าห่มที่ล่นไปอยู่ตรงปลายเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ขึ้นมาคลุมให้คนป่วยอีกครั้งจนมิดถึงต้นคอ อาการแบบนี้พรุ่งนี้ไปเรียนไม่ได้แน่ๆ
“อืม” รัชช์ขานรับตอบกลับมาแผ่วเบาแล้วปิดเปลือกตาลงอย่างว่าง่าย
ผมขยับไปปรับอุณหภูมิของแอร์ให้เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย นั่งเฝ้าอีกฝ่ายจนแน่ใจว่าเขาหลับสนิทแล้วก็ลุกไปที่ห้องน้ำ หากะละมังใบเล็กๆ กับผ้าขนหนูผืนเล็กมาเพื่อที่จะทำการเช็ดตัวให้กับคนป่วย นั่งเช็ดตัวให้ไปหนึ่งรอบถ้วนแล้วผมก็มานอนบ้าง แต่นอนไปได้ไม่เท่าไหร่คนข้างตัวก็เริ่มส่งเสียงละเมอ เหมือนเขาจะไม่สบายตัวก็เลยเผลอละเมอออกมา ครั้งนี้ผมต้องนั่งเช็ดตัวให้รัชช์อยู่นานแต่ก็ดูเหมือนว่าไข้จะไม่ลดลงเลย รัชช์ไม่สบายแต่ในห้องผมกลับไม่มียาลดไข้หรือแผ่นเจลลดไข้อะไรเลย ผมเหลือบมองเวลาบนฝาผนังเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเดินไปหยิบโทรศัพท์ กระเป๋าเงินและคีย์การ์ดลงไปที่ร้านสะดวกซื้อข้างล่างคอนโด ถ้าไม่มีก็ต้องไปซื้อนั่นแหละ
08.23 นาฬิกา
คืนนั้นทั้งคืนกว่าผมจะได้นอนก็เกือบฟ้าสาง ขนาดปลุกมากินยาแถมแปะเจลลดไข้ให้ก็แล้วแต่ไข้ก็ยังไม่ลดสักที ถ้าพรุ่งนี้ไม่ดีขึ้นผมคงต้องแบกเขาไปหาหมอ ผมหลับไปเพราะความเพลีย และรู้สึกตัวตื่นมาเพราะแสงสว่างจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาแยงตาให้ผมต้องตื่น พลิกตัวหันมองคนข้างๆ ก็เห็นว่ายังหลับสนิทอยู่เลยยื่นมือไปแตะที่หน้าผาก ดูเหมือนว่าไข้จะลดลงนิดหน่อยแล้ว ผมลุกไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้รัชช์พร้อมสังเกตแผลบนใบหน้าหล่อไปด้วย รอยแผลที่รัชช์ได้มามันไม่เยอะเท่าของผมแต่มันกลับเด่นชัดกว่ามาก อาจเป็นเพราะเขาขาวมากแผลมันเลยชัด ขนาดรอยเก่าที่โดนผมต่อยยังมีอยู่ให้เห็นเลย อดจะยื่นนิ้วไปจิ้มๆ ที่แก้มนุ่มนิ่มนั่นไม่ได้ เพิ่งรู้ว่าอดีตเดือนมหา’ลัยเมื่อสองปีก่อนที่คนคลั่งไคล้ว่าหล่อนักหล่อหนาจริงๆ นี่นุ่มนิ่มเป็นมาร์ชเมลโล่เลยนะครับ หลังจากที่เช็ดตัวให้คนป่วยเสร็จผมก็ไปอาบน้ำเพื่อที่จะได้ออกไปซื้อข้าวมาให้รัชช์กิน แต่คิดไปคิดมาโทรสั่งจากร้านใต้คอนโดน่าจะง่ายกว่า รัชช์จะได้รีบกินข้าวแล้วก็รีบกินยาด้วย
“รัชช์”
“...”
“รัชช์ ตื่นมากินข้าวกินยาก่อน” ผมเขย่าแขนเรียวเบาๆ เพื่อปลุกให้คนที่หลับสนิทอยู่ตื่นขึ้นมา
“อะ อืม” เสียงทุ้มหวานขานรับเบาๆ ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อยๆ ลืมขึ้นมามองผมอย่างงัวเงีย
“ปวดหัวมากไหม?” เห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นกุมขมับแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ปกติเห็นแต่มุมกวนๆ พอมาเจอตอนป่วยนี่ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกเลย
“อือ”
“ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าว” เอ่ยบอกคนที่ยังตื่นไม่เต็มตาดีนัก
“อื้อ”
“ช่วยไหม?” ผมทำท่าจะเข้าไปช่วยประคองคนป่วยที่ดูโงนเงนจะล้มอยู่ตลอดเวลา
“ไม่เป็นไร” แต่รัชช์ก็ยกมือขึ้นห้ามแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปที่ห้องน้ำ ผมยืนมองจนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วผมก็เลยเดินออกจากห้องนอนไปเพื่อไปรอรับอาหารที่โทรสั่งเมื่อสักครู่นี้ รอไม่นานก็มีเสียงกดออดที่หน้าห้อง พอเปิดดูก็เจอกับพนักงานที่เอาอาหารขึ้นมาเสิร์ฟ ผมจ่ายเงินแล้วรับอาหารเข้ามาจัดเตรียมให้กับคนป่วย กะว่าเดี๋ยวจะยกเข้าไปให้เขากินในห้องนอนจะได้ไม่ต้องเดินออกมา สภาพเหมือนซอมบี้เดินได้แบบนั้นก็กลัวว่าจะล้มเสียเหลือเกิน
“มารุต” เสียงทุ้มหวานที่ติดจะแหบแห้งสักเล็กน้อยดังขึ้นจากทางหน้าประตูของห้องครัว
“ลุกมาทำไม? ดีขึ้นแล้วเหรอ?” หันไปมองคนตัวขาวที่ยืนหน้าซีดพิงขอบประตูอยู่ อวดเก่งจริง
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก” เขายกยิ้มบางที่ดูไม่ได้แตกต่างจากการทำหน้านิ่งๆ แล้วเดินไปยังโต๊ะกินข้าว
“แล้วไข้ลดหรือยัง?” ผมยกถ้วยข้าวต้มเดินตามหลังคนป่วยออกไป จัดน้ำจัดยาวางไว้ให้เสร็จสรรพ
“นิดหน่อย”
“รีบกินแล้วจะได้นอนพัก”
“อืม” รัชช์นั่งกินข้าวอย่างว่าง่าย แต่กินไปได้ไม่กี่คำก็วางช้อนแล้ว ผมชะโงกหน้าไปมองข้าวต้มในชามแล้วก็หลุดถอนหายใจออกมา
“ฝืนใจกินอีกหน่อยสิ” ปกติก็กินน้อยอยู่แล้ว พอไม่สบายยิ่งกินน้อยเข้าไปใหญ่ แบบนี้คงหายหรอก
“กินไม่ลง”
“รัชช์ อีกห้าคำก็ยังดี” ก็เข้าใจนะว่าเวลาไม่สบายมันไม่อยากกินอะไรหรอก แต่มันก็ต้องฝืนหน่อย ถ้าไม่กินข้าวแล้วจะเอาแรงมาจากไหน
“ไม่อยากกินแล้ว” ดื้อว่ะ
“เดี๋ยวกูป้อน กินหน่อย เดี๋ยวไม่หายนะ” จริงๆ ก็ห่วงแหละ เห็นหน้าซีดๆ ซึมๆ แบบนี้แล้วรู้สึกไม่ชินเลย
“ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย” ถึงจะป่วยอยู่แต่เรื่องเถียงนี้ก็ไม่เปลี่ยนเลย เถียงเก่งที่หนึ่งเลยคนนี้น่ะ
“รัชช์ แค่ห้าคำแล้วกูจะไม่เซ้าซี้อีก” ผมเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้าตัวเองแล้วตักข้าวขึ้นมาขนาดพอดีคำเป่าเบาๆ ให้มันหายร้อนก่อนจะยื่นไปจ่อที่ปากคนป่วย
“อืม” รัชช์มองช้อนตรงหน้าสลับกับมองหน้าผมอยู่พักหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจคิดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็ยอมอ้าปากรับข้าวต้มที่ผมป้อนให้
Rrrrr
เพิ่งป้อนข้าวคนป่วยไปได้แค่สองคำเสียงโทรศัพท์ที่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ของผมแน่นอนก็ดังขึ้นลั่นห้อง รัชช์หันไปมองตามเสียงนั้น เขาทำท่าจะลุกขึ้นไปแต่ผมก็รั้งแขนเรียวเอาไว้ก่อนแล้วเป็นคนลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ที่แผดเสียงร้องอยู่มาให้เจ้าของเอง แอบมองชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอนิดหน่อยก็อดสงสัยไม่ได้
ใครคือเชน?
“ฮัลโหล” ผมส่งโทรศัพท์ให้กับรัชช์ เขารีบรับมันไปพร้อมกดรับสายทันทีโดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าใครเป็นคนโทรเช้ามา
“ไม่สบายนิดหน่อย ฝากลาอาจารย์ทีนะ อื้อ ครับ เข้าใจแล้ว” ผมได้ยินเสียงคนปลายสายดังรอดออกมาจากโทรศัพท์ จับใจความไม่ได้หรอกว่าอีกฝ่ายพูดอะไรบ้าง รู้แค่ว่าปลายสายเป็นผู้ชายแน่นอน แค่ดูชื่อก็เดาได้อยู่แหละว่าผู้ชาย คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนนะ ผมก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับรัชช์มากนัก เรื่องครอบครัวก็เพิ่งรู้เมื่อวานว่าเขามีพี่ชายตั้งสองคนแหนะ แต่เรื่องเพื่อนนี่ไม่รู้เลย
พอรัชช์วางสายไปแล้วผมก็หันกลับไปป้อนข้าวให้เขาต่อ คนป่วยก็ยอมกินอย่างว่าง่ายถึงจะมีแอบเบ้หน้าเบะปากใส่ผมหรือข้าวต้มก็ไม่รู้บ้างแต่ก็กินจนครบห้าคำตามที่ผมบอก กินข้าวเสร็จผมก็ส่งยาให้เขากินตามเข้าไป
“พักที่นี่ก่อน ถ้าหายแล้วเดี๋ยวกูไปส่งที่บ้าน”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้ที่บ้านมารับ ไม่อยากรบกวน” เขาว่าด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“รังเกียจกูเหรอ?” ผมเลิกคิ้วถาม ทำไมต้องอยากจะรีบกลับบ้านทั้งที่สภาพไม่สู้ดีแบบนี้ด้วย ถ้าอยู่กับผมนานๆ แล้วจะตายหรือไงวะ?
“ก็บอกแล้วว่าไม่อยากรบกวน วันนี้นายก็มีเรียนนี่” พอได้ยินผมถามแบบนั้น รัชช์ก็ชะงักไปนิดก่อนจะถอนหายใจออกมาเหมือนเขาเองก็หงุดหงิดที่ต้องมาพูดกับผม
“กูเป็นต้นเหตุที่ทำให้มึงเป็นอย่างนี้ พักให้ดีขึ้นแล้วกูจะไปส่งมึงเอง” ผมพูดแค่นั้นแล้วยกชามข้าวเข้าไปเก็บในห้องครัวเพื่อเป็นการตัดบท
จะว่าผมพาลก็ได้ แต่ผมก็เห็นเขาดีกับคนอื่นตลอด แต่พอเป็นผมเขากลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ยิ่งตอนนี้เหมือนรัชช์พยายามตีตัวออกห่างจากผม ก็รู้แหละว่าเพราะอะไร แต่ผมก็ต้องการรัชช์จริงๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมแต่หลังจากที่ถูกไอริสตัดขาด คนแรกที่ผมนึกถึงก็คือรัชช์ ทุกครั้งที่ผมอยู่กับรัชช์ ผมเป็นตัวของตัวเองมากกว่าที่คิด และที่ผ่านมารัชช์ก็ดีกับผมมากจริงๆ อย่างเมื่อคืน เขาจะปล่อยให้ผมโดนกระทืบตายไปเลยก็ได้เพราะผมก็ทำกับเขาไว้ไม่น้อย แต่รัชช์ก็ไม่ทำอย่างนั้น เขาวิ่งเข้ามาช่วยผมจนตัวเองเจ็บตัวไปด้วย แถมยังตามมาดูแลทำแผลให้อีก รัชช์เป็นคนดีอย่างที่ใครๆ พูดกันจริงๆ นั่นแหละ
บางทีผมอาจจะชินกับการที่มีรัชช์เข้ามาวุ่นวายในชีวิตแล้วก็ได้ ผมถึงได้พูดอะไรที่เห็นแก่ตัวแบบนั้นออกไป
แกร๊ก!
“ทำไมไม่นอน” ผมเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วก็ต้องแปลกใจที่ห้องคนป่วยยังคงนั่งอยู่บนเตียงไม่ได้นอนอย่างที่ผมคิดไว้ในตอนแรก
“เพิ่งตื่น จะให้นอนทั้งวันเลยเหรอ?” ดวงตาคู่สวยละจากท้องฟ้าด้านนอกมาสบตากับผมนิ่ง
“กูเพิ่งรู้ว่ามึงก็ต่อยตีกับคนอื่นเป็น” อดจะแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ เห็นท่าทางนิ่งๆ ก็นึกว่าจะลูกคุณหนูจ๋า ที่ไหนได้ทั้งมือทั้งตีนนี่มาหมด
“ผู้ชายที่ไหนก็ทำได้” เขาตอบกลับสบายๆ เหมือนมันเป็นเรื่องปกติ
“แต่ท่าทางมึงดูเชี่ยวชาญ ดูชำนาญ” เออ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นผมก็ว่ามันปกติแหละ แต่กับเขานี่ผมว่ามันไม่ปกติไง ตั้งแต่ที่ผมโดนเขาต่อยกลับแล้ว ตอนนั้นก็คิดแล้วแหละว่าทำไมหมัดมันหนักจังวะ แถมคนต่อยแม่งยังดูสบายๆ เหมือนเคยทำอะไรแบบนี้จนชินแล้ว ไม่ได้ตกใจ ไม่ได้หวาดกลัว
“ไม่เท่าไหร่หรอก” ตอบปัดเหมือนไม่อยากพูดแบบนี้แสดงว่ามีความลับอะไรแน่ๆ
“ขอบใจที่ย้อนกลับมาช่วยกู” ถ้าเขาไม่ย้อนกลับมาผมก็คงได้ไปนอนโรงพยาบาลแล้ว รอบแรกมันวิ่งเข้ามากันหกคน รอบหลังมาอีกเกือบสิบ เออ กูน่าจะตายตั้งแต่ไอ้หกคนแรกแล้วแหละ ทั้งไม้ทั้งมีด ไอ้ฉิบหาย!
“ไม่เป็นไร”
“มันจะเห็นแก่ตัวไปไหม? ถ้ากูจะบอกว่าไม่อยากให้มึงไป” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงกับอีกฝ่าย แต่ผมไม่ต้องการให้เขาหายไป อยากให้เขาอยู่จนกว่าผมจะมั่นใจในตัวเอง
“ถ้ามันไม่ใช่ก็ไม่ควรฝืน”
“มึงไม่ได้ชอบกู?” ทุกคำพูดที่รัชช์พูดออกมามันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ ถึงจะพอมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าที่เขาเข้ามาหาผมมันมีอะไรที่มากกว่าที่เห็น ถึงปากจะบอกว่าจีบผมแต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจผมเอาเสียเลย นอกจากเรียกร้องความสนใจนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ดูไม่เหมือนคนที่จะชอบเขาทำให้กันเลย
“บางทีนายควรรู้ความจริง” รัชช์นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางที่จริงจัง
“เรื่องอะไร?”
“เหตุผลที่ทำให้เราเข้ามาในชีวิตของนาย” รัชช์สูดลมหายใจเข้าเบาๆ อย่างคนคิดหนัก เหมือนเรื่องที่เขาจะบอกมันเป็นเรื่องที่พูดยาก เขาถึงได้ดูกังวลขนาดนี้
“ว่ามาสิ” ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
“ไอริส”
“ไอริสทำไม?” ผมขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจ ไอริสมาเกี่ยวอะไรด้วย?
“เพื่อนเราชอบไอริส”
“มันส่งมึงมากันกู?” ผมเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างหัวเสีย เมื่อเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องได้
“อืม”
“เหอะ!” เรื่องนี้มันเดาได้ไม่ยากเพราะมันไม่ได้ซับซ้อน แต่มันน่าโมโหตรงที่ถูกล้อเล่นกับความรู้สึกมาตลอด ผมคงกลายเป็นตัวตลกหรือไม่ก็ไอ้หน้าโง่ในสายตาของเขากับเพื่อนเขานั่นแหละ
“คิดว่าถ้านายรู้จะต้องโกรธ” เสียงทุ้มหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยหลุบมองต่ำไม่เงยขึ้นมาสบตากันตรงๆ
“เออ โคตรโกรธเลย มึงแม่งสนุกกับการล้อเล่นกับความรู้สึกคนเนอะ” ผมเหยียดยิ้มออกมาอย่างนึกสมเพชตัวเอง ตอนนี้ผมแม่งไม่เหลือใครจริงๆ แล้วว่ะ ง้อไอริสก็ไม่สำเร็จ แถมยังมาถูกหลอกอีก
เออ บันเทิงดีชีวิตกู
“ขอโทษ” รัชช์ว่าออกมาอย่างรู้สึกผิด แค่คำสั้นๆ ก็ทำเอาผมโกรธมันไม่ลงแล้ว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเริ่มมีอิทธิพลต่อผมทั้งที่มันไม่ควรเลย
“ที่มึงจะไป เพราะไอริสตัดกูจริงจังแล้วใช่ไหม?” เมื่อไม่มีผม เพื่อนเขาก็น่าจะจีบไอริสได้สบายๆ
“ไม่ควรมีใครต้องตกเป็นเหยื่อในเกมความรู้สึกอีกแล้ว” ผมว่าถ้ารัชช์เลือกได้ เขาก็คงอยากหายไปจากตรงนี้
“ไม่ใช่ว่าเราต่างก็เป็นเหยื่อกันทั้งนั้นหรอกเหรอ?” ผมยื่นมือไปจับไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น บังคับให้เขาหันมามองสบตากัน แต่เขาก็หันมาสบตากับผมแค่แวบเดียวก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ผมเห็นแววตาที่สั่นไหวและความเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
“เพราะอย่างนั้นเราควรจบทุกอย่าง” เสียงหวานพึมพำออกมาแผ่วเบาโดยที่ไม่ยอมหันมามองหน้าผมอีกเลย
“พูดง่ายเนอะ” เขาจงใจที่จะหลบตาผม
“ถ้าแค่จะหาใครสักคนมาแทนไอริส คนนั้นต้องไม่ใช่เรา” น้ำเสียงที่แข็งกระด้างขึ้นทำเอาผมอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังทำเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างอยู่
“กูรู้ว่ากูมันเห็นแก่ตัว แต่จะมีใครรู้เรื่องของกูแล้วก็เข้าใจความรู้สึกกูได้เท่ามึงอีกวะ?” ถ้ารัชช์ไป ผมก็ไม่เหลือใครแล้ว ไม่เหลือจริงๆ
“ถ้าสุดท้ายแล้วคนที่นายเลือกไม่ใช่เรา คนที่เจ็บก็คือเรา” นัยน์ตาสีเข้มเกือบดำตวัดมามองผมอย่างแข็งกร้าว แต่ผมกลับรู้สึกว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขารู้สึก เขาไม่ได้โกรธที่ผมรั้งเขาไว้ แต่เขากำลังกลัวที่ผมไม่ยอมปล่อยเขาไป
“แล้วถ้ามันใช่” ผมไม่เชื่อหรอกว่ารัชช์จะไม่รู้สึกอะไรเลย ถึงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมันจะเพียงแค่เดือนกว่าๆ มันอาจดูสั้น แต่ผมที่รักไอริสมากยังเขว แล้วเขาล่ะ? จะไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ เหรอ?
“เราไม่รู้อนาคต และเราคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป เราไม่ชอบอะไรที่มันไม่แน่นอน ไม่ชอบหาเรื่องให้ตัวเอง”
“มึงพลาดตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในชีวิตกูแล้วรัชช์” เขาพลาดที่เข้ามาทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยน ถึงจะไม่มั่นใจว่าชอบหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าผมต้องการเขา และต้องเป็นเขาคนเดียวเท่านั้น
“มะ...อื้อ!...”
ผมโน้มหน้าลงไปปิดปากสีซีดที่เตรียมจะพูดอะไรสักอย่างออกมาอีก ผมไม่อยากรู้ว่ารัชช์จะพูดอะไร สิ่งที่ผมอยากรู้มีเพียงความรู้สึกของเขา ความรู้สึกจริงๆ ที่ไม่ใช่คำพูดโกหกเพื่อปกปิดมัน ใบหน้าหล่อพยายามเบี่ยงหลบหนี มือเรียวที่เล็กกว่าผมอย่างเห็นได้ชัดยกขึ้นมาดันอกผมเอาไว้ แต่แรงคนป่วยหรือจะสู้แรงผมได้ ผมบังคับจูบรัชช์จนอีกฝ่ายหยุดดิ้นหนี จูบที่รุนแรงในตอนแรกค่อยๆ อ่อนลง ผมขบเม้มริมฝีปากนุ่มแผ่วเบาก่อนจะสอดเรียวลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากเล็กช้าๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่นตกใจจนดิ้นหนีอีก คนป่วยนั่งนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น แม้จะไม่ได้ดิ้นหนีแต่ก็ไม่ได้ตอบรับ ลิ้นร้อนส่งเข้าไปกวาดไล่ต้อนหาความหวานสลับกับหยอกล้อกับลิ้นเล็ก ผมพยายามชักนำอยู่นานจนสุดท้ายรัชช์ก็จูบตอบผมกลับมาอย่างที่ทำให้ผมพอใจเป็นอย่างมาก จูบที่ทำให้ผมได้รู้ว่าแท้จริงแล้วรัชช์เองก็โหยหาผมไม่ต่างกัน
“อย่าทำแบบนี้” หลังจากที่ผละออกจากกันใบหน้าหล่อไร้ที่ติก็เอนมาพิงกับหน้าอกของผม
“กูไม่สนหรอกว่ามึงจะโอเคหรือไม่โอเคกับเรื่องนี้ แต่กูจะไม่ปล่อยมึงไป” ผมตวัดแขนเรียวยาวของตัวเองโอบรอบเอวบางที่ผมพิสูจน์มาด้วยตาของตัวเองแล้ว ครับ ตอนเช็ดตัวให้รัชช์ผมเห็นมาหมดแล้วแหละ แต่ผมจะไม่พูดให้โดนด่าหรอก ผมแอบเห็นที่หน้าท้องของรัชช์มีรอยช้ำด้วย ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา แต่ผมทายาให้เขาไปแล้ว
“นิสัยเสียเนอะ” เสียงทุ้มหวานที่ยังคงแหบแห้งอยู่พูดอู้อี้อยู่กับหน้าอกของผมเพราะผมกอดเขาเอาไว้แน่น แน่นมากจนคนที่ตัวเล็กกว่าเกยขึ้นมานั่งบนตักของผม
“ด่ากูเลวเลยก็ได้”
“อืม เลว” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ ให้กับคำด่าของอีกฝ่าย เอาเถอะ ด่าแค่นี้ผมไม่สะทกสะท้านหรอก
เพราะถ้าผมเลวจริงๆ มันไม่ได้จบแค่นี้แน่
“นอนพักไป กูไม่กวนแล้ว”
ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้ปล่อยให้คนป่วยได้ลงไปนอนบนเตียงอย่างที่คิด ผมยังคงนั่งกอดรัชช์อยู่อย่างนั้นโดยที่มือก็คอยลูบหัวลูบหลังกล่อมให้เขาหลับ รัชช์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่เลื่อนใบหน้าขึ้นมาซบอยู่ที่ไหล่ของผมแทน ลมหายใจอุ่นร้อนของคนป่วยทำเอาผมแทบสติหลุด แต่เพราะมีเรื่องอื่นให้คิดมากอยู่ผมเลยไม่ได้โฟกัสที่จุดนั้น ผ่านไปพักใหญ่คนที่นอนซุกอยู่บนตัวผมก็นิ่งไป ลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาหลับไปแล้ว ผมก้มมองคนที่อยู่ในอ้อมกอดของตัวเองอย่างครุ่นคิด ทำไมถึงเป็นคนดีขนาดที่ต้องเอาความรู้สึกของตัวเองมาเสี่ยงด้วยนะ? เพื่อช่วยให้เพื่อนได้สมหวังจำเป็นต้องเอาหัวใจของตัวเองมาเดิมพันขนาดนี้ไหม? ถึงจะโกรธที่รู้ความจริง แต่พอมาคิดอีกมุม มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ถูกเอาความรู้สึกมาล้อเล่น รัชช์เองก็เสี่ยงไม่น้อย แต่ผมคิดว่ารัชช์เกินคำว่าเสี่ยงมาแล้วล่ะ
เพราะผมเองก็ไม่ต่างกัน
Rach Part :
08.39 นาฬิกา
“ถ้าตอนเที่ยงกูหามึงไม่เจอ มึงโดนแน่” ผมที่กำลังจะเดินเข้าตึกคณะก็ชะงักเพราะถูกมือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือแล้วดึงรั้งไว้เสียก่อน
“จะทำอะไร?” ผมขมวดคิ้วมองอย่างไม่ไว้ใจ ผู้ชายคนนี้เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เมื่อวานก็เหมือนจะดี วันนี้ก็บ้าขึ้นมาอีก
“อ้อ ไม่สิ กูคงทำอะไรมึงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเพื่อนมึงน่ะ ก็ไม่แน่” มารุตยกยิ้มเยาะท่าทางราวกับคนที่อยู่เหนือกว่าของเขาทำเอาผมเริ่มระแวง
“จะใช้กำลัง?” เขารู้ความจริงแล้ว หวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่มันรุนแรงกับไทม์หรอกนะ เมื่อวานเขาก็ดูโกรธแต่มันก็ไม่ได้รุนแรงอย่างที่ผมคิดไว้ เขานิ่งอย่างที่ผมไม่เคยเห็น จนผมเดาทางเขาไม่ออก
“หึ! โดนซ้อมน่ะ แปบๆ ก็หายเจ็บ แต่ถ้ากูเข้าไปยุ่งกับไอริสเมื่อไหร่ เพื่อนมึงเจ็บยิ่งกว่าโดนกระทืบแน่”
“ทำไม่ได้หรอก” ไอริสไม่มีทางกลับไปหาเขาแน่ ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ
“เดี๋ยวก็รู้”
“...”
“ถ้ากูโทรหาต้องรับ เข้าใจไหม?”
“อืม ไปได้แล้ว” ผมดันไหล่หนาเบาๆ ให้เขารีบขับรถออกไป เริ่มสายแล้วคนก็เริ่มมากันแล้วเดี๋ยวมีคนเห็นก็เป็นประเด็นขึ้นมาอีก ผมกระชับแมสที่ใส่มาให้เข้าที่แล้วส่งสัญญาณให้เขาว่าอย่าลืมดึงแมสขึ้นมาปิดหน้าด้วย
“อืม” มารุตทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่ายแล้วสตาร์ทรถออกไป
“คุณรัชช์”
“ไทม์” ผมหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างตกใจ เพราะคล้อยหลังมารุตไปไม่นานไทม์ก็เดินมาแตะไหล่ผม
“นั่นไอ้มารุตนี่” เขาพยักพเยิดหน้าไปทางที่มารุตเพิ่งขี่รถออกไป
“อืม”
“ทำไมมาด้วยกัน?”
“คนอื่นมาหรือยัง?” ผมเบี่ยงตัวออกจากมือของไทม์แล้วทำเนียนเปลี่ยนเรื่องเพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก
“ไม่ต้องเล่นเกมจีบมันแล้ว ตอนนี้ไอริสไม่ได้สนใจมันแล้ว” ไทม์ว่าพร้อมยกยิ้มเยาะๆ ราวกับผู้ชนะ เห็นอย่างนั้นผมยิ่งรู้สึกแย่ ยิ่งรู้สึกผิดต่อมารุตมากจริงๆ
“อืม ไปรอในห้องเถอะ” ผมเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับมารุตแล้วเดินนำไปยังห้องเรียนทันที
“แต่...” ไทม์ดูเหมือนจะไม่ละความพยายาม
“คุณรัชช์ เมื่อวานไม่สบาย เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” แต่เพราะเชนเดินเข้ามาทักผมก่อนไทม์เลยต้องเงียบไป
“แค่มีไข้นิดหน่อย” ผมรีบดึงแมสขึ้นให้สูงกว่าเดิมเมื่อเชนขยับเข้ามาใกล้
ผมหายไข้แล้ว เสียงก็ไม่ค่อยแหบแล้วด้วย แต่ที่ต้องใส่แมสมาเรียนเพราะรอยแผลบนหน้าผมมันเด่นชัดเกินไป ถ้ามีคนเห็นจะต้องถูกทักแน่ ส่วนมารุต ที่ผมให้เขาใส่แมสไม่ใช่เพื่อปกปิดรอยแผลอะไรหรอก รายนั้นมีเรื่องจนคนชินแล้ว แต่ที่ผมให้เขาใส่แมสเพราะเขาติดหวัดจากผม เหมือนเมื่อเช้าจะบ่นๆ ว่าเจ็บคอแล้วก็มีไอนิดหน่อยด้วย ผมเลยให้ใส่แมสกันเอาไว้จะได้ไม่ไปแพร่เชื้อให้ใคร
“หายดีแล้วใช่ไหม?”
“อืม”
“ดีแล้ว เย็นนี้ก็ซ้อมบาสอีกเหรอ?”
“ก็มีซ้อมทุกวันแหละ” ถึงจะปวดๆ ตัวอยู่บ้างแต่ก็พอซ้อมไหว
“วันนี้บ่ายว่างนี่ ไปเดินห้างฆ่าเวลาไหม? เดี๋ยวพามาส่งตอนเย็น” เชนหันมาเอ่ยชวนผมโดยทำเป็นลืมไปว่าไทม์ก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย
“ไม่เป็นไร ไม่ค่อยอยากไปไหน เดี๋ยวนั่งรอในห้องสมุดดีกว่า” เพราะมีเรียนแค่ตอนเช้า แต่ต้องซ้อมบาสตอนเย็น จะให้กลับบ้านแล้วมาใหม่ก็ขี้เกียจ ผมเลยคิดว่าไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดดีกว่า เผื่อจะได้อ่านหนังสือด้วย
“ตะ...” เชนทำท่าจะพูดอะไรต่อ
“อาจารย์มาแล้ว” แต่ก็ถูกกรินพูดขัดขึ้น ผมหันไปทางหน้าห้องก็เห็นอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาพอดี พวกเราเลยหยุดพูดคุยกันแล้วหันมาเตรียมอุปกรณ์การเรียนแทน
ดราม่าไหม? ดราม่าหรือเปล่า? จะดราม่าไหมนะ?
ดราม่าแน่ๆ เอ๊ะ! หรือไม่ดราม่านะ
มารุตคนเกรี้ยวกราด เบาหน่อยเบา
อยากกอดปลอบคุณรัชช์นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

#ทีมมารุต
คุณกลางไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม TT
เเราทีมรุตเพราะเมนเราเเฮ่รรรร
รุตแกมันบ้าผีเข้าผีออก กัวละนะ รัชช์ไหวหรอ!?
ในที่สุดผมก็อ่านเเบบมาราธอนรวดเดียวจบ!!! พี่ใหญ่คะ ชั้นชอบคุณ ได้โปรดเเต่งงานกับชั้นเถอะ! ในบรรดาผู้ชายในเรื่องทั้งหมดผมชอบพี่ใหญ่ที่สุด เขาช่างดีงาม เเม้ในตอนนี้จะไม่ค่อยมีบทก็ตาม โพล่มาเเค่ในความฝันก็รักนะ ส่วนมารุตนั้น.. เอ็งเป็นพระเอก ห้ามเเกร้วกราดใส่คุณรัชช์ ส่วนไทม์ เอ็งอยากไม่ตายดีใช่มะ? ทำไมมีความรู้สึกว่าไอริสมันสองจิตสองใจ ดูโลเลในตอนก่อนๆนะ? ฮรืออออ ว่าเเต่พี่ชายกลางไปไหนกันนะ? ขอเดาว่านางเกิดอุบัติเหตุจนนอนเป็นผักได้มะ? ไม่ใช่ว่านางเสียเเล้วหรอกนะ อุ๊บส์.. กริซก็ดีงามนะ เสียดายที่ชั้นไม่เชียร์พี่นิล นางควรเป็นรุ่นพี่ที่เเสนดีต่อไปค่ะ ไม่ใช่ว่านิลกับคุณรัชช์เคยมีอดีตร่วมกันประมาณว่าอิพี่นิลเข้ามาเเกล้งจีบคุณรัชช์หรอกใช่ไหม? ส่วนเซนนี่คือเพื่อนเฉยๆหรือนางเเอบชอบคุณรัชช์อยู่วะ? ชั้นเดาไม่ถูกจริงๆนะ ฮรืออ รีบมาต่อนะครับ ผมรออ่านอยู่ @เครซี่
ดูแลเช็ดตัว หายา หาข้าวไม่กิน โอ้ยยย ฟิน