ตอนที่ 47 : ตอนพิเศษ : เคลียร์ปัญหา [1/2]
ตอนพิเศษ
เคลียร์ปัญหา
เช้านี้ผมตื่นมาพร้อมกับท้องฟ้า คนตัวสูงชวนผมเข้าไปทำมื้อเช้าด้วยกันในครัว ผมก็เข้าไปหยิบๆ จับๆ ช่วยเขานิดหน่อย ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกนอกจากยืนชิมรสชาติ และด้วยความชำนาญในด้านการทำอาหารของท้องฟ้าเลยทำมื้อเช้าเสร็จในเวลาที่ไม่มากนัก ด้วยความที่วันนี้เป็นวันหยุดเลยทำให้สามารถนั่งเอื่อยเฉื่อยกันได้ นั่งกินข้าวแล้วก็พูดคุยกันไปด้วยกว่าจะกินกันหมดก็ปาไปเกือบชั่วโมง หลังจากนั้นก็มานั่งดูหนังกันอีกพักใหญ่แล้วผมก็แยกมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกไปข้างนอก
“ฟ้าครับ วันนี้เลออกไปหาพี่ศศินะ” ผมเดินเข้าไปในห้องทำงานของท้องฟ้าแล้วเอ่ยบอกนัดหมายของวันนี้
“ไม่ช่วยฟ้าทำงานเหรอครับ?” ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นจากกองเอกสารตรงหน้ามามองผมด้วยสายตาหงอยๆ
“ไม่ครับ นัดกับพี่ศศิไว้แล้ว เดี๋ยวซื้อของอร่อยๆ มาฝากนะ” ผมหลุดยิ้มออกมาแล้วรีบเอ่ยอย่างเอาใจ ผมนัดกับพี่ศศิไว้หลายวันแล้ว ก่อนหน้านี้ก็บอกท้องฟ้าไปแล้วด้วย แต่เจ้าตัวเขาลืมแถมยังหอบงานเอากลับมาทำที่ห้องอีก ตอนแรกก็กะว่าจะพาท้องฟ้าไปด้วยแต่งานท่วมหัวแบบนี้ก็ปล่อยให้อยู่ห้องไปนั่นแหละดีแล้ว
“กลับมาเร็วๆ นะฟ้าคิดถึง” พูดพร้อมทำหน้าอ้อน เห็นแล้วมันเขี้ยว จนอยากจะบีบให้แก้มแตก
“ครับๆ เดี๋ยวรีบกลับนะ”
จุ๊บ!
ผมก้มลงจุ๊บปากคนที่นั่งทำหน้าอ้อนอยู่ไวๆ แล้วรีบเดินออกจากห้องทันที อยู่นานไม่เดี๋ยวยาว
ผมขับรถของตัวเองมาที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคอนโดของท้องฟ้ามากนัก วันนี้ผมมีนัดกับพี่ศศิ ตั้งแต่ที่เจอกับที่รวิครั้งก่อนผมก็ได้มีโอกาสติดต่อพูดคุยกับพี่ศศิมาตลอดจนตอนนี้เราสนิทกันมาก เหมือนผมได้พี่ชายมาอีกคนเลย อ่า ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าได้มาอีกสองคนต่างหาก พี่รวิเองก็ใจดีกับผมมาก เจอกันบ่อยเวลาผมไปช่วยงานพ่อ ตอนนี้พี่รวิก็ยังคงทำงานกับพ่อผมอยู่ แต่ผมไม่ค่อยได้เข้าไปช่วยงานพ่อแล้วนานๆ ถึงจะถูกเรียกไปทีหนึ่ง
“รอนานไหมครับพี่ศศิ?” พอมาถึงที่นัดหมายก็เจอกับพี่ศศิที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ไม่ พี่เพิ่งมา” หากดูเผินๆ แล้วพี่ศศิดูเหมือนเป็นคนหยิ่งๆ เย็นชา นิ่งๆ และตาของพี่เขาก็ดูดุมากมันเลยทำให้หน้าพี่เขาดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ ทั้งที่พี่เขาออกจะหน้าตาดีแท้ๆ แต่กลับไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าไปทำความรู้จักสักเท่าไหร่ แต่ผมมองว่านั่นก็แค่ภายนอก จริงๆ แล้วพี่ศศิใจดีมากเลยนะ ผมชอบพี่เขาสุดๆ เลย
“พี่รวิไปทำงานแล้วเหรอครับ?” ผมเอ่ยถามถึงใครอีกคนที่ปกติถ้าว่างเมื่อไหร่จะต้องมาทำตัวติดเป็นแฝดสยามกับพี่ศศิตลอด ก็คนเขาหวงแฟนนี่เนอะ
“พ่อเราใช้งานแฟนพี่หนักมาก” ตาคมเฉี่ยวกลอกมองไปมาอย่างเบื่อหน่าย พี่ศศิเองก็รู้จักพ่อผมนะครับ เคยเจอกันบ่อยเวลาพี่รวิหนีบเอาพี่ศศิไปทำงานด้วย
“ฮ่าๆ งานมันเร่งนี่ครับ เดี๋ยวจบงานนี้ก็ได้พักแล้ว” เป็นฝ่ายลูกค้าที่เร่งงานมา พ่อผมก็หัวเสียที่ถูกกดดันแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เงินดีก็ต้องรับไว้ พี่รวิก็มาบ่นบ่อยๆ ว่างานเยอะ ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับพี่ศศิเลย ก็ทำเป็นพูดไป ผมเห็นพอว่างเมื่อไหร่ก็ตัวติดกันทันทีนั่นแหละ
“แล้วท้องฟ้าไม่มาด้วยเหรอ?”
“ทำงานครับ”
“พวกเรานี่เหมือนคนว่างงาน” พี่ศศิว่าพลางก้มมองเมนูของหวานไปด้วย ผมกับพี่ศศินี่สายกินของหวานครับ เราชอบอะไรคล้ายๆ กันเลยคุยกันง่าย
“พี่เพิ่งปิดต้นฉบับไปไม่ใช่เหรอครับ?” ผมหันไปสั่งเมนูกับพนักงานเสร็จก็เอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พี่ศศิเป็นนักเขียนนิยายแนวรักหวานแหววครับ เห็นหน้าดุๆ แบบนี้แต่เขียนนิยายได้หวานยิ่งกว่าน้ำเชื่อมอีกนะ
“พอไม่ได้ทำงานแล้วก็เบื่อๆ”
“ยิ่งพี่รวิไม่ว่างก็ยิ่งเหงาใช่ไหมครับ? เพราะอย่างนี้สินะถึงได้ชวนผมออกมาเนี่ย”
“แซวเก่ง”
“ฮ่าๆ ทำไมไม่ชวนพี่โฟล์คมาด้วยล่ะครับ?” ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าพี่โฟล์คเป็นนักเขียนที่อยู่สำนักพิมพ์เดียวกันกับพี่ศศิแต่รายนั้นเขาเขียนแนวลึกลับสยองขวัญ แล้วล่าสุดก็เป็นแนวแฟนตาซี ที่ค่อนข้างจะสร้างชื่อเสียงให้กับพี่เขาได้เป็นอย่างดีเลย
“ติดแฟน” พูดพลางเบะปากมองบนใส่
“อ๋อ เข้าใจเลย” ผมตอบกลับกลั้วหัวเราะ ผมว่าคนที่ติดแฟนน่าจะไม่ใช่พี่โฟล์คแต่น่าจะเป็นคุณอธิปมากกว่า บอกเลยว่าเจอพี่โฟล์คที่ไหนต้องเจอคุณอธิปที่นั่น เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครจะทั้งรักทั้งหลงและหวงห่วงแฟนได้มากเท่าคุณอธิปอีกแล้ว
ผมกับพี่ศศินั่งพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ช่วงก่อนหน้านี้เราไม่ได้เจอกันเลยเพราะพี่เขาต้องเร่งปิดต้นฉบับให้ทันกำหนดส่ง ผมเองก็เพิ่งปิดเทอมเมื่อไม่กี่วันก่อน พอได้มาเจอกันรอบนี้ก็เลยคุยกันไม่หยุด พี่ศศิก็บ่นเรื่องพี่รวิให้ผมฟัง ผมเองก็บ่นเรื่องท้องฟ้าให้พี่ศศิฟังเหมือนกัน งงล่ะสิว่าคนอย่างท้องฟ้ามีอะไรให้บ่นด้วยเหรอ?
อยากจะบอกว่าเยอะแยะเลย
อย่างแรกเลยนะคือเรื่องที่เขาชอบห่วงผมเกินเหตุ ทำเหมือนผมเป็นเด็กทั้งที่ผมก็อายุเท่าเขานั่นแหละ เรื่องต่อมาคือความงอแงของท้องฟ้า ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คนหล่อของผมเป็นอะไร งอแงเก่งมาก แถมยังดื้อสุดๆ เอาแต่ใจนี่ก็ที่หนึ่งเลย แต่จะว่าก็ไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้าเผลอพูดอะไรออกไปเดี๋ยวเขาจะไม่ยอมแสดงความรู้สึกออกมาอีก
และอย่างสุดท้าย เรื่องนี้สำคัญมาก และผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มาก ทำเอาผมปวดหัวสุดๆ ทุกคนคงรู้ใช่ไหมว่าผมกับท้องฟ้ายังไม่เคยมีอะไรกัน จนถึงทุกวันนี้ที่คบกันมาได้ปีกว่าแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคุณท้องฟ้าเขาอดทนได้เก่งเหลือเกิน แต่เหมือนว่าความอดทนของเขาจะเริ่มหมดลงเรื่อยๆ พักหลังๆ มานี้เขาพยายามจะล่อลวงผมให้เคลิ้มตามตลอด ถึงปากจะบอกว่าไม่บังคับ แต่การกระทำนี่คือพยายามหลอกล่อให้ติดกับอยู่ตลอดเวลา ผมไม่ได้รังเกียจอะไรแฟนตัวเองหรอก แต่ผมแค่ยังไม่พร้อมเท่านั้นเอง ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าผมกลัว ขอเวลาให้ผมอีกสักนิดก็แล้วกันนะ
หวังว่าท้องฟ้าจะเข้าใจผม
หลังจากนั่งนินทาแฟนของตัวเองกันไปพักใหญ่แล้วผมกับพี่ศศิก็เพิ่งนึกได้ว่านี่เริ่มเย็นแล้ว แม้จะยังมีเรื่องที่อยากคุยกันอีกเยอะแต่เราก็ต้องตัดสินใจแยกจากกันก่อน นัดกันไว้แล้วว่าครั้งหน้าจะชวนพี่โฟล์คมาด้วย พี่ศศิบอกว่ามั่นใจมาก ว่าพี่โฟล์คจะต้องมีเรื่องนินทาคุณอธิปแน่นอน ผมเองก็เห็นด้วย ผมขับรถไปตระเวนหาของกินไปฝากคนที่ห้องก่อนจะตรงกลับไปยังคอนโดของท้องฟ้า การหาของกินที่จะถูกปากถูกท้องของคุณแฟนนี่มันยากจริงๆ นะครับ บางทีก็อยากให้ท้องฟ้ากินอะไรได้ง่ายๆ เหมือนคนอื่นบ้าง
“นี่” หลังจากที่จอดรถเสร็จแล้วกำลังจะเดินเข้าไปในคอนโดก็มีเสียงของใครบางคนดังเรียกผมไว้
“คะ ครับ? เอ่อ คุณเรียกผมเหรอครับ?” ผมหันไปมองตามเสียงเรียกแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพ่อของท้องฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้า
“ใช่ ว่างหรือเปล่า? ไปคุยกันหน่อยสิ” ผมชะงักไปกับคำชวนนั้น
“ครับ” แต่ก็ยอมตอบตกลงเพราะเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่าย และเมื่อเขาไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามอะไรผมเลยยอมเดินตามเขาไปที่ร้านกาแฟที่เคยนัดเจอกับแพรวคราวก่อน
“จะกินอะไรไหม?” เขาหันมาถามผมหลังจากที่เราเดินเข้ามานั่งในร้านแล้ว
“ไม่ครับ เชิญคุณพูดมาเลยดีกว่าครับ” รีบๆ พูดแล้วรีบๆ แยกกันเถอะ ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับเขานานนัก ยังไงก็ยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่ดี
“รังเกียจฉันมากหรือไงถึงได้ไม่ยอมกินอะไรน่ะ?”
“ผมกินมาแล้ว คุณอยากพูดอะไรก็พูดเถอะครับ อย่าเสียเวลาเลย” ผมไม่อยากกลับเข้าห้องเย็นมากนักเดี๋ยวจะโดนคุณแฟนดุอีก
“ท้องฟ้า เป็นยังไงบ้าง?” อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เขาสบายดีครับ แต่ยุ่งๆ เรื่องงานนิดหน่อย คุณแม่เริ่มให้เขาเข้าทำงานในบริษัทเกือบเต็มตัวแล้ว” อีกไม่นานท้องฟ้าก็จะเรียนจบแล้ว ถึงเวลานั้นก็ต้องเข้ารับช่วงต่อบริษัทจากคุณแม่ ตอนนี้เวลามีงานอะไรคุณแม่ก็มักจะเทงานมาให้ท้องฟ้าตลอด เพื่อที่จะได้เป็นการเรียนรู้ไปในตัวด้วย
“แล้วนายช่วยอะไรบ้างหรือเปล่า?”
“ผมไม่ได้เรียนด้านบริหารมา ช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอกครับนอกจากอยู่เป็นเพื่อนตอนเขาทำงานเท่านั้น” บางครั้งท้องฟ้าต้องเคลียร์งานถึงดึก ผมก็จะอยู่เป็นเพื่อนเขา เอาโมเดลของตัวเองมาทำบ้าง นั่งเล่นนอนเล่นบ้าง ทำอะไรก็ได้แต่จะอยู่เป็นเพื่อนเขาจนกว่าเขาจะนอน
“เหรอ”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” จู่ๆ คนตรงหน้าผมก็นิ่งไป ใบหน้าหล่อเหลาที่เป็นต้นแบบของท้องฟ้าเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเลยอดที่จะเอ่ยปากถามออกไปไม่ได้
“ครั้งหนึ่ง แม่ของท้องฟ้าก็เคยทำแบบนั้น”
“ครับ?” ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างงงๆ
“ตอนที่ฉันนั่งทำงานถึงดึกดื่น แม่ของท้องฟ้ามักจะมาอยู่เป็นเพื่อนเสมอ และหลายครั้งก็เข้ามาช่วยงานจนตัวเองอดหลับอดนอนไปด้วย”
“...” ผมเองก็เป็นแบบนั้น แต่จะต่างกันตรงที่ผมเข้าไปช่วยงานท้องฟ้าไม่ได้
“จะว่า เด็กนั่นอาจพูดถูก คนที่โชคดีจริงๆ อาจไม่ใช่เธอแต่เป็นท้องฟ้าต่างหาก” นัยน์ตาคู่คมเลื่อนมามองสบกับผมแล้วก็พยักหน้าออกมาเบาๆ
“หมายความว่ายังไงครับ?” เด็กนั่นที่เขาพูดถึงนี่คงไม่ได้หมายถึงเกนใช่ไหม?
“ฉันเคยคิดว่าลูกชายตัวเองเคยมีความรู้สึกบ้างหรือเปล่า? เคยยิ้มเคยหัวเราะบ้างไหม? หรือเขาอาจจะเคยแต่ฉันไม่เห็นมัน ฉันเคยคิดว่าต้องเป็นคนแบบไหนนะถึงจะทำให้ท้องฟ้ามีความสุขได้ ต้องเป็นคนที่เพียบพร้อมมากแน่ๆ แต่แล้วฉันก็คิดผิด นายมันก็แค่เด็กธรรมดาๆ ที่ไม่ได้อะไรพิเศษ นอกจากหัวใจของนายที่มันวิเศษจนเสกทุกอย่างให้กลายเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ได้”
“ผม...ไม่เข้าใจ” ผมนิ่งอึ้งไปกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่เมื่อมานั่งประมวลผลแล้วผมก็รู้สึกงงๆ อยู่ไม่น้อย
“ฉันอยากจะขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับเธอเอาไว้”
“ทำไมล่ะครับ?”
“ก่อนหน้านี้ฉันไปหาท้องฟ้าที่บ้าน แต่ไม่เจอ แม่ของเขาบอกว่าเขาไปบ้านของนาย”
“เอ่อ เมื่อสองวันก่อนน่ะหรือครับ?” ผมเพิ่งกลับบ้านตัวเองไปเมื่อสองวันก่อนหลังจากที่ไม่ได้กลับนานเกือบเดือน หลังจากที่ย้ายมาอยู่กับท้องฟ้าผมก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านตัวเองเลย จะได้เจอพ่อก็แค่ช่วงที่เข้าไปช่วยงาน แต่พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะถึงบางครั้งจะไม่ค่อยได้กลับบ้านแต่ผมก็จะชวนพ่อไปกินข้าวข้างนอกด้วยกันบ่อยๆ
“ใช่”
“แล้ว...”
“ฉันได้คุยกับแม่ของท้องฟ้าเลยทำให้รู้ว่าฉันมันเลวมากแค่ไหน”
“คุณ...” ผมพูดไม่ออกเมื่ออยู่ดีๆ คนตรงหน้าก็ว่าตัวเองออกมาอย่างนั้น และเมื่อยิ่งพูด เขาก็ยิ่งดูโศกเศร้ามากขึ้นกว่าเดิม
“แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันปรับความเข้าใจกับแม่ของท้องฟ้าแล้ว ถึงจะไม่ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่เขาก็ อโหสิกรรมให้ฉันแล้วล่ะ” รอยยิ้มของเขามันดูเจ็บปวดมากจริงๆ
“คุณยังรักคุณแม่อยู่หรือเปล่าครับ? เอ่อ ขอโทษที่ถามแบบนี้นะครับ” แต่ผมอยากรู้ บางทีพ่อของท้องฟ้าก็อาจจะเป็นแบบท้องฟ้าที่แสดงออกไม่เก่งก็ได้
“ไม่เป็นไร ถามว่ารักไหมก็รักนะ แต่เพราะฉันมันเลวมันเห็นแก่ตัวนั่นแหละ ความไม่รู้จักพอมันเลยทำให้ฉันต้องเสียทุกอย่างไป ทั้งลูกทั้งเมีย” กว่าจะคิดได้ก็สายไปแล้วสินะ
“คุณอยากคุยกับท้องฟ้าไหมครับ?” ผมนิ่งไปพักใหญ่ ชั่งใจอยู่นานก็ตัดสินใจถามออกไป บางทีพ่อกับลูกควรได้คุยปรับความเข้าใจกัน เรื่องที่ผ่านมาแล้วมันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่จะอยู่กันแบบเกลียดชังอย่างนี้ไปตลอดก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“ท้องฟ้าคงไม่อยากคุยกับฉัน”
“ไม่มีลูกคนไหนจะเกลียดพ่อตัวเองได้จริงๆ หรอกนะครับ ท้องฟ้าก็แค่เสียใจกับสิ่งที่คุณทำ” ลึกๆ แล้วท้องฟ้าก็ยังคงรักพ่อของเขาอยู่ ผมเห็นรูปพ่อของเขาในกระเป๋าสตางค์ด้วย ถึงเขาจะเก็บซ่อนเอาไว้แต่ผมก็เห็นมันอยู่ดี ผมไม่ได้ไปค้นกระเป๋าเขานะ ก็เขามาบอกให้ผมหาบัตรอะไรสักอย่างนี่แหละแล้วผมบังเอิญไปเจอรูปพ่อของเขาเข้าพอดี
“ช่างพูดจริงนะนายน่ะ”
“คุณพูดเหมือนท้องฟ้าเลย” ผมเม้มปากแน่นแล้วพึมพำเสียงแผ่ว ท้องฟ้าก็บอกกับผมแบบนี้เหมือนกัน
“เอาแต่เรียกคุณๆ มันฟังขัดหูนะ”
“ถ้าอย่างนั้นจะให้ผมเรียกว่าอะไรล่ะครับคุณ...”
“พ่อ”
“ครับ?”
“เรียกพ่อสิ ก็เป็นลูกสะใภ้ไม่ใช่หรือไง?” เขาว่าพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ทำให้ผมเห็นภาพของท้องฟ้าซ้อนทับขึ้นมา สองพ่อลูกนี้เหมือนกันมากจริงๆ นั่นแหละ
“เอ่อ...คือ...” มาแบบนี้ผมก็ไปต่อไม่เป็นเหมือนกันนะครับ คนที่เคยด่าและตวาดใส่ผมจู่ๆ มาพูดดีด้วยมันก็อดจะขนลุกแปลกๆ ไม่ได้ ถึงผมจะไม่คิดมากเรื่องที่เขาเคยว่าผมก็เถอะ ผมไม่ชินจริงๆ
“คุณพ่อ” แต่พอเขาเห็นท่าทีอึกอักของผมเขาก็ยิ่งจ้องกดดันหนักกว่าเดิมแถมย้ำคำให้ด้วย
“คะ ครับ คุณพ่อ” สุดท้ายผมเลยต้องยอมเรียกเขาออกมา
“พ่อต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของพ่อยิงเบอร์หาพ่อด้วย พ่อจะได้เมมไว้ว่านี่เบอร์ของลูกสะใภ้” นามบัตรแผ่นเล็กถูกยื่นมาตรงหน้าผม
“อะ เอ่อ ครับ” ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ แล้วยื่นมือไปรับมาด้วยความมึนงง พอเห็นผมรับนามบัตรไปแล้วพ่อของท้องฟ้าก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอให้ผมได้กล่าวลาอะไรเลยแม้แต่น้อย
เอาแต่ใจกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยสินะ
แกร๊ก!
“กลับมาช้า” พอเปิดประตู้เข้ามาในห้องปุ๊บก็โดนว่าปั๊บ
“เอ่อ โทษที พอดีคุยเพลินไปหน่อย” ผมยิ้มแหยให้กับคนตัวสูงที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงโซฟากลางห้อง บนตักแกร่งยังคงมีโน้ตบุ๊ควางไว้อยู่ บนโซฟาสองฝั่งก็มีเอกสารกองอยู่เต็มไปหมด นี่ลงทุนหอบงานออกมาจากห้องทำงานเพื่อมานั่งรอผมกลับห้องเลยเหรอ?
“...”
“ไม่โกรธนะ ดูสิว่าเลซื้อของอร่อยๆ มาเพียบเลย ไปกินข้าวกันนะ” ผมรีบเดินไปหอมแก้มอีกฝ่ายอย่างเอาใจ ต้องรีบง้อก่อนไม่งั้นถ้าปล่อยไว้นานแล้วจะง้อกันยาก
“อืม” คนตัวสูงรับคำอย่างว่าง่ายแล้วลุกขึ้นเดินตามแรงฉุดของผมไปยังโต๊ะกินข้าว
ผมจัดอาหารใส่จานชามให้ท้องฟ้าอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการเอาใจอีกฝ่าย ท้องฟ้าจะเข้ามาช่วยแต่ผมก็ห้ามเอาไว้ ให้ผมได้ทำอะไรให้เขาบ้างเถอะ ปกติเขาก็แทบไม่ให้ผมทำอะไรเลย ทุกวันก็นั่งๆ นอนๆ แล้วก็กิน มีแฟนนี่เหมือนมีพ่อบ้านประจำตัวที่ทำให้หมดทุกอย่าง บอกเลยว่าคนที่มักทำอะไรเองมาตลอดมันไม่ชินจริงๆ แต่ก็ขัดใจไม่ได้ ถ้าขัดใจเดี๋ยวเขาก็งอนอีก ง้อไม่ยากหรอก แต่เปลืองตัวสุดๆ ไม่คุ้มเลยมีแต่เสียกับเสีย อีกนิดก็จะเสียตัวจนได้เสียกันละ
“เป็นอะไร?” ผมสะดุ้งเบาๆ เมื่อถูกอีกฝ่ายหันมามอง เพราะมัวแต่นินทาอีกฝ่ายอยู่ในใจจนเผลอมองเขามากไปเลยถูกจับได้
“ปะ เปล่า” ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีพิรุธ” ตาคมหรี่มองจับผิด ผมได้แต่ยิ้มแห้งมองกลอกตาไปมา คิดวนไปว่าจะเอาเรื่องไหนมาพูดดี
“คือ ฟ้าจำที่ฟ้าบอกเลได้ไหม? ที่บอกว่าจะไปหาพ่อของฟ้าน่ะ” แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมมีภารกิจที่จะทำให้พ่อกับลูกเขาได้พูดคุยและคืนดีกัน จะดีกันได้หรือเปล่าไม่รู้แต่ที่แน่ๆ ต้องพาไปเจอกันให้ได้ก่อน จะหลอกล่อท้องฟ้าไปยังไงดี? ถึงเขาจะรับปากกับผมว่าจะไปแล้วก็เถอะแต่เจ้าตัวเขาก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปสักที
“ทำไม?”
“เราไปหาพ่อของฟ้ากันนะ”
“...” อย่าเงียบสิ!
“ฟ้าพูดแล้วนะว่าจะไปขอโทษท่านน่ะ จะผิดคำพูดเหรอ?” เชื่อเถอะว่าถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผมมาพูดคำนี้ล่ะก็จะต้องถูกท้องฟ้ามองแรงใส่แน่
“เปล่า เมื่อไหร่ล่ะ?” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะถามออกมา ถามแบบนี้คือพร้อมจะไปแล้วใช่ไหม?
“ช่วงนี้ฟ้าว่างวันไหนบ้าง?” ผมพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาสงสัยอะไร ผมไม่กล้าบอกท้องฟ้าว่าผมไปเจอกับพ่อของเขามา กลัวเขาจะคิดว่าพ่อของเขามาวุ่นวายกับผมแล้วจะพาลไม่ยอมไปเจออีกฝ่าย
“วันศุกร์มีประชุมตอนเช้า ตอนบ่ายก็น่าจะว่าง” วันศุกร์ผมก็ว่างเหมือนกัน แต่ถึงไม่ว่างก็จะทำตัวให้ว่างเพื่อพาท้องฟ้าไปบริษัทพ่อของเขาให้ได้
“งั้นวันศุกร์ไปที่บริษัทของคุณพ่อฟ้ากันนะ” ผมยิ้มแล้วตักกับข้าวไปใส่จานของท้องฟ้าอย่างเอาใจอีกรอบ
“ทำไมดูตื่นเต้น?” นี่ผมว่าผมก็ไม่ได้แสงออกอะไรมากนะ ทำไมเขาถึงยังดูออกอีกล่ะว่าผมตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก
“ปะ เปล่า ก็แค่อยากให้คุยกันดีๆ ยังไงเขาก็เป็นพ่อนี่” ผมกังวลอยู่ตั้งนานว่าจะหลอกล่อท้องฟ้ายังไงดี ไม่คิดว่าเขาจะพูดง่ายขนาดนี้ โล่งอกไปที นึกว่าจะทำไม่ได้อย่างที่รับปากกับพ่อของเขาไว้เสียแล้ว
“อืม” ถึงจะดูไม่ค่อยเชื่อแต่คนหล่อตรงหน้าก็ยอมปล่อยผ่านแล้วกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ผมก็นั่งกินข้าวต่อนิ่งๆ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจกำลังลิงโลด หลังจากที่ได้เจอคุณพ่อของท้องฟ้าและได้พูดคุยกันในวันนี้มันทำให้ผมอดที่จะสงสารอีกฝ่ายไม่ได้ ความคิดที่เคยมีต่อพ่อของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที อีกฝ่ายรู้สึกผิดและสำนึกผิดแล้วจริงๆ ถึงผู้ชายคนนั้นจะเคยทำผิดแต่เขาก็ควรได้รับโอกาส และผมเชื่อว่าท้องฟ้าเองก็พร้อมที่จะให้โอกาสกับพ่อของเขาเช่นกัน แต่บางครั้งแฟนผมก็ออกจะเป็นคนดื้อเงียบอยู่หน่อยๆ
หลังกินข้าวกันเสร็จผมก็มานั่งดูหนังที่โซฟาโดยมีท้องฟ้านั่งทำงานไปด้วย สองทุ่มนิดๆ คนตัวสูงก็ลุกไปอาบน้ำเพราะล้าจากการนั่งอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊คนานๆ พอท้องฟ้าลุกไปผมก็ได้โอกาสเดินไปหยิบนามบัตรในกระเป๋าออกมา ผมพิมพ์เบอร์พ่อของท้องฟ้าลงในโทรศัพท์กดเมมเอาไว้ก่อนจะกดโทรออก
ตรู๊ด ตรู๊ด
กริ๊ก!
( “ฮัลโหล” )
รอสายอยู่ไม่นานปลายสายก็กดรับ
“คะ คุณพ่อครับ ทะเลเองนะครับ”
รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าพ่อ ผมยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก
(“ทะเลเหรอ? มีอะไรหรือเปล่า?”)
เหมือนอีกฝ่ายจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ๆ ผมก็โทรไปหาแบบนี้
“บ่ายวันศุกร์นี้คุณพ่อว่างหรือเปล่าครับ?”
ผมรีบพูดเข้าเรื่องทันที ตาก็คอยมองไปที่ประตูห้องน้ำด้วยว่าท้องฟ้าจะออกมาเมื่อไหร่ ออกแนวระแวงนิดๆ ครับ
(“ว่าง ทำไมเหรอ?”)
ผมยิ้มกว้างออกมาทันทีกับคำตอบของคนปลายสาย ไม่เสียแรงที่เกลี้ยกล่อมท้องฟ้าได้
“ผมจะพาท้องฟ้าไปหาคุณพ่อที่บริษัทนะครับ”
(“จะ จริงเหรอ? ท้องฟ้าจะยอมมาหาพ่อเหรอ?”)
อีกฝ่ายแสดงความดีใจออกมาทันทีอย่างปิดไม่มิด
“ครับ เขาจะไปแน่นอน”
ผมยืนยันเสียงหนักแน่น
(“แล้วพ่อจะรอ”)
ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อดีใจเก้อ คุณพ่อจะต้องไม่ผิดหวังแน่ๆ เชื่อผมสิ
แกร๊ก!
“คุยกับใคร?”
“เฮือก!” ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบกดวางสายทันทีโดยที่ยังไม่ได้เอ่ยลากับคนปลายสาย หันมองท้องฟ้าที่เดินเปลือยอกมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวคลุมท่อนร่างอยู่ออกมาจากห้องน้ำด้วยความตกใจ
“ตกใจอะไร?” คนตัวสูงกว่ามองหน้าผมอย่างจับผิด ไม่ยอมเดินไปไหนเอาแต่ยืนโชว์หุ่นของตัวเองอยู่ที่เดิม ถึงจะเห็นอยู่ทุกวันเช้าเย็นแต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เขินนะครับ แทนที่คนโชว์จะเขินแต่เปล่าเลย คนมองนี่แหละเขิน
หุ่นจะดีไปไหนวะ?
“ก็ตกใจฟ้านั่นแหละ” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ขาววิ้งและเนื้อแน่นมาก
“คุยกับใคร?” ยัง ยังไม่ไปแต่งตัวอีก แบบนี้เขาเรียกว่าอ่อยหรือเปล่าครับ?
“คุณพ่อ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อจะไปอาบน้ำบ้าง
“อืม” เขาขานรับเบาๆ แล้วเดินไปแต่งตัว
เออ ผมไม่ได้โกหกนะ ก็คุยกับคุณพ่อจริงๆ แต่เป็นพ่อของเขานะ ไม่ใช่พ่อของผม ถ้าท้องฟ้าจะเอะใจสักนิดเขาก็จะรู้ได้ทันทีว่าผมไม่ได้หมายถึงพ่อของตัวเอง ก็ผมเคยเรียกพ่อตัวเองว่าคุณพ่อที่ไหนกันเล่า แต่เขาไม่สงสัยอะไรมันก็ดีแล้วแหละ ถือว่ารอดตัวไป ไม่งั้นโดนซักยาวแน่
วันนี้ผมต้องตื่นแต่เช้าเพราะต้องออกไปที่บริษัทพร้อมกับท้องฟ้า แฟนผมเขามีประชุมตอนเช้า ผมก็ไปนั่งๆ นอนๆ ในห้องทำงานรอเวลาเขาประชุมเสร็จ ผมมาที่นี่บ่อยจนคนเริ่มจำหน้าผมได้แล้ว กับพี่เลขาหน้าห้องก็เจอหน้ากันบ่อยจนสนิทกันไปแล้ว พอท้องฟ้าประชุมเสร็จเราก็เดินทางไปที่บริษัทของพ่อท้องฟ้าทันที
“เอ่อ มาขอพบคุณนภาดลครับ” ผมเดินเข้าไปคุยกับประชาสัมพันธ์ที่นั่งทางด้านหน้าทางเข้าบริษัท
“ใช่คุณชลธีกับคุณนภดลหรือเปล่าครับ?” แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผมกับท้องฟ้าก่อน
“ใช่ครับ” ผมกับท้องฟ้ามองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนที่ผมจะหันกลับไปตอบ
“งั้นเชิญทางนี้เลยครับ” ผู้ชายตัวสูงที่อยู่ในชุดสูทดูดีผายมือไปทางด้านใน ผมกับท้องฟ้าเลยเดินตามเข้าไป ขึ้นลิฟต์มาชั้นบนก็พบว่ามันเป็นชั้นของผู้บริหารระดับสูง ทั้งชั้นดูเงียบสงบและกว้างขวางมาก เดินไปตามทางเรื่อยๆ ก็เจอกับห้องขนาดใหญ่ ให้เดาก็คงเป็นห้องทำงานของประธานบริษัทนั่นแหละ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผู้ชายคนนั้นที่คาดว่าน่าจะเป็นเลขาของคุณนภาดลเคาะประตูหน้าห้อง 2-3 ทีก่อนจะเปิดเข้าไป เขาหายไปไม่นานก็เดินออกมา
“เชิญเลยครับ” เขาบอกพวกผมด้วยท่าทีนอบน้อม
“ขอบคุณครับ” ผมเลยรีบค้อมหัวขอบคุณแล้วดึงท้องฟ้าให้เดินตามไป หน้าแฟนผมนี่เหมือนพร้อมจะหลับทุกเวลาเลยนะครับ
เดินเข้ามาในห้องก็เห็นพ่อของท้องฟ้ากำลังนั่งหน้าเครียดกับกองเอกสารบนโต๊ะอยู่ ผมกวาดสายตามองรอบๆ ห้องก็ได้แต่แปลกใจที่ภายในห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูงกลับมีแต่ห้องโล่งๆ ถึงเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่จะราคาแพงปาไปหลายแสนก็เถอะ แต่ผมก็คิดว่าห้องนี้มันโล่งเกินไป
“สวัสดีครับ” พักเรื่องข้าวของภายในห้องไว้ก่อน ผมหันไปสวัสดีผู้ใหญ่ตรงหน้าทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามอง
“ทำไมมาเร็ว พ่อนึกว่าจะมากันตอนบ่ายๆ”
“คือท้องฟ้าประชุมเสร็จเร็วน่ะครับ”
“นั่งก่อนสิเดี๋ยวพ่อให้คนเอาน้ำมาให้” คุณพ่อของท้องฟ้าลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาทางพวกเรา ผายมือไปทางโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้องเชิงบอกให้พวกเราเดินไปนั่งรอ
“ถ้าคุณพ่อไม่ว่าง พวกเราค่อยมาใหม่ก็ได้นะครับ” ผมหันไปยิ้มให้ผู้ใหญ่ตรงหน้าแล้วกระตุกมือเรียกคนข้างตัวเบาๆ นี่ก็ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นเลยโว้ย ลืมพกปากมาจากห้องประชุมหรือไงกัน?
“ไม่เป็นไร ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่” ผมยิ้มรับกับคำตอบนั้นแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“ใกล้จะเที่ยงแล้ว กินข้าวกับพ่อสักมื้อได้ไหม?” ท่านมองหน้าผมกับท้องฟ้าสลับกันไปมาอย่างถามความคิดเห็น
“เราไม่คุยกันก่อนเหรอ?” แล้วก็เป็นท้องฟ้าที่พูดขึ้นมา ดูหน้าก็รู้ว่าเขาอยากกลับบ้านเต็มทนแล้ว
แต่ว่านะ นี่เราเพิ่งมาเองจะรีบกลับไปไหนเล่า!
“สั่งข้าวมาเลยก็ได้ครับคุณพ่อ ค่อยคุยระหว่างรอข้าวก็ได้” ผมยื่นมือไปหยิกเอวคนข้างตัวด้วยความหมั่นไส้ บทจะพูดก็พูดได้หักหน้าคนฟังมาก ไม่เห็นหรือไงว่าคุณพ่อท่านหน้าเสียไปแล้วน่ะ!
“เล” คนตัวสูงหันมามองผมหน้าตายุ่งๆ คิ้วขมวดพันกันไปหมด แต่ผมไม่สนใจหรอก
“ไหนฟ้ามีอะไรจะคุยกับคุณพ่อไม่ใช่เหรอ?” ผมหันไปวาดยิ้มกว้างให้ท้องฟ้า แล้วพยักพเยิดหน้าไปทางคุณพ่อแล้วเพิ่มสายตากดดันเข้าไปด้วย
“เล” ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเลย ก็ตกลงกันแล้วนี่ว่าจะมาขอโทษคุณพ่อน่ะ
“มีอะไรหรือเปล่าท้องฟ้า?” คุณพ่อถามด้วยความสงสัย ในดวงตามีประกายความตื่นเต้นแฝงอยู่ ท่าทางที่มองมาอย่างมีความหวังนั้นทำให้ผมรีบสะกิดกระตุ้นท้องฟ้าให้รีบๆ พูด
“ผมแค่อยากจะมาขอโทษที่พูดไม่ดีใส่คุณ” เห็นหน้านิ่งๆ กับท่าทางแข็งๆ ของคนข้างตัวแล้วก็อยากจะยกมือขึ้นกุมขมับ มั่นใจนะว่ามาขอโทษไม่ได้มาหาเรื่อง
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก พ่อเข้าใจ ที่ฟ้าพูดมามันก็ถูก พ่อมันเลวเอง” พอได้ยินคำพูดของคุณพ่อท้องฟ้าก็ชะงักนิ่งไป
“...” ผมเองก็เช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงแค่สองพ่อลูกที่นั่งสบตากันอยู่เงียบๆ เท่านั้น
“จริงๆ คนที่ควรจะขอโทษคือพ่อมากกว่า พ่อมันเป็นพ่อที่แย่มาก พ่อขอโทษนะท้องฟ้า” เงียบกันไปอยู่นาน จนกระทั่งคุณนภาดลเอ่ยปากพูดขึ้นมา นั่นเท่ากับว่าเขาได้ปลดวางทิฐิของตัวเองลงแล้ว
“ถ้าตอนนั้นพ่อพูดแบบนี้ตั้งแต่แรก บางทีพวกเราอาจจะไม่ต้องแยกกันอยู่” ผมจำได้ว่าท้องฟ้าเคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องพ่อของเขา ความที่เป็นคนที่มีอีโก้สูงและถือตัวหนักมากทำให้พ่อของเขาไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากขอโทษใคร แม้แต่คุณแม่ของท้องฟ้าเองคุณพ่อก็ไม่เคยพูดขอโทษในวันที่ทำผิดพลาด
“กว่าพ่อจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้ว พ่อคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันยังไงพ่อก็ยังเป็นพ่อของฟ้าอยู่นะ”
“ผมรู้”
แล้วสองพ่อลูกก็นิ่งเงียบไปอีก เชื่อแล้วแหละว่าสองคนนี้เหมือนกันมาก พูดน้อยและแสดงออกไม่เก่ง นี่มันก็อปปี้วางชัดๆ เลย นอกจากหน้าจะเหมือนกันแล้วนิสัยยังคล้ายกันอีก ไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอก็รู้ได้เลยว่าพ่อลูกกันแน่ๆ
“เฮ้อ ขอบคุณนะทะเล ขอบคุณที่พาท้องฟ้ามาหาพ่อ” คุณพ่อหันมาระบายยิ้มบางให้กับผมหลังจากที่เล่นเกมจ้องตากับลูกชายของตัวเองมาสักพัก
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ ท้องฟ้าอยากมาหาคุณพ่อเองต่างหาก” ผมอมยิ้มแล้วเหล่ตามองคนข้างตัว
ผมรู้ว่าลึกๆ ท้องฟ้าก็อยากคุยกับพ่อของเขา แต่เพราะเป็นคนแบบนี้ เออ จะไม่อธิบายนะว่าแบบไหนนะ เอาเป็นว่าความเป็นท้องฟ้านั่นแหละทำให้เขาไม่รู้จะเริ่มเข้าหาพ่อของตัวเองยังไง ผมรู้ดีว่าผมไม่ได้มีพลังมากพอที่จะไปสั่งให้เขาทำอะไรก็ได้ หากเขาไม่อยากทำเขาก็จะไม่ทำ ท้องฟ้าก็ยังคงเป็นท้องฟ้า ถ้าไม่พอใจก็จะดื้อเงียบใส่ ฟังนะ แต่ไม่ทำตาม นั่นแหละความเป็นท้องฟ้าอีกอย่างหนึ่ง
“เล” พอถูกผมแซวเข้าหน่อยก็มาทำเป็นขรึม กลัวจังเลย~
“เอ่อ ฟ้า พอดีเลลืมโทรศัพท์ไว้ในรถน่ะ ขอลงไปเอาก่อนนะ ขอตัวนะครับคุณพ่อ” บางทีผมควรให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน ยังไงผมมันก็เป็นแค่คนนอก ผมเอ่ยบอกกับทั้งสองก่อนจะรีบพาตัวเองออกไปข้างนอกห้องอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ใครได้ขานรับ ผมไม่ได้ลืมโทรศัพท์หรอก โทรศัพท์ผมก็อยู่ในกางเกงนี่แหละ เอาเป็นว่าผมไปเดินเล่นแถวๆ นี้สักหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวอีกสักพัก(ใหญ่ๆ)ค่อยขึ้นไปก็แล้วกัน
โอ้! เป็นความคิดที่ดีมาก ตกลงตามนี้แหละทะเล ไปหาร้านกาแฟนั่งกินนมปั่นดีกว่า!
---------------------------------------------------------------------------------------
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

2,610 ความคิดเห็น
-
#2512 Jibangrin (จากตอนที่ 47)วันที่ 2 เมษายน 2562 / 10:42น้องงงงงงง555555555#2,5120
-
#2380 Sunflower.W (จากตอนที่ 47)วันที่ 20 ธันวาคม 2561 / 09:10เจ้าแผนการจังทะเลตัวแค่นี้#2,3800
-
#2372 PeachyJMl (จากตอนที่ 47)วันที่ 8 ธันวาคม 2561 / 16:59เลน่ารักกกก ท้องฟ้าจู้ๆ#2,3720
-
#2371 Jezzy Jimmy (จากตอนที่ 47)วันที่ 7 ธันวาคม 2561 / 16:59ทะเล เก่งมากลูก#2,3710
-
#2370 kiyojung (จากตอนที่ 47)วันที่ 7 ธันวาคม 2561 / 16:47เข้ามาให้กำลังใจคนเขียน นิยายน่ารักมากกกกก ทะเลเด็กคิดบวก ตอนแรกเปิดตัวมานึกว่าน้องจะเป็นเด็กติสๆ ที่ไหนได้ น้องแคร์ทุกคนเลย นางน่ารัก ชอบนิยายเอื่อยๆที่ไม่สามารถวางลงได้เลยซักตอน ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้นะคะ#2,3700
-
#2369 peemgirl (จากตอนที่ 47)วันที่ 6 ธันวาคม 2561 / 16:25ทะเล~~~~ทำไมหนูทำตัวน่ารักอย่างนี้ล่ะลูกกกกก#2,3690
-
#2368 w_ivvie (จากตอนที่ 47)วันที่ 6 ธันวาคม 2561 / 09:48ทะเลลลล~ ทำไมน่ารักจังง่าาาาา ><#2,3680
-
#2367 Raindear97 (จากตอนที่ 47)วันที่ 6 ธันวาคม 2561 / 00:17เลน่ารักมากกกก ท้องฟ้าโคตรอ้อนเลย ฮือออ ชอบบบบ#2,3670
-
#2366 อย่าสนใจเราเลยเราแค่อยากอ่าน (จากตอนที่ 47)วันที่ 5 ธันวาคม 2561 / 18:56แงเจ้าท้องฟ้า คนงอแง#2,3660
-
#2365 Miki_milky (จากตอนที่ 47)วันที่ 5 ธันวาคม 2561 / 16:35ท้องฟ้าอย่าใจร้ายกะคุณพ่อเลย ลดทิฐิมั้ง#2,3650
-
#2364 Nicefox (จากตอนที่ 47)วันที่ 5 ธันวาคม 2561 / 16:23กลับขึ้นมา พ่อลูกชกปากกันแล้วทำไง. 555555. ล้อเล่นๆ. หนูทะเลชิ่งไวมาก. แถมชิ่งไปหาของกิน. แหม่ๆๆๆๆ#2,3640
-
#2363 raving_fox (จากตอนที่ 47)วันที่ 5 ธันวาคม 2561 / 16:16555555ตอนนี้ท้องฟ้ายิ่งกว่าลูกแมวอีก#2,3630