ตอนที่ 4 : ท้องฟ้ากับทะเล : 02 [1/2]
02
“สนุกมากไหม?” ผมหันไปมองแรงคนข้างตัวทันทีที่อีกฝ่ายขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ
“ม๊ากมาก” เมธหันมายกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวแทบจะครบสามสิบสองซี่
“ทำเพื่อ?” ผมกอดอกแน่นอย่างหงุดหงิด เหมือนว่าวันนี้เมธาจะเล่นแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมานะครับ
“จริงๆ กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ กูแค่พูดตามปกติของกูเองนะ” เมธแสร้งทำหน้าซื่อไร้เดียงสาใส่ผม แต่บอกได้เลยว่ามันน่าหมั่นไส้สุดๆ นอกจากจะไม่น่ารักแล้วยังน่าถีบอีกด้วย
“ปกติของมึงแต่ไม่ปกติของคนอื่น” เพื่อนสนิทของผมคนนี้มีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ชอบปั่นหัวชาวบ้าน ซึ่งผมที่รู้นิสัยนี้ดียังเกลียดมันเลย เชื่อเถอะว่าคนอื่นก็ต้องเกลียดมันเช่นกัน
“เออน่า แบบนี้แหละดีแล้ว” สารถีประจำตัวหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ผมก่อนจะหันไปสตาร์ทรถแล้วขับออกจากลานจอดรถของร้านอาหารชื่อดัง
“ดียังไง?” การสร้างความเข้าใจผิดให้ชาวบ้านนี่คือเป็นเรื่องที่ดีแล้วเหรอ? ตรรกะไหนของคุณเมธาเขาล่ะเนี่ย?
“ก็มึงจะได้ตัดใจจากท้องฟ้าได้ไง” นัยน์ตาหวานตวัดมองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับถนนเบื้องหน้า ผมชะงักกับคำพูดนั่นไปพักหนึ่ง ใครบ้างจะไม่อึ้งเมื่อถูกพูดถึงความลับของตัวเองน่ะ
อ่าใช่ ผมแอบชอบท้องฟ้า ชอบมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีใครรู้หรอกนอกจากตัวผม เมธ และนที มันเป็นความลับสุดยอดที่มีคนรู้เพียงแค่สามคนบนโลกเท่านั้น อ้อ จริงๆ ก็มีสี่นะ แต่อีกคนน่ะ เขาไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
“ไม่เกี่ยวกันเลย กูพอใจที่จะชอบท้องฟ้าแบบนี้ไปเรื่อยๆ มึงจะทำไม?” ผมหันไปจ้องหน้าเพื่อนตัวสูงกว่าด้วยความขุ่นเคือง
ถึงผมจะเป็นได้แค่คนแอบชอบ แม้จะเป็นเพียงสายน้ำที่อยู่ห่างไกลจากผืนฟ้าแต่เพียงแค่ได้เฝ้ามองอยู่ในมุมๆ หนึ่งมันก็ดีมากแล้วไม่ใช่เหรอ? การชอบท้องฟ้าไม่ได้เป็นตราบาปต่อตัวผมสักหน่อยแล้วทำไมผมต้องตัดใจจากท้องฟ้าด้วยล่ะ? สำหรับผมแล้ว การชอบท้องฟ้าเป็นหนึ่งในความสุขที่มีไม่มากนักของผม
อีกอย่างนะ ถ้าไม่ใช่เพราะท้องฟ้า ผมเองก็คงไม่ได้กลับมาวาดรูปอีกครั้งแบบนี้แน่
“โอ๊ย! ใครจะไปกล้ามีปัญหากับมึง กูมันแค่คนแก้เหงาส่วนเขามันคนในใจ”
ความเล่นใหญ่เกินเบอร์นี้ท่านได้แต่ใดมา?
“ดราม่าเพื่อ?” ขออนุญาตกลอกตามองบนนะครับ
“แหม เล่นนิดเล่นหน่อยไม่ได้ พูดชื่อนี้ทีไรของขึ้นทุกที” การแอบชอบใครสักคนไม่ใช่ตราบาปในชีวิต แต่การที่เพื่อนสนิทรู้ว่าเราชอบใครนั้นยิ่งกว่านรกขุมที่ลึกที่สุดอีกนะครับ เพราะมันจะเหยียบย่ำและขยี้ปมคุณไปจนวันสุดท้ายของลมหายใจ
“เรื่องของกู” ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะเก็บรูปภาพของท้องฟ้าใส่เซฟเอาไว้อย่างดีและจะไม่ยอมให้ใครได้เห็นมันเด็ดขาด จะใส่รหัสและล็อกกุญแจซ้อนกันสักสิบชั้นเลยคอยดูสิ!
“ระวังกูจะแฉความลับมึง” แค่ได้ยินก็ถึงกับขนลุกซู่เลยครับ
“แฉมาแฉกลับไม่โกงครับ” แต่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ความลับของมันสักหน่อย ผมเองก็กำความลับของเมธาไว้เยอะเหมือนกันนะครับผม
“มึงจะแฉอะไรกู?” หน้าตาดูอวดดีแต่น้ำเสียงโคตรจะไม่มั่นใจเลยนะเมธา
“อื้อหือ เรื่องมึงนี่มีเป็นล้าน แม่มึงต้องอยากรู้มากแน่ๆ” ให้นั่งร่ายทั้งวันก็ไม่หมดนะพูดเลย ถ้าผมหลุดปากออกไปเมื่อไหร่ต้องมีคนเจ็บตัวนะพูดเลย
“โถ่ ที่รัก หยอกนิดหยอกหน่อยเองน่า” ทีอย่างนี้ทำมาเป็นเสียงอ่อนเสียงหวาน ถ้ามันมีหูมีหางด้วยนี่คงตลกน่าดูเลยนะครับ
“หยี๋! ขนลุก!” ผมขยับหนีมือใหญ่ที่เอื้อมมาเขี่ยๆ ที่ต้นแขนอย่างนึกรังเกียจจนตัวผมเบียดไปกับประตูรถ
“ถ้าเปลี่ยนจากกูเป็นไอ้ท้องฟ้ามึงคงจะไม่พูดแบบนี้” คำพูดที่เชือดเฉือนมาพร้อมกับสายตามองแรง
“ก็รู้นี่” ผมเชิดหน้าจนคอแทบหักก่อนจะเบือนหน้าหนีมองออกไปนอกรถเพื่อเป็นการตัดบท
เฮ้อ ง่วงนอนจังเลย เมื่อไหร่จะถึงห้องสักทีนะ
“จำไว้นะทะเล กูจะแฉมึงให้ยับเลย” แม้ผมจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะคุยด้วยแต่เมธมันก็ยังคงส่งเสียงข่มขู่ตามมาอีก เจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรเบอร์นั้นนะเมธา
“พูดมากจัง เงียบๆ น่า” ผมหันไปผลักไหล่กว้างเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปเปิดเพลงเพื่อเป็นการตัดเสียงน่ารำคาญจากคนข้างตัว
“เออ!”
หลังจากที่กลับมาถึงคอนโดผมก็วิ่งเข้าห้องนอนหอบเอาเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะความง่วงงุนที่เกาะตัวผมอยู่ทำให้ผมอยากจะล้มตัวลงนอนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วทุกอย่างกลับไม่เป็นดั่งที่คาดไว้ พอเจอน้ำเย็นเข้าไปร่างกายก็ตื่นเต็มตา เหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าเพิ่งจะสามทุ่มเอง ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ผมเลยเดินไปหยิบสมุดสเก็ตซ์ภาพสีดำออกมาวาดรูป วันนี้ผมเลือกที่จะลองวาดรูปแมวน้ำ ผมเป็นคนที่ชอบดูสารคดีสัตว์โลก วิดีโอล่าสุดที่ผมบังเอิญกดเข้าไปดูเป็นเรื่องเกี่ยวกับแมวน้ำครับ เห็นแล้วรู้สึกว่ามันน่ารักดีเลยแคปรูปมาลองฝึกวาดดู ผมชอบที่จะวาดรูปพวกสัตว์นะครับ ส่วนเหตุผลที่เข้าคณะนี้ก็ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมอยากมีบ้านที่ตัวเองเป็นคนออกแบบเอง คณะสถาปัตย์จึงเป็นตัวเลือกเดียวของผม
แกร๊ก
“อ้าวมึง วันนี้ไม่วาดรูปคนในใจของมึงเหรอ?” เมธที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่ใส่แต่กางเกงนอนขาสั้นพอดีเข่ายืนเช็ดผมอยู่หน้าห้องน้ำพลางชะโงกหน้ามามองผมที่นั่งวาดรูปอยู่ตรงพื้นปลายเตียง
“ไม่เสือกสิ” ผมตอบกลับโดยที่ตายังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาษวาดรูปของตัวเอง
“อ๋อ กูรู้ละ เพราะมึงกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่คงที่เลยไม่อยากวาดไอ้ท้องฟ้าใช่ไหม? มึงกลัวว่าวาดออกมาแล้วจะทำให้รูปของมันออกมาไม่ดีเท่าที่ควรสินะ” ไอ้คนที่เล่นเป็นนักสืบเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงก่อนจะก้มลงไปหยิบสมุดสเก็ตซ์สีน้ำเงิน-ฟ้าที่วางอยู่ข้างตัวผมขึ้นมาแล้วทำทีเป็นเปิดดูทีละหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
“รู้ดีกว่าตัวกูอีกนะมึงน่ะ” ผมหยุดมือที่กำลังลงลายละเอียดในภาพแล้วกลอกตามองอย่างเบื่อหน่าย
“แน่นอน กูเก่ง” นี่เพื่อนมันไม่เข้าใจคำว่าประชดเหรอ?
“ขี้เสือกล่ะสิไม่ว่า” ผมดึงเอาสมุดวาดรูปของตัวเองกลับมากอดไว้แน่นอย่างหวงแหน เล่มนี้ผมหวงมากเลยนะ
“ใช่สิ กูไม่ใช่ท้องฟ้านี่ กูมันก็แค่เมธา กิจอัครบวรจะไปสู้อะไรกับนภดล อธิพัฒน์เดชากรได้ล่ะ”
แหนะ! มีตัดพ้อด้วย
“มาเต็มนะมึง” ผมส่ายหัวเบาๆ อย่างเอือมระอา เล่นเยอะเล่นใหญ่เกินชาวบ้านชาวช่องตลอด
“เออ กูเห็นมันเขียนอยู่ที่หน้าสมุดสเก็ตซ์ภาพของมึง” นิ้วเรียวจิ้มลงมาที่หน้าปกสมุดสก็ตซ์เล่มโปรดที่ผมกอดเอาไว้อยู่ด้วยสายตาล้อเลียนทำเอาผมเม้มปากแน่นด้วยความเก้อเขิน
ทุกคนคงพอจะเดาออกแล้วใช่ไหมว่าทำไมผมถึงหวงสมุดสเก็ตซ์เล่มนี้นัก ก็เพราะว่าในเล่มนี้มันมีแต่รูปของท้องฟ้าไง นี่คือต้นเหตุที่ทำให้เมธา กิจอัครบวรรู้ความลับของผมและมันมักจะเอามาล้อเลียนให้ผมเก้อเขินอยู่เสมอ
“เสือกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว” ผมบ่นอุบพร้อมช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง เมธทำเพียงแค่หัวเราะเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาขยี้ผมของผมจนยุ่งเหยิงไปหมดก่อนขยับไปนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงรอเวลานอนพร้อมผม
ผมก้มมองสมุดในมือก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วตัดสินใจเก็บข้าวของทุกอย่างเพื่อเตรียมนอน ผมว่าวันนี้ผมไม่พร้อมที่จะวาดรูปจริงๆ นั่นแหละ ไม่ว่าจะรูปอะไรก็ตาม การได้กลับมาเจอท้องฟ้าอีกครั้งเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก กี่ปีแล้วนะที่ผมไม่ได้เจอเขา กี่ปีแล้วที่ผมเอาแต่วาดรูปเขาจากจินตนาการและรูปถ่ายเก่าๆ ที่เคยแอบถ่ายไว้
อืม น่าจะสักสองปีเศษๆ ได้แล้วล่ะมั้ง
หลังอาจารย์ปล่อยคลาสผมก็รีบเก็บข้าวของลงกระเป๋าเป้หันไปบอกเกนกับนานะว่าให้เจอกันคาบบ่ายแล้วเร่งก้าวขาฉับๆ ลงมายังใต้คณะเพื่อมาหาเพื่อนสนิทที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมลงมาช้าจังวะ?” พอเจอหน้ากันผมก็โดนบ่นทันที เมธดูหงุดหงิดเล็กๆ ถ้าให้เดาคือโมโหหิว เพราะอาจารย์ปล่อยผมช้าไปตั้งเกือบยี่สิบนาที
“ก็อาจารย์ปล่อยช้า” ผมยกมือขึ้นเสยผมตัวเองลวกๆ รู้สึกร้อนเพราะเหงื่อที่ซึมตามตัวจากการที่รีบวิ่งมาเมื่อกี้
“โรงอาหารคนเต็มแน่ ออกไปกินข้างนอกไหม?” เมธยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วหันมาถามผม
“ไปดูก่อน ถ้าไม่มีค่อยออกไป” เพราะตอนบ่ายผมมีคลาสต่อเลยทำให้ไม่อยากออกไปไหนไกล ขี้เกียจครับ
“เออๆ ตามใจ” เมธพยักหน้ารับแล้วเดินนำไปที่โรงอาหารของคณะ ภาพที่ผมกับเมธมักจะไปกินข้าวด้วยกันทุกพักเที่ยงมันคงเป็นภาพที่หลายคนในคณะเห็นจนชินตาไปแล้ว
แม้เรื่องสถานะของผมกับเมธจะยังดูคลุมเครือในสายตาคนอื่นแต่หลายๆ คนก็ตีความไปว่าผมกับเมธคบกัน ผมเองก็ยินดีที่จะให้พวกเขาคิดอย่างนั้น เพราะผมไม่ต้องการให้ใครเข้ามาใกล้ชิดกับผมในสถานะอื่นนอกจากเพื่อน ผมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าในใจผมนั้นมีใครอยู่ ผมเลยไม่อยากให้ใครเข้ามาในชีวิต ผมไม่อยากปฏิเสธใคร ไม่อยากเป็นเรื่องราวแย่ๆ ในชีวิตของใคร และไม่อยากให้ความหวังใคร
“คนเยอะว่ะ” พอเข้ามาในโรงอาหารก็แทบจะเดินออกทันที ไม่มีที่นั่งเลย เดินวนๆ หาแล้วก็เต็มหมด
“ออกไปข้างนอกเนอะ” เมธหันมาถามหลังจากที่ไม่มีวี่แววว่าจะหาที่นั่งได้เลย
“อืม” ผมพยักหน้ารับแล้วเดินตามหลังเมธไปทางหน้าโรงอาหาร
“ทะเล!” แต่เพราะเสียงของใครบางคนดังเรียกผมเอาไว้เสียก่อนทำให้ผมต้องหยุดเดินแล้วหันไปมองโดยที่มือก็เอื้อมไปดึงชายเสื้อของเพื่อนสนิทเอาไว้ด้วย
“พี่รัญ? สวัสดีครับ” ผมเดินเข้าไปหาพี่รหัสแล้วยกมือไหว้รอบโต๊ะ เพราะนอกจากพี่รัญแล้วก็ยังมีเพื่อนของพี่เขาอีกสี่คนนั่งอยู่ด้วย ทั้งที่อยู่กันคนละคณะแต่ก็ยังมานั่งกินข้าวด้วยกันอีกเนอะ ผิดกับพวกผมเลย ถ้าเป็นช่วงพักนี่ผมกับเมธไม่เคยโผล่ไปที่คณะของนทีเลย นทีเองก็ไม่มากินข้าวที่นี่เหมือนกัน ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนอกจากความขี้เกียจครับ
อ้อ ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าพี่คชาเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ ส่วนพี่พนา พี่ภพ และท้องฟ้าเรียนอยู่คณะบริหาร คณะเดียวกับนทีนั่นแหละ
“ไม่มีที่นั่งเหรอ? นั่งด้วยกันไหม?” พี่รัญยิ้มใจดีส่งมาให้อีกเช่นเคย บอกแล้วว่าผมน่ะโชคดีที่ได้พี่รัญเป็นพี่รหัส
“ไม่เป็นไรพี่ ผมออกไปกินข้างนอกก็ได้ครับ” คลาสบ่ายของผมวันนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากเข้าไปให้อาจารย์เห็นหน้าแล้วเอางานไปให้ดู เข้าสายได้แต่งานต้องมี ซึ่งงานผมทำเกินไปไกลกว่าเพื่อนหลายคนแล้ว
“เฮ้ย! จะออกไปทำไม มาๆ นั่งนี่แหละ” พี่รัญรีบขยับไปชิดกับพี่คชาเพื่อเว้นที่ว่างให้ผมนั่ง ที่นั่งฝั่งพี่รัญมีแค่สองคน ส่วนฝั่งท้องฟ้ามีกันสามคน
“กูไม่อยากนั่งกับมึงว่ะรัญ” เมธที่ยืนอยู่ข้างผมยกมือขึ้นท้าวแขนกับไหล่ของผมแล้วทำหน้าเหม็นเบื่อใส่พี่รัญ
“เรื่องของมึง กูชวนน้องกูนั่งไม่ได้ชวนมึงไอ้เมธ” พี่รัญชักสีหน้าเหวี่ยงๆ ใส่เมธแล้วหันไปกินข้าวต่อ
“เออ ออกไปกินข้างนอกเถอะทะเล” เมธพูดแล้วทำท่าจะดึงผมให้เดินตามออกไป
“กูจะนั่งกับพี่รัญ มึงอยากไปข้างนอกก็ไปสิ” ผมยื้อแขนตัวเองเอาไว้แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างพี่รัญอย่างไม่อิดออด ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่อยากออกไปกินข้าวข้องนอก ในเมื่อมีที่นั่งแล้วผมจะออกไปให้เสียเวลาทำไมอีกจริงไหม?
“มึงจะเอาใช่ไหม?” คนไม่มีพวกถลึงตามองผมอย่างเอาเรื่อง
“หึ นั่ง” ผมยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะพลางกระตุกมืออีกฝ่ายให้นั่งด้วยกัน เมธมันก็ต้องนั่งเบียดกันฝั่งนี้แหละ เพราะถ้าบอกให้มันไปนั่งข้างท้องฟ้ามันก็คงไม่ไป ไม่รู้มันเป็นอะไรถึงดูไม่ค่อยชอบท้องฟ้า สงสัยเป็นบ้ามั้ง
“เออ กินอะไรเดี๋ยวไปซื้อให้” กระเป๋าเป้สีน้ำตาลสภาพโทรมๆ ถูกส่งมาให้ผมโดยคนพูดทำหน้าอย่างกับจะเป็นจะตาย ก็แค่นั่งกินข้าวป่ะวะ? เป็นอะไรหนักหนาไอ้เบื้อก!
“อะไรก็ได้” ผมที่คิดว่าจะหันไปมองหาร้านอาหารก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เมื่อสายตาดันไปปะทะกับใครอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ
คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นแหละ
“เพ็ดดีกรีไหม?” ถ้าวันไหนไม่ได้กวนตีนผมนี่มันคงนอนไม่หลับสินะ
“เพื่อนเล่นเหรอ?” สักวันผมจะหอบเอาหมอนกับผ้าห่มของมันไปโยนไว้ที่ระเบียงห้อง ผมจะไล่มันออกไปนอนนอกห้องบ้างคอยดูสิ!
“กวนตีน” พอมองแรงใส่ผมเสร็จมันก็เดินหน้าบึ้งไปซื้อข้าว รอประมาณเกือบสิบนาทีเมธก็เดินกลับมาพร้อมข้าวราดแกงสองจานและน้ำเปล่าที่อยู่ในถุงพลาสติกสองขวด เมื่อได้กินข้าวก็ดูเหมือนว่าเมธาจะใจเย็นลง ก่อนหน้านี้คือโมโหหิวไงเลยดูเกรี้ยวกราด
“เออ ทะเล ใกล้จะประกวดเดือนแล้วนะ เราพร้อมหรือยัง?” นั่งกินไปจนเกือบจะหมดจานแล้วพี่รัญก็หันมาถามผมถึงเรื่องประกวดเดือนมหา’ลัย ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าผมเป็นเดือนคณะ ผมไม่ได้หล่อหรอก แต่ปีสองเขาสุ่มจับฉลากได้ชื่อผมน่ะ เห็นเมธมันบอกมาอย่างนี้นะ
“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแหละพี่” ผมตอบกลับเนือยๆ แค่งานก็แทบอ้วกแล้วนี่ยังต้องไปซ้อมเดิน ซ้อมการแสดงอะไรอีกก็ไม่รู้ น่าเบื่อชะมัดเลย เย็นนี้ก็มีนัดซ้อมอีก
“เย็นนี้มีซ้อมไหม?” พี่รัญยังคงทำหน้าที่พี่รหัสที่แสนดี ใส่ใจทุกรายละเอียดของน้องรหัสไม่มีขาดตกบกพร่อง
“มีตอนห้าโมงเย็นครับ” ผมเลิกเรียนสี่โมงทำให้พอจะมีเวลาพักก่อนไปซ้อมประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง
“กูไม่ไปเฝ้านะบอกเลย” ทำไมเพื่อนผมมันไม่ทำตัวแสนดีแบบพี่รหัสผมบ้างนะ?
“เออ แต่ต้องมารับกูนะ” ผมไม่อะไรมากหรอกกับการไปซ้อมคนเดียว ถึงยังไงผมก็มีเพื่อนที่เป็นเดือนด้วยกันอยู่แล้ว กับดาวคณะบางคนผมก็รู้จักนะ แต่ไม่สนิทเท่าไหร่
“เดินกลับเองสิ” แค่พูดอย่างเดียวมันจะตายไหม? ทำไมต้องมาผลักหัวด้วยวะ!?
เดี๋ยวความรู้ก็ไหลออกจากหัวหมดหรอก!
“ไม่ต้องเถียงกัน เดี๋ยวเย็นนี้กูไปส่งทะเลเอง แล้วมึงไม่ต้องเสนอหน้ามานะเมธา” พี่รัญยกมือขึ้นโอบรอบหัวผมแล้วลูบเบาๆ คล้ายปลอบโยนก่อนจะหันไปชี้หน้าแยกเขี้ยวขู่ใส่เมธ
“สั่งเป็นเมียกูเลยนะหิรัญ” คุณเมธากลอกตามองคุณหิรัญอย่างเบื่อหน่ายแต่ก็ยอมพยักหน้ารับเนือยๆ กลับไป
“อี๋! กล้าพูด เดี๋ยวกูถีบ” ปากบอกว่าเดี๋ยวแต่เท้านี่ถีบไปแล้วครับ
“แล้วคืนนี้จะกลับห้องไหม?” เดาเอาว่าที่มันไม่ไปรับผมก็คงจะติดธุระแหละ ไม่ทำงานก็ไปกับสาว
“ไม่ กูจะไปนอนห้องเมียน้อย” นิ้วเรียวยกขึ้นมาจ่ออยู่ตรงหน้าผมก่อนจะส่ายไปมาเบาๆ แถมคนพูดยังยักคิ้วข้างเดียวอย่างโคตรกวนประสาทอีก
“พ่อง!” ผมขยับปากด่าแบบไม่มีเสียง ดูก็รู้ว่ามันตั้งใจกวนตีน เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่าผมกับเมธคบกัน ไอ้นี่เลยเล่นใหญ่มอบตำแหน่งเมียหลวงให้ผมเฉย
ให้ตายเถอะ ใครอยากได้วะ?
“รีบๆ กิน เดี๋ยวก็เข้าคาบบ่ายสายหรอก” พอแหย่ให้ผมหงุดหงิดได้มันก็พาเปลี่ยนเรื่อง ผมส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอาก่อนจะหันกลับมากินข้าวต่อ แม้จะแสร้งทำเป็นไม่สนใจใครบางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เถอะ แต่สายตาเจ้ากรรมก็เผลอเหลือบไปมองเข้าจนได้
แล้วเป็นไงน่ะเหรอ?
ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าสายตาของท้องฟ้าน่ะคล้ายกับจะแช่แข็งคนที่เผลอไปสบตากับเขาได้ แล้วตอนนี้ผมก็กำลังเป็นอย่างนั้นอยู่ ใครจะไปคิดล่ะว่าคนที่นั่งเงียบมาตลอดจะกำลังนั่งมองหน้าผมอยู่น่ะ
แค่นั่งกินข้าวต้องใจเต้นแรงขนาดนี้ไหมนะทะเล?
“พวกกูไปก่อนนะ ต้องพาหมาไปเข้าเรียน” พอกินข้าวเสร็จเมธมันก็เร่งผมยิกๆ ให้รีบไป ไม่รู้มันจะรีบไปไหน
“เออๆ เจอกันตอนเย็นนะทะเล” พี่รัญหันไปพยักหน้าแกนๆ กับเมธก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ผม
“ครับ” ผมยิ้มรับแล้วรีบเดินตามแรงฉุดของเมธไป
---------------------------------------------------------------------------------------
งื้อ มีคนอ่านด้วย ดีใจจัง
ขอบคุณคนที่ติดตามนะฮับ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ท้องฟ้าค่าตัวเพลงมากไม่พูดอะไรเลย 5555 ปล.เมธกับรัญเคมีดูเข้ากันยังไงก็ไม่รู้ เชียร์คู่นี้ได้ไหมคะ 5555555555555555