ตอนที่ 37 : ท้องฟ้ากับทะเล : 18 [1/2]
18
เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาเพราะอากาศที่เย็นตัวลงกว่าวันก่อน ผมพลิกตัวขยับเข้าหาไออุ่นที่อยู่ข้างตัว แขนแกร่งที่โอบผ่านช่วงตัวของผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม แล้วตามมาด้วยสัมผัสหนักๆ ที่กดลงมากลางหน้าผาก ผมระบายยิ้มออกมากับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่าย ความง่วงงุนที่มีอยู่มากพอสมควรทำให้ผมกลับไปจมอยู่ในห้วงของนิทราอีกครั้งอย่างไม่สามารถบังคับตัวเองได้
กว่าจะตื่นมาอีกทีก็ตอนที่รู้สึกว่าได้นอนจนเต็มอิ่มแล้ว ผมลืมตามองพื้นที่ข้างตัวแล้วก็พบกับความว่างเปล่าอีกเช่นเคย สัมผัสเย็นชืดทำให้รับรู้ได้ว่าเจ้าของห้องตัวสูงลุกออกจากเตียงไปได้สักพักแล้ว ผมขยับลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดการทำธุระส่วนตัวของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกมาข้างนอก ภาพเดิมๆ ที่ผมเห็นจนชินตาทำให้ผมอดที่จะอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ภาพของท้องฟ้าที่ยืนอยู่หน้าเตากำลังทำอาหารอย่างตั้งใจนั่นมันดูดีมากจริงๆ ผมไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยอย่างการที่ตื่นมาแล้วไม่เจอท้องฟ้านอนอยู่ข้างๆ หรอกนะ มันเป็นเรื่องปกติมากสำหรับผมกับท้องฟ้าที่เขามักจะตื่นขึ้นมาก่อนผมแล้วมาขลุกตัวอยู่ในห้องครัวเพื่อทำอาหารมื้อแรกของวันสำหรับเราทั้งคู่
ท้องฟ้ามักทำให้ผมพิเศษอยู่เสมอ
ผมเดินไปหยิบจานกระเบื้องสีขาวใบใหญ่จากบนเคาน์เตอร์กลางห้องครัวมาถือเอาไว้แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาคนตัวสูงที่กำลังวุ่นอยู่กับการทอดไข่ดาว อีกไม่นานเขาก็ต้องหันมาหยิบจานที่วางอยู่ แต่วันนี้ผมจะเป็นคนหยิบมาส่งให้เขาเองเพื่อที่เขาจะได้ลดระยะทางที่จะเดินไปหยิบมันไง ยังไม่ทันที่ผมจะได้ส่งเสียงเรียกหรือทำอะไรที่เป็นการแสดงตัวตนออกมา คนที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมมื้อเช้าก็หันมามองผมพร้อมก้มลงมากดจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากผมหนึ่งทีก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็วแล้วคว้าเอาจานที่ผมถืออยู่ไป ผมยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ด้วยความตกใจปนเขินอาย
นี่มันเดจาวูชัดๆ
“เล”
“หืม?” ผมขานรับเบาๆ ทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมแสร้งก้มหน้าก้มตาหั่นไส้กรอกแล้วยัดใส่ปากเขี้ยวตุ้ยๆ กลบเกลื่อนความเก้อเขินที่ถูกท้องฟ้าจู่โจมก่อนหน้านี้
“เดี๋ยวก่อนวันเกิดฟ้าเราไปค้างที่บ้านฟ้ากันก่อนสักคืนนะ” ผมชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบขนมปังปิ้งแล้วเงยหน้ามองอีกฝ่ายทันที มุมปากบางยกยิ้มบางเบาส่งมาให้อย่างเช่นทุกครั้ง
“ทำไม?” ผมนิ่งไปพักหนึ่งด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด มันไม่เชิงว่าอึดอัดหรอกแต่มันออกแนวกดดันมากกว่า ถึงท้องฟ้าจะพูดแบบสบายๆ แต่ผมก็รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ ขึ้นมาทันทีเมื่อคิดได้ว่าจะต้องไปเจอกับครอบครัวของคนรัก มีใครบ้างไม่หนักใจตอนที่รู้ว่าต้องไปเจอกับพ่อแม่แฟนน่ะ
“ฟ้าอยากให้เลไปเจอแม่ก่อน” เป็นคำตอบที่ชวนใจเต้นแรงจริงๆ ผมรู้สึกดีใจมากที่เขาจริงจังกับผมถึงขนาดนี้ การไปเจอพ่อแม่แฟนมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการที่จะพาแฟนไปให้พ่อแม่รู้จักได้นั้นนั่นหมายความว่าเราต้องจริงจังกับอีกฝ่ายมากจริงๆ ผมไม่เคยพาแฟนของผมไปให้แม่หรือพ่อได้รู้จักเพราะผมไม่ได้รู้สึกว่าเราจะไปกันได้ไกลถึงขนาดนั้น
แต่กับท้องฟ้า
อืม พูดยากแฮะ ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมกับท้องฟ้าจะคบกันไปได้ไกลถึงไหน แต่ที่ผมรู้ตอนนี้คือผมจริงจังกับเขามาก เขาเองก็เคยเจอกับพ่อของผมแล้วถึงจะไม่เป็นทางการก็เถอะ แต่กับแม่นี่ก็นับว่าเจอกันอย่างจริงจังแล้ว ครั้งนี้คงเป็นผมบ้างแล้วล่ะที่ต้องไปเจอกับแม่ของเขาน่ะ
“แม่ฟ้าดุไหม?” มันคงเป็นประโยคเบสิคที่คนทั่วไปมักถามกับแฟนตัวเองแบบนี้สินะ
“แม่ใจดี” และนี่ก็คงเป็นประโยคเบสิคที่คนเป็นแฟนมักจะตอบกลับมาแบบนี้สินะ ก็มันจะมีใครที่ไหนบอกว่าพ่อแม่ตัวเองดุหรือโหดล่ะ ลองตอบแบบนั้นก็ทำแฟนตัวเองขวัญเสียกันพอดีสิ
“ท่านจะรับเรื่องของเราได้ไหม?” นี่คือสิ่งที่ผมกังวลเป็นอย่างมากในตอนนี้ ความสัมพันธ์อย่างพวกเราจะมีสักกี่คนที่ยอมรับได้ ดีแค่ไหนแล้วที่เพื่อนๆ ของพวกเราต่างก็ยอมรับได้อย่างไม่นึกรังเกียจ แต่กับคนเป็นพ่อแม่ล่ะ พ่อแม่ที่มีลูกชายเพียงคนเดียวจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้เหรอ?
“ไม่ต้องกลัวนะ ฟ้าอยู่นี่” ฝ่ามือใหญ่เลื่อนมากอบกุมมือของผมเอาไว้แน่นพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นอย่างให้กำลังใจ
หลังจากกินมื้อเช้ากันเสร็จเราก็ย้ายกันมานั่งปักหลักกันอยู่ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์กลางห้องนั่งเล่น ท้องฟ้ากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย เหมือนเขาจะหาช่องที่อยากดูไม่ได้เลยนั่งเปลี่ยนมันไปแบบนั้น จนไปหยุดอยู่ที่ช่องๆ หนึ่งที่กำลังฉายหนังอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเลือดสาดกันทั้งเรื่องเลย และดูท่าจะถูกใจคนข้างตัวผมเป็นอย่างมาก ถึงผมจะชอบดูพวกหนังผีหรือหนังแนวสยองขวัญก็เถอะ แต่ไอ้พวกแนวฆาตกรรมที่ฆาตกรโรคจิตวิ่งไล่ฆ่าคนจนเลือดสาดนี่ผมขอบายเลย ไม่ชอบสุดๆ
“ฟ้า” ผมเอนหัวไปพิงไหล่ของอีกฝ่ายแล้วจับมือที่ใหญ่กว่าขึ้นมาแนบแก้มของตัวเอง ผมชอบมือคู่นี้ มันอบอุ่นมาก ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร แต่เมื่อมีมือคู่นี้ มีเจ้าของมือคู่นี้คอยอยู่ข้างๆ ผม ผมก็รู้สึกได้ว่าผมจะสามารถผ่านเรื่องที่ยากลำบากไปได้ ผ่านเรื่องร้ายๆ และเรื่องที่น่ากลัวไปได้หมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวเพราะมีเขาอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังใจและพลังให้กล้าต่อสู้กับทุกสิ่ง
ผมรักท้องฟ้าที่เป็นท้องฟ้า ไม่ต้องทำอะไรให้มากมาย แค่เรียบๆ ง่ายๆ แต่ก็อบอุ่นไปทั้งหัวใจ
“อ้อนเหรอ?” เขาก้มมองผมยิ้มๆ
“ไปสวนสาธารณะกันเถอะ” ผมเอียนกับหนังฆาตกรรมเลือดสาดแบบนี้แล้ว ไม่รู้ว่าท้องฟ้าติดใจอะไรกับหนังเรื่องนี้นักหนา มองไม่วางตาเลย
“อยากวาดรูป?”
“อื้อ อยากวาดรูป” ทำอะไรก็ได้ให้ท้องฟ้าเลิกสนใจหนังบ้าๆ นี่เสียที ขืนผมนั่งมองมันต่ออีกห้านาทีผมต้องขย้อนมื้อเช้าออกมาแน่ๆ เลย
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้าใส่ชุดนี้ฟ้าไม่ให้ไป” ตาคมกดมองต่ำลงมาที่ชุดที่ผมใส่อยู่
“โอเค” ผมก้มมองตัวเองแล้วก็หลุดยิ้มเผล่ออกมา ก็เสื้อมันคอกว้างมาก แถมกางเกงก็สั้นเลยเข่าขึ้นมาอีก
ท้องฟ้าไม่ได้เจ้าจี้เจ้าการหรือหวงผมขั้นหนักในเรื่องการแต่งตัว แต่เราก็เคยคุยกันอยู่บ้างกับเรื่องเสื้อผ้าเวลาใส่ออกไปข้างนอก เขาบอกว่าถึงเป็นผู้ชายแต่ก็ต้องระวัดระวังเรื่องการแต่งตัวด้วย กางเกงขาสั้นเขาก็ให้ผมใส่ได้นะ แต่ต้องมีความยาวเท่าเข่าลงไป ถ้าเหนือเข่าเขาจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ ปกติก็จะใส่กางเกงยีนขายาวอยู่แล้วถ้าต้องออกไปข้างนอก แต่ถ้าไปใกล้ๆ ก็จะมีบ้างที่ใส่ขาสั้น
ผมไม่รู้ว่าผมโรคจิตหรือเปล่าที่ชอบให้ท้องฟ้าพูดออกมาตรงๆ ว่าเขาชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรในการกระทำของผม ผมว่ามันดีนะที่เดี๋ยวนี้เขายอมที่จะพูดความคิดและความรู้สึกของตัวเองออกมาบ้างแล้ว
“ฟ้า” แต่ก่อนจะเดินเข้าห้องไปผมก็นึกอะไรบางอย่างได้ ผมเลยเดินกลับไปหาคนที่กำลังตั้งใจดูเจ้าฆาตกรโรคจิตสังหารคนด้วยความโหดเหี้ยมเลือดพุ่งสาดกระจายเต็มหน้าจออีกครั้ง
เอ่อ ผมจะไม่ถูกท้องฟ้าฆ่าแบบนี้ใช่ไหมถ้าเผลอไปทำอะไรให้เขาโกรธน่ะ
“ครับ?” ใบหน้าหล่อหันมามองผมด้วยความสงสัย
จุ๊บ!
ผมก้มตัวลงไปแตะริมฝีปากเข้ากับปากสวยของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเร็วๆ หนึ่งทีแล้วผละออกโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนจะรีบวิ่งหายเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว
“มาขโมยจุ๊บแบบนี้ได้ไงเล? ขี้โกงนี่” ผมที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำก็ชะงักเมื่อถูกคนตัวสูงกว่าคว้าเอวเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัว
“ทีฟ้ายังแอบจุ๊บเช้าจุ๊บเย็นเลได้เลย” คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าเขาจุ๊บผมก่อนนอนและตอนตื่นนอนทุกวัน ผมรู้หมดแหละแต่ไม่พูดเท่านั้นเอง
“งั้นมาจุ๊บแบบไม่ต้องแอบซิ” ว่าแล้วคนตัวสูงกว่าก็พยายามจะโน้มตัวลงมากดจูบที่ปากของผม
“ไม่” แต่ผมเบี่ยงตัวหลบไปมาไม่ยอมง่ายๆ
“อย่าเล่นตัว” เสียงทุ้มเอ่ยดุอย่างไม่จริงจังนัก
“จะเล่นตัวให้หนักๆ เลย” ผมเบี่ยงหน้าหลบพร้อมยกมือขึ้นดันอกกว้างเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ได้มากกว่านี้
“เดี๋ยวจะไม่ได้ไปสวนสาธารณะนะ” ท้องฟ้าโอบกระชับอ้อมแขนแกร่งให้แน่นขึ้นกว่าเดิมจนผมแทบจะขยับหนีไปไหนไม่ได้ ทั้งที่ขนาดตัวก็ดูไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ทำไมผมถึงสู้แรงเขาไม่ได้เลยล่ะ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“ขู่เหรอ?” ผมแสร้งตีหน้านิ่งใส่
จุ๊บ!
ท้องฟ้ากระตุกยิ้มบางๆ แล้วก้มลงมากดจูบที่ริมฝีปากของผมหนักๆ หนึ่งทีก่อนจะปล่อยให้ผมเป็นอิสระแล้วเดินเลยไปยังตู้เสื้อผ้า หันมามองผมแวบหนึ่งแล้วถกชายเสื้อเปลี่ยนเสื้อโดยไม่แคร์สายตาของผมเลยแม้แต่น้อย
เออ แล้วสรุปใครอาย?
ผมไง ร้อนผ่าวตั้งแต่หน้ายังคอเลยครับ ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางรอจนกว่าเขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วถึงเดินไปเปลี่ยนชุดบ้าง
“ไปกันเถอะ เสร็จแล้วไปกินอาหารเวียดนามกัน” ผมเดินไปเรียกท้องฟ้าที่นั่งเล่นกับกุชชี่อยู่ที่มุมห้อง วันนี้คงต้องทิ้งกุชชี่ไว้ในห้องตัวเดียวแล้วแหละ
“อารมณ์ไหนเนี่ย?” คนถูกชวนหันมามองพลางเลิกคิ้วถาม ก็ปกติผมกินอะไรแบบนี้ซะที่ไหนกัน
“อารมณ์อยากจะกิน” ผมยักคิ้วหลิ่วตาส่งไปให้เขาก่อนจะเดินไปอุ้มเจ้ากุชชี่มาไว้ที่บ้านหลังน้อยของมัน
“ทำไมยิ่งโตยิ่งดื้อ” ท้องฟ้ายืนขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินมาขยี้ผมของผมเบาๆ อย่างมันเขี้ยว
“รู้ได้ไง?” ผมหันกลับไปมองค้อนอีกฝ่ายที่นับวันยิ่งชอบแกล้งมากขึ้นเรื่อยๆ
“ก็บอกแล้วว่ามองอยู่ตลอด” ทำไมพูดแล้วต้องทำตาเป็นประกายแบบนั้น
“เหรอ~” คิดบ้างไหมว่าผมจะเขินน่ะ
“เล มาจุ๊บอีกที” ผมที่กำลังจะเดินออกจากห้องก็ถูกยื้อแขนเอาไว้ หันไปมองตัวต้นเหตุก็เห็นอีกฝ่ายยืนทำหน้าอ้อนมองผมอยู่
“ไม่ พอแล้ว จุ๊บบ่อยเดี๋ยวฟ้าเบื่อเล” ผมอมยิ้มนิดๆ กับคำพูดของตัวเอง เออ ก็กล้าพูดมาได้ไม่อายปากเนอะ พอเป็นแฟนกันแล้วความกล้ามันมีมากขึ้นจริงๆ ความเขินอายก็เช่นกัน
“ไม่เบื่อหรอก มาจุ๊บเร็ว” คนตัวโตกว่าส่ายหน้าพรืดแล้วจ้องหน้าผมตาแป๋วเหมือนเด็กๆ ที่กำลังอ้อนขอของเล่น หน้าตาดูจริงจังมาก ถ้าผมไม่ยอมให้จุ๊บเขาก็คงไม่ยอมปล่อยให้ผมได้ออกไปข้างนอกแน่
“ครั้งสุดท้ายนะ จะไปแล้ว” พอผมพูดจบ ดวงตาสีเข้มก็เป็นประกายวาววับขึ้นมาทันที ผมชะงักไปนิดเมื่อรู้สึกว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดหรือทำอะไรใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก็โน้มลงมาใกล้และประกบริมฝีปากลงมา
“อื้อ!” ผมที่ไม่ทันตั้งตัวก็ตกใจกำลังจะส่งเสียงร้องห้ามแต่กลับกลายเป็นว่าเปิดทางให้อีกคนสอดเรียวลิ้นร้อนเข้ามากวาดไล่ต้อนลิ้นผมอย่างดุเดือดเสียอย่างนั้น ผมพยายามจะเบี่ยงหน้าหนีแต่ก็ถูกล็อกเอาไว้แน่นจนขยับหนีไม่ได้ รสจูบที่เร่าร้อนค่อยๆ เบาบางลงจนเป็นอ่อนโยนทำเอาผมแทบเข่าอ่อนเพราะความร้อนแรงของอีกฝ่าย
“ไหนบอกจุ๊บไง!” พอเขาถอนริมฝีปากออกไปผมก็ร้องโวยอย่างเอาเรื่องทันที ทำแบบนี้ผมเสียเปรียบชัดๆ เลยนะ
“เพลินไปนิด” เขาตอบกลับหน้าตายพร้อมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองเบาๆ อย่างยั่วยวน
“นิสัยไม่ดี” ผมเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรงอย่างเขินอายก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อหลบสายตาวาววับที่จ้องมองมา ขอถอนคำพูดที่เคยบอกว่าท้องฟ้าเป็นก้อนหินหรือท่อนไม้ก็แล้วกัน
“แล้วเคลิ้มทำไม?”
“ฟ้า!” ผมถลึงตามองอีกฝ่ายทันที คำพูดคำจาน่าฟาดปากจริงๆ เลย
“ไปๆ เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปกันพอดี”
“เพราะใครล่ะ?”
“ครับๆ ขอโทษครับ” คนตัวสูงยิ้มเผล่ก่อนจะเดินเข้ามาโอบไหล่ผมเอาไว้แล้วดันให้เดินออกจากห้องโดยไม่ลืมที่จะหยิบข้าวของของผมออกมาด้วย
---------------------------------------------------------------------------------------
ทำไมรู้สึกมันเลี่ยนแปลกๆ ฮาาาา
หวานกันให้ตายไปข้างเล้ย!
ที่หายไปเพราะติดไฟนอล นี่เราเพิ่งคืนชีพมา
สถานีต่อไปฝึกงานค่ะ เราอาจจะมาๆ หายๆ ไม่แน่นอน
ขอโทษที่ทำให้รอค่ะ ช่วงนี้วุ่นวายหลายอย่างด้วย
ขอบคุณที่ยังรอนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อยากอ่านมุมของท้องฟ้าบ้าง ว่าชอบทะเลได้ยังไง
ถึงจะรอนานหน่อยแต่ไรท์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง55555
โอยยยย เหม็นความรัก! จากความฟินจะกลายเป็นความอิจแล้วววว
มมดสำลักความหวามนตายยกรังแล้วจ้า
เย่ๆๆๆ ไรท์กลับมาแว้วววววว
คิดถึงน้องเลมว๊าก
เค้าจะหวานกันไปไหนครัช
ไม่ต้องกินอาหารอิตาเลี่ยน ก็เลี่ยนได้ 555+