ตอนที่ 25 : ท้องฟ้ากับทะเล : 12 [2/2]
“วาดอะไรอยู่?” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างผมบนพื้นหน้าระเบียงของห้องนอน
ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ค่อนข้างจะดึกแล้ว แต่ผมก็ยังไม่นอน หอบเอากระดาษออกมาวาดรูปที่หน้าระเบียงแทน ระเบียงที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้เป็นคนละฝั่งกับระเบียงของห้องนั่งเล่นเมื่อตอนบ่าย มุมมองที่ได้เห็นก็เป็นคนละแบบกัน แต่ไม่ว่าจะมุมไหนผมก็ชอบมันทั้งนั้น อาจเป็นเพราะห้องของท้องฟ้าอยู่ชั้นที่สูงมากมันเลยทำให้สามารถรับลมได้ดีและมองเห็นผืนฟ้าได้อย่างชัดเจน
“เหมือนไหม?” ผมยกเอาภาพที่เพิ่งวาดเสร็จให้อีกฝ่ายดู ภาพของกุชชี่ที่ผมแอบถ่ายไว้เมื่อตอนบ่ายตอนนี้ผมจับเอาภาพนั้นมาเป็นแบบแล้ววาดลงบนกระดาษและสีที่ผมเลือกใช้ก็คือสีไม้
อืม จริงๆ มันควรเป็นสีน้ำมากกว่า แต่ผมไม่ถนัดมันเอาเสียเลยเพราะงั้นเลยต้องหยิบเอาสีไม้มาใช้แทน แต่มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นะ
“เหมือน น่ารัก” นับว่าท้องฟ้าเป็นคนที่ตาถึงมาก
“ใช่ไหมล่ะ? นี่ตั้งใจสุดๆ เลยนะ” ได้ทีก็ขอโม้หน่อยแล้วกัน จะว่าไปผมก็ไม่ค่อยได้วาดรูปพวกสัตว์น่ารักๆ แบบนี้นานแล้วนะ ก็ตั้งแต่ที่มัวแต่จดจ่ออยู่กับการวาดรูปของท้องฟ้าจนเป็นบ้าเป็นหลังจนไม่วาดรูปอย่างอื่นเลยนั่นแหละ
ก็ไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะเป็นเอามากขนาดนี้
การชอบใครสักคนมันทำให้เราเป็นได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?
“เอาไปใส่กรอบแล้วแปะที่ผนังห้องได้ไหม?”
“อื้อ จะแขวนที่ไหนล่ะ?” ผมยิ้มออกมาจนแก้มแทบปริ ไม่คิดว่าเขาจะชอบภาพที่ผมวาดขนาดนี้ จริงๆ ก็ตั้งใจจะให้เขาอยู่แล้วแหละ แต่นี่เขาออกปากขอก่อนเลย เหมือนตัวจะลอยๆ เลยแหะ
“ข้างรูปนั้น” ผมหันไปตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังบนผนังหัวเตียงแต่แล้วก็ต้องชะงักค้างด้วยความตกใจ
“…” ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นรูปนั้นที่ท้องฟ้าว่า ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ก่อนหน้านี้ที่ผมมาผมก็ไม่เจอ และเมื่อตอนหัวค่ำที่ผมเดินเข้ามาในห้องนอนผมก็ไม่เห็นมัน ผมไม่แม้แต่จะเคยสังเกตเลยด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้บนผนังตรงนั้นจะมีอะไรเคยแขวนอยู่หรือเปล่าในก่อนหน้าที่ผมจะมา
จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ เลย
“เป็นอะไร?” ท้องฟ้าหันมาถามผมที่ยังคงยืนจ้องรูปภาพนั้นอยู่ด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา
“ปะ เปล่า” ผมพยายามที่จะยกยิ้มให้เขาแต่มันก็ดูจะฝืนๆ อยู่พอสมควร
“เก็บรักษาอย่างดีเลยนะรูปนั้นน่ะ แต่ไม่รู้ว่าคนให้เขาจะจำได้หรือเปล่า?”
“คะ ใครให้มาเหรอ?” ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมเสียงมันจะต้องสั่นขนาดนี้ แค่ได้ยินว่าท้องฟ้าดูแลรูปนั้นเป็นอย่างดีมันก็ทำเอาหัวใจของผมสั่นไหวอย่างรุนแรงยิ่งได้มองสบตากับคนตรงหน้าความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่ข้างในยิ่งล้นทะลักออกมา
“ไม่รู้สิ มีคนเอามาแขวนหน้าล็อคเกอร์วันสุดท้ายของการสอบตอนม.5 เทอม 2 น่ะ” ท้องฟ้าตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมมองหน้าผมไม่วางตาคล้ายกับว่าเขากำลังต้องการสื่ออะไรบางอย่าง
“เหรอ สวยดีนะ”
จะไม่สวยได้ยังไงกัน ก็นั่นมันเป็นรูปที่ผมวาดเองกับมือ มันเป็นรูปของท้องฟ้าที่กำลังโอบอุ้มลูกนกขึ้นมาบนสองมือของเขาที่สวนสาธารณะในวันนั้นและเหตุการณ์นั้นแหละที่ทำให้ผมตกหลุมรักผู้ชายคนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้นแม้มันจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม แอบชอบเขาตั้งแต่ที่เขายังไม่ได้คบกับแฟนจนเขาเลิกกับแฟนเขาไปผมก็ยังเลิกชอบเขาไม่ได้ กลับกันผมกลับยิ่งชอบเขามากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะเป็นแค่ความรู้สึกแอบชอบหรือเปล่า
“อืม ฉันชอบมากเลยล่ะ” เป็นอีกครั้งที่ผมต้องละสายตาจากภาพที่ตัวเองวาดมามองสบตากับเจ้าของห้อง
ผมจำไม่ได้ว่ารูปนั้นเป็นรูปที่เท่าไหร่ของผมในการวาดรูปของท้องฟ้า ผมวาดรูปของท้องฟ้าเยอะมากจนผมเองยังตกใจ แต่เมื่อผมรู้ว่าผมจะต้องย้ายบ้านและย้ายโรงเรียน ผมจึงตัดสินใจวาดรูปนี้ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่วาดมันไปแล้วหลายสิบรูป ผมไม่มีปัญหาเรื่องการวาดรูปหรอก แต่มีปัญหาเรื่องการลงสีมากกว่า เพราะอยากให้รูปมันออกมาดีเลยวาดแล้ววาดอีก สุดท้ายก็ได้ภาพนี้ออกมาจนได้ สีน้ำที่ผมมองว่ามันเป็นศัตรูคู่อาฆาตถูกนำมาใช้กับภาพวาดใบนี้ ทุกครั้งที่ใช้พู่กันแต้มสีลงไปบนภาพวาดก็นั่งภาวนาไปด้วยทุกครั้งว่าขอให้มันออกมาดี
รูปนี้น่ะไม่ได้ได้มาเพราะพรสวรรค์หรือความสามารถอะไรหรอก โชคช่วยล้วนๆ เลย
“ดีแล้ว” ดีใจที่เขาชอบนะ ดีใจที่เขายังเก็บมันเอาไว้ไม่ได้โยนทิ้งอย่างที่กลัวมาตลอดหลายปี อย่างน้อยทุกสิ่งทุกอย่างที่พยายามมามันก็ไม่สูญเปล่า
แม้ไม่ได้เป็นคนที่ยืนเคียงข้างแต่แค่ได้เฝ้ามองอยู่ห่างๆ มันก็สุขใจแล้ว
ครืด ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ของท้องฟ้าดังขึ้นปลุกผมที่กำลังจมอยู่ในห้วงของความคิดให้ตื่นขึ้นมาพบเจอกับความเป็นจริงที่ผมต้องยอมรับมันอีกครั้ง
แพรว
นั่นคือชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของท้องฟ้า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมกำลังเสียใจ เหมือนก่อนหน้านี้ผมกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆที่อ่อนนุ่มแต่แล้วผมก็พลาดตกลงมาที่พื้นดินแข็งๆ อีกครั้งและอีกครั้ง
“โทษที ขอตัวก่อนนะ”
“อืม”
แม้จะไม่เคยเรียกร้องหรือคิดเข้าข้างตัวเอง แต่มันก็มีบางครั้งที่คิดว่าอยากจะไปยืนอยู่ตรงนั้น ยืนอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจ เป็นรอยยิ้มและสร้างความสุข แต่นั่นมันคงเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ ของคนเพ้อฝัน เพราะในความเป็นจริงแล้วผมไม่สามารถไปยืนอยู่ตรงนั้นได้ ในเมื่อแท้จริงแล้วเขามีใครบางคนทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว
กลับมาเถอะทะเล กลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง
ที่มุมนี้ มุมที่มีแค่ฉันข้างเดียวก็สุขใจ
‘ไม่รู้มีใครสังเกตไหม? แต่นี่สังเกตมานานละว่าท้องฟ้ากับทะเลต้องมีซัมธิงกัน’
‘เหมือนกัน เห็นเงียบๆ แต่โมเม้นเพียบเลยจ้า~’
‘ตอนที่ประกวดดาวเดือน เห็นท้องฟ้าไปเทรนให้แบท แต่จริงๆ คือไปรอกลับพร้อมทะเล เห็นไปรับไปส่งกันหลายรอบแล้ว’
‘ท้องฟ้าเป็นคนสอนเปียโนให้ทะเลนะ งานจบแต่คนไม่จบ’
‘รถเด่นขนาดนั้นไม่เห็นก็ให้มันรู้ไป’
‘เชียร์คู่นี้ ท้องฟ้าหล่อ ทะเลน่ารัก’
‘#SKY&SEA#ท้องฟ้ากับทะเล’
‘#ท้องฟ้าสีครามกับทะเลสีฟ้า’
‘เผื่อใครไม่เชื่อ *แนบรูป*’
‘พี่คะ พี่ใจเย็นๆ ก่อน พี่จะมองน้องด้วยสายตาหวานเชื่อมจนมดขึ้นแบบนั้นไม่ได้ อิจฉาค่ะ!”
‘ท้องฟ้า! พ่อของลูก แต่ถ้าเขาได้กันเราก็โอเค’
‘ทะเลเป็นสมบัติของคนทั้งมหา’ลัยนะครับไม่ใช่ของท้องฟ้าคนเดียว’
‘ฝากเพจทวงคืนทะเลมาจากท้องฟ้าด้วยครับ’
‘ผมจะไปท้าชนกับอดีตเดือนบริหาร มีใครจะไปกับผมบ้าง?’
‘ฝากเพจแอนตี้ท้องฟ้าด้วยครับ’
“ทำอะไร?” ผมสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารจู่ๆ ก็ชะโงกหน้ามาแอบดูหน้าจอโทรศัพท์ของผม
“เปล่า” ผมรีบกดปิดหน้าจออย่างรวดเร็วด้วยความตกใจราวกับคนกำลังปกปิดความผิดอะไรสักอย่าง ไม่น่าเลยทะเล ไม่น่าเข้าไปดูในเพจมหา’ลัยตามที่นทีบอกเลยจริงๆ
“มัวแต่เล่นโทรศัพท์ ข้าวมาตั้งนานแล้ว สนใจบ้างไหมเนี่ย?” โดนดุเข้าจนได้สิน่า แต่ผมก็มัวแต่เล่นโทรศัพท์จนไม่รู้สึกตัวจริงๆ นั่นแหละว่าข้าวยกมาเสิร์ฟตั้งแต่เมื่อไหร่
“ขี้บ่น” เดี๋ยวนี้ท้องฟ้าพูดเยอะขึ้นกว่าเดิมแถมยังชอบบ่นผมอีกด้วย
“ขี้เถียง” มือใหญ่ยื่นมาบีบปากผมแล้วยืดออกจนน่าเกลียด และอีกนิสัยหนึ่งของท้องฟ้าก็คือขี้แกล้ง
“เจ็บ!” ผมตีมืออีกฝ่ายไปแรงๆ หนึ่งทีโทษฐานที่ทำผมเจ็บ เดี๋ยวนี้เวลาเจอกันก็ชอบเล่นกันแรงๆ ตลอด บางวันนี่แขนขาวๆ ของท้องฟ้าเป็นรอยช้ำเลย ผมเองก็เป็นคนมือหนักด้วยสิ ปกติเล่นกับเมธก็ไม่ค่อยออมแรงกันอยู่แล้วด้วย
“กรี๊ด!” ผมสะดุ้งตกใจเป็นรอบที่สองของวันเมื่ออยู่ดีๆ โต๊ะข้างๆ ก็ร้องกรี๊ดกันออกมา ผมหันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่คาดว่าน่าจะอยู่มหา’ลัยเดียวกันกับผมกำลังมองมาที่ผมกับท้องฟ้าด้วยสีหน้าปลื้มปริ่มพร้อมกับประกายระยิบระยับแปลกๆ ในดวงตา
อือ น่ากลัว
“กินเร็วๆ จะกลับไปนอน” ผมหันกลับไปเร่งท้องฟ้าที่ไม่ยอมกินข้าวแต่กลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแทน
“ไม่ไปหากุชชี่เหรอ?” ผมเห็นเขาอมยิ้มอยู่กับโทรศัพท์แวบหนึ่งก่อนจะวางมันลงที่เดิมแล้วเงยหน้ามาถามผม
“ไม่ไป เบื่อเจ้าของห้อง” ตอบกลับอย่างไม่ต้องคิดเลยครับ
จากวันที่ไปห้องของท้องฟ้าวันนั้นผมก็ยังแวะเวียนไปที่ห้องของเขาอีกหลายต่อหลายครั้ง ก็คุณเจ้าของห้องเขาดันเอากุชชี่มาล่อน่ะสิ สารพัดเรื่องที่จะเอามาเรียกร้องความสนใจจากผมได้ เดี๋ยวก็กุชชี่คิดถึงทะเล กุชชี่เหงา กุชชี่ไม่มีเพื่อนเล่น กุชชี่ซึม กุชชี่เศร้า และอีกหลายอย่างที่กุชชี่จะเป็นได้ แล้วผมมันก็เป็นพวกใจอ่อนกับสิ่งมีชีวิตน่ารักๆ ด้วยไง
การไปหากุชชี่มันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับผมหรอก แต่ไปทีไรก็ไม่ค่อยจะได้กลับห้องตัวเองน่ะสิ ท้องฟ้าจะต้องตื้อให้ผมค้างที่ห้องเขา ยื่นข้อเสนอนู่นนี่นั่นจนผมไม่อาจจะปฏิเสธเขาได้ ทุกวันนี้กลับห้องตัวเองทีไรก็โดนเมธมันล้ออยู่ตลอดแหละว่าหาทางกลับห้องตัวเองเจอด้วยเหรอ?
ก็อยากจะบอกเหมือนกันแหละว่าถ้าให้กลับเองก็คงกลับไม่ถูกแต่พอดีมีคนไปรับไปส่งเลยกลับถูกน่ะ
อืม แต่ถ้าตอบไปแบบนั้นคงโดนล้อหนักกว่าเดิมแน่
“จริงเหรอ?” ท้องฟ้าแสร้งทำหน้าตกใจ ซึ่งผมคิดว่ามันน่าหมั่นไส้สุดๆ ไปเลย
“อืม”
“เบื่อกันจริงเหรอ?”
“อืม”
“เลเบื่อฟ้าจริงๆ เหรอครับ?” ผมชะงักมองหน้าอีกฝ่ายตาโตด้วยความตกใจ
“กรี๊ด!” แต่ดูท่าจะถูกใจโต๊ะข้างๆ เข้าซะแล้วล่ะครับ
“ขี้แกล้ง” ผมบ่นอุบด้วยใบหน้ายุ่งๆ ท้องฟ้าขี้แกล้งผมรู้ดี แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเล่นต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ ปกติเคยเรียกผมแบบนี้ที่ไหนกันเล่า มีแค่วันที่ประกวดดาวเดือนนั่นแหละ ตอนนั้นก็คิดว่าเขาแค่พูดปลอบเฉยๆ ไม่คิดว่าเขาจะเอามาพูดเล่นวันนี้อีกเป็นครั้งที่สอง
“ตอบมาก่อน เลเบื่อฟ้าแล้วเหรอ?”
“ไม่รู้” ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองโต๊ะข้างๆ หรือเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าเลย
ผู้ชายเขาก็เขินเป็นเหมือนกันนะ แล้วคนที่มาพูดแบบนี้ก็คือคนที่แอบชอบมาตั้งหลายปีมีใครบ้างจะไม่เขินน่ะ
“เลรู้ แต่เลไม่ตอบ” เลิกเรียกแบบนั้นสักทีเถอะ จะละลายติดกับโต๊ะแล้วนะ เสียงนุ่มและหน้าอ้อนมาก
“ฟ้า~” ผมแสร้งตีหน้ายุ่งใส่เขา อย่ามาทำให้หวั่นไหวจะได้ไหมเล่า!
“ชอบนะ เวลาเรียกแบบนี้” คนหล่อยกยิ้มกริ่มอย่างชอบอกชอบใจขัดกับภาพลักษณ์ของการเป็นก้อนหินที่สั่งสมมาเนิ่นนานหลายปีนัก
“ไม่คุยด้วยแล้ว กินเข้าไปเลย” ผมจิ้มเอาหมูทอดที่อยู่ตรงหน้ายัดใส่ปากอีกฝ่ายไปเพื่อเป็นการปิดปากไม่ให้พูดอะไรอีก ขืนเขาพูดออกมาอีกคำเดียวผมต้องเผลอเอาหัวโขกโต๊ะเพื่อระบายความเขินแน่ๆ
“แล้วจะไปหากุชชี่ไหม?” ไม่วายเจ้าตัวเขาก็วกกลับมาที่เรื่องนี้อีก สรุปแล้วตอนนี้กุชชี่กลายเป็นของท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เพราะเจ้าของเดิมที่เป็นเพื่อนของท้องฟ้าต้องไปทำงานอยู่ต่างประเทศแบบไม่มีกำหนดกลับ เขาเลยขอให้ท้องฟ้ารับเลี้ยงกุชชี่แทน ตอนแรกท้องฟ้าก็ลังเลเพราะเขาเองก็ไม่ค่อยมีเวลานักแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายถึงตัดสินใจรับเลี้ยงแบบถาวร อาจเป็นเพราะผมบอกว่าจะเอากุชชี่ไปเลี้ยงล่ะมั้งเขาเลยเปลี่ยนใจจะเลี้ยงเอง คงรู้สึกหวงหรือไม่ก็หลงรักกุชชี่อยู่เหมือนกันแน่ๆ
“มะ…”
“ถ้าเลไม่ไป กุชชี่ต้องคิดถึงเลมากแน่ๆ กุชชี่คงต้องเหงาเล่นอยู่ตัวเดียวอีกแล้ว” ผมที่กำลังจะอ้าปากปฏิเสธก็ต้องชะงักเพราะอีกฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน
“บอกแล้วไงว่าอย่าเอากุชชี่มาอ้าง” ผมถลึงตามองอย่างเคืองๆ
“ก็ถ้าเอากุชชี่มาอ้างแล้วเลจะใจอ่อน”
“ร้ายกาจ” ใช่ ท้องฟ้าน่ะร้ายกาจที่สุดเลย แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากต้องยอมตกลง
“คืนนี้ค้างด้วยกันนะ” นั่นไง บอกแล้วว่าถ้าไปห้องท้องฟ้าผมไม่มีทางได้กลับออกมาง่ายๆ หรอก ถึงผมกับท้องฟ้าจะไม่เคยมีอะไรเกินเลยกันนอกจากการนอนกอดกันบนเตียงก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรเลยจริงๆ
“จะเอากุชชี่มาอ้างอีกเหรอ?”
“เปล่า แค่จะบอกว่านอนคนเดียวมันเหงา” ไม่พูดเปล่ายังมีการมาทำหน้าอ้อนใส่อีก
“กรี๊ด!”
“กูตายๆ”
ผมถึงกับเอ๋อไปชั่วขณะหนึ่ง อาการมึนๆ เบลอๆ จากการถูกท้องฟ้าแอคแทคใส่ยังคงมีอยู่จางๆ สติถูกดึงกลับมาได้เพราะเสียงวี้ดว้ายจากโต๊ะข้างๆ
“ปกติก็นอนคนเดียวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมไม่ค่อยว่างเพราะติดไปช่วยทำโมเดลของรุ่นพี่เลยทำให้ไม่ได้ไปหากุชชี่เลยแต่ถึงอย่างนั้นก็เจอหน้าท้องฟ้าทุกวันแหละ เขาไปรับไปส่งผมทุกวัน ไม่รู้ไปคุยอะไรกับเมธมันถึงได้ไม่เข้ามาวุ่นวาย ทั้งที่ปกติแล้วมันไม่ใช่คนที่จะปล่อยเพื่อนไปกับคนอื่นง่ายๆ แบบนี้
“ก็เลมาทำให้เคยตัว”
“เกี่ยวอะไรกัน?”
“ก็ตั้งแต่ที่ได้นอนกอดเลก็ไม่อยากนอนคนเดียวอีกเลย”
มันใช่เรื่องที่จะมาพูดข้างนอกต่อหน้าประชาชีเหรอวะ?
“ฮือ! ผัวมาก กูอยากได้!”
“กูอยากสิงร่างทะเล”
“นี่! เมื่อไหร่จะหยุดพูดสักที!” ทำไมเดี๋ยวนี้ท้องฟ้าถึงได้ซ่าขนาดนี้ล่ะห๊ะ กลับไปเป็นก้อนหินเหมือนเดิมเลยนะ! อย่ามามีชีวิตแล้วทำคนอื่นเขาหวั่นไหวแบบนี้ดิ ละลายจนติดโต๊ะแล้วโว้ย!
“เลยังไม่บอกเลยว่าจะไปนอนด้วยกันไหม?”
ป้าเจ้าของร้านทำอะไรให้ท้องฟ้ากินเนี่ย!? หรือเขาไปโดนตัวอะไรมา!?
“ไปก็ได้ แต่ช่วยหยุดพูดสักทีได้ไหม?” ถ้าเขายังไม่หยุดพูดผมจะเดินออกไปนอกร้านจริงๆ ด้วย แล้วสาวๆ โต๊ะข้างๆ นั่นจะทำหน้าปลื้มปริ่มอีกนานไหม? ถ้าจะขนาดนี้ก็กลืนท้องฟ้าเข้าไปเลยก็ได้นะ!
“อื้อ ไม่พูดแล้ว” คนตัวสูงพยักหน้าหงึกหงักพร้อมยกมือขึ้นปิดปากตัวเองแน่นเหมือนเด็กๆ ที่ถูกคุณครูสั่งให้หยุดพูดนั่นแหละ
“เฮ้อ!”
ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ชินกับความเป็นท้องฟ้าจริงๆ นั่นแหละ!
---------------------------------------------------------------------------------------
แพรว
มีใครถามหาแพรวหรือเปล่าคะ?
*ยิ้มหวาน*
---------------------------------------------------------------------------------------
เราเป็นแอดมินสองเพจข้างบนเองแหละ ฮาาา
ใครอ่านนิยายเราจบเรื่องแล้วจะเป็นไบโพลาร์
อารมณ์จะเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงตลอดเวลา
พระเอกของเราก็จะโดนด่าอยู่เรื่อยๆ ฮาาา
ไม่จำเป็นต้องเข้าใจท้องฟ้าตอนนี้ก็ได้
รอดูกันไปยาวๆ เนอะ
ทุกอย่างต้องใช้เวลา ความรักก็เช่นกัน
มีคนถามว่าเรือผีได้ไหม?
ตอบเลยค่ะว่าไม่ได้
คุณเมธาเขามีคู่นะ เขาคู่กับเราค่ะ
ยังยืนยันอีกครั้งว่าคุณเมธาเป็นของเรา~
ฝากเด็กๆ ทั้งหลายไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ทุกคนรักและเอ็นดูเด็กๆ ของเรา
ขอบคุณทุกการติดตามและทุกคอมเม้นจากใจจริงค่ะ
ช่วงอาทิตย์นี้กับอาทิตย์หน้าเราก็จะยุ่งๆ เพราะต้องเคลียร์งาน
พอต้นเดือนมีนาเราก็สอบยาวเลยจ้า
ที่จะบอกคือเราอาจจะไม่ค่อยได้มาลงเพราะขี้เกียจ
อ้าว!
ไม่ใช่ๆ เราจะไม่ค่อยมีเวลาถ้าเงียบหายไปก็อยากให้รอหน่อยเนอะ
แต่ก็จะพยายามหาเวลามาลงให้ได้
รักทุกคนนะคะ จุ๊บ!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชั้นนั่งยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูแล้วว
ท้องฟ้าโคดร้ายอะ เป็นอย่างที่เมธบอกจริงด้วยอะ เข้าห้องท้องฟ้าแล้วจะไม่ได้ออกมาง่ายๆ หึหึ // นู๋โดนล่มเรือผีเมธทะเลอะ 55555 อยากได้โมเม้น เมธทะเลอีกกกกกกกกกกกก ตอนนี้หมั่นไส้คุณพระเอกมาก บอกเลยยยยยยย
ทำไมมมพี่ฟ้าขี้อ้อนนงี้อ่าาา
น่ารักกก ฟิน ฮือ ใจบาง