ตอนที่ 24 : ท้องฟ้ากับทะเล : 12 [1/2]
12
“เมธา มึงเอาน้ำหอมกูไปไว้ไหน?” หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมก็ต้องหัวเสียเพราะหาน้ำหอมของตัวเองไม่เจอ น้ำหอมของเมธมันหมดไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแต่มันยังไม่ยอมไปซื้อแล้วก็มาเอาของผมไปใช้ ผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามันใช้แล้วเก็บที่เดิม แต่นี่มันชอบเอาไปใช้แล้วก็วางเก็บไม่เป็นที่ ถ้าวันไหนผมอาบน้ำทีหลังมันก็ต้องมาเดินตามหาน้ำหอมของตัวเองแบบนี้ตลอดแหละ
“อยู่โต๊ะข้างเตียง” ไอ้คนหน้ามึนหันมาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ แต่สิ่งที่ผมสนใจในตอนนี้กลับไม่ใช่ร่างสูงของเพื่อนสนิทที่นั่งกดโทรศัพท์เล่นอยู่บนโซฟากลางห้องแต่เป็นใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันต่างหากเล่า!
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมมองท้องฟ้าด้วยความตกใจ ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้ามาที่ห้องนี้ก็เถอะ
แต่เขาขึ้นมาได้ยังไง?
“เมื่อกี้ กูเป็นคนลงไปรับมาเอง อ้ะ นี่ของมึง” เมธเป็นคนไขข้อข้องใจให้กับผมพร้อมกับส่งโทรศัพท์มือถือที่หน้าตาคุ้นๆ มาให้ผม เออ มันจะไม่คุ้นได้ยังไงกัน ก็นั่นมันของผมนี่!
“ทำไมชอบยุ่งกับของของกูจังวะ?” ผมคว้าเอาโทรศัพท์มากอดเอาไว้แน่นอย่างหวงแหน ไอ้ที่มันนั่งเล่นอยู่เมื่อกี้คือของผมสินะ แบบนี้คงค้นในเครื่องผมจนหมดทุกซอกทุกมุมแล้วล่ะมั้ง
“กูไม่ได้ยุ่ง กูแค่ห่วงเพื่อน ยิ่งเอ๋อๆ อยู่ เกิดใครมาหลอกหรือมาทำมึงเสียใจกูกับนทีก็แย่สิ” เมธลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาผลักหัวผมเบาๆ
อืม เข้าใจว่ามันห่วงผม แต่ทำไมต้องปรายตาไปมองท้องฟ้าด้วยหางตาแบบนั้นด้วยวะ?
“...” ท้องฟ้าเองก็จ้องหน้าเมธกลับนิ่งๆ เช่นกัน
“เพื่อนกู กูรักและหวงหนักมาก ใครทำมันเสียใจต้องมีตายกันไปข้าง” ผมถึงกับขนลุกซู่เมื่อได้ยินเสียงเย็นๆ หลุดออกมาจากปากเพื่อนสนิท ผมเคยได้ยินประโยคทำนองนี้อยู่ครั้งหนึ่งตอนที่มีรุ่นพี่ผู้ชายเข้ามาจีบนที ตอนนั้นผมก็พยักหน้าเออออเห็นด้วยกับเมธแถมยังพูดจาข่มขู่รุ่นพี่คนนั้นอีกด้วย ก็ไม่คิดหรอกว่าวันหนึ่งประโยคพวกนั้นจะถูกนำมาใช้อีกครั้ง และครั้งนี้คนที่เมธมันพูดปกป้องก็คือผม
“มะ เมธ มึงจะไปข้างนอกเหรอ?” ผมรีบเอ่ยแทรกระหว่างผู้ชายตัวสูงสองคนที่จ้องตากันเขม็งอย่างไม่มีใครยอมใคร คนหนึ่งก็เป็นพวกหัวร้อนง่ายส่วนอีกคนก็นิ่งจนน่าหวั่นใจ
“อืม กูจะพานทีไปซื้อของ” พอถูกผมกระตุกชายเสื้อยิกๆ เมธก็ยอมหันมาตอบผม
“เอ่อ...” ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี นทียังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับท้องฟ้าในตอนนี้ แม้เรื่องระหว่างผมกับท้องฟ้าจะยังไม่ชัดเจน แต่ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยมีความลับกับเพื่อน เพราะเพื่อนมักจะล่วงรู้ความลับของผมก่อนที่มันจะได้เป็นความลับเสมอ อย่างเช่นในตอนนี้
“เดี๋ยวกูคุยกับมันเอง มึงจะไปก็รีบไปเถอะ” เมธพยักพเยิดหน้าไปทางท้องฟ้าที่นั่งรออยู่
“อืม ขอไปเอาของก่อนนะ เดี๋ยวออกมา” ผมหันไปบอกท้องฟ้าแล้วรีบเดินกลับไปเอากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ
“กูหวังว่ามึงจะเข้าใจที่กูพูดนะ”
“อืม”
ผมเดินกลับมาที่โซนห้องนั่งเล่นอีกครั้งด้วยความแปลกใจ เห็นท้องฟ้ากับเมธคุยอะไรกันก็ไม่รู้หน้าตาดูจริงจังจนผมคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ๆ
“เสร็จแล้ว” ผมส่งเสียงเรียกทั้งสองคนให้หันมาสนใจที่ผม
“ไม่เอางานไปทำด้วยละ ไหนๆ ก็ได้ออกไปข้างนอกแล้ว เปลี่ยนที่ทำงานไปด้วยเลยสิ” เมธกวาดสายตามองมาที่ผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวค่อยกลับมาทำ” คิดว่าไปแปบเดียวเดี๋ยวค่อยกลับมาทำก็ได้ ยังไงก็มีเวลาอีกเหลือเฟือ
“เอาไปด้วยนั่นแหละ เผื่อไม่มีเวลากลับมาทำ”
“ห๊ะ?” ผมมองหน้าเพื่อนสนิทด้วยสีหน้างงๆ พูดอะไรของมันเนี่ย? ไม่เห็นเข้าใจเลย ท้องฟ้าที่ได้ยินเมธพูดจาแปลกๆ ก็ตวัดสายตาไปมองดุๆ
“เอางานไปด้วยสิ ถ้าอยากทำเมื่อไหร่ก็จะได้หยิบขึ้นมาทำได้” ท้องฟ้าหันมาบอกผมด้วยรอยยิ้มบางๆ
“อะ อืม” ผมมองหน้าผู้ชายตัวสูงสองคนสลับกันอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปหยิบงานที่ทำค้างเอาไว้เมื่อคืนออกมาอย่างว่าง่าย
“ไปกันเถอะ” ผมเรียกท้องฟ้าให้เดินตามออกมา
“เมธ” แต่พอจะเดินพ้นหน้าประตูห้องท้องฟ้าก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปเรียกเมธที่ยืนมองพวกผมอยู่ตรงที่เดิม
“อืม” คนถูกเรียกพยักหน้ารับเบาๆ ประมาณว่ารอฟังอยู่
“กูเข้าใจที่มึงพูดทุกอย่าง แต่มึงเชื่อเถอะว่ามันจะไม่มีวันนั้น”
“หึ! ปากดี แล้วกูจะคอยดูน้ำหน้ามึงนะท้องฟ้า”
“อืม”
“คุยอะไรกัน?” ผมหันมองหน้าคนนู้นทีคนนี้ทีด้วยความสงสัย พูดอะไรกันไม่เห็นรู้เรื่องเลยโว้ย!
“ไม่มีอะไร” ประตูห้องถูกปิดลงโดยฝีมือของท้องฟ้า มือใหญ่เอื้อมมารั้งแขนผมให้เดินตามเขาไปที่ลิฟต์
“โกหก” ผมไม่เชื่อหรอก หน้าตาดูโคตรจะมีอะไรเลย สองคนนี้ต้องมีอะไรปิดบังผมแน่ๆ
“ก็แค่มีเรื่องที่ต้องคุยกันให้เข้าใจเฉยๆ” พอเห็นผมทำท่าไม่เชื่อท้องฟ้าก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วอธิบายออกมา แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“เรื่องอะไร?” เมธมันไม่ค่อยชอบท้องฟ้า ผมเลยสงสัยว่าสองคนนี้มีเรื่องสำคัญอะไรถึงต้องพูดคุยกันด้วยท่าทีมีลับลมคมในแบบนี้
“คนสำคัญ”
เขา หมายถึงใคร?
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะมันรู้สึกโหวงๆ ในอกยังไงก็ไม่รู้ ในหัวก็คิดหนักถึงเรื่องที่เขาพูด
“หิวหรือเปล่า?” พอขึ้นรถมาได้ท้องฟ้าก็หันมาถามผมที่เอาแต่เงียบ
“อืม”
“แวะกินข้าวก่อนก็แล้วกัน”
“อือ” ผมพยักหน้าตอบกลับไปแต่ตาก็ยังคงมองออกไปทางด้านนอกของรถ จุดโฟกัสสายตาของผมยังคงเป็นที่เดิม ท้องฟ้าสีครามที่สดใส แม้จะเจิดจ้าจนทำให้แสบตาแต่ก็น่าดึงดูดจนไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้ ต่อให้ต้องตาบอดเพราะความเจิดจ้านี้แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้มอง เหมือนกับคนข้างๆ ผม ถึงรู้ว่าเสี่ยงกับการเข้าใกล้เขาแต่เพราะความสุขที่ได้รับจากเขามันมีมากกว่าผมถึงได้ยังคงอยู่ตรงนี้ ผมยอมเสี่ยงแม้สุดท้ายจะเจ็บปวดหรือไม่ก็ตาม
“น่ารักกว่าในรูปอีก หลงแล้วนะเนี่ย” ผมจ้องเจ้าตัวเล็กที่ชื่อว่ากุชชี่ตาไม่กระพริบ เจ้าตัวน่ารักเองก็จ้องมามีผมอย่างสนใจมันเดินเข้ามาดมๆ ที่นิ้วของผมอย่างน่ารักน่าฟัด
“ถ้าชอบก็มาเล่นกับมันบ่อยๆ สิ ดูท่ามันก็ชอบนายนะ”
“อืม” ผมพยักหน้ารับเบาๆ แต่ตายังคงจับจ้องอยู่ที่กุชชี่ที่วนเวียนอยู่รอบตัวผมไม่ไปไหน อดใจไม่ไหวเลยต้องอุ้มเจ้าตัวเล็กที่มีขนาดไม่ถึงสองฝ่ามือขึ้นมาแนบแก้มอย่างมันเขี้ยว
“อืมอะไร? จะมาอีกใช่ไหม?” ไหล่ของผมถูกรั้งให้หันไปหาใครอีกคนที่นั่งยองๆ อยู่ข้างผม
“ไม่รู้ดูก่อน” ผมชะงักเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีเข้ม ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังถูกล่อลวงเลยล่ะ?
ท้องฟ้าไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบ เขาพยักหน้ารับแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา ผมนั่งเล่นกับกุชชี่ไปสักพักจนเจ้าตัวน้อยเหนื่อยแล้วก็หลับไป ผมอมยิ้มกับตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปเอาไว้ก่อนจะลุกเดินไปหาท้องฟ้าที่นั่งทำงานอยู่กลางห้อง
“ไปนั่งทำงานตรงหน้าระเบียงได้ไหม?” วันนี้อากาศดีไม่ร้อนมากนัก ผมเลยคิดว่าจะหอบเอางานไปทำที่หน้าระเบียงก็เลยเข้ามาขอเจ้าของห้องก่อน
“ไม่ต้องขอหรอก ห้องนี้เป็นของนายแล้ว อยากทำอะไรก็ตามใจเลย”
“...” ผมกะพริบตามองอีกฝ่ายอย่างมึนๆ ไม่รู้จะตอบอะไรเลยทำเพียงแค่พยักหน้าแล้วคว้าเอางานออกไปทำที่หน้าระเบียงด้วยความไวแสง ทำไมผมต้องใจเต้นแรงกับคำพูดของท้องฟ้าขนาดนี้ด้วย
อ๊าก! พ่นไฟแม่ม!
ตอนนี้ผมได้ทำการเปลี่ยนระเบียงหน้าห้องของท้องฟ้าเป็นรังขยะไปแล้วครับ นี่ขนาดเป็นโมเดลชิ้นเล็กๆ เองนะ ผมแยกเอาขยะกับงานไว้คนละมุมแล้วรีบเก็บรวบเอาขยะไปทิ้งก่อนที่เจ้าของห้องเขาจะมาเห็นสภาพอันเละเทะนี้
“ทะเล” ผมหันไปมองเจ้าของห้องที่เดินออกมายืนอยู่ข้างๆ ด้วยความตกใจ มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?
“หืม?”
“ค้างที่นี่ไหม?” ใบหน้าหล่อระบายยิ้มบางออกมา
“ไม่ได้บอกเมธเอาไว้” ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมาค้างที่นี่ และไม่คิดว่าเจ้าของห้องเขาจะชวนค้างแบบนี้
“เดี๋ยวไลน์ไปบอกให้” ว่าแล้วคนตัวสูงก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดอะไรสักอย่าง
“ดะ เดี๋ยว” ผมลุกพรวดขึ้นจะไปแย่งโทรศัพท์ของท้องฟ้ามาแต่อีกฝ่ายกลับชูโทรศัพท์ขึ้นสุดแขนเบี่ยงตัวหลบแล้วใช้แขนอีกข้างคว้าตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่นแทน
“เรียบร้อย” โทรศัพท์เครื่องหรูถูกยื่นมาจ่อตรงหน้าผม พอกวาดสายตามองก็พบว่ามันเป็นบทสนทนาระหว่างท้องฟ้าที่ทักไปบอกเมธว่าผมจะค้างที่ห้องของท้องฟ้าและเมธก็ตอบรับกลับมาเรียบร้อยแล้วด้วย
ไปญาติดีกันตอนไหนเนี่ย!
“ฉันบอกเหรอว่าจะค้างที่นี่น่ะ?” ผมเอี้ยวตัวไปจ้องหน้าท้องฟ้าตาเขม็ง พยายามดันตัวเองให้หลุดจากแขนของอีกฝ่ายแต่ก็ทำไม่ได้ รัดแน่นจนผมจะสิงร่างเขาได้แล้ว
“แต่ฉันอยากให้นายค้าง กุชชี่ก็เหมือนกัน” ผมเคยบอกไหมว่าท้องฟ้าเป็นคนที่หน้ามึนมาก แถมตีเนียนเก่งสุดๆ เลยด้วย มีอย่างที่ไหนมาเอาสิ่งมีชีวิตน่ารักๆ แบบนั้นมาอ้างน่ะ
“อย่าเอากุชชี่มาอ้าง” เห็นหน้าหล่อๆ นั่นแล้วก็อยากตะปบให้หน้าแหกจริงๆ
“นายไม่อยากนอนกับกุชชี่เหรอ?” ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้นอนกับกุชชี่น่ะสิ!
“เงียบไปเลย” ผมเอื้อมมือไปบีบแก้มอีกฝ่ายจนปากยู่ด้วยความหมั่นไส้ นี่สินะคือความร้ายกาจของท้องฟ้าที่เมธามันพยายามพูดกรอกหูผมน่ะ
ชลธีขอโทษนะเมธาที่เมื่อวานชลธีไม่ยอมเชื่อเมธาน่ะ
“หิวไหม เดี๋ยวไปทำอะไรให้กิน” ปลายนิ้วเรียวยาวยื่นมาเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงมาปิดช่วงดวงตาของผมออกอย่างแผ่วเบา ใบหน้าของท้องฟ้าอยู่ห่างจากผมไปเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือกั้นเท่านั้น นั่นเท่ากับว่าหน้าของเราทั้งคู่มันใกล้กันมาก สายตาที่จ้องมองมายังผมนั้นราวกับจะหลอมละลายผมให้กลายเป็นของเหลวมันเสียตรงนี้
“อยากกินไข่ตุ๋น” ผมตอบออกมาไม่เต็มเสียงนัก ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันกำลังทำให้ใจของผมสั่นไหว ยิ่งใกล้กันมากเท่าไหร่มันยิ่งทำให้ผมคิดไปไกล
“อืม เดี๋ยวทำให้” เขาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางเบาก่อนจะผละตัวเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เกือบไปแล้ว เกือบละลายไปต่อหน้าท้องฟ้าแล้ว
---------------------------------------------------------------------------------------
คุณท้องฟ้าเขาล่อลวงลูกชายของคุุณแม่อีกแล้วค่ะ
เราควรยกทะเลให้ท้องฟ้าไหม?
(คุณเมธาควรเป็นของเรา)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ท้องฟ้ามันร้ายนะคะคุณนายแม่
ตายยยยย แบบนี้ตายยยย