ตอนที่ 17 : ท้องฟ้ากับทะเล : 08 [2/2]
“งั้นพี่ก็นั่งกับพวกผมนี่แหละ เอ้าทะเล มึงจะอาบเหล้าหรือไง?” กลอนเอ่ยชวนท้องฟ้าอย่างเป็นกันเองก่อนจะหันมาร้องทักผมที่กระดกเหล้าเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ยื่นแก้วไปให้ฮิมเชิงบอกให้เติมเหล้าให้ผมอีก
“เดี๋ยวก็เมาหรอก” คนข้างตัวผมส่งสายตาดุๆ มาให้ แต่แล้วเดือนวิศวะก็รับแก้วเหล้าของผมไปเติมให้อีกซึ่งครั้งนี้มันเกือบจะเป็นเหล้าเพียวๆ แล้ว เมื่อกี้เพิ่งว่าผมแท้ๆ แต่ดูที่ฮิมมันผสมเหล้าให้ผมสิ คำพูดกับการกระทำนี่โคตรสวนทาง
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้วันเสาร์” ผมยักคิ้วหลิ่วตาให้ฮิมกลับไป อีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาแล้วเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ ด้วยความรักใคร่ เหรอ? ด้วยความหมั่นไส้มากกว่าล่ะมั้ง
“ไหนใครแม่งบอกไม่อยากเมาวะ?” ซินชะโงกหน้ามาเบะปากใส่ผม
“เสือก” ผมขยับปากโดยไม่ออกเสียงออกมาแล้วกระดกเหล้าเข้าปากต่ออย่างไม่สนสายตาห้ามปรามปนดุดันของใครอีกคน
คิดว่าตัวเองเป็นใครกันเหรอ?
ทำไมผมต้องกลัวด้วย?
เหอะ! น่าหงุดหงิดชะมัดเลย
“แหม พอเหล้าเข้าปากแล้วสันดานออก” เวย์แสร้งจีบปากจีบคอหาเรื่องผม แน่นอนว่ามันสร้างความหงุดหงิดให้ผมได้ดีกว่าเดิมไปหลายเท่าตัว ผมตวัดสายตาไปมองคนพูดอย่างเอาเรื่องแน่นอนว่าเผื่อแผ่สายตาเคืองๆ ไปให้ใครอีกคนที่นั่งหน้าหล่ออยู่ด้วย
เพ้อเจ้ออะไรอยู่เหรอทะเล? คิดว่าเขามาหามึงเหรอ? เปล่าเลย เขาไม่ได้มาหามึง เขาแค่มาส่งแฟนเก่าเขามาเที่ยว ไม่สิ ผมไม่รู้ว่าเขากลับมาคบกันหรือเปล่า บางทีแพรวอาจจะได้สถานะของเธอคืนไปแล้วก็ได้ แค่คิดมันก็เหมือนขอบตาของผมจะเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
ถ้าท้องฟ้ากลับไปคบกับแพรวนั่นก็เท่ากับว่าผมแพ้มาตลอด แพ้ผู้หญิงคนนั้นและคงไม่มีวันชนะ
“มึงก็ไปแกล้งมัน พิงกูได้นะ ไหล่กูกว้าง” แบทหันไปดุเวย์ก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ต่างกัน แขนหนาโอบรอบไหล่ผมแล้วดันให้เอนไปพิงไหล่ของเขาเบาๆ ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ยอมโอนอ่อนตามไปอย่างว่าง่าย
บางทีผมก็แค่อยากได้ไหล่ของใครบางคนมาเป็นที่พักพิงให้ผมในยามที่เหนื่อยล้า และผมจะไม่ปฏิเสธหากใครเต็มใจยื่นมือมาช่วยเหลือ ที่นี่ไม่มีเมธแต่มีแบท ยังไงก็เพื่อน พิงแบทไปก่อนแล้วค่อยกลับไปให้เมธกอดปลอบแล้วกัน
“ฮิ้วววว~”
“เอาแล้ว~ เดือนมหา’ลัยกับเดือนสถาปัตย์จะแดกกันเองแล้วครับ”
“เบาๆ หน่อยได้ไหม? เสียงมึงมันน่ารำคาญ” ผมกระดกแล้วขึ้นดื่มจนหมดแก้วด้วยความหัวเสียและหงุดหงิด
ผมไม่ชอบ ไม่ชอบเลย ไม่ชอบจริงๆ นะ
ไม่ชอบที่ท้องฟ้ามองผมด้วยสายตาดุๆ เขากำลังมองผมเหมือนผมทำอะไรผิดสักอย่าง ทั้งที่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เหอะ ทำตัวน่าโมโหชะมัดเลย
“ปกติกูว่าแม่งน่าหมั่นไส้แล้วนะ ยิ่งเมาแม่งยิ่งน่าหมั่นไส้มากกว่าเดิมอีก”
“ใครจะน่ารำคาญได้เสมอต้นเสมอปลายเหมือนมึงล่ะ?” ผมสวนซินกลับทันควัน ขอเถอะ อย่ามาหาเรื่องตอนนี้เลย ถึงจะไม่ได้เมาแต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ทำให้ผมปากไวกว่าเดิมเยอะ
“เหย สู้ไม่สู้ โต้กลับไม่ได้นี่มึงแพ้เลยนะเว้ยไอ้ซิน” นิคแม่งก็ว่างเกินไปป่ะวะ?
“ไอ้ทะเล มึงลุกขึ้นมาเคลียร์กับกูก่อนเลย” ไอ้ซินก็บ้าจี้ตามเสียงยุของไอ้นิคซะได้ จบจากงานนี้ผมว่าผมควรเลิกคบกับพวกมันนะ เสียเวลาชีวิตจริงๆ
“มึงเหงาเหรอซิน?” ผมส่งแก้วเหล้าไปให้ฮิมเติมให้อีกครั้ง ผมอยากเมา แต่ผมรู้ตัวเองดีว่าตัวเองคอแข็งมาก
เมื่อตอนที่อยู่อิตาลี ผมทำตัวเละเทะมาก เพราะทำใจเรื่องแม่ไม่ได้ผมเลยเอาแต่กินเหล้าเมาทุกวันกินจนมันไม่เมานั่นแหละ รู้ดีว่าเหล้าไม่สามารถช่วยเยียวยาจิตใจได้แต่ผมก็ยังกิน จนเมธมันบินไปด่าถึงอิตาลี มันปารูปของท้องฟ้าใส่หน้าผมแล้วบอกผมว่าให้ไปวาดรูปของท้องฟ้าซะ ผมรู้ดีว่ามันต้องการจะสื่อถึงอะไร ตั้งแต่ที่แม่จากไปผมก็ไม่แตะต้องการวาดรูปอีกเลย จนเมธมันมาบังคับให้ผมวาดรูปท้องฟ้านั่นแหละ แต่ผมก็วาดไม่ได้ ผมทำไม่ได้ ตอนนั้นผมฉีกรูปของท้องฟ้าที่ตัวเองเป็นคนวาดไปหลายสิบแผ่น ผมไม่ชอบวาดรูปท้องฟ้าในตอนที่อารมณ์ไม่คงที่ มันทำให้รูปที่ออกมามันไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น
นทีเข้ามาห้ามผมให้หยุดวาดรูปของท้องฟ้าแล้วเอารูปเก่าๆ ที่ผมเคยวาดมาให้ผมดูแทน นทีดึงผมออกมาจากเรื่องของแม่โดยการเล่าเรื่องของท้องฟ้าให้ผมฟัง นทีบอกว่าเรื่องราวของท้องฟ้าจะเยียวยาสภาพจิตใจของผมได้ หลังจากนั้นผมก็กลับมาวาดรูปของท้องฟ้าอีกครั้ง แต่ก็ยังคงเหมือนเดิม วาดแล้วก็ฉีกไปอีกหลายสิบแผ่น ผมไม่พอใจกับการกระทำของตนเอง สุดท้ายผมก็เลยมุ่งความสนใจทุกอย่างมาที่การวาดรูปท้องฟ้า ผมลืมความเศร้าเรื่องแม่และกลับมามีความสุขกับการวาดรูปอีกครั้ง ผมใช้เวลาเกือบหกเดือนในการเยียวยาจิตใจของตัวเอง หลังจากนั้นพอสภาพจิตใจของผมดีขึ้นผมก็ออกไปเรียนวาดรูป ผมไปเรียนออกแบบภายในและเรียนออกแบบตัวอาคารแบบที่เป็นคอร์สจนกระทั่งตัดสินใจได้ว่าจะกลับมาเรียนต่อที่ไทย
เพราะความรู้สึกของผมที่มีต่อท้องฟ้ามันเลยทำให้ผมกลับมาวาดรูปต่อได้
และผมโชคดีมากที่มีเพื่อนอย่างเมธกับนที
“กูว่ามึงยอมแพ้เถอะซิน ยิ่งพูดมึงยิ่งแพ้ว่ะ”
“สงสารไอ้ซินว่ะ”
“แม่งเอ้ย! ซบกันเข้าไป คืนนี้มึงเสร็จไอ้แบดแน่”
“กูชื่อแบท”
“แต่หน้ามึงตอนนี้โคตรเลวเลย”
เสียงโหวกเหวกโวยวายของเพื่อนๆ ไม่ได้เข้าหูของผมเลยสักนิด สิ่งที่ผมกำลังให้ความสนใจอยู่ตอนนี้คือสายตาของท้องฟ้าที่มองมายังผม เราสบตากันแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมานอกจากมองผมนิ่งๆ ผมเองก็ได้แต่แค่นยิ้มออกมาแล้วบอกกับตัวเองว่า ‘ตื่นได้แล้วทะเล เลิกเพ้อเจ้อเพ้อฝันถึงเขาได้แล้ว’
“กลับบ้านไหมทะเล?”
“แหม มีความเสียงสอง”
เสียงของแบทที่ลอยเข้ามาแต่กลับดูไกลห่าง ทั้งที่นั่งพิงซบกันอยู่แท้ๆ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าทุกอย่างดูห่างไกลจากผม โดยเฉพาะท้องฟ้า ทั้งที่เคยคิดว่าเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่ทำไมตอนนี้มันถึงได้ดูห่างไกลจนคิดว่าไม่ว่าจะวิ่งตามยังไงก็คงไม่มีทางคว้าเขาเอาไว้ได้ ทำไมทุกคนดูห่างออกไปแล้วมีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงนี้
อ่า ความคิดแบบนี้มันกลับมาอีกแล้วสินะ เหมือนกับตอนนั้นเลย ตอนที่ต้องอยู่บ้านเพียงลำพังเป็นครั้งแรกและตอนที่แม่จากไปแบบไม่มีวันหวนกลับมา
“จะไปไหน?” แบทรีบคว้ามือผมเอาไว้อย่างรวดเร็วในตอนที่ผมลุกขึ้นยืน
“ห้องน้ำ” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อไล่ความรู้สึกแย่ๆ ออกไป ผมคิดว่าตัวเองควรไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับบ้านซะ อย่างน้อยถ้าผมจะร้องไห้ก็ควรกลับไปร้องไห้ซบอกแข็งๆ ของเมธามากกว่ามานั่งซึมเป็นท่อนไม้กลางวงเหล้าที่ครื้นเครงแบบนี้
“ให้ไปเป็นเพื่อนไหม?”
“ไม่เป็นไร”
ผมปฏิเสธน้ำใจของแบทไปแล้วก้าวฉับๆ ไปที่ห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้ได้สติแล้วเดินหลบไปหลังร้านเพื่อสูบบุหรี่แก้เครียด ช่วยได้จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมก็ทำแบบนี้เสมอเวลาที่เครียดมากๆ เมื่อก่อนแค่อมยิ้มแท่งเดียวก็ช่วยให้ผมหายเครียดได้แล้ว แต่หลังจากที่เกิดเรื่องของแม่ผมก็ต้องพึ่งบุหรี่และเหล้าตลอด
จริงๆ นี่ก็ไม่ได้แตะของพวกนี้มาสักพักแล้วจนกระทั่งวันนี้แหละ
“สูบบุหรี่ด้วยเหรอ?” เสียงทักที่คุ้นหูทำให้ผมหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ ท้องฟ้าขยับเดินเข้ามาใกล้ ตาคมจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาแปลกใจที่เห็นผมยืนสูบบุหรี่อยู่
“อืม” ผมตอบกลับอย่างขอไปทีแล้วหันหนีอีกฝ่ายคล้ายจะบอกกลายๆ ว่าผมไม่อยากจะสนทนากับเขาในตอนนี้ ทั้งที่ในความจริงแล้วท้องฟ้าไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ถ้าเขาจะกลับไปคบกับแพรว จริงๆ นั่นมันก็เรื่องของเขา ผมไม่มีสิทธิ์ไปร้องโวยหรือเรียกร้องอะไร คนที่แอบชอบมันก็ทำได้แค่ต้องดูแลและรักษาความรู้สึกของตัวเองนั่นแหละ
พรึบ
“ทำอะไร?” ผมหันไปมองคนข้างตัวด้วยแววตาขุ่นเคือง จู่ๆ ก็มาดึงบุหรี่ออกจากมือผมแบบนี้ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
“อย่าสูบเลย มันไม่ดี” บุหรี่ที่ผมเพิ่งสูบไปได้ยังไม่ถึงครึ่งมวนถูกโยนลงพื้นแล้วคนตรงหน้าผมก็เอารองเท้าขยี้มันจนดับไปต่อหน้าต่อตาผม
เป็นบ้าอะไรของเขาเนี่ย?
ผมยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด แทนที่ผมมาสูบบุหรี่แล้วผมจะคลายความเครียดลงแต่มันก็ไม่เพราะคนที่เป็นต้นเหตุของอารมณ์ขุ่นมัวนี้กลับมาสร้างเรื่องให้ผมหัวเสียหนักกว่าเดิมอีก ผมว่าผมกลับเลยดีกว่า อยู่ต่อก็คงมีแต่จะอารมณ์เสียมากกว่าเดิม เดี๋ยวเพื่อนจะพาลจับสังเกตเอาได้
“มีอะไร?” แต่พอจะเดินกลับไปที่โต๊ะก็ถูกอีกฝ่ายคว้าแขนจับรั้งเอาไว้เสียก่อน
“กลับยังไง?” เสียงของท้องฟ้าดูอ่อนลงจนผมสังเกตได้ แต่นั่นมันไม่มากพอที่จะมาเยียวยาความรู้สึกของผมในตอนนี้ได้หรอก ทั้งที่ผมต้องพยายามอย่างมากในการที่จะดึงเขาออกจากความเศร้าที่แพรวเป็นคนสร้างขึ้นมาให้เขา แต่สุดท้ายสิ่งที่ผมพยายามมาทั้งหมดมันก็สูญเปล่า เพราะเขาเดินกลับไปหาผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่ไม่เคยแม้แต่จะเข้าใจเขาเลยสักนิดเดียว
“ไม่รู้ แท็กซี่มั้ง” คิดว่าคงไม่รอให้เมธมารับหรอก ผมอยากรีบกลับห้องแล้ว
“อืม เดี๋ยวฉันไปสะ...”
ครืด ครืด ครืด
เขาชะงักไปก่อนจะพูดได้จบประโยค ท้องฟ้าปล่อยมือออกจากแขนของผมแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมอย่างชั่งใจก่อนจะกดรับสายที่โทรเข้ามาไม่หยุด
“ครับแพรว จะกลับแล้วหรอ? ครับ เดี๋ยวฟ้าเข้าไป ครับ ครับ” เพียงแค่ขึ้นมาคำแรงหัวใจของผมก็ปวดร้าวไปทั้งดวง ผมเบือนหน้าหนีออกจากใบหน้าหล่อเหลาที่ใครๆ ก็ต่างพากันหลงใหล และเมื่อคิดได้ว่าผมไม่ควรจะมายืนโง่เป็นท่อนไม้แบบนี้ สุดท้ายผมก็เลือกที่จะทำให้ตัวเองเจ็บปวดน้อยที่สุดโดยการพาตัวเองออกมาจากที่ตรงนั้น
ระหว่างที่เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองผมต้องเดินผ่านโต๊ะของแพรวและเพื่อนของเขา ผมเหลือบมองกลุ่มหญิงสาวที่จัดว่าเป็นตัวท็อปของมหา’ลัยด้วยสายตาว่างเปล่า เพื่อนๆ ของแพรวต่างส่งเสียงโห่แซ็วกันใหญ่เมื่อท้องฟ้าที่เดินออกมาที่หลังผมเดินเข้าไปหาแพรว
“เฮ้อ!” ผมหันไปมองหน้าท้องฟ้าอีกครั้ง และก็เห็นว่าเขามองมาที่ผมเช่นกัน ผมไม่ชอบที่เขามองผมด้วยสายตาคล้ายจะรู้สึกผิดแบบนี้ มันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เขาจะต้องมารู้สึกผิดกับผม เพราะเขาไม่ได้ผิด ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ถ้าจะถามหาคนผิดนั่นก็มีแค่ผม ผมคนเดียวที่เอาแต่จมปลักอยู่กับเขา ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ยึดติดอยู่กับเขาอะไรมากขนาดนี้
อาจเป็นเพราะเขาเป็นความสุขเดียวที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ล่ะมั้ง
“แบท ไปส่งที่หอหน่อยสิ” ผมเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วสะกิดเรียกแบทที่กำลังนั่งคุยกับฮิมอยู่ ในขณะที่เพื่อนบางส่วนลุกขึ้นไปหาสาวๆ กันที่โต๊ะอื่นแล้ว
“สร่างเมาแล้วเหรอ?” แบทเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความแปลกใจ
“อืม” ผมอยากจะบอกมากเลยว่าผมไม่ได้เมา ที่กินไปนั่นมันทำอะไรผมไม่ได้หรอก ตอนที่เสียใจเรื่องแม่น่ะ ผมดื่มหนักกว่านี้หลายเท่าตัวกว่าจะเมาจนเป็นหมา แค่นี้ถือว่าเด็กๆ
“ไปสิ พวกมึง กูกลับก่อนนะ” แบทลุกขึ้นยืนแล้วหันไปบอกกับเพื่อนที่เหลืออยู่
“เออๆ เจอกันวันจันทร์ ไอ้ทะเล หัดตอบไลน์เพื่อนบ้างนะมึง” นิคพยักหน้ารับแล้วหันมาชี้นิ้วดุผม
“อืม” ผมตอบรับแบบขอไปทีแล้วเดินนำแบทออกไปที่ลานจอดรถ ผมรู้ว่าแบทจอดรถไว้ที่ไหนเพราะขามาผมก็มากับแบทนี่แหละ
“เป็นไรป่ะเนี่ย?” พอขึ้นรถมาได้ผมก็หลับตาเอาหัวพิงกระจกรถทันที เจ้าของรถที่เห็นท่าทางของผมก็เอื้อมมือมาลูบหัวแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เมา” เปล่าหรอก ผมโกหก ผมไม่ได้เมา ผมแค่กำลังเสียใจ แต่ผมคงไม่บอกใครหรอกว่าผมอกหักน่ะ
“เออ รู้” เจ้าของตำแหน่งเดือนมหา’ลัยหันมามองผมพร้อมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก ปล่อยให้ภายในรถมีเพียงแค่เสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ เท่านั้น ผมเหม่อมองออกไปนอกกระจกรถ สิ่งที่สายตาของผมมักจะโฟกัสเป็นอันดับแรกเวลาผมเหม่อนั่นก็คือท้องฟ้า มันมักจะเป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“วันอาทิตย์ว่างหรือเปล่า?” หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบลอยปกคลุมพวกเราอยู่นาน เจ้าของรถ lexus is300h สีขาวก็หันมาถามผม
“ว่างมั้ง ทำไม? จะชวนไปเดทเหรอ?” ผมทำหน้านึกก่อนจะหันไปเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายอย่างกวนๆ
“เฮ้อ เบื่อคนรู้ทันว่ะ” แบทแสร้งถอนหายใจออกมาก่อนจะทำเป็นยักคิ้วหลิ่วตาเล่นหูเล่นตาใส่ผม พอผมเห็นท่าทางอย่างนั้นของอีกฝ่ายก็ถึงกับกลอกตามองบนพร้อมเบะปากคว่ำใส่ทันที
“อย่าเพิ่งทำหน้าเหม็นเบื่อสิ พอดีน้องชายฝากซื้อพวกอุปกรณ์วาดรูปเลยอยากให้ไปช่วยเลือกหน่อย” แบทรีบร้องโวยออกมาทันทีที่เจอผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขาเข้าไป
“อือ กี่โมง?” ผมจะไม่ถามว่าทำไมเขาไม่ชวนนิคที่อยู่ศิลปกรรมแทนผมที่อยู่สถาปัตย์นะ เอาเป็นว่าผมไปก็ได้ ยังไงก็ว่างอยู่ อีกอย่างมันก็น่าจะดีกว่าผมอุดอู้อยู่ในห้องน่ะนะ
“ใจง่ายว่ะ” คนที่มีหน้าที่ขับรถหันมาเอ่ยแซ็วด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ซึ่งมันโคตรจะน่าหมั่นไส้เลย
“ไม่ไปละ” ชีวิตผมเจอแต่พวกกวนประสาททั้งนั้นเลย ให้ตายสิ
“ล้อเล่น สักสิบเอ็ดโมงแล้วกัน โอเคไหม?” ไม่วายมันยังเอานิ้วมาเขี่ยๆ แขนผมเล่นอีก จะไม่ไปด้วยก็เพราะอย่างนี้แหละ
“อืม เลี้ยงข้าวด้วย” ผมพยักหน้ารับเนือยๆ กลับไป
“ครับๆ ถึงละ ให้ไปส่งที่หน้าห้องไหม?”
“ไม่เป็นไร ขอบใจที่มาส่ง” ผมปฏิเสธกลับไป เพราะผมรู้ตัวเองดีว่ามีสติ และไม่ได้เมา ผมไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นภาระใคร ผมดูแลตัวเองได้
“อืม ฝันดีนะทะเล”
“ฝันดี”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

#ทีมแบททะเลเมธ
ท้องฟ้าคือใครเราไม่รู้จัก 55555
ฟ้าเขาล่มเรือตัวเองล่ะ