ตอนที่ 14 : ท้องฟ้ากับทะเล : 07 [1/2]
07
“พี่รัญ เห็นเมธไหมครับ?” ผมที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จรีบร้องถามพี่รัญที่เดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเขาด้วยความร้อนใจทันที ผมตื่นเต้นจนสติจะหลุดแล้ว ตั้งแต่มาถึงผมยังไม่เจอเมธเลย ผมจะทำยังไงดี รู้สึกประหม่าแล้วก็ไม่มั่นใจมากๆ เลยด้วย
“มันอยู่หน้าเวทีน่ะ มีอะไรหรือเปล่า?” พี่รัญเดินเข้ามาหาผมยกมือขึ้นลูบหัวลูบหน้าคล้ายกับจะปลอบผมที่กำลังจะสติแตก พี่ๆ คนอื่นก็เดินเข้ามายืนล้อมผมเอาไว้อย่างให้กำลังใจ
ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมพวกลูเซี่ยนถึงเดินเข้าออกห้องแต่งตัวของพวกเดือนได้ ก็พวกนี้เขาเส้นใหญ่ไง ที่ยืนอยู่นี่ก็อดีตเดือนคณะตั้งสามคน พี่รัญ พี่คชา และท้องฟ้า สามคนนี้เขาสนิทกับกองประกวดจะตาย
“ผมอยากเจอเมธ” ผมเหลือบตามองท้องฟ้านิดหน่อยก่อนจะหันกลับมาทำหน้าอ้อนใส่พี่รัญ ผมอยากเจอเมธ สำหรับผมแล้วเมธเป็นมากกว่าเพื่อน มันสามารถเป็นตัวแทนของพ่อกับแม่ของผมได้ เป็นอีกคนที่ผมนับเป็นครอบครัว เมื่อผมมีเรื่องไม่สบายใจแต่ถ้ามีเมธอยู่ด้วย ผมมักจะอุ่นใจทุกครั้ง
“เดี๋ยวพี่ไปตามให้ก็ได้ โทรไปมันคงไม่ได้ยินหรอก” พี่รหัสคนดียิ้มบางอย่างใจดีเช่นเคย ผมรีบพยักหน้ารับรัวเร็ว พอพี่รัญเห็นท่าทางของผมพี่เขาก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะขอตัวออกไปตามเมธมาให้ผม
“ไง ตื่นเต้นเหรอ?” รอไม่นานคนที่ผมอยากเจอก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มแป้นแล้นอย่างน่าหมั่นไส้
“อืม”
“กอดไหม?” แขนหนากางออกกว้างรอให้ผมเข้าไปหา
หมับ!
และไม่ต้องคิดนานผมก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเพื่อนสนิททันทีอย่างรวดเร็ว
“มึงนี่น้า แล้วไหนบอกว่าโตแล้ว?” เสียงทุ้มห้าวหัวเราะแผ่วเบาในลำคอพร้อมกับมือใหญ่ที่ลูบหัวลูบหลังปลอบผมไม่หยุด ขนาดปลอบผมอยู่มันก็ยังจะกวนประสาทอีก
“เงียบๆ น่า” ผมทุบหลังมันไปทีด้วยความหมั่นไส้
“ดีขึ้นไหม?” หลังจากที่ผมซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเมธจนพอใจแล้วก็เป็นฝ่ายผละออกมาเอง
“นิดนึง” ถึงตอนนี้จะมีเมธาอยู่ด้วยก็เถอะ แต่ยังไงชลธีก็ยังไม่หายตื่นเต้นอยู่ดีนั่นแหละ อยากจะกรีดร้องออกมาให้กับความปั่นป่วนในท้องตอนนี้ อ๊าก พ่นไฟได้ไหม
“กูต้องไปแล้ว พยายามเข้านะ กูรอมึงอยู่หน้าเวที ประกวดเสร็จเมื่อไหร่ก็วิ่งมากอดกูก็ได้กูจะรอ” ไอ้คนตัวสูงกว่ามันยื่นมือมาโยกหัวผมไปมาเบาๆ อย่างหยอกล้อ
“มึงห้ามไปไหนนะ ถ้ากูออกไปแล้วต้องเห็นมึงอยู่หน้าเวทีตลอดนะ” ผมรีบคว้ามืออีกฝ่ายแล้วกำเอาไว้แน่น แม้ตลอดหนึ่งปีที่อยู่อิตาลีผมจะอยู่คนเดียวได้ก็เถอะ แต่การที่มีเมธอยู่ด้วยในตอนนี้มันดีกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ เลย
“กูเคยทิ้งมึงด้วยหรอ?” รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสนิท แววตาของอีกฝ่ายสะท้อนถึงความจริงจังออกมาให้ได้เห็น
“อืม” ผมพยักหน้ารับเบาๆ มองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทเดินหายออกไปจากห้องที่ใช้แต่งตัว พี่พนากับพี่ภพเดินเข้ามาตบบ่าผมอย่างให้กำลังใจแล้วพากันเดินออกไป พี่คชากับพี่รัญก็เดินมาโยกหัวผมคนละทีสองทีพร้อมรอยยิ้มดี๊ด๊ากันเต็มที่
“สู้ๆ” เสียงคุ้นหูที่ดังอยู่ไม่ไกลมาพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่วางแปะลงมาบนหัวของผม ท้องฟ้าไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าวางมือเอาไว้เฉยๆ ผมเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายแล้วก็พยักหน้ารับเบาๆ ไม่นานร่างสูงกว่าก็ผละตัวเดินออกไปจากห้องที่ใช้แต่งตัว แม้ท้องฟ้าจะเดินออกไปแล้วแต่ความอบอุ่นที่เขามอบให้เพียงเสี้ยวเวลาหนึ่งยังคงติดตรึงอยู่ไม่จางหาย
ผมกลับมานั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอีกครั้งหนึ่งแต่นั่งได้แค่แปบเดียวก็ถูกตามตัวออกไปแล้ว ผมพยายามอย่างมากในการเดินให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดในตอนที่เดินโชว์ตัวอยู่บนเวที สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากขึ้นไปยืนบนเวทีแล้วคือการกวาดสายตามองหาเมธกับนที และเพื่อนทั้งสองก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง ผมเห็นเมธกับนทียืนอยู่หน้าเวทีจริงๆ ข้างนทีมีนานะกับเกนด้วย ส่วนข้างเมธก็มีพี่รัญกับเพื่อนๆ แต่คนที่สามารถตรึงสายตาของผมได้ดีที่สุดก็คงไม่พ้นท้องฟ้าที่มองมาที่ผมด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เราสบตากันแวบหนึ่งเขาก็พยักหน้าเบาๆ อย่างให้กำลังใจ เพียงแค่นั้นผมก็หลุดยิ้มออกมา
“กรี๊ด!”
“ต่อไปเป็นการแสดงความสามารถพิเศษของผู้เข้าประกวดแต่ละท่านนะคะ”
“เรามาเริ่มกันที่เดือนคณะนิเทศศาสตร์กันก่อนเลยดีกว่าครับ”
ผมรีบเดินกลับไปที่ด้านหลังเวทีอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ผมเดินเป็นคิวสุดท้าย รอบต่อไปเป็นคิวการแสดงความสามารถพิเศษ ผมมีเวลาทำใจอีกสักพักใหญ่ๆ
“ทะเล เราคิวสุดท้ายนะ สู้ๆ”
“ขอบคุณครับพี่รี” ผมยกยิ้มแล้วผงกหัวขอบคุณรุ่นพี่ที่มีหน้าที่ดูแลผมในเรื่องการประกวดเดือน พี่รัญที่แวบกลับเข้ามาหลังเวทีอีกครั้งเดินเข้ามากอดให้กำลังใจผมทันทีที่เห็นผมนั่งอยู่ในห้องแต่งตัว
“ให้น้องอยู่คนเดียวไหม? เผื่อน้องต้องการสมาธิ” พี่รีหันไปถามพี่รัญที่กอดผมแน่นไม่ยอมปล่อย ผมว่าพี่รัญเริ่มจะติดผมมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ ผมที่ไม่มีพี่น้องก็พลอยติดพี่รัญไปด้วยเลย การมีคนที่คอยตามใจตามโอ๋นี่มันดีอย่างนี้นี่เอง อยู่กับเมธกับนทีมันไม่ได้มามุ้งมิ้งใส่แบบนี้หรอก ฮาร์ดคอร์ใส่กันตลอด นานๆ ถึงจะมีโม้เม้นกอดปลอบกันสักที
“อืม พี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวใกล้ได้เวลาแล้วให้คนมาตาม” พี่รัญหันไปพยักหน้ารับกับพี่รีก่อนจะหันมาบอกกับผม
“ครับ” ผมยกยิ้มตอบกลับพร้อมโบกมือให้พี่ๆ ทั้งสองแล้วก็กลับมานั่งห่อเหี่ยวเป็นถั่วงอกขาดน้ำอีกเช่นเคย เครียด กดดัน ตื่นเต้น ประหม่า อยากจะบ้า ในห้องไม่มีใครอยู่เลยครับ ทุกคนแยกตัวออกไปหาที่เงียบๆ ทำสมาธิ บางคนก็ไปซ้อมกันอีกรอบสองรอบก่อนแสดงจริง ส่วนผมที่ไม่สามารถซ้อมได้ก็ทำได้แค่นั่งซึมต่อไป
“นายทำได้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง” ผมลืมตาโพล่งด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนดังอยู่ไม่ไกล
“ท้องฟ้า” และเมื่อเห็นใบหน้าหล่อราวกับสวรรค์สร้างมาก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
“ไม่เมื่อยหน้าบ้างเหรอ?” ปลายนิ้วเรียวยื่นมาคลึงที่หัวคิ้วของผมแผ่วเบาเพื่อให้ผมคลายการขมวดคิ้วลง
“ยุ่งน่า” ผมบ่นอุบแล้วเบือนหน้าหนี ให้ตายเถอะ คนยิ่งต้องการสมาธิอยู่นะ แต่เขากำลังมาทำให้ผมเสียสมาธิ!
“ยิ้มหน่อยสิ” อดีตเดือนบริหารชะโงกหน้ามาใกล้แต่ผมเบี่ยงหน้าหลบ อย่าเอาหน้าหล่อๆ แบบนั้นมาใกล้ได้ไหม แค่นี้ก็ไม่มีสติแล้ว ถ้าเขายังไม่หยุดผมจะต้องระเบิดตัวตายแน่ๆ
“ยิ้มไม่ออก” ด้วยความหมั่นไส้ที่ถูกอีกฝ่ายก่อกวนไม่เลิกผมเลยยื่นมือไปดันหน้าหล่อๆ นั่นให้ออกห่าง
“หันมานี่สิ” แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่เลิกวอแวกับผม เขายังคงพยายามจะเรียกให้ผมหันไปหาเขาให้ได้
“ฮึ!” ยิ่งเขายื้อตัวผมไว้ผมก็ยิ่งเบี่ยงตัวหลบหนี ผมไม่สามารถรวบรวมสติและสมาธิได้เลยถ้าเขายังอยู่ในนี้
“ทะเล หันมา” ฝ่ามืออุ่นร้อนประกบเข้าที่ข้างแก้มของผมทั้งสองข้างก่อนจะดันให้หันไปหาเขา
“อืม” ผมมองตากับอีกฝ่ายนิ่งๆ แต่ไม่นานก็ต้องเผลอหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขยับยิ้มบางๆ ที่มุมปาก รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักของท้องฟ้าทำเอาผมตาพร่าเลือนไปหมด
“ยิ้มแล้ว” พอเห็นผมยิ้ม เขาก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม รอยยิ้มของเขาขับให้ใบหน้าหล่อคมดูอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ผมชอบรอยยิ้มของเขา ชอบเสียงทุ้มที่กำลังพูดคุยกับผมอยู่ในตอนนี้ ชอบบรรยากาศที่เขาสร้างขึ้นมา ชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นท้องฟ้า แค่ท้องฟ้าเท่านั้นที่ผมชอบ
“อะไรของนายเนี่ย?” ผมแสร้งตีหน้ายุ่งใส่เมื่ออีกฝ่ายดูจะอารมณ์ดีขึ้นมาผิดหูผิดตา ซึ่งมันต่างจากผมที่กำลังหงุดหงิด ไม่รู้ว่าจะหงุดหงิดใครดีระหว่างเขากับตัวผมเอง อีกไม่นานจะต้องขึ้นไปแสดงแล้วแท้ๆ แต่ผมกลับไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของสติ หวังว่าผมจะไม่ทำให้ตัวเองขายหน้านะ
“ไม่เครียดสิ” ผมจะเครียดก็เพราะเขานี่แหละ!
“ไม่ได้เครียด แค่ตื่นเต้น” ประหม่าแล้วก็กังวลด้วย
“ตั้งสมาธิดีๆ อย่าสติหลุด” ปลายนิ้วอุ่นเลื่อนมาแตะที่ขมับทั้งสองข้างของผมก่อนจะคลึงมันเบาๆ
“หลุดไปแล้ว” ผมเบ้หน้าด้วยความไม่ชอบใจ ทำไมถึงมีแต่ผมที่เป็นบ้าขนาดนี้ แค่เห็นเขายิ้มผมก็แทบจะละลายลงไปกองกับพื้นแล้ว แต่ดูเขาสิ ทำไมถึงชอบทำให้คนอื่นหวั่นไหวอยู่เรื่อยเลยนะ มันน่าโมโหจริงๆ เลย
“หึ” เสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอหลุดออกมาจากคนตรงหน้า ผมถลึงตามองทันที แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยี่หระ
“นายทำได้ เชื่อมั่นในตัวเองสิทะเล” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยให้กำลังใจผมอีกครั้ง ทำเอาหัวใจของผมกระหน่ำเต้นรัวเร็วกว่าเดิมหลายเท่า
“อืม” เชื่อได้เลยว่าหน้าผมมันจะต้องขึ้นสีเข้มแน่ๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ทะเล ได้เวลาแล้ว” เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นพร้อมกับที่ประตูเปิดออก แบทยืนอยู่หน้าประตู เขาชะงักเมื่อเห็นท้องฟ้ายืนอยู่ในห้องกับผมด้วย เขามองหน้าผมสลับกับท้องฟ้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น
“ฉันไปรอที่หน้าเวทีนะ” ท้องฟ้าก้มลงมากระซิบที่ข้างหูคล้ายกับต้องการให้ผมได้ยินเพียงแค่คนเดียวพร้อมกับยัดอมยิ้มรสโปรดใส่เข้าที่มือของผม
“อืม” ผมพยักหน้ารับเบาๆ แล้วท้องฟ้าก็เดินออกไป ผมมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วก็ลอบถอนหายใจออกมา กำอมยิ้มในมือเอาไว้แน่นก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง
ผมว่าตอนนี้ผมเริ่มกังวลเรื่องท้องฟ้ามากกว่าเรื่องการแสดงแล้วล่ะ
“ทะเล” แบทเรียกผมอีกครั้งเมื่อผมยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเดินออกไปสักที
“อื้อ” ผมขานรับแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
---------------------------------------------------------------------------------------
จะคุณท้องฟ้าหรือคุณเมธาก็ดีไปหมดเลยค่ะคุณขา~
อิจฉาคุณชลธีจริงๆ เลยค่ะ
มีคนชอบเราก็ดีใจ~
ขอบคุณทุกคอมเม้นที่ทำให้เรามีแรงแต่งเรื่องนี้ต่อนะ รักนะจุ๊บๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เรือออออออ