ตอนที่ 1 : ท้องฟ้ากับทะเล : 00
00
เคยรู้สึกว่าโลกใบนี้มันน่าเบื่อไหม?
อืม ผมเองก็ไม่ต่างกัน บอกตามตรงว่าผมกำลังเบื่อโลกใบนี้เป็นอย่างมาก ทำไมอะไรๆ ก็ดูไม่น่าสนใจไม่น่าตื่นเต้นเอาเสียเลย
ทุกคนมีวิธีแก้เบื่อยังไงกันเหรอ?
ผมแก้เบื่อโดยการออกมาถ่ายรูป ผมรักในการวาดรูป ทุกครั้งที่เบื่อกับโลกใบเดิมๆ ผมก็จะออกไปข้างนอกเพื่อหาแรงบันดาลใจและสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา ผมชอบที่จะวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ต้นไม้ ดอกไม้ สถานที่ต่างๆ ตึกรามบ้านช่อง สิ่งของอะไรก็ได้ที่น่าสนใจ แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบที่จะวาดมันเลยก็คือคน
ครับ ผมไม่ชอบวาดคน เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับผม องค์ประกอบหรือโครงสร้างของมนุษย์เราน่ะเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ นะ การจะวาดใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่แค่วาดภายนอกให้เหมือนแล้วจบแต่เราต้องสื่ออารมณ์และความรู้สึกของอีกฝ่ายออกมาผ่านภาพวาดด้วย ผมไม่รู้ว่าทุกคนจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดไหม?
แต่นั่นแหละ ผมก็อธิบายไม่เก่งด้วยสิ เอาเป็นว่าผมไม่ชอบและไม่ถนัดในการวาดคนจริงๆ เลยสักนิดเดียว ถ้าให้วาดเป็นพวกการ์ตูนก็ยังพอถูไถไปได้ แต่ถ้าให้มีแบบเป็นคนจริงๆ ผมคงทำไม่ได้ ไม่ใช่ไม่เคยพยายามทำนะ เคยพยายามหลายครั้งแล้วแต่ก็ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ยากเย็นเหลือเกิน เพราะงั้นเลยเลี่ยงที่จะวาดคนมาตลอด ถึงตอนนี้จะอยู่แค่ม.4 ก็เถอะ แต่เห็นอย่างนี้ก็มีเป้าหมายในชีวิตแล้วนะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์คือเป้าหมายของผมในระดับมหาวิทยาลัย เคยคิดว่าอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านที่ถูกสร้างโดยตัวผมเองที่เป็นคนออกแบบ ทุกครั้งที่ได้อยู่บ้านมันก็จะทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองใช่ไหมล่ะ?
ครืด ครืด ครืด
โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงนักเรียนสั่นอย่างรุนแรงเมื่อมีสายเรียกเข้า ผมจำต้องวางกล้องถ่ายรูปตัวโปรดลงแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแทน
-แม่-
“ครับแม่”
เมื่อเห็นเบอร์ที่ขึ้นโชว์อยู่บนหน้าจออย่างเต็มตา ปลายนิ้วจึงรีบกดรับอย่างรวดเร็ว
(“อยู่ไหนน่ะ?”)
เสียงหวานที่ได้ยินตั้งแต่เกิดดังมาตามสาย ผมอมยิ้มนิดๆ เมื่อเหลือบไปเห็นเวลาที่นาฬิกาบนข้อมือของตัวเอง
17.00 นาฬิกา
แม่มักจะโทรมาในเวลานี้เสมอหากแม่ว่างจากการทำงาน
“สวนสาธารณะครับ”
ผมตอบกลับไปอย่างเช่นทุกครั้ง
(“ไปถ่ายรูปอีกแล้วเหรอ? งั้นก็อย่ากลับดึกนะ วันนี้แม่มีเคสผ่าตัดคงกลับดึกยังไงก็หาข้าวกินด้วย ถ้าพ่อกลับบ้านก็ดูแลพ่อด้วยนะ”)
คล้ายกับได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจเบาๆ มันมักจะเป็นอย่างนี้เสมอเวลาที่แม่โทรหาผม ถ้าไม่อยู่ที่สวนสาธารณะก็เดินไปเรื่อยนั่นแหละ ครอบครัวผมไม่ค่อยจะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันนัก แม่ที่เป็นศัลยแพทย์ฝีมือดีน่ะงานรัดตัวจะตาย ส่วนพ่อที่เป็นช่างภาพชื่อดังก็ออกจะติสท์อยู่ไม่น้อย วันไหนอยากกลับบ้านก็กลับ วันไหนไม่อยากกลับก็คือไม่กลับนั่นแหละ ส่วนผมน่ะเหรอ? อืม อยากกลับเมื่อไหร่ก็กลับเองแหละน่า ยังไงพ่อกับแม่ก็ปล่อยให้ดูแลตัวเองมาตั้งแต่ประถมแล้ว แต่เห็นอย่างนี้ก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหลนะ
“ผมรู้แล้วน่า แม่เถอะดูแลตัวเองด้วย อย่าลืมกินข้าวนะ เป็นหมอน่ะดูแลคนอื่นแล้วก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
ไม่รู้ว่าคนเป็นหมอเป็นอย่างนี้ทุกคนไหม? บอกให้คนอื่นดูแลตัวเอง กินข้าวให้ครบสามมื้อ ออกกำลังกาย นู่นนี่นั่นอีกสารพัด แต่พอเป็นตัวเองกลับกลายเป็นว่ากินข้าวแทบนับคำได้ในแต่ละวัน
ขออนุญาตถอนหายใจนะครับ เฮ้อ
(“บ่นยิ่งกว่าพ่อเราอีกนะเด็กคนนี้นี่”)
เสียงแม่ดุกลับมาอย่างไม่จริงจังนัก ผมทำเพียงแค่ไหวไหล่พลางหัวเราะเบาๆ ในลำคอตอบกลับไป
“เพราะเป็นห่วงไงผมถึงได้พูดน่ะ”
บางครั้งแม่ก็ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง เข้าใจนะว่าอาชีพหมอมันเป็นอะไรที่หนักหน่วงมาก ต้องแบกรับทั้งร่างกายและจิตใจของคนอื่นเอาไว้ ผมรู้ว่าแม่รักอาชีพนี้เลยไม่เคยเรียกร้องอะไรแม้แต่เวลาก็ไม่เคยร้องขอจากแม่ กับพ่อเองก็เหมือนกัน ผมรู้ดีว่าแต่ละคนต่างก็มีเป้าหมายและภาระหน้าที่ของตน เพราะอย่างนั้นผมเองจึงตั้งเป้าหมายในชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อที่ผมจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีจุดหมายเหมือนพ่อกับแม่
แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองรักมันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?
(“เข้าใจแล้ว แม่จะกินข้าวให้ตรงเวลานะ แต่ตอนนี้แม่ต้องวางแล้ว เจอกันวันพรุ่งนี้นะลูกชาย รักลูกนะทะเล”)
แม้ตัวจะห่างแต่ความรู้สึกไม่เคยไกลห่าง ผมมักจะรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแม่ แค่เบอร์แม่ขึ้นโชว์บนหน้าจอก็ทำให้ผมดีใจแล้ว
“ครับ รักแม่เหมือนกันครับ”
ผมน่ะไม่อายหรอกที่จะบอกรักพ่อกับแม่ของตัวเอง พ่อสอนเสมอว่าให้ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง กับพ่อแม่น่ะ รู้สึกยังไงก็พูดไปเถอะ รีบๆ พูดไปก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูด ชีวิตคนเรามันสั้นจะตาย จริงไหมล่ะ?
หลังจากที่วางสายแม่ไปผมก็ส่งข้อความไปหาพ่อ ถามดูว่าท่านจะกลับบ้านไหม และก็ได้คำตอบว่าไม่กลับ พ่อมักจะไม่กลับบ้านถ้าแม่ไม่อยู่บ้าน พ่อเหงาน่ะ ถ้ากลับมาก็ต้องนอนคนเดียวใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นพ่อเลยไม่กลับ สงสัยใช่ไหมว่าพ่อนอนที่ไหน? ก็สตูดิโอของพ่อนั่นแหละ
นั่งเปื่อยไปอีกสักพักก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ผมยังหาแบบหรือแรงบันดาลใจที่จะวาดรูปในวันนี้ไม่ได้เลย ผมมักจะวาดรูปทุกวัน วันละหนึ่งรูปเพื่อเป็นการฝึกฝนฝีมือของตัวเอง บางครั้งรูปหนึ่งอาจกินเวลาไปหลายวันแต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเป้าหมายของผมคือการบังคับตัวเองให้ฝึกฝนทักษะในทุกๆ วันต่างหาก
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
เมื่อถอดใจจากการหาแบบในการวาดรูปแล้วก็คิดว่าจะตรงกลับบ้านทันที แต่ในระหว่างที่กำลังจะเดินย้อนกลับไปที่ทางเข้าสวนสาธารณะก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องของลูกนกดังแว่วอยู่ไม่ไกล
“ปีกหักเหรอ? น่าสงสาร” ผมหันมองซ้ายขวาแล้วเดินตามเสียงนั้นไปแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคนดังมากจากทิศทางเดียวกันเสียก่อน
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
เสียงเจ้าลูกนกยังคงร้องดังอย่างต่อเนื่อง ท่าทางจะเจ็บเอาเรื่องเลยนะเจ้าตัวเล็ก แค่ได้ยินเสียงยังอดสงสารไม่ได้เลย คงต้องจับส่งคุณหมอแล้วล่ะ
“ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวพาไปหาหมอ” เสียงของใครคนนั้นเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน ผมขยับเข้าไปใกล้และพยายามหามุมที่จะมองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ชัดๆ แต่เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าแล้วกลับเป็นผมเองที่นิ่งค้างไป
ร่างสูงโปร่งของเด็กผู้ชายที่วัยไล่เลี่ยกันกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นหญ้าโดยสองมือโอบอุ้มลูกนกตัวเล็กขึ้นมาแนบอกอย่างทะนุถนอม ใบหน้าที่เรียกว่าดูดีเกินวัยสามารถสะกดสายตาคนมองอย่างผมได้เป็นอย่างดี ยิ่งอีกฝ่ายทอดมองเจ้าลูกนกด้วยแววตาอ่อนโยนมันยิ่งทำให้ผมไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้
ผู้ชายคนนั้น
อ่า จริงสิ นี่มันคนดังของโรงเรียนผมนี่นา ชื่ออะไรนะ?
อืม เหมือนจะเกี่ยวกับท้องฟ้าหรือไงนี่ล่ะมั้งถ้าจำไม่ผิด เหมือนว่าจะเคยได้ยินพวกผู้หญิงในห้องพูดถึงกันอยู่ว่าชื่อ อ่าใช่! ชื่อท้องฟ้าไง ผู้ชายที่ตัวสูงๆ หน้าหยิ่งๆ คนนั้นชื่อท้องฟ้า เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในโรงเรียน เพราะโดดเด่นในทุกด้านไม่ว่าจะหน้าตา ฐานะ หรือความสามารถที่มีอยู่รอบด้าน ทั้งดนตรี กีฬา แม้แต่การเรียนก็อยู่ในอันดับต้นๆ เป็นคนที่เข้าใกล้คำว่าเพอร์เฟคสุดๆ แต่เสียอยู่อย่างเดียวตรงที่ออกจะดูหยิ่งและเย็นชาอยู่ไม่น้อยเลยทำให้ใครต่อใครต่างก็ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะผู้ชาย แต่นั่นไม่ใช่กับผม เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยสนโลกสักเท่าไหร่เลยทำให้ไม่ได้มีความรู้สึกด้านลบกับคนตรงหน้านี้มากนัก เรียกได้ว่าค่าความรู้สึกเป็นศูนย์เสียมากกว่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไปทางบวกมากขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้วล่ะนะ
ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินสาดส่องแสงลงมายังเบื้องหลังของอีกฝ่ายทำให้ภาพเหตุการณ์ตรงหน้านั้นยิ่งน่ามองยิ่งขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเย็นชากับเพื่อนมนุษย์แต่กลับมีมุมที่อ่อนโยนต่อสัตว์ตัวน้อย เบื้องหลังของเขาคือต้นไม้สูงใหญ่ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไร แสงสีส้มแดงในยามเย็นเสริมให้ภาพตรงหน้าดูงดงามมากกว่าสิ่งใด
แชะ!
ผมว่าวันนี้ผมได้รูปที่อยากจะวาดแล้วล่ะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูขยันเนอะมาเปิดเรื่องใหม่ เรื่องเก่ายังไม่จบเลยแก
แต่ไม่เป็นไร เราสตรองพอ
เหรอ?
อยากเขียนไงเลยเขียน
เพราะงั้นก็ฝากท้องฟ้ากับทะเลด้วยนะค้าาาาาา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พ่อแม่มีความคอนทราสต์กัน ทะเลก็ดูได้พ่อมา55555
ท้องฟ้าตอนที่ช่วยลูกนกดูละมุนจัง ^^