ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : รักแรกพบในความรู้สึกของผม
         
ผมเห็นคุณครั้งแรกในวันที่อากาศยามเช้าสดใส จำได้ดีว่าวันนั้นเป็นวันหยุด ผมเดินผ่านหน้าบ้านคุณ แล้วก็อดสนใจผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ เธอกำลังยืนตักบาตร 
         
คุณอยู่ในสภาพเหมือนเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากที่นอน  แต่ยังมีกะใจลุกขึ้นมาตักบาตร  จะไม่ให้ผมมองคุณได้อย่างไร ในเมื่อผมไม่ค่อยได้เห็นหญิงสาวลุกขึ้นแต่ไก่โห่เพื่อมาตักบาตร 
คุณทำให้ผมนึกถึงแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด  เวลานี้แม่ก็คงกำลังตักบาตรอยู่เช่นกัน  คุณเห็นผมมองคุณ  คุณก็มองผมกลับ  นัยน์ตาคุณเอาเรื่องทีเดียว  ผมก็เลยนึกขำว่า ไอ้ที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นคนใจดี ใจบุญอาจจะไม่ใช่ก็ได้ 
แต่เอาเถอะนะผมก็ชักชอบนัยน์ตาเอาเรื่องคู่นี้ซะแล้วสิ 
         
ผมเดินกลับมาบ้านด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคยนัก บ้านหลังนี้พ่อซื้อไว้เพื่อใช้เป็นเรือนหอ แต่แม่ผมไม่ใคร่อยากอยู่นัก บ่นว่าไม่ชอบกรุงเทพ แม่ชอบเถียงกับพ่อเรื่องต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพฯว่าเป็นสาวบ้านนอก มีอาชีพทำไร่ปลูกผักผลไม้  ถ้าพ่อรักแม่ก็ให้ย้ายมาอยู่ที่จันทบุรี 
แม่ไม่อยากทิ้งผืนดินที่ตากับยายช่วยกันสร้างมา  เพื่อย้ายไปในสถานที่ที่แม่ไม่คุ้นเคย แม่ยื่นคำขาด และนั่นก็คือเหตุผลเดียวที่บ้านหลังนี้ถูกปิดตาย 
บ้านที่ถูกปล่อยประละเลยย่อมทรุดโทรมไปตามกาลเวลา  ถึงแม้ว่าพ่อกับผมจะขึ้นมาจากจันทบุรี  เพื่อมาทำความสะอาดบ้านบางครั้ง  แต่เมื่อผมกลับมาเพื่ออยู่คราวนี้  ก็ต้องมาสังคยานาบ้านหลังนี้กันยกใหญ่  ซึ่งมันใช้เวลาหลายวันทีเดียว  นี่ขนาดผมยังนอนไม่หายเหนื่อย  น้องสาวตัวดีก็โทรมาจิกผมแต่เช้า
             
แก้วใจนัดผมไปดูหนังฉลองที่เธอสอบได้คะแนนดี  แล้วยังขอรางวัลเป็นหนังสือเล่มใหม่ของนักเขียนชื่อนิรมิตด้วย 
เธอบอกว่าหนังสือเล่มนี้เขียนดี  สอนวิธีการใช้ความรักอย่างมีสติ  น้องสาวผมไปยืนอ่านแล้วเกิดติดใจแต่ไม่มีเงินซื้อ  เพราะมันแพงมาก เล่มละสามร้อยสี่สิบบาท  เธอบอกราคาเสร็จสรรพ  แถมยังกำชับนักหนาว่ายังไงก็ต้องซื้อมาให้ได้ 
ผมเองไม่เข้าใจผู้หญิงซะจริงๆเลย  ทำไมถึงได้สนใจอ่านหนังสือประเภทรักหวานแหววแบบนี้กันนัก  พวกเธอไม่รู้กันหรือไงว่าความรักแบบนิยายนั้นมันไม่มีอยู่จริงๆหรอก 
เรื่องของความรักไม่สามารถออกแบบกันได้ แล้วคนเขียนชื่อพึกลึกนั่น  รู้เรื่องเชี่ยวชาญความรักขนาดไหนเชียว ถึงได้เขียนนิยายมาหลอกขายชาวบ้านได้
         
ผมเดินออกมาจากบ้านด้วยอาการที่เรียกได้ว่าเซ็งมาก  ใจอยากจะนอนต่อซักนิดเพราะเมื่อคืนผมก็นอนดึก  มัวแต่นั่งวาดรูปจนเพลิน  มองดูนาฬิกาอีกทีมันก็ดึกเสียยิ่งกว่าดึก  ป่านนี้ผู้หญิงนัยน์ตาเอาเรื่องคนนั้น  กำลังทำอะไรอยู่นะ
         
เช้าวันอาทิตย์ที่แสนน่าเบื่อ 
แทนที่ผมจะได้นอนหลับให้สบายกลับต้องฝืนสังขารเพื่อตามใจน้องสาว  ก็เธอเล่นขู่ผมว่ารีบเอาใจเธอซะก่อนที่เธอจะให้คนอื่นมาเอาใจ  แล้วไอ้โรคหวงน้องสาวมันก็ต้องมีบ้าง 
น้องสาวผมคนนี้เธอเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เธออาศัยอยู่หอพักสตรีใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย 
ผมเคยบอกให้เธอย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่เธอปฏิเสธว่าบ้านหลังนี้อยู่ไกลเกินไป  เดินทางไปมาไม่สะดวก  และอาจเป็นอุปสรรคต่อการเรียนของเธอ
เมื่อเธอกล้าขอพ่อกับแม่เรื่องการอยู่หอพักและพ่อกับแม่ก็อนุญาตให้เธอตามความประสงค์ 
มันก็เลยกลายเป็นภาระและหน้าที่  ที่ผมต้องเอาใจใส่เธอมากขึ้นเป็นพิเศษ
         
ผมเดินออกมารอรถที่ป้ายรถเมล์แทนที่จะขับรถออกมาจากบ้าน  เพราะผมเสียดายเงินที่จะต้องเสียค่าน้ำมันรถที่มันแพงพุ่งขึ้นเรื่อยๆ 
บ้านผมอยู่เกือบสุดซอยถนน  ผมเดินมาเรื่อยๆจนมาถึงหน้าบ้านเธอ  วันนี้ท่าทางเจ้าของบ้านจะไม่อยู่  เพราะประตูไม้สีขาวมีกุญแจคล้องไว้  ผมชอบบ้านเธอจัง  เธอคงชอบปลูกดอกไม้เวลาผมเดินผ่านหน้าบ้านเธอ 
กลิ่นของดอกไม้ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นดอกแก้วส่งกลิ่นหอมหวานเย็นชื่นใจแก่ผู้สัญจรไปมา
         
ผมยืนรอรถเมล์อยู่นาน  นึกบ่นกับตัวเองเหมือนกันว่าน่าจะขับรถออกมา จะได้ไม่ต้องมายืนเสียเวลาอยู่อย่างนี้ 
ผมมองดูรถเมล์ที่ผ่านไปแล้วคันแล้วคันเล่า  ใจคิดว่าจะเดินกลับไปเอารถที่บ้านออกมาดีไหม
แล้วผมก็ได้เห็นคุณอีกครั้ง  ประจวบเหมาะที่ รถเมล์สายที่ผมรอคอยขับมาถึงพอดี  ผมจึงตัดสินใจขึ้น เอาน่าบ้านอยู่ใกล้กันยังไงก็ต้องได้เจอกันอีก
         
ผมขึ้นไปนั่งรถเมล์แล้วเลือกนั่งที่ริมหน้าต่าง หวังว่ามองลงไปจะได้เห็นคุณอีกครั้ง แต่คุณไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น .พอผมเงยหน้าขึ้นมา  คุณก็มานั่งอยู่ใกล้ๆผมแล้ว เอ .หรือว่าคุณจะรู้ว่าผมสนใจคุณ
         
พอผมได้นั่งมองคุณใกล้ๆ  โดยที่คนถูกมองไม่ทันตั้งตัว แววตาเอาเรื่องที่ผมคิด มีอะไรน่าค้นหาอยู่มากมาย ผมแอบมองคุณอยู่จนเพลิน พอรถเมล์มาถึงที่หมายผมแทบจะลงจากรถไม่ทัน  โชคดีที่คุณขยับตัวลุกขึ้น ผมจึงฟื้นสติ  ไม่เช่นนั้นผมคงลงรถผิดป้ายแน่ๆ
         
พอลงมาจากรถผมรีบเดินตรงเข้าไปยังห้างทันที จุดมุ่งหมายคือร้านหนังสือ 
ผมอยากทำธุระให้เสร็จจะได้รีบกลับไปทำงานต่อให้เรียบร้อย  ผมเดินมาถึงร้านหนังสือแล้วรีบเดินไปยังมุมหนังสือที่มีใบสั่งให้ซื้อ  ห
นังสือเล่มนั้นที่น้องสาวตัวดีสั่งมาเหลือแค่เล่มเดียวในร้าน  ผมยิ้มอย่างโล่งอกเจอซะที  ผมเลยต้องถือหนังสือเล่มนี้ไว้ตลอดเวลาที่เดินดูหนังสือเล่มอื่น  เพราะเกรงว่าถ้าวางลงจะมีคนหยิบไป  ผมเดินดูหนังสือสักพักจึงจ่ายเงิน  และเดินไปยังจุดนัดหมายที่สอง
ร้านกาแฟ  ผมเดินเข้าไปนั่งในร้าน  บรรยากาศในร้านนี้น่านั่ง  แต่ผมเป็นคนไม่ชอบน้ำดื่มจำพวก ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม  ผมคิดว่าน้ำดื่มประเภทนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกาย ตรงกันข้ามกลับเป็นยาเสพติดชนิดอ่อนๆ ที่ส่งผลให้ผู้ดื่มมีอาการใจสั่น หงุดหงิดง่าย และปวดหัวเวลาที่ไม่ได้ดื่ม 
       
จวนจะเที่ยงแล้ว 
แม่น้องสาวตัวดียังไม่โผล่หน้ามาทักทาย  ผมเป็นคนไม่ชอบการนั่งรออย่างไร้จุดหมาย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาแก้วใจ  แล้วผมก็ต้องหงุดหงิดใจอีกแล้ว น้องสาวผมบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะถึง แล้วคนไฮเปอร์อย่างผมก็เป็นพวกอยู่ไม่สุข  ถึงแม้ว่าหนังสือตรงหน้าจะไม่ใช่หนังสือที่ผมอยากจะหยิบขึ้นมาอ่าน  แต่มันจะมีอะไรดีไปกว่าการฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือ 
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง น้องสาวตัวดีจึงได้เยื้องย้ายมา  แม่น้องสาวตัวดีแต่งตัวยังกับจะไปเดินแบบที่ไหน ไม่น่าล่ะถึงได้มาสายคงจะมัวแต่ประดิดประดอยในการแต่งตัวเหมือนเคย  ผมละอ่อนใจกับน้องสาวตัวดีซะจริงๆ  แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมห่วงน้องสาวคนนี้ได้อย่างไรกัน
       
“เอ้า หนังสือของเราแพงเหลือเกิน  หนังสือไร้สาระ” ผมบ่นทิ้งท้าย
       
“แหมพี่อิฐ พี่อิฐยังไม่ลองอ่านตัดสินแล้วเหรอคะว่าไร้สาระ” แก้วใจทำหน้าสีหน้าเง้างอด
       
“ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะดูหนังเรื่องอะไร” ผมตัดบททีท่าของเธอด้วยคำพูดเอาใจ
       
แก้วใจมีสีหน้าดีขึ้นแล้วลุกขึ้นหอมแก้มผม ไม่รู้จักโตเลยน้องสาวคนนี้  ยังไม่ทันที่แก้วใจจะตอบคำถาม เสียงแก้วแตกดังเพล้ง  ก็ฉุดให้ทุกคนภายในร้านหันไปมองแหล่งกำเนิดของต้นเสียง 
เฮ้ย  เธอนั่นเองหญิงสาวนัยน์ตาเอาเรื่องคิดอะไรถึงได้โยนแก้วกาแฟเล่น  เธอคงตกใจไม่น้อย  แววตาเอาเรื่องมีแววหมองเศร้าสลดผมอดนึกสงสารเธอไม่ได้  เธอรีบจ่ายค่าเสียหายให้กับพนักงานแล้วเดินออกจากร้านกาแฟอย่างลุกลี้ลุกลน  รีบถึงขนาดนั้นคงไม่ไปหกล้มหัวคะมำที่ไหนนะ  ผมมองตามเธอไปจนสุดสายตา
       
“พี่อิฐ  พี่อิฐ”  แก้วใจร้องเสียงหลง
       
“มีอะไรยัยตัวดี”
       
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้อ่ะ  นั่นอ่ะพี่นิรมิต”  แก้วใจชี้ออกไปนอกร้านแล้วทำเหมือนกับว่าจะรีบวิ่งออกไปข้างนอก
       
“ใคร  คนไหน  พี่ไม่รู้จัก” ผมส่ายหน้าแสดงท่าทีไม่สนใจ
       
“โถ่พี่อิฐ  ผู้หญิงคนที่ทำแก้วกาแฟแตกนั่นไง  พี่นิรมิตที่เขียนหนังสือเล่มนี้”
       
“แล้วแก้วรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนเขียน” ผมพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกสนอกสนใจไว้เงียบๆ
       
“แหม ก็หลังปกหนังสือมีรูปพี่เขา นี่ไงพี่เห็นไหม”  แก้วใจพลิกปกหลังให้ผมดู
       
“เสียดายจัง  อยากได้ลายเซ็นพี่เขาเอาไว้เป็นบุญหนังสือ”
       
“ขนาดนั้นเลยเหรอตัวดี ถ้าอย่างนั้นหนังสือเล่มนี้พี่ขอเอาไว้ลองอ่านเล่นๆสักวันสองวันก่อนนะ อยากรู้ว่านักเขียนเขียนดีขนาดไหนน้องสาวเราถึงได้คลั่งไคล้ขนาดนี้”
       
“ก็ได้ค่ะ แต่วันนี้ขอสองเรื่องนะ”  แก้วใจยิ้มกวนๆแล้วส่งหนังสือให้ผม
       
“เอาใหญ่เลยนะ”  ผมขยี้ผมน้องสาวเบาๆด้วยความเอ็นดู  และยิ้มให้กับหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ
       
หนิงกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกหดหู่  เล่นไปสร้างวีรกรรมต่อหน้าเขาขนาดนั้น  ไม่น่าเลย  ป่านนี้เขาคงคิดว่าหนิงไปยัยซุ่มซ่ามเฉิ่มเบ๊อะแน่ๆเลย
       
นั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีเรื่องสั้นไม่ถึงครึ่งหน้า  ไอ้เจ้าความรักนี่มันรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงกันนะ  คนเราถึงได้อยากมีไว้เป็นเจ้าของกัน(เฮ้อ) รวมทั้งหนิงด้วย  คิดถึงคุณคนผมสวย  คุณคงมีความรักเป็นของตนเองแล้วสินะคะ
       
หนิงมองออกไปนอกหน้าต่าง 
เย็นมากแล้วป่านนี้คุณจะกลับบ้านหรือยังนะ  หรือยังเดินชมนกชมไม้อยู่ในห้าง 
ยังไงหนิงก็ชอบมองเวลาคุณเดินผ่านหน้าบ้านหนิงอยู่ดี  หัวสมองเจ้ากรรมเอย  จงดลบันดาลความคิดดีๆใส่หัวฉันทีฉันจะได้เขียนเรื่องสั้นส่งคุณฟ้าใสได้ทันท่วงที (โอมเพี้ยง) จริงๆแล้วหนิงไม่ถนัดการเขียนเรื่องราวประเภทรักหวานแหวว  งานที่หนิงถนัดเป็นงานเขียนประเภท how toแต่ไม่ใช่การแนะนำเรื่องความรักหรอกนะ  งานเขียนแนะนำที่หนิงเขียนจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประจำวันซึ่งหนิงเป็นนักเขียนของนิตยสาร I see คอลัมน์ที่หนิงเขียนได้รับความสนใจจากผู้อ่านทำให้บ.ก.ซึ่งมีตำแหน่งเพื่อนซี้ของหนิงพ่วงตามหลังมาด้วยนั้น  อยากให้หนิงลองเปลี่ยนแนวเขียนหนังสือเกี่ยวกับความรักดูบ้างในรูปแบบงานเขียนประเภทเรื่องสั้น 
       
“เขียนไม่ได้ เขียนไม่ได้” หนิงรู้สึกท้อตั้งแต่เริ่มลงมือเขียนและจวบจนถึงเวลานี้ก็ยังรู้สึกอย่างนั้น
       
“ออด”  เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านทำลายบรรยากาศเงียบงัน  หนิงชะโงกหน้าข้ามหน้าต่างออกไปมองหน้าประตู  เขายืนอยู่หน้าบ้าน  หนิงยืนอ้าปากค้างอยู่ในบ้าน  เขามีอะไรกับหนิง (จริงๆแล้วก็อยากให้มีนะ)  หนิงเดินออกไปต้อนรับเขาหน้าบ้านด้วยรอยยิ้มแปล่งๆ  ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอะไรดี  หรือเขาจะรู้เรื่องที่หนิงแอบตามเขาวันนี้(ซวยแล้วสิเรา)
       
“สวัสดีครับ”  เขายิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง  หรือจะเป็นช๊อกโกแล็ตเคลือบยาพิษ
       
“ค่ะ  คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”  หนิงถามอะไรออกไปเนี่ยทำไมช่างฟังแล้วห้วนไม่มีเยื่อใยไมตรีชวนประทับใจเลย  เอแต่ก็ไม่เคยมีเยื่อใยอะไรต่อกันนี่หน่า
         
“วันนี้ผมเห็นคุณ ” ใช่แน่ๆเลยเขาต้องมาต่อว่าหนิง  หนิงพยายามใจดีสู้สุดหล่อ
       
“ค่ะ  ฉันก็เห็นคุณ”  หนิงตอบอย่างเป็นกลางๆ  ใช่ค่ะหนิงก็เห็นคุณกับแฟนคุณ
       
“น้องสาวผม  เขาชื่นชมงานเขียนคุณมาก  ถึงขนาดขอร้องให้ผมซื้อหนังสือเล่มนี้ให้เขา  แล้วเขาก็อยากได้ลายเซ็นของคุณด้วยครับ  รบกวนคุณช่วยเซ็นให้น้องสาวผมได้ไหมครับ”
       
“อุ๊ย ” ฉันทำเป็นตกใจ  อุ๊ยผู้หญิงคนนั้นน้องสาวคุณเหรอคะ  อุ๊ยดีใจจัง  อุ๊ย เรื่องแค่นี้เอง อุ๊ยฯ
       
“ได้สิคะ  ไม่ได้รบกวนอะไรเลย”  ฉันยิ้มจนรู้สึกว่าหน้าบาน  เขาส่งหนังสือให้ฉันสองเล่มพร้อมปากกา
       
“เล่มนี้ของน้องสาวผมครับ  ส่วนเล่มนี้ของผม  ผมก็ชอบงานเขียนของคุณเหมือนกัน”
       
“น้องสาวคุณชื่ออะไรคะ”
       
“แก้วใจครับ” 
               
สำหรับน้องแก้วใจ  ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
       
“ส่วนผมชื่อ อิฐครับ” 
                   
สำหรับคุณอิฐ  ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
       
“ผมมีความสุขมากที่ได้อ่านงานเขียนของคุณ”  เขาพูดเมื่ออ่านข้อความที่ฉันเขียนกำกับไว้ด้านล่างของลายเซ็น
       
“ฉันก็มีความสุขค่ะ ถ้าใครได้อ่านงานเขียนของฉันแล้วมีความสุข”
       
“ผมมารบกวนคุณนานแล้ว  ขอบคุณครับสำหรับลายเซ็น”  เขายิ้มแล้วกล่าวคำร่ำลา  หนิงคิดไว้ไม่ผิด ว่าคุณต้องยิ้มสวย  และรอยยิ้มของคุณดูสวยเป็นร้อยเท่าเมื่อคุณยิ้มให้หนิง 
หนิงมองคุณเดินจากไป  คุณอยู่บ้านถัดจากหนิงไปไม่กี่หลัง  สวัสดีค่ะคุณเพื่อนบ้าน เราคงได้รู้จักกันมากกว่านี้
บางทีนะบางที  หนิงอาจจะได้เรียนรู้เรื่องราวรักจากคุณก็ได้ 
แหมก็หนิงเป็นเจ้าแม่ How to นี่หน่าจะทำให้เสียชื่อได้ยังไง 
หนิงเดินกลับมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างอารมณ์ดี  เรื่องสั้นของหนิงไม่เป็นหมันแล้ว
       
                       
“ผมมารบกวนคุณนานแล้ว  ขอบคุณครับสำหรับลายเซ็น”  ผมยิ้มแล้วกล่าวคำร่ำลา 
มีอะไรมากมายที่อยากจะพูดกับคุณ  แต่เก็บไว้ก่อนเถอะนะอย่ารีบร้อน ผมคงได้รู้จักคุณมากกว่านี้ 
อย่างน้อยผมก็รู้ว่าเจ้าของนัยน์ตาเอาเรื่อง  เวลายิ้มแล้วน่าดูแค่ไหน 
คุณจะรังเกียจไหมครับถ้าผมจะขอร้องให้คุณเป็นแบบให้ผมวาด  ไว้พรุ่งนี้ผมจะลองถามคุณดู
ผมเห็นคุณครั้งแรกในวันที่อากาศยามเช้าสดใส จำได้ดีว่าวันนั้นเป็นวันหยุด ผมเดินผ่านหน้าบ้านคุณ แล้วก็อดสนใจผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ เธอกำลังยืนตักบาตร 
         
คุณอยู่ในสภาพเหมือนเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากที่นอน  แต่ยังมีกะใจลุกขึ้นมาตักบาตร  จะไม่ให้ผมมองคุณได้อย่างไร ในเมื่อผมไม่ค่อยได้เห็นหญิงสาวลุกขึ้นแต่ไก่โห่เพื่อมาตักบาตร 
คุณทำให้ผมนึกถึงแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด  เวลานี้แม่ก็คงกำลังตักบาตรอยู่เช่นกัน  คุณเห็นผมมองคุณ  คุณก็มองผมกลับ  นัยน์ตาคุณเอาเรื่องทีเดียว  ผมก็เลยนึกขำว่า ไอ้ที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นคนใจดี ใจบุญอาจจะไม่ใช่ก็ได้ 
แต่เอาเถอะนะผมก็ชักชอบนัยน์ตาเอาเรื่องคู่นี้ซะแล้วสิ 
         
ผมเดินกลับมาบ้านด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคยนัก บ้านหลังนี้พ่อซื้อไว้เพื่อใช้เป็นเรือนหอ แต่แม่ผมไม่ใคร่อยากอยู่นัก บ่นว่าไม่ชอบกรุงเทพ แม่ชอบเถียงกับพ่อเรื่องต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพฯว่าเป็นสาวบ้านนอก มีอาชีพทำไร่ปลูกผักผลไม้  ถ้าพ่อรักแม่ก็ให้ย้ายมาอยู่ที่จันทบุรี 
แม่ไม่อยากทิ้งผืนดินที่ตากับยายช่วยกันสร้างมา  เพื่อย้ายไปในสถานที่ที่แม่ไม่คุ้นเคย แม่ยื่นคำขาด และนั่นก็คือเหตุผลเดียวที่บ้านหลังนี้ถูกปิดตาย 
บ้านที่ถูกปล่อยประละเลยย่อมทรุดโทรมไปตามกาลเวลา  ถึงแม้ว่าพ่อกับผมจะขึ้นมาจากจันทบุรี  เพื่อมาทำความสะอาดบ้านบางครั้ง  แต่เมื่อผมกลับมาเพื่ออยู่คราวนี้  ก็ต้องมาสังคยานาบ้านหลังนี้กันยกใหญ่  ซึ่งมันใช้เวลาหลายวันทีเดียว  นี่ขนาดผมยังนอนไม่หายเหนื่อย  น้องสาวตัวดีก็โทรมาจิกผมแต่เช้า
             
แก้วใจนัดผมไปดูหนังฉลองที่เธอสอบได้คะแนนดี  แล้วยังขอรางวัลเป็นหนังสือเล่มใหม่ของนักเขียนชื่อนิรมิตด้วย 
เธอบอกว่าหนังสือเล่มนี้เขียนดี  สอนวิธีการใช้ความรักอย่างมีสติ  น้องสาวผมไปยืนอ่านแล้วเกิดติดใจแต่ไม่มีเงินซื้อ  เพราะมันแพงมาก เล่มละสามร้อยสี่สิบบาท  เธอบอกราคาเสร็จสรรพ  แถมยังกำชับนักหนาว่ายังไงก็ต้องซื้อมาให้ได้ 
ผมเองไม่เข้าใจผู้หญิงซะจริงๆเลย  ทำไมถึงได้สนใจอ่านหนังสือประเภทรักหวานแหววแบบนี้กันนัก  พวกเธอไม่รู้กันหรือไงว่าความรักแบบนิยายนั้นมันไม่มีอยู่จริงๆหรอก 
เรื่องของความรักไม่สามารถออกแบบกันได้ แล้วคนเขียนชื่อพึกลึกนั่น  รู้เรื่องเชี่ยวชาญความรักขนาดไหนเชียว ถึงได้เขียนนิยายมาหลอกขายชาวบ้านได้
         
ผมเดินออกมาจากบ้านด้วยอาการที่เรียกได้ว่าเซ็งมาก  ใจอยากจะนอนต่อซักนิดเพราะเมื่อคืนผมก็นอนดึก  มัวแต่นั่งวาดรูปจนเพลิน  มองดูนาฬิกาอีกทีมันก็ดึกเสียยิ่งกว่าดึก  ป่านนี้ผู้หญิงนัยน์ตาเอาเรื่องคนนั้น  กำลังทำอะไรอยู่นะ
         
เช้าวันอาทิตย์ที่แสนน่าเบื่อ 
แทนที่ผมจะได้นอนหลับให้สบายกลับต้องฝืนสังขารเพื่อตามใจน้องสาว  ก็เธอเล่นขู่ผมว่ารีบเอาใจเธอซะก่อนที่เธอจะให้คนอื่นมาเอาใจ  แล้วไอ้โรคหวงน้องสาวมันก็ต้องมีบ้าง 
น้องสาวผมคนนี้เธอเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เธออาศัยอยู่หอพักสตรีใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย 
ผมเคยบอกให้เธอย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่เธอปฏิเสธว่าบ้านหลังนี้อยู่ไกลเกินไป  เดินทางไปมาไม่สะดวก  และอาจเป็นอุปสรรคต่อการเรียนของเธอ
เมื่อเธอกล้าขอพ่อกับแม่เรื่องการอยู่หอพักและพ่อกับแม่ก็อนุญาตให้เธอตามความประสงค์ 
มันก็เลยกลายเป็นภาระและหน้าที่  ที่ผมต้องเอาใจใส่เธอมากขึ้นเป็นพิเศษ
         
ผมเดินออกมารอรถที่ป้ายรถเมล์แทนที่จะขับรถออกมาจากบ้าน  เพราะผมเสียดายเงินที่จะต้องเสียค่าน้ำมันรถที่มันแพงพุ่งขึ้นเรื่อยๆ 
บ้านผมอยู่เกือบสุดซอยถนน  ผมเดินมาเรื่อยๆจนมาถึงหน้าบ้านเธอ  วันนี้ท่าทางเจ้าของบ้านจะไม่อยู่  เพราะประตูไม้สีขาวมีกุญแจคล้องไว้  ผมชอบบ้านเธอจัง  เธอคงชอบปลูกดอกไม้เวลาผมเดินผ่านหน้าบ้านเธอ 
กลิ่นของดอกไม้ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นดอกแก้วส่งกลิ่นหอมหวานเย็นชื่นใจแก่ผู้สัญจรไปมา
         
ผมยืนรอรถเมล์อยู่นาน  นึกบ่นกับตัวเองเหมือนกันว่าน่าจะขับรถออกมา จะได้ไม่ต้องมายืนเสียเวลาอยู่อย่างนี้ 
ผมมองดูรถเมล์ที่ผ่านไปแล้วคันแล้วคันเล่า  ใจคิดว่าจะเดินกลับไปเอารถที่บ้านออกมาดีไหม
แล้วผมก็ได้เห็นคุณอีกครั้ง  ประจวบเหมาะที่ รถเมล์สายที่ผมรอคอยขับมาถึงพอดี  ผมจึงตัดสินใจขึ้น เอาน่าบ้านอยู่ใกล้กันยังไงก็ต้องได้เจอกันอีก
         
ผมขึ้นไปนั่งรถเมล์แล้วเลือกนั่งที่ริมหน้าต่าง หวังว่ามองลงไปจะได้เห็นคุณอีกครั้ง แต่คุณไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น .พอผมเงยหน้าขึ้นมา  คุณก็มานั่งอยู่ใกล้ๆผมแล้ว เอ .หรือว่าคุณจะรู้ว่าผมสนใจคุณ
         
พอผมได้นั่งมองคุณใกล้ๆ  โดยที่คนถูกมองไม่ทันตั้งตัว แววตาเอาเรื่องที่ผมคิด มีอะไรน่าค้นหาอยู่มากมาย ผมแอบมองคุณอยู่จนเพลิน พอรถเมล์มาถึงที่หมายผมแทบจะลงจากรถไม่ทัน  โชคดีที่คุณขยับตัวลุกขึ้น ผมจึงฟื้นสติ  ไม่เช่นนั้นผมคงลงรถผิดป้ายแน่ๆ
         
พอลงมาจากรถผมรีบเดินตรงเข้าไปยังห้างทันที จุดมุ่งหมายคือร้านหนังสือ 
ผมอยากทำธุระให้เสร็จจะได้รีบกลับไปทำงานต่อให้เรียบร้อย  ผมเดินมาถึงร้านหนังสือแล้วรีบเดินไปยังมุมหนังสือที่มีใบสั่งให้ซื้อ  ห
นังสือเล่มนั้นที่น้องสาวตัวดีสั่งมาเหลือแค่เล่มเดียวในร้าน  ผมยิ้มอย่างโล่งอกเจอซะที  ผมเลยต้องถือหนังสือเล่มนี้ไว้ตลอดเวลาที่เดินดูหนังสือเล่มอื่น  เพราะเกรงว่าถ้าวางลงจะมีคนหยิบไป  ผมเดินดูหนังสือสักพักจึงจ่ายเงิน  และเดินไปยังจุดนัดหมายที่สอง
ร้านกาแฟ  ผมเดินเข้าไปนั่งในร้าน  บรรยากาศในร้านนี้น่านั่ง  แต่ผมเป็นคนไม่ชอบน้ำดื่มจำพวก ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม  ผมคิดว่าน้ำดื่มประเภทนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกาย ตรงกันข้ามกลับเป็นยาเสพติดชนิดอ่อนๆ ที่ส่งผลให้ผู้ดื่มมีอาการใจสั่น หงุดหงิดง่าย และปวดหัวเวลาที่ไม่ได้ดื่ม 
       
จวนจะเที่ยงแล้ว 
แม่น้องสาวตัวดียังไม่โผล่หน้ามาทักทาย  ผมเป็นคนไม่ชอบการนั่งรออย่างไร้จุดหมาย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาแก้วใจ  แล้วผมก็ต้องหงุดหงิดใจอีกแล้ว น้องสาวผมบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะถึง แล้วคนไฮเปอร์อย่างผมก็เป็นพวกอยู่ไม่สุข  ถึงแม้ว่าหนังสือตรงหน้าจะไม่ใช่หนังสือที่ผมอยากจะหยิบขึ้นมาอ่าน  แต่มันจะมีอะไรดีไปกว่าการฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือ 
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง น้องสาวตัวดีจึงได้เยื้องย้ายมา  แม่น้องสาวตัวดีแต่งตัวยังกับจะไปเดินแบบที่ไหน ไม่น่าล่ะถึงได้มาสายคงจะมัวแต่ประดิดประดอยในการแต่งตัวเหมือนเคย  ผมละอ่อนใจกับน้องสาวตัวดีซะจริงๆ  แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมห่วงน้องสาวคนนี้ได้อย่างไรกัน
       
“เอ้า หนังสือของเราแพงเหลือเกิน  หนังสือไร้สาระ” ผมบ่นทิ้งท้าย
       
“แหมพี่อิฐ พี่อิฐยังไม่ลองอ่านตัดสินแล้วเหรอคะว่าไร้สาระ” แก้วใจทำหน้าสีหน้าเง้างอด
       
“ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะดูหนังเรื่องอะไร” ผมตัดบททีท่าของเธอด้วยคำพูดเอาใจ
       
แก้วใจมีสีหน้าดีขึ้นแล้วลุกขึ้นหอมแก้มผม ไม่รู้จักโตเลยน้องสาวคนนี้  ยังไม่ทันที่แก้วใจจะตอบคำถาม เสียงแก้วแตกดังเพล้ง  ก็ฉุดให้ทุกคนภายในร้านหันไปมองแหล่งกำเนิดของต้นเสียง 
เฮ้ย  เธอนั่นเองหญิงสาวนัยน์ตาเอาเรื่องคิดอะไรถึงได้โยนแก้วกาแฟเล่น  เธอคงตกใจไม่น้อย  แววตาเอาเรื่องมีแววหมองเศร้าสลดผมอดนึกสงสารเธอไม่ได้  เธอรีบจ่ายค่าเสียหายให้กับพนักงานแล้วเดินออกจากร้านกาแฟอย่างลุกลี้ลุกลน  รีบถึงขนาดนั้นคงไม่ไปหกล้มหัวคะมำที่ไหนนะ  ผมมองตามเธอไปจนสุดสายตา
       
“พี่อิฐ  พี่อิฐ”  แก้วใจร้องเสียงหลง
       
“มีอะไรยัยตัวดี”
       
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้อ่ะ  นั่นอ่ะพี่นิรมิต”  แก้วใจชี้ออกไปนอกร้านแล้วทำเหมือนกับว่าจะรีบวิ่งออกไปข้างนอก
       
“ใคร  คนไหน  พี่ไม่รู้จัก” ผมส่ายหน้าแสดงท่าทีไม่สนใจ
       
“โถ่พี่อิฐ  ผู้หญิงคนที่ทำแก้วกาแฟแตกนั่นไง  พี่นิรมิตที่เขียนหนังสือเล่มนี้”
       
“แล้วแก้วรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนเขียน” ผมพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกสนอกสนใจไว้เงียบๆ
       
“แหม ก็หลังปกหนังสือมีรูปพี่เขา นี่ไงพี่เห็นไหม”  แก้วใจพลิกปกหลังให้ผมดู
       
“เสียดายจัง  อยากได้ลายเซ็นพี่เขาเอาไว้เป็นบุญหนังสือ”
       
“ขนาดนั้นเลยเหรอตัวดี ถ้าอย่างนั้นหนังสือเล่มนี้พี่ขอเอาไว้ลองอ่านเล่นๆสักวันสองวันก่อนนะ อยากรู้ว่านักเขียนเขียนดีขนาดไหนน้องสาวเราถึงได้คลั่งไคล้ขนาดนี้”
       
“ก็ได้ค่ะ แต่วันนี้ขอสองเรื่องนะ”  แก้วใจยิ้มกวนๆแล้วส่งหนังสือให้ผม
       
“เอาใหญ่เลยนะ”  ผมขยี้ผมน้องสาวเบาๆด้วยความเอ็นดู  และยิ้มให้กับหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ
       
หนิงกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกหดหู่  เล่นไปสร้างวีรกรรมต่อหน้าเขาขนาดนั้น  ไม่น่าเลย  ป่านนี้เขาคงคิดว่าหนิงไปยัยซุ่มซ่ามเฉิ่มเบ๊อะแน่ๆเลย
       
นั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีเรื่องสั้นไม่ถึงครึ่งหน้า  ไอ้เจ้าความรักนี่มันรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงกันนะ  คนเราถึงได้อยากมีไว้เป็นเจ้าของกัน(เฮ้อ) รวมทั้งหนิงด้วย  คิดถึงคุณคนผมสวย  คุณคงมีความรักเป็นของตนเองแล้วสินะคะ
       
หนิงมองออกไปนอกหน้าต่าง 
เย็นมากแล้วป่านนี้คุณจะกลับบ้านหรือยังนะ  หรือยังเดินชมนกชมไม้อยู่ในห้าง 
ยังไงหนิงก็ชอบมองเวลาคุณเดินผ่านหน้าบ้านหนิงอยู่ดี  หัวสมองเจ้ากรรมเอย  จงดลบันดาลความคิดดีๆใส่หัวฉันทีฉันจะได้เขียนเรื่องสั้นส่งคุณฟ้าใสได้ทันท่วงที (โอมเพี้ยง) จริงๆแล้วหนิงไม่ถนัดการเขียนเรื่องราวประเภทรักหวานแหวว  งานที่หนิงถนัดเป็นงานเขียนประเภท how toแต่ไม่ใช่การแนะนำเรื่องความรักหรอกนะ  งานเขียนแนะนำที่หนิงเขียนจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประจำวันซึ่งหนิงเป็นนักเขียนของนิตยสาร I see คอลัมน์ที่หนิงเขียนได้รับความสนใจจากผู้อ่านทำให้บ.ก.ซึ่งมีตำแหน่งเพื่อนซี้ของหนิงพ่วงตามหลังมาด้วยนั้น  อยากให้หนิงลองเปลี่ยนแนวเขียนหนังสือเกี่ยวกับความรักดูบ้างในรูปแบบงานเขียนประเภทเรื่องสั้น 
       
“เขียนไม่ได้ เขียนไม่ได้” หนิงรู้สึกท้อตั้งแต่เริ่มลงมือเขียนและจวบจนถึงเวลานี้ก็ยังรู้สึกอย่างนั้น
       
“ออด”  เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านทำลายบรรยากาศเงียบงัน  หนิงชะโงกหน้าข้ามหน้าต่างออกไปมองหน้าประตู  เขายืนอยู่หน้าบ้าน  หนิงยืนอ้าปากค้างอยู่ในบ้าน  เขามีอะไรกับหนิง (จริงๆแล้วก็อยากให้มีนะ)  หนิงเดินออกไปต้อนรับเขาหน้าบ้านด้วยรอยยิ้มแปล่งๆ  ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอะไรดี  หรือเขาจะรู้เรื่องที่หนิงแอบตามเขาวันนี้(ซวยแล้วสิเรา)
       
“สวัสดีครับ”  เขายิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง  หรือจะเป็นช๊อกโกแล็ตเคลือบยาพิษ
       
“ค่ะ  คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”  หนิงถามอะไรออกไปเนี่ยทำไมช่างฟังแล้วห้วนไม่มีเยื่อใยไมตรีชวนประทับใจเลย  เอแต่ก็ไม่เคยมีเยื่อใยอะไรต่อกันนี่หน่า
         
“วันนี้ผมเห็นคุณ ” ใช่แน่ๆเลยเขาต้องมาต่อว่าหนิง  หนิงพยายามใจดีสู้สุดหล่อ
       
“ค่ะ  ฉันก็เห็นคุณ”  หนิงตอบอย่างเป็นกลางๆ  ใช่ค่ะหนิงก็เห็นคุณกับแฟนคุณ
       
“น้องสาวผม  เขาชื่นชมงานเขียนคุณมาก  ถึงขนาดขอร้องให้ผมซื้อหนังสือเล่มนี้ให้เขา  แล้วเขาก็อยากได้ลายเซ็นของคุณด้วยครับ  รบกวนคุณช่วยเซ็นให้น้องสาวผมได้ไหมครับ”
       
“อุ๊ย ” ฉันทำเป็นตกใจ  อุ๊ยผู้หญิงคนนั้นน้องสาวคุณเหรอคะ  อุ๊ยดีใจจัง  อุ๊ย เรื่องแค่นี้เอง อุ๊ยฯ
       
“ได้สิคะ  ไม่ได้รบกวนอะไรเลย”  ฉันยิ้มจนรู้สึกว่าหน้าบาน  เขาส่งหนังสือให้ฉันสองเล่มพร้อมปากกา
       
“เล่มนี้ของน้องสาวผมครับ  ส่วนเล่มนี้ของผม  ผมก็ชอบงานเขียนของคุณเหมือนกัน”
       
“น้องสาวคุณชื่ออะไรคะ”
       
“แก้วใจครับ” 
               
สำหรับน้องแก้วใจ  ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
       
“ส่วนผมชื่อ อิฐครับ” 
                   
สำหรับคุณอิฐ  ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
       
“ผมมีความสุขมากที่ได้อ่านงานเขียนของคุณ”  เขาพูดเมื่ออ่านข้อความที่ฉันเขียนกำกับไว้ด้านล่างของลายเซ็น
       
“ฉันก็มีความสุขค่ะ ถ้าใครได้อ่านงานเขียนของฉันแล้วมีความสุข”
       
“ผมมารบกวนคุณนานแล้ว  ขอบคุณครับสำหรับลายเซ็น”  เขายิ้มแล้วกล่าวคำร่ำลา  หนิงคิดไว้ไม่ผิด ว่าคุณต้องยิ้มสวย  และรอยยิ้มของคุณดูสวยเป็นร้อยเท่าเมื่อคุณยิ้มให้หนิง 
หนิงมองคุณเดินจากไป  คุณอยู่บ้านถัดจากหนิงไปไม่กี่หลัง  สวัสดีค่ะคุณเพื่อนบ้าน เราคงได้รู้จักกันมากกว่านี้
บางทีนะบางที  หนิงอาจจะได้เรียนรู้เรื่องราวรักจากคุณก็ได้ 
แหมก็หนิงเป็นเจ้าแม่ How to นี่หน่าจะทำให้เสียชื่อได้ยังไง 
หนิงเดินกลับมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างอารมณ์ดี  เรื่องสั้นของหนิงไม่เป็นหมันแล้ว
       
                       
“ผมมารบกวนคุณนานแล้ว  ขอบคุณครับสำหรับลายเซ็น”  ผมยิ้มแล้วกล่าวคำร่ำลา 
มีอะไรมากมายที่อยากจะพูดกับคุณ  แต่เก็บไว้ก่อนเถอะนะอย่ารีบร้อน ผมคงได้รู้จักคุณมากกว่านี้ 
อย่างน้อยผมก็รู้ว่าเจ้าของนัยน์ตาเอาเรื่อง  เวลายิ้มแล้วน่าดูแค่ไหน 
คุณจะรังเกียจไหมครับถ้าผมจะขอร้องให้คุณเป็นแบบให้ผมวาด  ไว้พรุ่งนี้ผมจะลองถามคุณดู
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น