คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : เฟิงเซวีย เป๋ยเป่ย เทียนอวี้
เฟิงเซวีย เป๋ยเป่ย เทียนอวี้
ข้าเดินทางมายังดินแดนเสียดฟ้าเพื่อตามหาผู้มีพระคุณ มารดาของข้าบอกว่า เขาคือผู้ช่วยชีวิตข้าจากปิศาจอีกา เมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นเด็กน้อย
มารดาของข้าบอกว่าท่านได้ฝากฝังตัวข้าไว้กับผู้มีพระคุณในฐานะศิษย์ ผู้มีพระคุณบอกข้าว่าเมื่อข้าอายุครบเก้าปีบริบูรณ์ให้เดินทางไปยังดินแดนเสียดฟ้า เขาจะรออยู่ที่นั่น
บัดนี้การเดินทางของข้าดูเหมือนใกล้จะสิ้นสุด ข้ายืนอยู่เชิงเขาที่สูงเสียดเมฆ มันสูงเสียจนมองไม่เห็นยอดเขาเลยทีเดียว ว่ากันว่าบนยอดเขาแห่งนี้มีสำนักฝึกวิชาที่เก่งกาจ นามว่าสำนักมังกรเมฆ ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งคือนักพรตเทพมังกรสวรรค์ ผู้บำเพ็ญตนจนสำเร็จเป็นเซียนวิเศษ
วันที่ท่านบรรลุธรรมนั้น ท่านได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างทางโลกไว้ แล้วเร้นกายจากสังคมมนุษย์ ไม่มีใครรู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือถึงแก่กรรมไปแล้ว ยอดบุคคลเช่นนี้ข้าเองก็อยากพบสักครั้ง แต่ก่อนอื่นข้าคงต้องหาทางขึ้นเขาไปพบอาจารย์ของข้าให้ได้เสียก่อน การจะไปยังยอดเขาที่สูงเสียดเมฆไม่มีทางอื่น นอกจากใช้สองเท้าเดินขึ้นบันไดหินอันยาวเหยียดไปจนสุดทาง
"เจ้าหนุ่มน้อย คิดจะทำอะไรของเจ้าน่ะ" เสียงชายชราผู้หนึ่งเรียกข้า ข้าจึงหันหลังไปมองเขา หนวดคิ้วเคราผมของเขาล้วนเป็นสีขาวแต่งกายเหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต
"ข้าพเจ้าจะเดินขึ้นไปยังสำนักมังกรเมฆ" ข้าตอบไปตามความเป็นจริง
"ไม่เอา ไม่เอา เจ้าหนุ่มน้อย จงช่วยข้าแต่งบทกวีก่อน" ชายชราทำท่าเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่กำลังมองหาเพื่อนเล่น "ข้าไม่สามารถจบบทกวีนี้ลงได้ด้วยตนเอง ข้าตีบตันในความคิด" ท่าทางของชายชราผู้นี้ดูน่าขำขันยิ่งนัก
"ท่านปู่มานั่งกินลมชมธรรมชาติและแต่งบทกวีที่นี่บ่อยหรือ" ข้าสงสัยว่าทำไมเขาต้องการให้ข้าช่วยเขาแต่งบทกวีทั้งๆที่ข้าเป็นเด็กที่แสนด้อยประสบการณ์
ชายชรายังคงยืนยิ้ม ในรอยยิ้มนั้นข้าดูไม่ออกเลยว่าเขามีอุบายใดๆหรือไม่
รอยยิ้มอันเดียงสาของเขาทำให้ข้าจนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับคำขอร้อง ข้าปฏิเสธคนได้ไม่เก่ง และแล้วชายชราก็เอ่ยว่า
"หมากตานี้ถูกกิน ยิ้มสรวลด้วยความสุขในใจ.....แล้วไงต่อดี" ชายชราถาม
"แปลกประหลาด หากหมากของท่านโดนฝ่ายตรงข้ามกินท่านน่าจะเสียใจไม่ใช่หรือ แล้วท่านเดินหมากอยู่กับใครหรือท่านปู่" ข้ารู้สึกงวยงงและประหลาดใจในคราเดียวกัน
"ใช่ๆ ข้าเดินหมากอยู่กับใครนะ...." ชายชราขมวดคิ้ว
"ท่านปู่เดินหมากอยู่กับใครน่ะ ท่านคงไม่ได้เดินหมากอยู่คนเดียวหรอกนะ"
"ความสุขของการเดินหมาก คือการที่ข้ามีเพื่อนเดินหมากด้วย ข้าไม่ได้เล่นคนเดียว" ชายชรายิ้มอีกครั้ง ความสุขสงบบังเกิดขึ้นบนใบหน้าและน้ำเสียงของเขา
"หมากตานี้ถูกกิน ยิ้มสรวลด้วยความสุขในใจ ไม่ได้เล่นคนเดียว......ดีมากๆ ขอบใจเจ้าจริงๆ" ชายชรากล่าวราวกับยอมรับว่าเขาได้บทกวีที่สมบูรณ์พร้อมแล้ว
ข้าฝืนยิ้มเพราะคิดว่าบทกวีที่มีความหมายแปลกๆอย่างนั้นนั้นไม่เห็นจะไพเราะสักเท่าไหร่เลย แล้วเขาก็ยื่นขนมอบให้ข้าหนึ่งชิ้น ไม่รู้อีท่าไหน เขาทำมันตกลงพื้น เขาก้มเก็บมันขึ้นมาแล้วยื่นให้ข้าอีกครั้ง ข้าปัดเศษฝุ่นดินออกไปแล้วกัดกินอย่างไม่เกรงใจ
"เดียงสา ไร้โทสะ เป็นคุณสมบัติที่ดี น่าชื่นชมนัก"เขากล่าว
"ขนมอร่อยมาก ขอบคุณท่านปู่" ข้าแอบสังเกตเห็นน้ำตาคลออยู่ในเบ้าตาทั้งสองข้างของเขา
"เด็กที่ดี เจ้าไม่รังเกียจฝุ่นทราย"เขาจูงมือข้าเดินเข้าสู่ศาลาที่อยู่ใกล้ๆ
"เจ้ามีธุระอันใดกับคนบนนั้น เล่าให้ตาแก่คนนี้ฟังได้หรือไม่" เขารินน้ำชาจากกระบอกไม้ไผ่แบ่งมาให้ข้า
กลิ่นชาหอมกำจาย มันทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลาย แล้วข้าก็เล่าเรื่องปิศาจอีกาให้ชายชราฟัง
"อาจารย์เจ้าคือซูซ่งฟงนั่นเอง" ชายชรากล่าว
ข้าพยักหน้ารับ "ท่านปู่รู้ได้อย่างไร"
"วีรกรรมของซูซ่งฟงนั้นระบือไกลถึงแดนสวรรค์เชียว มีหรือผู้คนจะไม่รู้"
"เอาอย่างนี้เจ้าอุตส่าห์ช่วยข้าแต่งบทกวี ข้าอยากช่วยเจ้าบ้าง เจ้าชื่ออะไร" เขาทำหน้าตาจริงจัง
"หูเทียนจิ้ง"
เขายื่นมือมาจับฝ่ามือของข้าพลิกดูไปมา แล้วนับนิ้ววนไปมาจนข้ารู้สึกแปลกๆ
"เจ้ามักร้อนรนยามเผชิญหน้า เพื่อให้แคล้วคลาด จงให้ผู้คนเรียกเจ้าว่า เฟิง(ผึ้ง) เซวีย(หิมะ) อักขระสองตัวนี้จะนำพาเจ้าไปสู่ความสำเร็จ" เมื่อชายชราหยุดวาดนิ้วไปมา ใจของข้าก็รู้สึกสงบลง
"ท่านปู่ข้าอยากทราบว่าท่านเป็นใคร" ข้าเริ่มสงสัย
"อีกอึดใจเดียวเจ้าก็จะเอ่ยมันออกมา" ชายชราหัวเราะร่า แล้วเขาก็กลายร่างเป็นมังกรเกล็ดสีเขียวพาข้าทะยานบินขึ้นไปสู่ยอดเขาเสียดฟ้าอย่างรวดเร็ว
"ท่านปรมาจารย์ เทพมังกรสวรรค์"ข้าตะโกนขึ้นสุดเสียง
สิบปีล่วงมา
ไม่นึกไม่ฝันเลย ว่าเมื่อเก้าปีก่อนนางเป็นเพียงเด็กหญิงซุกซนที่คอยเรียกร้องขอขึ้นขี่บนหลังข้าอยู่เป็นประจำา มาบัดนี้นางเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง งามดั่งดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ ผมของนางยาวสลวยดุจเส้นไหมสีดำที่พลิ้วไหวไปกับสายลม นัยน์ตากลมโตชวนฝัน รอยยิ้มสรวลของนางนั้นทำให้ศิษย์พี่และศิษย์น้องที่เป็นชายต่างหลงใหล แม้แต่ข้าเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้
ข้ามักเฝ้ามองนางอยู่ห่างๆ เพราะนางเป็นเหมือนญาติสนิทเพียงคนเดียวของข้า เรามีอาจารย์คนเดียวกันกินข้าวด้วยกัน เล่นหัวกัน สำหรับนางอาจจะเรียกข้าว่าเป็นพี่ชายร่วมสาบานมากกว่าศิษย์พี่ธรรมดา
นางเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง แต่บ่อยครั้งข้าแอบเห็นนางร้องไห้ น้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง เมื่อผู้อื่นพูดถึงบิดามารดา เพราะตัวนางมีแต่ข้า ว่านหลี่ และซูซ่งฟงเท่านั้น ข้าก็เข้าใจเพราะข้าเองก็กำพร้าบิดามาแต่เล็ก ไม่มีเรื่องใดน่าน้อยใจไปกว่านี้อีกแล้ว
วันหนึ่งข้าฉุกคิดได้ ข้าอยากทำให้นางมีความสุข จึงขอร้องให้นางเป็นแบบเพื่อวาดภาพ แล้วข้าก็นำภาพที่วาดนั้นลงเขาไปตามหาบิดามารดาที่แท้จริงของนาง แต่ผลกลับกลายเป็นว่า เกิดความโกลาหลกันทั้งเมือง ทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างมาขอซื้อภาพวาดของข้า ข้ารู้สึกได้ว่าในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา เขาใครอยากพบตัวจริงของนาง ภาพศิษย์น้องของข้าไม่ควรตกอยู่ในมือของพวกมัน
ข้าผิดพลาดครั้งใหญ่ที่วาดทิวทัศน์ในภาพเป็นหุบเขาเสียดฟ้าที่เต็มไปด้วยดอกหัวใจภูผา ชายหนุ่มนับสิบนับร้อยไปรอคอยดูตัวจริงของนางที่เชิงเขา พวกมันทะเลาะกันใหญ่ มีคนบาดเจ็บมากโขอยู่
ซูซ่งฟงหัวเสีย ข้าถูกกักบริเวณและให้อดน้ำอดอาหารอยู่หลายวัน ข้ากินใบไม้และเปลือกไม้ในสวนแทนข้าว ในที่สุดซูซ่งฟงก็เรียกข้าไปพบ ท่านบอกว่าท่านเข้าใจเจตนาของข้า เจตนาของข้าเป็นสิ่งดี แต่การกระทำนั้นผิดพลาด ข้าควรปรึกษาเขาก่อน ที่ต้องลงโทษข้าก็เพื่อไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง
นับจากวันนั้นข้าก็เข้าหน้านางไม่ติด ไม่รู้จะชดเชยความผิดของตนเองด้วยสิ่งใด ข้าทำให้นางแข็งกระด้างทั้งๆที่ข้าเองรู้ว่าภายในใจนางอ่อนโยนเพียงไหน ข้าไม่กล้าบอกนางถึงเจตนาที่แท้จริงของข้า นางจึงเข้าใจว่าข้าซุกซนและคึกคะนองตามสันดานที่ข้ามี ข้ารู้สึกสำนึกในความโง่เขลาเบาปัญญาของตนอย่างหาที่สุดมิได้ ข้าหวังว่าสักวันนางจะเข้าใจ
"อภัยให้ข้าด้วยเถิดเป๋ยเป่ย...."
เมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าชอบเล่นไล่จับ ข้าวิ่งเร็วและคล่องแคล่วกว่าคนอื่น พวกมันต้องร่วมมือกันถึงจะไล่จับข้าได้ทัน ด้วยความคล่องแคล่วข้ามี ข้าได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดท่าเท้าท่องนภา อันเป็นสุดยอดวิชาตัวเบาของสำนัก ว่ากันว่าวิชาชุดนี้หากใครได้ฝึกจะเหาะเหินเดินอากาศได้ มันเป็นความภูมิใจอันใหญ่หลวงที่ข้าได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดวิชานี้ มีศิษย์ของสำนักเพียงไม่กี่คนที่จะได้รับอนุญาตให้ฝึกได้ และยิ่งไปกว่านั้นน้อยคนนักจะฝึกสำเร็จ
ยังมีผู้ได้รับเลือกอีกหนึ่งคน เขาเป็นศิษย์ใหม่ของสำนัก ชื่อของคือเทียนอวี้ เราสองคนได้เริ่มฝึกยุทธ์จากซูซ่งฟงในเวลาไล่เลี่ยกัน ซูซ่งฟงชอบใจในความขยันของเราทั้งสอง เขาบอกว่าเทียนอวี้มีไหวพริบดี ส่วนข้ามีความเพียรที่เยี่ยมยอด เราสองคนมีคุณสมบัติที่ดีมาก
แล้ววันหนึ่งเป๋ยเป่ยก็พูดออกมาว่า "ศิษย์พี่ทั้งสองใครมีฝีมือแน่กว่ากัน"
ข้าหันมองบุกเดี่ยวหมื่นลี้ มันสบสายตาข้าแล้วพยักหน้า เราสองคนตกลงกันว่าจะประลองฝีมือกัน สู้กันสามยก ผู้ใดชนะสองในสามยกถือว่าชนะการประลอง โดยที่มีซูซ่งฟงเป็นสักขีพยาน
เมื่อถึงวันประลอง ผู้คนต่างมารอดูอย่างแน่นที่ลานประลองของสำนัก นักสู้ทั้งสองคารวะกันและกัน ข้ารู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่ต้องคารวะศิษย์น้องที่อายุน้อยกว่า เสียงเคาะไม้ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มยกที่หนึ่ง ข้ารุกเข้าประชิดตัวมันอย่างรวดเร็ว แล้วใช้พลังดรรชนีโจมตีใส่จุดสำคัญในระยะที่เหมาะเหม็ง แต่ปรากฏว่า มันกลับปัดป้องได้อย่างง่ายดาย
"พี่ท่านมีเจตนาที่มุ่งมั่นเกินไป" มันกล่าวพร้อมกับซัดฝ่ามือใส่ข้าที่หน้าอก แต่ข้าใช้พลังลมปราณสะท้อนฝ่ามือของมันออกไป
"ฝ่ามือแค่นี้ล้มข้าไม้ได้หรอก" ข้ากล่าว
ข้าเดินเข้าหามันอีกคำรบหนึ่ง แล้วรัวกำปั้นใส่ด้วยท่าทลายภูเขา
"นั่นจะทำให้ท่านเหนื่อยเปล่า" มันใช้วิชาตัวเบาที่เพิ่งเรียนมาหลบได้หมด
'มันแตกฉานในวิชาตัวเบาขนาดนี้เชียวหรือ'ข้าคิด
"มีสมาธิหน่อยศิษย์พี่"มันพูดแล้วอาศัยจังหวะที่ข้าไข้วเขวเตะขัดขาข้าล้มลง
"ยกที่หนึ่งบ้วนลี้เต็กเกี้ยชนะ" ซูซ่งฟงกล่าว
ข้ารู้สึกอับอายที่พ่ายแพ้ต่อเจ้าคนหน้าใหม่ ในยกที่สองข้าจะขอตั้งรับบ้าง เพื่อดูฝีมือที่แท้จริงของมัน ยกนี้ข้าจึงยืนนิ่งรอให้มันบุกเข้ามา เทียนอวี้ค่อยๆสืบเท้าเข้ามา พริบตาเดียวมันก็ทั้งเตะทั้งถีบใส่ข้าเป็นห่าฝน ข้ายกมือทั้งสองขึ้นป้องกันแล้วชิงจังหวะที่มันดึงขากลับเข้าจับร่างของมันทุ่มลง กับพื้นเสียงดังสนั่น จนผู้ชมร้องฮือกันทั้งลานประลอง
"ยกที่สอง เฟิงเซวียชนะ" ซูซ่งฟงกล่าว
"ศิษย์พี่เอาจริงแล้ว ข้าน้อยขอยอมแพ้" มันพูดไปยิ้มไปอย่างไม่ยี่หระในผลของการประลอง ข้าโกรธจนหูหัวร้อนไปหมด แต่เมื่อเห็นท่าทางของมันแล้วอารมณ์ที่เคยขุ่นมัวของข้ากลับค่อยๆเบิกบานขึ้น เราทั้งสองคารวะซึ่งกันและกัน เราไม่ได้แข่งขันกันเพื่อเอาเป็นเอาตาย เทียนอวี้มีฝีมือสูงส่ง มันกลับน้อมตัวลงคำนับให้ข้า แม้วันนี้ไม่รู้ผลแพ้ชนะ แต่ในใจของข้าก็ยอมรับนับถือในตัวมันเป็นอย่างมาก
บัดนี้ข้าไม่ตะขิดตะขวงใจที่ต้องคารวะมันอีก ซูซ่งฟงเห็นเรากอดคอกันท่านก็ยิ้ม
ข้าเคยถามซูซ่งฟงว่าแท้จริงแล้วเทียนอวี้แซ่อะไร ซูซ่งฟงบอกว่าเราสองคนมีวาสนาได้พบกันแล้วใยต้องคลางแคลงใจในเรื่องนี้ เมื่อถึงเวลามันคงจะบอกข้าด้วยเอง
ความคิดเห็น