ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chinese Fantasy Story 1.5(ตำนานเซียนเมฆา)

    ลำดับตอนที่ #6 : พบพานและลาจาก

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 55


    พบพานและลาจาก

    ซูซ่งฟงได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงแว่วมาจากเรือนไม้ใจกลางป่าไผ่ เป็นเสียงพิณอันเสนาะหูคลอด้วยเสียงขลุ่ยอันอบอุ่น ซูซ่งฟงระลึกได้ว่าที่แห่งนี้ตนเองนั้นเคยได้ไปเยือนมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว บรรยากาศร่มเย็นสบาย มีสายลมอ่อนๆพัดมาพร้อมกลิ่นหอมของชาชั้นดีที่เตรียมไว้สำหรับแขกผู้มาเยือน

    "ท่านนักพรตจำเราทั้งสองได้หรือไม่" สตรีโฉมงามที่นั่งเล่นพิณอยู่เอ่ย นางสวมชุดคลุมสีเขียวทอด้วยผ้าไหมชั้นดี สวมเครื่องประดับเรียบง่ายแต่งดงามดุจเทพธิดา อีกฟากหนึ่งมีบุรุษอีกคนนั่งเป่าขลุ่ยคลอเสียพิณอยู่อย่างมีสมาธิ ทั้งสองยังคงบรรเลงเพลงอันอ่อนโยนต่อไปเรื่อยๆ

    "เพลงที่ท่านทั้งสองบรรเลงนั้นข้าพเจ้าจดจำได้ขึ้นใจ" ซูซ่งฟงกล่าว

    "บุตรีของเรายังสบายดีอยู่หรือไม่ท่านนักพรต" สตรีโฉมงามที่เล่นพิณอยู่เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงที่เปล่งประกายออกมา

    "ท่านแม่...." เสียงของเด็กหญิงนัยน์ตาสีแดงอีกคนหนึ่งกล่าวเรียกมารดา วายุพิโรธอยู่ในร่างของมนุษย์อีกครั้ง

    "ลูกแม่....."  สตรีในชุดเขียวหยุดเล่นพิณแล้วเข้าสวมกอดบุตรีของตน

    "ขอบคุณท่านนักพรต ที่อุตส่าห์ดูแลบุตรีของเราเป็นอย่างดี" บิดาของวายุพิโรธกล่าวแล้วรินน้ำชาให้แก่ซูซ่งฟง

    ซูซ่งฟงกล่าวขอบคุณแล้วค่อยๆดื่มจนหมดจอก "ไม่ทราบอาวุโสทั้งสองมีเหตุอันใด จึงได้มาเข้าฝันข้าพเจ้า"

    "สหายของเรามีธุระให้ท่านช่วย..." สตรีผู้อยู่ในชุดผ้าแพรสีเขียวกล่าว

    นางเว้นจังหวะไว้เล็กน้อย "ปิศาจความฝันมาพบข้า เขาเป็นมิตรอันประเสริฐ เขาอยากให้เราช่วยวิงวอนท่านเรื่องหนึ่ง"

    "เรื่องอันใดหรือ ผู้อาวุโส"

    "ปิศาจความฝันบอกว่า เมื่อตื่นขึ้นท่านจะรู้ได้เอง" นางกล่าวเป็นปริศนา

    "ท่านทั้งสองยังสบายดีอยู่" นักพรตหนุ่มถาม

    "เดินทางไปเรื่อยๆไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเป็นสุขยิ่งนัก"

    "ท่านทั้งสองไม่คิดจะกลับบ้านหรือ"

    "คนพวกนั้นไม่เข้าใจความรักของเราสอง เพียงเพราะต่างเผ่าพันธุ์เราจึงถูกขับไล่ไสส่ง" ยังคงเป็นสตรีในชุดเขียวที่ตอบคำถามของซู่ซ่งฟง

    "ชาวบ้านไม่รู้ความอย่าถือสาไปเลย...วายุพิโรธก็ยังเด็ก ครั้นควบคุมอารมณ์มิได้ เธออาจทำร้ายผู้อื่น อยากให้ท่านนักพรตช่วยดูแลด้วย" คราวนี้บิดาของวายุพิโรธกล่าวขึ้นบ้าง

    "ข้าพเจ้าให้คำมั่น"

    "ถ้าไม่ได้ท่านห้ามศึกในครานั้น ข้าคงสังหารคนทั้งเมือง" สตรีนัยน์ตาสีแดงกล่าว

     "เพราะท่านทำให้พวกเราพบกับความสงบอย่างแท้จริง" นางโอบกอดบุตรี

    "ศัตรูคราวนี้คงเป็นผู้มีฝีมือพอสมควร ขนาดปิศาจความฝันเองมีฤทธิ์เดชไม่น้อยยังเพี่ยงพล้ำ ขอให้ท่านจงระวังตัวให้มาก" มารดาวายุพิโรธกล่าวทิ้งท้าย

    วิวทิวทัศน์รอบกายของซูซ่งฟงเริ่มเลือนลาง เขานั่งลงกับเก้าอี้ผ่อนลมหายใจออกแล้วกล่าวว่า "น่าเสียดาย...ข้าพเจ้าอยากใช้เวลาสนทนากับผู้อาวุโสทั้งสองมากกว่านี้"

    เขายกมือขึ้นแสดงความเคารพต่อบิดาและมารดาของวายุพิโรธก่อนจะดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอีกครั้งหนึ่ง

    ซูซ่งฟงค่อยๆรู้สึกตัวและ ลืมตาตื่นขึ้นกลางดึก พบว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด วายุพิโรธเองก็หลับอยู่ข้างเตียงมิได้ไปไหน ทั้งแขกทั้งเจ้าของตลอดจนบริกรในโรงเตี๊ยมทุกคนล้วนหลับสนิทยกเว้นซูซ่งฟง เขาพยายามปลุกวายุพิโรธเท่าใด นางก็ไม่ยอมตื่น

    ซูซ่งฟงพอเดาออกแล้วว่าความเดือดร้อนของปิศาจความฝันคืออะไร มันคงถูกผู้มีอาคมแก่กล้ากว่าบังคับให้ใช้ฤทธิ์เดชก่อการร้ายขึ้น

    ซูซ่งฟงมองออกไปนอกหน้าต่าง พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยกข้าวของมีค่าออกจากโรงเตี๊ยม ที่แท้เป็นพวกโจรที่รอจังหวะให้ผู้คนหลับสนิทแล้วออกปล้นชิงทรัพย์ในขณะที่อาคมของปิศาจความฝันยังมีฤทธิ์ ซูซ่งฟงเห็นดังนั้นแล้วก็ลอบใช้วิชาตัวเบาติดตามพวกโจรไปอย่างกระชั้นชิด

    เมื่อพวกมันมาถึงประตูเมือง ก็พบคนอีกกลุ่มหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว พวกมันเริ่มแบ่งสมบัติกันยกใหญ่ นักพรตหนุ่มสังเกตเห็นว่า หนึ่งในกลุ่มคนร้ายเป็นนักพรตอีกนิกายหนึ่ง มันมีร่างกายใหญ่โตบึกบึน หนวดเครารุงรังหน้าตาเหี้ยมเกรียม สวมเสื้อผ้าเก่าๆขาดวิ่น สะพายกระบองไว้เป็นอาวุธประจำกาย

    "มันนั่นเองนักพรตนอกรีตอู๋จีซี..." ซูซ่งฟงรำพึง และแล้วปิศาจความฝันก็ปรากฏร่างขึ้นข้างกายของเขา

    "ถูกแล้วท่านซู ข้าพลาดพลั้งโดนมันสะกดไว้ในกระดิ่ง ยามใดที่มันจะใช้ข้า มันก็จะสั่นกระดิ่งหนึ่งครั้งเรียกข้าออกมา ยามใดต้องการผนึกข้าก็สั่นกระดิ่งสองครั้งเรียกข้ากลับไป หากข้าไม่ร่วมมือกับมัน มันก็จะใช้อาคมทรมานข้า ท่านซู ข้าอยู่อย่างสงบมานานไม่คิดระรานใคร ไม่นึกเลยจะถูกมนุษย์พวกนี้มาระรานหาเรื่อง ท่านซูได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด" ปิศาจความฝันบอกถึงความทุกข์ของมัน

    "ถึงอู๋จีซีนักพรตนอกรีตผู้นี้มีตบะแก่กล้า มีวิชาแปลกพิสดารกว่านักพรตทั่วไป แต่ข้ามั่นใจว่าท่านซูต้องเอาชนะมันได้"

    ซูซ่งฟงพยักหน้า เขายอมยื่นมือเข้าช่วย เห็นแก่คำขอร้องของมันและมารดาของวายุพิโรธ "ข้าพเจ้าจะพยายาม...ก่อนอื่นคงจะต้องคลายผนึกให้ท่านก่อน"

     ซูซ่งฟงเฝ้ารอจังหวะ เมื่อเขาเห็นอู๋จีซียกกระดิ่งขึ้นเพื่อสั่นเรียกปิศาจความฝัน นักพรตหนุ่มจึงดีดประคำสายฟ้าใส่จนกระดิ่งนั่นแตกออกเป็นหลายส่วน พวกโจรตื่นตกใจวิ่งหายไปคนละทิศทางเหลือเพียงอู๋จีซีที่หันมาเผชิญหน้ากับซูซ่งฟง

    "นักพรตอัสนีแซ่ซูรึ เจ้ากำลังทำผิดอย่างมหันต์" นักพรตนอกรีตกล่าว มันรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับผู้ใด

    "นักพรตนอกรีต จงเอาทรัพย์สินที่ขโมยมาไปคืนเจ้าของซะ เราจะได้ไม่ต้องต่อสู้กัน" ซูซ่งฟงกล่าว

    "ไร้เดียงสานักซูซ่งฟง หากเจ้ามีปัญญาก็เชิญมาเอากลับไปได้เลย" อู๋จีซีกล่าวปรามาส มันท่องมนตราห้าพยางค์ เรียกวิญญาณสัมภเวสีจากนรกขึ้นมาจากพื้นดิน

    "นักพรตผู้นั้นนั่นคืออาหารอันโอชะของพวกเจ้า" อู๋จีซีชี้นิ้วไปยังซูซ่งฟง วิญญาณร้ายแยกเขี้ยวแล้วทั้งหลายพุ่งตัวเข้าซูซ่งฟง

    นักพรตอัสนีดื่มน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเป่าออกเป็นเพลิงโลกันตร์เผาผลาญวิญญาณร้ายจนไม่เหลือซากแม้แต่ตนเดียว อู๋จีซีหน้าตึงด้วยความโกรธจึงรีบท่องมนตราเจ็ดพยางค์เพื่ออัญเชิญอสูรหกกรจากนรกขึ้นมาเพื่อโจมตีคู่อริ

    แขนทั้งหกของอมนุษย์คู่ต่อสู้ตนใหม่นั้นสลับกันฟันใส่ตัวซูซ่งฟงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จนนักพรตหนุ่มต้องรีบกระโดดหนีออกมา เขาตัดสินใจเรียกกระบี่เทพสายฟ้าจากสรวงสวรรค์

    ซูซ่งฟงนั้นถือว่าเป็นผู้จัดเจนในการใช้กระบี่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อได้ถือกระบี่เทพสายฟ้าซึ่งถือว่าเป็นเทพอาวุธอย่างหนึ่งก็มีอำนาจเซียนเพิ่มเป็นหลายเท่าตัว ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขึ้น โจมตีได้ดุดันและรุนแรงขึ้นไม่ต่างจากพวกขุนพลสวรรค์

    เพลงกระบี่สายฟ้าของซูซ่งฟงนั้นอาศัยความรวดเร็วเป็นหลัก การโจมตีของเขาจึงได้เปรียบเสมอ แม้โจมตีทีหลังก็ยังสามารถถึงเป้าหมายได้ก่อน ยิ่งกระบวนท่าของกระบี่แห่งแสงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    อสูรหกกรแม้มีหกมือแต่ก็เคลื่อนไหวได้เชื่องช้า เพราะมันต้องหลีกเลี่ยงการฟันกันเอง มันจึงได้แต่ตั้งรับอยู่ฝ่ายเดี่ยว จนคาถาอัญเชิญเริ่มเสื่อม เพื่อเอาตัวรอดจากคู่ต่อสู้ที่ฝืมือเหนือชั้นกว่า มันจึงรีบแทรกแผ่นดินหนีกลับนรกไป

    อู๋จีซีไม่พอใจอย่างมากที่อสูรหกกรหนีจากการควบคุมของเขาไป นักพรตอสูรคว้ากระบองประจำกายพุ่งปราดเข้าต่อสู้กับซูซ่งฟง แต่ก็โดนซูซ่งฟงดีดประคำสายฟ้าใส่หน้าท้องจนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

    อู๋จีซีเห็นท่าว่าตนเองจะเพลี่ยงพล้ำจึงชักกระบอกไม้ไผ่ออกมาโยนใส่ซูซ่งฟง แล้วท่องมนตราหนึ่งพยางค์กระบอกไม้ไผ่ก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เกิดควันไฟโขมงไปทั่ว

    "ฝากไว้ก่อนเถอะ!" นักพรตอสูรตะโกนก้องแล้วหายตัวไปท่ามกลางกลุ่มควันอันหนาทึบ อู๋จีซีหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

    เมื่ออู๋จีซีจากไปไม่นาน วายุพิโรธก็ตื่นขึ้นและวิ่งตามมาสมทบ ปิศาจฝันปรากฏร่างของมันอีกครั้ง มันกล่าวว่าได้ทำการคลายผนึกนิทราให้กับคนทั้งหมดแล้ว และกล่าวขอบคุณซูซ่งฟงก่อนจะลาจากไปอย่างเงียบๆ

    เป็นเวลาใกล้รุ่งเช้าของวันใหม่ ซูซ่งฟงรีบเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ จุดหมายของเขาอยู่อีกไม่ไกลนักแม้การเดินทางของเขาและวายุพิโรธกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ในใจของเขาก็ยังกังวลว่าในแผ่นดินนี้ยังมีเรื่องเดือดร้อนมากมายที่รอการแก้ไข หากได้ออกเดินทางไปทั่วหล้าอย่างอิสระเสรีก็คงจะดีไม่น้อย จะได้เป็นการจารึกแสวงบุญและฝึกตนไปด้วยในทีเดียว

    แม้ซูซ่งฟงสามารถนั่งเข้าฌาณทำนายอนาคตได้แต่เขาก็ไม่คิดทำนายอนาคตของตนเอง เขาจะนำพาตัวเองไปในทางไม่มีใครรู้ได้ การผจญภัยครั้งนี้จบลงด้วยดีแล้ว และการผจญภัยครั้งใหม่ก็กำลังจะเริ่มขึ้น

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×